ตอบแหลก...แจกทรัพย์แท้ (ตอน ๑)
โดยพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๓๔
เนื่องในงานปลุกเสกฯสมณะแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๑๕
ณ พุทธสถานศรีษอโศก จังหวัดศรีสะเกษ

ตอนนี้เริ่มต้น วันนี้เป็นรายการ เป็นปรกติที่เรามีรายการปลุกเสกฯ หรือว่ารายการพุทธาภิเษกฯ เราก็จะมีภาคหนึ่ง ซึ่งอาตมาเห็นอานิสงส์ เพราะว่าเหมือนกับพวกที่มาร่วมรายการนี่มีส่วนได้ ร่วมกับงาน ไม่ใช่เราอัดลูกเดียว ถ้าไม่อย่างนั้นก็ เกจิอาจารย์ มาอัดลูกเดียว เราก็นั่งรับไป ตั้งแต่ต้น จนจบ เราไม่มีส่วนที่จะบอกว่า ฉันอยากรู้อันนี้ ฉันอยากรู้ อันนี้ บอกเรื่องอย่างนี้กับฉันบ้างซิ ไม่มีสิทธิ์เลยตลอดงาน อย่างนี้มันไม่ดี เราก็ จึงมีอันนี้ขึ้นมา เสมอ ทุกครั้ง ประมาณสองวัน สุดท้าย นี่ จะมีตอบปัญหา แล้วจะมีบอกว่า ตอบไอ้จุดนี้บ้าง จุดนั้นจุดนี้ของใครก็แล้วแต่ ออกมาแล้ว ก็ได้บอก ได้ตอบกันบ้าง มันจะดูหลากหลาย หรือมันอาจจะตรงกับหลายๆคน ปัญหาของคนเดียว ออกมานี่ มันอาจจะตรงกับ อีกหลายๆคน คล้ายๆกัน เหมือนๆกันก็ได้ มันจะมีประโยชน์มาก ในการตอบปัญหานี่ มันมีส่วนร่วม มันมีอะไรดังกล่าวแล้ว ปัญหาก็มีมาเยอะแยะ อาตมาก็ตอบ ปัญหา ไม่ค่อยเก่ง ตรงที่ว่า ไม่ค่อยเก่งก็เพราะว่า มันตอบ มันไม่กระทัดรัด มันไม่ ดู ได้เวลาดี มันจะยืดยาด มันจะวน มันมีเรื่องอยากจะอธิบายอยู่เรื่อย ไปๆมาๆก็ยาว ดีไม่ดี เล่านิทาน ประกอบ ไปตอบ ปัญหาบางเรื่อง อย่างนี้เป็นต้น มันก็ยาว มันมักจะเป็นอย่างนั้น แต่มันก็พอ ตอบๆไปแล้ว มันก็รู้สึกว่า เอ๊ะ! มันน่าจะขยายนี่นะ เล่าเรื่องอันนี้ประกอบ นิดหน่อย มันจะดีขึ้น ชัดขึ้นอะไร มันก็เป็นอย่างนั้น เรื่อยไป เอ้า! ก็พยายามนะ ให้มันได้มากๆปัญหาบ้าง เอ้า! เริ่มต้นเลย ตอบแหลก ...แจกทรัพย์แท้

ถาม : ความเชื่อเรื่องผี [พ่อท่าน : อื่อ! ขึ้นมาเรื่องผีก่อนเลยตอนนี้ (คนฟังหัวเราะ)] ฟังพ่อท่าน ก็เข้าใจว่าไม่มี (พ่อท่าน : แน้ะ) พอมีคนที่เคยมี ประสบการณ์เจอกับตนเอง เรื่องวิญญาณ (ผี) พูดด้วยความเชื่อมั่นว่าเจอกับตนเอง จริงๆ ไม่ใช่เจอเพียงคนเดียว เจอและเห็นพร้อมกันหลายคน คือเขาเล่าว่า เขากับญาติพี่น้องในบ้านนี่ เห็นญาติคนหนึ่ง ที่เพิ่งเสียชีวิตกลับมาเยี่ยมบ้าน เห็น พร้อมกันหลายคนด้วย เลยไม่รู้ว่า จะอธิบายปรากฏการณ์นี้อย่างไร ทำให้ตัวเองก็ วนเหมือนกัน ว่าวิญญาณ แบบเจตภูติมีจริง พ่อท่านช่วยเปิดโลกสว่าง คลี่คลาย อวิชชานี้ด้วย

พ่อท่าน : แหม! เรื่องนี้นี่ก็เคยอธิบายแล้วนะที่จริง ก็คงจะต้องตอบคำถาม เรื่องนี้อยู่อีกเหมือนกัน เพราะว่ายืนยันว่าเขาเจอจริงๆ แล้วอาตมาก็เชื่อว่าคุณ เจอจริงๆ คุณเห็นจริงๆ คุณเห็นสิ่งที่เป็น อุปาทานของคุณ แล้วบอกว่า มันไม่ใช่คนเดียว นะ หลายๆคน แหม! ไอ้เรื่องวิญญาณนี่นะ มันไม่มี ปัญหาหรอก คุณเคยอุปาทาน คุณเคยเชื่อว่าอย่างนี้จะมี และความเชื่อแต่ว่า วิญญาณตายไปแล้ว จะมาหานี่นะ ยิ่งญาติเราตายคนหนึ่ง โอ๊ย! เดี๋ยววิญญาณจะมาหา พอว่าตายนี่นะ และหลายๆคน ที่ในบ้านเรียกว่า แหม เดี๋ยวคืนนี้จะเจอรึเปล่า จะมาหา มันตรงกัน เกือบทั้งนั้นแหละ มันเป็นเรื่อง ธรรมดา ๆ แล้วอุปาทานนี่ มันจะตรงกัน เสร็จแล้ว อุปาทานพวกนี้ จะปรากฏ มันเป็นเรื่องธรรมดา อาตมาจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง แล้วคุณจะเข้าใจทันที มีนักเล่นกล นักเล่นกลคนนี้ เก่ง นี่เป็น เรื่องจริงนะ นักเล่นกลนี่ เป็นนักเล่นกลจริงๆ แต่ว่ากลน่ะ มันไม่จริงหรอก แต่เป็นนักเล่นกล จริงๆ เขามาแสดงที่เมืองไทยนี่แหละ ไม่ได้ไปแสดงที่อื่นหรอก เปิดการแสดงที่โรงหนัง พอเขาออกมาถึง พับ พอออกมาถึง เขาก็เอาเลย เอา! สวัสดีทุกๆท่าน เอ้า! ทุกคนยกนาฬิกาขึ้นดู เขาบอก ขณะนี้ เวลา... อาตมาจำไม่ได้แล้ว ตอนนั้น มันเวลาอะไร เขาก็บอกเวลาเขาไปเวลาหนึ่ง ถ้านาฬิกาใคร ไม่ตรง โปรดดู วันนี้ ขณะนี้ เวลาเท่านั้น ทุกคนคิดว่า นาฬิกาทุกคนคงจะตรงดีทุกคน เวลาเท่านั้น เขาบอกเท่านั้นทุ่ม เสร็จแล้วเขาก็ เอ้า! ตกลง ปรากฏว่าเวลานั้น ไม่ใช่เวลาเท่าที่เขาบอกหรอก เป็นเวลาอื่น ไม่ใช่เวลาขณะนั้น เวลาที่ผิดจาก ที่ความเป็นจริง แต่ทุกคนเห็นเป็นเวลา ตามที่เขา บอกหมดเลย ตรงกันหมดเลย นั่งอยู่ในโรง ไม่มีใครบอกว่าเวลาผิดซักคนเดียว แต่เขามีภาษา โวหารที่พูดดีกว่านี้ พูดดีกว่า ที่อาตมาพูด เป็นการพูดหว่านล้อม แล้วก็ให้คนคล้อยตามพับ แล้วก็บอกเวลาเท่านี้ ๆ ก็เป็นเรื่อง สะกดจิต หรือเป็นเรื่องที่พวกนักแสดงนี่ เขาจะใช้จิตวิทยาพวกนี้นี่ ทำมาเสมอ เพราะฉะนั้น เรื่องสะกดจิตก็ดี มันก็เป็นเรื่อง ทำให้จิตของคน เห็นอะไรไปตามอุปาทาน

ซึ่งอาตมาเคยเล่าว่า อาตมาเคยเล่น สะกดจิต เราเห็นในเรื่องรูปก็ได้ อันนี้เป็นเรื่องเห็นรูปก็เอา เห็นรูปก็แล้วกัน สะกดจิต ลงไป แล้วที่นี้ก็สั่งให้คุณเห็นรูป คุณก็จะเห็นรูปตามที่สั่ง ให้เห็นเสือ ทั้งๆที่ไม่มีเสือ วิ่งหนีเสือ ต้องตามจับกัน ไม่เห็นอะไรเลย ทั้งๆที่มีอะไรเต็มโต๊ะ ให้เห็นก็ได้ ไม่เห็น ก็ได้ ให้เห็นตามที่สั่งก็ได้ เพราะฉะนั้น ไอ้เรื่องจิตนี่ มันถึงเห็นอะไรได้ เห็นจริงๆ อุปาทาน เห็นได้ จริงๆ อาตมาไม่ได้สงสัยนะ ว่าเห็นพร้อมกันด้วย ก็อุปาทานเหมือนกัน เรื่องเดียวกัน คล้ายกัน มันก็เห็น เหมือนกันหมดนั่นแหละ เป็นพันๆคน เป็นหมื่นๆคน ก็เห็นเหมือนกันได้ ไม่ใช่เรื่อง แปลกเลย ว่าเห็น เหมือนกันแล้วว่า ตัวเองเป็นคนเดียว ไม่ใช่เรื่องอุปาทาน นี่เป็นได้พร้อมกัน ถ้ามีแนวความคิด หรือแนวโน้มเหมือนกัน ก็เหมือนกัน บอก ไม่ได้นัดแนะกันเลย ไม่ได้เป็นอะไร เลยก็ได้ ก็ได้ ในความรู้สึก ที่มันไปตรงกันได้ ถ้ายิ่งเรื่องที่มันคล้ายกันอย่างที่ว่านี่ ตาย บ้านนี้ คนนี้ตาย อูย! ต่างคนต่างนึก มันมาแหงเลยนี่ มันก็มาพร้อมกันได้ (พ่อท่านหัวเราะ) เห็นด้วยกันได้ และเห็นอะไร อะไรอันหนึ่งก็ได้ อันเดียวกันด้วย เห็นแมวเดินยุ่มๆนั่นก็เหมือนกับ คนเดินมาเลย อ้าว! ผีมาแล้ว คือเห็นอะไรก็แล้วแต่ อย่างนี้เป็นต้น อะไรสักจุดหนึ่งก็ได้ เพราะฉะนั้น เรื่องเหล่านี้นี่ เป็นเรื่องที่จิต เขาสร้างเป็นหนังนะ เขาถ่ายเป็นหนังมา เคยมีหนังนี่ แหม! ทำเป็นผง เป็นอะไร โรยให้เดินย่ำ เดินอะไร เป็นอะไรต่ออะไรต่างๆ นานาสารพัด อีกมากมาย จิตนี่เป็นอะไร ได้หมด

อย่าว่าแต่แค่ เห็น สัมผัส แตะต้อง เหมือนจริงเลย เป็นรูปคน เคยได้ยินมั้ยว่า เขามีนางตานี เป็นเมีย มีตัวตนเลยนะ อยู่กันอย่างสมสู่ เป็นเมีย เป็นอะไร คนอื่นไม่เห็นด้วยหรอก บ้าอยู่คนเดียว อาตมา เคยรักษา คนที่มีโรคจิตพวกนี้ แต่ก่อนนี้ ตั้งแต่เล่นไสยศาสตร์ เขาบอกว่า แฟนเขาเป็น พระพรหม พรหมขี้หมาอะไร พระพรหมไม่มีเมียไม่มีลูก พระพรหม มันฐานสูงกว่ากามแล้ว มาเป็นพระพรหม แล้วเขาก็ยังมาที่สันติอโศก มาแกบอกจำหนูได้มั้ย อาตมาบอก โถ! ตั้งแต่สมัยที่ รักษาเขาน่ะ เขายังอายุสิบหก สิบเจ็ด เรียนชั้นมัธยม จนกระทั่ง ต้องออกจากโรงเรียน เพราะว่า ไปมีแฟน เป็นพระพรหม แล้วก็ไม่เป็นอันกินอันนอน ไม่เป็นอันเรียนหนังสือ หนุงหนิงๆ กันอยู่ เขาก็บอกว่าบ้า พ่อแม่ต้องเอาออก อาย พ่อแม่ก็อาย ลูกเป็นอย่างนั้น ก็เอาออกจากโรงเรียนไป ต้องมารักษากัน เขามา ต้องเล่น อาตมาต้อง แหม ต้องเหยียบอกพระพรหมกัน เล่นต้องขับพระพรหมกัน ออกจากร่าง ออกจากอะไรของเขา อู๊! ทำไปตามภาษา สมัยโน้นน่ะ เป็นไสยศาสตร์ เป็นประเภท อย่างนี้น่ะ ทางจิตนี่ ตอนนั้น อาตมาไม่รู้หรอก ก็เล่นไสยศาสตร์ไป หาย นี่มาที่ สันติอโศก วันนั้น เขาบอกจำหนูได้มั้ย เขาก็ท้าวความว่า เขาเป็นอย่างนี้ แล้วเคยรักษาหนู อย่างนั้น อย่างนี้ บอกก็ตั้งแต่ปางโน้นมาถึงวันนี้ มันปาเข้าไปตั้งเกือบ ๓๐ ปีแล้ว อายุ ๔๐ กว่าแล้ว ใครจะไปจำได้ (พ่อท่านหัวเราะ) ตอนโน้น มันเด็ก ยังไม่ถึง ๒๐ เดี๋ยวนี้มัน ๔๐ กว่า คิดดูซิหน้าตา มันเปลี่ยนไป ขนาดไหนละ

ไอ้เรื่องพวกนี้ อุปาทานอย่างนี้ละ มันมีได้ เพราะฉะนั้น เรื่องผี หรือ วิญญาณนี่ ถ้าจะไปเห็น เป็นตัวตน เป็นรูปร่าง เป็นอะไร ต่ออะไร ต่างๆนานา มันไม่มี มันไม่มีหรอก แหม ไอ้ตัวนี้มันน่า จะคิดได้ง่ายๆนะ วิญญาณมันเป็นตัวตนได้อย่างไร มันเป็นรูปร่าง เนื้อตัว เป็นรูป เป็นสีอะไร ได้อย่างไร มันไม่ใช่ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส อะไรหรอก วิญญาณ มันธาตุรู้ ธาตุรู้จะไป เป็นสี เป็นกลิ่น เป็นรูป เป็นร่างอะไร ได้อย่างไร ไอ้นี่สรีระ มันมีรูปร่างซิ มันมีดิน น้ำ ไฟ ลม มันมี แท่งก้อน วิญญาณมันไปมีอะไร ได้อย่างไร แค่นี้มันน่าจะเข้าใจตั้ง นาน ๆๆๆ แล้วนะ ทำไม ยังไม่เข้าใจกัน ยังไปหลงอยู่นั่น เอ๊! เมื่อไหร่ จะหายสงสัย เมื่อไหร่จะหายไม่เชื่อ เชื่อจริงเห็นจริงซะที คือปัญญา เข้าใจเห็นจริงนี่ มันก็หมดเรื่องแล้ว มันยังไม่เข้าใจ เห็นจริงถึง นี่แหละ คือว่าศรัทธา มันยังไม่ถึงขั้น เชื่อมั่น ปัญญามันยังไม่รู้แจ้ง แทงทะลุ มันก็เป็นปัญญารู้ ในระดับหนึ่ง

คนฟัง : ฟังไม่ชัด

พ่อท่าน : นาน นาน เฮ่อ ใช่ ถูกครอบงำความคิดนี้มานาน แล้วมันก็ ปัญญาของเรา ยังไม่แหลม ลึกพอ จนกระทั่งจะล้างตัวจิตที่เชื่ออันนี้ จิตมันก็ยังไม่มี มันยังมี อำนาจความกลัว มีอำนาจ ความไม่กระจ่างอะไรพวกนี้ ไอ้เรื่อง เหล่านี้มันไม่หาย เอ้า! ค่อยๆปฏิบัติไป จนกว่ามันจะหาย เอ้า! อันที่สองนี้ต่อผีอีก

ถาม : อยากถามท่านว่าถ้าเจอผีจริงๆแล้วท่านจะทำอย่างไรคะ (คนฟังหัวเราะ) เพราะจะได้จำไว้ เป็นประสบการณ์ค่ะ

พ่อท่าน : อ๋อ! เล่าให้ฟังนี่เป็นประสบการณ์เหรอ คำตอบไม่ใช่ประสบการณ์ สักหน่อย (พ่อท่าน หัวเราะ) เป็นแต่เพียงรู้ด้วยเหตุผล ด้วยภาษาที่บอกให้ทราบ เท่านั้นเอง ไม่ใช่ประสบการณ์ ถ้าเจอผี จริงๆ แล้วจะทำอย่างไรคะ ถ้าอาตมาเจอผีจริงๆ ก็ฆ่าผี ให้ตายเลย ถ้าเจอผีจริงๆ แต่ถ้าผีหลอกๆ อาตมาก็ต้องรู้ว่าอาตมากำลังโง่ กำลังเจอ ผีหลอก (คนฟังหัวเราะ) คืออย่างเมื่อกี้ ที่ถามน่ะแหละ เห็นผีมา คนวิญญาณตายแล้ว ก็มาหลอกปรากฏตัวตน นั่นผีหลอก อาตมามีปัญญา และรู้ ความจริง แล้วก็รู้ว่า อ้อ! ตัวเรานี้โง่ถึงขนาด เห็นผีหลอกได้ อาตมาไม่เห็นแล้ว ผีหลอก (พ่อท่าน หัวเราะ) เพราะว่าไอ้ที่เห็นผีหลอกอยู่ คือคนยังโง่อยู่ คนหายโง่แล้ว มันไม่เห็นหรอก ผีหลอก (คนฟังหัวเราะ) คนที่เห็น ผีหลอกนี่ คนยังโง่อยู่ ยังอวิชชาอยู่ ยังไม่กระจ่าง ยังไม่รู้แจ้งแทงทะลุ ดังที่กล่าวมาแล้ว มันก็จะเห็นผีหลอก ผีจริงคือกิเลส นั่งอยู่สลอนนี่ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ยังมีพวกผีทั้งหลาย (คนฟังหัวเราะ) นี่ผีทั้งหลาย ผีอยู่ที่วิญญาณ อยู่ที่จิตวิญญาณ ผีไม่อยู่ที่อื่นนะ ผีนี่อยู่ที่จิตวิญญาณ คืออวิชชา ทั้งหมดน่ะ คือผี ความโลภคือผี ความโกรธคือผี ความหลง คือผี หรือจิตวิญญาณที่มีกิเลส ลักษณะ อกุศล ทั้งหลายแหล่คือผี ถ้าเจอทำอย่างไรถามอาตมา ก็ฆ่ามัน ให้ตายเลย ให้ตายสนิทเลย จะทำอย่างไร นี่คือคำตอบ เอา ฟังไว้เป็นประสบการณ์ (พ่อท่าน หัวเราะ) ที่จริงคำตอบไม่ใช่ประสบการณ์นะ คุณเข้าใจให้ดี แล้วก็ไปพยายามมี ประสบการณ์ ของคุณว่า เจอผีแล้วต้องฆ่ามันนะ ในตัวคุณ นั่นแหละผี ไปฆ่าของคนอื่นเขา ฆ่าไม่ได้หรอก ไปเอาผีของคนอื่นมาฆ่าได้ก็สวยเลย ถ้าทำได้ แหม เอาผีของคนนี้มา เอามาฆ่าให้ดีเลย อาตมา ฆ่าได้ จับ เรียกมาฆ่าเรียงแถวเลย ฆ่าวันละ ๕๐๐ ตัว ๑,๐๐๐ ตัว ๑๐,๐๐๐ ตัวนะ มีเวลา มีแรงเท่าไหร่ ฆ่าให้เกลี้ยงไปเลย จะได้สบาย เอ้า! ต่อ

ถาม : พ่อท่านปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง จริงมั้ยครับ

พ่อท่าน : ฟังไม่ชัด (คนฟังหัวเราะ) ฟังไม่ชัด ใช่ยังไม่เปลี่ยนแปลงนะ ปรารถนาเป็น พระพุทธเจ้า จะบำเพ็ญปฏิบัติประพฤติ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ยังไม่เปลี่ยนแปลงนะ

ถาม : ผมขออนุโมทนาให้พ่อท่านพยายามอย่างนั้น เพื่อโปรดสัตว์ ผมจะชื่นชมยินดี อย่างยิ่งครับ

พ่อท่าน : แค่นี้เองน่ะหรือ ถาม (คนฟังหัวเราะ) เอ้า ก็เอาแค่นี้ ไม่ต้องพูด ต่อ

ถาม : ๒.ผมและทุกๆคนถ้าตั้งจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วจะต้อง บำเพ็ญเพียร ๔ อสงไขย แสนกัปป์ สำหรับผู้มีปัญญา ผมอยากทราบว่า ต้องใช้เวลาแน่นอน เท่านั้นเท่านี้จริงมั้ยครับ หรือว่า แล้วแต่การ บำเพ็ญบารมี จนถึงที่สุด จึงได้ตรัสรู้ ซึ่งประมาณเวลา แน่นอนไม่ได้ แต่อยู่ที่บารมีว่า เมื่อไหร่จะถึง อย่างนั้น ใช่มั้ยครับ

พ่อท่าน : เอ้อ! อย่างที่คุณเข้าใจตอนหลังนี่ถูก คือการประเมินค่า หรือ ประมาณว่า ๔ แสนอสงไขย กัปป์อะไรพวกนี้ หรือว่า ที่จริงอาตมา ไม่เคยได้ยินว่ามี บำเพ็ญ จะบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้านี้ ใช้เวลา แค่ ๔ แสนอสงไขยกัปป์น่ะ นี่บอกว่า สายปัญญา หรือ สำหรับผู้มีปัญญา สายปัญญานี่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ายี่สิบแสนอสงไขยกัปป์ เหอ! (พ่อท่านถามคนฟัง) ส่วนสายศรัทธานั้นสี่สิบ สองคูณ สายปัญญา ยี่สิบแสนอสงไขยกัปป์นะ ศรัทธานั้นสี่สิบแสนอสงไขยกัปป์ พวกวิตกจริต แปดสิบแสนอสงไขยกัปป์ นี่เป็นอัตราประมาณ ประมาณน่ะ อย่างที่คุณถามมานี่ ถูกแล้ว โดยความจริง แล้วก็คือ มันไม่ใช่ตัวเลข เป๊ะ ๆ อย่างนั้นหรอก ก็คุณ ต้องแล้วแต่ความเพียรด้วย แล้วแต่ความอุตสาหะของแต่ละบุคคล แต่อยู่ในเกณฑ์ อย่างนี้แหละ นี่มันเป็นความหมายนะ

คนฟัง : วิริยาธิกะ

พ่อท่าน : เออ วิริยาธิกะ นั่นแหละ วิริยาธิกะ นี่พวกสายวิตักกะ วิริยาธิกะนี่ คือมีความเพียร แต่ว่าไม่แน่นอน ประเดี๋ยวก็ปัญญา ประเดี๋ยวก็ศรัทธา ประเดี๋ยวก็ปัญญา เดี๋ยวกลับไปศรัทธา เดี๋ยวกลับไปปัญญา เดี๋ยวกลับไปศรัทธา ไม่แน่ไม่นอน พวกสายนี้ แต่เพียรนะ มันยังไม่แน่นอนนี่ อาตมาเคยบอกนะว่า คนเรานี่อย่างไรๆ อย่าให้มันเหลาะแหละโลเลอะไรเลย โน่นดี จะทำอะไรนี่ให้ มันแน่นอน ให้มันมีความมั่นคง ให้มีความเอาจริงเอาจังบ้าง ประเดี๋ยวกลับไป กลับมา ประเดี๋ยว กลับไปกลับมา เช่นเราจะไปอเมริกา เราบอก เอ๊! จะไปทางนี้ดี หรือ จะไปทางนี้ดีว้า เราไปทางนี้เหอะ ไป ว้า ไม่ดี (ฟังไม่ชัด) กลับ เอ้า! ไปทางนี้เหอะ ไปทางนี้ แม๊! ไม่ดี กลับไปทางนี้เหอะ โอ้โฮ แทนที่ คุณจะใช้เวลานะ สมมุติว่า ไปทางนี้เถอะ แม้มันจะมากกว่ากันสองเท่า คุณดิ่งไปเลย พับ คุณจะถึง แต่กลับไปกลับมานะ ยิ่งเหลาะแหละๆ อย่างที่ว่านี่นะ บางทีเดิน มันควรจะถึง ไปตั้งห้าสิบวัน แล้วค่อยไปถึงอเมริกาอย่างนี้เป็นต้น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ นี่ก็ขอยกตัวอย่างให้ฟัง

ถาม : ๓.บางครั้งพ่อท่านทำเสียงดุผมหรือคนอื่น บางครั้งผมตกใจ นึกว่าผมทำอะไรผิด การที่พ่อท่าน แสดงออกเช่นนั้น พ่อท่านมีจุดประสงค์อะไรครับ จึงช่วยให้ความกระจ่างกับผมด้วย

พ่อท่าน : ไม่รู้ว่าไปดุคุณเมื่อไหร่ คุณนี่ก็เป็นใครก็ไม่รู้ บางครั้งพ่อท่านทำ เสียงดุผมหรือคนอื่น คงหมายเอาว่าตอนที่ดุน่ะ จะดุใครก็แล้วแต่ บางครั้งผมตกใจ แสดงว่าดุบางครั้งไม่ตกใจ ตกใจบางครั้ง นึกว่าผมทำอะไรผิด การที่พ่อท่าน แสดงออกเช่นนั้น พ่อท่านจุดประสงค์อะไร ก็ดุจริงน่ะซิ (คนฟังหัวเราะ) ก็บางครั้งดุจนถึงตกใจ ก็แสดงว่าต้องดุแรงๆหน่อยนะซี ก็ดุให้เข้าใจ ให้รู้สึกตัว จะต้องใช้ลีลาดุก็ดุ จะใช้ลีลาไม่ดุก็ไม่ดุ มันเป็นศิลปะ ของผู้สอน ของผู้ที่จะทำกัน เป็นธรรมดาของมนุษย์น่ะ ทีนี้จะดุ ขนาดนั้นขนาดไหน ก็ให้ได้ประมาณ บางคนนี่ เล่นไม่ดุนี่ไม่ สมัยนี้เขาบอกว่าจะต้องไม่ดุ จะต้องไม่รุนแรง จะต้องไม่อะไร อาตมาไม่เห็นด้วยเลย ครูนี่จะต้อง ไม่ตีเด็ก จะต้องไม่ดุ จะต้องไม่ อะไร ต้องพูดสุภาพ เรียบร้อยอ่อนหวาน พูดอย่างเดียวไม่ได้หรอก ไม่ได้ ขอยืนยันว่าไม่ได้ ไม่ได้ ไม่มีทางสำเร็จหรอก พระพุทธเจ้าก็ดุ พูดดีก็พูด ดุก็ดุ ตอนดุท่านก็ดุ นี่เราเอา พระพุทธเจ้ามาอ้างนี่ ไม่ได้หมายความว่า จะถือเป็นว่าต้องอ้างตามพระพุทธเจ้า เท่านั้น แต่มันเป็นสัจจะ มันจะต้องเป็นอย่างนั้น ดุไม่ใช่โกรธนะ ต้องเข้าใจลึกซึ้งว่า ดุนี่คือ เจตนาจะทำ ให้มันเป็นอย่างนี้ เพื่อที่จะเกิดผลกระทบ เราประมาณจิต ประมาณเหตุการณ์ ประมาณอะไรแล้ว ดุ เราจะต้องดุ ดุขนาดนี้ อันนี้ต้องดุแรง อันนี้ต้องดุเบา อันนี้ต้องดุค่อย หรือว่าอันนี้ต้องไม่ดุ ต้องพูด ดีๆ บางทีบางครั้ง ก็ต้องพูดดี พูด ต้องทำนานาสารพัด จะไปทำลูกเดียว อย่างน้อย มันก็รู้ไต๋แล้ว แล้วมันระเริง แล้วมันไม่ได้เรื่อง ไม่ได้เรื่องหรอก เพราะฉะนั้น ถ้าเด็กธรรมดานี่รู้ว่า คนนี้ใจดี นะ ถ้าเด็กจิตไม่ดีนะ มันไม่กลัว และมันก็ทำละลาบละล้วง และมันก็ประมาณได้เลยว่า เฮ้อ! คนนี้ ไม่กล้าทำรุนแรงอะไรหรอก แล้วมันก็จะไม่กลัว อะไรเลย ไม่กลัวอะไร แล้วก็ทำอย่างเลี่ยง ทำอย่าง เสียหาย ไอ้นี่เป็นเรื่องจิตนะ เรื่อง จิตวิทยาที่สำคัญนะ

ถาม : ๔.ชาตินี้ผมพยายามจะไม่เป็นโมฆะบุรุษ แต่จะพยายามเป็นสัตบุรุษ ให้ได้ ขอให้พ่อท่าน ชี้แนะนำสั่งสอนด้วยครับ

พ่อท่าน : ก็กำลังชี้แนะอยู่นี่ ตลอดเวลานี่ก็ผลัดให้คนอื่นชี้บ้าง อาตมาชี้บ้าง อยู่นี่แหละ ตลอดเวลา นี่ก็ชี้แนะ คุณขยันเข้ามาฟัง มาฟังคำชี้แนะตลอดเวลา หรือ ว่าบ่อยๆ ให้มากขึ้น นั่นแหละเราชี้แนะ กันอยู่นะ บางโอกาสคุณก็มาพบส่วนตัวบ้าง มีเรื่องมีราว ที่อยากจะมาไถ่ถาม ส่วนสำคัญบ้างก็เชิญ

ถาม : ตั้งแต่ปฏิบัติธรรมมา ทานอาหารธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ คือ ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง งา ถั่วหมัก (บี ๑๒) ทอด หรือน้ำเต้าหู้ แต่พอคนทักว่า under weight (พ่อท่าน : แน้! เล่นภาษาอังกฤษ ซะด้วย) ทั้งๆที่ตัวเราก็รู้สึกว่าสุขภาพ แข็งแรงพอสมควร ก็กลับไปกินอาหารปรุงแต่งขนม ปรุงแต่งและขนมใหม่ (จับได้ว่า บางครั้ง ก็ทานด้วยกิเลส บางครั้งกินเพราะอยากให้น้ำหนักขึ้น) กลับไปกลับมา หลายครั้ง (พ่อท่าน : แบบนี้เห็นมั้ย จะไปอเมริกา เสียเวลานานคนนี้) สังเกตได้ว่า อาหารปรุงแต่งเกือบทั้งหมด รวมทั้งขนมไม่อร่อยแล้ว มีแต่รสชาติจริงๆของมัน (พ่อท่าน : แน้! เก่งซะด้วย) ขณะกินอาหารพยายามสังเกตอาการดูดผลัก และ ปรับเปลี่ยนจิต เท่าที่มีสติ (พ่อท่าน : นั่นก็ถูกแล้ว วิธีการทำ คิดดีแล้ว) ใจจริงๆ ยังยินดี ที่จะกินอาหารปรุงแต่งและขนมอยู่ในบางครั้ง แต่เพราะทราบว่า อาหารธรรมชาติ มีผลดีต่อร่างกายและจิตใจมากกว่า จึงพยายาม ทานอาหาร ธรรมชาติ จนเพื่อนบอกว่า ตกภพอาหารธรรมชาติ (พ่อท่าน : ไม่ต้องพูด) การทานอาหารธรรม อย่างเดียว จะทำให้หมดกามได้หรือไม่ ทราบมาว่า ถ้าทานไปเรื่อยๆ แม้ไม่ต้องกลับมาผัสสะ กับอาหารปรุงแต่ง หรืออาหารที่ เราเคยชอบ กามในอาหารนั้น จะหมดไปได้ และเรา ก็จะทราบด้วย เหมือนอบายมุขหยาบๆ บางอย่างที่เราเคยติด หลังจาก เว้นขาดมานานๆ เราก็จะทราบได้ว่า เดี๋ยวนี้ไม่ติดแล้ว โดยไม่ต้อง ไปลองอีก หรือควรจะปฏิบัติอย่างไร

พ่อท่าน : ดี ถามอันนี้มาก็ดีนะ เพราะว่าเรื่องใช้ภาคปฏิบัติพระพุทธเจ้า อาตมาบอกแล้วว่า การปฏิบัติธรรม ที่ไม่ผิดข้อหนึ่ง โภชเนมัตตัญญุตา เป็นหลักการ ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติไม่เสื่อม ปฏิบัติไม่ผิด ข้อสำคัญข้อหนึ่งก็คือ โภชเนมัตตัญญุตา คือการรู้จักดูแล ควบคุมประมาณในอาหาร และก็ศึกษาใน เรื่องอาหาร แล้วมันจะมี ผัสสะจริงๆ เราปฏิบัติกัน แล้วคนเราต้องกินอาหารตลอด เพราะฉะนั้น การกินอาหารธรรมชาติตลอดไป หรือว่าจะกลับ มากินปรุงแต่ง หรือไม่ปรุงแต่งนี่ อาตมาว่าคุณจะกินอาหารธรรมชาติให้นาน แล้วก็กลับมากิน อาหารปรุงแต่งอีกก็ได้ เพื่อทดสอบ เพื่อเป็นไปจริงๆ ที่จริงน่ะเป็นไปตามธรรมชาติ และบางครั้ง บางคราว เราเคร่งกับเราด้วย จะกินอาหารธรรมชาตินี่กินกลับไป กลับมา อย่างอาตมานี่ ฝึกตั้งแต่ เป็นฆราวาส มานี่นะ กินอาหารลดมื้อก่อน อาตมาฝึกตอนเป็น ฆราวาส ลดมื้อ ลดลงมาเหลือ สองมื้อ แล้วก็ค่อยลดลงมา ค่อยมาลดมื้อเดียว ลดลงมาสองมื้อแล้ว เอ๊ ! จำไม่ได้ว่า เป็นมังสวิรัติ ก่อน หยุดเนื้อก่อน แล้วค่อยมา ลดมื้อเดียว หรือว่ามื้อเดียวแล้วถึงได้ลด เป็นมังสวิรัติ จำไม่ได้ แต่ดูเหมือน มังสวิรัติก่อน ที่จะมามื้อเดียว แล้วก็รับประทานอย่างคลุก เอามาปนกันหมดเลย ของหวาน ของคาว ตั้งแต่ยังทานเนื้อสัตว์ คุณคิดดูก็แล้วกัน มีเนื้อสัตว์ด้วย แล้วทั้งอาหารคาวหวาน รวมเละลงไปในนั้น แกงเป็ด แกงไก่ แกงหมู ล่อเข้าไป ต้มถั่วเหลือง ถั่วหวาน มีโอวัลติน อะไร ใส่เข้าไปในจาน คน ซด แหม ยิ่งกะเหมือน อาหารหมู มันทุกอย่างเลย น้ำพริก น้ำหวานอะไร ก็แล้วแต่ ก็กินอันนี้แหละ ก็ปนไปลงไปเลย ตั้งแต่...อันนี้จำได้ ว่า กินคนคลุกเคล้าปนกัน คนจริงๆ ปนคนคลุกเคล้าเลย ไม่ใช่เอามาวางไว้ปนในภาชนะเดียว แต่ว่านี่เกาะหนึ่ง (คนฟังหัวเราะ) นี่เกาะหนึ่ง นี่เกาะหนึ่ง นี่เกาะหนึ่ง แล้วก็ตักกินทีละเกาะ ที่ต้องการ (คนฟังหัวเราะ) แต่ทำที ข้างนอก ดูเหมือนชั้นลงในภาชนะเดียวนะ ไม่ใช่คนจริงๆเลย เอาลงไป แล้วก็คนจริงๆเลย คนให้มัน เข้ากันหมดเลย คนเละๆ ก็ไม่คนถึงขนาดจะต้อง คนให้มัน เข้ากันเนียนเลย ไม่ใช่ถึงขนาดนั้น หรอกนะ ก็คนมันปนเละไปนั่นแหละ ไม่รู้ว่า คือเรียกว่า แปรรูป แปรรสหมด รูปหวาน รูปเปรี้ยว รูปกำหนดมา

อาตมาเคยเล่นนะ ไอ้การปนกันนี่ อาตมาเคยเล่า จนกระทั่ง มากินอาหารลด ลดเนื้อสัตว์ มี เป็นพืช ที่อาตมาเคยเล่า พอคนแม่ครัวเค้าไปตลาด อาตมาไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว เขาก็เอาผัก ซื้อแต่ผัก มาทำอาหาร เขาก็จะขี้เกียจ หรือเขาฉลาดเขา ก็ไม่รู้ ของเขาละนะ เขาก็ว่าเอ๊ ! ก็ไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว ก็เอาแต่ผักมา เขาก็ซื้อผักมา ชนิดเดียวกันอ่ะนะ ซื้อผักกาดมา บางครั้งก็ซื้อผักบุ้งมา เสร็จแล้ว ก็มาแบ่งผักกาด นี่ผัด แล้วก็แบ่งผักกาดนี่แกง แล้วก็ลวกผักกาดนี่ มาจิ้มน้ำพริก อาตมาก็มาได้ ปัญญาว่า เอ๊ ! ทำไมเราไปทรมานคนครัว เสร็จแล้ว อาตมาก็เอามาปนกัน อย่างที่ว่านี่คลุกปนกัน แล้วก็กิน เอ๊! เราไปทรมานคนครัวทำไม๊ เขาจะต้องทำผัด ทำแกง ทำน้ำพริก ก็เล่นมันอย่างเดียวเลย ตกลงอาตมาวันนั้น ที่คิดได้น่ะ ไม่ได้ คิดให้เขาต้องทำอะไร บอกเอามาเลย จะต้มก็ต้ม จะลวกก็ลวก จะสดก็สด เอามาเลย จะมีเกลือ มีน้ำ ตอนนั้นไม่กินน้ำปลาแล้วใช่ไม๊ ก็มีซีอิ๊ว มีอะไรล่ะ มีเต้าเจี้ยว อะไรที่เป็นเรื่องเค็ม มีน้ำตาล มีเรื่องเค็ม เรื่องหวาน อะไรที่จะให้กิน ต้องกินน้ำตาลด้วยใช่ไม๊ กินเกลือด้วยอะไร ก็ใส่ถ้วยมาต่างหาก จะผักยังไง ก็ใส่มาใส่จาน ถ้าจะดิบก็ตัดล้างสะอาดๆ ใส่จานมา จะลวกก็ลวกมา ไม่ต้องไปต้ม ไม่ต้องไปผัด ไม่ต้องไปแกง ไม่ต้องไปลวก ไม่ต้องไปอะไร หลายอย่างหรอก มันจะต้องไม่ยุ่งยาก ก็ได้ปัญญา ก็เรากินเอาธาตุ อย่างนี้แหละ ไหนจะต้อง ไปเป็นรูปผัด เป็นรูปแกง เป็นรูปอะไรต่ออะไรต่างๆ ไม่เข้าเรื่อง ก็เลยบอก โอ้ ! คนเรานี่ มันยักย้าย ติดรูป ติดรสอย่างนี้จริงๆเลย นะนี่ นี่ก็ตัวเองปฏิบัติมาจริงๆนะ

อาตมาเปลี่ยนมา จนกระทั่ง มากินน้อยลง น้อย มากิน ประเภท กินอย่าง ทีละอย่าง แล้วก็ไม่กำหนด ใครเขาจะเอาอาหารอะไรมาให้ เอาปรุงแต่งอะไรมา ก็มาหมดทุกอย่าง แกง มีผัด มีน้ำพริก มีไอ้โน่นไอ้นี่ มีอะไร ต่างๆนานา แต่กินทีละอย่าง กินข้าวก่อน และกินแต่ข้าวเปล่าหมด ตามที่เรา ประมาณว่า ต้องกินข้าวแค่นี้ เสร็จแล้วก็เอาแกงมากิน แกงประมาณ จะกินกี่คำ กี่ช้อนก็กิน ผัดก็กิน น้ำพริกก็กิน แต่น้ำพริก (คนฟังหัวเราะ) ผักก็กินแต่ผัก ผักจะกินกี่อย่างหละ ผักมันมีบางที เขาก็มี พริกขี้หนง ขี้หนูมาด้วยก็เอา จะกินพริก ก็พริกขี้หนูกี่เม็ด ก็กินแต่พริก (คนฟังหัวเราะ) ก็กิน จะกินอะไรก็กิน ทีละอย่าง ที่ละอย่าง ทีละอย่าง อย่างนั้น เท่าที่เราประมาณว่า เราจะกินอาหารนั้น ให้พอกับร่างกาย ที่จะใช้ในวันหนึ่งๆ ก็สลับกินอย่างนี้ กินทีละอย่าง ไม่กินปนกันเลย ปนกันก็ทำ ไม่ปนกันเลยก็ทำ หัดมาสารพัด อย่างนี้ทุกอย่าง สลับกันไป สลับกันมา จนกระทั่ง เข้าใจแล้ว ก็เกิดปัญญา อย่างที่ว่านั่น โธ่ คนเรานี่ มันติดรูป รส กลิ่น เสียง จริงๆ เพราะฉะนั้น เราจะกินอะไร ได้ก็กินที่มันมีธาตุที่เราต้องการ ที่จะไปช่วยร่างกาย เลี้ยงร่างกาย อย่างที่ว่า เรากิน แล้ว พิจารณา เรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นี่แหละจริงๆ บอกแล้วว่า อาหาร มันไม่มีเสียง (พ่อท่านหัวเราะ) มันมีแต่รูป รส กลิ่น สัมผัส ที่เป็นตัวทวาร ที่มันจะว่า จะเล่นกิเลส กับเรานะ เพราะฉะนั้น การปฏิบัติ ด้านอาหารนี่ คุณถามมา ว่าจะกินแต่อาหารธรรมชาติ ตลอดไป ได้มั้ย

บอกคุณสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเถอะ คุณจะกินนานๆ หลายปี หรือว่า หลายเดือน ก็ตามใจ เอาอย่างนี้ หลายๆเดือน จะได้เกิดความมั่นคง ยังไม่ตาย ก็ประเดี๋ยว ก็เปลี่ยนไป ทางโน้นทางนี้บ้าง จนกระทั่ง คุณจะอ่าน แล้วอ่านจริงๆ อ่านผัสสะ อ่านอารมณ์ อ่านอาการ มันมีการชอบการชัง มันมีการติดการยึดนี่ ก็อ่าน แล้วคุณจะชำนาญ ในการอ่านอารมณ์จิต อ่านกิเลส อ่านตัวของเรา ที่ว่ามีกิเลส อย่างไร ๆ

การฝึกในเรื่องอาหารเนี่ย เราได้ฝึกที่จะเป็นความชำนาญ ที่เราได้อ่านกิเลส ได้ดีๆ เพราะเราต้องกิน ทุกวัน เพราะเราต้องกินอาหาร คนไม่กินอาหาร ไอ้เรื่องอื่นยังไม่ได้ ผัสสะ ไม่ได้เกี่ยวข้อง มันก็ไม่ได้ ปฏิบัติเท่าไหร่ แต่อันนี้ มันต้องปฏิบัติทุกวัน น่ะ และ ..แม้เป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้อง กินอาหารน่ะ เรื่องของเรื่อง มันไปทิ้งไปไหนไม่ได้ ไม่ต้องพราก พรากกันไม่ได้ คุณบอกว่า ถ้ายังปฏิบัติ โดยละขาด ก็คือไม่ต้อง สัมผัสมันเลย หนีพรากเลย เลิก (พ่อท่านหัวเราะ) คุณก็ตายเท่านั้นเอง ไม่กินอาหาร ได้ยังไง ใช่ม๊ะ มันก็ต้องกิน นะ เอ้า ! ก็คงพอเข้าใจแล้วนะ เอ้า! ทีนี้

คำถาม : หิริ-โอตตัปปะ เป็นผลของการฝึกตนใช่หรือไม่ครับ ฝึกอย่างไรครับ

พ่อท่าน : นี่ถามต่อมาอีก แหม ! ถามในขณะที่กำลังอธิบายอยู่เรื่อยๆ นี่ยังไม่ถึงบท หิริ-โอตตัปปะ เลยนี่ ถามดักหน้า เพิ่งจะขึ้นศรัทธา แล้วก็ต่อศีล หิริก็อธิบายไปบ้าง โอตตัปปะ ก็อธิบายไปบ้าง แล้วนะ ไปเปิดเท็ปฟังเอา เมื่อเช้านี้ก็พูด พรุ่งนี้เช้า ก็จะพูดอีก มะรือนี้ก็ยังจะพูดอีก โปรดติดตาม เอ้า ! ตอบเท่านี้เลย มันจะซ้ำซากนะ แล้วมันไม่ต่อเนื่อง ถ้าอธิบายตอนนี้ จะยาวกว่านี้และต่อเนื่อง เพราะฉะนั้น อธิบายตอนนี้ ก็เท่านั้นแหละ เมื่อเช้านี้ ใครฟังมาก็ คงจะจำได้ว่า พูดถึงหิริโอตตัปปะ ไปบ้างแล้ว

คำถาม : เมื่อเรามาอยู่วัด เราได้รับการอบรมให้มีความจริงใจ เมื่อเรากลับไปอยู่บ้าน เราก็จริงใจ กับพี่น้อง แต่เราถูกหลอก พอมั่นใจว่าโดนหลอก ก็เครียด ตามด้วยชิงชัง รังเกียจ อารมณ์เสีย บ่อยครั้ง เห็นพวกเขาแล้วก็เซ็ง แต่ก็รู้ว่า การกระทำเช่นนั้น ไม่สมควร แต่พละอินทรีย์อ่อนมาก ตั้งจิต หลายครั้ง ในการยิ้ม ยอม หยุด เย็น แต่ก็พ่ายแพ้ ต่อกิเลสตนเอง ไม่ง่ายเลย ในการ ปฏิบัติธรรม จำเป็นไหม ที่จะต้อง สอบซ่อมให้ผ่าน ในจุดนี้ก่อน กลับมาอยู่วัดเช่นเดิม

พ่อท่าน : อ้อ ! คงมีนิทานนะคนนี้ คงจะมาอยู่วัดแล้วก็กลับไปถูกพี่น้องหลอก เมื่อถูกพี่น้องหลอก ก็เลยไปหลงเชื่อพี่น้องหลอก พอรู้ว่าพี่น้องหลอก ก็เลยเกิด อารมณ์อย่างที่ว่านี่ ชิงชังรังเกียจ อารมณ์เสีย เซ็งอะไรต่างๆ นานา แต่ก็ยังไม่แข็งแรง พอจะเข้ามาได้นะ

คำถาม : ทำอย่างไร จึงจะไม่ติดคำสรรเสริญได้ค๊ะ ปล.

พ่อท่าน : อ้อ ! นี่คงอีกปัญหาหนึ่ง ถามมาว่า จำเป็นไม๊ ที่จะต้องสอบซ่อม ให้ผ่านจุดนี้ ก่อนกลับมา อยู่วัดเช่นเดิม จำเป็นนะ ทำความเข้าใจกับทางบ้าน ทางพี่น้องให้ดี หยุด ให้มันหายเครียด เมื่อรู้ว่ เขาหลอก ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าเต็มใจ ก็เต็มใจ ให้เขาหลอก ก็ไม่ใช่ว่าจะเสียท่า ก็พยายาม ไม่เสียท่า ก็คืออย่าไปเกิดอาการชิงชัง อย่าไปเกิดอาการรังเกียจ พี่น้องนี่ ที่จริง เขาปรารถนาดี กับเรานะ พ่อแม่ก็ตาม เขาปรารถนาดีกะเรานะ แต่ว่า เขาไม่เข้าใจ เขานึกว่าเรานี่จะแย่ เขาอยาก ให้เป็น อย่างเขาเป็น น่ะแหละ เขาเชื่อว่า อย่างที่เขาเป็นน่ะดี จะมาเป็นอย่างนี้ อย่างนี้น่ะ มันไม่ดี ข้าก็ เขาจริงใจนะ ไม่ใช่เขาไม่จริงใจนะ คุณว่าคุณจริงใจ เขาก็จริงใจ แต่ว่าเขา เข้าใจ อย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปชิงชัง ไม่ต้องไปรังเกียจหรอก อาตมาว่าพี่นองนี่ เขาไม่ปรารถนาร้ายหรอก เขาจริงใจ เขายังปรารถนาดี แต่ เขาเข้าใจไม่ได้ เมื่อเข้าใจไม่ได้ ก็อโหสิ อโหสิกัน ก็ต้องทำ ต้องสอบซ่อม ต้องทำใจให้ดีก่อน อย่าไปรังเกียจชิงชัง อะไรต่ออะไร ก่อนจะกลับ มาอยู่วัด ประเดี๋ยว ก็ค้าง (พ่อท่านหัวเราะ) เข้ามาอยู่วัด ด้วยอารมณ์ค้างๆ ไม่ดี (พ่อท่านหัวเราะ) เดี๋ยวก็มาแก้ กันอีกหลายโรค โรคค้าง ก็ยังไม่หมด มีโรคใหม่ ในวัดอีก ยุ่งอ่า ! มีถามอีกอันว่า ทำอย่างไร จึงจะไม่ติด คำสรรเสริญได้ ก็ต้องรู้สิ ว่าสรรเสริญเยินยอ ก็เป็นโลกียะ ที่มันเคยอุปาทาน เคยเชื่อว่า โอ้ ! เป็นสิ่งที่น่าชื่นใจ ถ้าได้สรรเสริญเยินยอ ถ้าเราทำดี คนมาเห็นดีด้วย คนมายินดีด้วย และ เขาก็แสดง ความเห็นด้วยว่า เออ ถูกแล้วล่ะ ว่าดี...ดี แล้วก็ พยายามที่สรรเสริญเยินยอ เพื่อที่จะ ให้เราทำ สิ่งนี้ต่อไป เราก็รู้ว่าเขาหมายอย่างนี้ แล้วเขาก็ยอมรับว่า อันนี้ดีแล้วหละคุณ เราก็เข้าใจแล้ว ก็พอสิ อย่าให้เกิดอาการฟูใจ โอ๊ย มันอร่อย มันภาคภูมิ มันปลาบปลื้ม มันปีติ มันครึ้มไปยังไง ก็ อารมณ์อร่อย อารมณ์ที่มัน ชื่นใจ เพราะยินดี ไอ้ที่เขาได้สรรเสริญนี่ ก็คงจะเคย ทุกคนนั่นแหละ ตั้งแต่เด็กอุแว๊ อุแว๊ โอ๊ย... หนูเก่งมาตั้งแต่ไหนแล้ว ถูกพ่อแม่ หลอกยกยอว่า มีอารมณ์ชอบใจ ในคำยอ มาตั้งแต่อ้อน แต่ออก มาจนกระทั่งโต มารับ มาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ มันก็ติดมาก ก็รู้อาการนั้น ให้ได้ว่า ลดอาการนั้นล่ะ ลง ให้มันปกติธรรมดา ไม่ต้องไปฟูใจ ในลักษณะ อย่างนั้นหรอก หัดจริงๆ เรียนรู้ แล้วก็หัดจริงๆ ถามว่า ทำอย่างไร ก็เรียนรู้อาการนั้น แล้วก็เห็นความจริงให้ได้โดย วิปัสสนาภาวนา คือหมายความว่า ด้วยเหตุผล ด้วยปัญญา ด้วยความเข้าใจ แล้ว อาการของความเพลิด... พอใจ รสอร่อยนี่ มันอ่อนตัวลง ต้องรู้ว่าอาการ มันอ่อนตัวลง เรียกว่า วิราคะ เรียกว่า จางคลาย วิราคานุปัสสี ตามเห็นความจางคลาย อ่อนตัวลง จนกระทั่ง มันไม่เกิดเป็น นิโรธานุปัสสี ตามเห็นความดับ ของมันจริงๆ ในจิต ก็ทำอย่างนั้น ทำยังไง คุณก็ฝึกดู ด้วยสมถะภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนา ที่ก็เคยแนะนำไว้เรื่อยๆอยู่แล้ว มันมีทางปฏิบัติ อยู่สองทางใหญ่ๆ

คำถาม : บุรุษเพศเท่านั้นใช่มั้ยค๊ะ ที่จะถึงพระนิพพาน หรือปรินิพพาน ในชาตินี้ (ถ้าเป็นไปได้)

พ่อท่าน : ใครบอกคุณ บุรุษเพศเท่านั้น ไม่ใช่บุรุษเพศเท่านั้น สตรีเพศ ก็สามารถนิพพาน ถึงพระนิพพาน หรือปรินิพพานได้เหมือนกัน อย่างในสมัย พระพุทธเจ้า อยู่ในพุทธกาล ก็มี พระอรหันต์หญิง ก็ พระอานนท์ทูลขอพระพุทธเจ้าว่า ขอให้ผู้หญิงบวชเถิด พระพุทธเจ้า ก็จนแต้ม ตรงสัจจะอันนี้แหละว่า อ้าว... และถ้าให้ผู้หญิง เขาบวชนี่ ผู้หญิงเขาจะถึงนิพพานได้ไม๊ พระอานนท์ ทูลถามปัญหานี้ เงื่อนไขนี้ กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจนแต้มพระอานนท์ โดยสัจจะ จุดนี้ พระพุทธเจ้า บอกว่า โอ๊ย! ถ้าให้ผู้หญิงมาบวชนี่นะ ศาสนา แทนที่จะถึง ๑,๐๐๐ ปี มันจะเหลือ ๕๐๐ ปี นะ คือมันลดลงมาครึ่งหนึ่ง ให้ผู้หญิง มาบวชนี่นะ เพราะผู้หญิงอะไรๆ ต่างๆ นานา นี่ทำความยุ่งยากมาก ท่านก็พูดสัจจะนะ ท่านไม่ได้ชังผู้หญิง หรือเกลียดผู้ชายอะไร ท่านเอง ก็ไม่ได้ ลำเอียงอะไรหรอก มันเป็นสัจจะอย่างหนึ่ง ท่านก็ตรัสสัจจะ เสร็จแล้ว พระอานนท์ ก็บอกว่า เอ๊... ขอทูลถาม หน่อยเถอะ ถ้าผู้หญิงนี่ บวชแล้ว เขาจะมีสิทธิ์ หรือมีโอกาส จะได้บรรลุพระนิพพาน มั้ย

พระพุทธเจ้าก็บอก ตามสัจจะนี่ พระพุทธเจ้าโกหกไม่ได้หรอก ได้ บรรลุได้ พระนิพพานบรรลุได้ ผู้หญิงก็บรรลุได้ อ้าว..แล้วจะไปกั้นเขา ทำไมล่ะ งั้นน่ะ พระพุทธเจ้าก็บอก เออ ! (พ่อท่านหัวเราะ) ตกลงอานนท์ แต่ต้องมีเงื่อนไขนะ จะยอมรับมั้ยล่ะ เขาถึงมี ครุธรรม ๘ ประการ ให้ผู้หญิงก่อน เพราะว่ามันป้องกันไว้ ไม่เช่นนั้น มันจะยุ่งมากกว่านี้อีก ถ้ารับคุรุธรรม ๘ ประการนี้ได้ เราก็อนุญาต ให้ผู้หญิงบวชได้ พระอานนท์ ถึงเอาคุรุธรรม ๘ ไปบอกพระน้านาง พระน้านางเป็นผู้ทูลขอ อยาก จะบวช คนแรกนะ เป็นภิกษุณีองค์แรก พระน้านาง บอก เหตุผลพวกนี้ รับใส่หัวใส่เกล้า ยิ่งกว่า อะไร มากกว่านี้ก็เอาได้ ก็ตกลงกัน ผู้หญิงถึงได้บวชนะ เอ้า ! คำตอบก็อธิบายอะไร ผสมผเสหน่อย ยังงี้แหละ มันยาวเพราะอย่างนี้ อดที่จะขยายไม่ได้ ทั้งๆที่คำตอบ ว่าถึง พระนิพพานมั้ย ก็ถึง

คำถาม : ความหมดตัวหมดตน ความตั้งจิตให้เป็นหนึ่ง ต้องการอยู่ป่าเป็นนิจ (พ่อท่าน : อ้อ ความหมดตัวหมดตน ความตั้งจิต ให้เป็นหนึ่ง ต้องการอยู่ป่าเป็นนิจ) พ่อท่านจะรับเป็นสิกขมาตุ โดยไม่ต้องเป็นปะ เป็นกรัก หรือเป็นคนวัด ได้ไม๊ค๊ะ

พ่อท่าน : ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย (คนฟังหัวเราะ) ความหมดตัวหมดตน ความตั้งจิตให้เป็นหนึ่ง ต้องการอยู่ป่าเป็นนิจ พ่อท่านจะรับเป็นสิกขมาตุ โดยไม่ต้องเป็นปะ เป็นกรัก หรือคนวัดได้ไหมค่ะ ไม่เห็นมันเกี่ยวกัน เหอ ! (พ่อท่าน หัวเราะ) นึกว่าจะถามปัญหาว่า ความหมดตัวหมดตน คือยังไง ความตั้งจิตเป็นหนึ่ง คือ ยังไง ต้องการอยู่ป่าเป็นนิจ มันเป็นยังไง อารมณ์เป็นยังไง นึกว่าจะถาม ยังงั้น แต่ผ่าไปถามว่า พ่อท่านจะรับเป็นสิกขมาตุ โดยไม่ต้องเป็นปะ เป็น.. เหอ !

พ่อท่าน : รู้ว่าอันนี้จะเรียนลัด อันหลังนี่ ขอเรียนลัด นี่แต่ว่ามันเกี่ยวอะไรล่ะ ความหมดตัวหมดตน ความตั้งจิตเป็นหนึ่ง ความต้องการอยู่ป่าเป็นนิจ อะไรนี่ มันเกี่ยวอะไรกันล่ะ

พ่อท่าน : เหอ !

พ่อท่าน : โอ้โห! หมดตัวหมดตนแล้วเหรอ (คนฟังหัวเราะ) โอ๊ย... ถ้า หมดตัวหมดตนแล้ว จึงจะไม่ ต่อรอง จะไม่ขอข้อแม้ นี่พิสูจน์ว่า ไม่หมดตัว หมดตนจริง เพราะฉะนั้น ต้องตามลำดับ เป็นปะ เป็นกรัก มา (คนฟังหัวเราะ) เอ้า ! มันยืนยันจริงๆเลยนี่เอ้อ ! นี่เป็นความอยากแซงคิว ถ้าคนที่ หมดตัวหมดตนแล้ว เขาจะไม่ติดยึดเลย คนที่หมดตัวหมดตน จะไม่มาขอรื้อวินัย จะไม่มา ขอรื้อ กฎระเบียบของกลุ่มหมู่ เป็นอันขาดเลย จะเข้าหมู่ไหน จะเคารพกฎระเบียบของหมู่นั้น เพราะว่า ปรมัตถ์ของตัวสูญแล้ว เพราะฉะนั้น จะอยู่เพื่อสมมติสัจจะ พระอรหันต์นี่ อยู่กับ สมมติสัจจะ เท่านั้น ปรมัตถสัจจะท่านไม่เกี่ยวเลย เพราะฉะนั้น พระอรหันต์นี่จะละเมิด เหมือนคนละเมิดกิเลส หรือ เหมือนคนมีกิเลส พระอรหันต์นี่จะเหมือนคนมีกิเลส เหมือนคนมีกิเลส เพราะปรมัตถ์ของท่าน ไม่มีผลอะไรแล้ว ปรมัตถ์ของท่านสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า หลักเกณฑ์ของหมู่เป็นยังไง ท่านก็จะเหมือน หลักเกณฑ์ของหมู่ หมู่จะพาเป็นยังไง จะต้องให้ไปทำ อย่างโน้น อย่างนี้ จะทำตาม ทำตามหมู่ ทำตามสมมติสัจจะ ปรมัตถสัจจะท่านเลิก เพราะฉะนั้น ปรมัตถสัจจะท่านจะไม่เอามา เป็นหลักอะไรเลย เมื่อเป็นจริง แล้วมันจะตีกลับอย่างนี้ แต่อาตมา พูดอย่างนี้ พวกคุณ ก็จะเข้าใจ ไปอีกอย่างหนึ่ง มันจะไม่ถูกเรื่องอ่ะ มันจะไม่ถูกเรื่อง เพราะฉะนั้น ประเดี๋ยวก็จะเลอะเทอะอีกแหละ นี่ มันกลับไป กลับมาอยู่อย่างนี้

ส่วนพระอรหันต์นั้น ปรมัตถ์สัจจะท่านไม่อ่ะ เหมือนอรหันต์จี้กง กินเหล้าเมายา เรื่องเลอะเทอะ อะไรไปตามเรื่องตามราว มันก็เหมือน คนบ้าๆ บอๆ โลกๆ อะไรได้ ท่านก็จะทำตามสมมติ อะไร ต่ออะไรไป ก็ตามให้โลก ให้เออออ ตามลำดับชั้นของฐานะ ของบุคคลเท่านั้น เพราะฉะนั้น คนที่มานี่ ที่ถามมานี่ มันไม่จริง (พ่อท่านหัวเราะ) มันจับได้ มาต่อรองวินัย ไม่มี ๆ พระอรหันต์ไหน ต่อรองวินัยของกลุ่มหมู่ ไม่มีเลยในโลก ยังไม่เคยได้ยินว่า พระอรหันต์มาต่อรอง กฎระเบียบ ของโลก (พ่อท่านหัวเราะ) ไม่มี ๆ แต่พระพุทธเจ้าที่รู้ดีว่า นี่เป็นพระอรหันต์ ยกให้ต่างหาก ยกให้พิเศษเลย ไม่ต้อง นั่นเป็นเรื่อง เขายกให้ ไม่ใช่ผู้นั้นขอร้องเอา ผู้นั้นไม่ขอร้อง เพราะว่ามันไม่มีปัญหา อะไรนี่ เพราะทำได้หมดน่ะ วินัยยังไงก็ทำได้ พระอรหันต์ จะทำตามวินัย ใดๆ ก็ได้หมด เพราะไม่อึดอัด ขัดเคืองอะไร ก็คนที่ยังไม่เป็นอรหันต์ เขายังทำได้ แล้วตัวเองเป็นอรหันต์ ทำตามวินัยนั้นไม่ได้ ได้ยังไง ต่อให้ยากยังไง ก็ต้องทำได้ เพราะมันหมดตัวหมดตน (พ่อท่านหัวเราะ) คนเขาไม่หมดตัว หมดตน เขายังทำได้ แล้วตัวหมดตัวหมดตน ทำไมไม่ได้ แล้วจะเป็นอรหันต์ ขี้หมาอะไร (พ่อท่าน หัวเราะ) นี่ มันเรื่องจับได้ แค่โวหาร ก็จับได้แล้ว ว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องจริง (พ่อท่านหัวเราะ) อย่าหลงตัว หลงตนง่ายๆนะ

คำถาม : พ่อท่านครับ ขอให้พ่อท่านช่วยอธิบายข้อความในสังโยชน์ ข้อที่ว่าด้วย สักกายทิฏฐิ และข้อที่ว่าด้วย มานะ ว่ามีความแตกต่างกัน อย่างไร และ ช่วยอธิบายด้วยคำว่า สมอง กับคำว่า จิตนั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร อีกอันหนึ่ง อีกประการหนึ่งเล่า (พ่อท่าน : แน้ ! แหม ใช้สำนวน สามก๊กเสียด้วยนะ) อนึ่ง อีกประการหนึ่งเล่า ใคร่จะเรียนถาม เพื่อหายข้องใจว่า ทำไมเวลาสมณะ ก็ดี สิกขมาตุก็ดี เมื่อขึ้นแสดงธรรม เวลาไหว้ครู บางรูปก็ขึ้นไหว้แต่พ่อท่านก่อน แต่บางรูป ก็ได้ไหว้ พระพุทธเจ้าก่อน ความจริง น่าจะไหว้พระพุทธเจ้า ก่อนทุกๆรูป แต่ทำไม ทำไม่เหมือนกัน ช่วยอธิบาย ให้เข้าใจด้วย ทำไมครับ สมณะก็ดี สิกขมาตุก็ดี เวลาขึ้นแสดงธรรม ชอบพูดพลาง หัวเราะพลาง

พ่อท่าน : (โอ้โห! หลายประเด็นนะ หลายคำถาม แต่ต่อเรื่อยๆไป เดี๋ยว อาตมาจะจับ เป็นประเด็น เลย)

คำถาม : สมณะก็ดี สิกขมาตุก็ดี เวลาขึ้นแสดงธรรม ชอบพูดพลาง หัวเราะพลาง และส่วนมาก ชอบหัวเราะเรื่อยไป ดูไม่สวยงาม และเหมาะสม ซึ่งท่านขึ้นไปอยู่ในที่ อันเขาให้เกียรติ ว่าเป็น ผู้กล่าวธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อสั่งสอนประชาชน แต่ท่านดูเหมือน ไปทำเล่นๆ ผมว่า ควรทำตัวให้เรียบ...เรียบกว่านั้น

พ่อท่าน : อ่า ! ก็ดี เป็นข้อติงเตือนมา ก็ดีนะ อ่า ! ตอบข้อแรก สักกายะ นะ สังโยชน์ ข้อสักกายทิฏฐิ และมานะ นะ สักกายทิฏฐิสังโยชน์ กับ มานะสังโยชน์ มีความแตกต่างกันอย่างไร สักกายทิฏฐิ นั้นเป็นตัวตน ในลักษณะ หยาบ อะไรก็ได้ จะเป็นกิเลสกามก็ได้ กิเลสมานะก็ได้ แต่ส่วนมาก จะหมายถึง กิเลสมานะ สักกายทิฏฐิ ที่ท่านกล่าวไว้ใน พระไตรปิฎก อาตมาเห็นนี่นะ สักกายทิฏฐิ ตัวแรก คือตัวที่ถือตัวถือตน ถือดีนั่นคือ มานะ เป็นสักกายะตัวแรกเลย ไม่ลดตัวลดตน เพราะฉะนั้น จะต้องลดตัวลดตน และคนก็ไปเข้าใจว่า หมดตัวหมดตน คือ ลดตัว ลดตน ที่อย่าถือดี นึกว่าตัวเอง นี่แหละ เชื่อมั่นตัวเอง หัวไอ้เรือง แม้แต่แค่นี้ ยังฟังธรรมใครก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น คนนี้จะได้ ปฏิบัติธรรม อะไรอื่นต่อไปนั้นไม่มี นี่เป็นตัวด่านแรกเลย สักกายทิฏฐิ นี่ส่วนมากนะ ส่วนมาก จะเป็นมานะถือดี เพราะฉะนั้น ผู้ใดยิ่งได้เรียน ได้รู้ได้อะไร สักกายะของเขา ทั้งหลายแหล่ นี่ ผู้ที่เรียนมามากๆ ยิ่งโพธิรักษ์ ไม่ได้ ธรรมะตรี ธรรมะโท อะไรก็ไม่มี มหาปะรงเปรียญอะไรก็ไม่ได้ด้วย นะ นี่มานะ นั่นแหละ สักกายะตัวแรก เราต้องลดตัวตนอันนี้ เหมือนพระโปถิระ สอนใคร เป็นอรหันต์ ก็ได้ มานะใหญ่ ต้องให้ถูกดัด ต้องดัดนิสัย ดัดสันดาน เสียจนสุดท้าย ต้องไปให้เณร ตัวน้อยๆ เจ็ดขวบโน่นสอน ต้องลดมานะ ไปถึงอย่างนั้น ส่วนมากเป็นมานะ แต่สักกายะทิฏฐิ ไม่ได้หมายความว่า มานะตัวเดียว อะไรก็ได้

ที่จริงโดยความหมายของมัน ก็มีความหมายว่า.. อาตมา เคยแปลว่า ตัวการใหญ่ สักกายะ นี่ กิเลสตัวการใหญ่ ตัวไหนก็แล้วแต่ ตรวจตัวเรา ถ้าเรา ไม่มีมานะก็ดีแล้ว แต่เป็นกาม ก็ต้องจัดการ ตัวใหญ่ นั่นแหละ กามในเรื่องอะไรล่ะ ไปติด ไปยึด ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในอบายมุข นี่เป็นขั้นตอนง่ายๆ โดยโลกต่ำที่สุด หรือหยาบที่สุด ความโลภจัด ราคะจัด หรือว่า โทสะจัด ตัว ไหนล่ะ เป็นตัวสำคัญ ตัวการใหญ่ ที่ตัวจะจัดการก่อน แม้ว่าไม่จัดก็ตาม แต่เป็นตัวการ ที่คุณเห็นว่า ตัวนี้จัดการได้ก่อน นี่หมายลึก หรือความหมายชัดที่สุด ก็คือตัวไหนของคุณ กิเลส ลักษณะตัวไหน เออ .. ตัวนี้ล่ะ เหมาะเราจะจัดการมันก่อน นั่นคือ สักกายะ ต้องเห็นทิฏฐิ ต้องเข้าใจตัวตน สักกายะ แปลว่าตัวตน อัตตาแปลว่า ตัวตน อาสวะ ก็แปลว่า ตัวตน แต่มีระดับต้น กลาง ปลายต่างกัน ทีนี้คำว่า มานะสังโยชน์นั้น จำเพาะเลย ในระดับต่ำ มีทั้งมานะ และกาม มันมีแกนอยู่ สองแกน เท่านั้นเอง มานะกับกาม ที่มีแกนใหญ่ อยู่สองแกน เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ในระดับต้น มีทั้งกาม และมานะ ทีนี้ ถ้าคุณฆ่ากามไปก่อน ต้องฆ่ากาม และฆ่ามานะนี่แหละ ไปด้วยกัน จนกระทั่ง ในขนาดหนึ่งแล้ว กามจะหมด เหลือแต่ มานะได้ แต่คนที่จะมี เฉพาะแต่กาม ไม่มีมานะนั้นไม่มี ฟังให้ดีนะ คนจะมีแต่กาม เหลือแต่กาม มานะหมดแล้วไม่มี ไม่มีเป็นไปไม่ได้

มานะยากกว่ากาม มานะนี่ยาก และยาว และยืดยาดกว่ากามมาก เพราะฉะนั้น พระอริยเจ้าหมด สังโยชน์ต่ำ กามราคะหมด เป็นพระอนาคามีขึ้นไป ยังมีมานะได้ ในฐานะสูงมานะ เหลือแต่มานะ ไม่มีกามได้ ส่วนคนที่มีแต่กาม หมดมานะแล้วเหลือแต่กามไม่มี (พ่อท่านหัวเราะ) เป็นไปไม่ได้ นี่ ต่างกันอยู่อย่างนั้นนะ อะ ! ทีนี้ คำว่า สมองกับจิต สมองคือรูปธรรม จิตคือนามธรรม จิตนี่ใช้สมอง เป็นอุปกรณ์ทำงาน เป็นกลไก ของจิตทำงาน สมองโดยตัวมันเองนั้น ถ้าไม่มีจิต มันไม่รู้เรื่อง มันทำ อะไรไม่ได้ สมองคุณยังดีเยี่ยมอยู่ แต่ไม่มีจิต เข้าไปทำงาน แล้วคือคนตาย สมองก็คือสมอง จริงๆ แล้วนะ ไอ้เซลล์ประสาท หรือ อะไรต่ออะไร นี่เหมือนอวัยวะต่างๆ นี่ถ้าเผื่อว่า มันไม่มีการ แอนตี้แล้ว มันมีระบบ ที่มันเรียกว่า มันใช้กันได้ มันมี เปลี่ยนสมองได้ เปลี่ยนหัวใจ เหมือนอย่าง เขาพยายาม จะเปลี่ยนหัวใจ เหมือนพยายามจะเปลี่ยน อวัยวะบางชิ้นบางอัน เหมือนกันน่ะ มันเป็น อวัยวะ มันเป็นรูปธรรมให้จิตวิญญาณใช้เท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าคนนี้ นะ จิตวิญญาณนี่อันหนึ่งมา มาใช้ สมองมันไม่ได้จำอะไรได้หรอก จิตวิญญาณจะเป็นตัว เพราะฉะนั้น จะเป็นตัวอีกคนๆหนึ่ง ตัวคนเจ้าของจิต ไม่ใช่คนเจ้าตัวเจ้าของสมอง ฟังดีๆนะ จะเป็นคน เจ้าของจิต ไม่ใช่คน เจ้าตัว เจ้าของสมอง เพราะถ้าจิตมันใช้สมองอันนี้ คนนั้นก็เป็นคน ที่เจ้าของจิต ไม่ใช่เจ้าของสมอง เอาสมองของคนนี่ไปใส่อีกคนๆหนึ่ง ถ้าเปลี่ยนสมองได้ ดังที่ว่านี้ เปลี่ยนหัวใจได้ เปลี่ยนอวัยวะ ตับ ม้าม อะไรได้ เปลี่ยนสมองได้ เมื่อเปลี่ยนสมองได้ แต่มันยังไม่มีนะ คนเปลี่ยนสมองได้ ยังไม่มี เปลี่ยนสมองได้ ถ้าเปลี่ยนสมองได้ คนๆนี้ จิตวิญญาณของคนๆนี้ ก็จะเป็นของจิตของคนคนนี้ ไม่เป็นของ เจ้าของสมอง ตามมาอยู่นี่ไม่ใช่ ชัดขึ้นมั้ย อีกอันหนึ่ง

อนึ่งอีกประการหนึ่งเล่า อ้า ! ใช้สำนวนสามก๊กอย่างที่ว่า ใคร่จะเรียนถาม เพื่อหายข้องใจว่าทำไม สมณะก็ดี สิกขมาตุก็ดี เมื่อขึ้นแสดงธรรม และไหว้ครูนี่ ไหว้แต่พ่อท่านก่อนบ้าง ไหว้พระพุทธเจ้า ก่อนบ้าง ความจริง น่าจะไหว้ พระพุทธเจ้าก่อนทุกๆรูป แต่ทำไมถึงไม่เหมือนกัน ช่วยอธิบาย ให้เข้าใจด้วย ทำไมครับ นานาจิตตัง กาลามังคนละใบ (คนฟังหัวเราะ) มันนานาจิตตัง กาลามัง คนละใบ คือมัน Understood น่ะ ว่า พระพุทธเจ้า เรายกไว้ยอดเยี่ยมแล้ว แล้วท่านก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้น ก็เพื่อตัดลัดความหน่อย ยังไงๆก็บูชาแล้ว หรือใครไม่บูชาพระพุทธเจ้า ใครไม่ยก พระพุทธเจ้า ยกมือขึ้น (คนฟังหัวเราะ) ไม่มี อาตมาเชื่อมั่น เชื่อมั่นจริงๆ เลย ไม่มีใครจะไม่ยก พระพุทธเจ้า เป็นหนึ่ง เป็นยอด เพราะฉะนั้น จะกล่าวถึง หรือไม่กล่าวถึง พระพุทธเจ้า ก็ไม่น้อยใจ (คนฟังหัวเราะ) จริงมั้ย พระพุทธเจ้า ก็ไม่น้อยใจหรอก จะกล่าวจะบูชา พระพุทธเจ้าหรือไม่

แต่ที่จริง บางทีบางองค์ ก็ไม่ได้ไหว้อาตมานะ มาถึงก็บอก ขอคารวะ ขอนมัสการสมณะทุกรูป ไม่สมณะ อาตมาก่อนเลยก็มีบางองค์ บางท่านก็มี จริงๆ อาตมาก็ไม่ได้น้อยใจหรอก เพราะฉะนั้น ถึงว่า นานาจิตตัง กาละมังคนละใบ (คนฟัง พ่อท่านหัวเราะ) สมณะก็ดี สิกขมาตุก็ดี เวลา แสดงธรรม ชอบพูดพลาง หัวเราะพลาง และส่วนมาก ชอบหัวเราะเรื่อยไป ดูไม่สวยงาม ไม่เหมาะสม ก็คงฟังแล้วเมื่อกี้ อ่านไปแล้ว ไม่อ่านทวนนะ ก็เห็นว่าตำหนิว่า ทำไมแสดงธรรม จะต้อง มีหัวเราะด้วย ...ร่วนๆ อะไรเรื่อยๆ ทำไมไม่แสดง ขึงๆ ขังๆ (คนฟังหัวเราะ) อ้าว... แล้วหัวเราะทำไมล่ะ (คนฟังหัวเราะ) หือ! หือ!

พ่อท่าน : ทำไมนะ หลับกันหมด อ้าว ! มีคนฟังแย้งว่า ถ้าแสดงธรรมไม่ให้รื่นเริง ไม่ให้เบิกบาน ไม่ให้หัวเราะ ไปด้วยบ้าง มันจะหลับกันหมด มันจะดูเครียด นี่ก็เป็นเหตุผลจริงเหมือนกัน อันหนึ่ง

จริงๆ ในรูปแบบที่บอกว่า เทศน์แล้ว ก็สุขุมเรียบร้อยนะ ไม่ยิ้มแย้ม ไม่หัวเราะอะไร เฉยไปได้นี่นะ มันจะเป็นได้ กับคนที่มีจิตที่ เบิกบานร่าเริง ในธรรมเป็นผู้ที่มีภูมิฐานสูง หรือมีศรัทธาต่อกัน สูงจริงๆ ถึงขีดหนึ่ง ศรัทธาธรรมดา ยังไม่พอเลยนะ แล้วก็เทศน์เรียบๆ เรื่อยๆ นี่นะ ไม่ต้องมีลีลา ไม่ต้องมี ศิลปะ ไม่ต้องมีบันเทิง เริงรมย์ ไม่ต้องมีอะไรมั่งเลยนี่นะ มันจะทำกับคน อย่างนั้นได้ แล้วมีสัก กี่คนเล่า หลายทีๆ ก็ไม่ได้ด้วย หลายที ก็ยังไม่ได้ด้วยนะ มันไม่ได้ผล ไม่ได้ผลมาก เพราะฉะนั้น การแสดงธรรมทุกวันนี้ พวกเรารู้อย่างที่คุณรู้ นี่เข้าใจ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ ถ้าทำได้อย่างนั้น ก็ดี ทำได้ โดยที่ว่า ก็เทศน์ไป ในเนื้อหาสาระนี่ ขึงขังไป ให้มันขลังๆ ให้ดูเรียบร้อย สุภาพ ไม่มีเอิ๊กอ๊าก ไม่มีลีลาอะไรหละนะ สงบเสงี่ยม ดี ดูดี อาตมาก็เข้าใจ และท่านทั้งหลาย ก็เข้าใจ แต่มันไม่ได้ผล มันเสียผลมากกว่าจริงๆ รับรองเลย อาตมาว่า ถ้าเทศน์อย่างนั้นจริงๆนี่นะ งานนี้ โดยเฉพาะ อัดกัน ทั้งเช้า ทั้งกลางวัน ทั้งเย็น ทั้งสาย อย่างนี้นี่นะ รับรอง เชื่อมั่นเลยว่า จะต้องได้ยิน ได้ยินเสียงกรน (คนฟังหัวเราะ) จริงๆ ถึงขั้นได้ยิน ได้ยินเสียงกรนเลย (คนฟัง และพ่อท่านหัวเราะ) อาตมามั่นใจว่า จะต้องได้ยิน เสียงกรนจริงๆ ถึงขั้นได้ยินเสียงกรน เพราะอาตมาว่า เอาเถอะนะ คนข้างนอก เขาจะเพ่งเล็ง ที่จริงนี่พวกเรา ทำได้เป็นอย่างนี้

แต่ก่อนนี้พวกเราก็ขึงขังกว่านี้ แต่ทีนี้ พวกเราสนิทใจ และ พวกเราก็รู้ว่า เออ มันอย่างนี้แหละ มันจำเป็น เราก็เทศน์กันอยู่ บางคนก็มาอยู่ ๓ ปีมั่ง ๕ ปีมั่ง เราฟังธรรม กันจัง พวกอโศกนี่นะ มีอยู่ อาตมาเคยอ่านหนังสือ ของอาจารย์มั่น ทางลูกศิษย์อาจารย์มั่น นี่นะ อยู่ มา.. .อาตมาจำ ไม่แม่นแล้ว สถานที่และก็บุคคล จำได้แต่ว่าเป็นเรื่องอย่างนี้ คือ มีพระรูปหนึ่ง ไปจากวัด อโศการาม และก็ไปพบ พระกรรมฐานองค์หนึ่ง ที่เป็นอาจารย์นี่นะ อีกทีหนึ่ง ไปถึงก็ถามว่า มาจากไหน มาจาก วัดอโศการาม อ๋อ! มาทำไม อยากจะขอมาฟังธรรมะ จากพระอาจารย์ หน่อยครับ โอ้! มาจากวัด อโศการาม ไม่ต้องฟังธรรมหรอก เต็มมาหมดแล้ว (พ่อท่านหัวเราะ) ว่างั้น ไม่ต้องฟัง เต็มมา หมดแล้ว ปฏิบัติเถอะ ท่านว่าอย่างนั้นเลย และท่านพูดอะไรอีก อาตมาจำไม่ได้นะ ท่านพูด ให้เห็นว่า วัดอโศการามนี่ มันเทศน์มากไป มีความหมายอย่างนั้น อาตมาตอนนั้น อยู่วัดอโศการาม อาตมาอ่าน ตั้งแต่ตอนนั้น ตอนอยู่วัดอโศการาม โอ ! ผู้ที่มาจากวัดอโศการาม นี่ มันมีคำพูด ที่อาตมาจำสำนวนไม่ได้ เหมือนกับคำติๆ ติงๆ ไปทางวัดอโศการามนี่ มาจากวัดอโศการามเหรอ ไม่ต้องฟังหรอกเทศน์ มันล้นแล้ว พวกล้นมาทั้งนั้นน่ะ มาจากวัดอโศการาม มีมีสำนวน ส่ออย่างนี้นะ ไม่ต้องฟังหรอกเทศน์ เขาจะไม่เทศน์ เพราะมันเทศน์มากแล้ว แต่พวกเรานี่ เทศน์จัง ฟังจังเลย อาตมาว่า ในบรรดาสำนักต่างๆ คงไม่มีที่ไหน จะเทศน์หนักเท่าชาวอโศก จริงมั้ย

คนฟัง : จริงค่ะ

พ่อท่าน : แล้วพวกคุณก็แสนที่จะ... จะว่ามันน่า มันอยากฟังก็อยากฟัง จะว่า มันเบื่อก็เบื่อ (คนฟังหัวเราะ) จริงไม๊

คนฟัง : จริงค่ะ

พ่อท่าน : จริงทั้งนั้น (คนฟังหัวเราะ) เพราะฉะนั้น มันจึงยากนะ ที่จะมีศิลปะ ในการที่จะเทศน์ สู้พวกที่ว่า จะอยากฟังก็อยากฟัง จะว่าพอใจก็พอใจ แต่ว่าเบื่อ ก็แสนเบื่อ (คนฟังหัวเราะ) ลักษณะ อย่างนี้ มันมีจริงใช่มั้ย เพราะฉะนั้น ถึงบอกว่า มันก็จะต้องอย่างนี้แหละ ลากถูไป แล้วเราก็ยัง ไม่จบหรอก เทศน์ ใครจะว่าไง จะบอกว่า อ๋อ ! มาจากอโศการามเหรอ ไม่ต้องฟังเทศน์หรอก (คนฟังหัวเราะ) ท่านเต็มมา และล้นมาพร้อมแล้ว (คนฟังหัวเราะ) อาตมาจำสำนวนไม่ได้นะ มันมีเชิงว่าอย่างนี้ มีประชดว่า ประชดที่อโศการาม นี่เทศน์มากไป แล้วมันก็ปฏิบัติคล้ายๆ อย่างนั้น พระสายอาจารย์มั่นนี่แหละ ว่ากันเอง เพราะ ฉะนั้น ที่ต้องเทศน์ ต้องเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่า มันเป็นอย่างนี้แหละ มันชินกันและกัน มันก็อะไร ต่ออะไรบ้าง ก็พยายาม เพราะฉะนั้น จะต้องมี ศิลปะ หรือว่าพยายามอะไรบ้างนะ

แต่ถ้าใครทำได้โดยที่เราไม่ต้องหัวเราะ เพื่อที่จะให้คนอื่นหัวเราะด้วยนะ เทศน์โดยที่ตัวเองผู้เทศน์นี่ ไม่ต้องหัวเราะที่ว่า เทศน์ไปหัวเราะไป เทศน์ไป หัวเราะไป ผู้เทศน์ไม่ต้องหัวเราะ แต่พวกเรา ก็เบิกบาน ร่าเริงได้ เอาเลย อาตมาก็สนับสนุนนะ ไม่ว่าอะไรหรอก ใครจะมีศิลปะ ฝีมือเยี่ยมๆ อาตมายังไม่ค่อยเก่ง เท่าไหร่ ต้องมียิ้มๆ และหัวเราะอะไรด้วยบ้างอะไร แต่ก่อน อาตมาไม่หัวเราะ หรอก ยิ้มธรรมดา หัวเราะ มีเสียงแล้ว ยิ่งไม่ได้ยินหรอก แต่เดี๋ยวนี้ ชักเหลว แย่ไปจนเต็มทีแล้ว มันร่วน ไปหมดแล้วเดี๋ยวนี้ ไข่เค็ม ไปแล้ว

คำถาม : พ่อท่านครับ เล่นไฮโล ทั้งคืนไม่ง่วง ฟังเทศน์นั่งหลับ (คนฟังหัวเราะ) เป็นเพราะมีอะไร เป็นพลัง อย่างนั้นครับ (คนฟังหัวเราะ)

พ่อท่าน : พลังกิเลสน่ะซี่ (คนฟังหัวเราะ) จะไปว่าอะไรมันเป็นพลัง (พ่อท่านหัวเราะ) อ่า นี่ก็หัวเราะแล้ว (พ่อท่านและคนฟังหัวเราะ) อ่า! ก็ เพราะพลังกิเลสคุณนะซิ เล่นไฮโลทั้งคืนไม่ง่วง กิเลสมันยินดีพอใจ เพราะฉะนั้น แม้มันจะเหนื่อย มันก็พอใจ มันไม่ง่วงหรอก มันลืมง่วง ดีไม่ดี ลืมเจ็บเอา โน่นแน่ะ จริงๆนะ คนที่มีกิเลสจัดๆนี่ ลืมเจ็บ ลืมง่วง ลืมเจ็บจริงๆ เพราะกิเลส ตอบได้เป็นคำตาย อาตมาไม่รู้จะเอาคำไหนตอบ เพราะที่ฟังธรรม แล้วไม่มีกิเลสนะ มีกิเลสบ้าง ไม่ได้เหรอ ฟังธรรมะ (พ่อท่านหัวเราะ) มันยังจะเข้าท่า กว่าเนาะ มีกิเลสฟังธรรมะ ไอ้นี่ไปมีกิเลส ไปทำ เล่นไพ่อย่างนี้ ปัดโถ ! ก็พิจารณาเห็นเอาเองว่า เอ๊ ! ตัวเรา ทำไม ไม่ใส่ใจหรือไปทำ พยายามปรับ เห็นความดีความน่ายินดี เราน่าจะใส่ใจ เราน่าจะยินดี อย่างนี้จริงๆน้า เห็นแล้ว ก็พยายามทำใจ ให้มันเป็นจริงๆ และเห็นคุณค่าว่าจริงๆ มันได้ดีด้วยสิ่งเหล่านี้ มันจะเสริม ให้เกิดจาก ความจริง ทั้งนั้นน่ะ มันจะเสริมให้เราเกิดความยินดี ในการฟังธรรม

คำถาม : คำกล่าวที่ว่า พระโพธิสัตว์มีบริวารนับพันเป็นอเนก เป็นคำกล่าวของใครครับ

พ่อท่าน : พระพุทธเจ้าท่านตรัสนะ ท่านตรัส ไม่ใช่สำนวนว่ามีพระโพธิสัตว์ มีบริวารเป็นอเนกหรอก ท่านไม่ได้ บอกว่า มีบริวาร ท่านตรัสว่ามีลูก มีลูก มีลูก นับพันเป็นอเนก จำนวนพันเป็นอเนกเอง เป็นคำกล่าวของ พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์นี่ มีลูก จำนวนพันเป็นอเนก อ่ะ ! นี่ ตอบคำถามแล้วนะ

คำถาม : ถ้าเป็นดังคำกล่าวนั้น พวกเราที่นี่ และที่อื่นๆนับพันๆ คน จะถือว่า เป็นบริวารได้หรือไม่ ครับ

พ่อท่าน : อู้ ! คุณไปสมมมติคำว่าบริวาร มันก็เลยมาต่อข้อที่สอง ว่าบริวาร เป็นลูกไง เป็นเผ่าพันธุ์ เป็นเชื้อสาย เป็นลูก ท่านไม่เรียกบริวาร และไปหา ข้อ สามอีก

คำถาม : บริวารมีสิทธิ์หลุดออกนอกวงโคจรของอโศกหรือเปล่าครับ

พ่อท่าน : บริวารนี่ พัวพันไปถึงข้อสาม ข้อสาม ข้อสี่อีกแน่ะ บริวารอีกแน่ะ บริวารมีสิทธิ์หลุดออก นอกวงโคจร ของอโศกหรือเปล่าครับ ถ้าผู้ใดมีเชื้อแท้ ถ้าเข้า ใจว่าเป็นลูกเป็นเชื้อ ต้องเข้าใจนะ ว่ากรรมพันธุ์นี่ เป็นลูก โดยกรรม ไม่ใช่เป็นลูก โดยชีววิทยา ไม่ได้เป็นลูกโดยสายเลือด โดยชีวะ การผสมทางวัตถุรูป ทางชีวะน่ะ นี่เป็นลูกทางกรรม กรรมพันธุ์ เป็นลูกทางนามธรรม หรือ กาย วาจา ใจ เป็นลูกทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แล้วก็มาพยายามที่จะเป็น เหมือนให้มี เหมือนอย่างเดียว กันกับตระกูล ตระกูลนี้ มีกายกรรม ไปในทิศทางไหน ไปทิศทางของ ตถาคต โพธิศรัทธา เชื่อตามของพระพุทธเจ้ามา อาตมาก็เชื่อตาม แล้วก็เอามาถ่ายทอดเชื้อนี้ พวกคุณ ก็ต้องเอาเชื้อ ตามนี้ ๆๆ อาตมาเข้าใจว่า ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ อาตมาไม่ได้ มีหลอกจริงๆ เลยนะ จริงใจ แล้วก็เอามาถ่ายทอด อาตมาเอามาให้ อาตมาเอง อาตมาว่า อาตมา เป็นลูกแล้ว อาตมาก็ถ่ายเชื้อให้พวกคุณอีก กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเอาไป เป็นลูกอย่างนี้ ทอด อาตมา เอามาให้ อาตมาเอง อาตมาว่าอาตมาเป็นลูก แล้วอาตมาก็ถ่ายเชื้อ ให้พวกคุณอีก กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเอาไป เป็นลูกอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้น จะมีการหลุดจากวงโคจรออกจากนี้ได้ไม๊ หลุดได้ ถ้ามันไม่ใช่เชื้อแท้ เชื้อแท้ต้องมีขนาด หรือมีปริมาณที่เพียงพอ ที่จะไม่หลุด ที่จะไม่แปรพันธุ์ ไม่เปลี่ยนพันธุ์ ถ้าเรียนชีววิทยามา ก็ยิ่งชัดนะ ยิ่งดีนะ จะเข้าใจว่ามันไม่เปลี่ยนพันธุ์ อันนี้จะ ไม่เปลี่ยนพันธุ์ง่ายๆ แต่ถ้าเผื่อว่า มันไม่ได้ขนาด มันก็จะต้องเปลี่ยนพันธุ์ หรือมันก็จะต้อง แปรออก นั่นคือ ความหมายของคำว่า ออกนอกวงโคจร

คำถาม : ๔.พระโพธิสัตว์ ไม่มีบริวารถึงพัน เป็นไปได้มั้ยครับ

พ่อท่าน : เอา... เอาคำว่าบริวาร มาเป็นลูกอีกอย่างเก่านะ พระโพธิสัตว์ ไม่มีบริวารถึงพัน เป็นไป ได้มั้ยครับ ก็ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่าพระโพธิสัตว์ จะมีลูกน้อยกว่าพันเลย ก็ไม่เคยเห็นมี (พ่อท่านหัวเราะ) ก็เคยเห็นมีแต่อย่างนี้ ก็ อาตมาตอบไม่ได้นะ และอาตมาก็ไม่รู้ เพราะอาตมาเอง ก็มีลูกมากกว่าพัน เหมือนกันนิ อาตมาตอบไม่ได้

คำถาม : ๕.ใบอโศกที่ร่วงหล่น ไม่ว่าจะเป็นพระ ฆราวาส
ก. พระมีสิทธิเจริญงอกงาม ในอริยคุณ หรือไม่ครับ หมายความว่า ที่ล่วงหล่นไป ไม่ว่าพระ หรือ ฆราวาส มีสิทธิ์จะงอกงามในอริยคุณ หรือไม่ครับ

พ่อท่าน : อาตมาว่าคุณลองช่วยอาตมาคิดดูซิ พระก็ตาม ฆราวาสก็ตาม หล่น ออกจากวงโคจร ไปตาม ข้ออะไร? ข้อสาม ข้อสี่นี่ ที่ถามมาแล้ว ข้อสาม ว่าหล่นออกไปจากวงโคจรนี้แล้ว จะมีสิทธิ์ เจริญงอกงาม ในอริยคุณหรือไม่ครับ ที่จริง มันก็น่าจะตอบเป็นกลางๆ เพราะเราจะไป ระบุ มันก็คงไม่ได้ มันอาจจะมีเหตุ ปัจจัยอะไรมากมาย ที่จะหลุดออกไป จากวงโคจร ด้วยความวูบวาบ ก็ได้ จากความเกลียดชังจริงๆ จากความ ไม่เอาด้วย ไม่เห็นด้วยจริงๆ ถ้าไม่เห็นด้วยจริงๆ เมื่อมัน ไม่ได้อยู่ ในสายของอริยะ ที่จะสอนถูกทางจริงๆ เลยนะ ถ้าคุณเชื่อว่า ทีนี่เป็นสาย อาตมามั่นใจว่า ถูกทาง เพราะฉะนั้น อาตมาว่า ทางที่ถูก ของทางอื่น ก็ยังเห็นได้ยากอ่ะนะ ที่จะพากันจริงๆ ก็มีทางถูกบ้าง แต่ว่ายังไม่มาก ยังไม่เข้มข้นพอ เท่าที่อาตมารู้สึก พูดไปแล้ว มันก็ไปข่มผู้อื่นนะ มันก็ไม่ค่อยดี ก็ได้อริยคุณ ตอบง่ายๆ ได้ยากนะ ได้ยากนะ เจริญงอกงาม ทางอริยคุณมาก ถ้าอยู่ในหมู่ในกลุ่มดีแล้ว ไม่ว่าพระหรือฆราวาส แล้วก็ยังออกไป หล่นออกไป อาตมาว่า ยากนะ ก็สังเกตเอาก็แล้วกัน ถ้าอาตมาตอบนี่ มันอาจจะไม่จริง หรือจริงก็แล้วแต่ สังเกตผู้ที่ออกไปแล้ว ก็ยังอุตส่าห์กลับเข้ามา มาประพฤติปฏิบัติ เป็นฆราวาสมา ก็มาปฏิบัติอยู่ ตามไปอีกอย่างเก่า หรือมา ก็พยายามเข้ามา บวชเป็นพระอีกต่อไปให้ได้ อะไรก็แล้วแต่ ก็หยั่งงี้ ก็ยกไว้ใช่ไม๊ หมายความว่า ไม่เข้ามา หมายความว่า หลุดออกไปแล้ว ไม่เข้ามาเลย ไปเลย ไปหาทางอื่น เลย อันนี้อาตมาว่ายาก จะเจริญทาง อริยคุณยาก

คำถาม : ข.ฆราวาสจะประสพความสำเร็จในหน้าที่การงานหรือไม่ครับ

พ่อท่าน : สำเร็จนี่หมายความแค่ไหนล่ะ ถ้าประสพผลสำเร็จในระบบ บุญนิยม ไม่ ขอยืนยัน ขนาดอยู่ในนี้ ก็ยังเข็นกันจะตายจะเป็นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น จะบอกว่า จะเจริญผลสำเร็จ ในหน้าที่ การงาน ในระบบ บุญนิยม ไม่เจริญ แต่ถ้าจะเจริญในระบบทุนนิยม เป็นได้ อาจจะเป็นได้

คำถาม : พระจะมีความเจริญในอาชีพการงานหรือไม่ครับ

พ่อท่าน : อาชีพอะไร อาชีพอย่างการงานก็หมายถึงอาชีพ อย่างที่ถาม เหมือนกับข้อฆราวาส ถ้าในทาง ทุนนิยม หรือโลกีย์ อาจจะได้ แต่ถ้าไม่ใช่โลกีย์ เป็นอริยคุณ หรือเป็นบุญนิยม นะ ไม่มีทาง ยิ่งเป็นพระ ยิ่งไม่มีทางใหญ่ เพราะว่า อาชีพการงานทางโน้น เขาไม่ได้เข้าใจ อย่างทางนี้เลย ของพระเขาไม่ได้เข้าใจ อย่างนี้เลย ยากนะ อาชีพการงานนี่ ยากลึกซึ้ง

คำถาม : คนที่ตายไปแล้ว และไปเกิดเป็นเทวดา พรหม หรือสัตว์นรก ตามที่พระไตรปิฎกว่านั้น เทวดา พรหม สัตว์นรก เป็นตัวตน บุคคล เราเขาหรือเปล่า สัจจะจริงๆ เป็นเช่นไร มีสถานที่ หรือ ภูมิภพของเทวดา พรหม สัตว์นรกด้วยหรือ ขอให้พ่อท่านช่วยอธิบายให้เข้าใจด้วย ทุกวันนี้ คนเรา ยังเข้าใจ ผิดๆอีกมาก

พ่อท่าน : อ่อ...แสดงว่าคุณเข้าใจใช่ไม๊ (พ่อท่านหัวเราะ) ผู้ถามมานี่ ถาม เผื่อผู้อื่น หรือไง ในพระไตรปิฎก ที่ตรัสเอาไว้เยอะ ว่า ตายไปแล้ว ก็ไปเกิดเป็นเทวดา พรหม หรือสัตว์นรก นั้นน่ะ ตายด้วยร่างกายนี้ แล้ว ก็ จิตวิญญาณของเขา ถ้าภูมิเป็นเทวดา เขาก็จะไปเกิดเป็น เทวดาจริง ภูมิเขาเป็นพรหม จะไปเกิด เป็นพรหมจริง ภูมิเขาเป็นสัตว์นรก เขาก็จะไปเกิดเป็น สัตว์นรก จริง แต่อย่าลืมว่า เทวดา พรหม ภูมินั้นคือ จิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น จิตวิญญาณ นั่นล่ะมันเป็น ทีนี้ จิตวิญญาณ ไปอยู่ภูมิภพ ภูมิภพนี่ เราก็ไปเข้าใจ อย่างหยาบๆ ว่าภูมิ ภพ ก็จะเป็นสถานที่ เส้นแวง เท่านั้น เส้นรุ้งที่เท่านี้ อยู่ตรงนั้น ตรงนี้ในโลก ใบ วัตถุนี่ มันไม่เกี่ยวกันเลย แล้วคนเข้าใจว่า วิญญาณ นี่ มันจะเป็นแท่งๆ ก้อนๆ นะ อยู่กะส่วนใดส่วนหนึ่ง ก้อนเท่านี้ เท่านี้ แล้วมันก็มีกินที่ กินน่ากลัวว่า กินสถานที่ กินอากาศ กินตำแหน่ง อะไรอย่างนี้ มันไม่อ่ะ อาตมาไม่รู้ จะอธิบายยังไง เพราะว่า จิตวิญญาณนี่ เคยบอกแล้วว่า มันจะว่าเป็นกระแสก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นคลื่น ก็ไม่ใช่ จะว่าเป็น ก้อนๆ ก็ไม่ใช่ ตอบตายตัวอะไรก็ไม่ได้เลย ไม่รู้จะบอกว่ายังไง มันไม่มีตัวอย่าง ของวัตถุรูป ของตัว ที่จะอธิบาย ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ อย่างโลกเลย อาตมาเคยอธิบาย ได้แค่ใช้พลังงานเสียง พลังงานอะไร เทียบเคียงนิดๆ หน่อยๆ นะ แต่มันก็พูดไม่ได้ มันไม่รู้จะพูด ภาษาคนให้รู้ได้ยังไง นอกจาก คุณจะต้องรู้ด้วย ตัวเอง จนกระทั่งปฏิบัติตนเข้าไปลึก จนกระทั่งถึงรู้ อ๋อ... จิตวิญญาณ จริงๆ มันอยู่ในสภาพอย่างนี้ ซึ่งคุณ จะรู้อย่างนั้น คุณจะต้อง มีภูมิธรรม มีญาณ ที่สูงที่จะรู้ ถึงจะรู้จัก วิญญาณว่านี่ เราเป็น เรามี เราอยู่ในสภาพอย่างไร ขนาดรู้แล้วก็บอก พูด บอกด้วยภาษา ให้คนฟังด้วยกันไม่ได้ ท่านถึงเรียกว่า วิญญาณัง อนิทัสสนัง อนิทัสสนัง ก็คือ ไม่สามารถให้รู้ให้เห็น ทัศนะ ให้รู้ ให้เห็นกันได้โดยอนิทัสสนัง ไม่รู้จะพูดยังไงให้รู้ได้ อนิทัสสนัง มันไม่รู้ไม่เห็นได้ด้วย จะสื่ออะไรให้กัน รู้ด้วยอย่างไร ได้ง่ายๆ คุณต้องรู้ตัวเอง ต้องรู้ด้วยของตนเอง

ทีนี้เทวดา พรหม สัตว์นรก อะไรนั่น มันเป็นอย่างไร มันก็เป็นจิตจริง ถ้าคุณเป็นเทวดา แค่สมมติ คุณก็จะไปเสวย ภพภูมิที่มันสบาย ตามสมมติ เป็นโลกียะ เพราะฉะนั้น พวกที่ไม่เป็นจิตวิญญาณที่ ไม่ได้เข้าโลกุตรภูมิ ไม่ได้เป็นจิตวิญญาณที่มีภูมิธรรมถึงขั้น เป็นโลกุตรบุคคล ตายแล้ว จิตวิญญาณ เขาก็จะ เป็นอย่างโลกียะนั่นแหละ ถ้าเขาจะเป็นสุขก็คือ เหมือนกับคุณฝันนี่ คุณฝันได้ ขึ้นสวรรค์ ได้พบสิ่งสวยสิ่งงาม ได้อะไรต่ออะไร ได้เสพสมสุขสมตามที่คุณได้ บอกโอ๊ ชั้นก็มี มีวัง เหมือนไป สายฤาษีลิงดำโน่น จะเห็นชัด เขาปั้นให้ดูเลย เป็นวิมาน วิมานแก้ว วิมานทอง วิมานเพชร เพราะมา ทำบุญหลายล้าน ยิ่งหลายล้านเท่าไหร่ เขายิ่งจะพาไป นี่ ..ไปดูซิ วิมานของคุณเดี๋ยวนี้ เป็นเท่านี้ชั้น แล้วนะ วิมานแก้วขนาดนั้นขนาดนี้ คุณก็จะตาย แล้วคุณก็จะมีอุปาทานปั้นพวกนั้นน่ะ เป็น มโนมยอัตตา ของคุณไป ที่จริงไม่มีจริงเลย เป็นอุปาทาน ปั้นสำเร็จด้วยจิต จะเป็นอะไร ที่คุณไปติด ไปยึด อะไรก็ตาม สมใจว่าคุณจะมีเงินมาก คุณจะได้ของเขา ส่งมาให้บ้าง ไอ้นี่ไอ้นั่น อะไรบ้าง เป็นอุปทาน เป็นความปลอมปน เป็นความเรื่อง จิตนึกคิดเอาเอง เหมือนคุณฝันทั้งนั้นน่ะ อาตมาเทียบได้แต่แค่นี้ เหมือนคุณฝันนั่นแหละ คุณฝันว่าได้โน่นได้นี่ คุณฝันว่า สมใจอย่างโน้น อย่างนี้ นั่นคือสวรรค์ สวรรค์คือสมใจ นรกคือไม่ได้สมใจ เดือดร้อน คับแค้น ทุกข์ทรมาน ต่างๆนานา แล้วคุณไปทำอะไรไว้ในความเป็นจริง สัญญาตัวความจำจริงๆ ที่คุณไปผ่านไปพบมา คุณโกหก ตัวเอง ไม่ได้ เมื่อไปอยู่ในจิต เจตสิก มันจะต้องมีจิตเจตสิก

ที่จริงที่คุณไม่ได้โกหกใคร เมื่อไม่โกหกใคร คุณจะต้องเป็นจริง คุณทำชั่ว คุณรู้ชั่ว คุณทำทุกข์ คุณรู้ทุกข์ คุณเป็นสิ่งที่ต่ำเป็นต่ำ หรือคุณหลงว่าเป็นสุข แบบโลกียะ คุณก็หลงมันเท่านั้นเอง แต่ความหลง มันไม่แน่นอน ความจริงมันเป็นความจริง ความชั่วมันเป็นความชั่ว จริงกว่า คือ ความทุกข์นั่นเอง เพราะฉะนั้น มันจะเป็นความทุกข์ ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้น ดับไป คนขึ้นสวรรค์นี่ไม่อยู่นาน ลงนรกนาน เพราะฉะนั้น คนจะมีความสุขไม่นาน สุขโลกีย์นี่ ประเดี๋ยวเดียวก็ ตกลงนรก เพราะฉะนั้น ในภพของสมมติ นี่จึงมีนรกม๊ากมาก มากกว่า สวรรค์ มันเป็นความจริง ความรู้สึกจริงเป็นอย่างนั้น นี่พูดถึงแค่ปุถุชน นะ โลกียบุคคล ส่วนโลกุตระ ตายแล้วยังจะต้องเป็นยังไง ก็เป็นอย่างที่เขาเป็น ไม่พบความสุขที่แท้ชัด ความสุขที่สงบ ล้างภพ ที่มันวุ่นวาย มามากอะไรเท่าไหร่ มันก็จะว่างเบา จนกระทั่งเห็นว่า การเกิดมามีทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นกามนี้ มันทุกข์ ไม่เอาอ่ะ

พระอนาคามี จะไม่เกิดมาในภพกาม ก็ไม่ จิตมันเชื่ออย่างนั้น ไม่เอา จะอยู่อย่างนั้นก็สบายกว่า เพราะฉะนั้น ผู้ที่หลงเป็นอนาคามี ที่หลง ดูเหมือนจะมีนะ ปัญหาที่ถามว่า อนาคามี จะกลับมาเกิด ในกามนี้ ได้หรือไม่ ซึ่งอันนี้ ก็เป็นเรื่องชั้นสูง เป็นเรื่องชั้นสูง แต่อาตมาจะอธิบายให้ฟังบ้าง ให้มันถึง ปัญหานั้นเสียก่อน เพราะฉะนั้น ในจิตวิญญาณนี้ เทวดา หรือ พรหม หรือสัตว์นรก และก็แบ่งแยก ไปอีกเยอะแยะ เทวดาชั้นนั้น ขนาดนั้นขนาดนี้อะไรนี่ มันก็เป็นความหมาย ของค่า ของจิตวิญญาณ ที่เราได้ศึกษา และก็มีความได้ ความไม่ได้ ได้สิ่งดี เรียกว่า กัลยาณธรรม ตามฐานะ เป็นเทวดาชั้นดี ไม่ได้สิ่งดี ก็เรียกว่าเป็น หายนธรรม ก็ได้สิ่งชั่ว ก็เป็นสภาพทุกข์ร้อน หรือเลวทราม ต่ำช้าอยู่อย่างนั้น นั่น ตามความจริง ถ้าคุณปฏิบัติ จนกระทั่งเป็นอริยบุคคล คุณก็ได้อริยธรรม ให้แก่จิต วิญญาณ เอ้า ! เดี๋ยวค่อยไปต่อว่าภพภูมิที่ว่า เป็นไม่มีกาม ไม่มาเกิด ในกาม หรือว่า จะอยู่ในอะไรก็ดี ดูเหมือน จะมีปัญหานั้นอยู่ในนี้ อาตมาอ่านดูคร่าวๆ บ้าง อันที่มันไปถึงมือก่อน

คำถาม : คำว่าอรหันต์ ในโสดา มีความเป็นไปอย่างไร

พ่อท่าน : อรหันต์ในโสดา ก็หมายความว่า คำว่าอรหันต์นี่ หมายความว่า ถึงที่สุด ไม่ลึกลับ คำว่าอรหันต์นี่ หมดความสงสัย หมดความลึกลับ รู้แจ้ง แทงทะลุ แล้วซึ่งอันนั้น เรียกว่าอรหันต์ เรียกว่าจบ จบรอบ จบวิชา วิชาใดวิชาหนึ่ง มันแบ่งเป็นวิชาก็ได้ โสดาบัน ก็ได้เขตหนึ่งตามกำหนด ได้ความสมบูรณ์ของอันนั้น งั้นอรหันต์ในอันนี้ เพราะโสดา จะเรียนกี่วิชา วิชานั้นอะไรบ้าง สอบได้ จบอันนี้ เป็นโสดา ก็เป็นอรหันต์ของโสดา สกิทาก็ต้องเรียนนี้ด้วยขนาดนี้ คุณทำความบรรลุหลุดพ้น ได้ขนาดนี้ของสกิทา เป็นตัวจบจริง จบแล้ว คุณก็เป็นสกิทา อย่างนี้ เป็นต้น ก็อรหันต์ในสกิทา อนาคาก็เหมือนกัน และสูงสุด อรหันต์ในอรหันต์ก็เหมือนกัน

คำถาม : ลักษณะอย่างไร จึงเรียกว่าอริยะ

พ่อท่าน : ลักษณะโดยคำจำกัดความของชาวพุทธ นี่ อริยะ หมายความว่า เป็นฐานที่ลดโลก เลิกโลก ลดโลกียะ นั่นแหละ ในโลกของโลกียะ ก็คือมีสุข มีทุกข์อยู่ในของโลกียะ พอเริ่มต้นรู้โลกนี่ รู้อันนี้ให้ชัด แล้วก็เลิกสุขเลิกทุกข์ ที่มันหลงสุขอยู่ ก็เพราะว่ามันไม่เข้าใจว่า มันสุข หลงสุข แล้วมันก็มีเหตุ แห่งความที่จะสมใจ อยากได้สมใจอันนี้ เป็นทุกข์ เป็นตัวเหตุ เป็นสมุทัย ฆ่ากิเลส ตัวอยากอันนี้ โดยยังไม่เข้าใจว่ามันเป็นสุข มันไม่ใช่สุข สุขมันไม่มีจริง มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป มีแต่ทุกข์ เพราะฉะนั้น เราก็ดูให้ได้ว่า มันกิเลสนี่แหละ ตัวเหตุแห่งทุกข์ ฆ่ากิเลสนี่แหละคือตัวทุกข์ คือเหตุแห่งทุกข์ ฆ่ากิเลสหมด กิเลสที่ตัวอยากมันก็ตาย ถ้าตายสนิทแล้ว มันก็ไม่มีตัวอยาก มันก็ไม่ต้อง มีสุขอีก แล้วมันก็ตัวเหตุ คือตัวเหตุแห่งทุกข์ ที่จะพาไปทุกข์ ที่จะเป็นทุกข์ มันก็ตายสนิทแล้ว ทุกข์มันก็ไม่มี สุขมันก็ไม่มี คุณรู้ทาง รู้เข้าใจ อย่างนี้เป็นมรรค รู้ทางปฏิบัติ แล้วก็ปฏิบัติก็เรียกว่า อริยมรรค ทั้งนั้นจนได้ผล ก็เรียกว่าได้ผล ในมรรค เดินทางได้สั่งสมไปเรื่อยๆ ก็เรียกว่า การได้เดินทาง เหมือนกับเดินไปในถนนนี่ คุณรู้ว่า ตรงโน้น คือปลายทาง คุณเริ่มต้นรู้ เอ้า ! เริ่มต้นสตาร์ท ปฏิบัติ ก็คือเดินทาง สั่งสมได้อริยคุณไปนี่ ได้ก้าวหนึ่ง สองก้าว สามก้าวก็เป็นอยู่ในทาง ถูกต้องนะ ไม่เดินออกนอกทางนะ ไม่ได้เป็น มิจฉามรรค นะ เป็นสัมมามรรคนะ ถูกนะ ได้มั่ง เสียมั่ง แต่ก็ไอ้สิ่งที่ได้นี่คือ สัมมาทั้งนั้น ก็เดินทาง ไปเรื่อยๆ จนจะถึงปลายทาง สุดทาง ปลายทาง ก็เรียกว่าผล แต่ที่จริง ก็สะสมผลเหมือนกัน ทางเดิน ก็คือปฏิบัติไป สะสมไปเรื่อยๆ ได้ผลไปเรื่อยๆ แต่คำว่าผลจริงๆ ก็หมายความว่า ครบรอบ ครบผลของมัน ในขีดหนึ่ง กำหนดเขตหนึ่ง กำหนดอันหนึ่ง จุดสมบูรณ์อันหนึ่ง ก็เรียกว่าผล ก็เรียกว่า อริยผล ก็มีสองอันเท่านั้น คืออริยมรรค กับ อริยผล ทีนี้ก็รอบไหนล่ะ รอบโสดา สกิทา อนาคา ก็ว่ากันไป

คำถาม : ทำอย่างไร จึงจะเกิดเป็นพระอานนท

พ่อท่าน : อ้อ...อยากเกิดเป็นพระอานนท์ มีในพระไตรปีฎก ก็เล่านะ ว่า อยากจะเกิดเป็นแบบ พระอานนท์ ก็อธิษฐานตั้งใจว่า พระอานนท์ มีคุณธรรมอย่างไร มีความเก่ง มีเอตทัคคะอย่างไร ท่านเป็นผู้ที่มีความจำ เป็นเลิศ ท่านเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ เป็นพหูสูตร มีเยอะนะ พระอานนท์ มีส่วนเด่น หลายอย่างเลย นะ เราอยากเป็นอย่างพระอานนท์ ก็ฝึกฝน ตั้งใจ อธิษฐานแปลว่า ตั้งใจ ไม่ใช่ไปนั่งสาธุ ...ขอให้เป็นพระอานนท์ สาธุ... ขอให้เป็นพระอานนท์ ไปเจออะไรก็นั่งสาธุ ไม่ใช่

อธิษฐานคือตั้งจิต แล้วก็ทำตามที่ตั้ง ก็ทำตามที่ตั้งอย่างไร มันจึงจะได้ คุณลักษณะอันนั้น อยากจำได้ ก็ฝึกซิ ทำอย่างไร ถึงจะจำได้เก่ง มีวิธีการอย่างไร ก็หา เรียนวิธี ทำอย่างไร ถึงจะเป็นคน ที่มีความรู้มาก เป็น พหูสูต ก็หาวิธีทำให้ตัวเองเกิดพหูสูต เกิดความรู้ที่มาก ๆๆๆ อะไรพวกนี้ เป็นต้น

คำถาม : มีพระอรหันต์มาประชุม ๑,๒๕๐ รูปในวันมาฆบูชา แต่ทำไม ถึงไม่กล่าวถึงชื่อ พระอรหันต์ รูปเหล่านี้ว่า มีความสามารถอะไรบ้าง มีบางรูป ที่กล่าวถึงบ่อยๆ เช่น พระอานนท์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ทำไมถึงไม่กล่าวถึงพระอรหันต์รูปเหล่านั้น

พ่อท่าน : ก็... มันจะไปกล่าวไหวยังไงหละ ก็มันเยอะมันแยะ มันก็เป็นธรรมดา อยู่ในชาวอโศกนี่ ยังมีตัวเด่นๆ ดังๆ อยู่ไม่เท่าไหร่เลย แต่ก็ช่วยกันทำงาน อยู่ทั้งนั้น ยิ่งเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านไม่ต้องการ จะต้องมีชื่อ มีเด่นมีดังอะไรแล้ว แต่ ชื่อเขาจะรู้ก็รู้ไป เขาไม่รู้ก็ไม่รู้ไป ท่านหมดตัว หมดตนแล้ว ทำไมไม่กล่าวชื่อชั้นบ้าง ไม่มี เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีเป็นธรรมดา ที่คุณมาเรียกร้อง ให้กล่าวนี่ก็เพราะว่า คุณไม่ใช่พระอรหันต์ (คนฟังหัวเราะ) นี่คือคำตอบ (พ่อท่านหัวเราะ) แล้วมันเป็นธรรมดา ธรรมชาติอย่างนั้น่ะ เป็นธรรมดาธรรมชาติ อย่างนั้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่ท่านมี และท่านก็มีจริงๆ แม้แต่ไม่ได้ทำความดีความเด่น เหมือนพระอรหันต์หลายๆรูป เหมือนพระอานนท์ เหมือนพระสารีบุตร เหมือนพระโมคคัลลา อย่างที่ว่า คนยังรู้จักชื่อเลย อย่างพระเทวทัต เป็นต้น (พ่อท่านหัวเราะ) คุณอยากเด่นอยากดังไม๊ล่ะ อย่างพระเทวทัต ก็ดังได้ มีชื่อ หรือ ฉัพพัคคีย์ต่างๆ ที่ทำตะแบงๆ ทำอะไรผิดๆ พลาดๆออกมา ไม่ใช่ความดีหรอก นะ แต่ดังได้เหมือนกัน อยากดังเหรอ อยากมีนาม มีชื่อเหรอ อยากมีชื่อเสียงเหรอ ไม่ใช่ประเด็นเลย อยากมีชื่อมีเสียง ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ คุณทำให้มันดีๆๆๆ ถึงรอบ มันดี ถึงรอบมันเด่น ถึงรอบมันมีชื่อมีเสียง มันเป็นของมันเอง ถึงแม้จะมีชื่อ มีเสียงหรือไม่มี ถ้าคุณทำให้ตัวบรรลุอรหันต์แล้ว มีหรือไม่มี ก็ช่างหัวเผือกเถอะ (คนฟังและพ่อท่านหัวเราะ) ใช่ไม๊

คนฟัง : ใช

พ่อท่าน : หัวเผือกมันโตกว่ามันหน่อย (คนฟัง และพ่อท่าน หัวเราะ) หัวเผือกมันโตกว่ามันหน่อย จะมีชื่อ หรือไม่มีชื่อ มันเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง เท่านั้นนะ แล้วคุณก็อยากให้เขามีชื่อไปอยากทำไม ตัวเขาเอง เขายังไม่อยาก มีชื่อเลย พระอรหันต์ทั้ง ๑,๒๕๐ รูป ที่ไม่ได้กล่าวชื่อท่าน ท่านก็ไม่เคย เดือดร้อน ขึ้นมาทวงถามเลยว่า ทำไมไม่เอาชื่อชั้น มากล่าวมั่ง ท่านก็ยังไม่เคยทวงเลย ไม่แปลก อะไรหรอกนะ

คำถาม : การที่เราเจอกับกามวิตก และเราก็ได้ฝึกในการแก้ไขทั้งหมด ๕ ข้อ ที่บอกไว้แล้ว ก็ยัง ไม่สามารถ เลิกได้ พ่อท่านคิดว่า ยังมีข้อไหนอีกที่ว่า จะทำให้เราตัดได้เร็ว แบบขาดฉั้วะเลย โดยเฉพาะ ข้อที่ รักเขา ด้วยความสงสาร (พ่อท่านและคนฟังหัวเราะ)

พ่อท่าน : ไอ้คำว่าสงสารนี่ มันเป็นข้อแก้ตัว อันน่าตีกบาลจริงๆ (คนฟังหัวเราะ) ไอ้คำว่าสงสารนี่ คนเรา ถ้ามีความสงสารนะ จงซื่อสัตย์ และจริงใจ คนที่เราไปสงสารเขานั้น อาตมาเชื่อแน่ว่า คนที่น่าสงสารกว่าเขา นี่มีอีกมาก ไปพิจารณา พิจารณาจริงๆ ในหมู่คน สักร้อยคนนี่ คุณบอกว่า อู๊ย คนนี้น่าสงสาร จริงๆแล้ว ในร้อยคนนี่ คนที่น่าสงสารกว่าคนนี้ จะมี แต่คุณทำไมไม่สงสารเขา ใช้กระบองตีให้เลย (คนฟังหัวเราะ) เสร็จแล้ว ก็แปลความสงสารนั้น เป็นความรัก ที่จริงอ้าง ที่จริง ไม่ได้สงสารหรอก รักเขา แต่มาอ้างว่าสงสาร มันน่าช่วยเหลือ น่าสงสาร น่าเอาใจใส่ น่าจะต้อง ดูแลใกล้ชิด น่าอะไร กระบองน่าตีทั้งนั้นน่ะ (คนฟังหัวเราะ) ทำเป็นพูดหน่อยเลย จริงๆนะ คุณไปพิจารณาจริงๆสิ ถ้าคนที่น่าสงสารจริงๆ และคุณสงสารจริงนะ มันจะเห็นเลย ว่าโอ๊! คนนี้ น่าสงสาร เพราะว่าง่อยเปลี้ยเสียขา แต่ก็ไม่รักเขา (คนฟังหัวเราะ) หรอก (คนฟังหัวเราะ) จริงม๊า เขาทุกข์ทรมาน ทรกรรมอะไรอย่างนั้น เป็นต้น มันไม่จริงอ่ะ เอาสงสารมาแก้ตัว มาอ้าง แหม... อย่าเลย อย่าทำเลย อย่าพูดแก้ตัว อาตมาจับไต๋ได้ อย่ามาทำแก้ตัว

เอาหละ ก็ถามเอาว่า เจอกับ กามวิตก แล้วจะแก้ไขให้ได้อย่างไร แล้วบอกว่า ได้แก้ไขทั้งหมด ๕ ข้อ ที่บอก ไว้แล้ว ก็ซ้ำซาก ทำมันจริงๆ ที่ทำโดยหลักการของพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้แล้วว่า ให้ทำอย่างนี้ นะ การทำ กามวิตก นี้จะฆ่าด้วยอะไรหละ อสุภะ หรือ อะไรต่างๆพวกนี้ อ่ะนะ ให้เราทำจริงๆ อย่างใจ เอาใจใส่ โยนิโสมนสิการ ทำให้มันถูกๆๆ จริงๆแล้ว ได้ผล คุณบอกว่าทำแล้ว เพราะคุณ ทำไม่ถูกต้อง คุณทำอย่าง ไม่โยนิโสมนสิการ ทำอย่างไม่แยบคาย ทำอย่างไม่ถูกถ่องแท้ และทำ ยังไม่มากพอ เพราะเมื่อทำ ยังไม่ถูกแท้ๆ ยังไม่มากพอ กามมันก็กินศรีษะคุณ อยู่นั่นเอง (พ่อท่านหัวเราะ) อ๋อ ..เก่งนิ แปลศีรษะว่าหัวได้ (คนฟังหัวเราะ) กามมันก็ กินคุณอยู่นั่นแหละ ที่จริง มันไม่กินหัวธรรมดา มันกินหัวใจ มันกินจิตใจ (พ่อท่าน หัวเราะ) ไม่ใช่กินหัวธรรมดา กินหัวใจคุณ อยู่นั่นแหละ คุณทำจริงๆ คุณทำไม่ถูกตรง อย่างจริงจังไม่ถูกอย่างถ่องแท้ และทำ ยังไม่มากพอ ถ้าทำถูก อย่างถ่องแท้ ก็ทำไปเรื่อยๆ มันยังไม่มากพอ จนกระทั่ง หมดฤทธิ์หมดแรง มันก็ยังมีอยู่นั่นเอง นี่คือ สัจจะ ตอบเหมือน กำปั้นทุบดิน และอย่ามาแก้ตัวว่า สงสารนะ อย่า ชอบเอามาแก้ตัวนัก ไอ้คำว่าสงสาร เมื่อกี้ อ้างเหตุผลให้ฟังแล้ว คนที่น่าสงสารจริงๆนี่ คนที่ง่อย เปลี้ย เสียขา เจ็บป่วยอะไร อะไรเป็นอะไร ก็แล้วแต่เถอะ ทุรนทุราย อะไรนั่นน่ะ ก็น่าสงสารกว่า ใช่มั้ย แต่เปล่าหรอก ถ้าสงสารเขาจริงๆ ไม่ได้ไปรักเขาหรอก เพราะว่า มันไม่น่ารักนี่ มันง่อยเปลี้ย เสียขา (คนฟังหัวเราะ) จริงๆ ชอบจะไปต้อง ไปสงสาร คนที่ถูกสเป๊ค อ๊า! (พ่อท่านหัวเราะ) ชอบไป สงสารคนที่ ถูกสเป๊ค มันน่าเอา จริงจริ๊ง มันน่าเอากระบองเข่นจริงๆเล้ย ไอ้ข้อแก้ตัวอย่างนี้ ไปแก้ กะใครก็แก้ได้ อย่ามาแก้กะสมณะโพธิรักษ์นะ (คนฟังและพ่อท่านหัวเราะ)

คำถาม : คนที่ตายในภูมิ พระอนาคามิบุคคล เกิดอีกหรือไม่ (การเกิดในที่นี้ หมายถึง เกิดในมนุษยโลกอีก) ถ้าไม่เกิดอีก เพราะอะไร ถ้าจะเกิดอีก มีนัยเงื่อนไข

พ่อท่าน : นี่...ถามนี่ก็ต้องตอบ ที่จริง เป็นความรู้ของระดับ พระโพธิสัตว์ เป็นความรู้ระดับสูง ระดับแอ๊ดว้าน ไม่ใช่ระดับธรรมดาที่ถามมานี่นะ ที่จะตอบนี่ แต่ถ้าตอบตามความรู้ตามธรรมดา ไม่ใช่ระดับชั้นสูง หรือ ชั้นแอ๊ดว้าน อย่างที่นั่นน่ะ ตอบธรรมดา ก็คือว่าไม่เกิดอีก คนที่ตายใน ภูมิพระอนาคามีแล้ว จะไม่เกิดอีก แต่อาตมาบอกแล้วว่า ใครก็ตาม อย่าไปว่า แต่อนาคามีเลย แม้พระขีณาสพ ก็อย่างที่เราเคยเอายกแล้ว ในสูตร พระขีณาสพ ตายแล้ว ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก อย่ากล่าวนะ มิจฉาทิฏฐิ มีทางไปสองทางคือ เดรัจฉาน กับสัตว์นรกนะ (พ่อท่านหัวเราะ) ทำเป็นเล่นไป ตอบไม่เกิดอีก ตายตัวไม่ได้ เพราะฉะนั้น คำตอบนี้ พวกเราได้ผ่านมาแล้ว จึงตอบ อย่างที่ไม่ใช่พาซื่อ อย่างระดับพื้นๆ บอกไม่เกิดอีกหรอก อนาคามีเราก็เคยพูด และเราก็เคยได้ยิน เพราะฉะนั้น จะตอบอย่างนั้นจริงๆ กับคนอื่นๆ อาตมาก็อาจจะตอบ อย่างผู้ที่เขาตอบ ไม่เกิด เป็นกลางๆนะ แต่ก็ต้องไม่ระบุว่าอะไรเกิด อะไรไม่เกิด แต่นี่ระบุไปเลยว่า การเกิดทั้งหมดนี้ หมายถึง เกิดในมนุษยโลก คือหมายความว่า มีร่างกายขันธ์ ๕ นะ การมีร่างกาย ขันธ์ ๕ จะเกิด อย่าว่า แต่อนาคามี แม้แต่อรหันต์ ก็เคยกล่าวไปแล้ว ถ้าผู้ที่ตั้งจิต จะมาเกิด ต่อให้คุณเป็น อรหันต์ ก็มาเกิดได้ อย่างที่กล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น อนาคามี ทำไมจะเกิดไม่ได้ เกิดในร่างมนุษย์นี่ ก็เกิดได้ แต่ทำไมมันเป็นอย่างนั้น สามัญมันเป็นอย่างนี้ คนที่รู้ทุกข์ กามนี่มันทุกข์ พระพุทธเจ้าก็ตรัส และ คนที่เห็นทุกข์นี่ เห็นจริงๆ อย่างที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสเลย กามนี่มันทุกข์มาก มันมีสุขน้อย เพราะฉะนั้น โลกที่เกิดมาวนเวียนในกาม มีตา มีหู มีจมูก ลิ้น กาย ใจ อะไรโอ๊ย...มันพาทุกข์ทั้งนั้น

พระอนาคามี ที่ไม่ได้ศึกษา สั่งสมอะไรมากแล้วนี้นะ ไม่ได้เรียนละเอียด อย่างที่อาตมาพูดนี่นะ พอภูมิถึงอนาคามีจริง โอ๊ย ไม่เอาแล้ว เกิดมาอีกนี่ มามีร่าง มีขันธ์ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่เอา เพราะฉะนั้น พวกนี้จึง ไม่มาเกิดจริงๆ ฟังเข้าใจม๊ะ

พ่อท่าน : เออ... (พ่อท่านและคนฟังหัวเราะ) พระอนาคามีที่ว่านี้ พระอนาคามี เรียกว่า พระอนาคามี ธรรดาๆ นั่นท่านไม่รู้มาก ไม่ตั้งอะไรมาก ไม่วุ่นวายอะไรมาก ไม่พื้นฐานง่ายๆ ในความรู้ ในระดับมิติตื้นๆง่ายๆ พระอนาคามี ก็จะไม่มาเกิดอีก เพราะฉะนั้น ยิ่งไม่มีความรู้ ไม่มา ใครมาอธิบาย อย่างอาตมานี่ แหม ...ช่างอธิบายจริ๊ง ละเอียดลออ ภพภูมิอะไร มากมาย ซับซ้อน เยอะแยะ เขาก็จะปล่อยให้ชีวิตไม่เกิดมา แต่ก็ยังจะไม่สูญ ดังที่ตรัสไว้ในพระไตรปิฎก ก็มีเยอะ ว่าจะไปสูญ ในระยะเวลา เท่านั้นเท่านี้ ช่วงนั้นช่วงนี้ ก็เป็นจิตวิญญาณ ที่มันไม่ลงต่ำ อีกแล้ว แล้วมันก็จะสลายตัวไป แต่นาน ทรมานมาก ไม่ใช่ทรมานอย่าง กามนะ แต่ทรมานที่ยังมีภพ อาตมานี่ รู้จักภพดี ว่าทุกข์ของภพ มันก็ โอ้โห สารพัดทุกข์ ทุกข์ของภพ นี่เข้าใจดี เพราะฉะนั้น ถ้าจะไปอยู่อย่างนั้น มันไม่มีประโยชน์อะไรนักหนาหรอก มันก็ไปจมอยู่กับภพ โอ๊ย... กว่ามันจะมี เหตุปัจจัย ให้สลายไปจนสูญ จนสิ้น ภาษาคน มันนับไม่ได้หรอก อายุกัปอะไรต่างๆ นานา นี่มันนับ ไม่หวาดไม่ไหว

ถ้าเผื่อว่าสามารถที่จะบรรลุอรหันต์เป็นธรรมดาไปนี่ ไม่ต้องไปค้างแค่ อนาคามีนี่ เอาให้ได้ ถ้าเป็น อนาคามี อยากจะให้มันไม่ต้องไปช้า นาน ถ้ามันได้ร่างคน จะเร็วกว่าไปอยู่ที่ภพ ที่มัน อย่างที่ว่า นั่นอีก กว่าจะสลายหมด เป็นอรหัตตผล เป็นสูญเลย เป็นปรินิพพาน มันนาน เพราะฉะนั้น มาเกิด เป็นคนนี่อีก อนาคามีนี่เกิดเป็นคนนี่อีก เอา ปฏิบัติเพราะว่า มันมีภูมิที่แท้จริง แล้วนี่นะ มันไม่ตกต่ำ หรอก และมันก็ จะเรียนรู้ได้ไวกว่า เพราะว่าเป็นสูรา สติมันโต อิธะ พรหมจริยวาโส เป็นภูมิที่มี สูรา มีทุกอย่างครบครัน แข็งกล้า มีองคาพยพตา หู จมูก ลิ้น กาย มีความรู้สึก ประสาท มีอุปกรณ์ ให้จิตวิญญาณได้ใช้ เป็นอุปกรณ์การศึกษาได้สมบูรณ์ เร็ว ไว ชัด

คำถาม : การบำเพ็ญบารมีของคนเรา การบรรลุอริยภูมิ จะเพิ่มระดับขึ้น ทุกชาติเสมอไปหรือไม่ กรณี สามัญชน กับ พระโพธิสัตว์ มีแง่แตกต่างกันอย่างไร นี่ ประเด็นที่สอง เช่น ชาติพระเวสสันดร ได้บรรลุเพียง พระสกทาคามี ในขณะที่เคยบรรลุเป็นพระอรหันต์ มาก่อนแล้ว ในสมัยพระทีปังกร

พ่อท่าน : แหม...เรียนมาก มันรู้มากอย่างนี้นี่น้า อันนี้ ตอบยากเหมือนกัน นะ แต่ว่าจะพยายาม ตอบให้ฟัง เมื่อถามมาแล้ว เป็นเรื่องที่ซับซ้อน ตีลังกาน่าดูเลยนะ เอา เอาประเด็นแรกก่อน การบำเพ็ญ บารมีของคนเรา การบรรลุ อริยภูมิ จะเพิ่มระดับขึ้นทุกชาติเสมอไปหรือไม่ อย่าว่าแต่ผู้ที่ บรรลุอริยภูมิ เป็นพระโสดาบันแล้ว และก็บอกว่า เกิดมาอีกเจ็ดชาติ แล้วก็จะได้บรรลุอรหันต์ อาตมาเคยอธิบายให้ฟังแล้ว อย่าเข้าใจว่า เกิดเจ็ดชาติ อันนี้คือการเกิดทางกาย การเกิดทางกายนี้ ไม่เข้าท่าอะไรหรอก ถ้าคุณไปเข้าใจอย่างนั้นผิดๆ เอาหละ... เราบรรลุโสดาบันแล้ว เอ้า.... ท่านตรัส เอาไว้ อีกเจ็ดชาติ นี่นะ อย่ากระนั้นเลย เราก็สบายๆ รอ ปู๊ดลงไปจากท้องพ่อท้องแม่หนึ่งชาติ เสร็จแล้วก็ ไม่พากเพียรอะไร ไม่ปฏิบัติอะไรหรอก รอหนึ่งชาติ ให้ผ่านไป เพราะเกิดมาแล้ว ชาติหนึ่ง นี่นะ ชาติที่สองจะได้เกิดเป็นคนอีกหรือเปล่า ยังไม่รู้เลยทีนี้ ปุ๊ดออกมา อีกชาติหนึ่ง เจ็ดชาติแล้ว ก็ยังเป็นพระอรหันต์ โดยไม่ต้องปฏิบัติอะไร ไม่พากเพียรอะไร อีกเจ็ดหมื่นเจ็ดแสนเจ็ดล้านชาติ ก็ไม่มีทางได้บรรลุอรหันต์ เพราะมันไม่ได้มีความเกิด ทางจิตวิญญาณ ต่ออีกเลย เข้าใจไม๊.

พ่อท่าน : ได้... โสดาบันเกิด ถ้าบอกว่าที่ภูมิขณะตาย ขณะนี้นี่นะ ชาตินี้ตาย ตายในภูมิของ สัตตขัตตุปรมโสดา หมายความว่า ตายในภูมิ ของขนาดนี้ ถ้าตายแล้วนี่ ถ้าเกิดมาชาติหน้านี่ หรือถ้าทำโดย ความพากเพียร ตามที่เคยทำนี่นะ จะประมาณเจ็ดชาติ และพากเพียร โดยอินทรีย์พละ ขนาดนี้จะหมดกิเลส แต่เกิดมาชาติที่สองต่อ เราได้เกิด เราเกิดเพียรมาก เลยนะ เพียรดีถูกทางดีอะไรดี ย่นย่อ ไม่ถึงเจ็ดชาติได้ ไม่แปลก ท่านบอกว่า อย่างมากเจ็ดชาติ ท่านไม่ได้ บอกว่า ตายตัวเจ็ดชาติ และ เกิดอย่างมากอีกเจ็ดชาติ แต่เจ็ดชาติ นี้ไม่ใช่ ความหมาย ทางร่างกาย ไม่ใช่ที่คลอด ออกมาจากครรภ์มารดา แต่เป็นการเกิด จากภพภูมิทางจิตวิญญาณ ความเจริญ ที่จะต้อง ได้รอบ ของอรหัตตผล หรือได้รอบ ของรอบที่เรียกว่า ขั้นตอนของฐานฐานะ ได้ เหมือนกับ คุณไปเรียนวิชานี้ได้ นี่ ทำ ยูนิตนี่แหละ ต้องมีเจ็ดยูนิตนะ คุณได้ยูนิตนี้ได้ สมบูรณ์หละ ก็ได้อะไรงี้ คล้ายๆ กันอย่างนี้ แต่มันลึกซึ้งกว่านี้นะ ไอ้แค่เจ็ดยูนิต นี่มันก็แค่รูปธรรม อธิบายให้ฟัง เท่านั้นเอง นะ เพราะฉะนั้น เพิ่มทุกชาติหรือไม่ อยู่ที่คุณ กรณีสามัญชนกับ พระโพธิสัตว์ มีแง่ แตกต่างกัน อย่างไร อ้าว... สามัญชน กินความแค่ไหน พระโพธิสัตว์ นี่มีความชัดอยู่แล้ว ว่าจำกัดความว่า พระโพธิสัตว์ คือผู้ที่มีโพธิ มีตัวตรัสรู้ แม้แต่เป็นพระโสดาบัน มีอริยคุณ แล้วเรา ก็จะเป็นผู้ที่ทำงาน ตั้งจิต เป็นโพธิสัตว์ ก็ย่อมได้ ว่าเราจะเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน พระโพธิสัตว์นี่ มีแง่ง่ายๆ ว่า เป็นผู้ที่ทำประโยชน์ เพื่อผู้อื่น ช่วยรื้อขนสัตว์ ช่วยสร้างประโยชน์ท่าน อรหัตตคุณ หรือ อรหันต์ คือประโยชน์ตน โพธิสัตว์ คืออรหัต คือประโยชน์ท่านมา เพราะฉะนั้น ในเรื่องของรูป ในเรื่อง ของวิบาก มันจะมีวิบากและมีเรื่องของรูป ที่จะเดินไปตามวิบากของรูป เท่านั้นเอง สักแต่ว่าเป็น สักแต่ว่ามี จะมีอารมณ์อย่างโลก จะมีความรู้สึกอย่างโลก ก็เป็นไปเพื่อศึกษา ศึกษาแต่ไม่ติด ทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะพวกที่มีตัวทิ้งได้แล้ว ก็ทิ้งได้ และคุณจะไปคำนวณ คำนึงถึง อารมณ์ของพระโพธิสัตว์ ไม่ได้ ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันเลย เป็นอันขาด

แม้แต่ที่เอามาถามนี้ เอาประวัติพระพุทธเจ้ามาถามว่า สมัยเป็น สุเมธดาบส พระทีปังกร ก็ว่าบรรลุ อรหันต์แล้ว แต่ท่านไม่ยอมบรรลุ ท่านย้อนจะมาเกิดอีก ก็จึงมาเกิดอีก จนกระทั่งเป็นชาติสุดท้าย ก่อนจะไปเป็น พระพุทธเจ้า คือชาติเป็นพระเวสสันดร ทำไมยังมามีลูก มีเมียอีก การมีเหล่านั้น มันเป็นเรื่องของวิบาก หรือเรื่องของสิ่งที่ท่าน จะศึกษา แต่โดยจิตจริงๆ แล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างโลกๆ อาตมาก็ไม่รู้ จะอธิบายอย่างไรกับพวกคุณนะ อาตมาได้ภาษาหนึ่ง ที่ใช้อยู่เสมอ ก็คือเรื่อง ลิงลม อมข้าวพอง ก็มาอยู่กับโลกีย์นั่นอันหนึ่ง อีกอันหนึ่ง ก็คือจะต้องใช้ วิบากโลกสมมติสัจจะ นี่แหละ กะโลกนี่แหละ เพื่อสร้างสรร เพื่อทำงาน เพื่อเป็นไปด้วยดี

ถ้าเผื่อว่าท่านมีกำลัง มีอินทรีย์พละ มีตัวที่ตัดก็จะปิดของท่านไว้ และท่านก็จะเป็นไปอย่างนี้ เพื่อศึกษา หรือเพื่อเป็นประโยชน์ มันก็เป็นเรื่องของท่าน อันนี้ มันเป็นสัจจะของแต่ละบุคคล ในระดับสูง เพราะฉะนั้น คุณจะไปเข้าใจว่า ท่านบรรลุภูมิแค่สกทาคามี บรรลุภูมิ แค่อนาคามี คุณไปเรียกท่านโดยประมาณ ประมาณประเมินท่าน เท่านั้นเอง ถ้าท่านที่มีแล้ว คุณจะไปประเมิน ท่านเล่นยังงั้น มันเหนือที่จะไประบุ หรือว่า ไปกำหนด ไปตีค่าท่าน มันตีค่าไม่ได้นะ

พ่อท่าน : เหอ!... อ้อ...ขอบคุณ เอ้า! จะสี่โมงแล้วนะนี่นะ เมื่อยรึยัง

คนฟัง : ยังค่ะ

พ่อท่าน : มันม่วน เอาแต่เสียงในฟิล์ม น้อ มันสนุก ๆ มันสนุกแรง (คนฟังหัวเราะ) สนุกแรง สนุกมาก สนุกอย่างแรงๆ มีน้ำหนัก สนุกเยอะ สนุกแรง

คำถาม : ขอความกรุณาพ่อท่าน ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับสงครามอ่าวเปอร์เซีย (พ่อท่าน: เอา !) (คนฟังหัวเราะ) จะทำยืดเยื้อจนกระทั่งก่อตัวเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๓ หรือเปล่า ขอให้แสดง ความคิดเห็น

พ่อท่าน : อาตมาไม่คิด และอาตมาก็เลยไม่เห็น เมื่ออาตมาไม่คิด เมื่อไม่เห็น ก็เลยตอบคำถาม ของคุณไม่ได้ จบ (คนฟังหัวเราะ) เอ้า! นี่ จริงนะ อาตมาไม่คิดหรอกว่าจะยืดเยื้อไปเท่าไหร่ เมื่อไหร่ แล้วมันจะเกิด ...ไอ้เรื่องนี้ มันจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๓ หรือไม่เกิด อาตมาไม่ได้คำนวณ ไม่ได้คิด จริงๆ ไม่มีตัวจบที่อาตมาเห็นว่า มันควรจะเป็นอย่างนี้ ควรจะเป็นอย่างนั้น ไม่มีตัวได้คิดเอาไว้ ได้คำนวณ ได้คะเนอะไรไว้เล้ยจริงๆ เพราะฉะนั้น อาตมาก็ไม่ตอบคุณหรอก ช่างหัวมันเถอะ (คนฟังหัวเราะ) มันอยากจะรบกัน

คำถาม : หนูอายุ ๑๕ ปี เพิ่งมาครั้งแรก หนูฟังธรรมก็รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง หนูอยากถือศีลกินเจค่ะ แต่หนู ก็ไม่ค่อยมั่นใจว่า จะทำได้รึเปล่า โดยเฉพาะ อาหารเจ เพราะที่บ้านหาซื้อเครื่องปรุงอาหารต่างๆ ยาก อยู่บ้านนอก กินเจยาก ใช่ไม๊ค๊ะ

พ่อท่าน : อู๊ย! อยู่บ้านนอก ยิ่งกินเจง่าย (คนฟังหัวเราะ) ผักเยอะ อยู่ใน กรุงนี่มีแต่คอนกรีต จะมีผัก มีพืชก็ แหม ต้องหากระเช้ามาปลูก มีเนื้อที่ ก็เอาไปทำ สนามเล่น เล่นอะไรซะเยอะ กอล์ฟ ในบ้านเหรอ สนามกอล์ฟในบ้านเหรอ

พ่อท่าน : ไม่ใช่สนามกอล์ฟมั้ง เป็นสนามเล่นๆ สนามอะไรต่ออะไร ไม่เอามาปลูกผัก ปลูกพืชหรอก ในกรุงในเมืองอ่ะ อยู่บ้านนอกมีเยอะ ผักพืชอะไร นี่เจทั้งนั้นน่ะ เอาหละ หนูอายุสิบห้า แล้วก็ไม่ ประสี ประสาเท่าไหร่ ในเรื่องธรรมะ ก็คงจะเข้าใจยังไม่ได้นะ อาตมาบอกนี่ อาจจะเข้าใจได้ง่าย อาหารเจหากินได้ง่าย อย่าว่าแต่บ้านนอกเลย จริงๆนั่นแหละ แม้แต่อยู่ในเมือง อาหารเจ ก็หาได้ ง่ายกว่า จริงๆนะ คุณลองไปดูที่ตามร้านอาหารนี่นะ พอเค้าเปิดร้าน ขายอาหารนี่นะ เสร็จแล้ว เขาก็ปิดร้าน เอาหละ วันนี้หยุดขาย แล้วปิดร้าน คุณเข้าไปถามเค้าดูซิว่า เนื้อต่างๆ เนื้อสัตว์ ต่างๆ หมดรึยัง ผักต่างๆ หมดรึยัง

คนฟัง : หมดแล้วค่ะ (คนฟังหัวเราะ)

พ่อท่าน : ผักดอง ผักอะไรต่ออะไรดอง กับเนื้อดอง อะไรจะมีมากกว่ากัน ไปถามดูซิ จะมีผักดอง หรือผักเก็บหรือผักเหลือ ที่ยังไม่หมดนี่ หรือว่า ไอ้ที่จะเป็นเจนี่ เหลือมากกว่าสิ่งที่จะเป็นเนื้อ เพราะเนื้อ เขาไม่เก็บข้ามคืน ข้ามวันหรอก มันเน่าไวกว่า มันเสียไวกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื้อ เขาต้องการ กินสดยิ่งกว่า ผักนี่ ไม่สดก็ได้ เยอะแยะไปเลย หากินได้ง่าย ง่ายกว่า ถ้าคุณเข้าใจนะ หรือจะกินเจนี่นะ กินข้าวกับ ขนม ข้าวสุกขนมสด สำนวนพระไตรปิฎก กินข้าวสุกขนมสด นี่ก็เจแล้ว แต่คุณไปติดเอง ว่าต้องกินข้าวกับของคาว โถ กินข้าวกับของหวานนี่ ก็ออกง่ายจะตายไป ถ้าคุณ ยิ่งไปติดประสมประเส กินข้าวแล้วต้องมีอะไรแกล้ม รส รสอื่น แกล้ม แกล้มใช่ไม๊ รสหวานนี่ก็กินได้ รสขนมนี้ก็กินได้ ดีไม่ดีอย่าว่าแต่ขนมเลย มีหวาน อย่างเดียวมันด้วย พวกะทิกะเทอะ อะไรด้วย ก็เจ กินข้าวกับขนมนี่ อาตมาเคยใช้มา ไปซื้อข้าวเหนียวปิ้งกินบ้าง ข้าวเหนียวปิ้งไส้เผือกมั่ง ไส้กล้วยมั่ง อะไร อย่างนี้เป็นต้น รับรอง เป่งเลย ไม่กี่ห่อหรอก ตึง ตึง ก็ประสบการณ์ เรามีอ่ะ เยอะแยะไป อย่างนี้ เป็นต้น ซื้อขนมา ซื้อถั่วตัดมาสัก ๒-๓ ชิ้น ข้าวมาจานหนึ่ง กินข้าวกับถั่วตัด ให้คนดู ให้ตาค้างเล่น (คนฟังหัวเราะ) เฮ๊ย นี่มันกินข้าวกะอะไรว่ะ กินข้าวกะถั่วตัด ไม่เห็นเป็นไรเลย มีงา อยู่ในนั้นด้วย กินถั่วงา อย่างนี้เป็นต้น ผลไม้ก็ได้ อย่างคน อีสานนี่ โอ๊ย หน้านี้กินข้าว ใบบักขาม น๊อ ข้าวเหนียว ใบบักขาม ใบบักขามหวาน กินข้าวเหนียว เอ้า เอามะขามมาถึงก็ แบะๆ มันหน่อย เอามะขามใส่กลางๆคลุกๆ กัดกินตุ้ยๆๆๆ ข้าวกับมะขามหวาน กินข้าวกับผลไม้ กินข้าวกับมะม่วง ก็ข้าวเหนียวมะม่วง ไม่ใช่ข้าวรึไง กินข้าวเหนียวมะม่วง กินอะไร ก็ได้ ง่าย กินง่าย กินอาหารเจนี่ หากินง่าย แต่โง่เท่านั้นเอง (คนฟังหัวเราะ) มันไม่รู้ว่าจะกินยังไง นั่นหนึ่ง สอง มันติดรส แล้วมันไป อุปาทานสมมติว่า กินข้าวจะต้องมีกับของคาว ถ้ากินกับของหวาน มันไม่ใช่กินอาหาร มันโง่ยังงั้นนะ จริงๆไม่ใช่ กินข้าวกับของหวาน ก็กินข้าวให้มันได้ธาตุ นี่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรท อะไรที่ลงไป ในกระเพาะ อย่างที่อาตมาว่า กินข้าวกับถั่วตัด นี่ ได้คาร์โบไฮเดรท ได้โปรตีนอยู่ในนั้น มีงา มีเงอ มีอะไรพร้อมนะ ทุกวันนี้ เราก็ข้าวถั่วงา ข้าวถั่วงาอยู่แล้ว (พ่อท่านหัว เราะ) ใช่ม๊ะ จะมีผักอะไร ก็กินเข้าไปเถอะ เอานะ หนูอายุ ๑๕ ฟังเข้าใจ นะ ไม่ยาก ไปเรียนรู้ดีๆ ง่ายๆ ไม่ยากหรอก ยิ่งอยู่ต่างจังหวัด ยิ่งเยอะ

คำถาม : พ่อท่านค๊ะ อยากจะแต่งงานกับเค้าชาติหน้า (คนฟังหัวเราะ) จะทำอย่างไรดีค๊ะ อธิษฐาน อยากให้เค้าเจอกับดิฉัน ก่อนเจอกับพ่อท่าน ในชาติหน้า (คนฟังหัวเราะ)

พ่อท่าน : โอ้โห เอาหนักโว้ย (คนฟังหัวเราะ) เป็นหนักนะคนนี้ (คนฟังหัวเราะ) สงสัยจะไม่ได้เป็นลูก ซ่ะล่ะมั๊ง คนนี้นี่ (คนฟังหัวเราะ) เหอ! ถึงขนาดจะขอเจอเค้าก่อนอาตมานะ (คนฟังหัวเราะ) ใจคอนี่ เสร็จอีด่างแหง๋ๆ เลย งวดนี้ (คนฟังหัวเราะ) อยากแต่งงานกะเค้าชาติหน้า จะทำอย่างไร ดีคะ อธิษฐานอยากให้เค้าเจอกับดิฉัน ก่อนเจอพ่อท่านในชาติหน้า เพราะอดรักไม่ได้ (คนฟังหัวเราะ) ไม่สงสารเลย ไม่สงสารเลย ทำไมถึงได้โง่นักโง่หนา มาฟังธรรมกี่วัน กี่คืน กี่เดือน แล้วนี่ เหอ! ที่จริง น่าจะมีหิริ ไม่น่าจะมาประกาศ อย่างนี้น้า (คนฟังหัวเราะ) คนที่ถามมา แต่ก็จริงใจ ดีเหมือนกัน กล้าเหมือนกัน นะ เออ ที่จริง ไม่ได้เขียนชื่อมา ว่าเป็นใคร ไม่รู้ว่าเป็นใครนะ อาตมาไม่ส่งเสริม ถ้าอาตมาไปส่งเสริม ให้ไปแต่งงานกัน แม้ชาติหน้า เดี๋ยวอาตมา สังฆาทิเสสอีก ไปชักสื่อ ให้เป็นผัวเมียกัน เป็นสังฆาทิเสส ไม่เอาอ่ะ ไปแต่งงงแต่งงานก็ เรื่องของ ความโง่ของคุณ ไม่เกี่ยวอาตมา ชักสื่อให้เป็นผัวเมียกันไม่ได้ ไปแต่งงง แต่งงานกันไม่ได้ ไปเป็นสื่อเป็นชักอะไร กับเขาไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ให้ทำ นี่ เป็นสมณะ นี่ไปเที่ยวได้เป็นสื่อ ไปเที่ยว เอ่อ อยู่เย็นเป็นสุขน้า (คนฟัง หัวเราะ) ไปรดน้ำรดท่าอะไรให้เค้า ไปอะไร เอ้อ ! เดี๋ยวมันก็ เลอะเทอะใหญ่แล้ว พระก็ไปทำ เข้าไปได้ยังไง มันน่าจะเข้าใจว่า เอ๊! ไม่ได้นะ อย่าไปยุ่ง อย่าไปสนับสนุน ไปอวยพงอวยพรให้เค้า ไปส่งเสริม ไม่สนับสนุนให้คนแต่งงาน นี่ มันมีหลักฐานนะ มีวินัย มีอะไรต่างๆนานา แต่คนทุกวันนี้ จะว่าฉลาด ทำไมโง่ก็ไม่รู้ แล้วไปทำ ให้มันผิดวินัย ให้มันทำอะไร แล้วไม่รู้ตัวหรอก ทำอยู่เดี๋ยวนี้ ทุกวันนี้ แหม ไปทำหน้าปั้นเจ๋อ เค้าแต่งงาน ยิ้มแย้มให้อยู่ดีๆนะ ดี มันจะอยู่ดีอะไร มันวิ่งเข้าหาทุกข์ อยู่แท้ๆ ไปพูดยังไงกัน พระพุทธเจ้าไม่ให้ไปสนับสนุน ส่งเสริม ไม่ให้ไปเที่ยวเป็นสื่อ เป็นชักอะไร ให้แก่เขา ไม่เอา มันเป็นสื่อชนิดหนึ่งนะ ไปทำให้เขาต่อกัน ให้เขาอะไร ไปส่งเสริมนี่ เป็นสื่อไม่ดี เรื่องนี้ไม่พูดต่อ มันเป็นเรื่อง ของบ้า ของคุณเอง คิดอะไรกันนักกันหนา แล้วจะให้คิดทำอย่างไร แม้จะรู้ว่า ทำอย่างไร อาตมาก็ไม่บอก (คนฟังหัวเราะ) จริงๆน่ะ ไม่รู้ (คนฟังหัวเราะ) ไม่รู้จะทำ อย่างไร ให้มันไปเจอ ก็ไปเจอกับคนที่ตัวเองรัก ก่อนที่จะมาเจอกับอาตมาด้วยซ้ำ อาตมาไม่มีวิธี ไม่รู้ วิธีที่จะทำ ทำอย่างไร อาตมาไม่รู้วิธีจริงๆ ถึงแม้รู้ ก็ไม่บอกอ่ะ เรื่องอะไร ไม่เอา ให้ตัดขาดกัน อย่าไปถึงชาติหน้าเลย ตัดชาติมันชาตินี้อ่ะ แหม อย่าไปต่อ ชาติโน้นชาตินี้ แหม วาสิฏฐี (พ่อท่าน และคนฟังหัวเราะ) โธ่...

คำถาม : พ่อท่านบำเพ็ญปางราม ชาตินี้ เป็นชาติสุดท้ายรึเปล่า เมื่อไหร่พ่อท่าน จะเกิดมาเล่น การเมือง

พ่อท่าน : โอ้ (พ่อท่านและคนฟังหัวเราะ) แหม... คนนี้ถามจริงนะ (พ่อท่าน หัวเราะ) คนนี้คำถาม เขาเหลือเกินนะ อาตมาที่พูดให้ฟังว่า อาตมาเกิดมาในปางนี้ เป็นปางรามนั้นน่ะ เป็นข้อ เปรียบเทียบนะ เป็นข้อเปรียบเทียบ อาตมาไม่ได้เกิดในเมืองอโยธยา อาตมาเกิดเมือง ศรีสะเกษ แล้วจะไปเป็นราม ได้ยังไง๊ (คนฟังหัวเราะ) พระรามเค้าเกิดเมือง อโยธยา อาตมานี่ เกิดเมือง ศรีสะเกษ (พ่อท่านหัวเราะ) และก็ไปโตไปอยู่อุบลฯ โน่นนาน แล้วไปโตอยู่เป็นชาวอุบลฯ ไปเลย อยู่ศรีสะเกษนี่ ไม่นานปีนะ ไม่ได้เกิดในอโยธยาซะหน่อย ได้เป็นพระรามนะ แล้วก็ไม่ใช่ เอ๊ ! พระราม นี่ลูกใครน๊อ? พ่อพระรามชื่ออะไร?

คนฟัง : ท้าวทศรถ

พ่อท่าน : พระเจ้า...ทศรถเหรอ ไม่ได้ไปเป็นลูกของท้าวทศรถ จะได้เป็นพระรามอะไร ปางรามนี่ ความหมายว่าปาง หรือเป็นลักษณะ ปาง อย่างฮินดู เค้าบอกว่า มีสิบปางอะไรเงี้ย มีคนลักษณะ สิบปาง อะไรพวกนี้ เอาลักษณะอย่างนั้นมาเปรียบ เอาลักษณะอย่างนั้น มาเทียบนะ เอาหละนี่คือ ความหมายนะ ทีนี้ ถามว่า เป็นชาติสุดท้ายรึเปล่า ยัง ๆ เพราะว่าใน แต่ละปาง ๆ นี่มีลักษณะ ชาติที่เกิดนี่ โดยเฉพาะ เป็นคนนี่มันสั้นนัก จะต้องบำเพ็ญบารมี ให้ครบคุณลักษณะ คุณลักษณะ ของปางใหญ่ๆ ปางราม ปางกฤษณะ หรือว่าปางเต่า ปางปลา ปางหมู อะไรต่างๆ นานาพวกนี้ นี่ มันมี มันหลายๆปางพวกนี้ มันจะต้องมีบำเพ็ญหลายชาตินะ อาตมาบอกได้ว่า อาตมายังไม่ได้พ้น ปางรามนะ ยังอยู่ในปางราม ยังอยู่ในรอบนี้ ยังอยู่ในอันนี้ อีกหลายชาตินะ และถามว่า เมื่อไหร่ จะเกิด มาเล่นการเมือง ไม่รู้ ยังไม่ได้คิด (พ่อท่านหัวเราะ) ยังไม่ได้คิด จะเล่นการเมือง มีแต่คนใส่ความว่า อาตมาเล่นการเมือง

คำถาม : ดิฉันมีลูกที่โตวัยรุ่น ตอนต้นเรียน ม.ต้น นิสัยดื้อรั้น เที่ยวเก่ง ขี้ขโมย โกหกเก่ง ขี้เกียจ (พ่อท่าน: เอ้อ..เวร (คนฟังหัวเราะ) ยังไม่หมด นะ (คนฟังหัวเราะ) ที่อ่านไปนี่เมื่อยแล้ว ขอพักหน่อยหนึ่ง (คนฟังหัวเราะ) ยังไม่หมด ในโทษลักษณะ ไม่ใช่คุณลักษณะนะ นอกจากดื้อรั้น เที่ยวเก่ง ขี้ขโมย โกหกเก่ง ขี้เกียจแล้ว) ชอบทำชายหูชายตา กับผู้ชายอย่างน่าเกลียด ทำให้พ่อแม่ และครูที่โรงเรียนเสียหน้า ถูกทางโรงเรียนต่อว่าบ่อยๆ จนต้องย้ายโรงเรียนบ่อยๆ ครูก็เอาไม่อยู่ ชอบทำตัวเป็นหัวโจก นำในทางไม่ดี เคยให้มาศึกษา และพักอยู่ที่ สันติอโศกครึ่งปี แต่นิสัย ไม่ดีขึ้นเลย ไม่เชื่อพระ และครูผู้ดูแล จึงต้องย้ายกลับไป เดี๋ยวนี้ ยิ่งดื้อหนักใหญ่ ก่อปัญหาให้เสมอ จนดิฉันทุกข์จะแย่แล้ว หมดทางจะอบรม ขอให้พ่อท่านแนะวิธีที่ให้ดิฉันต่อสู้วิบากนี้ อย่างไรดี

พ่อท่าน : หัดวางใจ วิบากของคุณมีเองมาก การจะมาเกิดเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูกกันนี่ มันมีวิบาก ร่วมกัน แล้ววิบากที่มันจะต้องเกิดผล บางคนก็วิบากให้หลง ไปในทาง แหม... หลงรักลูก ลูกมันดี เหลือเกิน เสร็จแล้ว มันก็ผูกพัน นัวนังกันไป อีกนานแสนนาน หลายกัปป์หลายกัลป์ อาตมาถึง บอกว่า ตัดไปเถอะ ถึงแม้จะรัก จะห่วงหาอาวรณ์ ก็เป็นลูกเป็นเต้าอะไรกันก็เถอะ วาง หัดวาง หัดปล่อย แต่ไม่ใช่ว่าหัดเอาไปทรมาน ปล่อยลูกปล่อยเต้าทิ้งกันเป็นขยะ อะไรยังงั้น ไม่ใช่นะ จะต้องเลี้ยงดู ถ้าเรามีลูกมีเต้า มีอะไรต่างๆ ต้องเลี้ยงดู ต้องดูแล ทีนี้บางคนก็อย่างนี้อ่ะ แหม มีลูกขึ้นมา เจ้าประคุณเอ๊ย ใช้เวรใช้กรรมคุณไปเถอะ จริงๆนะ นี่ อาตมาพูดจริง ด้วยความจริงใจ เพราะที่เป็นนี่ คุณก็ไม่อยากให้เป็น และอาตมาก็ ว่าตัวเขาน่ะ เขาก็ไม่อยากเป็นอย่างนี้หรอก แต่ตัวเขา มีวิบากอย่างนี้ ลูกผีมาเกิดกะคุณ แต่คุณก็จะต้องทำใจของคุณ แล้วคุณก็จะต้องหวังดี และช่วยที่จะทำดีให้เขา เท่าที่คุณทำได้ ไม่ต้องไปฮึดฮัด ไม่ต้องไปอะไร ต่ออะไรหรอก พยายาม เอ้า ! สอนแนะนำดูแลพอประมาณ อาตมาว่า ถ้าไม่ไปจัดเกินไป บางทีมันอาจจะเกิน นะ อย่างหลัก จิตวิทยานี่ ไปเคี่ยวเขา ไปเอาใจใส่เขามากเกินไป ไปโน่น ไปนี่ มากเกินไป มันยิ่งประชด และไอ้คน มันยิ่งเลว มันยิ่งประท้วง มันยิ่งประชด มันยิ่งไปกดไปขี่ ไปเบ่งไปข่มไปอะไรมาก มันยิ่งไปกันใหญ่ เลยก็ได้ เพราะฉะนั้น ถ้ามันมาก ลดลงมาบ้าง เอาวางๆ ปล่อยๆ พอสมควร ถ้ามันน้อยไป อาตมา คิดว่า คุณคงไม่ใช่ปล่อยวาง จนกระทั่ง ไม่เอาถ่านหรอกนะ เพราะฉะนั้น ก็ลดลงมาบ้าง เอ้า ! ปล่อยพอสมควร ดูแลพอสมควร ถ้ามันจะชั่ว มันจะเลว อะไรต่ออะไรอีก มันก็เป็นบาป เป็นเวร ของเขา และเขาจะไปตามทางของเขา

นี่ไม่ใช่ อาตมาว่า ปล่อยปละละเลยนะ คุณก็ต้องทำตามหน้าที่ของคุณ จนสุดที่หละ แต่ใจ ใจ อย่าไป เออ ! นี่ มันจะไปอย่างโง้นนี่นะ มันจะตกต่ำไป อย่างนั้น มันจะเสียหายไป อย่างนี้ก็...เอา! แก้ไขให้มันดีขึ้นมา มันเป็นอย่างโน้น อย่างนี้อะไร ก็คอยแก้กันขึ้นมา ใส่ตระกร้าล้างน้ำบ้าง ทำอะไร ขึ้นมาบ้าง ก็ทำไปตามประสา ไม่ต้องไป ผูกยึดมากเกินไป อาตมาว่า อย่างนั้นจะทำให้คุณสบายใจ อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งจะไม่ไปเป็นผลที่จะไปกระทบอีกฝั่งหนึ่งมากเกินไป จะเป็นผลดี ทางจิตวิทยา เขาสอนเหมือนกัน เขาแนะเหมือนกัน อย่างนี้นะ ก็ทำดู ข้อสำคัญ คุณก็ไม่ใช่ว่า ปล่อยปละละเลย ไม่เอาหน้าที่ ไม่เอาภาระ คุณอยาก ไปมีมาทำไม ลูกอ่ะ หรือ แม้แต่คุณ ไม่อยากจะมี แต่คุณก็ไป ถูกคลุมถุงชน ไปจับแต่งงาน แล้วก็มีลูกมา ก็จำเป็นแหละ จำเป็น ก็ต้องดูแล เพราะลูกนี่จะไป แม้แต่สัตว์ มันก็จะต้องดูแลลูก นะ คุณ เพราะฉะนั้น การมีลูก แล้วเราไม่ดูแล มันผิดจริงๆ มันผิดสัตวโลก ไม่ใช่แต่มนุษย์นะ มนุษย์ไม่ดูแลน่ะ มันเลวร้ายแล้ว ใช่มั้ย มนุษย์ไม่ดูแลลูกเต้าได้อย่าง ไร สัตว์มันก็ยังดูแลลูกทั้งนั้น เพราะฉะนั้น มนุษย์จะไปต่ำ กว่าสัตว์น่ะ มันไม่ได้ มันก็ต้องดูแล แต่หัดวางใจ ถือว่าเป็นวิบาก เป็นข้อสอบ เป็นแบบฝึกหัด ที่คุณจะต้องทำ จำเป็นอย่างยิ่ง จะให้ดีก็อย่าไปมีมา เจ้าประคุณเอ๊ย บอกกันสอนกัน ไม่เชื่อ คนที่ยัง ไม่มีนั่นน่ะ ระวัง หาทางปฏิบัติธรรมะให้ดีๆ มันไม่ตายง่ายๆ หรอก เฮ้อ! ถ้ามันตายง่ายๆ คนโสด ตายหมดแล้วแหละ ขาดใจเพราะไม่ได้แต่งงาน นอนหลับวันนี้เลย ขาดใจ โรคอะไร เพราะไม่ได้ แต่งงาน (คนฟังหัวเราะ) ไม่มี หมอก็ไม่ได้รับรอง ว่าโรคไม่ได้แต่งงาน นี่ตาย ไม่มี พูดชัดๆก็คือ โรคไม่ได้สมสู่แล้วตาย ไม่มี ไม่มี (พ่อท่านหัวเราะ) มีแต่ปฏิบัติดีๆ แล้วมัน ก็จะชนะ เอาหละ นี่ก็เผื่อไป

ที่นี้คุณถามปัญหามา ในส่วนตัวของลูกของคุณก็ อาตมา ก็แนะนำได้ แต่ว่า ต้องทำใจ หัดปลง หัดวาง อย่าไปเที่ยวได้ อึดอัดขัดเคือง เกินไปนัก เพราะว่าเมื่อมันเป็นเช่นนี้ ก็ต้องยอมรับว่า เออ! ชาตินี้เรามีวิบาก เพราะว่าลูกนี่นะ มันจะไปตัดออกไม่ได้ เป็นคนอื่น ถึงบอกว่า มีลูกอย่างอาตมานี่ แหม ส.บ.ม.เลย ใครไม่ดีเหรอ ไม่รับ เลือกเอาแต่ลูกที่ดี ลูกไม่ดีไม่รับ แหม ยอดเยี่ยมเลยนะ มีลูก เป็นพัน เป็นอเนก ก็ได้ ใช่ไหม ไม่ทรมานเท่าไหร่หรอก ในวิธีการสร้าง แต่มันซ้อนนะ ฟังไม่ชัด เขาสร้าง มันก็ยาก แต่ว่ามันไม่ทรมาน เหมือนกับจะ อาตมาว่าทรมานนะ ไปแบบโลกๆ ไปมีลูก ตั้งพัน โอ้โห! (พ่อท่าน หัวเราะ) อาตมาคิดไม่ออก (พ่อท่านหัวเราะ) มันจะไปทำอย่างไรโว้ย มีลูกเป็นพัน (พ่อท่านหัวเราะ) มัน ไม่ได้ แล้วก็มันก็คงตายแหง๋ๆ ทรมานมาก อาตมาใช้ หมายความว่า ทรมาน อย่างนั้นนะ แต่อย่างนี้มันก็ยากแหละ สร้างลูกอย่างนี้ก็ยาก แต่ว่ามันคง ไม่ทรมานอย่างนั้นแน่นอน ยิ่งเป็นผู้หญิง เจ้าประคุณ ผู้หญิงยิ่งไม่มีสิทธิ์เลย จะไปมีลูกเป็นพัน ได้อย่างไร คลอดออกมา เป็นพันได้อย่างไร (คนฟังหัวเราะ) เอาละผู้ชาย เอาเถอะว่าไป จะมีเมีย สักหมื่น พันคนอะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นบ้าเป็นหลังไปก็แล้วแต่เถอะ ไม่ไหวล่ะ อาตมา ฟังไม่ชัด พูดไปก็เท่านั้น เอ้า! ตอบอีกแผ่นหนึ่ง ก็แล้วกัน

ถาม : ลูกขอกราบเรียนถามว่าทำไมตอนมางานปลุกเสกฯนี้ หรือ งานต่างๆ ที่รวมมวลของชาวอโศก ลูกดูมีพลังขวนขวาย ที่จะตั้งใจ ทำงานในหน้าที่ หรือแม้กระทั่งเรียน รวมทั้งการถือศีลปฏิบัติธรรม แต่พอกลับไปบ้าน ประมาณ ๑ เดือนผ่านมา (คนฟังหัวเราะ) (พ่อท่าน : ทำไมหัวเราะก่อนน่ะ [คนฟังหัวเราะ] รู้ [พ่อท่านหัวเราะ]) เดี๋ยว เรื่องสั้นนี่ หักกลับซะ ตีกลับให้ผิดคาดได้นะ เรื่องสั้นดีๆ เขานี่ เออ ขี้มักจะหักมุมนะ เอ้า! พลิกล็อค ต่อ) แต่พอกลับไปบ้านประมาณ ๑ เดือนผ่านมา พลังของความขวนขวายในการถือศีล และปฏิบัติธรรม เริ่มลดน้อยลง เริ่มรู้สึกตัว ว่ากำลังตั้งตน อยู่บนความประมาท ทั้งๆ ที่รู้แต่ก็ยังเฉย ลูกจะจัดการกับตัวเองอย่างไรดีคะ ที่จะมีความกระตือ รือร้น สร้างความขวนขวายให้กับตัวเอง ให้รักษาศีล ขยันทำงาน และขยันเรียน ให้มากขึ้น ขณะอยู่ไกลหมู่กลุ่ม

พ่อท่าน : จะบอกว่าอย่างไรดี รู้ทั้งรู้นะว่าดี แต่ไม่เร่งตัวเอง จะเอา อะไรมาดึง เอาอะไรมาฉุด ซื้อแทรกเตอร์มาดึงได้ไหม ไม่ได้ ถึงจะให้คนผลัก ให้คนดัน มันก็ไม่ได้หรอก คุณจะต้องไตร่ตรอง พิจารณาจริงๆเลย ใคร่ครวญ ไตร่ตรองถึงความจริง ถึงสัจธรรมว่า เอ๊! ถ้าเราเป็นอย่างนี้ คุณก็รู้ตัว นะที่ถามนี่ รู้ว่ามันไม่ดีใช่มั้ย แล้วทำไมเราจะต้อง มาปล่อย วันเวลาผ่านไป กับตัวไม่ดีนี้ ถามตัวเอง ซ้ำกับตัวเอง เห็นความจริงกับตัวเอง ว่าทำไมเราจะต้องให้ มันเฉื่อย ให้มันตกหล่น ให้มันร่วง ให้มันเสื่อม ให้มันไม่เจริญ ทำไม ทำไม ทำไม และทำไม ถามจริงๆ ไม่ใช่พูดเล่น ถามแล้วก็พยายาม ไตร่ตรองจริงๆว่า ถ้าเราจะ ขยันขึ้นนี่ มันจะชั่วเพิ่มขึ้นอีกรึเปล่า ถ้าเราจะอุตสาหวิริยะ ถ้าเราจะมี กำลังใจ ถ้าเราจะยินดีในสิ่งที่ควรยินดี มันจะชั่วลงไป อีกรึเปล่า ต้องทำ ฝืนก็ต้องทำ ตั้งตนอยู่บน ความลำบากอย่างไร ก็ต้องทำ ต้องอดทน ต้องผลักเบนกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเรา เวลา กำลังล่วงไป ล่วงไป ๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ กายกรรม วจีกรรม ที่ดีกว่านี้ยังมีอีก ที่เราจะต้อง กระทำ ทำจริงๆ เอาจริงๆ นี่ตอบอย่างเหมือนกำปั้นทุบดินแล้ว ไม่มีอะไรอื่นอีก จะต้อง สำนึกและ พิจารณาจริงๆ แล้วก็ตั้งตนทำจริงๆ ตั้งตนทำแล้วพิสูจน์ ทั้งๆที่รู้นี่

อาตมาว่ารู้ดีทั้งนั้น แต่ตัวเองขี้เกียจน่ะ มันไม่ใช่โรคอื่นหรอก โรคขี้เกียจ มันต้องมีสิ่งแวดล้อม นี่ เป็นมานะชนิดหนึ่ง ถ้าต่อหน้าผู้คน เพื่อนฝูง ก็ไม่อยากจะตกต่ำ ประเดี๋ยว เพื่อนฝูงจะว่าเอา กลัวเขา จะเห็น พอไปอยู่ในสิ่งแวดล้อม ที่มันไม่ดีไม่เด่น ฟังไม่ชัด ช่างมันเป็นไร อย่างไรๆ ใครก็ ไม่ดีกว่าข้าเท่าไหร่ ก็อยู่อย่าง กับหมู่กลุ่ม เพราะฉะนั้น มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี จึงมีฤทธิ์ มีแรง มีอำนาจ มีประโยชน์อย่างยิ่งจริงๆเหมือนกัน เพราะเรามีตัณหา มันก็ช่วย ตัณหาที่มีมานะ นั่นเอง ตัณหาชนิด ประเภทมานะ มันก็ช่วยบ้าง เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า จะให้ ตอบอีกอันหนึ่ง ก็คุณมานี่แล้วกัน มารวมหมู่อยู่นี่ ก็มันมารวมอย่างนี้ดีก็มา อย่างนี้ มันได้ผล มาอยู่กับอย่างที่ มันได้ผล อย่าไปอยู่กับ อย่างที่มันไม่ได้ผล ถ้าไม่เช่นนั้น ถ้าคุณมีความจำเป็น มาไม่ได้ จะมา อย่างที่ว่านี่ มันก็มาได้ช่วงหนึ่ง อีกช่วงหนึ่ง มันต้องไปอยู่อย่างนั้นน่ะ เมื่อไปอยู่ อย่างนั้น คุณก็จะต้อง อย่างที่อาตมาตอบคำตอบแรก ต้องพิจารณา ต้องเห็นจริง แล้วก็ต้องเอาจริง กับตนเองให้ได้ ไม่มีทางอื่นหรอก เมื่อรู้ว่อะไรดีคุณก็ต้องทำ คุณก็ต้องฝืน ตั้งตนอยู่บน ความลำบาก นั่นน่ะ ต้องฝืน ต้องอดทน ต้องเข็นตัวเอง มีวิริยะ อุตสาหะจริงๆ บากบั่น ไม่มีใครช่วยได้นะ นี่เป็น คำตอบที่คิดว่า ถูกต้องแล้ว แล้วก็ไม่มีทางอื่นหรอก จะใช้จิตวิทยาหลอกล่อ ไอ้โน่นไอ้นี่ มันก็ไม่จริงเท่าหรอก ไอ้นี่มันตรงที่สุดแล้ว กำปั้นทุบดินที่สุดแล้ว เปรี้ยง ไม่มีผิดเลย อย่างอื่น มันก็เป็นแต่เพียงรอบๆ มันอ้อมๆอะไร มันไม่ตรง เอาละ อาตมาได้ตอบไปวันนี้ได้ถึงขนาดนี้ ก็เอาแค่นี้ก่อน

สาธุ


ถอดโดย ศิริวัฒนา เสรีรัชต์ ๖ มิ.ย.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑ โดย สม.จินดา
พิมพ์โดย สม.นัยนา ๒๔ พ.ย.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี

ตอบแหลกแจกทรัพย์แท้ / FILE:1986C.TAP