ไม่เห็นผี ไม่มีอริยะ
โดยพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
ณ พุทธสถาน ปฐมอโศก
เมื่อ ๑๗ กันยายน ๒๕๓๔


ศึกษากันต่อนะ ชีวิตของพวกเรานี่นะ อาตมาก็ว่าเป็นชีวิตที่เข้าระบบ มีการศึกษา มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มีระบบที่เรียกว่า อย่างที่มันเจริญ และได้อยู่ในภูมิประเทศ ได้อยู่ในสถานที่ ที่เป็นที่ ควรอยู่ ปฏิรูปเทสวาสะ เป็นสถานที่ ที่ควรอยู่ ก็อาตมาบอกแล้วว่า สถานที่ที่ควรอยู่นั้น เป็นสถานที่ที่ครบพร้อมไปด้วย ตั้งแต่สถานที่จริงๆ นั่นแหละ คือดิน แผ่นดิน บริเวณอาณาเขต ที่เราพักอาศัย เป็นสถาน ที่อยู่ ที่มีธรรมชาติ ที่มีสิ่งแวดล้อม ที่มีดิน น้ำ ไฟ ลม มีอะไรก็แล้วแต่ ที่น่าอยู่ ไม่มีพิษ ไม่มีภัย อุดมสมบูรณ์ อยู่กันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข มีอะไรต่ออะไร แวดล้อมพรักพร้อม ซึ่งเป็นวัตถุทรัพยากร อยู่ข้างรอบๆ ตัว แล้วก็ยังมี ไอ้ที่เรียก ว่าสปายะทั้งหมด ตั้งแต่ที่กล่าวแล้ว เมื่อกี้นี้ว่า สถานที่ก็คือ เสนาสนะสปายะ

ยังมีบุคคลนะ คือมีคนจริงๆ ที่เป็นคนที่พาเจริญ สปายะนี่แปลว่า พาเจริญ เป็นคนที่เป็นประโยชน์ คนที่มีคุณค่า สถานที่ที่มีประโยชน์ ที่มีคุณค่า คนที่มีคุณค่านะ คนที่มีคุณค่าก็คือคนดี คือคนที่ ตั้งใจศึกษา อบรมบำเพ็ญประพฤติ ชีวิตแต่ละวัน แต่ละเวลา แต่ละวินาที เป็นคนที่ ตั้งใจ ที่จะพยายาม ที่จะเรียนรู้ฝึกฝนอบรมกาย วาจา ใจของตน ให้เป็นผู้เจริญ มีกายกรรม มีวจีกรรม มีมโนกรรม เจริญพัฒนา มีสติรู้ตัวว่า แม้แต่เราจะพูด เราจะกระทำอะไร เราจะคิด อยู่ในหลักของ มรรคองค์แปด ตั้งแต่สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ จนกระทั่ง มีกิจการ มีงาน มีการอะไรต่ออะไร ที่เราทำอยู่ ก็พัฒนาอยู่ทั้งนั้น พัฒนาอย่างมีปัญญา พัฒนาอย่าง มีความเห็นชอบ มีสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่พัฒนาไปอย่างโลกๆ พัฒนาไปสู่ทิศทางที่เป็น อริยะ

เรารู้ว่าทิศทางที่เป็นอริยะคืออย่างไร คนโลกๆ ไปโลภในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เพิ่มความโลภ เพิ่มความโกรธ ความเอาชนะคะคาน ความพยาบาทอาฆาต แก้แค้นให้ได้สมอกสมใจ คนโลกๆ เขาเป็นอย่างนั้น แต่ของเรานี่ ศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิ อย่างรู้ทิศทางเลยว่า จะไปเป็นอริยะที่แท้ เป็นผู้เจริญ เป็นผู้ประเสริฐที่แท้เป็นอย่างไร เราศึกษาพากเพียรลดกิเลส มีตัวกิเลสเป็นตัวร้าย ตัวอวิชชาเป็นตัวร้าย เราเรียนรู้ว่า ไอ้นี่มันไม่ใช่ เป็นความรู้โลกๆ เป็นความรู้ ที่เห็นแก่ตัว เป็นความรู้ ที่สร้างบาป สร้างกรรม สร้างเวร สร้างเรื่องไม่ดีไม่งาม เป็นอกุศลอะไรเราก็รู้ พยายามศึกษารู้จริงๆ แล้วก็ละเว้น เลิกในสิ่งที่ชั่วที่เลวที่ไม่ดี ไม่งาม ที่ไม่พาประเสริฐจริง

เรามารู้ความจริงว่า ความประเสริฐ หรือเป็นคนประเสริฐ เป็นอริยะที่แท้เป็นอย่างไร แล้วเรา พากเพียร ปฏิบัติ ประพฤติจริงๆ เป็นบุคคลที่ ตั้งอกตั้งใจ ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา อย่างที่เราเป็นกัน อยู่นี่ มีเวลาที่ตื่น เวลาหลับ เวลาตื่น ตื่นขึ้นมาเราก็ได้ประสบ ได้พบกับสิ่งที่เจริญ ได้ศึกษา เล่าเรียน ได้พยายามช่วยเหลือกันทุกวิถีทาง ที่จะหาวิธีสื่อ วิธีนำพากันด้วยวิธีการต่างๆสารพัด ที่เราจะกระทำ มาทำวัตรเช้า เราก็มีวิธีการหลากหลาย บางทีก็มีการอภิปราย บางที ก็มีการให้พูดนั่น พูดนี่อะไรนี่กัน แบ่งกันบ้าง คนเดียวพูดบ้าง มีการวิจัยวิเคราะห์ แม้แต่วิจัยวิเคราะห์วีดิโอ โทรทัศน์อะไร ก็เป็นการศึกษา เป็นการเรียนรู้ เข้าไปสู่ อริยสัจกันได้ทั้งนั้น

นี่ซึ่งเราก็มีหลากหลายวิธีการ มีหลากหลายว่าเราจะฟัง จะพูดอะไรกัน เป็นการศึกษา เป็นการสื่อ ซึ่งเดี๋ยวนี้ การศึกษาสมัยใหม่ เขาก็มีเหมือนกัน ในมหาวิทยาลัย ในที่ศึกษาที่ไหนๆ เขาก็มีวิธีการ ที่จะสื่อให้รู้ความรู้ต่างๆนานา ที่เราจะพึงรับได้

คนที่พาเจริญ คนที่ศึกษา คนที่เข้าใจอย่างนี้แหละ เป็นบุคคลสปายะ มันก็มีสิ่งที่อาศัยต่างๆ นานา ตั้งแต่ของกินของใช้ มีอะไรต่างๆ เป็นอาหารสปายะ มีเครื่องอาศัยประกอบพร้อม ในชีวิตของมนุษย์ มีเครื่องอุปโภค เครื่องบริโภค หรือ แม้แต่เครื่องอาศัยอื่นๆ จนกระทั่ง ถึงเครื่องอาศัยด้านใน ด้านนอก พร้อมหมด แม้แต่เครื่องอาศัยด้านใน เครื่องอาศัยทางจิตใจ เราก็เรียนรู้

เราก็มีเครื่องอาศัยที่เราจะต้องตรวจสอบเหมือนกันว่า เรามีเครื่องอาศัย ที่ดีหรือว่าอะไรบกพร่อง หรือว่าอะไรที่ยังไม่สมบูรณ์ ช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำ ข้าวไม่มี ช่วยกันสร้าง อาหารที่กินลงไปในปาก เป็นเรื่อง เครื่องบริโภคในหยูกยา เครื่องบริโภคนอก เครื่องนุ่งห่ม สถานที่ที่พัก บ้านเรือน อาคาร อะไรก็แล้วแต่ หรือแม้แต่เครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆ เป็นอุปโภคต่างๆ เป็นเครื่องใช้ต่างๆ ที่เราสามารถ ที่จะเรียนรู้ ศึกษาแล้วก็กระทำขึ้นมาใช้กัน ทุกวันนี้ เราทำเครื่องอาศัย สานเข่ง สานตะกร้า ทำไม้กวาด ทำโน่นทำนี่อะไรไปตามประสา ทอผ้า ทอเสื่อ อะไร ดูเหมือนเล็กๆ น้อยๆ ดูเหมือน มันไม่ทันสมัยเลยในโลก ไม่ต้องกลัว สิ่งเหล่านี้ เราทำขึ้นมาใช้เอง ใช้จริง

อย่างเข่งนี่ เราทำขึ้นมา ก็ใช้ทำประโยชน์ของเรา ทำเข้าไปให้มันได้ หรืออะไร ที่จำเป็นที่สำคัญ เออ ! อันนี้ ควรทำนะ ก็มาแนะนำกัน บอกกัน ทำอันนี้ ใช้ได้มั้ย อันนี้เราควรจะทำขึ้นมา แล้วก็ใช้งานได้ ยังงั้นยังงี้ ทำกันไปเลยนะ เขาจะว่าเรานี่ งมๆคลำๆ แหม ทำยังกับคนโบราณ เดี๋ยวนี้เขาทันสมัยแล้ว เอาพลาสติก มาหล่อกันพึบๆ พั่บๆ ช่างเขา เราก็รู้ เขาทำยังงั้นเราก็รู้ อันไหนที่พออาศัย เราจะต้อง อาศัย ของเขาหลายอย่าง อย่างเรื่องพลาสติกนี่ เราเองเรายังต้องอาศัย พลาสติก ทั้งๆที่เรารู้ว่า พลาสติกนี่ เป็นมลพิษหลายอย่าง ที่มันจะสลายตัว ได้ยาก ที่เราควรจะลดจะละ เราก็พยายาม น้อยลง เอาออก ถ้าอะไรมันทดแทนได้ ก็แทนพลาสติกได้ เราก็แทนไปเรื่อยๆ เราทำเอง ใช้เอง เป็นเครื่องอุปโภค ยังงี้ เป็นต้น

เรามีเครื่องอาศัยต่างๆนานา เครื่องอาศัยนอก แม้แต่ที่สุดเครื่องอาศัย ภายใน เครื่องอาศัยภายในคือ ทางจิตวิญญาณ การเรียนรู้ลดละกิเลส ที่เป็นตัวอาศัย แล้วมันเป็นพิษ อาศัยกิเลส แล้วทำให้ชีวิต นี่ไม่เจริญ ชีวิตตกต่ำ เราก็เรียนรู้ แล้วเราก็พยายามปรับ พยายามสร้าง จิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ จิตวิญญาณที่มีคุณค่า จิตวิญญาณที่มีเมตตา มีความขยัน มีความอดทน มีอะไรที่เป็นตัวกุศลจิตๆ ที่จะไปก่อ กุศลกรรม ทั้งหลายแหล่ เราอบรมสิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องอาศัย ถ้าเป็นคนขยัน เป็นคน เอื้อเฟื้อ เจือจาน เป็นคนมีเมตตา เป็นคนที่อดทน เป็นคนที่มีน้ำใจ ได้ช่วยเหลือเฟือฟายเพื่อนฝูง เรามีคุณธรรมที่ช่วยเหลือ เฟือฟายเพื่อนฝูง มีน้ำใจจะเป็นยังไง อยู่กับหมู่กับฝูง คนมีน้ำใจ คนมีเมตตา คนมีความเกื้อกูลอดทน ช่วยเหลือเฟือฟายคนอื่น จะเป็นยังไง เราก็จะได้พิสูจน์กัน ว่าคนที่มีน้ำใจ คนที่มีเมตตา อยู่กับหมู่กับฝูง เป็นคนน่ารังเกียจ หรือเป็นคนน่ารัก น่าเอ็นดูอะไร เราก็ จะรู้

ธรรมดาปฏิภาณของคนนี่ มันจะรู้ว่าอะไรที่มันดีไม่ดี แต่มันมีภาวะ ซับซ้อนเหมือนกันนี่ มีภาวะถือดี ถือตัว มีภาวะที่เพ่งไปในจุดนั้นจุดนี้ อะไร บางทีเพ่งหลักเพ่งกฎ เพ่งสิ่งที่มันสอดซ้อนอยู่ เป็นหลัก เป็นกฎก็ดี แต่ว่าบางที มันก็มีข้อจริง มันมีสัจจะอะไรต่ออะไร ที่มันดูไม่น่าเกลียด น่าชังอะไรหรอก แต่ว่าดูตามรูปนอก เผินๆ อาจจะน่าเกลียดน่าชัง แต่ในแนวลึกแล้ว ความบริสุทธิ์ใจไม่ได้มีลามก ไม่ได้มีทุจริต ไม่ได้มีความเลวร้ายอะไร มันก็มีอยู่ ซึ่งเราจะต้องศึกษา แล้วก็พยายาม ที่จะทำอะไร ให้มันครบพร้อมสมบูรณ์ที่มัน จึงจะเกิดประโยชน์ ทั้งด้านเจริญ ด้านหลัก ด้านกฎวินัย เรียกว่า มีสัจจะความจริงอย่างไร ที่ดูแล้วมีประโยชน์คุณค่าซ้อนลึก มันขัดแย้งกันได้เหมือนกัน ในหลัก ในกฎ และก็ในสัจจะความจริงพวกนี้ ที่เราจะเห็นความจริงว่า มันมีได้ หลักกฎเป็นอย่างนี้ แต่ทว่า บางทีแล้ว เราอยู่เหนือ หลักกำนั้น เราสามารถใช้สิ่งที่ แม้หลักกฎนั้นห้าม แต่เรามีสิ่งนั้น เป็นประโยชน์ คุณค่าที่สูงกว่านั้น บริสุทธิ์กว่านั้น จริงใจกว่านั้น มันมีได้ หลายๆอัน ตามที่เราก็เคย ประสบ มีประสบการณ์มาแล้ว ยังงี้เป็นต้น

เราก็ได้อาศัยอะไรต่างๆ นานา จนกระทั่งเราจะใช้พฤติกรรมกาย วาจา ใจ อาศัยสิ่งที่มันเจริญขึ้น โดยเฉพาะ พวกเรานักศึกษาปฏิบัติธรรมนี่ เรามาอบรมพฤติกรรมกาย วาจา ใจ เป็นเครื่องอาศัย ของชีวิต แล้วเรามีกายกรรม ที่ดีที่เจริญ มีวจีกรรมที่ดี มีจิตใจที่ดีเจริญ แล้วเราได้อาศัยพึ่งพา สิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะจิตใจที่แข็งแรง จิตใจที่ไม่เห็นแก่ตัว จิตใจที่ลดละกิเลสได้แล้ว มันเป็น ประโยชน์คุณค่า ยิ่งไม่มีความเห็นแก่ตัว จะเป็นคนขยัน เป็นคนสร้างสรร เป็นคนที่ เผื่อแผ่แจกจ่าย เจือจานแจกจ่าย ช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อเป็นคนขยัน เป็นความสามารถ สร้างสรรกระทำโน่นทำนี่ มีอะไรได้ สิ่งเหล่านั้น ก็เหลือเฟือ ตัวเองยิ่งประพฤติ ปฏิบัติจริงให้มันถูกสัจจะ ชีวิตเรานี่ มันเล็กๆ น้อยๆเท่านั้น ไม่เปลือง อาศัยกินก็ไม่มาก อาศัยนุ่งห่ม ก็ไม่มาก อาศัยพักหลับนอนพักอยู่ก็ไม่เปลือง ไม่ผลาญ อาศัยหยูกยา ถ้าเผื่อว่าเป็นโรคเป็นภัย ก็พอสมควรไม่ใช่ยาเสพยาติด ไม่ใช่ยาที่เฟ้อ ที่เกินอะไรยังงี้เป็นต้น ก็ใช้เฉพาะที่จำเป็น ที่พอเหมาะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะมาอาศัยในชีวิต ปัจจัยสี่อะไรพวกนี้ไม่มาก คนเราไม่มาก ไม่เยอะแยะอะไร และ เป็นคนมักน้อย ได้สัดส่วนลงไป จะเป็นคนขยัน สร้างสรรอะไรสามารถมีความรู้ วันๆหนึ่ง ก็สร้างสรร อะไรทำประโยชน์โน่นนี่เกิน ได้มาก ได้เกินแล้วก็เผื่อแผ่คนอื่น ช่วยเหลือ เฟือฟายคนอื่น คนที่จะต้องได้ช่วย ซึ่งก็เคยแยกแยะ วิเคราะห์ไว้

เด็กที่ยังมีไม่พอ ก็ยังทำเองไม่คุ้มกะชีวิต แกยัง ต้องกินมาก ใช้มาก เพราะเป็นเด็ก ยังต้องรับมาก กินมากใช้มากกว่า แต่ว่าทำงาน เป็นโล้เป็นพาย เป็นประโยชน์คุณค่าอะไรยังไม่พอคุ้มอะไรนี้เป็นต้น เราก็รู้ความจริง เด็กเป็นต้น คนแก่ แก่ไปๆ แล้ว แม้อยากจะทำ ก็ไม่มีเรี่ยวแรง แล้วความสามารถ ก็เสื่อมถอย อะไรต่างๆนานา เป็นต้น คนแก่ คนป่วย คนเจ็บ คนพิการ หรือแม้แต่คนไร้สมรรถภาพ อาตมาก็ แบ่งเอาไว้ว่า คนที่จะต้องช่วยเหลือ มันก็มีอยู่พอ ประมาณยังงั้นแหละ เราก็เกื้อกูลกัน อาศัยแม้แต่ว่า ไม่ใช่คนในนี้ ก็แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ อยู่ในนั้นแหละ คนที่มีกิเลส จะกินเปลืองอยู่ ใช้เปลืองอยู่ แต่ก็ไม่ต่ำกว่า มาตรฐาน อยู่ในนี้ เราก็ทำเผื่อ เผื่อคนที่มีกิเลสยังมากอยู่ ก็กินมาก เขาก็ใช้มาก เขาก็เปลืองมาก เขายังตะกละ มากอยู่ ก็เป็นธรรมดา แต่ก็ยังดี ค่อยๆ ปฏิบัติค่อยๆ ประพฤติ ค่อยๆลดละลงมาหาเหมือนกัน กะเรา เราก็สอนกันไป แนะนำกันไป จูงกันไปเหมือน พี่จูงน้อง เหมือนพ่อ เหมือนแม่ พยายามที่จะเลี้ยงลูก อบรม ศึกษาฟูมฟัก สร้างลูกขึ้นมา ให้เจริญ งอกงาม ให้เป็นไปดี เป็นคนเจริญ เราก็ทำกันไปจริงๆ พากเพียรอบรมสั่งสอน ฝึกฝนกันขึ้นไป ตามลำดับ เราก็จะรู้จักอาหาร รู้จักเครื่องอาศัยดีขึ้น เจริญขึ้น เป็นคนน้อยลงๆ ได้ เป็นคนที่ จะสร้างมากๆ สร้างสิ่งที่เป็นคุณค่าได้มากขึ้น มีความรู้ทาง เศรษฐศาสตร์ มีความรู้ในสิ่งที่ จำเป็นสมควร อันไหนที่จะสร้าง อันไหนเป็นอุปสงค์ อันไหนเป็น อุปาทาน ที่ควรจะกระทำลงไปให้ แก่สังคมขณะนั้น ขณะนี้ เวลานั้น เวลานี้ เราก็จะเป็นคน ที่มีคุณค่า ประโยชน์อย่างนั้น แล้วได้สร้าง สิ่งที่อาศัยเกิดขึ้นมา

ยิ่งเรามาเรียนรู้ซ้อนเชิงลงไปว่าสิ่งที่จะอาศัยนั้น ถ้าเราทำให้มันเป็น ธรรมชาติ ธรรมชาติมันจะ ช่วยเรา มันมีกำลังงาน มันมีการทำงาน ธรรมชาติมันทำงานของมันเหมือนกัน มันมีพลังงาน ของมันเหมือนกัน มันมีการสังเคราะห์ตัวมัน เหมือนกัน น้ำก็สังเคราะห์ตัวเอง ให้สะอาดสะอ้านได้ ดินก็สังเคราะห์ตัวเอง สร้างตัวเองให้เป็นดินดี ดินงามได้ ไม่ว่าน้ำ ไม่ว่าดิน ไม่ว่าลม ไม่ว่าไฟ ไม่ว่าธรรมชาติอื่นๆ ไม่ว่าต้นหมากรากไม้ ไม่ว่าสัตว์ที่อยู่ร่วมกันเป็นแวดวง มันสังเคราะห์ตัวมัน เหมือนกัน มันมีพลังงานสร้างสรรเหมือนกัน เราจะเห็นได้จริง เลยว่า มันสร้างสรร แล้วเราก็ได้อาศัย สิ่งที่มันสร้าง นั่นแหละ อย่างสมมุติ ไม่ใช่สมมุติละ เอาจริงน่ะ อย่างต้นไม้นี่ มันก็มีพลังงาน ในตัวของมันเอง มันสร้างต้น สร้างใบ สร้างดอก สร้างผล สร้างขึ้นมาอยู่ทุกวัน ทุกวินาที มันก็สร้าง แล้วเราก็ได้อาศัยใบ อาศัยดอก อาศัยผลอะไรของมัน กินใช้ รักษาเนื้อรักษาตัว หรือว่า เอามาใช้ แม้แต่อื่นๆ เอามาใช้เป็นเครื่องใช้ต่างๆนานา จนกระทั่ง ใช้เป็นฟืนเผาศพ เราก็อาศัยมัน สร้างตัวมันเอง มันสร้างขึ้นมา ให้เราอาศัยน่ะ

ถ้าเรามีธรรมชาติเหล่านี้ ดินมันก็มีชีวิตสร้างตัวมันเอง เป็นดินงาม โดยเราไม่ต้อง ไปทำอะไรมัน เราก็คอยเรียนรู้ว่า จะทำอะไร น้ำมันก็มีชีวิต ถ้าเราให้มันเป็นยังงี้ นี่อย่างน้ำนี่ มันไหล ถ้าน้ำนิ่ง น้ำขัง น้ำจม น้ำไม่หมุน ไม่เวียนนี่นะ แล้วก็มีอะไรไปหมักหมม มีไอ้ตัวแบคทีเรีย ไม่มีอะไร ที่จะสังเคราะห์ยิ่งเน่า ยิ่งเสีย หรือเรายิ่งเอาอะไร เข้าไปใส่เข้าไป เอาไปลง ไปก็ทำให้มัน ยิ่งสังเคราะห์ ออกมาเป็นของเลวของร้ายเข้าไปอีก น้ำเสีย น้ำเน่า น้ำไปกันใหญ่ เราก็จะรู้ เราก็จะ ไม่ทำ แล้วเราก็พยายามให้น้ำมันสะอาด สะอ้าน วิธีใดที่จะให้น้ำมันช่วยตัวมันเอง มันหมุนเวียน ของมันเอง ช่วยตัวมันเอง มันสังเคราะห์ตัวมันเองได้ ซึ่งเราทำให้มันก็ไม่ได้ เหมือนต้นไม้ นี่เราไปให้ มันสังเคราะห์ เป็นต้น เป็นใบ เป็นดอก เราไปช่วยพลังงานข้างในไม่ได้ เราช่วยได้ขนาดหนึ่ง เราก็รู้ว่า เราจะปลูกต้นไม้ หรือว่าจะช่วยต้นไม้ขนาดไหน จะ ช่วยน้ำขนาดไหน จะช่วยดินขนาดไหน จะช่วยลม ขนาดไหน จะช่วยไฟขนาดไหน จะช่วยสัตว์ ที่มันต้องอยู่กะเราขนาดไหน ช่วยอากาศ บรรยากาศนั่นๆ นี่ๆ สถานที่นั่นนี่ อะไรอย่างไหน เราจะมีปัญญาเรียนรู้ เมื่อเราทำขึ้นมา เป็นวงจร ขึ้นมา มันอุดมสมบูรณ์ขึ้นมา มันเจริญขึ้นมา ดินก็เจริญ น้ำก็เจริญ ไฟเจริญ ลมเจริญ ต้นหมาก รากไม้เจริญ เราอยู่ร่วมกัน ก็จะเป็นสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติแวดล้อม เป็นสิ่งที่หมุนเวียน สังเคราะห์ ช่วยกันและกันได้อย่างดี เราจะศึกษา แล้วก็จะพยายามกระทำ สิ่งที่จะเกิด ไม่เป็นประโยชน์ ที่เราเรียกว่าขยะ เรียกว่ามลพิษ มันคืออะไร เราก็จะเรียนรู้ ไอ้มลพิษอันนี้ มันจะก่อมลพิษ เราไม่เอา เข้ามาใส่ อันนี้มันจะเกาะ อันนี้มันเป็นขยะ ขยะคือสิ่งที่จะต้องทิ้ง ทิ้งจริงๆ เป็นขยะจริงๆ เอาไปทิ้ง ทิ้งนอก ทิ้งไกล หรือว่าเปลี่ยนแปลงซะ ไม่เรียกว่าขยะหรอก เราเรียกมัน ก็เป็นธาตุ อย่างหนึ่งน่ะ มันก็เป็นสภาพนั้น แต่เราเอาไปไว้ตรงนี้ เอาไปทำอย่างนี้ มันจะ เปลี่ยนแปลง มันจะสังเคราะห์ มันจะเกิดเป็นอาหาร เกิดเป็นปุ๋ย เกิดเป็นสิ่งที่ จะช่วยเสริม ให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ดีขึ้นด้วยซ้ำ เรามีปัญญา เข้าใจขยะ เข้าใจอาหาร รู้ว่า อาหารคืออย่างไร ขยะคืออะไร สิ่งที่เป็นมลพิษ คืออะไร เราจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ แล้วก็ศึกษา

โดยเฉพาะ คำว่าขยะตอนนี้ อาตมาก็พยายามให้พวกเราศึกษา อย่านึกแต่ว่า แค่ขนขยะเท่านั้น ทุกคนพยายามศึกษาว่า โอ้ อันนี้เรียกว่าขยะ อันนี้ เรียกว่ามลพิษ มลพิษเราก็พยายามที่จะปรับ อย่างเรามีเข่งสองใบ ใบหนึ่งเราบอก ว่า ขยะธรรมชาติ อีกอันหนึ่ง เราเรียกว่า ขยะมลพิษ อย่างนี้ เป็นต้น เราต้องเรียนรู้ แล้วก็แบ่งขยะมลพิษ นี่นะ เราไม่มีแรงจะสังเคราะห์ เราไม่มีแรงจะทำลาย มันสังเคราะห์ได้ ทำลายได้ แต่ต้องใช้อุณหภูมิ ต้องใช้ความร้อนสูง ต้องใช้อะไร เปลี่ยนแปลงรูป มันไป เป็นประโยชน์อื่น เช่นว่าแก้ว ก็ต้องเอาไปใช้ ความร้อนที่สูง เพื่อที่จะหลอมมาใหม่ เราไม่มี เครื่องมืออย่างนี้ เราไม่มีอุปกรณ์อย่างนี้ จะไปทำลายได้ เราก็เอาไปไว้ที่อื่น ใหัคนที่เขาสามารถ เอาไปได้ หรือว่าเอาไปทิ้ง เมื่อจะทิ้งก็เอาไปทิ้ง ก็รวมกันทิ้ง หรือให้คนที่เขาสังเคราะห์ได้ ให้เขาเอาไป สังเคราะห์ นอกเหนือแรงงานของเรา เราไม่สามารถทำได้ เราก็เอาไป ถ้าเราสังเคราะห์เองได้ เราก็จะสังเคราะห์

พูดถึงตรงนี้ ก็ตอนนี้ ก็มีคนเขาทำเตาเผาเตาหนึ่งอยู่ที่สันติอโศก นา รุ่งทิพย์ทำเป็นเหล็กเตาเผา ไว้ใหญ่นะ แล้วเขาก็บอกว่า เขาเคยใช้ ตั้งแต่เด็กมาแล้ว เตาเผาแบบนี้ ซึ่งอาตมาก็ไม่เคยใช้ เขาทำแล้วตอนนี้ ใหญ่พอสมควร ขนาดโต๊ะตัวนี้ กว้างใหญ่ก็จะยาวกว่านี้หน่อย หรือไม่ ก็ไม่รู้นะ ก็ราวๆนี้แหละนา สูงท่วมหัว มีสองชั้น มีบานปิดบานเปิด ใช้เหล็ก เหล็กเป็นเหล็กเลยน่ะ แล้วเขาก็ จะให้มาใช้ที่สันติอโศก ไม่มีที่ไว้ ไม่มีที่จะใช้เตาเผานี่

อาตมาพูดถึงเตาเผา เขาก็เลยคิดทำขึ้นมา และทำแล้ว เขาก็จะให้ พวกเรามาใช้ ก็คิดว่า จะเอามา ไว้ปฐมอโศกนี่ มาเป็นเตาเผา แล้วก็จะได้ศึกษา เผากัน อะไรที่ควรจะเข้าเตาผาก็เผา เผาได้ขนาดนั้น ขนาดนี้ อันไหนที่เผาไม่ได้ ก็สมควรจะทิ้งข้างนอกก็เอาไป เป็นมลพิษ เป็นอะไรยังงี้เป็นต้น อย่างที่กล่าวแล้ว

อาตมาเคยวิเคราะห์ให้ฟังว่า คำว่าขยะ ก็คือสิ่งที่จะต้องเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ต้องทิ้ง สิ่งที่จะต้อง เปลี่ยนแปลง ขยะนี่ เพราะงั้น สิ่งที่ต้องทิ้ง คือสิ่งที่ เราสังเคราะห์ไม่ได้ อย่างแก้ว เราสังเคราะห์ ไม่ได้ แต่ถ้าเขาสังเคราะห์ได้ ไม่ใช่สิ่งทิ้งน่ะแก้ว ยังงี้เป็นต้น หรือแม้แต่พลาสติก พลาสติกนี่ ก็เอาไปสังเคราะห์ได้ เขาก็ไม่ใช่ของทิ้ง ถ้าเขาสังเคราะห์ไม่ได้ถือว่าของทิ้ง เพราะฉะนั้น สิ่งใด ที่เราสังเคราะห์ไม่ได้ ก็ถือว่าขยะ สิ่งใดที่เราเปลี่ยนไปจาก สิ่งที่สังเคราะห์ได้ คือ นำไปสังเคราะห์ได้ เราก็เอาไปเป็นปุ๋ย เอาไปเป็น อาหารของพืช เอาไปเป็นสิ่งที่ไปสังเคราะห์ เป็นประโยชน์ในอันอื่น เอาไปทำฟืน เอาไปทำโน่นทำนี่อะไรงี้ แทนที่มันจะเป็นขยะ มันก็ไม่เป็นขยะ มันไปเป็นฟืน แทนที่ มันจะเป็นขยะ มันไม่เป็นขยะ มันไปเป็นปุ๋ย อะไรงี้เป็นต้น หรือ ลึกซึ้งกว่านั้น เอาไปทำอื่นๆ เอาไปสังเคราะห์ เอาไปประกอบเป็นอย่างอื่นได้อีก เราก็ค่อยๆ ศึกษากันไป นี่เรียกว่า เราเรียนรู้จริงๆ เพราะฉะนั้น บ้านเมืองเรานี้ จะสะอาด ในถิ่นที่เสนาสนะเราจะสะอาด สิ่งที่ควรอยู่ มันจะอยู่ในที่ ที่ควร สิ่งที่ไม่ควรอยู่ เราก็ช่วยกัน ไม่ใช่เป็นนักเก็บขยะคนเดียว ทุกคนต้องพยายามศึกษา พยายาม เป็นนักเก็บขยะ อันนี้ควรจะไว้ตรงนี้ อันนี้ควรจะอยู่ตรงนี้ ยังไว้ไม่ได้ ยังก็เปลี่ยนแปลง ถึงที่มันไม่ได้ ก็เอาใส่เข่ง อย่างที่เราได้พยายามมีเข่งแบ่งแยก เพราะฉะนั้น เราจะเอาเข่ง ที่ใส่เอาไว้รวมๆ ไว้นี้ไปใช้ ไปเปลี่ยนรูปเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น เตาเผาขยะเรามี ต่อไปเราก็จะเอามาเผา ทั้งขยะ ที่ควรเผา ขยะไหนเผาไม่หวาดไม่ไหว เราก็เอาไปทิ้งข้างนอก ก็จะเอาไปเผา แล้ว ก็เรียบร้อยไปในนี้

เราจะค่อยๆเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ มันเป็นความจำเป็น ที่จะต้องหมุนเวียน หมุนย้ายถ่ายเท เปลี่ยนแปลง เรียกว่า ทำให้เกิดคุณค่า หมุนเวียน มันหมุนเวียนทั้งนั้น อะไรๆ มันก็หมุนเวียน หมุนเวียนช้า หรือเร็ว หมุนเวียน เราเรียนสิ่งเหล่านี้ เราจะได้เครื่องอาศัย เป็นอาหาระ เป็นเครื่องยังอยู่ที่ดีนะ มีมาก เรื่องอาหาร นี่ อาหารเครื่องอาศัย มีมาก แม้แต่อาหารปริเยฏฐิทุกข์ ที่เราเรียนรู้ทุกข์ว่าก็ทุกข์ เพราะแสวงหาอาหาร แสวงหาเครื่องอาศัย อาตมาอธิบายว่า แม้แต่พระอริยะ ก็จะต้องแสวงหางาน งานเป็นเครื่องอาศัยของชีวิต ชนิดหนึ่ง ปริเยฏฐิ แปลว่า การแสวงหา แสวงหาอาหาร อาหารปริเยฏฐิ แสวงหาอาหาร แสวงหาเครื่องอาศัย เพราะฉะนั้น เครื่องอาศัย อย่าว่าแต่ อาหารการกิน เครื่องกิน เครื่องใช้ อย่างที่อาตมา ขยายความนั้น อาหารพวกนั้นแล้ว เรายังแสวงหางานการ กรรมกิริยา พฤติกรรม ที่จะสร้างสรร ที่จะทำคุณค่าประโยชน์ ซึ่งเป็นอาหารคุณภาพ คุณธรรมของชีวิต

คนเรามีคุณธรรม คนเรามีคุณภาพเพราะงาน ไม่เป็นโมฆบุรุษ ไม่เป็น คนเป็นหนี้ คนไม่มีงาน จะเป็นหนี้ ฟังความหมายนี้ก็พอเข้าใจ คนเราเกิดมา วันๆ คืนๆ ไม่ทำงานทำการอะไร ไม่สร้างสรร อะไร แต่กินอยู่ จะใช้อะไรของคนอื่นเขา ขี้เกียจขี้คร้าน งอมืองอเท้า ไม่ทำงาน ทำการอะไร ก็เป็นหนี้เขา แน่นอน เพราะเราต้องกินต้องใช้ แล้วเราก็ต้อง อาศัยอะไรๆ หลายๆอย่าง ที่เราเอง ไม่ทำ เพราะอาศัยคนอื่นเขาทำ คนอื่นเขาสร้าง เราก็เป็นหนี้เขาแน่นอน

แต่ทีนี้ เราเองเราก็รู้ว่า งานก็คือสิ่งสำคัญสิ่งจำเป็น มนุษย์จะต้องสร้าง ต้องสรรด้วย ให้มันคุ้มกิน คุ้มใช้ ถึงวาระที่จำนนๆ จำเป็นแล้ว เราทำไม่ได้แล้ว แก่แล้ว เรี่ยวแรงไม่มีแล้ว ป่วยแล้ว เปลี้ยแล้ว เป็นง่อย เป็นเปลี้ยแล้ว ไม่มีความสามารถ พิการแล้ว ไม่มีความสามารถทำ ได้จริงๆ เราก็จะรู้ ความจริงกัน ตามความจริง ก็ช่วยกันไป คนแก่ คนเฒ่า คนทำไม่ได้แล้ว เรี่ยวแรงไม่มี ก็ช่วยกันไป มีน้ำใจ แล้วก็มีปัญญา รู้ความจริงตามความเป็นจริง ว่าสมควรแค่ไหน เกื้อกูลกันแค่ไหน มนุษย์มีปัญญา มันต้องรู้แล้วมันก็ต้องเป็นไป

คนเราต้องมีการงาน การงานเพื่อเผื่อแผ่ การงานเพื่อที่ จะสร้างขึ้นมา เพื่อให้คนอื่น ได้อาศัย ก็เป็นบุญ เป็นคุณค่า เป็นคุณธรรม เป็นคนมีประโยชน์ เป็นคนไม่โมฆะ ไม่สูญเปล่า เป็นคนมี กำไรชีวิต สร้างสรรเสียสละ ตามหลักเกณฑ์ที่เราได้ศึกษาซับซ้อนลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น งานการ จึงเป็นสิ่งหนึ่ง ที่พระอริยะจะแสวงหา ขวนขวาย เป็นคนไม่ดูดาย เป็นคนมีบุญ เป็นผู้ มีเวยยาวัจมัย เป็นคนขวนขวาย เป็นคนมองหางาน มองหาบุญ เป็นคนก่อบุญ สร้างบุญ สร้างกุศลอยู่ ตลอดเวลา เมื่อยก็สมควรพักก็พัก มันเมื่อยไม่สมควรพัก ทำต่อได้ทำ หรือถึงเวลาควรพักก็พัก ที่จริง เราไม่เมื่อยหรอก ที่จริง แต่เวลาควรนอนแล้ว ควรพักแล้วก็พัก ตอนนี้มันควรพัก มันไม่เมื่อย แต่ว่าไม่ควรพักนะ บางคน เจ็บป่วยๆ ต้องอาศัยการพักผ่อน คนที่อาศัย การพักผ่อน เพราะเจ็บป่วย ก็ต้องพัก ถ้าไม่พัก ประเดี๋ยวมันเรื้อรัง ประเดี๋ยว มันก็จะเป็นการป่วยหนักขึ้นไป ยังงี้เป็นต้น เราจะเรียนรู้ จะมีปัญญาเข้าใจ ความเหมาะควรเหล่านี้ อย่างได้สัดได้ส่วน

การแสวงหางาน มันเป็นคุณธรรมของพระอริยะ เป็นอาหาร ปริเยฏฐิทุกข์ เป็นทุกข์ เรารู้ว่า มันเป็นทุกข์ โดยสภาวะนะ เป็นทุกข์ แม้แต่ เราแบกขันธ์ห้าก็เป็นทุกข์ ทุกขขันธ์ เรายังไม่ตาย เรายังไม่ ปรินิพพาน เรามีขันธ์ห้า นี่ก็เป็นทุกข์ เป็นภาราหเว เป็นภาระที่ต้องรักษา ดูแลให้อาหารมัน ต้องชำระล้าง มันมีขี้ มันมีไคล มันมีเหงื่อ มันมีโน่น มีนี่อะไร เราก็เรียนหมดแล้ว มันเป็นภาระ มันเป็นทุกข์อย่างหนึ่ง แต่ทุกข์อย่างนี้ เราหลีกไม่พ้นนะ ทุกขขันธ์ เราก็เลี่ยงไม่ได้ อาหารปริเยฏฐิทุกข์ เราก็ต้องจำเป็นจะต้องทำ เลี่ยงไม่ได้ นิพัทธทุกข์ ทุกข์จะต้องปวดขี้ ปวดเยี่ยว ทุกข์จะต้องเจออากาศร้อน อากาศหนาว พออาศัยตนเอง ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายเกินไป ทนร้อน ได้พอสมควร ทนหนาวได้เก่ง พอสมควร ทนปวดขี้ ทนปวดเยี่ยวได้พอสมควร ไม่อ่อนแอเกินไป เราก็รู้ว่ามันต้องทุกข์ จะเป็นพระอรหันต์เจ้า จะเป็นพระพุทธเจ้า ก็ยังต้องปวดขี้ ปวดเยี่ยว จะต้องเจอ นิพัทธทุกข์ จะต้องเจอ อาหารปริเยฏฐิทุกข์ จะต้องเจอทุกขขันธ์ จะต้องเจอ พยาธิทุกข์ ทุกข์ที่เกิดจากการเจ็บการป่วย ที่เราไม่ได้ไปหามาเลย เลี่ยงจะตาย คนเรานี่ไม่ให้เกิดเจ็บป่วย แต่มันก็มี ตามที่เราเป็น เกิด เจ็บ ป่วยเลี่ยงไม่ได้ ต้องเป็นทุกข์ เจ็บๆ ป่วยๆ เป็นวิปากทุกข์ วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะวิบาก มีอกุศลวิบากตามก็ต้องทุกข์ เอาก็ต้องยอมรับ ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ยังงี้เป็นต้น เราก็ต้องรู้ว่า ชีวิตคนสุดทาง หรือว่าสูงสุด ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ เราก็ต้องไปให้ดีที่สุด พยายามหัดวางใจ เมื่อมันมีเจ็บ มีป่วย อะไรก็หัดวาง ไอ้ เจ็บป่วย หัดวางใจได้ ก็เป็นคนที่สบาย พอสมควร แม้เจ็บป่วย ก็ต้องหัดวางใจ

ทุกข์เพราะเราเอง เรากลัวนะ อาตมาอยากจะพูดถึงตัวนี้ กลัวอะไร ตอนนี้ กลัวผี อาตมาเอาหนังผี มาฉายให้ดู หนังเรื่อง สุสานคนเป็น หมายใจจะให้ หายกลัวผี ดันผ่าไปกลัวผีเพิ่มเติม เป็นทุกข์ ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่กลัวผี อาตมาเคยอธิบายแล้วว่า ผีอย่างนั้นมันผีหลอก นั่นมันผีไม่จริง ผีเป็น ไปไม่ได้ ก็วิเคราะห์ให้ฟังแล้ว ว่าคนเรา ถ้าตายจากกันนี่ แล้ววิญญาณมันมาได้อย่างที่เราเข้าใจกัน ผิดๆเพี้ยนๆ มิจฉาทิฏฐินั่นหนะ อาตมาเคยวิเคราะห์วิจัยให้ฟัง ตั้งไม่รู้กี่ทีแล้วว่า คนเรานี่ มีความรักกัน คิดถึงกัน หรือโกรธแค้นกันก็ตาม พยาบาท อาฆาต เคียดแค้น จะฆ่าจะแกงกันนี่ มีวิญญาณ มีจิตใจที่มันชอบ มันชังกัน ถ้าคนเราตายไปจากกันแล้ว วิญญาณโกรธ วิญญาณรัก มันมีอยู่ยังงี้ รักมันก็ต้องมาหาแก้แค้น แล้วยิ่งทำอะไรวิญญาณไม่ได้ เหมือนอย่างหนัง สุสานคนเป็น โอ๋ แจ๋วเลย ก็มาดีดหูเล่น มาแกล้งก็ได้ มาทำแรงๆ ก็ได้ มาบีบคอ มาจับวิญญาณเขาไม่ได้นี่ วิญญาณมาบีบคอ เอาให้ตายเลย อะไรบีบคอก็ไม่รู้เรื่องกัน ก็ตายกันพอดี ก็มาแก้แค้นเท่านั้น เองแหละ วิญญาณนั้นมาแก้แค้นหมด ไม่เหลือ บ้านไหนก็แล้วแต่เถอะ มีคู่อาฆาตมาดร้ายที่มันต้อง แก้แค้นได้ อย่างไม่แก้แค้น ให้มันโหดร้าย ก็มาแก้แค้น มาดีดหูเล่นมั่ง มาทำให้เจ็บ ตรงนั้นเล่น ไม่ให้ถึงตายหรอกนะ มันไม่รุนแรง เรียกว่าอาฆาต ยังไม่รุนแรง เป็นคนไม่รุนแรงเกินไป มาแกล้ง ก็พยาบาทโกรธ เกลียด ก็ชังน่ะ แกล้งทำให้เจ็บตรงนั้น ปวดตรงนี้ บวมตรงนั้น หกล้มมั่ง ทำเล่นมั่ง อะไรมั่งก็ได้ ก็มาแกล้ง เผื่อถ้าว่าชัง วิญญาณมาได้ มา วิญญาณมันมาได้ เหมือนสุสานคนเป็น มาแกล้งทำยังโน้นอย่างนี้ได้ มาแน่ คนชังก็มาแกล้งอย่างชัง คนรักก็ต้องมาหาอย่างรัก มาแน่ มันอะไร อย่างที่หลงๆ ผิดกันอย่างใน สุสานคนเป็น นั่นแหละ มายังงั้นแหละ มาแน่ แล้วจะมา แกล้ง ได้มากกว่านั้นด้วย นั่นคิดได้แค่นั้นน่ะ โอ๊ย ถ้าเป็นอาตมาคิด แกล้งได้มากกว่านั้นอีก รักได้มากกว่านั้นอีก ให้วิญญาณรักได้มากกว่านั้น ให้วิญญาณแกล้งด้วยความชัง แกล้งได้ มากกว่านั้นอีก ถ้าว่ามันจะเป็นจริง มันจะมาได้จริงๆ ใช่ไหม แล้วเรื่องอะไร จะไม่มา ก็มันรักก็ต้องมา ยิ่งมันเห็นตัวได้ก็แสดงตัว ยิ่งเห็นก็ต้องเห็นกันทุกคนน่ะ ถึงไม่เห็น มีสภาวะมาแล้ว เออ มีวิญญาณ มารัก มาแสดงความรัก มากอด มาทำอะไรต่ออะไร อย่างที่เขาเห็น แหม มาทำเป็นยังงั้น ยังงี้ เหมือนอย่างใน สุสานคนเป็นน่ะ วิญญาณมาทำไอ้ยังโน้น ยังนี้ ให้มันเห็น ให้มันอะไร ต่ออะไรได้ มันก็ต้องเป็นทั้งนั้น ทุกบ้านทุกเรือน ที่มีคน รักกันชังกันตาย แล้วมีกี่บ้าน มีทุกบ้าน นอกจากว่า สร้างบ้านใหม่ ยังไม่มีใครตายในบ้านนั้น

ถ้าบ้านนั้น สร้างนานแล้ว มีครอบครัวอยู่นานแล้ว มีคนมามาก มีคนอยู่มากแล้ว ได้เคยเกิดๆ ตายๆ กันหลายคนแล้ว ก็ต้องมีการมา หรือ เพื่อนฝูง บ้านเรา ไม่ใช่บ้านเรา บ้านเรายังไม่มีใครตาย แต่เราไปทำอะไร ให้คนอื่นเขาเกลียด ให้คนอื่นเขารัก คนอื่นที่ตาย ไม่ใช่บ้านเราตาย แต่ไปตาย คนอื่นคู่รัก อยู่บ้านอื่นตายไปก่อน ยังไม่ได้มาอยู่ที่บ้านเรา ยังไม่ได้แต่งงาน คู่รักก็ต้องมาบ้านเรา ไปทำให้คนอื่นเขาเกลียดเขาชัง เขาพยาบาทอาฆาต เป็นคู่แค้น เขาตาย เขาต้องมาเล่นงานอาตมา หรือมาเล่นงานคุณ ถ้ามีคนชังอาตมาที่ตายไปแล้ว ถ้ามีคนรักอาตมา ที่ตายไปแล้ว ก็ต้องมาหา อาตมา มาหาคุณ มาหาใครทุกคนน่ะ แล้วมันมีคน ตั้งไม่รู้กี่ล้านคน จริงๆแล้ว มีมาที่ไหน มี เขาบอกว่ามี มีเหมือนกัน แต่ไอ้ที่มีนั่น มันอุปาทาน ซึ่งเกิดยาก อุปาทานถึงขนาดหยาบ ขนาดปั้น เป็นเนื้อ เป็นตัว เรียกว่า หลอกตัวเองได้จัด ปั้นเป็นเนื้อเป็นตัว ปั้นเป็นเสียง อื๋ย เสียง มาแล้ว แล้วกันสิ เสียงไม่มีจริงๆ มันไม่มี ได้ยินเสียง ได้กลิ่น โอ้โฮ มีกลิ่นมาแล้ว นี่กลิ่นศพ กลิ่นหอม นี่กลิ่นเขาใช้ ได้ยินเสียงพูดด้วยนะ พูดได้ยิน คำพูดแล้ว ก็มาพูดว่าโน้นว่านี้ เรียกชื่อเลย มาถึง น้ำใจมาเลย เรียกเลย ทำเป็นเสียงน่ากลัว อะไรงี้เป็นต้น มันก็เป็นอุปาทาน ที่เราปั้นเอง มันไม่มีจริงหรอก ถ้าจริงมันก็มาเรียกแล้ว ทุกคนจะได้ยินเสียง เพราะว่ามันจริง มันมาได้จริง ก็ต้องมาสิ มันก็ ต้องเป็นจริงส่วนมาก

แต่ที่มันไม่จริง เพราะตัวเองนั่นแหละ เป็นโรคชนิดหนึ่ง เรียกว่า โรคหลอก โรคหลอน ตัวเอง หลอนตัวเอง ตัวเองหลอกตัวเอง โอ้โฮ กว่าจะเป็นเนื้อเป็นตัว กว่าจะเป็นตัวเป็นตนได้ ไม่ใช่ง่ายๆน่ะ เรียกว่า โง่จัดเลย หลอกหลอนตัวเอง ไม่มีก็เอาจนมี เสียงไม่ได้มี ก็ปั้นเป็นมี รูปไม่มีก็ปั้นเอาจนรูปมี เห็นคนที่ปั้นเป็นเนื้อเป็นตัวก็ยังได้เลย เป็นรูป เสียง กลิ่น รส ทวารทั้ง ๕ ทั้ง ๖ นั่นแหละ ส่วนมาก จะไปปั้น ในใจ ฝัน ง่ายกว่าหน่อย ง่ายกว่าเห็นด้วยตาเลยนะ ยากนะ เห็นด้วยตา เป็นเนื้อ เป็นตัว เห็นรูปทางตา ได้ยินทางเสียงยากกว่า ได้กลิ่น ก็ยากกว่า เอาละลิ้น มันไม่ค่อยเท่าไหร่แล้วนะ มันเป็น ไม่รู้จะเอามายังไง สัมผัสทางกาย แตะต้อง ถูกเนื้อ ถูกตัว นี่ยิ่งยาก มันเป็นเนื้อเป็นตัวมี อย่างที่อาตมาเคยยกตัวอย่าง ผีนางตานี โอ้ย อยู่ด้วยกัน หรือ ผีพระพรหม นี่เคยยกตัวอย่าง เคยเจอมาแล้ว แหม มีพระพรหม มาเป็นผู้สู่สม แล้วก็เหมือนกะ เขาสู่สมกัน ก็มีเนื้อมีตัว นางตานี ก็เป็นคู่สู่สมอะไร คงจะได้ยิน ได้ฟังเรื่องราวมาจับเนื้อจับตัว เห็นตัว จับเนื้อจับตัวกันจริงๆเลยนะ โอ้โฮ มันปั้นได้จริงๆเลย เหมือนมีเนื้อมีตัว จริงๆ เลย ถึงขนาดนั้น ซึ่งยิ่งยาก

ไอ้ที่ง่ายๆ ก็คือในใจ กลางวันคิด มันก็เป็นคิดกลางวัน คือมันไม่คิด ใจมันปั้นเลย ใจมันก็ปั้น เป็นฝัน เลอะไปเลย มายังงั้น บอกยังงี้ ดีไม่ดี มาบอกหวย อะไรก็แล้วแต่ เลอะๆเทอะๆ ในฝันมันง่าย ปั้นรูป ปั้นเรื่อง เอาตามจิตใจมันปั้นง่ายหน่อย ส่วนมากก็เป็นฝัน ตายไปแล้ว เขายังมาหา ตัวเองระลึก เอาเอง นั่นน่ะ มันไม่จริง

อาตมาว่าถ้าฟังความที่อาตมาขยายความนี้ให้ชัด เข้าใจเหลี่ยมมุมของ มันชัดแล้วนะ จะไม่กลัวผี จะเลิกเลย มันไม่มีหรอก ถ้ามันมี มันต้องยืนยัน นี่ อาตมาหาเหตุผลมา จะเอาเหตุผลอะไร มาอธิบาย มาเป็นข้อยืนยันว่า ผียังงั้นน่ะ มันไม่มี ผียังมีตัวมีตนอย่างที่ว่ากันมา หลอกยังโน้นอย่างนี้ ผีหลอกๆ งั้นจะอยู่ป่าช้า จะอยู่ที่ไหน หรือว่าจะอยู่ ที่บ้านเรา แล้วมันก็มาหาบ้านเราก็ตาม มันไม่มี ในป่าช้า มันก็ไม่มี เพราะมันไม่มีจริงๆ นา จะอยู่ที่บ้านเรา แล้วมันก็มาจากไหนก็ไม่รู้ ก็มาที่บ้านเรา นี่แหละ ผีมาเยี่ยมเยียน บ้านเรานี่มีคนตาย แล้วคนตาย มันก็มาเยี่ยมเยียนยังงี้ มันก็มีกันทั้งนั้นน่ะ ทุกบ้าน ที่อาตมาว่า ถ้าตายไปแล้ว ก็มาเยี่ยมกัน แล้วมันก็จะมีทุกบ้าน แต่มันไม่มีหรอก มันจะมี อุปาทาน ในตอนที่ใหม่ๆ คนตายใหม่ๆ ก็มีอุปาทานโน่นๆนี่ๆ โอ ระแวง เป็นโรคหลอกโรคหลอน โรคที่มันหลอก มันหลอน มียังโน้น อย่างนี้ โอ้... กุ๊ก..กิ๊กๆๆ อะไรไม่ได้โมเมไปหมดนะ เสียงยังโน้น ใช่แล้ว เห็นภาพยังงี้ ใช่แล้ว รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนั่นแหละ แล้วก็ปั้นเป็นเนื้อ เป็นตัว เป็นอุปาทานเอง แท้ๆ

ฟังเดี๋ยวนี้เข้าใจเดี๋ยวนี้ เชื่ออาตมาเดี๋ยวนี้ คุณจะไม่กลัวผีเลย เพราะมันเป็นของหลอกจริงๆ มันไม่จริง ถ้ามันจริง คนต้องเห็นมาก (มีเสียงพูด แทรก) ไม่มีๆ อุปาทาน เอ้อ จะผูกคอตาย จะตายโดยวิธี ผูกคอตาย จิ้มคอตาย เอามีดแทงตาย หกคะเมนตีลังกาตาย ยังไงก็ไม่มีผี ไม่มีหรอก คิดว่ามีผี ผีผูกคอตายแล้วก็มา นั่นน่ะ มันคนอุปาทาน คนไปปั้นเอาเอง หลอกตัวเอง ตาลาย ตาหลอก เสียงหลอก ตาก็หลอก หูก็หลอกตัวเองว่า ได้ยินเสียง ตาก็หลอกตัวเอง ว่าเห็นรูป เห็นว่า มียังโน้นอย่างนี้ มายังงี้มา เสียงได้ยินว่ามา กลิ่น ว่าได้กลิ่นมา กระทบสัมผัสนี่ ถูกเนื้อต้องตัว อะไรได้ อย่างที่ว่า มันทวารทั้ง ๕ ทั้ง ๖ นี่แหละ เป็นอุปาทาน อุปาทานในรูป อุปาทานในเสียง อุปาทานในกลิ่น อุปาทานในรส อุปาทานในสัมผัส (มีเสียงพูดแทรก) จิตวิญญาณไม่มีตัวตน อสรีรัง เราก็นึกว่า มันเป็นตัวตน เป็นอัตตา จะมาเป็นตัว โอ้ มาแล้ว ปัดโธ่ เอ๊ย มันไม่มี ถ้ามันมี มันมาทุกวัน คนที่รัก ก็ต้องมาหากัน คนที่ชัง ก็ต้องมาแกล้งกัน มาแก้แค้นกัน นึกอันนี้ให้ออก หาเหตุผลอันนี้ ให้ออก จะต้องมี จะต้องมา จริงๆ ยิ่งเป็นโอกาสด้วย ถ้าคนตายน่ะ มันก็ต้องรู้ใช่ไหม มันก็ได้รับ นิทานนี้ทั้งนั้น พอตายไปแล้ว เป็นโอกาสของอั๊วแล้วนี่ อั๊วมาแล้ว นี่ลื้อไม่เห็นอั๊วหรอก ลื้อรู้เห็น จับอะไรอั๊วก็ไม่ได้ หรือมาเหมือนอย่าง สุสานคนเป็น นั่นแหละ ลั่นทมมา เออ วิญญาณมา แล้วก็คว้า จับยังไงก็ไม่ได้ ไม่ถูกเนื้อถูกตัวลั่นทม ลั่นทมก็ผ่านกำแพง ผ่านห้อง ผ่านหับไปได้เอง หมดเลย

แหม มันเหมือนไม่มีตัว โอ้ ตัวผีตอนมันผ่านโน่นผ่านนี่ ไม่มีตัวตน ก็นึก ออกมา ไอ้อีตัวที่บอกว่า เอ้า ไม่มีตัวตนนั่นแหละ มันมาผ่านก็ไม่ได้ มันไปไหนก็ไม่ได้ มันมาไหนก็ไม่ได้ เพราะมันไม่มีตัวอะไร แต่กลับไม่เข้าใจ กลับไปปั้นให้มีตัวอีก มันโง่ขนาดไหน ไอ้ตอนรู้ว่า เออ ไม่มีตัวหรอก เพราะว่า มันผ่านอะไรก็ได้ มันไม่มีอะไรคั่น อะไรเกาะ อะไรข้อง อะไรขัด ไม่มี รู้ว่าไม่มีน่ะ แต่พอเวลาไปเห็น ตัวมัน ก็ว่ามันมีตัว มีตนมา มันขัดแย้ง เป็นวิบาก จะเป็นคลื่น ก็ไม่ใช่ จะเป็นตัวก็ไม่ใช่ เป็นวิบาก วิบากของกรรม มันไม่ใช่ตัวตน วิบากของการกระทำ วิบากของ บุญกุศล บาปหรือบุญ ไม่ใช่ตัวตน ของผี ไม่ใช่รูปร่างหน้าตา ฟังให้ออก มันเป็นวิบาก คุณเอาตัวผีอะไรมาเกิดน่ะ วิญญาณเป็นตัวตน เป็นตัวผี เหรอ ไม่ใช่ วิญญาณไม่ใช่ตัวผีตัวตนมาเกิด เวลาจะไปปฏิสนธิ มันก็เป็นวิบากไป ปฏิสนธิ วิบากก็จะมาต่อ ถ้าคุณเอง คุณเรียนรู้ดี คุณก็ก่อวิบากนี้ได้ เป็นวิบาก เป็นคุณธรรม เป็นคุณค่า ไม่ใช่ตัวตนนี่ วิบากกรรม เป็นกุศล กะเป็นอกุศล เป็นตัวคุณค่า เป็นตัวบุญตัวบาป เป็นตัวดี กับตัวไม่ดี เป็นความดีกับความไม่ดี ที่ติดตัวคุณ ไม่ใช่ เป็นตัววิบาก ที่มันจะดำเนินไปมาโคจรอยู่ สังสารวัฏอยู่ ยังหมุนเวียน อยู่นี่ เป็นวิบากหมุนเวียน มันไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา มันไม่ใช่แท่ง ใช่ก้อน ไม่มี ตายแล้ว ก็เหลือแต่วิบาก วิบากดีก็วิบากดี วิบากดียังไม่ปรากฏ ยังไม่ไปทำอะไร มันก็ไม่มี วิบากดีปรากฏ มันก็มาทยอยมาอยู่นี่ แม้แต่เกิดแล้ว มีวิบากต้นทาง มันก็เป็นฤทธิ์ เป็นแรงอยู่ที่เรา เสร็จแล้วเราก็ก่อวิบาก ก็มาเสริมหนุนกันไป และวิบากทั้งหมด ก็ไม่มาออกฤทธิ์ ทั้งหมดด้วย วิบากบุญก็ตาม วิบากบาปก็ตาม ไม่ได้มารวมกันอยู่ที่เราทั้งหมดด้วย มันก็เป็น จะเป็นคลื่น ก็ไม่ใช่คลื่น จะว่าเป็นเหมือนกับอาตมา พยายามขยาย สภาพของแสง ที่ไอสไตน์ กับโฟตอน ควอตัมที่บอกว่า แสงนี่มันเป็นคลื่น ก็ไม่ใช่คลื่น แสงนี่มันเป็นตัวก็ไม่ใช่ตัว แม้แต่เสียง อาตมาเคยอธิบาย ว่ามันไม่ใช่คลื่น แล้วมันก็ไม่ใช่ก้อนๆ แท่งๆ แต่มันก็เป็นแค่ พลังงานแค่นี้ แค่จิต วิญญาณเป็นพลังงานที่ละเอียด ยิ่งกว่านั้น ยาวไกล แล้วก็เป็นตัวที่วิตกวิจิตรยิ่งกว่านั้นอีก เพราะงั้น มันก็เป็นของมัน อยู่ที่เรายังไม่หมด ที่เรายังไม่ละสลายอัตตาอันนี้หมด มันก็จะยังมีภาวะเหมือน ยางเหนียว เรียกว่า ตัณหา ในขั้นวิภวตัณหา ก็ตาม มันก็จะยังยังรวมตัวอยู่ เรียกว่าอัตตา เป็นอัตตา ที่ไม่ใช่ตัวตน อย่างแท่งๆ ก้อนๆ อย่างอัตตาจะเป็นลอยล่องเป็นผีบูมๆ เป็นผีตัวๆ เป็นไม่ใช่ มันอธิบายยาก อย่างว่า วิญญาณัง อนิทัสสนัง อนันตัง สัพพโต ปภัง ยังอยู่ยืดยาวนานเน อนันตัง หมายความว่า นานเน ยังจะอยู่ยืดยาว จะยืนอยู่ตลอดนิรันดร์ อนันต์ก็คือ นิรันดร์นั่นแหละ วิญญาณ ก็มีอยู่ทั้งนั้นแหละ ตราบโลกเกิด โลกสลายอะไร มันก็ยังอยู่กับโลกนี่แหละ

ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านค้นพบว่า ของใครก็แล้วแต่ เราจะหนีจากวิบากนี้ เราก็เอาอัตตาของเรานี่ แม้ที่สุด คุณเป็นพระอรหันต์ที่มีอัตตา หรือว่า ยังพยายามที่จะไม่ยอมพราก คุณก็ต่อเป็นโพธิสัตว์ไป แต่ถ้าคุณไม่ต่อ เป็นโพธิสัตว์ อัตตานั้น คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่สลายยางเหนียว สลายตัณหา ทั้งหมด แม้แต่วิภวตัณหา คุณก็ไม่เอาแล้ว ไม่ยอมรวมตัว สลายได้ ถ้ารู้จักวิธีสลายตัณหา ส่วนตัณหาหยาบ ตัณหาตั้งแต่ กามตัณหา ภวตัณหา คุณเรียนรู้หมดแล้ว สลายมาตั้งแต่ไหนๆ ได้แล้ว คุณเหลือแต่ ตัณหาคุณค่า วิภวตัณหา ตัณหาที่จะเป็นประโยชน์ผู้อื่น ตัวเองไม่เป็นทาสแล้ว ไม่ติดไม่ยึด ที่จะมาเสพ มาบำเรอ ไม่เป็นตัวเสียหาย เป็นตัวคุณค่าประโยชน์ คุณจะยังสามารถ หรือว่า คุณจะยังเอา สิ่งนี้อยู่ คุณก็สามารถน่ะ คุณมีความสามารถ คุณจะเอา สิ่งนี้ไว้ ให้เป็นอัตตา คุณก็เป็น วิบากอัตตาอันนี้ไป มันเป็นอัตตา ตรงที่ว่า มันจะรวม หรือว่ามันจะสลายตัว แต่คน ไม่มีความรู้ ว่าจะรวม หรือจะสลาย มันก็มีเรื่องรวม เท่านั้นเอง สลายไม่ออก สลายตัณหาไม่ออก ผู้ใดมีวิชาสลายตัณหาได้ ก็สลายได้

ทีนี้สลายได้ แต่ว่าเรายังไม่ยอมสลาย เป็นวิภวตัณหา แล้วเรา ก็สลายตัณหาชั่วๆ ตัณหา กามตัณหา ภวตัณหา ที่มันเป็นตัวทุกข์ หยาบๆ เป็นตัวทุกข์เพื่อตัวเพื่อตน เราละมันได้หมดแล้วจริง แล้วเรา ก็เห็นจริงเลยว่า ไม่จำเป็นจะต้องมีในความเป็นมนุษย์ เพราะงั้น จะเกิด มาเป็นมนุษย์ที่เกิดมา ไม่ต้องมีกามตัณหา ไม่ต้องมีภวตัณหา มีแต่วิภวตัณหา จะสร้างคุณค่าประโยชน์ให้แก่มนุษยโลก สอนสิ่งที่ดี ถ่ายทอดสิ่งที่ดี ให้แก่มนุษยโลกอยู่ ก็ยังเป็นทุกข์น่ะ มีตัณหาอยู่ตราบใด ก็ยังมีทุกข์ อยู่ตราบนั้น มีอัตตาอยู่ตราบใด ก็ยังเป็นทุกข์อยู่ตราบนั้น แต่เป็นทุกข์แห่งคุณค่า เป็นทุกข์แห่ง อุดมการณ์ เป็นทุกข์ที่เป็นประโยชน์ ต่อมนุษย์ สัตวโลกอื่นๆ เรายินดีที่จะทนทุกข์อันนี้ พระโพธิสัตว์ ก็ทนทุกข์ อันนี้ไป เพื่อสร้างสรรสิ่งนี้เท่านั้นเอง จะสลายเมื่อไหร่ ก็สลายได้ คือ ท่านก็สลาย ก็เลิกตัณหานั้น

คำว่าตัณหา มันเป็นเหมือนยางเหนียว เหมือนสิ่งที่ยังดูด ยังไม่ปล่อย ตัวสภาพพวกนี้เท่านั้นเอง เพราะงั้น ถ้าเผื่อว่า เราเองเรียนรู้อย่างชัดแล้ว เราก็สบาย แล้วมันก็ไม่ใช่ตัวตน อย่างที่เราคิดเรานึก ว่าจะต้องเป็นรูป เป็นร่าง เป็นสิ่งที่อะไรต่ออะไรออกยังโน้นยังนี้ ถ้ามันมาได้ก็บอกแล้ว อธิบาย ให้ฟังแล้ว มากันหมดแหละ ยิ่งเป็นวิญญาณแบบอวิชชา เป็นวิญญาณผูกพยาบาทอาฆาต เป็นวิญญาณ ที่มีความรัก รักไม่อยากพรากจากกัน ยิ่งเป็นคู่รัก บอกโอ๋ย ฉันไม่อยากพรากจากเธอ รักฉันจะไม่พรากจากเธอแล้ว แล้วมันจะไปไหน มันก็มาๆอยู่ที่นี่แหละ คู่รัก หรือพ่อแม่ลูกรักกัน ไม่อยากพรากกัน ห่วงหาอาวรณ์กัน มันก็มาอยู่ด้วยกัน ตลอดกาลนาน มาปรากฏตัวได้อย่างที่ว่า ปรากฏตัวได้ มันก็มาปรากฏตัว เมื่อนั่นเมื่อนี่ จะปรากฏตัวเมื่อไร ก็ปรากฏตัว เหมือนอย่างกะลั่นทม วิญญาณลั่นทม เขาปรากฏ อย่างที่เขาเข้าใจ อย่างที่พวกเราก็เคยคิดว่า เป็นอย่างนั้นน่ะ มันก็อยาก จะปรากฏตัวเมื่อไหร่ ก็ปรากฏตัว คุณก็จะต้องเห็นว่า ต้องรู้ว่า โอ แม่เรายังอยู่นะ มาปรากฏตัว ให้ดูแล้ว แม่เราตายไปแล้วนะ ก็ยังมา พ่อเราตายไปแล้ว ก็ยังมา คู่รักเราตายไปแล้วก็ยังมานะ พอปรากฏตัวได้ ถึงเวลาจะปรากฏ ก็จะปรากฏตัว ให้เราดูเท่านั้นเอง ใช่ไหม

แต่นี่มันไม่จริง ถ้าจริงแล้ว ต้องมีส่วนมาก แต่บอกแล้วว่า มันมีส่วนน้อยน่ะ คือเรื่องอุปาทาน คือ เรื่องโง่ คนที่เห็นผี เห็นอะไรต่ออะไรนี่ โง่หนักที่สุดเลย โง่หนักจริงๆ เลย คนที่ได้เห็นผี หรือเห็น รูปร่าง เทวดา ตัวเองคิดว่า ฉันนี่แหละ มีความสามารถนะ เรียนวิชาพิเศษ เห็นเทวดา เห็นเป็นตัวตน เห็นเทวดา เห็นผี เห็นโน่น เห็นนี่ เอาความโง่มาหลอกคนโง่ เอาอุปาทานซึ่งไม่ได้ศึกษาสัจธรรม อย่างลึกซึ้ง แล้วเขาก็ทำ แล้วหลอกคนโง่ที่โง่ เชื่อได้ ขนาดสูงๆ ก็ยังโง่เลย เห็นรูป เห็นร่าง เห็นตัวตน เห็นอัตตาที่เป็นตัวตน เป็นอะไร ต่ออะไรขึ้นมา แหม อย่าว่าแต่วิญญาณเห็นผีเท่านั้น ก็ไม่ๆเก่ง เห็นเทวดาด้วยนะ เทวดาชั้นนั้นชั้นนี้ เขาก็ว่าเขาตาทิพย์นะ เห็นผียังงั้นน่ะ

ซึ่งจริงๆแล้วอาตมาก็สอนตาทิพย์แก่พวกเรานี่ เทวดาเป็นยังไง ก็สอน ให้พวกเราแล้ว คุณตาทิพย์ คุณเห็นเทวดาอย่างไรในตัวเรา วิญญาณในตัวเรา เทวดาคือจิตวิญญาณ ที่มันได้ล้างกิเลส ล้างความโง่ ล้างความชั่วออกไปได้ จิตวิญญาณสะอาดขึ้น เกิดเป็นเทวดา เกิดจริงนะ มันลดได้จริง ลดกิเลส โลภ โกรธ หลงลงไปจริง นั่นคือเทวดา แล้วมันเป็นตัว เป็นตนไหม

เอ้า... ทีนี้เอาผี จิตวิญญาณคุณนั่นแหละ อยู่ในตัวคุณนั่นแหละ เป็นผี ผี ตัวโกรธ อาการโกรธ เกิดเมื่อไร มันเป็นผีโขมด ผีโกรธ แล้วเป็นผีราคะ เกิดเมื่อไร กิเลสราคะกาม เกิดในตัวคุณ มันอยู่ ในตัวคุณนั่นแหละ วิญญาณอย่างนั้นน่ะ แล้วมันก็เป็นผีแท้ แล้วมันก็เป็นตัวเป็นตนไหม เป็นแท่ง เป็นก้อนไหม มันเป็นอาการให้เรา รู้เท่านั้น เป็นเครื่องหมาย ให้เรารู้ เท่านั้น มันไม่ได้เป็นตัวตน มันไม่ได้มีหัวมีหาง เมื่อไร เราเรียกมันเป็นผีน่ะ เราเรียกว่าเทวดาน่ะ มันมีหัวมีหาง มีใส่ชฎา ด้วยเหรอ เทวดานั่นใส่ชฎาด้วยเหรอ แล้วผีเห็นไหม ที่เขามาเขียนเป็น รูปนั่นน่ะ เขี้ยวยาว ตาโต ตาโปน ลิ้นยาวแม่นาคพระโขนงแขนยาว มันมีไหมเล่า ผียังงั้นน่ะ อาการเวลาโกรธ เวลาโลภน่ะ เวลาเป็นผี ก็จะเป็นลิ้นยาว เอาแขนยาวไปตีหัวเขา มันมีแขนไหมเล่า มันไม่มี มันเป็นอาการ นี่อาการโกรธ มันเป็นอาการอย่างนั้นน่ะ นั่นน่ะผีแท้ๆ คุณเห็นได้ด้วยตาทิพย์ นั่นคือสัจจะ ตรงที่สุด ถ้าไปเห็นเป็นตัวผีนางนาค แขนยาว ลิ้นยาวอะไรงี้ คุณบ้าปั้นรูปต่างหากเล่า มันจะโกรธ เอาแขน ไปตีเขา ตีได้ที่ไหนเล่า คุณก็ต้องเอาแขนตัวคุณนี่แหละ ไปตีเขา โกรธมันก็ต้อง แบกกระบอง แบกอะไรไปตีเขาต่างหากเล่า คุณจะยื่น แขนยาวๆนี่ คุณเป็นผีแล้วตอนที่คุณโกรธน่ะ แล้วทำอย่าง ผีแม่นาคซี คุณก็ทำแขนยาวๆ ไปตีหัวเขาได้หรือเปล่า โง่ตาย

เออ ในนี้ ใครเห็นแล้วมั่ง ผีอย่างที่ว่านี่ เป็นรูปร่างที่ว่ากลัวๆ นักน่ะ ใครเห็นมาแล้วยัง ใครเคยเห็น กี่คน จะได้รู้คนสุดโง่อยู่ตรงนี้บ้าง บอกแล้วว่า คนที่เห็นผีแบบนั้นน่ะ คนโง่ที่สุด หรือแม้แต่ตัวเอง อวดเก่ง ว่าตัวเองเห็นเทวดา เห็นผี ตามองเห็นเป็นก้อนๆ เป็นอัตตานี่แหละ พวกที่เรียน วิชาทาง ไสยศาสตร์ที่ทางไม่เข้าใจน่ะ พวกเดรัจฉานวิชานะ อาตมาเคยเล่นมา ไสยศาสตร์ แบบนั้นน่ะ แต่ก่อนนี้ มันก็ยังไม่ได้ฟื้นฟู ความรู้ตัวเองจริงๆ มันก็เคยไปหลง กะเขาบ้างว่า โอ้ ก็ดีเหมือนกันหนอ ก็เลยไปเรียนรู้ ไอ้ความรู้เดรัจฉานแบบนั้น ไสยศาสตร์แบบนั้นมา อาตมาถึงรู้สองด้าน รู้ทั้งวิชา ไสยศาสตร์ ว่านี่ โอ้ นี่ถ้าเผื่อว่า ลวงจิตน่ะ จิตลวงแล้วเป็นจริง จะเป็นทางวิทยาศาสตร์ สะกดจิต ก็ลวงได้จริง ทางไสยศาสตร์ ก็ลวงได้จริง โอ้ เห็นตัวยังงั้นยังงี้ เห็นได้จริงมา อ๊อ ถึงเข้าใจ แล้วมา ศึกษาทางสัจธรรม ได้ภูมิทางพุทธศาสนา ถึงได้เห็นจริงว่า อ๊อ เป็นสิ่งที่ลวง คือสิ่งอย่างนั้น สิ่งที่จริง คือสิ่งอย่างนี้ นี่นั่งอยู่นี่ ก็ดีแล้วละ ใครเคยเห็นมา ก็โง่ไปลวงตัวเอง แล้วอาตมา ก็เชื่อว่า นั่งอยู่นี่ ยังไม่เคยเห็นนี่ส่วนมาก

มีไหมเล่า มีจริงๆ ไหมเล่า ใครเคยเห็นแล้ว ขนลุก กลับบ้านเรียกว่า ผีหลอก ใช่ ตัวเองหลอกตัวเอง เออ ต่อให้ร้อยครั้งด้วย ถ้ามันยังมีอุปาทานอยู่ ยังงั้น มันก็ร้อยครั้ง มันก็อยู่ยังงั้นแหละ นั่นแหละคือ อุปาทานทั้งนั้นแหละ อุปาทาน ปั้นเองๆ เออ จะกลัวหรือไม่กลัว ก็ปั้นนั่นแหละ คือที่หลอก ที่ยังไม่วิชา ยังไม่เข้าใจ อย่างชัดแท้ ถ้าเข้าใจอย่างชัดแท้แล้วก็ไม่มี ไม่เป็น ที่มันเป็นก็เพราะว่า จิตมันหลอก จิตเราก็คิดว่า มันเป็น มันก็เป็นได้ บอกแล้ว อุปาทาน มันเป็นได้สารพัด กามก็คือ ความใคร่อยาก ความโง่ อวิชชา ก็จริงนะซี ก็มันมีทั้งกาม มีทั้งพยาบาทนั่นแหละ มีทั้งความโง่ อวิชชาทั้งนั้นแหละ มันก็จะมีอยู่ นั่นแหละ ก็พูดกำปั้นทุบดิน คนยังโง่อยู่ ยังอวิชชาอยู่ ยังมีกิเลสอยู่ มันก็มีทั้งนั้นแหละ มันก็เจอ มันไม่หยาบเท่าไร มันก็ยิ่งโง่ เท่านั้น ก็ยิ่งเจอง่ายเท่านั้นนา

ถ้ายังมีกามมาก พยาบาทมาก ก็ยิ่งโง่มาก ก็ยิ่งต้องเจอมาก ถ้าน้อยลงก็เห็นน้อยลง เพราะว่า มันฉลาด มากขึ้น วิชามันชัดขึ้น ความเห็นแจ้ง ความสัมมาทิฏฐิ ความรู้จริง มันสูงขึ้น มันก็ไม่มี สิ่งเหล่านี้มันก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ในความกลัวสิ่งที่มันไม่น่ากลัวน่ะ ถ้าใครกลัวผียังงี้น่ะ ที่เราเผานี่ ที่เราเผาน่ะ นา สองยามมืดๆ ต้องเดือนมืดด้วย เดินมามั่ง เดินมาดูซิ เดินมาจนมีเจอ ถ้าเจอ อาตมาเคยบอกแล้ว ถ้าเจอนะ โอ้โฮ รูปร่างอยู่งี้ ให้ตั้งใจไว้ แล้วก็ท่อง คาถา แค่ตายๆๆ เดินตรง เข้าไปหาเลย แล้วจะรู้ว่า อันนั้นนั่นเป็น ของหลอก พิสูจน์ซิ ต้องกล้าจริงๆ รับรอง ใจแข็ง เข้าไป พิสูจน์เลย แค่ตายๆๆ เข้าไปเจอเลย จะรู้ของจริงว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งลวง เป็นความไม่จริง บางที เป็นภาพ ในอากาศเฉยๆ แล้วก็หายไป บางทีนี่แค่ตอ แค่อะไร ก็ไม่รู้ว่ามันก็เป็นรูปเป็นร่าง เป็นอะไร ขึ้นมา หลอกสารพัด ลองพิสูจน์ดูเถอะ ถ้าคุณกล้าจริง ไม่เกินสามครั้ง หายปลิดทิ้งเลย มันไม่มีหรอก แกรกๆ กรากๆ อะไร ก็เข้าไปเลย แค่ตายๆๆ เข้าไปจริงๆนา

เหตุผลที่พูดให้ฟังแล้ว ก็ไปสร้างประสบการณ์เอง แล้วก็ไป ใครที่มี ปัญญาดี ฟังอาตมาอธิบายแค่นี้ ก็เห็นจริงแล้วมันก็หายกลัวๆได้ เลิกได้ แต่ถ้าใคร ไม่มีปัญญาดี ก็อาจยังกลัวอยู่ แต่ถ้าใคร ที่ยังมีปัญญาดีอยู่ ฟังแค่นี้เลิก ถ้าคุณยังไม่หายกลัว ก็ไปพิสูจน์อย่างที่อาตมาว่านะ ลองลุกมาดูซี มีที่ไหน อาตมาว่าที่เราทำนี่ เอาศพมาเผาที่ตรงนี้ แล้วก็อยู่กัน อย่างธรรมดานี่น่ะ มันทำให้หายกลัว ได้เยอะ เพราะว่า มันก็เรื่องธรรมดาธรรมชาติ เราจะเผาศพก็เผาไป วิญญงวิญญาณอะไร ต่างๆ นานาน่ะ มันไม่มีหรอก ที่จะมาหลอกมาหลอนอะไรพวกนั้นน่ะ มีแต่ตัวเราโง่เอง แล้วเราก็ไป หลอกตัวเอง ปั้นขึ้นมาเอง มีเองนา ก็ไม่ได้เรื่องได้ราว เองนะ

พวกเรานี่แหละ จะทำลายสิ่งเหล่านี้ ทำลายความหลอกหลอนอุปาทาน พวกนี้ต่อไปได้แน่ ในอนาคต เพราะว่าจะมีวัฒนธรรม จะเข้าใจ ศึกษาไปเรื่อยๆ เถอะ แล้วจะรู้ว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีหรอก ไอ้คนไทย นี่แหละ กลัวนัก ฝรั่งมันยังไม่ค่อยกลัวเลย ไม่มีกลัวผีคนตาย ฝรั่งนี่ไม่ค่อยมีหรอก มีแต่ คนไทยนี่แหละ ทำไมมันกลัว ทั้งเอเชียเลย พวกเล่นวิญญาณนี่ ไม่เข้าเรื่อง เอเชียเล่นได้ทั้งอินเดีย ก็ตาม จีนก็ตาม โอ๊ย มากมายก่ายกอง ยิ่งจีนนี่ วิญญาณไม่มีหายเลย วิญญาณนี่ เป็นตัว เป็นตน เป็นเรื่อง เป็นราวอะไรเยอะแยะ ทั้งจีนทั้งอินเดีย ไทยก็เอาด้วย ก็เลยเหมือนกันหมด ทางด้านสาย เอเชียนี่ เป็นวิญญาณ แบบนี้หมด ทั้งๆที่มีความรู้ ทางด้านวิญญาณแสนลึกซึ้ง แต่กลับ โง่ลึกลับ คือโง่ไม่เสร็จ

ก็เป็นเรื่องจิตวิญญาณของเราเอง เราก็ไปเป็นเอง แล้วก็ไปใช้วิธีนั้น วิธีนี้ มากระตุ้นตัวเอง ในลักษณะนั้น ลักษณะนี้ จะเป็นเรื่องวูบ เรื่องแวบ อะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นปั้นขึ้นมา เป็นลักษณะ ก็เป็นความคิดนึกของเรา เป็นจิตวิญญาณของเรา เป็นความรู้สึกของเรา เป็นความรู้ของเรา แล้วแต่ จะคิด จะนึกอะไรขึ้นมาเอง จะดลใจสังหรณ์ว่ามันมีอะไร ก็เป็นเรื่องจิตวิญญาณของเราเอง ทั้งนั้น ไม่มีอำนาจนอก อำนาจเนิก อะไรหรอก เราเองนะ มีไหวพริบก็ตาม มีความเฉลียวฉลาดก็ตาม มีการหยั่งรู้ได้ก็ตาม หรือว่าวูบวาบไปเอง ระแวงไปเอง อย่างโน้น ระแวงอย่างนี้ มีการไหวคิด ยังโน้น อย่างนี้ไปเองก็ตาม พวกนี้เป็นเรื่อง ของจิตของเราเอง ทั้งนั้นนะ

เอาล่ะค่อยศึกษาไปนา ค่อยศึกษาสิ่งเหล่านี้ไป ก็แวะเพื่อที่จะแก้ปัญหา เพื่อจะคลี่คลายอะไร ให้ฟังนะ ก็ด้วย ก็ความรู้พอนา ว่าวิญญาณอะไรน่ะ วิญญาณเจ้าหนี้มาทวงหนี้ ไม่มี ทางวิญญาณ เจ้าหนี้ กลับมาเกิด (เสียงพูด) อ๋อ อันนั้นมี เป็นวิบาก มีคนละอย่าง กะแบบนี้น่ะ เกิดมาเป็นเลย ก็ใช่ซี มาเกิดเป็นลูก เป็นหลาน มาเกิดเป็นคนเลยใช่ ก็เป็นตัวเป็นตนซี เกิดเป็นลูกเป็นหลาน แล้วมา ใช้หนี้กัน ใช้หนี้เวรหนี้กรรมอะไรกัน เป็นวิบาก ใช่ อันนั้นเป็นเรื่องระแวง เองน่ะ เป็นเรื่องเอง แต่จริงๆ วิบากของวิญญาณ สิ่งเหล่านี้ มันเป็น วิบากบาป วิบากบุญมาแก้แค้น มาอาฆาตกัน มารักกัน ไป มี เรื่องของสังสารวัฏ อะไรพวกนี้ มันมีได้จริง มันมีได้จริง แต่ว่าไม่ใช่ เป็นตัวตนหลอกๆ หลอนๆ กัน ก็มาเกิดเป็นคน แล้วก็มาแก้แค้น หรือว่าเป็นคู่อาฆาต ก็เป็นคน อีกคนหนึ่ง มันเป็นเรื่องอาศัยแบบ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วไม่ใช่วิญญาณปั้นตัวปั้นตนก็ (เสียงพูด แทรก) ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วมาเกิด เป็นตัวเป็นตน ก็เป็นไปจริงซี (มีเสียงพูด) นั่นบอกแล้วว่า ตัวเราหวาดไหวไปเอง แต่มันอาจจะตรง ก็ได้ เออ อาจจะตรงก็ได้ หวาดไหวไปเอง อาจจะตรงก็ได้ ไอ้เรื่องพวกนี้ ถึงบอกว่า เป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องกรรมวิบาก เป็นเรื่องอะไรพวกนี้ มันไม่ใช่เรื่อง ที่คิดได้ง่ายๆ

เพราะงั้น ใครจะพูดอะไรต่ออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราเข้าใจหลักๆ อย่างที่ว่า เมื่อกี้นี้ เราพูดในประเด็น ที่ว่า ไอ้วิญญาณนี่เป็นอัตตาตัวตน เข้ามาหลอกหลอน ไม่ใช่ไอ้เข้าที่ยังงี้มันไม่มี จับประเด็น ให้มันได้ซี ไอ้ยังงั้นน่ะ มันมีวิบาก ที่จะต้องเข้ามาปฏิสนธิ เข้ามาเป็นวิบากบาป วิบากบุญ วิบาก ที่จะเป็นเรื่องราว เรื่องโกรธ เรื่องรัก เป็นความผูกพัน พัวพัน เป็นเรื่องที่จะต้องมีอะไร แก่กันและกัน มีบุญร่วมกัน มีบาปร่วมกัน หรือว่ามีบาปแก้แค้นกัน มีบุญที่จะส่งเสริมกันอะไรพวกนี้

มันมียังงี้ คนมีบุญร่วมกัน อย่างพระอานนท์ทำบุญมากับพระพุทธเจ้า พระสารีบุตร ร่วมทำบุญ กันมา กับพระพุทธเจ้า ที่จะต้องมาส่งเสริมกัน มาช่วยเหลือกัน หรือมีวิบากจะต้อง มาแก้แค้นกัน อย่างพระเทวทัต จะเกิดมาแก้แค้นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เล่าอยู่แล้ว ไม่รู้กี่เรื่อง ต่อกี่เรื่อง นิยายของพระเทวทัตตั้งแต่ปุพเพ ตั้งแต่ชาติปางไหนๆๆ ไอ้ยังงั้น มันไม่มี แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็น วิญญาณมาหลอก ไม่ได้ มาอาศัยแท่งก้อนดิน น้ำ ไฟ ลม ยังงี้ แล้วก็มาเป็นยังงั้น มันไม่ใช่หรอก วิญญาณ มาหลอกหลอนยังงั้นไม่ใช่ ไอ้นี่มันวิบากกรรมเข้ามาแล้ว ก็มาเกิดเป็นบาป เป็นบุญ แก่กันและกัน

อย่า เรื่องฝันนี่ ขอให้ทิ้งให้หมด เรื่องฝันนี่ อย่าเอามาคิดเลย ใครไม่ฝันเลย วิเศษที่สุด อย่าเอาเรื่อง จากฝัน จะจริงหรือไม่จริง จะตรงหรือไม่ตรง อย่าไปเอานิยาย ขอยืนยันเรื่องฝันนี่ ใครจะฝันอะไรมา อย่าไปคิดจำ อย่าไปสัญญา กำหนดมั่นหมายกับฝัน มันจะฝันอะไร มันจะฝันยังไง อย่าไปรับรู้มัน พยายามเลิก พยายามลืม พยายามอย่าไปเกี่ยวไปข้อง จำไม่ได้เลย ไม่รู้เรื่องอะไรในฝันได้ดี ค่าออกมา ได้ถูกต้อง ได้บ้างบางครั้งบางคราว แต่ส่วนมาก เละๆๆๆ เพราะฉะนั้น เราอย่าไปเอา เรื่องอย่างนั้นมาเป็นสาระ ใครพยายามนอนหลับ ฝันก็ช่างหัวมัน อย่าไปจดไปจำ อย่าไปสัญญา มั่นหมายกะมัน ลืม ไม่ใช่ลืมหรอก อย่าไปรับรู้เรื่อง กะมัน มันจะฝันไม่ฝัน เหมือนกะเราไม่มี

แต่จิตวิญญาณของคน ที่ยังไม่หมดกิเลส มันจะมีบ้าง มีอาการวุ่น มีอาการเป็นภาพ เป็นเรื่อง เป็นโน่น เป็นนี่ เป็นอะไร แล้วอย่าไปเอาจริง เอาจังกะมัน อย่าไปให้มันเหมือนกับไม่มีเลยในโลก ทำอย่างนั้น คนจะสบาย อย่าไปจริงจังกะฝันเป็นอันขาด อย่าไปหาเรื่องกะฝัน เป็นอันขาด มีแต่พาทุกข์ ไม่ใช่พาดีเลยฝัน พาทุกข์เป็นส่วนใหญ่ เอาละ มันอาจ จะมีส่วนได้พาดี พาดีบ้าง แต่น้อย แต่ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะฉะนั้น วิธีการในเรื่องฝัน ขอให้ทุกคนหลับให้สนิท หลับ เปล่าๆไป อย่าไปคำนึง มันจะมีจิตที่มันยังฟุ้งซ่าน จิตมันยังปรุงสร้าง มีสังขารอยู่ มันจะมี แล้วเราปล่อย มันเลย ปล่อย อย่าให้มีสังขารได้ยิ่งดี ไม่ต้องปรุง ไม่ต้องไปอะไร มันเฉย ว่างๆ นอนก็หลับสนิท ไม่มีเรื่องอะไรเลย ตื่นขึ้นมา ก็ไม่มีเรื่องอะไร ถึงแม้มีเรื่อง ก็อย่าไปตามเรื่อง เรื่องนั่นเรื่องนี่ อุ๊ย เรื่องอยู่ในฝัน เอามาพูดมาจำ เอากำหนดมารู้ เอากำหนดมา เป็นเรื่อง เป็นราว ช่างมัน จำฝันอะไร ไม่ได้เลย หรือว่าไม่รู้เรื่องกับฝัน เลยได้ สบายใจที่สุด ดีที่สุด และฉลาดที่สุดด้วย คนที่โง่ก็ไป อู๊ย เราฝันอะไรวุ้ย จำไม่ได้ อู๊ย ฝันไปเป็นสุข เอาแต่แค่ในฝันก็เอา บ้าใหญ่ นั่นคือโง่

ฟังไว้นะวิธีการเรื่องฝัน บอกให้ เรื่องฝันนี่ อย่า เรื่องจริงมันอยู่ใน ตอนนอนหลับแล้ว มีเรื่องมีราว อะไรในใจ พยายามอย่าไปสัญญา กำหนดมั่นหมายกับมันเป็นอันขาด บอกแล้ว่า คนจิตยังไม่สงบ จิตยังมีสังขาร ยังมีอะไรต่ออะไรอยู่ มันก็จะมีการปรุงในใจแน่นอน แล้วส่วนมาก คนมีกิเลส ก็จะมี กิเลสฟุ่งซ่าน มีกิเลส อะไรต่างๆ นานา ความโลภ โกรธ หลง นั่นแหละ ไปปรุงวุ่นอยู่ในจิต ปั้นมาเป็นนั่นเป็นนี่ๆ ซึ่งอย่าไปเอาสาระกะมันๆ ปล่อยทิ้งเลยๆ จำฝันไม่ได้เหมือนกะเราไม่มี ความฝันสักครั้ง แต่มันจะมีเรื่องราวอย่างที่ว่า เพราะว่าคนมันมีเรื่อง มีราว อย่างนั้น แต่อย่าไปจำ ไปอะไรมา แล้วมันก็จะหายๆเลือนๆ แล้วมันจะไม่ไปเพ่ง ใครอย่าไปจริงไปจัง ปั้นเป็นเรื่องเป็นราว อยู่นั่นน่ะ ไม่เข้าเรื่องอะไร เคยมาตั้งไม่รู้เท่าไร นานับชาติคิดแบบนี้ เพราะงั้น ปล่อยทิ้งๆ เรื่องฝัน อย่าไปเอาธุระอะไรกะมัน เป็นอันขาด

อาตมาได้สาธยายอะไรต่ออะไรหลายๆอย่าง หลายๆเรื่อง หลายๆอัน ขึ้นมา ถึงแม้กระทั่ง อาหาร สปายะ แล้วเราก็ยังมีสปายะหนึ่ง ที่ยังไม่ได้พูด ก็คือ ธัมมะสปายะ สิ่งที่มีธรรมะเจริญ เพราะงั้น พวกเรานี่ สปายะทุกอย่าง มีสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่สถานที่ บุคคล อาหาร ธรรมะ แล้วเราก็มี สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ คือ สิ่งที่ทรงไว้ในตน ธรรมะคือการทรงไว้ เรามีการทรงไว้ในพฤติกรรม กายกรรมก็ขยันดี ขยันการงาน วจีกรรมก็ขยัน พูดในสิ่งที่ควรพูด ใช้วาจาใช้กาย กายกรรม กะวาจา เป็นตัวสร้างสรร เรามีธรรมะทรงไว้ซึ่งกายกรรม ทรงไว้ซึ่งวจีกรรม หรือ ทรงไว้ซึ่งตัวเรา ทั้งตัวนี่แหละ คน เป็นคนสะอาด ร่างกายก็สะอาด เสื้อผ้าหน้าแพรมี ยังไงเรียนรู้ แล้วเราก็ใส่เสื้อ ใส่ผ้า พอกันร้อน กันหนาว กันแมลงสัตว์กัดต่อย มีตัวทรงไว้ซึ่งพฤติกรรมกาย วาจา ใจ มีประโยชน์ คุณค่า ทรงไว้ซึ่ง จิตวิญญาณที่มีญาณ ปัญญารู้ดีรู้ชั่ว แล้วเราก็ละชั่ว ได้จริงๆ มีการทรงไว้ ซึ่งไม่มีพฤติกรรมชั่ว แม้อันใด ที่มันยังติดอยู่ เราก็พยายามละล้างเลิกเว้นขาด ถ้ามันชั่ว

อันใดดีพยายามมีให้ดีเกิดอยู่เสมอ กายกรรมที่ดี เกิดกุศลกรรมที่ดี เกิดวจีกรรมที่ดี ทำให้ยิ่ง กายกรรม ทรงไว้ ทรงไว้ซึ่งกายกรรมที่ดี วจีกรรมที่ดี ที่เจริญ ที่มีประโยชน์ เป็นประโยชน์ผู้อื่น อย่างแท้จริง มีปัญญา มีจิตวิญญาณที่กำหนดให้ตนเอง แล้วจิตวิญญาณมีกำลัง กำลังสามารถ ที่จะให้เกิดกายกรรมที่ดี ทรงไว้ซึ่งกายกรรม เพราะจิตวิญญาณ เป็นประธานในตัวเรา จิตวิญญาณ เป็นประธานในตัวเรา ให้เกิด เกิดบุญกิริยาวัตถุ มีทานมัย มีศีลมัย มีภาวนามัย มีอปจายนมัย มีเวยยาวัจมัย สูงขึ้นไป จนมี ปัตติทานมัย ปัตตานุโมทนามัย แล้วก็มีธัมมัสสวนมัย ธรรมเทศนามัย มีทิฏฐุชุกรรม มี บุญจริงๆ ทรงไว้ซึ่งบุญทุกอย่าง ประกอบไปด้วยทาน ประกอบไปด้วยศีล ประกอบ ไปด้วยภาวนา ประกอบไปด้วย อปจายนมัย คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ประกอบไปด้วย เวยยาวัจมัย คือความขวนขวาย ประกอบไปด้วย การทำให้เกิดทานที่ลึกซึ้งนะ ปัตติทานมัย เกิดการเกิดส่วนบุญ ขึ้นเรื่อยๆ เกิดส่วนบุญ มีแต่ส่วนบุญ ทำลายส่วนบาป ทำลายเปรต ทำลายความอยาก ที่เป็น ความอยาก ที่เลว เรียกว่าเปรต เปตานัง เปตานัง หรือเปรต ความอยากที่เลว เปตานัง นี่เป็น ความอยากที่เลว ถ้าอิจฉา เป็นความอยากกลางๆ ถ้าฉันทะ ก็เป็นความอยาก หรือความต้องการ หรือว่าความปรารถนาดี เขาใช้อะไรอีกบ้าง ภาษาบาลี เป็นความอยากเหมือนกัน แต่เป็น ความอยาก ที่สร้างสรร ไม่ใช่เพื่อกิเลสอย่างนั้น มีได้ แต่ความอยากที่เลว เรียกว่าเปรต เปตานัง เพราะฉะนั้น เราก็ทำให้เกิด ความเป็นบุญ เป็นส่วนแห่งบุญ ในจิตวิญญาณ จิตจะเป็นความอยาก ที่เลวเมื่อไหร่ แก้ไขกันได้เมื่อนั้น ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย เรียกว่า ปัตติทานมัยๆ เข้าถึงการเกิด ส่วนบุญ แบ่งส่วนบุญ ทำส่วนบุญให้เกิดขึ้นได้เรื่อยๆ วิเคราะห์วิจัยส่วนบุญ ส่วนใดที่จะเจริญ ส่วนใดที่จะเป็นตัว ที่เป็น ความอยากใคร่ที่เลวร้าย เป็นการบำเรอตน เรียกว่าเปรต อยากอะไรมา ให้แก่เรา จะเป็นความสุข สมใจ เรียกว่าเปรตทั้งนั้น

แต่เราจะต้องล้างกิเลส ที่จะอยากอะไร ให้มาสมใจ ออกหมด ถ้าเข้าใจ ความหมายของ เปตานัง หรือเปรตที่ร้ายกาจแล้ว แม้แต่หยาบ ไปจนกระทั่งเป็น พระอริยะระดับ อนาคามี อนาคามีก็ยังมี รูปราคะ เป็นเปรต อรูปราคะ เป็นเปรต มานะเป็นเปรต อุทธัจจะเป็นเปรต อวิชชาเป็นเปรต

มีสังโยชน์เบื้องสูงชั้นสูงนะ เพราะงั้นยังมีรูปราคะ ก็ต้องรู้ให้ได้ว่า มันอยากสมใจในราคะ ในระดับรูป เป็นภพ เป็นภวตัณหา เป็นรูปภพ ในความอยาก ในระดับอรูป อยากน้อยๆ เล็กๆ ลีๆลาๆ รอนๆ อะไร ต้องมีญาณทิพย์ มีตาทิพย์เห็นกิเลส เห็นผีเปรตพวกนี้ของเรา แล้วล้าง จึงเรียกว่า ปัตติทานมัย ละเอียดลึกซึ้งไปเพื่อที่จะทำลายสิ่งเหล่านี้ ไอ้เปรตร้ายพวกนี้ เป็นเปรตชั้นสูงแล้ว ปัตติทาน ทานหยาบๆ ต้นๆ ทานมัย ตื้นๆ แล้วเราก็ทำให้หมด แต่สละออก หรือทำออกในระดับสูง นี่ต้องชัดเจน เป็นปัตติทานมัยระดับลึก ละเอียด ที่เป็นส่วนบุญที่ลึกซึ้ง แบ่งส่วนบุญ ทำให้ส่วนบุญ เจริญได้จริง บุญก็คือการชำระ แบ่งส่วนบุญ ก็หมายความว่า แบ่งส่วนชำระ ชำระกิเลสร้ายๆ นี่คือ บุญ การชำระกิเลสร้ายๆ ร้ายน่ะลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า แบ่งส่วนบุญ ไม่ใช่ทำเป็นก้อนใหญ่ทันที ทั้งหมดได้ ดีซี ถ้าได้เลย ไม่ใช่แบ่งเลย ทำส่วนบุญได้เต็มก้อนเลย ก็ยิ่งดี

ในความหมายที่ลึกซึ้งนี่ พูดกันติดอยู่แค่แต่ภาษา ไม่รู้เรื่อง ต่อให้ถึง พระอนาคามี ก็ยังมีส่วนบาป ที่เป็นความอยากเพื่ออัตตา อัตภาพ เป็นมานะ สมใจกู กูใหญ่ กูชนะ กูถูกต้อง แล้วก็เบ่งอยู่ยังงั้นน่ะ ไม่ยอมอนุโลม ไม่ยอม เอาเถอะ ยอมเขาเถอะ เขาทำได้แค่นี้ก็ให้เขา เราไม่ต้องไปเอาชนะคะคาน เขาอยู่ ก็ทำไม่ได้ มีมานะ มีอัตตา ก็เป็นเปรต ในอัตตาชั้นสูงอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วว่า เอาละ สมควรอยู่กัน ด้วยสามัคคี แค่นี้ เขามีฐานแค่นี้ ก็ให้เขาดีแค่นี้ ก็แล้วกัน เราจะเอาดีกว่านี้ ให้เขา เราก็ต้องเคร่งให้เขาอยู่ รีดเขาอยู่ยังงั้น มันรีบไม่ได้ ก็จะต้องเข้าใจ ทุกอย่าง อย่างนี้ เป็นต้น ก็เรียกว่า มีมานะ ถือดี เอาเป็นเด่นไปข่มเขาก็ตาม เรียกว่าไม่ยอมให้เขาทำ ไม่ยอมอะไรๆ เราไม่ยอม วางใจ ยังไปเคืองไปถือสาเขาตลอดเวลา มันทำไม่ถูกนี่ มันทำไม่ดีอยู่นี่ เจ็บใจเราเองทั้งนั้น อัตตา เราเองทั้งนั้นน่ะ ไปติด มันทำไม่ถูก มันทำไม่ดี แล้วเราก็เคืองขัด อัดใจ ของตัวเองโง่ตาย เออ เขาทำได้แค่นี้ ก็ต้องเห็นใจเขา เกื้อกูลเขา เราจะทำยังไง เราจะศึกษาว่ายังไง มันจะสูงขึ้นมากว่านี้ เขาได้แค่นี้ ก็แค่นี้ก่อน ก็ขัดเกลาไว้ เออ ยิ่งพอขัดเกลาอยู่ เราก็โล่งใจ วางใจ ไม่มีอึดอัดขัดเคือง ไม่มีมานะ รู้เขารู้เราอย่างดี เข้าใจเขา เราจึงจะทำกับเขาได้ ยังงี้เป็นต้น เรื่องพวกนี้ ลึกซึ้ง ยิ่งมานะชั้นสูงแล้ว ยิ่งจะเป็นประโยชน์คุณค่า ไม่ใช่มานะเพื่อที่จะให้มันเป็นทุกข์ แต่มานะเหล่านี้ จะไม่ทุกข์ และมานะเหล่านี้ นอกจากจะไม่ทุกข์แล้ว จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ของผู้อื่นด้วย ประโยชน์กับตนด้วยก็คือ ตนไม่ทุกข์นั่นแหละ ประโยชน์ตนก็คือ ตนไม่ทุกข์ นั่นเป็นประโยชน์แท้ ยังงี้ เป็นต้น

เราจะเรียนรู้ปัตติทานมัยพวกนี้ แล้วเราก็จะรู้ว่าเราทำได้ เมื่อทำได้ก็เป็น ปัตตานุโมทนามัย ยินดีกับตน ยินดีกับส่วนบุญที่ได้ทำนั้น ยินดีกับส่วนบุญที่ได้ นั่นปัตตานุโมทนามัย ก็จะเข้าถึง สภาพที่จริงพวกนี้ ขึ้นไปสูง แล้วเราก็มาเทศนา มีธัมมัสสวนมัย เรามาฟังธรรม แม้แต่เราฟังธรรม ก็รู้เรื่อง พอคุณเจริญขึ้น ฟังธรรมอาตมา ก็รู้เรื่องมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เรียกว่าเรามีความเจริญ ธัมมัสสวนมัย ฟังธรรมทุกวัน ฟังธรรมก็รู้เรื่องขึ้น เจริญขึ้น ไม่ใช่ฟังธรรมไป ก็ยิ่งเซ็ง ยิ่งฟังก็ยิ่งเบื่อ ไม่อยากฟัง มาก็มางั้นแหละ อึดอัด ขัดเคือง สักวันหนึ่งเดี๋ยวก็ไม่มาแล้ว ทำวัตรไม่มีประโยชน์ คุณค่า อย่าไปดูถูกการฟังธรรม แม้ใครจะพูดยังไง เละๆ เทะๆ ยังไง ก็พยายามมองในจุดดีให้ได้ เออ ที่เรามองดีได้ก็คือว่า เออคนนี้นี่ เทศน์ไม่ดีเลยนะ นี่ก็คือดี แล้วเราก็ไม่ขัดเคืองในใจ แต่ถ้าเรา มองว่า ไอ้คนนี้เทศน์ไม่ดีเลยโว้ย อู๊ย เกลียดจัง เบื่อจัง ชังจัง นั่นคือเราโง่แสนโง่ แต่ถ้าเราบอกว่า เออ คนนี้เทศน์ไม่ได้ความเลย ทำไมเทศน์ ไม่เป็นภาษาเลย แล้วเราก็มีใจเห็นว่า น่าสงสารหนอ น่าเห็นใจหนอ เขาพยายามอยู่นี่นะ เห็นว่า เขาพยายามจะเทศน์ให้ดี แต่เขาเทศน์ ไม่ได้ท่าเลย เออ... น่าสงสาร นั่นคือ ใจเรามีเมตตา นั่นคือใจเราเห็นใจผู้อื่น ใจบุญ ใจกุศล

ถ้ายิ่งไปเห็นเขาเทศน์ ไม่ได้เรื่อง ก็บอกโอย ลงมาเถอะ ไอ้บ้า ไม่ได้เรื่อง นี่เราโง่ เราเลว เราชั่ว แล้วใจเรา ก็หดเหี่ยว ห่อเหี่ยว เกลียดชัง แล้วมันดีไหมเล่า มันก็ไม่ดี เราก็ทุกข์ แต่ถ้าเรา มีเมตตา เกื้อกูลเห็นใจ เออ เขาก็พยายาม นั่นเขามาทำ เขาก็พยายามแล้ว หรือแม้ไม่พยายาม ก็ตาม บางคนมาเทศน์ อย่างเสียไม่ได้ มาบรรยายอย่างเสียไม่ได้ ทำไปอย่างซังกะตาย ทำไป บอก เออ นี่เขาคงถูกบังคับ น่าเห็นใจหนอ เขาไม่เต็มใจเลย เพราะหน้าที่ หรือเปล่านะนี่ โอ ไม่ได้อยาก เทศน์เลย เทศน์ดูเหมือนมันจะเทศน์ ก็ไม่เข้าท่าอะไร น่าเห็นใจเขา เขาไม่เต็มใจนะ ใจก็เป็นใจดี ที่บอกว่า เอ้อ ไปดูถูกเขา ไปข่มเขา อะไรใจเราก็ชั่ว เพราะงั้น เราทำใจ ในใจไม่เป็น นี่ตกต่ำทุกที ถ้าเราทำใจในใจเป็น เราจะเจริญทุกเมื่อ เพราะฉะนั้น จะฟังเทศน์ฟังธรรม ฟังใครทำอะไร ดูเขาทำอะไร เออ คนนี้เขาทำสิ่งนี้ไม่ดี เขาไม่เข้าใจ นะ เขาไปทำสิ่งไม่ดี ช่วยเขาได้ไหมล่ะ ช่วยเขาได้ก็ช่วย หรือแม้แต่เทศน์นี่แหละ เราก็ช่วยไม่ได้นะ คนที่ขึ้นมาเทศน์ เราก็ต้องนั่งฟัง เราช่วยเขาเทศน์ ไม่ได้หรอก เราก็นั่งฟัง เราก็มองสัจจะ ให้ลึกซึ้งไปให้ชัด ถึงความจริง แล้วเราก็ ทำใจถึงความจริง เบิกบานร่าเริง ฟังคนเทศน์ไม่เป็นภาษา ก็เบิกบาน ดีไม่ดี ฟังคนเทศน์ เทศน์ด่าเราด้วย ก็เบิกบานได้ บอก เออ เขาด่าเรา ยิ่งเขาด่าเราถูกต้องด้วยนะ โอย ขอบคุณเลย เจ้าประคุณ เราไม่เห็น เราไม่รู้ เขามาเปิดดวงตาเราแท้ๆ ยิ่งดีใหญ่เลย

หรือเขาด่าเราผิดก็ตาม ด่าใหญ่ ด่าสาดเสียเทเสีย มาเทศน์ ก็มาด่าเราแท้ๆเลย ด่าสาดเสียเทเสีย ด่าผิดด้วย โอ้ ... คนเทศน์นี้ เขาด่าเรา เขาก็อยากบอกเรานะ เขาก็อยากให้เรารู้ความจริงว่า สิ่งที่ไม่ดี เป็นยังงี้ ๆ แต่เขาเข้าใจไม่พอ เขายังโง่อยู่ เขายังไม่รู้ข้อมูล เขายังไม่รู้สิ่งจริงๆอยู่ เออ มันน่า จะไปเรียนข้อมูล น่าจะรู้ น่าสงสาร เขาทำก็ไม่ถูกต้องทำก็ไม่ดี ทั้งๆที่เขาด่าเรา รู้ว่าความชั่วของเรา เป็นยังงั้นยังงี้ แต่เขารู้ความชั่ว ของเราผิดๆ เอาความชั่วของเราผิดๆ มาพูด มาบอก มันก็ไม่ค่อย ถูกต้อง เออ แสดงว่าเขายังไม่ฉลาด ก็น่าสงสารนะ ยังไม่ฉลาดนี่ อยากจะเป็นผู้ฉลาด อุตส่าห์มาด่า คนอื่นให้ อุตส่าห์มาชี้ผิดคนอื่นให้ แต่ตัวเอง ก็ไม่รู้ข้อผิดที่จริง มาขายขี้เท่อ เออ น่าสงสารนะ เราจะทำยังไงละ ให้เขารู้ข้อมูลนั้นได้ ให้รู้ข้อผิดที่จริง หรือข้อถูกที่จริง ให้แก่เขาได้ เขาจะได้ไม่ด่าผิด ด่าถูก ขายขี้เท่อ จะช่วยเหลือเขาได้ยังไง ก็ช่วย

เหมือนอย่างอาตมา ก็พยายามช่วยคนเขาด่าอาตมาผิดๆอยู่บ้าง ซึ่งเราก็ ไปบอกตรงไม่ได้ ช่วยเขา ตรงไม่ได้ ก็ช่วยทางอ้อมอะไรงี้ เป็นต้น แล้วเราก็ ไม่ต้องหม่นหมองอะไรนี่ ใจเราไม่ต้องทุกข์ ต้องหม่นหมองอะไร เรามีวิบาก เรามีชีวิตที่เราจะต้องอยู่ อยู่กะคน ในหมู่แวดวงเรานี่ จะมีคนเก่ง เก่งมาก เก่งน้อย เก่งรอง ช่วยเราได้มาก ช่วยเราได้น้อย ช่วยเราได้รอง คนนี้เราศรัทธา คนนี้เราไม่ศรัทธา

จงทำใจให้มีศรัทธา จงมีใจให้มีการอย่าปฏิเสธ อย่าผลักกัน อย่าโกรธกัน อย่าชังกัน เออ คนนี้ ถึงแม้ว่าเราไม่ศรัทธา แบบที่เรียกว่า บูชา เคารพเลื่อมใส เราก็เออ คนนี้ ก็ทำสิ่งนี้ เราก็ศึกษาเขา อย่าชังกัน อย่าผลักกัน เมื่อเราต้องอยู่ด้วยกัน หรือแม้เขาไม่อยู่กะเรา ก็ช่างเถอะ เขาอยู่ที่อื่น ก็อย่า ไปชังเขา เขาไปถึงไหนๆ แล้วยังตามไปชังเขา บ้าเหรอ (หัวเราะ) อุตส่าห์ โอย บ้าโง่ตายเลย เขาไปไหนๆ ไม่ได้เจอหน้าเจอตา กันเลย ยังตามไปชังเขา เขาไปอยู่ไหน ตายไปแล้ว บางคนน่ะ ยังตามไปชังเขาอีก โอ้โฮ ทำไมถึงมีผูกพยาบาท อาฆาตขนาดนั้น โง่ตายเลย มีตัวกิเลสพยาบาท ถึงขนาดนั้น อย่า เพราะฉะนั้น ไอ้ที่ไม่อยู่ด้วยกันนี่แล้ว เออ ก็ปล่อยเขาไปเถอะ เราก็ไม่ต้องไปคิด อาฆาตมาดร้าย อยู่ๆก็ยังคิดจะแก้จะแค้นเขาอยู่น่ะ โง่ตาย อยู่ดัวยกันนี่แหละ แม้จะชังกัน เราก็อย่าชังเลย อยู่ด้วยกันให้ได้ด้วยดี เขาไม่ดีอะไร เขามาทำอะไรให้เราเจ็บเราปวด เขาไม่เอา กระบอง ตีกบาลเรา ก็ไม่เจ็บอะไรนี่ มาทำยังงี้ให้เราเจ็บใจหนา คุณโง่เอง คุณเจ็บใจ ใครเจ็บใจตัวเอง โง่ทุกคน ใจเราใครไปทำอะไร ได้กะใจเรา ทำไม่ได้ ล้วงไม่ถึงใจเราหรอก ใจใครใจมัน ไม่มีใครสามารถ ล้วงถึงใจใครได้หรอก นี่มันมาทำให้เจ็บ คุณตั้งข้อเอง คุณหาเรื่อง ให้แก่ตัวเอง เขามาทำยังโง้นยังงี้ ถ้าเราไม่ไปติดใจแล้ว เขาจะทำยังไง ให้เขาบ้าทำซี เขาแกล้ง ประชด ยังโง้นยังงี้ เอ็งทำเลย ไม่เมื่อย เอ็งทำเลย เออ เอ็งประชดเก่งนะ เก่งน่ะ แต่ยังไม่เก่ง ทำให้ข้าเจ็บได้ ข้าก็ไม่เจ็บหรอก เอ็งจะประชด เอ็งจะแดกดัน เอ็งจะแกล้งทำยังโน้นยังงี้ เออ เอ็งบ้าไปเลย เขาบ้าของเขาคนเดียว เราโง่เท่านั้น ที่ไปรับมา ไอ้นี่มันประชดกู ก็ถูกตัวกูซี เพราะเอากูไปรับเข้าให้ ตัวกูก็เลยเจ็บ ตัวกูก็เลยปวด ทั้งๆที่ใจมันไม่มีตัว ไม่มีตน อะไรงี้เป็นต้น

นี่แหละคนโง่ ยังโง่ เขามาแกล้ง เขายังโน้นยังงี้ บอกแล้วว่า เขาไม่ได้เอา กระบองมาตีกบาล เขาไม่ได้เอามีดมาเสียบหน้าอกเมื่อไร มันจะได้ไป เจ็บเลือดไหล ติดสรีระร่างกาย มันเรื่องของใจ ใครจะมาทำอะไรเราได้ ถ้าใจเราฉลาดแล้ว ใจเราโง่เท่านั้นแหละ ถ้าไปถือสา เห็นเขาทำยังโน้น อย่างนี้ แหม ไม่ถูกใจเรา ก็ใจเราไปยึดเองว่าไม่ถูก เขาจะทำ อย่างไม่ถูกใจเรา ทำอย่างที่เราบอกว่า เอ้า ทำยังงี้ดีนะ เขาไม่ทำงี้ เขาไม่ทำตามที่เราบอก เขาไม่ทำตามที่เราเห็นหรอกว่า ทำยังงี้ดี เขาก็ไปทำ อย่างที่ชั่ว เราก็ แหม ไอ้นี่ดูซี มันไม่ทำตามกูเลย มันก็คือ ไม่สมใจเรา เขาก็แกล้งประชด บิดเบือนอะไรไป ไอ้วิธีนี้ เด็กๆ มันชอบแกล้งผู้ใหญ่ เอ้า ผู้ใหญ่ให้ทำงี้ มันก็แกล้ง มันจะประชด มันจะให้ มันก็แกล้ง นี่เป็นแบบง่ายๆ มันก็แกล้งทำตรงข้าม เสร็จแล้วก็ แหม ไอ้นี่มันไม่ทำ ตามที่กูบอก คืออัตตามานะของเรา ถือดี มันไม่ทำตาม ไอ้เด็กคนนี้ นี่ ไม่ทำตามใจกู เจ็บใจ โกรธ นั่นเราเองทั้งนั้น ไปยึดติด เราทั้งนั้นน่ะ ไม่มีคนอื่นหรอก ก็มันไม่ทำ มันก็โง่ของมัน ก็เราแนะด้วย เจตนาว่าทำงี้ซิดี แต่ไอ้คนนั้น มันแกล้ง มันไปทำ ตรงกันข้าม มันก็เลว ถ้าเรามีหน้าที่จะต้องบอก ต้องสอน คุณก็ต้องหาวิธี ทำยังไงให้เขามารับฟัง ให้เขามาเชื่อถือ ถ้าคุณทำไม่ได้ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ ที่จะไปสอนเขา ไปแนะนำ คุณก็ต้องปล่อยเขา เขาจะทำ ให้มันตรงข้ามกับใจคุณชอบ เขาจะแกล้งคุณ เขาจะพยาบาทคุณ คุณก็หัดวางใจคุณว่า เออ เขาทำงี้ เพื่อให้เราติดอัตตา เพื่อให้เรามีอัตตา เพื่อให้เรามีมานะ เพื่อให้เราถือดี แล้วเราจะได้เจ็บใจ ถ้าคุณเอง คุณมีมานะ คุณก็เจ็บ เขาทำเมื่อไร คุณก็เห็นเขาก็ โอ๋ย เจ็บใจ ไอ้นี่มัน แกล้งกู ทำอะไรมันก็ไม่ได้ มันทำกู กูก็เจ็บ กูก็ปวด อวิชชาตาย โง่ตายอยู่ตรงนั้น คุณเจ็บตลอดนานับกัปกาล เจ็บอยู่ตรงนั้นแหละ

นี่แหละ คือความโง่ของคน มันจะไปเจ็บ มันจะไปปวดอะไรเลย ใครจะทำ ใครจะแหกปากแหกคอ หลอก แลบลิ้นปลิ้นตา ทำยังไง มันเรื่องของเขา ถ้าเขาทำแล้ว สื่อสิ่งที่ชัดเจน เขาทำยังงี้ออกมาแล้ว เราก็รับรู้ได้ว่า ยังงี้น่ะ มันเป็นจริง เราเป็นจริง รับรู้ได้ว่า อ๋อ ไอ้นี่เป็นความไม่ถูกต้อง เป็นความไม่ดี เขาสื่อ เขาบอก เขาด่าเรา อย่างนี้เป็นต้น เขาว่าอะไรล่ะ ยกง่ายๆ เขาว่าอ้ายโง่ เราก็อธิบาย ความโง่ซิ โง่เพราะอะไร โง่เพราะไปดันหลงไอ้นั่นไอ้นี่อยู่ได้ เออ แล้วเราหลงจริงหรือเปล่า ไปดันหลง ไอ้นั่น ไปดันกลัวผีอยู่ได้ แล้วเรากลัว จริงหรือเปล่า เออ ใช่ ไอ้นั่นมันไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอก อธิบายด้วย โอ๊ย ขอบคุณ เขาว่าไอ้นี่โง่ ไปกลัวไอ้นั่นอยู่ได้ ไปหลงรัก ไอ้นี่อยู่ได้ เขาว่าน่ะ เออ จริงๆ แล้วนะเราไปหลงรักอยู่ทำไมล่ะ หลงรักนี่ มันทุกข์ๆนะ มันเลวนะ เลิกรัก เขาบอกงี้ ขอบคุณเขา เขาด่าเราถูกแล้ว เดี๋ยวนี้ น่ะ ด่ากัน บอกกัน เท่าไรๆ ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไปหลง บางคนไปหลง ผู้หญิง ที่แสนชั่วน่ะ ก็ยังหลงอยู่ เขาเตือนสติเท่าไหร่ ก็ไม่รู้จักตื่นยังงี้ เป็นต้น หรือ ไปหลงผู้ชายที่แสนชั่ว หลงอยู่นั่นแหละ เลิกมันเสียทีซี ไปหลงรักกันอยู่ทำไม นี่มันชั่วจะตายเลย เหล้าก็กินไม่รู้จักหยุด เงินก็ใช้เปลือง เล่นการพะนงพนัน ไปหลงมันอยู่ทำไม หนี เลิก เขาบอก อย่างนี้ เราตื่น เราก็เลิกมา เขาด่าเรา ไอ้โง่ อีโง่ ไปรักมันอยู่ทำไม มันกินแต่เหล้า มันตีมึง มันผลาญพร่า เล่นการพนัน ไปหลงรักมัน อยู่ทำไม มันชั่วจะตาย เขาบอกให้ตื่น แหม ฉันรักเธอ ถึงเธอจะกินเหล้า ฉันก็รักเธอ มันโง่ตายเลย นี่เขาด่าเรา แล้วมันก็ถูก จริงไหม เออ จริงนะ เขาด่าอย่างนี้ถูกนะ เราก็เลิกทีซิ ตื่นซะทีซิ แต่ไม่ตื่น

นี่ ยกตัวอย่างหยาบๆ หรือแม้จะสูงกว่านี้ ละเอียดกว่านี้ มีความชั่วที่สูง ละเอียดกว่านี้ เขาบอกมา ก็เราพยายามทำความเข้าใจให้ได้ เขาบอกเรานี่ เขาด่าเรา เขาให้เหตุผล บอกข้อมูลด้วย ยังงี้ดี เขาด่าสาดเสียสาดเท ด่าไม่รู้เรื่องเลย ไม่มีข้อมูล อะไรเลยเฉยๆ ยังงั้น เราก็อย่าไปถือสาเขา ไอ้คนนี้ มันชอบด่า มันคงมันหัวใจ ที่ได้ด่า ปล่อยเขาซี เขาจะฝึกปรือ วิธีด่าโดยไม่มีเหตุผล ไม่มีข้อมูลอะไร เอาแต่ข้อด่ามา ด่าปากท่าเตียน ด่าไม่มีอะไรเลย เอาแต่ คำหยาบๆ มาด่าเฉยๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ไม่มีเรื่องจริงอะไรเลย ก็ปล่อยเขา อีลูกช่างด่า ก็ปล่อยให้เขาด่าไป มันจะด่าโดยเขา อยากด่าเฉยๆ มันเป็นความหยาบของเขา มันเป็นความเลวของเขาเอง เราก็จะไปถือสาเขาทำไม มันความเลว ของเขา แล้วเราก็ไม่ต้อง ไปเอามาใส่ใจ ถ้าเอามาใส่ใจ เราก็เจ็บก็ปวด เราก็รำคาญ ถ้าเราปล่อยซะ รู้ความจริงซะ เออเขาเป็นคนด่า ด่าไม่มีเหตุไม่มีผล ด่าไม่ใช่ด่าอย่างผู้ฉลาด ด่าอย่างคนโง่ ด่าเพื่อ สะใจเขาเอง ด่าอย่าง คนไม่มีความรู้ ถ้าคนที่ด่า ให้เหตุผล อย่างที่อาตมายกตัวอย่าง มีความรู้ ก็รับเอาความรู้นั้นมาแก้ไข คนที่บอกความจริงให้ฟัง แก่เรา ถ้าด่าไม่มีความรู้เลย ไม่มีเหตุผล ไม่มีข้อวิจัยอะไรเลย เลิกไปเลย

อย่างเราติเตียน เราด่า จะเรียกว่าด่าก็ตาม จะเรียกว่าติเตียนก็ตาม อย่างขณะนี้ คนมาว่าเราว่า เราผิด เราเสีย เราเลว เราทำชั่ว เราจะมา ทำลายศาสนา เรามาเข้าใจธรรมวินัยผิด ธรรมวินัยวิปริต แล้วเราก็แก้ไข เราก็ให้เหตุผล ว่าเราไม่ผิดนะ เราถูกยังโน้นยังงี้ เราก็บอกว่า ท่านน่ะซีเข้าใจเราไม่ได้ จุดบอดของท่าน จุดบกพร่องของท่าน ท่านเข้าใจผิดตรงนั้น เข้าใจผิดตรงนี้ เหมือนกับ ด่ากันไป ด่ากันมา ก็เหมือนกับชี้จุดผิด ชี้จุดบกพร่องกันและกัน มันเป็นการศึกษา เพราะฉะนั้น เราบอกเขาอยู่ ทุกวันนี้ หรือเขาบอกเรา อยู่ทุกวันนี้ มีเหตุผลมา นั่นๆ เราก็บอกว่า เออ เหตุผลของคุณผิดพลาด เหตุผลของเราถูกต้อง นี่อย่างผู้ดีๆ อย่างทุกวันนี้ อย่างอาตมากับ สายที่เขาว่าอาตมา แต่อาตมา ไม่ว่าเอง พวกเราว่าบ้าง อาตมาก็เห็นว่า เออ อันนี้คนนี้ว่าขนาดนี้ก็คงพอ ไม่ถึงขนาดอาตมาต้อง ไปด่ากะเขา หรืออาตมา ก็ต้องไปว่ากะเขา ไปเถียงกะเขา ให้พวกเรานี่แค่เถียง กันกะเขา พอแล้ว อาตมาก็ให้เขาทำ อาตมาไม่ไปว่ากะเขานา วิเคราะห์ให้พวกคุณฟังเท่านั้น ข้างนอกไม่ต้อง ให้ไปถึงหูเขา ไม่ต้องถึงขนาด อาตมาจะต้องไปต่อตี ต่อรัน โต้ปากโต้คำกะเขา อาตมาว่า อาตมา ไม่ต้องถึงขนาด จะต้องไปโต้เขาหรอก ไม่ต้องไปว่าเขา ไม่ต้องไปอะไรเขา พูดให้คุณฟังเท่านั้น อาตมาก็ว่ามาก แล้วนา เพราะฉะนั้น คนพวกเรานี่ จะไปว่าเขา จะไปชี้แจงเขา ตามภูมิปัญญา ของพวกเรา ให้เขาได้รับ ก็เหมือนการด่า ก็เหมือน การว่ากัน เหมือนการติเตียนกัน เหมือนการชี้ ความผิดความถูก กันและกันอย่างผู้ดี ถ้าอย่างปากตลาด ก็ด่ากันแรงๆ เลย แล้วก็เอาคำหยาบ มาผสมผเสด้วย อย่างพวกเรา ไม่เอาคำหยาบ แต่เอาคำ ที่มันจะสื่อความชัดขึ้นไปเท่านั้นเอง ละเอียดยังไง มีเหตุผลยังไง มีหลักฐานยังไง ก็ว่ากันไป เขาก็หาว่าถูกด่า ถูกว่า ถูกติเตียน ก็เท่านั้นเอง

นี่คือเรื่องของมนุษยโลก ที่จะต้องรู้จักความจริงว่า เขาด่า หรือเขาว่า หรือเขาติเตียน มันคืออะไร เขาชม เขายกย่องมันคืออะไร เขากล่าวยังงั้น ยังงี้คืออะไร เราก็พยายามเรียนรู้ นี่แหละ ทรงไว้ ซึ่งปัญญา ทรงไว้ซึ่งความรู้ ทรงไว้ซึ่งการแก้ไขปรับปรุงกาย วาจา ใจ ให้มันเจริญ ให้เป็นสปายะ มีธัมมสปายะ ศึกษาอยู่ทุกวัน สอนกัน แล้วก็พยายามอบรม กาย วาจา ใจ อบรมกาย วาจา ใจทุกวัน นี่เราก็มีบุญอย่างนี้ เจริญอยู่อย่างนี้ คิดว่าพวกเรา ก็คงจะได้ศึกษา ฝึกฝน มีบุญ ตั้งแต่อาตมาขึ้นต้น ตั้งแต่ตอนเทศน์แล้ว พวกเรานี่ เป็นคนมีบุญ เป็นคนที่ได้มีสิ่งที่ดี เจริญงอกงาม ได้อบรมฝึกฝน สั่งสมสร้างสิ่งที่ดีขึ้นไป มีชีวิตก็พยายามพัฒนาไป ตายขึ้นมา คุณมาเจอยังงี้อีก มีบุญอีก ดีกว่า คนตายไปแล้ว ก็ไปเกิด ทีนี้ วิบากไปเกิดที่ไหนรู้ ไปตกที่ไหนๆ พาเขาไป พาคุณไป ไปเที่ยวได้ ล่าลาภ ยศ สรรเสริญ ถูกดึงถูกจูงไป ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีแรงอะไร ก็ตามวิบากของใครของมัน แม้เราจะมีวิบาก ที่จะมารวมยังงี้ได้ ก็เพราะว่า เราเองได้สร้างสม วิบากบุญที่มันเข้ากันได้ น้ำเข้ากับน้ำ น้ำมัน ก็เข้ากับน้ำมัน

มีคนถามอาตมาเหมือนกัน ว่า ทำยังไง เกิดชาติหน้า จะได้มาเกิดพบกับอาตมาไหม จะได้มา ปฏิบัติธรรม ด้วยไหม คุณก็พยายามศึกษาทิศทางนี้ แนวทางนี้ ก่อกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อย่างที่อาตมาพูดนี่แหละ ให้มันเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กายกรรม ก็เป็นอย่างนี้ ด้วยกัน มโนกรรม ก็เป็นอย่างนี้ด้วยกัน ความเข้าใจทิฏฐิความเห็น เป็นอย่างนี้ด้วยกัน มีทิฏฐิสามัญญตา มีศีลสามัญญตา สอดคล้องกันมาก อย่างน้อย เห็นตรงกันอย่างนี้ มันก็มาเกิด ร่วมกันเอง มันเป็นน้ำก็ไปหาน้ำ น้ำมันก็ไปหาน้ำมัน แต่ถ้าอะไรมันแย้งๆ มากๆนะ มันไม่รวม กันหรอก ก็อาตมาเป็นน้ำ คุณเป็นน้ำมัน ก็ต้องไปอีกพวกหนึ่งซี แต่ถ้ามันเป็น น้ำมัน เหมือนกัน มีทิฏฐิสามัญญตา มีความเห็นด้วยกันตรงกัน การประพฤติมาทางนี้ด้วยกัน ตรงกันมา มากเท่าไร อย่างน้อย มีความเห็นตรงกันมากๆ มันก็มาเกิดร่วมกันได้ เหมือนกับน้ำ ต้องไหลเข้ารวมไปหา รวมกันกับน้ำ น้ำมันก็รวมไปหาน้ำมัน น้ำกับน้ำมัน เจอกัน ก็หาทางแยกกันแล้ว มันไม่มารวมกัน หรอก ก็เท่านั้นเอง นี่คือสัจจะนะ เพราะฉะนั้น อย่าไปถามเลย ถามแล้วไม่ปฏิบัติ ถามแล้วไม่ทำ แม้แต่ความเห็นก็ไม่ทำ แย้งขัดอยู่ยังงั้นน่ะ แล้วมันจะไปรวมกันตรงไหน ไม่มารวมหรอก

ถ้ามันไม่แย้ง มันเห็น ไม่ใช่มาบังคับนา ให้เห็นตามอาตมานะ แต่ต้องวิเคราะห์วิจัยหาเหตุ จุดสำคัญ ให้เป็นทิฏฐิความเห็น อ๋อ มันจริงนะ ที่อาตมาพูดนี่ ถูกทางจริงๆ ถ้าไม่ถูก ก็วิเคราะห์ ก็แย้งอาตมาได้ ว่ามันไม่ถูก นะ ที่อาตมาเห็นอย่างนี้ ไม่ถูกนะ อย่างคุณถูก อาตมาก็จะได้พิสูจน์ ได้ศึกษาด้วย อ้อ อาตมาผิด จริงๆ นะ คุณถูก ก็จะได้เอาถูกนี่รวมกับถูก ที่เรามีอยู่ทั้งหมดนะ อาตมาผิดจริงๆ อาตมา ก็จะได้แก้ แต่ถ้าเผื่อว่าแย้งแล้ว อาตมาก็ยังถูก คุณผิด เอามารวมกัน เอาถูกมารวมกัน ไอ้ผิด คุณก็ทิ้งไป ถ้าอาตมาถูก ถ้าคุณถูก เราก็เอาถูกนั้นมา อาตมา ก็เอาผิดนี่ทิ้ง แล้วก็มารวมถูก ไว้ด้วยกัน ไปเรื่อยๆ มันก็จะรวม จะถูกไว้ด้วยกัน เป็นทิศเดียวกันทั้งหมด

เอาละ สำหรับวันนี้ เทศน์มาถึงเกือบหกโมงแล้ว พอ...


ถอดโดย จอม ศรีสวัสดิ์
ตรวจทาน ๑. โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๖ ต.ค.๓๔
พิมพ์ โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ๑๘ ต.ค.๒๕๓๔

ไม่เห็นผี ไม่มีอริยะ / FILE:1884B.TAP