ตอบแหลก...แจกทรัพย์แท้ (ตอน ๒)
โดย พ่อท่านโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๓๔
เนื่องในงานปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๑๕
ณ พุทธสถาน ศีรษะอโศก

พ่อท่าน : อ๊ะ! ก็อ่านอันนี้ให้ฟังหน่อยก่อน เขาแต่งมาให้ โคลงนี่แต่งฝากมา ตั้งแต่ออกมาจากสันติ โน่นแน่ะ โลกียทรัพย์ อริยทรัพย์ เพราะรู้ว่าเรื่องที่อาตมาจะ เทศน์เป็นหลักนี่คือ เรื่องทรัพย์ โลกียทรัพย์ อริยทรัพย์

โลกียทรัพย์ สับเวียน เปลี่ยนเจ้าของ
เป็นสมบัติ ผลัดกันครอง ประเดี๋ยวประด๋าว
ทั้งถูกปล้น ถูกชิง ถูกวิ่งราว
เมื่อถึงคราว หลับไม่ตื่น คืนโลกไป
โลกียทรัพย์ ก่อเกิด ความร้าวฉาน
แม้เพื่อนบ้าน เครือญาติ บาดหมางได้
ศิษย์อาจารย์ พ่อแม่ลูก ผูกเจ็บใจ
แล้วไฉน ตะกายคว้า สุดตัวตน
คนนับล้าน โลดแล่น บนแผ่นหล้า
ดิ่งในวง อวิชชา พาสับสน
มีดวงตา แต่ไร้ตา ปัญญายล
ดุ่มเดินบน เส้นทาง ห่างเหินธรรม
อริยทรัพย์ ไม่กลับกลาย ย้ายเจ้าของ
สุดจะยก ให้ใครครอง แม้ร้องร่ำ
เป็นเอกสิทธิ์ สมบัติพุทธ ยุติธรรม
สามารถนำ ข้ามชาติไป ไม่ถูกชิง
ศรัทธา ศีล หิริโอตตัปปะ
พหุสัจจะ จาคา ปัญญายิ่ง
ทรัพย์ทั้งเจ็ด วัดเศรษฐี ที่แท้จริง
อย่าประวิง เร่งสร้างทรัพย์ ประดับใจ

เรื่องของทรัพย์ที่อาตมาได้สาธยาย ก็ขอสรุปลงนิดหนึ่งว่า ยิ่งมีทรัพย์ที่เป็นอริยะมากนี่นะ ยิ่งมีทรัพย์ ที่เป็นอริยทรัพย์ ต้องมีเงื่อนไขนะว่า เป็นทรัพย์อริยะ เป็นอริยทรัพย์ ยิ่งมีมากขึ้น ๆ เท่าไหร่ ยุทธศาสตร์ ที่ชื่อว่ากลปรานี เข้าใจยุทธศาสตร์นะ บางคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หมายความว่า ความรู้ ในขบวนยุทธ ขบวนรบ ขบวนที่จะต่อสู้ ความรู้ต่างๆ มีแผนที่ทฤษฎี มีหลักเกณฑ์ มีศิลปะ มีวรยุทธ์ อะไรก็ตามใจเถอะ ยุทธศาสตร์ต่างๆ ที่อาตมาพยายามตั้งชื่อ พยายามขมวดไว้ว่า ชื่อยุทธศาสตร์ อาตมา คือกลปรานีนะ เพราะฉะนั้น ยิ่งมีทรัพย์ที่เป็นอริยะมาก ยุทธศาสตร์กลปรานี ก็ยิ่งจะจริง จะมีฤทธิ์แรงมากขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวค่อยขยายกลปรานี ที่จริงเคยพูดแล้ว แต่ว่าก็เดี๋ยว ขยายให้ฟังบ้าง นะ

ทีนี้อหิงสา อหิงสา เป็นส่วนหนึ่งของกลปรานี เป็นลีลาท่าทีอันหนึ่ง ของยุทธศาสตร์ ยุทธศาสตร์ กลปรานี นี่ อหิงสาเป็นอันหนึ่ง อหิงสานี่ ไม่เบียดเบียน ไม่ไปทำให้คนอื่นเขา ทุกข์ร้อน ทีนี้วิธีการ โต้ตอบ ด้วยขบวนยุทธ ยุทธศาสตร์หรือลีลาศิลปะนี่ อหิงสา เราเห็นเขา อดข้าว ประท้วงบ้าง คือไม่ไปทำคนอื่น ทำที่ตัวเอง บางทีให้มันมีผลกระทบ มีรีแอ๊คชั่น มีอะไรต่ออะไร อย่างนี้ เป็นต้น อหิงสาจริงๆแล้ว มันก็ไม่ใช่ซื่อบื้อ หรือมะลื่อทื่อ แบบเพียงอดอาหาร ประท้วง หรือว่า เป็นการ ดื้อแพ่ง หรือว่าเป็นการชุมนุมกัน รวมกันว่านี่ฉันยึด อะไรอย่างนี้ เป็นอหิงสา ชั้นไม่ไปทำใคร แต่ชั้นจะรวมหัวกันทำของชั้นอย่างนี้ ชุมนุมประท้วง ชั้นจะเป็นของชั้น อยู่อย่างนี้ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นการประท้วง ไม่ได้ทำร้ายอะไรใครหรอก แต่มันมีผลกระทบ วิธีการของอหิงสา วรยุทธของ อหิงสา อะไรพวกนี้ ก็ไม่ใช่อย่างนั้นเท่านั้นนะ การอดอาหาร ประท้วงบ้าง หรือดื้อแพ่งบ้าง หรือ การชุมนุม หรือว่าเดินขบวนก็ตาม เดินขบวนแบบสันติ เค้าก็ถือว่า เป็นอหิงสา อย่างหนึ่ง เหมือนกัน ที่เป็นเพียงรูป เป็นเพียงร่างกาย หรือเป็นเพียงสภาพนอก ของอหิงสาเท่านั้น แต่มันต้อง มีวิญญาณ นะ มีปัญญาเป็นสำคัญ มีวิญญาณ และจะมี พลังทางเจโตด้วย อหิงสาต้องมีวิญญาณ มีนาม ที่เป็นกำลังสี่ มีนามธรรม ที่เป็นกำลังสี่ พละนี่ มีปัญญาพละ มีความเพียรนะ มีวิริยะพละ มีการงาน แหม! อันนี้ อาตมาไม่รู้จะย้ำยังไง พวกเรานี่ จะต้องเข้าใจการงาน ว่าชีวิตคือการงาน การงานคือชีวิต จะต้องมีการงาน ที่เป็นสัมมาอาชีพ หรือเป็นการงานอันไม่มีโทษ ไม่ใช่มิจฉาอาชีพ ต้องมีสัมมาอาชีพชั้นสูง หรือพ้นมิจฉาชีพ ระดับสูงให้ได้ นั่นแหละเป็นสำคัญ จะมีกำลังของ กำลังปัญญา กำลังความเพียร กำลังการงาน ที่ไม่มีโทษ แล้วก็มีกำลังของการเกื้อกูล กำลังของ การช่วยผู้อื่น หรือทาน หรือจาคะ มีกำลังของการทาน การให้ผู้อื่น การเมตตาเกื้อกูลช่วยเหลือ ต้องมีจริงๆ มีกำลังสี่ประการ จึงจะหมดความกลัวในโลก ความกลัวหรือภัยห้าประการ ที่จะหมด ความกลัว หรือภัยห้าประการ และยิ่งเห็นจริง เป็นจริง มีจริงนั่นแหละคือ ความจริง

พูดอย่างนี้ เหมือน กำปั้นทุบดิน ทีนี้มันจะเห็นได้ยังไง เห็นได้เพราะเรามี เห็นได้เพราะเราเป็น เป็นคนหนึ่ง เห็นที่คนหนึ่ง คนนี้มีกำลังสี่ เขาหมดภัยห้า เขาดำเนินชีวิตไม่กลัว อาชีวิตภัย ไม่กลัว ชีวิต ในการดำเนิน จะมีชีวิตอยู่ ไปพรุ่งนี้ มะรือนี้ มะเรื่องนี้ไป ไม่กลัวในชีวิต เพราะเรามีฝีมือ มีความสามารถ มีความขยันขันแข็ง มีสมรรถภาพ ที่จะสร้างจะสรรทำ แล้วก็ทำไป ไม่กลัว ชีวิตนี้ ไม่กลัว กลัวจะอยู่ ไม่รอด กลัวจะเป็นทุกข์ กลัวจะอดจะอยาก กลัวจะน้อยหน้าน้อยตา กลัวจะ ไม่เจริญงอกงาม ไม่กลัวอาชีวิตภัย ไม่มีกลัวภัย อาชีวิตภัย ไม่กลัวใน อาสิโลกภัย ไม่กลัวใครตำหนิ ไม่กลัว แต่จะไป ห้ามคนตำหนิไม่ได้ อย่างอาตมานี่ อาตมาบอกตรงๆ อาตมาไม่กลัวใครตำหนิ แต่คนตำหนิเยอะ แม้แต่พวกเรา ยังตำหนิอยู่บ้างเลย ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่พูดนี้ ไม่ให้คุณตำหนิ ไม่ใช่ ตำหนิและคือไม่กลัว นี่หมายความว่า เราไม่ใช่หน้าด้าน แต่คนที่มีภัย คือมีความกลัว คนตำหนินี่ เป็นมานะชนิดหนึ่ง กลัวคนตินี่ กลัวคนตำหนิ เป็นมานะ เป็นการ ตัวเราจะต้องเก่ง จะต้องดี จะต้องวิเศษ ไม่อยาก ให้ใคร ตำหนิ แล้วกลัวคนจะตำหนิ มันกลัวมาก เกินไป หรือว่ามันเกร็ง หรือว่ามันต้องการ ให้คนตำหนิ มันเป็นสิ่งหนึ่ง

คุณอย่ากลัวเลย และคุณอย่าเกร็งเลย คุณอย่าไม่ต้องการเลย ไม่ต้องการยังไง ก็ขนาดพระพุทธเจ้า ยังโดนตำหนิเลย มันต้องมีคนตำหนิแน่ และเรายิ่งไม่ยอดเยี่ยม อย่างพระพุทธเจ้าแล้ว จะไปเป็น อาไร้ และยิ่งอาตมา ทำสิ่งที่ทวนกระแส ที่เขาไม่ค่อยเชื่อว่าจะมีเล้ย กลับตาลปัตรเค้าเลย แล้วเราก็ ไม่ได้ยิ่งใหญ่ เหมือนพระพุทธเจ้า ประกาศความเป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ ความเป็นจริง อาตมาก็ ไม่ได้ยิ่งใหญ่ ถึงขนาดนั้น ประกาศแค่เรานี่แหละ ทำแค่เรานี่แหละ เขาก็ต้องตำหนิแน่ แต่อาตมา ไม่กลัว พวกคุณก็ต้องรู้ ต้องเข้าใจว่า ความกลัวสิ่งนี้ ถ้าคุณมีความจริงนะ มีกำลังสี่ประการ สังเกต ตัวเองเถอะ ความกลัวเหล่านี้จะไม่มี และไม่ได้หมายความว่า หน้าด้าน ไม่ได้หมายความว่า หน้าด้านนะ

สาม ปริสาวัชชภัย ภัยแห่งการสะทกสะเทิ้นหวั่นหวาด ไม่แกล้วกล้าในบริษัท ปริสา ปริสะ แปลว่า บริษัท ไม่แกล้วกล้าในบริษัท ไม่อาจหาญ เหมือนกับที่อธิบายไปแล้วในศรัทธา ศรัทธาต่างๆ จะต้อง แกล้วกล้าในบริษัท จะต้องแกล้วกล้าแสดงธรรม แล้วจะต้อง แกล้วกล้าเข้าสู่บริษัท ถ้าไม่เข้าสู่ บริษัท ก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ จะต้องแกล้วกล้าในบริษัท แกล้วกล้าแสดงธรรม แกล้วกล้า ต่างๆ นานา นี่ต้องแกล้วกล้า เพราะฉะนั้น มันสะทกสะเทิ้นต่อหมู่ ต่อบริษัท แค่เดินเข้าไป อย่าว่าแต่แสดงธรรม เลย เพราะฉะนั้นบอกว่า ขึ้นมาบนธรรมมาสน์ นี่ก็ยังสั่นอยู่ ก็ยังกำลังสี่ ยังไม่เต็ม ส่วนที่กล้า เกินการหนะ แสดงแหลกเลย ที่ลับที่แจ้ง ที่ไหนก็แสดงธรรม แม้แต่อยู่ในที่ ไม่มีใครก็พูด ระวังบ้านะ แสดงธรรมมากเกินไป เขาไม่อยากฟัง ก็แสดงอยู่นั่นแหละ ทำเป็น เหมือนกับ คนไม่รู้ ที่จริงรู้นะ ว่าพูดนี่เขาก็รู้สึกรำคาญเหมือนกันนะ ก็ยังไม่ยอมหยุด มันห้ามไม่อยู่ เบรคไม่ได้ ระวังเถอะ เราต้อง มีประมาณ นั่นก็เหลือเกิน นั่นก็มานะ เหมือนกัน โง่ไม่รู้ตัว ไม่รู้ประมาณ ไม่รู้เขาไม่รู้เรา เพ้อเจ้อ เรียกว่าเพ้อเจ้อนะ อาตมาก็อธิบายคำว่าเพ้อเจ้อ ให้ฟังแล้ว แม้แต่คุณแสดงธรรมยอด ธรรมะ สูงเยี่ยม ขนาดไหน วิเศษขนาดไหนก็ตาม ถ้าเทศน์ไปแล้ว ก็เหมือนกับเทศน์ให้ตอฟัง เขาหลับ หมดแล้ว เขาเบื่อแล้ว เขาไม่รับแล้ว ก็ยังเทศน์อยู่นั่น คือเพ้อเจ้อ ฟังให้ดี ตัวเพ้อเจ้อ ไม่ใช่เรื่อง ตื้นเขินนะ เพราะฉะนั้น จะไม่กลัว ในการที่จะสะทกสะเทิ้น คือ ไม่เกิดความกลัว จนกระทั่งว่า เรากลัวจะไม่ดี เรากลัวจะไม่บริบูรณ์ เรากลัวจะไม่อะไร แล้วมันก็เกิด ปฏิกิริยาในตัว มันสะทก สะท้าน มันหวาดหวั่น มันขี้ปอด มันอะไรต่ออะไร ลักษณะนี้จะไม่มี จะไม่มี จะหายไป และก็ไม่กลัว ในความตาย มรณภัย ไม่กลัว ในความตาย จะไม่กลัว เพราะจะมีปัญญา

บอกแล้ว กำลังปัญญา มันเพียงพอแล้ว มันตายน่ะ มันตายแน่เลย จะตายช้าตายเร็ว จะตายยังไง จะไปกลัวอะไร มันคนก็ต้องตาย แต่เราก็พยายาม ดูแลตัวเอง ระมัดระวังอย่าประมาท พยายาม ดูแล ความเป็นอยู่ พยายามดูแลชีวิต อาหาร เชื้อโรค ระวังนะ อีกไม่นานแล้ว เอดส์มัน จะมาอยู่ เมื่อมองคนข้างเคียง จงตั้งข้อสังเกตไว้เสมอว่า คนข้างเคียงเราเป็นเอดส์ มันจะทั่วไป หมดแล้วนี่ แหม ! อาตมาก็ต้องช่วยรณรงค์เรื่องเอดส์ เหมือนกันนะ ถ้าชาวอโศกเราบริสุทธิ์ บริบูรณ์นี่นะ เป็นอย่างนี้แล้ว เอดส์ยังเข้ามาได้นี่คุณเอ๊ย มีเงื่อนไขนะว่า ชาวอโศกเราบริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้าใครที่มีนี่ ขอร้องเถอะ เจ้าประคุณเอ๊ย อย่าเอามาแพร่ในนี้เลย บอกกันด้วย บอกกันด้วยนะ มันไม่รู้ จะแก้ยังไง นะเอดส์นี่ มันนับวันตายลูกเดียว เท่านั้นเองเอดส์น่ะ นี่เป็นวิธีที่แก้อย่างดีแล้ว เพราะฉะนั้น ถึงบอกว่า ป้องกันเอาไว้ ก็บอกกันให้ทราบ อย่าไปทำให้มันมีบาปมีภัยเลย คนอย่าง อโศกนี่ ก็ให้มัน มีไว้ ในโลกหน่อยเถอะ จะไปเอาที่ไหนๆ เอาเอดส์นี่ไปแพร่ที่ไหนๆ ก็ไปแพร่ คนที่ควรแพร่ โน่นเถอะ (พ่อท่านหัวเราะ) อย่ามาแพร่เลยในที่นี้ มันไม่ควรแพร่หรอก มันน่าเสียดาย นะ จะไม่กลัวตายเลย จริงๆ ในความไม่กลัวตายนี่ เพราะมีปัญญา แล้วก็เป็นคนที่จะต้อง รู้จักสถานที่อยู่ มีหมู่กลุ่ม ที่ดีพวกนี้ มันเป็นเครื่องทำให้เรามั่นใจนะ มันมีปัญญา เข้าใจ ในเมื่อเราเอง ก็ไม่ได้ ไปหาโรค มาให้ตัว ในเมื่อตัวเอง ก็ไม่ไปหาเรื่องมาให้ตัว เราก็เป็นคนที่ ไม่เป็นตัวโรค ไม่เป็น ตัวเรื่องซะเองด้วย แล้วก็เข้าใจด้วยว่า ตายคือตาย จะไม่กลัวตายจริงๆ

ยิ่งเป็นคนที่มีความดี ในตัวแล้ว ยิ่งดีมากๆ ดีอย่างพอเพียงนะ เอ๊ย! จะไปกลัวทำมั้ย แล้วเราก็ แต่ละเวลา แต่ละวันๆ ปีนี้ชาตินี้ แต่ละวัน เราก็สั่งสมกุศล สั่งสมกุศลก็ยิ่งมีทุนมาก มีกรรมทายาโท มี วิบากมาก ตายชาติหน้า ดีกว่าเก่า เจริญกว่าเก่า หล่อกว่าเก่า รวยกว่าเก่า อะไรกว่าเก่าจริงๆ มันก็มั่นใจ การเปลี่ยนภูมิเปลี่ยนภพ ถ้าเรายังไม่ปรินิพพาน มันเข้าใจอย่างจริงจังแล้ว คนจะไม่ กลัวตาย นี่พวกคุณฟังไปบ้าง เข้าใจไปบ้างนี่ คุณจะลดความกลัวตายลงไปน้อยๆ แม้คุณจะยัง ไม่สมบูรณ์ เท่าไหร่ก็ตาม ยิ่งคุณมั่นใจ ในความเป็นจริงของคุณว่า คุณได้สั่งสมกุศล ได้ทำดี สั่งสมทรัพย์ เป็น อริยทรัพย์ซะด้วยซ้ำ เป็นทรัพย์ที่ชั้นระดับยอดเลยนะ อริยทรัพย์ชั้นสูงด้วย แล้วเรา ก็เป็นจริงด้วย ไม่ใช่หลงตัว แล้วคุณยิ่งจะไม่กลัวตาย และจะไม่มีทุคติภัย จะไม่กลัวนรก จะไม่กลัว ตกต่ำ คนที่ไม่ตกต่ำเองแล้ว โดยอัตโนมัติ โดยจริงแล้ว เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน ตั้งแต่ โสดาบัน ไปนี่ โสดาบัน ยังมีวืบวาบนะ แต่ว่าอัตราการก้าวหน้า มันจะหมายความว่า มีค่าบวก มากกว่าค่าลบ แต่ไม่ใช่ว่า ไม่มีการถอยนะ โสดาบันนี่ มีก้าวหน้า ถอยหลังเหมือนกัน แต่มันก็ยัง อยู่ในระยะกลาง นี่ อาตมาทำมือให้ดูนี่ มันจะมีอย่างนี้ แต่อย่ามีมากนักนะ ไปยังงี้ ยังงี้ให้ได้ มากๆล่ะดี (คนฟังหัวเราะ) ไปก้าวหน้า อย่าให้มีถอยๆๆ มากนัก มันเสียเวลา ระวังแปดสิบแสน อสงไขยกัปป์นะ (คนฟังหัวเราะ) อย่างนี้ มันจะมีโสดา สกิทา สกิทาน้อยลง อนาคา ก็มั่นคงขึ้นไป ตามลำดับ


คำถาม : ดิฉันมีญาติห่างๆคนหนึ่ง เป็นแม่ของเพื่อนของพ่อ (คนจีน)

พ่อท่าน : เป็นแม่ของเพื่อนของพ่อ แหม ! มันหลายชั้นอยู่นะ เป็นแม่ของเพื่อน ของพ่อ เป็นแม่ ของเพื่อน แหม! มันชักคลำยากเหมือนกันนะ (คนฟังหัวเราะ) เอาเถอะ อาตมาว่า ไม่ต้องไปติดตาม ถึงปานนั้นก็ได้นะ เอาแต่ แค่ว่า คนหนึ่งเป็นคนจีน บอกว่าเป็นแม่ของเพื่อนของพ่อ ก็ไม่รู้

ถามต่อ : เขากินเจมาเป็นเวลาหลายปี แต่มาเมื่อปีสองปีนี้ สติเขาเริ่มเลอะเลือน และหันกลับ ไปกินเนื้อสัตว์ เป็นที่แปลกใจของลูกหลานเขามาก อยากทราบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ มีเหตุปัจจัยอะไรบ้างคะ (เท่าที่พ่อท่านสามารถ ประมวลได้ และพวกเราชาวอโศก มีโอกาส จะเป็นไปได้มั้ย)

ตอบ : ตอบปัญหาท้ายก่อน พวกเราชาวอโศก จะเป็นไปได้มั้ย เป็นไปได้ ตราบใดที่กินมังสวิรัติ โดยไม่มีปัญญา และไม่เกิดญาณทัสสนะ คือปฏิบัติไปแล้วเราต้องปฏิบัติธรรม เราไม่กินเนื้อสัตว์นี่ ไม่ใช่ว่า ไม่กินเนื้อสัตว์เพราะแค่เหตุผล บางเจ้าเขามีเหตุผลแค่ว่า เขากินเพื่อสุขภาพ บางเจ้า ก็เป็นเหตุผล ทางด้านศาสนา แต่เหตุผลแค่มันบาป จะเป็นเรื่องของสุขภาพ จะเป็นเรื่องของ... นึกว่าบาปก็ตาม สองความหมายนี้ จะทำให้คนบรรลุ การไม่กินเนื้อสัตว์ อย่างสมบูรณ์ไม่ได้ จะสมบูรณ์ได้ก็ด้วยการเกิดญาณ เห็นจริงเห็นจังเลย และโดยเฉพาะติดทางกาม รูป รส กลิ่น สัมผัสของมัน เนื้อสัตว์นี่ โดยเฉพาะเรื่องนี้ นี่สำคัญ ถ้าเผื่อว่า เราไม่ติด ในรส ในรูป ในกลิ่น ในสัมผัสอะไรของเนื้อสัตว์แล้ว และเราก็มีเหตุผลเกิดญาณจริงๆ ว่าเนื้อสัตว์ มันไม่ได้มี คุณค่า อาหาร หรือว่าคุณภาพอะไรต่ออะไร ที่เลอเลิศไปกว่าพืชผักเลย จะเกิดญาณปัญญา อย่างที่เรา พยายาม แนะนำกันเสมอว่า ผักเป็นสมุนไพร มีธาตุอาหารอะไรครบครัน แล้วก็มีอะไร หลายๆอย่าง แม้แต่จะเอาแง่เชิงของศาสนาว่า เป็นบาปเป็นบุญ เป็นการทรมานสัตว์ เป็นการเอา เปรียบสัตว์ เป็นการทำลายสัตว์ อะไรก็ตามแต่ ในด้านนั้นก็ตาม และก็แม้แต่ เหตุผลในด้าน ของสุขภาพ ร่างกาย เข้ามาเสริมอีกด้วยญาณ ด้วยปัญญาทั้งหมดทั้งมวล ถ้าสมบูรณ์บริบูรณ์ จริงแล้ว มันจึงจะไม่กินเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะที่มันเบื่อหน่าย คลายนั่น มันคือเรื่องของกิเลสกาม กิเลสราคะ ที่มันติดอยู่ทุกวันนี้ เถียงกันทั้งนั้นๆ มันเรื่องราคะ เรื่องของกาม เรื่องของกิเลส ที่มันติดเนื้อสัตว์ เพราะว่ามัน กินกันมานาน และรสมันก็จัดกว่าจริงๆ รสมัน กลิ่นมัน สีมัน อะไรก็แล้วแต่เถอะ ที่เขาทำ มันเป็นอย่างนั้น ไปๆ ก็คลุกเข้าไปเรื่อยๆ คลุกเล่นไปเรื่อย


 

ถาม : สมมุติสัจจะต่างจากปรมัตถสัจจะอย่างไร นี่ปัญหาที่หนึ่ง สมมุติสัจจะ มีความสำคัญ ต่อการบรรลุปรมัตถสัจจะหรือไม่

ตอบ : ปัญหานี้ดี ปัญหานี้ดีจริงๆ อันนี้นี่อาตมาพยายาม อธิบายให้พวกเราฟังนะ สมมุติสัจจะ กับปรมัตถสัจจะ พยายามขยายความให้เห็น ความสำคัญของสองด้าน จำได้ว่าไม่นาน เมื่อวานนี้ หรือ เมื่อเช้านี้ไม่ทราบ ติวแน่ (คนฟังหัวเราะ) อย่าดีกว่าน่า ไม่เป็นไรหรอก อาตมาพอทนได้ อาตมาได้ อธิบายไว้ว่า พระอรหันต์นี่ ท่านอยู่กับสมมุติสัจจะ ปรมัตถสัจจะท่านเลิกเลย เพราะว่า ท่านจบแล้วก็เลิกกันไป จบกิจนี่ พระอรหันต์นี่ ไม่...ไม่...ไม่...ไม่ แต่ทีนี้อาตมาก็เคยพูดนะ แต่ไม่ใช่ เมื่อวานนี้หรอก หลายวันแล้ว หลาย นานมาแล้ว หลายครั้งหลายคราว ว่าพวกที่ศึกษาธรรมะ โดยไม่ศึกษาสมมุติสัจจะ และไม่เอาใจใส่สมมุติสัจจะ บอกว่าจะตัองเอาแต่ปรมัตถ์สัจจะ คนนี้ไม่มีสิทธิ์ จะได้เป็นพระอรหันต์เลย ขอยืนยัน เพราะปรมัตถ์สัจจะนั้น มันจะเกิดกิเลส เกิดอะไร ขึ้นมาจริงๆแล้ว เพราะมันมีสมมุติสัจจะเป็นตัวเหตุ ตัวองค์ประกอบ ตัวมีปัจจัยสำคัญทุกทีไป เราจะต้องศึกษา สมมุติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ และสมมุติสัจจะนี่แหละ เป็นเครื่องอาศัยด้วย ปรมัตถสัจจะเป็นตัวการนะ หลงสุขบ้าง เป็นตัวเหตุแห่งทุกข์สำคัญ....ตัวการ เป็นตัวที่จะฆ่ามัน สำคัญตรงที่ว่า เราจะต้องรู้มัน จับตัวมันให้ได้ แล้วก็ฆ่ามันด้วยให้ถูกวิธี แต่มันจะเกิด หรือเรามีชีวิต ที่อาศัย แม้พระอรหันต์แล้ว ก็อาศัยสมมุติสัจจะอยู่เท่านั้น เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่เป็นปุถุชนไปจนกระทั่งยัน เป็นพระอรหันต์ ยังไม่ปรินิพพานไป สมมุติสัจจะ สำคัญมาก ต่อชีวิต ดีหรือชั่วก็ตาม สมมุติสัจจะสำคัญมากกับชีวิต เราต้องรู้ชัดดีๆ ในชั่ว ในกุศล ซับซ้อน มากมายก่ายกอง ไม่เช่นนั้น เราจะทำกุศลไม่ถูก ทำอกุศล ไม่ถูก

แม้แต่จะเป็น สภาพของ จิตวิญญาณ ที่มีกิเลสลงไปในนั้นด้วยก็ตาม กุศลนี่ หมายได้ทั้งโลกียะ สมมุติสัจจะ กุศลหมายได้ ทั้งโลกุตระ หรือปรมัตถ์สัจจะ กุศลก็คือสิ่งที่ฉลาด กุศลแปลว่า ความฉลาด สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ดีงาม ดีงามทางโลก โลกียะก็ด้วย และต้องถูกต้อง อย่างที่อาตมา เคยบอกว่า ความดีทางโลกนี่นะ ถ้าจะมองกันไปโดยแง่ตื้นๆ ใครก็รู้ การได้เงินมากๆ มีเงินมากๆ เป็นความประเสริฐ เป็นความเก่ง เป็นความดีของคน โดยสุจริตนะ ว่างั้นนะ แต่ความจริงแล้ว การจะมีเงินมากๆ โดยสุจริตก็ตาม ยังไม่เก่งเท่าสละออก เห็นมั้ย ในแนวซ้อนแล้ว เห็นมั้ย เพราะฉะนั้น กุศลที่ชัดเจน กุศลสละออก ต่างหากดีกว่า กอบโกยมาสะสมไว้มากๆๆๆว่าดีนี่ สามัญใครก็บอก โอ๊! คนนี้มีบุญ คนนี้เจริญ คนนี้ประเสริฐ มีเงินมากๆ เขาจะมีมากนั้นซับซ้อนอีก เพราะบุญของเขา เขายิ่งให้ไป ยิ่งเป็นบุญ ของเขา ยิ่งให้ไป ยิ่งเป็นมรดกของเขา เกิดมาชาติหน้า มันมีมากเองเลย นะ ทำอะไรนิดก็ได้มาก ทำอะไรหน่อยก็ได้มาก จับอะไรนิดอะไรหน่อย มามากเลย เพราะมันเป็นของเขา มันเป็น กัมมัสสโกมหิ มันเป็นกรรมทายาท มันเป็นมรดกของเค้า ดีไม่ดี เหมือนได้ อย่างฟลุ๊คๆ สิ่งเหล่านี้ เป็นวิบาก เป็นอจินไตยที่เราคำนวณไม่ได้ แต่เป็นจริงนะ

เพราะฉะนั้น อย่าไปนึกว่าเราได้ แล้วก็เอามากอบไว้ หอบเอาไว้ หวงเอาไว้ เป็นวัตถุรูปว่ามีมากๆ และ ก็ไม่แจกจ่าย ไม่เอื้อเฟื้อออกไป นั่นแหละยิ่งตาย ตามหลักเศรษฐศาสตร์โลกๆด้วยซ้ำ เพราะสะพัด ออกไป สะพัดโดยวิธียิ่งให้นั่นคือ บุญ นั่นคือการค้าเราให้ฟรี ทาน นี่คือการค้า ทางโลกุตระ ถ้าเราให้เค้าไปแล้ว เค้าแลกกลับมานี่การค้าของโลกียะ มันหมดค่า หรือ ดีไม่ดี ไปหลอกเอา กลับคืนมา แลกกลับมาได้มากกว่าเก่า แล้วเราหลงว่า มันได้กำไร นั่นคือขาดทุน อย่างที่ เราอธิบาย กันแล้ว ฟังดีๆนะ เห็นมั้ย ซับซ้อนแล้ว

การค้าของโลกุตระ ยิ่งเอาเงินให้เค้าไป นั่นแหละ คือยิ่งมีไว้ สะสมไว้ เป็นบุญ เป็นมรดก เป็น กรรมทายาท อาตมาเคยบอกแม้แต่พินัยกรรม ก็ไม่ใช่ เรื่องทำทาน แต่คือความจนทาง ของคนขี้หวง อั๊วยังไม่ตาย ลื้ออย่าได้เอาเลย ต่างหาก (พ่อท่านหัวเราะ) พินัยกรรมนะ อั๊วยังไม่ตาย ลื้ออย่าหวัง ได้เลยต่างหาก มันเป็นความจนทาง พินัยกรรมไม่เป็นบุญ ไม่ต้องเขียนเอาไว้ เขาก็ต้องเอา คุณจะตื่นมาพูดกับเค้าไม่ได้ ถ้าคุณเองคุณมีเวรมีภัย ไม่ทำพินัยกรรม มันก็ทะเลาะกัน ถ้าคุณ ไม่มีเวร ไม่มีบาปมาก คุณไม่ทำพินัยกรรม มันก็แบ่งกันไปตามสัดส่วน ยิ่งมันเป็นคนดี ลูกเต้า เหล่าหลาน หรือผู้ที่จะมีสิทธิ์ได้รับสมบัติ มันก็ยิ่งไม่มีปัญหา ถ้าคุณเป็นเวรเป็นภัยของคุณ คุณไม่ดีหน่อย (พ่อท่านหัวเราะ) เสร็จแล้วมันก็ขายหน้า ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ มันทะเลาะกัน มันฟ้องกัน มันฆ่าแกงกัน นั่นมัน วิบากของคุณเอง มันก็ประจานหน้าไอ้ตัวพ่อแม่ มีลูกมีเต้า มีเหล่ามีหลาน มีหลานมีเหลน มีอะไรไม่เข้าท่า เน่า นั่นเป็นเรื่องของคุณ เพราะฉะนั้น เรื่องพินัยกรรมนี่ พูดมาแล้ว พูดมาอีก บอกพินัยกรรมไม่ใช่ทาน ขอยืนยัน โดยเฉพาะพินัยกรรม ที่จะได้ ก็ต่อเมื่อฉันตาย พินัยกรรมมันมีความหมายเยอะแยะเหมือนกัน ว่าพินัยกรรม บางทีไม่ได้ให้ ตอนตายหรอก ให้ตอนเป็น เป็นสัญญากำหนดอันหนึ่งเท่านั้นเอง แต่พินัยกรรมที่หมายนี่ หมายถึงว่า จะได้ก็ต่อเมื่อ จะเป็นไปตามพินัยกรรมสั่ง ก็ต่อเมื่อ ฉันตายแล้ว ไอ้นี่มันคนจำนนทาง มันขี้หวง ว่าอั๊วไม่ตายแล้ว ลื้ออย่าหวังว่าจะได้อะไรจากฉัน ไม่ได้ทานนะ แต่เป็นวิธีการฉ้อฉล อันหนึ่ง ของคนที่คิดได้ (พ่อท่านหัวเราะ)

เอ้า...สรุป สมมุติสัจจะ ต่างจากปรมัตถ์สัจจะอย่างไร ก็ต่างมาก เพราะปรมัตถ์สัจจะนั้นคือ สภาพของจิต เจตสิก รูป นิพพาน สภาพของบทบาทพฤติกรรม ที่เราจะต้องรู้จิต รู้วิญญาณ รู้อารมณ์ของปรมัตถ์ รู้อารมณ์ของทุกข์ของสุข รู้อารมณ์ของกิเลส ของการลดกิเลส จิตละกิเลสแล้ว หรือ หมดกิเลสแล้ว ต่างๆนานาๆ พวกนี้ เป็นเรื่องของปรมัตถ์ ส่วนสมมุติสัจจะนั้น โอ! อะไรต่างๆ นอกกว่านั้น คือสมมุติทั้งนั้น ตัวตน บุคคล เราเขา สมมุติวินัย การเป็นอยู่ จารีตประเพณี ดิน น้ำ ไฟ ลม แท่งก้อนอะไรต่างๆนานา สมมุติสัจจะทั้งนั้น ซึ่งเราต้องอาศัยมัน มากกว่าปรมัตถ์ในชีวิตนะ เพราะฉะนั้น จะว่าไม่สำคัญไม่ได้ สมมุติสัจจะ มีความสำคัญ ต่อการบรรลุปรมัตถ์ หรือไม่ คิดว่าตอบแล้วนะ


ถาม : บางคนปฏิบัติธรรมแล้ว ชอบทิ้งสมมุติสัจจะ มักอ้างความจริงใจ บริสุทธิ์ใจเป็นที่ตั้ง การอยู่กับคนในสังคม จะต้องเอาสัจจะแง่ไหน (เป็นบรรทัดฐาน หรือต่างคนต่างยึด ปรมัตถ์สัจจะ ของตนเองอยู่ร่วมกันก็พอแล้ว)

ตอบ : นี่คิดว่าตอบแล้วเมื่อกี้ ของตัวเองอยู่ร่วมกันก็พอแล้ว นี่แหละความหลงผิด ตรงนี้แหละ สำคัญ ถ้าเข้าใจว่าปรมัตถ์สัจจะนี่แหละ เป็นตัวปฏิบัติธรรม สมมุติสัจจะอย่าไปยุ่งเขา นี่เป็นแนวคิด อันหนึ่ง ของพวกนักปฏิบัติธรรมกลุ่มใด ก็แล้วแต่ มีอย่างนี้ เสร็จแล้วเขาบอก ปรมัตถ์สัจจะ คือมาอ่านจิต นั่งดูจิต อ่านจิต สายนั่งหลับหูหลับตา พวกนี้จะเป็นอย่างนี้ พอเรื่องอื่น ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา แบบนี้ขอยืนยันว่า พวกนี้ไม่มีอรหันต์ ไม่มีอรหันต์ อย่างที่เขาถนัดก็คือ เขาจะสะกดจิต สะกดจิตแล้วก็อ่านจิต ทำจิตให้ว่างด้วยวิธีทำอย่างไรก็แล้วแต่เถอะ แต่ลักษณะ สะกดจิต นั้นมากที่สุด เสร็จแล้ว เขาก็ไปหลงตัวสะกดจิตได้ การสะกดจิตนี่ สะกดจิตได้เป็นชาติๆ ด้วยนะ มันไม่ใช่ว่า มันจะไม่ได้ง่าย ไม่ได้ ไม่ได้สำคัญ ได้สำคัญนะ สะกดจน เป็นชาติๆ ให้มันว่างไป มันอะไรไปนี่ โถ...ชีวิตหนึ่ง มันไม่นาน ไม่ช้าอะไรหรอก เดี๋ยวมันก็ตาย แล้วมันก็หลงว่าเป็นจิตว่าง ที่จริง ยังไม่รู้เลยว่า กิเลสมีหรือไม่มี กระทบสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วกิเลสจะโผล ่หรือไม่โผล่ ไม่รู้เรื่อง เพราะไม่รับไม่รู้ ไม่อะไรทั้งนั้นเลย แล้วก็ไม่รู้ แม้แต่ที่สุดอยู่กับตัว การสัมผัสแตะต้องทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบกับจิตเป็นอย่างไร สมมุติก็คือข้างนอกไม่เอา ให้ แต่มาอ่านจิตข้างใน จะอ่านจิตข้างใน แล้วลัดตัดลงไป ทำจิตให้ว่าง ทำจิตให้สงบ สงบๆๆๆๆๆๆ อย่างประเภทที่เรียกว่า ไม่มีรายละเอียด ธรรมะของพระพุทธเจ้า ละเอียดลออมาก ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ถึงได้มีทฤษฏี มรรคองค์แปด ค้านแย้งกับทฤษฎี ที่มานั่งหลับตาสะกดจิต หนีป่าเขา ป่าถ้ำ ไปหลบ คุดคู้อะไรต่ออะไร ไม่มีผัสสะ ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย ถึงจะกระทุ้งกระแทกกระเทือน อะไรออกมา ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว จะไม่รู้เรื่องหรอก แล้วจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม มีคุณค่า ทั้งด้านสังคม และ ตัวเอง ถึงเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ถ้าอย่างที่เอาแต่ปรมัตถ์ และก็หลงแต่หลบลี้ไปนี่นะ จะมีแต่ประโยชน์ตน ประโยชน์ตนโดยความหมายของเขา แต่ว่าเขาจะละ และหลุดพ้น เขาจะเอา ที่ตัวจิต เท่านั้นเอง ประโยชน์ท่านไม่มีเลย นอกจาก ประโยชน์ท่านไม่มี ยังเป็นภาระแก่สังคมด้วย


ถาม : ผมอยากถามว่า กามเป็นหนี้ เป็นอย่างไร กามเป็นหนี้อย่างไรครับ ได้ยินแต่สมณะพูดว่า กามเป็นหนี้ พยาบาทเป็นโรค จริงมั้ยครับ

ตอบ : กามเป็นหนี้ พยาบาทเป็นโรค เออ! ใครหนอ สอนนี่ (คนฟังหัวเราะ) หือ

สมณะ : พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบ

พ่อท่าน : อ๋อ ! พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบเหรอ กามเป็นหนี้ พยาบาทเป็นโรค เหรอ อ๋อ !

สมณะ : ถีนมิทธะเป็นเครื่องจองจำ

ตอบ : อ๋อ ! ถีนมิทธะเป็นเครื่องจองจำเหรอ กามเป็นหนี้ ก็คือเป็นสิ่งที่ผูกพัน เป็นสิ่งที่ติดยึด เป็นสิ่งที่นัวนัง จะต้องมีการใช้คืน จะต้องมีการไม่แล้ว เรื่องกามเป็นหนี้ นี่คือความเป็นสิ่งที่ ไม่รู้จักแล้วง่ายเลย นัวนังติดต่อต่อเนื่อง ก็ใครมีความรัก รู้แสนรู้ดีนะ มันเป็นหนี้ อาตมาเคยบอกว่า คนเรานี่นะ เกิดมา เป็นคู่รักกัน คือมาใช้หนี้กัน มันไม่จบง่ายๆหรอก เสร็จแล้ว ก็ฆ่ากัน ด้วยเกสร ดอกไม้ ฆ่ากันด้วยหยาดน้ำผึ้ง เห็นมั้ยหละ กามเทพยิงด้วยลูกศรของกามเทพ นี่อาบน้ำผึ้ง เลยนะ เกสรดอกไม้เต็มเลยนะ ศรกามเทพแผลงถูกใครนี่ (พ่อท่านและ คนฟังหัวเราะ) มันหลอกว่า มันหวาน มันหอม มันอะไรต่ออะไรต่างๆนานา นี่แหละ คือหนี้นัวนัง ผูกรัด อื้อฮือ ! เจ้าประคุณเอ๋ย เจ็บแสบ หลุดพ้นไม่ได้ อิสระเสรีไม่ได้ เป็นทาสจริงๆเลย นั่นเรียกว่า ลักษณะกามเป็นหนี้

ส่วนพยาบาทเป็นโรคนั้นน่ะ มันทุกข์ ความพยาบาทนี่เป็นทุกข์ ใครรู้สึกความพยาบาทของตัวเอง ถ้ายังไม่ได้แก้แค้นแล้ว หรือแม้แค้นก็ยังไม่สมใจซะที นี่ว่ามันเป็นสุขมั่ง มีมั้ย พยาบาทเป็นทุกข์ เป็นร้อน นั่นแหละเป็นโรคร้าย คนเป็นโรคนี่ทุกข์ ฉันใดก็ฉันนั้น พยาบาทมันเป็นโรคอย่างนี้เอง เพราะฉะนั้น อาการของมัน เรียนรู้แล้วเลิกล้าง อย่าให้มันมีอาการอย่างนั้น พยาบาทเป็นลักษณะ อย่างไร เวลาเราโกรธ อาการโกรธเป็นอย่างไร ลดอาการนั้นลงไป ให้มันเบาบางจาง ให้มันว่างๆ ให้มันไม่เกิดอาการอย่างนั้น นั่นแหละ ต้องเรียนรู้อาการพวกนี้ รู้อาการลิงคะ นิมิตเรียกว่า รู้นามรูป รู้อาการมันให้ได้ แล้วลดอาการมัน ด้วยวิธีที่....พูดแล้วก็สั้นๆ สรุปลงตีหัวเข้าบ้าน สมถภาวนา กับวิปัสสนาภาวนา เอาจริงๆ ปฏิบัติจริงๆ นี่เป็นเนื้อหาของสารัตถะ เอ้า! มาอีก


 

ถาม : เราจำเป็นต้องกินอาหารธรรมชาติ (ข้าว ถั่ว งา ผักต้ม ผัดสด) หรือไม่ เพราะในพระไตรปิฎก ไม่มี ไม่เหมือนเรื่องผู้หญิง ที่ท่านตรัสบอกพระอานนท

ตอบ : ส่วนเรื่องผู้หญิงเชื่อ เรื่องกินข้าวถั่ว งา ผักต้ม ผักสดนี่ ไม่มีในพระไตรปิฎก ก็จริงนะ (คนฟังหัวเราะ) จริง จริงๆด้วย เรื่องของการปรุงแต่ง อาหารรสชาติเอร็ดอร่อยอะไร ต่างๆนานา พวกนี้นะ สมัยตั้งสองพันห้าร้อยกว่าปี คุณเชื่อมั้ยว่า อาหาร มันจะมีน้อยอย่างกว่าสมัยนี้ แล้ววิธี พิลึกพิลือ ปรุงแต่งอะไรก็น้อยกว่าสมัยนี้ สมัยนี้เรา โอ้โห! อาหารจีน อาหารแขก อาหารไทย เดี๋ยวนี้มัน สื่อสารทั่วโลก มันมีสารพัดอาหารเลย ผสมผเสพันธุ์ทาง พันธุ์แท้ พันธุ์กระเทย อะไร เยอะหมดเลยนะ มีต่างๆนานา มันเยอะ มันแยะ เพราะฉะนั้น มันจึงยากที่จะลดได้ สภาพกาม ในอาหารนี่ ...ยาก สมัยนี้นะ สมัยพระพุทธเจ้าไม่มากเท่าไหร่ แต่ถึงขนาดนั้น พระพุทธเจ้ายังตรัสว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลก เป็นหนึ่งในโลก ทีนี้ลักษณะบอกว่า ที่เราจะกินข้าว ถั่วงานี่ เรามีความรู้ สมัยโบราณท่านก็ไม่ได้อธิบายถึงขนาดอย่างนี้ ท่านพูดนะ ข้าวมธุปายาส ข้าวยาคู ข้าวโน่นข้าวนี่ ก็มีลักษณะการปรุง ไอ้ข้าวยาคูขออภัย (พ่อท่านหัวเราะ) ไอ้ข้าวยาคู หยั่งโน้นอย่างนี้นี่ เป็นอาหาร ที่มันก็มีลักษณะพวกนี้แหละ ข้าวถั่วงาพวกนี้แหละ คุณไปอ่านดูดีๆซิ ไม่ได้พูดตรงๆ เหมือนที่เราพูด นี่ชัดๆ ทุกวันนี้เรารู้เลย นี่ธาตุไหน พืชผักอย่างไร อย่างไร มันของสมัยนี้ สมัยโน้นก็เป็นภาษาบาลี ที่พยายามแปลมา ซึ่งมันก็ไม่ตรงกันทีเดียว ที่จริงภาษาบาลี มันไม่ตรงกันทีเดียว ที่แปล แต่จริงๆ มันอาจจะตรงกันจริงๆ โดยที่เรียกว่า พวกเราไม่ค่อยรู้ชัดก็ได้ เพราะภาษาตั้งแต่ สองพันห้าร้อยปี กับเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้นี่นะคุณสงสัย แค่นั้นน่ะ มันไม่น่า จะยากเย็นอะไรหรอก คุณมา ปฏิบัติ จริงๆดูซิ กินธรรมชาตินี่ คุณจะรู้จักกิเลสจริงมั้ย และ คุณจะละกิเลสจริงมั้ย อันนี้แหละ แน่กว่า กินข้าวเปล่าๆ กินแต่ถั่วเฉยๆ กินแต่งาเปล่าๆ ลองไปอย่างที่ว่า หรือกินผสม ไม่ได้มีอะไร คลุกปนปรุง หรือว่าแหม! ไปเจอเอาไอ้อาหารอร่อย แล้วก็อดได้มั้ย ไม่ได้มั้ย ไอ้ประเภท ปรุงมาผัดมา แกงมา น้ำพริกมา ยำมาอะไรมา ปาปาย่าป๊อกๆมา อะไรอย่างนี้ (พ่อท่าน คนฟัง หัวเราะ) คุณจะไหวมั้ย มันเคยติด อะไรต่างๆนานา อันนี้ซิจริง เห็นกิเลส จริงๆ คุณเข้าใจเลย เอ๊อ! นี่กิเลสจริงๆเลย จากอาหารนี่แหละ แล้วไปกิน ธรรมชาติ หรือไม่ธรรมชาติ จะกินปรุงแต่ง หรือ ไม่ปรุงแต่งนี่ คุณพลิกแพลง คุณทำไปเถอะ แล้วคุณจะรู้เลยว่า โอ๊ย! กิเลส ปฏิบัติธรรมนี่ คุณจะไม่สงสัยเลยว่า ทำไม จะต้องไปมีสูตรกินอาหารธรรมชาติข้าว ถั่ว งา คุณจะไม่สงสัยเลย ปฏิบัติให้จริงเถอะ ก็จะรู้ความจริงพวกนี้ออกมา


 

ถาม : ทำอย่างไรดีครับ ที่สามารถลดอาการดูหมิ่นดูแคลน ไม่ศรัทธาหมู่ เพื่อนพรหมจรรย์ (พ่อท่าน สงสัยจะเป็นของสมณะซ่ะล่ะมั้งเขียนมา) ทำอย่างไรดีครับ ที่สามารถลดอาการ ดูหมิ่นดูแคลน ไม่ศรัทธาหมู่เพื่อนพรหมจรรย์ (พ่อท่านหมาย ถึงหมู่เพื่อน แสดงว่าผู้เขียนนี่ ก็ต้องเป็นเพื่อน ด้วยกัน) ทั้งสมณะ สมณุทเทส นักบวชหญิง และฆราวาสชาย-หญิง ตอนแรก ก็ศรัทธาดี พออยู่ใกล้ไป นานๆ ชักเบื่อหน้า (คนฟังหัวเราะ) ผมก็อยากรักและเคารพศรัทธา เพื่อนพรหมจรรย์ ให้มากๆ ช่วยแนะนำหน่อยครับ

ตอบ : มองจุดดี มองสัจจะความจริง มีจุดดี จุดสูง จุดพิเศษ คุณจะมีความรู้ถึงจุดดี จุดพิเศษ ของคุณค่าของคนได้เท่าไหร่ เท่าที่คุณมีปัญญามีภูมิ ก็พยายามมอง แล้วเราก็เห็นว่า เออ! น่าเคารพ น่านับถือ น่าบูชา ยิ่งว่า โอ้ ! อันนี้เราไม่มี นะ เราขาด ท่านมี ท่านมีมากนะ เราไม่มีเลย มองในจุดนี้ จะอยู่ในสมณะ จะอยู่ในฆราวาสก็ตามนะ พยายาม พยายามอ่านจริงๆ นั่นล่ะจะทำให้เราศรัทธา เลื่อมใสได้ อีกมุนหนึ่งอยู่ไปนานๆ มันชักแก่วัด มานะมันชักขึ้น ทั้งๆที่ตัวเอง จะเจริญขึ้น หรือ ไม่เจริญขึ้นไม่ทราบ แต่ว่า ข้าก็มานานแล้ว บางที ไอ้ที่มาบวชๆนี่ มาทีหลังฉัน จะแน่อะไร กันนัก กันหนา ฟังธรรมะก็น้อยกว่าฉัน ฉันฟังมาหมดแล้ว พูดเมื่อไหร่ ฉันก็รู้ทั้งนั้น นี่ พ่อท่านพูด รู้ทุกอย่าง เทศน์ดีกว่าด้วย ไม่ให้ขึ้นธรรมมาสน์เฉยๆ (คนฟังหัวเราะ) ฉันเทศน์ดีกว่า เหนือกว่าด้วย มานะ มันทำให้ลบหลู่ คนแก่วัด มานะนี่มันทำให้ตัวเอง ต้องเข้าใจอาการของมานะให้ได้ ถึงแม้ว่าเรา จะมีภูมิธรรม โดยสมมุติสัจจะเป็นฆราวาส นี่ต้องเคารพนับถือสมณะ หรือนักบวช พระพุทธเจ้าท่าน ยืนยันเลยนะ ให้เคารพกันโดยการบวช โดยอาวุโส ภันเต คุณบวชก่อน เพราะฉะนั้น จะเป็น พระอรหันต์แล้ว บวชทีหลังก็ตาม ก็ยังต้องกราบ เคารพพระผู้พี่ที่บวชก่อน เป็นธรรมดา ต้องมี สมมุติสัจจะ ต้องรู้จักระดับอะไร แล้วก็ไม่ใช่กราบแต่มือนะ เราเคารพ เรามองมุมดี ที่จะกราบเคารพ จริง ในผู้ที่ ไม่น่าเคารพ แม้บวชนาน มันไม่มีจุดที่น่าเคารพ มันก็อาจจะมี ไม่น่าเคารพ ก็เป็นเอง เป็นธรรมดา ไอ้นั่นตัวสัจจะ แต่โดยรูปแบบระเบียบ ก็ต้องทำตามรูปแบบ ระเบียบ เพราะฉะนั้น ถ้าเรามองสัจจะออกจริง ว่าพวกเรานี่เสื่อมไปจริงๆ สมณะก็ไม่น่าเคารพ สมณุทเทสก็ไม่น่าเคารพ สิกขมาตก็ไม่น่าเคารพแล้ว ฆราวาสที่อยู่ด้วยกัน แหม! เราอยู่ไปห้าปี แปดปี ไม่น่าเคารพหมดเลย จริงหรือ จริงหรือ เอ้า! ถ้าจริง ก็ว่าไปเลย ก็ไม่น่าเคารพจริง ก็ไม่ต้องเคารพ คุณแน่คุณก็ไปเลย ไปตั้งก๊กใหม่ พรรคใหม่แล้วกัน พรรคนี้มันไม่ดีแล้ว มันไม่น่าเคารพแล้ว มันเสื่อมหมดแล้ว แต่ความจริง ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เรานั่นแหละวิปริต เอาละมั้ง ตอบตั้งหลายมุมแล้ว (พ่อท่านหัวเราะ) พิจารณาตามที่ว่าน่ะ คิดว่าศรัทธา คงคืนมาน่ะ


 

ถาม : ในการทำงานที่มีจุดหมายแห่งการให้ แต่เวลาเจอคนที่ละโมบเกินจำเป็น เด่นชัดแล้ว เราไม่พอใจเขา ไม่อยากส่งเสริมเขา ทำอย่างนี้ถูกหรือผิด (ถ้าผิด จะปรับปรุงตัวเองอย่างไร)

ตอบ : ถูก แต่วิธีการที่จะต้องค่อยประนีประนอม อย่าพึ่งหักโค่นจนเกินไป นอกจากว่า เราได้กระทำ กับผู้นี้แล้ว หลายครั้งหลายคราว ไม่รู้ตัว ก็จะต้องแข็งขึ้น แรงขึ้น นั่นก็เป็นวิธีการ แต่มันมีเขต ขีดจำกัด เหมือนกันนะ ถ้าเผื่อว่ามันแรงขึ้น แข็งขึ้น มากขึ้น แต่คนนี้นี่นะ ก็ไม่ได้ละโมบ จนเกิน มาตรฐานนักหรอก ที่จะอยู่กับหมู่ เรารู้เขาว่า คนนี้มันได้แค่นี้นะ เราก็ช่วยไม่ได้ ผู้ที่เก่งกว่าเรา ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่ที่จะทำกับเขา ทำไม่ได้แล้ว ก็ต้องปล่อยเขา แต่เขาไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน ก็ต้อง อยู่ด้วยกันไป คนเรามันมีขีดจำกัดนะ คนเราบุญบารมี มันหมดบุญไง ที่เขาใช้ภาษาว่า หมดบุญ มันไม่เจริญกว่านั้นได้จริงๆ มันมีเหมือนกัน หรือคนเรามันมีขีดเจริญ ตอนแรกนี่ เวลามันมีบารมีเก่า ปฏิบัติอะไร มันเหมือน เจริญได้ไว แผล็บๆๆ พอชักจะเต็มตุ่มแล้ว ชักจะช้าลงๆๆ พอเต็มตุ่มแล้ว ตอนนี้ ต้องของใหม่แล้ว ต้องอุตสาหะวิริยะเพิ่มของใหม่ บางคนเพิ่มก็ไม่ได้ หมดฤทธิ์หมดแรง นั่นคือดวงจริงๆเลย สุดแข่งดวงเลยจริงๆ แต่จริงๆมันจะถึงขีดไม่เจริญ อีกเลยนี่ยาก หายากๆ ถ้ามีสัตบุรุษหรือมีผู้ที่ดีพอที่จะทำ นอกจาก จะไม่มีสัตบุรุษที่จะมี... คนนี้มันด้าน มันดื้อ มันมานะ ใหญ่ มันอะไรมาก เราก็ไม่สามารถ ที่จะกำราบลงได้ เขาจะต้องไม่เจริญ ฝ่ออยู่แค่นั้นก็จริง

ถาม : ยมกปาฏิหาริย์ เป็นอย่างไร พระพุทธองค์ทรงแสดงอย่างไร

ตอบ : แหม! ยมกปาฏิหาริย์ นี่อาตมาจะไม่ขอตอบในวันนี้หรอกนะ ยมกปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องของ พระพุทธเจ้า แสดงอย่างไร พระพุทธเจ้าเท่านั้นแสดงได้ อย่าเรียนเลย ไปหาอ่านเอาใน พระไตรปิฎก ก็แล้วกัน อย่าเรียนเลย เพราะว่า มันเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าดู ในชีวิตที่สร้าง ศาสนา พระพุทธเจ้าแสดงอยู่กี่ครั้ง ดูเหมือนสองครั้งเท่านั้นนะ ในชีวิตที่สร้างศาสนา อะไร? (พ่อท่านถามคนฟัง) อาตมาก็ขออภัยนะ ยมกปาฏิหาริย์อาตมาไม่ตอบ ไปอ่าน เพราะว่า มันไม่มี ประโยชน์อะไรมาก แล้วก็ไม่มีใคร มีสิทธิ์แสดงยมกปาฏิหาริย์ จะแสดงยมกปาฏิหาริย์ ก็มีพระพุทธเจ้า เท่านั้น ซึ่งท่านจะสร้างศาสนา ท่านจะต้องแสดงเป็นปาฏิหาริย์พิเศษ ตอบได้ง่ายๆ แค่นั้นหละนะ ซึ่งท่านก็ทำอยู่ ดูเหมือนสองครั้งเท่านั้นนะ


 

ถาม : การสำรวมอินทรีย์ หรือประตูหกนั้น พระอริยบุคคลท่านสำรวมกันอย่างไร

ตอบ : ประตูหกก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำรวมก็คือ เราจะต้องรู้ว่า ตามันเห็นรูป มันกระทบรูป แล้วเราก็พยายามอ่านรูปที่เราเอง อาตมาชี้ไปตรงนี้ จิตมันไม่ได้อยู่ตรงนี้หรอกนะ มันอยู่ที่ ความรู้สึก ของเรารับรู้นี่แหละ แล้วมันก็ไม่ได้อยู่ที่ว่า อยู่ที่สมองก็ไม่ใช่หรอก มันอยู่ที่ไหน มันบอกไม่ถูกหละนะ มันรู้ มันเป็นรูป หูได้ยินเสียง มันก็เป็นเสียง คุณก็จะพยายามอ่าน นั่นคือเสียง นั่นคือรูป เสียงก็คือ เสียงดัง ถ้าเสียงอย่างนี้นะ ใครได้ยินก็เหมือนกันนะ สีแดงก็สีแดง มันก็อย่างนั้นน่ะ แดงคือแดง อย่างนั้นแหละ เราเรียกแดงเฉยๆ ภาษาอังกฤษเรียก red ภาษาจีนเรียกอะไร? ก็ อั๊ง ก็ว่าไป มันสมมุติชื่อเรียก แต่คือลักษณะจริงๆ มันอย่างนั้นหละ ใครที่ตาไม่บอดสี เห็นอย่างนี้ ก็อย่างนี้ นั่นคือรูป ทีนี้การพิจารณาการสำรวมก็คือว่า รูปอย่างนั้นน่ะ เห็นแล้วมันเกิด อาการซ้อนมั้ย เห็นแล้วชอบ เห็นแล้วชัง เห็นแล้วอยาก เห็นแล้วโกรธ เห็นแล้วดูดอยากได้ เห็นแล้วอยากผลัก อยากทำลาย อย่างนี้เป็นต้น รูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นรส สัมผัสทางกาย สัมผัสทางใจเองก็ตาม มันก็จะมีของจริง ตามความเป็นจริงของมันเอง กับกิเลสปรุงแต่ง เราอ่านกิเลสปรุงร่วม แล้วลด กิเลสนั้น นี่คือ การสำรวมของพระอริยะ อธิบายคร่าวๆ แค่นี้นะ

ถาม : อุโบสถแปลว่าเข้าใกล้ยา

พ่อท่าน : นี๋เดี๋ยวไปพูดให้เปรียญเขาได้ยิน เดี๋ยวเขาจะเอาตายอีกเหมือนกัน เขาหาว่า อาตมาแปล บาลีผิด (คนฟังหัวเราะ) ก็จริง อาตมาแปลว่าอย่างนี้จริง แต่ว่ามันไม่ถูกภาษาบาลีเขา ไม่ถูก ไวยากรณ์ ของเขา เขาก็เอาเรื่องกับอาตมาอยู่ เอาละ นี่คุณถามมา ก็พูดกันที่เรา

ถามต่อ : อุโบสถแปลว่าเข้าใกล้ยา บุคคลผู้เข้าใกล้ธรรมโอสถ โดย สมาทานรักษาศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ ฯลฯ แล้ว โรคภัยไข้เจ็บของสัตวโลกจะหายไป อย่างไรครับ

ตอบ : อุโบสถนี่ มีตั้งเยอะนะ อาตมาจำไม่หมดหละ จำไม่ได้ไม่หมด อุโบสถนี่ อาตมาเขียนไว้ ในทางเอก มีเยอะหลายอย่าง อุโบสถหมายถึงโรงเรือนก็ ใช่ อุโบสถหมายถึง วันสำคัญที่จะทำ กิจของสงฆ์ก็ได้ หรือวันอุโบสถ คือวันสำคัญ เป็นวันพระ แล้วก็ทุกคน จะมาปฏิบัติธรรมก็ได้ หมายถึงวัน...เขามีภาษาบาลี อาตมาเขียนไว้ รวบรวมไว้แล้ว ก็...เขียนไว้ในทางเอก มีหลายอัน อาตมาจำไม่ได้แล้ว ไปทบทวนนะ ทีนี้ในพิธีกรรม สรุปง่ายๆ ก็คือว่า การกำหนดอุโบสถนั้น จะเป็นวัน จะเป็นพิธีการ จะเป็นรูปร่างลักษณะ เรื่องราวอะไร ก็แล้วแต่ กำหนดขึ้นมา สมมุติ ขึ้นมาแล้ว คนไปทำไปใช้อันนั้น ให้ถูกต้องตามเป้าหมาย คนมันก็จะลดกิเลส มันก็จะปรับตัวเรา ให้เกิดการเจริญ ทางกาย วาจา ใจขึ้นมา พัฒนาเป็น อริยะขึ้นมา ได้จริงๆ นั่นเรียกว่าอุโบสถ หรือ คุณใช้อุโบสถ ใช้ธรรมโอสถอันนี้แล้ว มันก็จะเจริญได้อย่างนั้น แล้วบอกว่า โรคภัยไข้เจ็บของ สัตวโลก จะหายไปอย่างไร โรคภัยไข้เจ็บทางใจ โรคภัยไข้เจ็บทางใจ เรียกภาษา ถ้าจะไปเรียก โรคจิตก็ได้ แต่มันจะไปซ้ำซ้อนกับทางโลกๆ เขาว่าโรคจิต โรคประสาท ก็ใช่ ที่จริงโรคจิต โรคประสาทนั่น ก็มันเสื่อมแย่แล้วนะ แต่ของทางธรรมนี่ โรคจิตโรคประสาทที่มีกิเลส


 

ถาม : พ่อท่านเคยพูดว่า ถ้าสงครามเกิดขึ้นก็เพราะความไม่เก่งของอาตมาเอง หมายถึงอะไร

ตอบ : แน่ะ! ช่างจำเหมือนกันนะ อันนี้พูดเป็นโวหารโก้ๆ ใหญ่ๆ นะ ทุกวันนี้นี่ เกิดความไม่สงบ ร่มเย็นอยู่ในโลกนี่ ทุกประเทศนี่ ก็เพราะอาตมาไม่เก่งหละ คือสอนคนให้ลดโลภ โกรธ หลงไม่ได้ ไม่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอ จนเกิดความสันติสุข เกิดรูปแบบของสังคมมนุษย์ชาติ มีทฤษฏี มีหลักการ ทฤษฎีหลักการนี้ อาตมายืนยันว่า เอาของพระพุทธเจ้ามา แล้วของพระพุทธเจ้านี่แหละ จะเป็นทฤษฏีหลักการ ที่คนอื่นจะต้องมาดูว่า เอ๊! ทำไมสังคมกลุ่มนี้ประเทศนี้ ทำไมมีความร่มเย็น มีความสุขสงบ มีสันติภาพ มีอะไรดีอย่างนี้ มีอิสระเสรีภาพ มี ภราดรภาพ มีสันติภาพ มีสมรรถภาพ มีบูรณภาพ อย่างนี้ดีนี่นา ถ้าเป็นได้จริงเลยนะ เขาแสวงหาหลักเกณฑ์ เขาแสวงหาระบบ เขาแสวงหา ระบอบของสังคม ประเทศชาติในโลก ทุกวันนี้แสวงหา แล้วก็แย่งชิงกันอยู่ เพื่อหาพรรค หาพวกแล้ว ก็พิสูจน์ ระบอบประชาธิปไตยอย่างแนวนั้นแนวนี้ ระบอบประชาธิปไตย ประชาธิปไตย ก็มีหลายแนว คอมมูนิสต์สังคมนิยม ก็มีหลายระบอบ หลายแนว เขาก็พยายามที่จะยืนยันว่า อย่างนี้ดี ๆ ๆ แล้วก็พยายาม คนที่เชื่อว่าอย่างนี้ดี เป็นระบอบที่ดีที่สุด แล้วเขาก็พยายาม เอาอันนี้ มาพิสูจน์กับสังคม สังคม จริงๆมันก็ยังล้มเหลวอยู่ ระบอบของพระพุทธเจ้านี่น่ะ อาตมาว่า เยี่ยมยอด เพราะฉะนั้น ศาสนาเป็นเรื่องของการปกครอง เป็นเรื่องของระบอบการเมืองนะ ทีนี้ มันจะเกิดสงคราม หรือไม่เกิดสงคราม ก็เพราะว่าคน เมื่อคนมันมี คุณธรรมจริงๆ มันก็ไม่เกิด สงคราม ถ้าเป็นระบอบนี้จริงๆ จนกระทั่งนับถือทั่วโลก เอาไปใช้ จนกระทั่ง ได้คุณภาพ จริงๆนะ ไม่มีสงคราม เพราะฉะนั้น การเกิดสงคราม ก็เพราะยังไม่มีคุณธรรม ระบอบนี้ เราเป็นลูกศิษย์ พระพุทธเจ้า เอาระบอบนี้มาเผยแพร่ เราไม่ประสบผลสำเร็จมากมาย จึงเป็นความผิด ของเราด้วย ขอยอมรับสารภาพ (พ่อท่านหัวเราะ) ที่ไม่สามารถ ช่วยซัดดัม ช่วยบุช ช่วยใครต่อใครได้


 

ถาม : ข้อห้า อิทธิบาทภาวนา เป็นอายุของสมณะอย่างไร ขยายพอเข้าใจครับ

ตอบ : อิทธิบาทเป็นอายุของสมณะนั้นคือ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า อายุ วรรณะ สุขะ โภคะ พละ หมายความว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าก็อธิบาย เอาไว้ว่า อายุของสมณะนั้นคือ ความเพียร หรือ อิทธิบาท เพราะฉะนั้น อาการ หรือสภาพของอิทธิบาท หรืออาการของความเพียรนั่นแหละ ชื่อว่า อายุของสมณะ ผู้มีอายุ ผู้ยังไม่ตาย เพราะฉะนั้น ยังมีลมหายใจเข้าออกทุกอย่าง พฤติกรรมของสิ่ง แสดงของสมณะ ถ้ามีตัวอิทธิบาทอยู่ เป็นลักษณอิทธิบาท เป็นตัวความเพียรอยู่ นั่นแหละ คือ สมณะ สมณะแท้ๆ จึงคือตัวบทบาทที่ยังมีชีวิต ยังมีลมหายใจ ยังมีพฤติกรรมอยู่ คือตัวอิทธิบาท ตัวความเพียรทั้งนั้น สำคัญมากนะ ฟังดีๆนะ ลึกซึ้งมากด้วย เพราะฉะนั้น สมณะของพุทธ ไม่ใช่ ผู้ที่นั่งเฉยๆ หลับตา ไม่มีอิทธิบาท ไม่มีความเพียรอะไร หงอยเหมือนไก่เหงา เหมือนอะไร นั่นไม่ใช่ สมณะของพุทธเลย นิ่งเงียบ ไม่ใช่ เป็นผู้มีความยินดีในการงาน เรียกว่าฉันทะ เป็นผู้มีวิริยะ ในการงาน เรียกว่าความเพียร ตัวความเพียรจริงๆ เห็นบทบาทความยินดีในการงาน บทบาท ความเพียรในการงาน บทบาทจิตตะ เอาใจใส่ในการงาน บทบาทของวิมังสา ความพิจารณา การงานนั้นแล้วก็พัฒนาเจริญๆๆๆ ยิ่งอยู่ นี่คือสมณะ นี่คือพระ นี่คือพระอริยะ อย่าเข้าใจว่า พระอริยะของพุทธ หรือ สมณะของพุทธ คือผู้สงบแล้วจากกิเลส สมณะเพราะฉะนั้น สมณะ ของพุทธนี่ มีอิทธิบาท เป็นตัวแสดงในความยังไม่ตาย ยังไม่หมดลมหายใจ คือยังมีอายุ อายุคือ อันนี้ นี่คืออิทธิบาทเป็นเครื่องแสดงความมีอายุของสมณะ พูดอย่างนี้ เข้าใจดีมั้ย ว่าพวกที่เป็น พระอริยะ เป็นสมณะชั้นสูง สมณะระดับอรหันต์นี่ จะต้องเป็นคนอย่างไร จะต้องเป็นคนมีอิทธิบาท สร้างสรรการงาน ขยันหมั่นเพียร มีความยินดีในการงาน ไม่ใช่เลี่ยงการงาน หนีการงาน (พ่อท่านหัวเราะ) ไม่ใช่หลบการงาน ไม่เลย เป็นตัวสร้างสรรจริงๆ เป็นพระผู้สร้าง เป็นพระผู้สร้าง จะเอาไปสอดคล้องกับ ทางศาสนาคริสต์ก็ได้ ว่าเป็นลูกพระเจ้า เป็นพระผู้สร้าง จริงๆเลย มีบทบาท ขยันหมั่นเพียรจริงๆ เข้าใจ ที่จริงมีอีก อันอื่นไม่ได้ถามมา ไม่อธิบายมันจะยาวไป อายุ วรรณะ สุขะ พละ มันก็เคยอธิบายนะอันนี้ วันนี้ถามมาอันเดียว ตอบอันเดียว


 

ถาม : ทำอย่างไร ผมจึงจะกินข้าวมื้อเดียวตลอดชีวิตได้ครับ

ตอบ : อาตมาตอบไปตะก่อนนี้แล้วว่า คนที่กินข้าวมื้อเดียวไม่ได้จริงๆน่ะ มันอยู่ที่กาม พูดไป ก่อนนี้แล้ว ในปีนี้ล่ะ เปิดเผยจุดนี้ แต่ก่อนก็ยังไม่ได้เปิดเผยถึงขนาดนี้ เป็นแต่เพียงว่า พูดไอ้โน่น ไอ้นี่พาดพิง แต่ที่จริงก็พูดบ้างอยู่แล้วเหมือนกันนะว่า กามให้ลดละ ให้ปฏิบัติลดละนี่ อ่านรส อ่านรูป อ่านกลิ่น อ่านเสียงของมัน อะไรก็พูด แต่ไม่ได้ตีเปลาะย้ำลงไป อย่างที่พูดนี้ เท่านั้นเอง แต่โดยปริยาย โดยอธิบายไม่ได้ไม่พูด ไม่ใช่ไม่พูด พูดมาตลอดเวลา พิจารณาจริงๆ อยากจะกินข้าว มื้อเดียวได้นั่นน่ะ ก็จะต้องลดกามในอาหารน่ะ ถึงจะได้ ถ้าลดกามในอาหาร ได้จริงๆแล้วนะ คุณกินข้าว ไม่ได้กินด้วยอร่อย ไม่ได้อร่อยด้วยรูป รส กลิ่น สัมผัส อะไรก็ตามใจ คุณกินข้าว เพื่อเอาธาตุเข้าไปในร่างกาย บรรจุเข้าไปในกระเพาะ กระเพาะของคน กินข้าวมื้อหนึ่ง พอที่จะใช้ ยิ่งคุณปฏิบัติลดกามได้ขนาดนั้นแล้ว มันไม่ช่วยกิน มันไม่ช่วยกินพลังงาน กินแคลลอรี่ด้วยนะ พอ พอ พอ และพอ พอ พอใช้ คุณจะไม่โหยหา คุณจะไม่อะไรเกินการหรอก คุณจะไม่ต้องไป อยากกินอีก เพราะกินนี่เมื่อย กินข้าวก็เมื่อย แต่คุณไม่เคย คุณไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะกินข้าวนี่ คุณอร่อย สนุกสนาน กินแล้ว แหม ! มัน มัน มัน (พ่อท่าน ทำเสียงซู๊ด) อย่างนั้น ด้วยซ้ำไป จริงๆแล้วมันเมื่อย มันก็ต้องใช้พลังงาน เหมือนทำงานน่ะ กินข้าว ก็เหมือนทำงาน ชนิดหนึ่งน่ะ ต้องนั่งเคี้ยว ต้องนั่งบรรจุเข้าไป เอ๊า! เอาตัวนั้นมั่ง เดี๋ยวธาตุตัวนี้บ้าง ตัวนั้นมั่ง ตัวนั้นมั่ง

อย่างอาตมานี่ ยิ่งรอบตัวเลย อาตมาถือว่าได้เอ็กเซอร์ไซด์ด้วย (คนฟังหัวเราะ) กินข้าว เดี๋ยวตัก ตรงนั้น ตักตรงนี้ อ่ะ! ตัวไหนยังไม่ได้หยิบ ยังไม่ได้ตัก ตักให้บ้าง ตักให้มั่ง เจ้าของ ก็มาทวงเลย ไม่แหว่งเลย โธ่! ถ้าแหว่งหมดเลย รู้สึกว่าแหว่งหมดเลยนะ อาตมาตายแน่ๆเลย ท้องแตกแน่เลย ก็ไม่รู้จะทำยังไง บางถ้วยก็ช้อนเดียว มันรู้สึกไม่แหว่งจริงๆ บางถ้วยก็ถ้วยไหนลืมๆ ไม่กินเลยก็ คือคนไหน ที่อาตมาคิดว่า เจ้านี้นี่ ที่จริงไม่ใช่แกล้งนะ เจตนาไม่ตักให้ซะหรอก มี อาตมาเจตนา บอกตรงๆ คือให้เขาได้รับกระทบ ให้เขาได้รู้จัก หัดวางใจมั่งว่า ปัดโธ่เอ๊ย! มาจ้ำจี้จ้ำแฉะ อยู่นั่นแหละ เดี๋ยวไม่กิน มั่งเลย ไม่กินของฉันเลย เสียใจนะ (คนฟังหัวเราะ) อะไรกันนักกันหนา (พ่อท่านหัวเราะ)


 

ถาม : สองซัดดัมจะตายไหม

ตอบ : ตาย ตาย ตาย (คนฟังหัวเราะ) ตอบอีกที ตาย แต่เมื่อไหร่ไม่รู้ (คนฟังหัวเราะ) ถามมาได้ว่า ซัดดัมจะตายไหม มีใครค้ำฟ้านะ (คนฟังหัวเราะ) อยากรู้นัก ในโลกนี้มีใครจะค้ำฟ้า โอ๊ย ! ปัญหาอย่างนี้ ก็ถามมาได้ (คนฟังหัวเราะ) โธ่... (พ่อท่านหัวเราะ) ถามมาแค่นั้นจริงๆว่า ซัดดัม จะตายมั้ย แต่อาตมาก็ตอบจริงๆหน่อย ก็คงคาดว่า การสงครามคราวนี้นี่ ซัดดัมเป็นตัวการ เหลือเกิน ถามว่าจะตายในสงครามตอนนี้มั้ย คงจะมีจำกัดความ เข้าไปอย่างนั้นบ้างกระมัง ถ้าจะว่าจริงๆ คงจะไม่ถามซื่อบื้อ เหมือนอย่างที่ อาตมาตอบไปหรอก แต่อาตมาตีกิน ไปอย่างนั้น เองแหละ (คนฟังหัวเราะ) คงจะถาม มีความจำกัดความอยู่ในนั้น และไอ้เหตุการณ์ ที่เกิดสงคราม โลกคราวนี้ ซัดดัมจะตายมั้ย คราวนี้ ๆๆ อย่างนี้ ทำอะไรนักหนา อย่างนี้ อาตมาตอบไม่ได้ ตอบไม่ได้จริงๆ ให้แค่นี้ ๆ ตกน้ำป๋อมแป๋ม (คนฟังหัวเราะ) จริงๆ ตอบไม่ได้จริงๆ (พ่อท่านหัวเราะ) ว่าจะตายหรือไม่ตายไม่รู้


 

ถาม : อยากถามพ่อท่านว่า ทำไมดิฉันเห็นพ่อท่าน และสมณะแล้วมีจิตใจที่เฉยๆ ไม่มีจิตที่ปีติยินดี มีความรู้สึกเฉยๆ จิตใจดิฉันกระด้าง ถีนมิทธังรึเปล่า มัน เป็นสภาวะจิตที่ต่ำหยาบอยู่ใช่มั้ย จิตไม่ละเอียด หรือยังไม่เกิดพุทธคะ แต่ก็เคารพ ศรัทธาอยู่ ต้องปฏิบัติตัวอย่างไรคะ หรือ เป็นเพราะว่า ดิฉันไม่เจริญในธรรม ปฏิบัติธรรมมา ๓-๔ ปีอยู่วัดด้วย มีความปีติยินดี เป็นบางครั้ง แต่ก็น้อยมาก ไม่ค่อยศรัทธา หรือคุยกับสมณะเท่าไหร่ เป็นบางครั้งนานๆที

ตอบ : ลักษณะที่ว่า ไม่ศรัทธา ไม่เกิดปีติ ไม่อะไรต่ออะไรนี่ ที่จริงแล้ว มันเป็นเรื่องความเสื่อม ชนิดหนึ่งนะ มันเป็นความเสื่อมชนิดหนึ่ง เราในฐานะสาวกภูมิ เราจะต้องมีครูบาอาจารย์ มีผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใส โดยเฉพาะ มีฐานที่ไม่ใช่ชั้นวางอุเบกขา เป็นบรรลุสูงสุด ตัวอุเบกขานี่ ตัวฐานจิตที่บรรลุสูงนะ ไม่มีจิตอย่างนั้น มันจะต้องมีอาการนะ อาการศรัทธา อาการเคารพ อาการ นับถือ มันมีจริงๆนะ ที่ถามมานี่ก็ดีเหมือนกัน ทำไมจิตใจไม่มีอย่างนี้ ก็แสดงว่าเราเอง เรายังไม่ได้ ศึกษา หรือว่าเรายังไม่ได้รู้ว่าโลกนี้ต้องมี นะ ถ้าคุณเป็นสาวกภูมิ คือฐานะที่ไม่ใช่ ปัจเจกภูมิ

ปัจเจกภูมิ หมายความว่า เราไม่ต้องมีครูบาอาจารย์ เราตรัสรู้ได้เอง แต่ถ้าเรา ไม่ได้อยู่ในฐานะ ปัจเจกภูมิ แล้ว ก็มีหลายระดับนะ พูดไป วันนี้ยังไม่ได้อธิบายหรอกนะ ปล่อยไปก่อน สาวกภูมิ เราต้องมี ครูบาอาจารย์ที่แนะนำช่วยเหลือ เรียนรู้ตามนี่นะ ถ้าว่าเราไม่ยินดี ไม่เลื่อมใส ก็คงจะ พอจำได้ว่า ความเสื่อม ๗ ประการ ไม่เลื่อมใสในภิกษุผู้บวชก่อน บวชใหม่ บวชปานกลาง บวชนาน อะไรพวกนี้ เป็นความเสื่อม ต้องสังเกตนะ จิตใจเราชักไม่เลื่อมใส ยิ่งคนแก่วัด นานวัน นานๆ วันเข้า ไอ้ตอนแรก ก็เลื่อมใสดี นานเข้าๆ วัดก็ไม่ค่อยมา เป็นความเสื่อมมาตามลำดับ ๆ นะ ตามข้อ ๑ ข้อ ๒ ข้อ ๓ ยิ่งไปๆๆ ก็ไม่ค่อยเลื่อมใส มันมีมานะ หรือมันไม่เคยเห็นจุดดี จุดเด่น จุดนำพาของ ผู้ที่ควร จะเป็นตัวอย่าง ควรจะเป็นจุดที่เราจะต้องอาศัย อย่างน้อยก็เอาความรู้จากท่าน หรืออะไรต่ออะไร ต่างๆนานา หลายอย่างหลายอัน มันเป็นความเสื่อมชนิดหนึ่งเหมือนกัน เราจะต้องพยายาม พิจารณา เห็นคุณค่า คนเรานี่ ศรัทธาเลื่อมใสในคนนี่ มันไม่ใช่ลักษณะ เลวทรามอะไร เราเลื่อมใส ในลักษณะคนดี คนเก่งเรายังชอบเลย แอ๊คอ๊าต อย่างนายเบิร์ด ธงไชย อะไร นั่นยังไปเลื่อมใส ยังไปศรัทธา ยังไปกรี๊ดกร๊าดอะไรได้เลย แล้วคนที่มีคุณธรรม มีคุณค่า ที่ดีกว่านั้น ทำไมไม่รู้สึกชื่นชม ไม่รู้สึกเลื่อมใส ไม่รู้สึกพอใจได้ จิตตาย จิตกระด้าง ก็เป็นลักษณะของจิต ที่ไม่เจริญ ถ้าจิตที่ เลื่อมใสนะ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ท่านเลื่อมใสพระอริยเจ้า พระอรหันต์เจ้าก็เลื่อมใส เลื่อมใสใน พระพุทธเจ้า เป็นต้น ศรัทธาบูชาเคารพ มีอาการ มีลักษณะอาการของจิต อย่างนั้นจริงๆ

ทีนี้ คุณถามว่าทำยังไง ก็ต้องพิจารณาตัวเอง พิจารณาให้ดี แล้วก็ต้องพยายามพัฒนา รู้ ต้องพยายาม อ่านนะ ฐานะสาวก ใครจะเป็นครูบาอาจารย์เราได้ ใครที่มีความเหมาะสม พยายาม ให้มีครูบาอาจารย์ ในมิจฉาทิฐิ ข้อ ๑ ถึงข้อ ๑๐ หนึ่งในสิบข้อนี้ ข้อที่ ๑๐ นี่นะ มันเป็นสัมมาทิฐินะ ถ้าคนเรา ไม่พบพระอริยเจ้า ข้อนี้ อาตมาพูดแล้วก็มัน...มัน อาตมาไม่อยากพูดบ่อย ไม่อยากพูดมาก ที่จริงสำคัญนะ มิจฉาทิฐิข้อที่ ๑๐ นี่ ผู้ที่ไม่พบ พระอริยเจ้าที่รู้โลกนี้โลกหน้าได้ ด้วยตนเอง แล้วก็เปิดเผย โลกนี้โลกหน้า นำพาสั่งสอนให้ผู้อื่นรู้ตามได้ ผู้ใดไม่พบนี่ ไม่มี คือทิฐิไม่เห็น ไม่เห็นใครเป็น พระอริยเจ้าเลย พระอริยเจ้าที่ถึงขั้นที่บอกว่า เป็นผู้ที่รู้โลกนี้โลกหน้า แล้วก็สอน โลกนี้โลกหน้าแท้จริง หรือรู้โลกุตระธรรม ที่รู้โลกนี้โลกหน้า ได้ด้วยตนเอง แล้วก็เปิดเผยโลกนี้ โลกหน้า นำพา สั่งสอนให้ผู้อื่นรู้ตามได้ ผู้ใดไม่พบ นี่ไม่มี คือทิฐิไม่เห็น ไม่เห็นมีใครเป็น พระอริยเจ้าเลย พระอริยเจ้าที่ถึงขั้นที่บอกว่า เป็นผู้ที่โลกนี้ โลกหน้า แล้วก็สอนโลกนี้โลกหน้าแท้จริง หรือรู้โลกุตรธรรม โลกนี้โลกหน้า

ที่จริงโลกหน้าคือโลกโลกุตระ โลกนี้คือโลก อิธะโลกนี่ หรืออะไร? อะไรโลก อะไร? ในบทนี้บาลีนี้ ...เดี๋ยว อยัง โลโก โลกธรรมดานี่ โลกโลกีย์ โลกธรรมดานี่ ทุกคนอยู่ในโลกนั้น จะขึ้นสู่โลกุตตระ โลกใหม่ หรือ โลกหน้า หรือโลกอื่น หรือ ปรโลก หรือ สัมปรายิกภูมิ ที่แปลว่า อีกโลกหนึ่งที่ พระพุทธเจ้า ท่านค้นพบ เป็นโลกทาง นามธรรม เป็นโลกของวิญญาณ เป็นโลกของความเจริญ ทางจิต ถ้าใครไม่ได้เข้าสู่โลกนี้ หรือ ไม่ได้พบ ไม่ได้เห็น ไม่ได้รู้ แล้วไม่รู้ว่า มีมนุษย์ที่เป็นมนุษย์ โลกใหม่ โลกต่างดาวจริงๆนะ ดาวโลกุตระนี่ ใครไม่ได้พบเห็นอาจารย์ หรือไม่ได้พบผู้อย่างนี้ ถือเป็นมิจฉาทิฐิ ข้อหนึ่งในสิบ ที่จริง สำคัญนะ

สรุปแล้วก็คือว่า จิตที่มันไม่เลื่อมใส ไม่ศรัทธา ไม่มีผู้นำในฐานะสาวกภูมิ มันไม่เจริญ ต้องมี มันมีอาการ ของจิตจริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เราแต่ก่อนก็เคยศรัทธา แต่ต่อไปไม่ศรัทธา ไม่ศรัทธาเพราะมานะ หรือ เพราะแก่วัดอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า มันไม่ใช่มานะ แต่เป็น ความเพ่งโทษ คือว่าเห็นจุดบกพร่อง ของผู้ที่เรา เคยศรัทธา บกพร่องไป ๆ ๆ แล้วก็เผิน นำเอาข้อ บกพร่องนั้น มาเพ่งโทษว่า เสื่อมศรัทธา ๆ สักวันหนึ่งก็เสื่อมศรัทธาจนหมด ไม่ศรัทธา ทั้งๆที่เราเอง ก็ไม่ได้ดีกว่าท่าน ทั้งๆที่เรา ก็ไม่ได้สูงกว่าท่าน แต่ไปเก็บจุดบกพร่องต่างๆๆๆๆๆ เผลอ เผลอกิน เก็บแล้วก็ แหม! ไม่ชอบ หนึ่งไม่ชอบ สองไม่ชอบ ห้าแล้วไม่ชอบ หกแล้วไม่ชอบ เจ็ดแล้วไม่ชอบ มันก็เลย ร่อยๆๆลงไป หนักเข้าไม่ศรัทธา ทั้งๆที่ตัวเองรู้อยู่นะ ถ้าหันกลับมาดู สิ่งที่ท่านมีคุณค่า ท่านมีภูมิธรรม ท่านมีสิ่งดี มันมีมากกว่า ข้อที่เราไปเก็บมาเป็นจุดที่เราไม่ชอบใจ เราไม่ศรัทธานั่นน่ะ ระวังนะ อันนี้ นี่ไม่ใช่อาตมาป้องกันตัวเอง แต่บอกเอาไว้ให้ทราบว่า ประเดี๋ยวจะเสียท่า แพ้ภัยตัว ไม่เข้าเรื่อง เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราเอง เราอยู่ไปนานๆ แล้วเราเกิดไม่เลื่อมใส ไม่ศรัทธา มีผู้ใด น่าศรัทธา กว่านี้มั้ย ถ้ามีผู้ใดน่าศรัทธากว่า ก็ไปหาผู้นั้น เราจะไม่มีผู้ศรัทธานี้ เราก็น่าจะเป็น ปัจเจกเอง แต่ถ้าเรายังไม่เป็นปัจเจกเอง เราก็น่าจะมีผู้ที่ศรัทธา โลกนี้ยังไม่แล้ง ยังไม่ไร้ผู้ที่ จะน่านับถือ หรอกนะ ยังมี หลายๆ ผู้ หลายๆคน ที่น่าศรัทธา หรือน่าเคารพได้

อาตมาไม่เคยไปหมิ่นแหม่ แม้แต่จะไปอยู่ในศาสนาอื่น อาตมาเคยพูดด้วยซ้ำไป ถ้าคุณจะไปอยู่ ที่คริสต์ บอกอาตมานะ อาตมาจะนำไปจริงๆ ไปมอบให้เขา บอก นี่เขาจะขอเข้าศาสนาคริสต์ อาตมาไม่เกี่ยงนะ แต่มีข้อแม้กับอาตมา เงื่อนไขหนึ่ง ว่าจะไปปฏิบัติดี อย่าไปทำเลวทำชั่ว ในศาสนานั้นของเขา ถ้าจะเลวจะชั่วอยู่ที่นี่ อยู่ใกล้ๆอาตมา อาตมาจะเข่น จะไปอยู่ที่โน่นเขา แล้วไปทำเลวทำชั่ว ไม่เอาละ ไม่ดี แล้วอาตมาไปมอบหมายให้ด้วย ไปให้ เอ๊อ ! อาตมาเสียหมด ไม่ดี เพราะฉะนั้น ยังเป็นแม้ต่างศาสนา ก็ได้ครูบาอาจารย์ ก็ไม่ใช่คนไม่ดี แม้แต่ในพุทธเรา ผู้ที่ยังดี ยังสอนได้ ยังมีประสิทธิภาพ ยังมีอะไรดีๆ อาจารย์ต่างๆ ที่ดังๆอยู่นี่ ค่ายหลายๆค่าย สำนัก หลายๆสำนัก อาตมาไม่ต้องกล่าวก็ได้นะ ที่อาตมาว่าก็ดีอยู่ ไปเรียนกับเขาก่อน ไปเรียนกับ ท่านผู้นั้นก่อน อยู่ขนาดนั้น ในฐานะของคุณฐานนั้น ฐานนั้น มันเหมาะสมเหมือนกันนะ ไม่มีปัญหา อะไร อาตมาไม่ได้เคยริษยา ว่าไปอยู่กับคนนั้นแล้ว ยังโน้นอย่างนี้ ไม่หละ แบ่งเบากันไปมั่ง แล้วฐานอย่างคุณ เรียนอย่างอาตมาไม่ได้ นี่มันหนักด้วยนะ ก็ไปอยู่งั้นก่อน ฝากเลี้ยงไว้ หือ อะไร? (พ่อท่านถามคนฟัง) แข็งแรงค่อยมา (พ่อท่านหัวเราะ)


 

ถาม : ขอถามปัญหาเรื่องคนฆ่าตัวตาย (ผูกคอตาย) โดยที่เขาคิดว่า เขาจะไปนิพพาน และ เขาคิดว่า เขาปฏิบัติธรรม (นั่งหลับตา) จนบรรลุแล้ว อย่างนี้ เขาจะเป็นบาปไหม ชาติก่อน เขาเคยฆ่าตัวตายใช่มั้ย บางรายพ่อฆ่าลูกตัวเอง ลูกฆ่าพ่อตัวเอง นี่เป็นเพราะบาปกรรมอะไร และคนที่ตายหมู่ เช่นจมน้ำตาย แก๊สระเบิด รถชนกัน นั้นเป็นบาปกรรมอะไร คนที่เกิดมาพิการชาตินี้ ชาติก่อน เขาทำบาปกรรมอะไร ถ้าเขาปฏิบัติธรรมแนวอโศก จะช่วยให้กรรมชาติก่อน จะลดลงได้ บ้างมั้ย

ตอบ : สรุปแล้วก็คือถามอจินไตย ถามวิบากกรรม ในหลายๆอย่าง ฆ่าตัวตายมั่ง จมน้ำตายพร้อมกัน แก๊สระเบิดตายมั่ง เกิดมาพิการมั่ง อะไรพวกนี้ สรุปแล้วก็คือ ถามว่า เขาได้รับผลกรรมนี่ ตายมั่ง พิการมั่ง ด้วยอย่างนั้น ตายอย่างโน้นอย่างนี้ มันเพราะกรรมอะไร สรุปคำถามนี้ อาตมาก็ตอบยาก อยู่แหละ พวกคุณชอบถามอจินไตย (พ่อท่านหัวเราะ) วิบากกรรมอ่านไปหยกๆ เมื่อกี้นี้ ข้อหนึ่งในสี่ วิบากกรรมเป็นอจินไตย มันไม่ได้รู้ง่ายๆนะ แล้วคุณมาถามโด๊เด๊ แล้วใครล่ะ ไอ้คนตายเป็นอย่างไร อาตมายังไม่รู้เลย จะไปตอบได้ยังไง ว่าคนนี้ตายเพราะยังงี้งี้ ยังไม่รู้เลยว่า คนนั้นเป็นใคร มีกรรม วิบากอะไร หรือแม้แต่ให้ไปหยั่งรู้อดีตชาติเขา แล้วเขามีวิบากอะไรมาบ้าง เป็นเหตุ จึงมาเป็นเช่นนี้ มันก็ยิ่งไม่รู้อยู่แล้ว แล้วไปตอบได้ยังไง เพราะฉะนั้น อาตมาก็ตอบได้กลางๆ ว่าแม้จะตายหมู่ มันก็ไม่น่าจะสงสัยอะไร ถามกันจริงเลย ทำไม นี่เขาไปทำกรรมอะไรร่วมกัน ถึงมาตายพร้อมกัน หมดเลยนี่นะ ตกเครื่องบิน ตายพร้อมกันเป็นร้อย จมน้ำตายกัน ทีละสามสิบกว่า เขาไปทำกรรม อะไร ถึงตายพร้อมกันเหลือเกิน คนเรานี่ มันไม่ได้มาขีดตายตัวว่า จะต้องเสมอกันเป๊ะ แล้วมันถึง จะเป็นกันเป๊ะ มันอยู่ในประมาณ อย่างนี้ มันก็เป็นไปได้ และการตายที่จะตาย พร้อมกันนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่จะมีกรรมเก่า อย่างเดียว มีกรรมใหม่ด้วย มีอะไรอะไร ที่บวกลบ คูณหารกัน ที่เป็นอจินไตย ที่บอกไม่ได้ง่ายๆเลย มันละเอียด ยิ่งกว่าอะไรหมดเลย กรรมนี่ เพราะฉะนั้น มันจะตอบตายตัว ไม่ได้หรอก

สรุปแล้วก็ว่า ถ้าคุณเห็นว่า การตายหมู่ ตายโหง ตายอะไรอย่างที่ว่านี่ มันไม่ดี คุณก็อย่าสร้าง อกุศลกรรม ก็แล้วกัน ตอบคำปั้นทุบดินไปอย่างนี้ก็แล้วกัน มันจะได้ไม่เป็นเหตุ แห่งความเป็นอกุศล ในสิ่งที่มันไม่ดี ไม่งาม ในชาติต่อๆๆๆๆๆๆไป ก็เท่านั้นเอง อกุศลอะไร มันก็ไม่ดีทั้งนั้น ถ้าจะไม่ ตายโหง จะไม่อย่างนี้ มันก็จะเป็นเรื่องไม่ดีอะไรอื่นๆ นานาประการก็ คุณต้องการ หรืออันอื่นล่ะ ก็ไม่ต้องการเหมือนกันใช่มั้ย เพราะฉะนั้น อย่าไปทำกรรมอะไร เป็นอกุศลก็แล้วกัน อาตมาขอตอบ กำปั้นทุบดิน อย่างนี้ดีกว่านะ


 

ถาม : ดิฉันมีความข้องใจ ทำไมผู้ชายยุคนี้ ถึงเห็นแก่ตัวกันมาก

พ่อท่าน : ถ้ามีใครคนหนึ่งก็เขียนมาว่า ผมสงสัยจริง ทำไมผู้หญิงจึงเห็นแก่ตัวกันมากยุคนี้ เอ๊! อาตมาจะตอบยังไงกันนะนี่

ถามต่อ : มันเป็นยุคที่ผู้หญิงหนีเข้าวัด ผู้หญิงทุกข์ที่สุดค่ะ ผู้ชายสมัยนี้นิยมมีเมียน้อย เป็นแฟชั่น ขอให้พ่อ วิจารณ์ด้วยค่ะ (คนฟังหัวเราะ)

ตอบ : ข้องใจ... มาใช้ศัพท์ว่าดิฉันข้องใจ ทำไมผู้ชายยุคนี้ ถึงเห็นแก่ตัวกันมาก อาตมาจะบอกให้ ที่คุณบอกรายละเอียดมานี่ ผู้หญิงทุกข์ที่สุด ผู้ชายสมัยนี้ นิยมมีเมียน้อยเป็นแฟชั่น เอาหละ เอาประเด็นที่คุณว่า ผู้ชายมีเมียน้อยเป็นแฟชั่นนี่ แล้วคุณไปว่าผู้ชายเขาเห็นแก่ตัว อาตมา ขอยืนยันว่า ผู้หญิงต่างหากเห็นแก่ตัว ถ้าคุณไม่เห็นแก่ตัว คุณไม่ปล่อย ให้เขาไปมีเมียน้อยไม่ได้ ใช่มั้ย (คนฟังและ พ่อท่านหัวเราะ) แบ่งกันกินแค่นี้ไม่ได้เหรอ (พ่อท่าน และคนฟังหัวเราะ)

คนฟัง : ผิดศีลข้อสาม

พ่อท่าน : ผิดศีลข้อสาม นี่พูดโดยมิติที่หนึ่งเท่านั้น มิติเดียวตื้นๆ พิจารณากันแค่ว่า เห็นแก่ตัว ใช่มั้ย ขี้ตู่กลางนา ตัวเองแท้ๆ ทำไมแบ่งกันกินแค่นี้เป็นไรไป (คนฟังหัวเราะ) เห็นแก่ตัวแท้ๆ ไปว่าเค้า เห็นแก่ตัว (พ่อท่านและคนฟังหัวเราะ) ใช่มั้ยล่ะ อ้าว! ถ้าจะว่ากันแล้ว อาตมาไม่เป็นไรหรอก อาตมาไม่ได้เข้าข้างผู้ชายหรอก แล้วอาตมา ก็ไม่ได้นิยมหรอก อาตมาไม่เคยมีเมียน้อย (คนฟังหัวเราะ) เมียหนึ่งก็ยังไม่เคยมีนี่น้อ จะไปมีเมียน้อย เมียเล็ก ได้ยังไงนะ เมียใหญ่ เมียเล็ก ยังไม่มี

ตอบ : ที่จริงน่ะ เราจะไปตีขลุมตีความกันเลยว่า ทำไมผู้ชายเห็นแก่ตัว ผู้หญิงเห็นแก่ตัว คำว่า เห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ มันเห็นแก่ตัวในเชิง ต่างๆเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น มาล้าง ความเห็นแก่ตัวทุกคน ทุกอย่างนั้นแหละ จะบอกว่า มีมากมีน้อย มันเอามาเทียบมาวัด มาตัดสิน ไม่ได้หรอก ตัดสินไม่ได้หรอกนะ เอาหละ คุณว่าทำไมไปโทษผู้ชายอย่างนั้น ทำไมผู้ชาย มีความเห็นแก่ตัว เพราะไปชอบมีเมียน้อยอะไรนี่ อาตมาก็ขอยืนยันว่า อย่าไปเพ่งอะไรมากเลย ล้างความเห็นแก่ตัว ของตัวเองเถอะ ล้างเถอะ เขาก็ของเขา ถ้าคุณเห็นว่า ไอ้คนนี้ มันเห็นแก่ตัว ผู้ชายคนนี้ ไปมีเมียน้อย ถ้าคุณเกิดเป็นเมียหลวงอยู่นะ ปล่อยไป ปล่อยเขาไป ปล่อยเขาไป ก็เข้าวัดเลย สบาย (คนฟังหัวเราะ) จริงๆ ทำใจอย่างนั้นจริงๆเลยนะ มีกามมากก็ลด มาลดกาม แล้วอย่ามาระเบิดในวัด ก็แล้วกัน (คนฟังหัวเราะ) มาลดกาม ลดจริงๆ มาจริงๆนะ อาตมาจะบอกให้ นั่งอยู่ในที่นี้ คุณบอกมาเหมือนกัน อาตมาไม่ได้อ่านข้างหลังนี่ว่า ผู้หญิงมากคน ทุกข์อย่างนี้ อยู่ในนี้ อาตมาเชื่อ นี่นั่งอยู่ในนี้นี้ๆ สามีมีเมียน้อยนี่ อาตมาเชื่อ มีหลายคนอยู่ในนี้ เชื่อ แต่หลายคน เค้าก็ไม่โวย ใช่มั้ย เขาไม่โวย เขาวาง เพราะฉะนั้น คุณยังไม่วางคุณก็โวย (คนฟัง และพ่อท่าน หัวเราะ) คนที่เขาไม่โวยแล้วก็วางได้ คุณก็หัดวางก็แล้วกันนะ อาตมาเอง อาตมาไม่อยาก จะไปพูดมาก เพราะพูดมันก็ยังงั้นแหละ ก็กระหน่ำย่ำยี หรือว่าตีกันเข้าไปเท่านั้นเอง ผู้ชายก็รู้อยู่ว่า มันไม่ค่อยดี เพราะว่าอันนี้ เป็นวัฒนธรรมทั่วโลกแหละ


 

ถาม : คำว่าพูดเพ้อเจ้อ ในองค์ศีลข้อ ๔ นี่จำกัดความแค่ไหนครับ เคยอ่านพบ ถ้าพูดถึงธรรมะ ก็เป็นพูดเพ้อเจ้อ คือ ฆราวาสพูดกันเอง

ตอบ : คำว่าพูดเพ้อเจ้อนี่ อาตมาเคยนิยามเอาไว้ในหนังสือสมาธิพุทธ ดูเหมือนมีนะ ในหนังสือ สมาธิพุทธ อย่างไรเรียกว่าเพ้อเจ้อ เพ้อเจ้อคือ คำพูดที่พูดออกไปแล้ว ตามกาละเทศะใดก็ตาม มันไม่เกิดผล ไม่เกิดประโยชน์คุณค่า ถ้าโลกๆ ก็ตีคุณค่าแบบแค่สาระโลกๆนะ ทีนี้ทางธรรมะ ก็ตีราคา หรือค่าที่มันไม่เป็นผล ทางจะหน่ายคลาย ถ้ามันไม่เป็นผล ทางละหน่ายคลาย มันเป็น สาระ ทางแบบโลกๆ บ้างก็นั่นหละ ไม่เพ้อเจ้อ อาตมาเคยเน้นมา จนกระทั่งว่า ถ้าพูดเพ้อเจ้อนี่ เอาธรรมะ ต่อให้คุณเทศน์ดีเลยนะ ถูกสัจธรรมทุกอย่างเลย เสร็จแล้ว คนฟังอยู่ทั้งหมด ไม่เข้าใจเลย นั่นก็ถือว่าเพ้อเจ้อ ฟังตรงนี้ให้ดี คือคนนี้ไม่มีประมาณ ไม่รู้เลย นี่เทศน์ไม่ใช่พระธรรม ไม่รู้เรื่อง คนเลยไม่รู้ ไม่มีสัปปุริสธรรม ไม่รู้บุคคล ไม่มีปุคคลปโรปรัญญุตา ไม่มีเลย เทศน์ไป คนนั่งฟัง ไม่รู้เรื่องสักคนเลย ต่อให้เป็นธรรมะสูง ดีเยี่ยมยังไงก็ตามใจ แต่คนไม่รู้ นี่ก็คือคำเพ้อเจ้อ เปล่าประโยชน์ เสียน้ำลาย เสียแรงงาน เสียเวลาเปล่า ยิ่งพูดไปแล้ว แม้เขาก็ ชอบอกชอบใจ หัวเราะ เอ๊กอ๊ากชื่นชม แต่ไม่ได้สาระอะไรเลย นั่นก็คำเพ้อเจ้อ อาตมาเคย ให้ความหมาย มันถึงขนาด มีคำอะไรบ้าง พูดพล่าม พูดพล่อย พูดอะไรไม่รู้ อาตมาจำไม่ได้แล้วนะ ต้องไปดู ในสมาธิพุทธ คำเพ้อเจ้อ ดูเหมือนจะ ๔ ประเด็น พูดเพ้อเจ้อนี่ แล้วก็ขยายความ เหมือนกันว่า อย่างไร พูดพล่าม พูดพล่อย พูดพร่ำ แล้วพูดอะไรอีกนะ (พ่อท่านถามคนฟัง) ดูเหมือนสี่ ดูเหมือนจะใช้ตัว พ. หมดนะ พูดพล่าม พูดพล่อย พูดพร่ำ พูดอะไรอีกอัน ดูเหมือน จะสี่ความหมาย แล้วก็ ขยายความให้เห็นว่า เพ้อเจ้อ คือลักษณะนี้ อย่างที่อาตมายกตัวอย่างไป เมื่อกี้นี้นะ


 

ถาม : ยังติดใจเรื่องผ้าขาวม้าอยู่ค่ะ ที่พ่อท่านเคยพูดไว้ว่า ผู้หญิงใช้ผ้าขาวม้า เดี๋ยวใครเขาจะคิดว่า เอาผ้าขาวม้าสามีมาใช้

พ่อท่าน : เอ๊ะ! ตั้งแต่เมื่อไหร่นี่ อาตมาจำไม่แม่นแล้ว ยังติดใจอยู่ถึงงานนี้ ปีที่แล้วเหรอ โอ้โห! เรื่องผ้าขาวม้านี่ พูดเมื่อปีที่แล้ว คุณก็จำได้เหรอ ! อาตมาจำไม่ได้ เหรอ

ถามต่อ : ยังติดใจเรื่องผ้าขาวม้าอยู่ค่ะ ที่พ่อท่านเคยพูดไว้ว่าผู้หญิงใช้ผ้าขาวม้า เดี๋ยวใคร เขาจะคิดว่า เอาผ้าขาวม้าสามีมาใช้ (คิดว่าเป็นคนมีเจ้าของแล้ว) หากผู้หญิงโสด ไม่มีสามี ใช้ผ้าขาวม้าบ้าง จะไม่ดีหรือค่ะ เค้าก็จะได้ไม่มาจีบเราไงคะ (พ่อท่าน และคนฟังหัวเราะ) เป็นเปอร์เซ็นต์ ที่ช่วยให้รอด

ตอบ : แน๊ ... ก็เข้าใจคิดนี่ ถ้าคุณจะคิดประเด็นนี้ แง่นี้ก็เอา ถ้าอยากใช้ผ้าขาวม้านักก็ (คนฟังและพ่อท่านหัวเราะ) ไปคิดยังไง อยากใช้ผ้าขาวม้า (พ่อท่านหัวเราะ) เหอ! (พ่อท่านหัวเราะ) เออ! ย่อยๆยิบๆ ดีเหมือนกันนะ ปัญหา (คนฟังหัวเราะ) มีสารพัดปัญหา (พ่อท่านหัวเราะ)


 

ถาม : กระผมแก้ปัญหาไม่ได้ ที่เขาถามว่า มีผู้หญิงนอกใจสามี ไปมีชู้กับชายอื่น และได้พากันไป เป็นเดือน แล้วก็กลับมา ก็อยู่ด้วยกันกับสามีของตน ส่วนผู้ชายก็ไปอยู่กับเมียของตนตามเดิม ก็อยู่ด้วยกัน เป็นปกติ เขาถามว่า ถ้ามีบาป บาปนั้นอย่างไร

พ่อท่าน : อ๋อ ! ทั้งสองฝ่ายเลย ผู้หญิงก็มาหาสามีตามเดิม ผู้ชายนี่ไปเป็นชู้กับเมียนี่ ก็กลับไปหา ผู้หญิงอีก ตามเดิม ก็เห็นปกติทั้งสองคู่เนอะ แล้วถามว่า มันบาปอะไร ไม่เห็นมีบาปมีทุกข์ ไม่เห็นมีเพทมีภัยอะไรเลยนี่ โอ ! ถามยังงี้ก็ตอบต้องคิด ตอบแล้วเนอะ เออ ! จริงด้วยนะ บาปมันต้องเห็นทันตาซินะ ไม่เห็นทันตาเราไม่รู้นี่เนาะ ไม่เห็นทันตาเราไม่เชื่อ นี่ บาปอย่างน้อย กลับมาถึง บอกว่าพอเมียไปมีชู้ กลับมาก็ต้อง แหม! นี่ไปมีชู้มาเรอะ หนึ่งปั้บ (คนฟังหัวเราะ) อย่างน้อย นะ นี่ๆๆ เห็นมั้ยนี่ทุกข์แล้ว นี่ๆ บาปแล้ว นี่ก็ไม่เห็นนี่ เปล่านี่ ก็เฉย ก็อยู่อย่างเก่า อาจจะถามว่า เป็นไงน้อง สุขสบายดีเรอะ (คนฟังหัวเราะ) น้องก็บอกไม่ค่อยสุขเท่าไหร่ ถึงกลับมา ที่เก่า เออ! เอ้า อยู่ต่อไป (คนฟัง และพ่อท่านหัวเราะ) แล้วก็จบ ไม่เห็นมีบาปอะไร ไม่เห็นมีทุกข์อะไร ไม่เห็นมีภัยอะไร ไม่เชื่อบาปมีจริง ไม่เชื่อบุญมีจริง เพราะฉะนั้น ฉันก็จะทำยังงี้ล่ะ จะไปมีชู้อย่างนี้ เอางั้น เหรอ ! กรรมกิริยานี่เป็นเรื่องลึกซึ้งนะ และนี่เป็นสมมุติสัจจะที่เกิดมา แต่ปรมัตถ์สัจจะ ที่ยังไม่พอในกาม อย่างมากๆในกาม คนเดียวไม่พอ ก็จะต้องหลายคน และยิ่งเป็น อย่างนี้ต่อไป นี่นะ มันพอดีอยู่ว่า ผู้ชายก็ตาม ผู้หญิงก็ตาม ของคนคู่นี้นะ แม้ผู้หญิงก็กลับมาหาสามี สามีก็ไม่ว่าอะไร ผู้ชายกลับไปหาผู้หญิงก็ไม่ว่าอะไร ที่จริงลึกๆ เค้าอาจจะว่ากัน แต่เค้าก็จำนนกัน ก็ได้นะ ที่จริงน่ะ แต่เอาเถอะ จะมากหรือน้อย จะมีหรือไม่มีก็ปรากฏว่า มันไม่รุนแรง เขาก็ยังอยู่ ด้วยกัน อย่างนั้นหละนะ ก็แสดงว่า มันไม่มีบาป ไม่มีภัย ไม่มีโทษอะไรมากนัก

ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ สังคมสำส่อน สังคมเลอะเทอะ มันไม่มีวัฒนธรรม มันไม่มีสิ่งอะไร ที่เป็น สมมุติสัจจะในโลก เกิดมาแต่ปรมัตถ์ หรือจิต กิเลสของคน ถ้าปล่อยอย่างนี้ไป โลกจะเลอะเทอะ เหมือนกับสัตว์ โลกจะเลอะเทอะเหมือนกับสัตว์สำส่อน แล้วก็อะไรต่ออะไร ต่างๆนานา มันจะไม่เป็น ระบบของมนุษย์ เพราะฉะนั้น แค่ความหมายแค่นี้ก็คือ ความเสื่อม จะหมายความ ให้ฟังชัดๆ ว่าในโลกมนุษย์เท่านั้น มันก็เป็นความเสื่อม เพราะฉะนั้น นี่แหละ คือความไม่ดีไม่งาม คือความเสื่อม ความบาป ถ้าพูดถึงอจินไตย พูดถึงกรรมวิบาก การมีราคะมาก ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ มีผัวมีเมียมาก มากผัวมากเมีย ในศีลของพระพุทธเจ้า ก็กำหนดเลย ศีลระดับของชน ที่จะเป็นผู้ดี เป็นอริยะ ผัวเดียวเมียเดียว ไม่ต้องไปมีมากผัวมากเมียจริงๆ ซื่อสัตย์ต่อกัน คนเดียวก็พอแล้ว ทุกข์พอแล้ว เวรภัยก็มากแล้ว แล้วมันเป็นจิตที่มันระเริง และยิ่งอย่างนี้ ก็ยิ่งย่ามใจ แล้วก็ต่อไป ก็ทำได้ มากกว่านี้ ๆ ๆ นั่นคือ บาปที่กิเลสเสริม กิเลสซ้อน พอเข้าใจมั้ย


 

ถาม : มีอาจารย์ใหญ่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ถามว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนว่า บุญคือความสุข บาปคือ ความทุกข์ ถ้าผู้ชายไปมีเมีย ๕ คน แต่มีความปรองดองกัน ไม่เคยทะเลาะกัน เขาก็ว่า มีบุญแล้ว ฉะนั้น ข้อเท็จจริงอย่างไร

ตอบ : (พ่อท่านหัวเราะ) ถ้าพวกเราคงไม่มีปัญหานะ ฟังแล้วนี่นะเข้าใจดีๆ ไอ้สุขอย่างนั้นนั่นนะ เราจะมีความสามารถ ถือว่าฝีมือนะ ความสามารถทางโลก เหมือนอย่างบอกว่า เราไม่ใช่แมน อย่างที่อาตมา เคยพูดนี่นะ คุณ แหม! แมนจริงๆ นะ เต็กกอ มีตั้งเท่าไหร่เดี๋ยวนี้ แล้วก็อยู่ด้วยกัน ปรองดอง อย่างที่ว่ามานี้นะ ตามสมมุตินี่นะ เสร็จแล้วก็บอกว่า มีความสุข มีอะไรต่ออะไรกัน ต่างๆ นานา เมื่อกี้นี้ พูดไปแล้ว ในข้อที่หนึ่งว่า มันเป็นความมักมากในกาม มันเป็น เรื่องอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา นี้มันไม่เข้าที เข้าท่านะ

ทีนี้ แม้จะไปสมมุติว่าเป็นความสุข คุณไม่รู้จักความสุข คุณไม่รู้จักโลกียสุข คุณไม่รู้จักกิเลส นี่แหละ ความมักมากในกาม จนกระทั่ง จะไปหาความสุข มีเมียตั้ง ๕ คนนี่นะ นั่นแหละ ตัวบาป คือตัวกิเลส มากๆ นั่นแหละ ถ้า คุณ...นี่แหละ ก็ใช่หละ คุณไม่เข้าใจข้อหนึ่งอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น คุณย่อม ไม่เข้าใจข้อสอง คุณจึงถามมาอย่างนี้ ถ้าคุณเข้าใจข้อหนึ่ง คุณจะเห็นว่า ข้อสองนี่ยิ่งหยาบใหญ่ เริ่มต้น ผัวเดียวเมียเดียวกลับมา เห็นมั้ย จะเริ่มมีจะมาหาเมียห้าแล้ว ถ้าแบบนี้ นี่คุณถ้าดีก็ดีไปเถอะ โดนเมียห้าหละ อาตมาว่า เหลือแค่ตอนะ (คนฟังหัวเราะ) โดนสักคน เหลือแต่ตอ ระวังเถอะ (พ่อท่านหัวเราะ) เอ๊า! ก็พูดอย่างที่เขาพูดมั่งไม่ได้เรอะ (พ่อท่านหัวเราะ) พอเข้าใจนะ อาตมา ไม่อยาก ตอบมากกว่านี้หรอก แหม! ขนาดนี้ไม่พยายาม ทำความเข้าใจ ไอ้โลกียสุข ไม่มีท่าอะไร หรอกคุณ มันเป็นของหลอก เสพสมสุขสมอะไรพวกนี้ ยิ่งแค่กาม แค่ผู้หญิงผู้ชาย แค่นี้ คุณยัง ไม่มีท่าอะไร แล้วจะปฏิบัติธรรมอะไร ให้สูงกว่านี้ ยังเห็นเป็นของอร่อย ยังเห็นเป็นของ ที่จะมักมาก มักได้อะไรกันอยู่ขนาดนี้ ยากนะ! เพราะฉะนั้น ขีดเขตระดับที่หนึ่ง พระพุทธเจ้าท่าน วัดไว้นี่ เป็นอริยบุคคลของเขตหนึ่ง ที่ควรจะพูดกันได้ เป็นเวไนยสัตว์ที่สอนได้ เวไนยสัตว์ ที่พัฒนาขึ้น เป็นอริยะได้ แค่ผัวเดียวเมียเดียวไม่ได้ นี่ยาก ผิดพลาดมาก่อน แล้วมาแก้ไข แล้วปรับปรุงได้ ไม่เป็นอีก ไม่มีอีก ก็ดี แต่ถ้าเผื่อว่า มาสอนแล้ว มาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า แล้ว ก็ยังไป ละเมิด อีกอยู่ อันนั้นยาก กามขนาดนี้ ยังระงับไม่ได้ ผัวเดียวเมียเดียว ยังไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ ...ยาก มันเป็นยังไงหือ! แล้วมันจะไม่มีอาการ ไม่มีศีลแปด แล้วมันจะไหวเหรอ ดีไม่ดีมาเป็นสมณะ ตายพอดี สังฆาทิเสสก็ไปมั่ง แล้วไม่งั้นก็ปาราชิก ตายกันพอดี แหม! ไม่ไหว


 

ถาม : ผมติดเหล้ามานานแล้ว

พ่อท่าน : ช่างคุณปะไร (คนฟัง และพ่อท่านหัวเราะ)

ถามต่อ : ถ้าไม่ได้กิน มือจะสั่น อยากเลิกแต่เลิกไม่ได้ ท่านช่วยพูดให้เลิกในวันนี้ด้วยครับ

ตอบ : โอ้โฮ ! (คนฟังหัวเราะ) สั่งให้ได้ เลิกให้ได้วันนี้ อาตมาเก่งปานนั้นเลยเหรอนี่ (พ่อท่านหัวเราะ) แทนที่ คุณจะมาสั่ง ให้อาตมาทำให้ได้ เช่นนั้น คุณสั่งตัวเอง ให้เลิกให้ได้วันนี้ สั่งตัวเองให้เลิกได้ เลิกให้ได้วันนี้ ไอ้เรื่องนี้น่ะ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องทั้งจิตและสรีระ เพราะฉะนั้น ไอ้โรคถึงขั้น หมอบอกว่านี่ โรคอัลกอฮอล์ลิสซึ่ม (พ่อท่านหัวเราะ) อัลกอฮอล์ลิสซึ่มแล้ว ขนาดนั้น มันเข้าเส้น เข้าประสาท เข้าอะไรแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อไม่ได้ไอ้ธาตุตัวเนี้ย พวกอัลกอฮอล์ตัวพวกนี้ ไปทำ ปฏิกิริยา กับประสาทพวกนั้นแล้ว เกิดหมดเลย มือสั่น เกิดทุกข์ร้อน เกิดบีบคั้น เกิดปวด เกิดเจ็บ เกิดอะไรต่ออะไรต่างๆนานา ทนไม่หวาดไม่ไหวต้องกิน ซ๊วย ซวยๆๆๆ นา ไปกินอะไร ให้มันถึง ขนาดนั้น คุณไปทำของคุณมา คุณไปหลงใหล ใครเป็นครูบาอาจารย์ พาไปกิน จนถึงขนาดนั้น เหอ ! ใครสอนให้คุณกินถึงขนาดนั้น เสร็จแล้วติดหนักเข้า มาบังคับให้อาตมา มาให้สอน ให้เลิกให้ได้ ในวันนี้ด้วย อะไรกันนักกันหนาเล่า ทำไมถึงบังคับ กันนักกันหนา อาตมาจะไหวเหรอ อาการหนัก จะแย่ยังงั้นแล้ว แล้วมาให้อาตมาช่วย ไม่มีอื่นหรอก ก็ต้องพยายาม พากเพียรจริงๆหละคุณ ต้องพิจารณาศึกษานี่ จะบอกวันนี้ อาตมาบอกคุณไม่ได้หรอก แล้วตอบได้ ทันทีเลยว่า มันไม่ฟลุ้ก ปานนั้นหรอก ว่าบอกคุณวันนี้แล้ว แล้วก็ไม่มีเวลา จะได้บอกมากมายด้วย นี่ก็เวลาเหลือน้อยแล้ว แล้วจะให้คุณหายในวันนี้ได้ อาตมาไม่เชื่อว่า ตัวเองจะเก่งขนาดนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อบอกไม่ได้ ก็บอกนิดๆหน่อยๆ ก็แล้วกัน เมื่อมันไม่ได้จริงๆ อย่างนั้นแล้ว จะพากเพียร อุตสาหะยังไง ก็คงไม่ได้หรอก คุณก็ต้องมาศึกษาหละนะ มาพยายาม อบรมฝึกฝน พากเพียร อาตมาไม่รู้ว่า คุณจะถึงขั้นไหน และขั้นที่มันเข้าเส้นเลือดแล้ว เข้าถึงขั้น มีปฏิกิริยา เป็นอัลกอฮอล์ลิสซึ่มแล้ว ขนาดนั้นนี่ ที่จะรักษาได้หรือไม่ อาตมาก็ยังไม่รู้เหมือนกันนะ ยังไม่เคย ได้จับสถิติว่า ผู้ที่ติดเหล้า ถึงขนาดนั้นมา มารักษา มีหรือเปล่า ไม่รู้ มีเหรอ! แล้วหายเหรอ! คุณก็เคยสั่นเหรอ! อ้าว! มีตัวอย่าง มีความหวังนี่ นี่ก็ติดเหล้า ถึงขนาดนั้น ด้วยเหรอ สั่นเลยเหรอ อ้าว ! มา

พ่อท่าน : กินเหล้าแล้วหายสั่น ใช่ มันมีธาตุนั้นไปไปทำงานแล้วมันก็ มันก็แก้

พ่อท่าน : อ้าว ! มา ดีแล้ว มีผู้ที่เคยผ่านมา มีใครอื่นอีกมั้ย อาจจะหลายคนก็ได้ มีผู้ที่เคย

พ่อท่าน : เออ ! ถึงขั้นสั่น ถึงขั้นมีปฏิกิริยาทางกายนี่นะ

พ่อท่าน : นั่นเป็นคำตอบ บอกว่ากินเหล้าแล้วก็อยากจะปรับปรุงตัวเอง ไปหาอาจารย์ทุกสาย เสร็จแล้ว เขาก็ต้องเอาจริงเอาจังกับตัวเอง นี่ คือคำตอบเลยหาย หมายความว่า ต้องมาเรียนรู้จริงๆ มันไม่ได้อะไร ต่างๆนานา มาอยู่กับมิตรดีสหายดี มาอะไรต่ออะไร เอาจริงๆจังๆ หางานหาการ หาอะไร ต่ออะไรทำได้จริงๆนะ มาดูมาคบคุ้นกับพวกเราดีๆ คงจะพอช่วยได้


 

ถาม : ในหลักธรรมที่กล่าวถึงหน้าที่ของบุตร ในข้อที่ว่า เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน ดังนี้จะไม่ขัดกับที่พ่อท่านว่า การทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย ไม่ได้รับหรือครับ

พ่อท่าน : อาตมาเคยอธิบายข้อนี้นะ แล้วอาตมาเคยค้นพบบาลีว่า มาเป็นหลักฐาน อธิบาย ประกอบด้วย ข้อนี้อยู่ในการพลีนะ อยู่ในข้อพลี มีพลีหนึ่ง ว่าต้องอุทิศส่วนกุศล ให้แก่พ่อแม่ ที่ล่วงลับ... ตายล่วงลับไปแล้ว คำว่าพ่อแม่ ที่ตายล่วงลับไปแล้วนั้น คำว่าตายล่วงลับ เค้าแปล มาจากคำว่า เปตานัง ทีนี้เขาก็ไปแปล เปตานัง เป็นตัวตน บุคคลเราเขา ว่า พ่อแม่นี่ตาย อย่างร่างกาย ตายแล้วก็ตายไป ที่จริงเปตานัง นี่ไปเป็นเปรต แปลโดยศัพท์ง่ายๆ พวกคุณก็ฟังออก นะ คำว่าเป็นเปรต มันไม่ได้หมายถึง ร่างกายตายนะ แต่เขาแปลโดยภาษาซื่อบื้อ ว่าผู้ล่วงลับไปแล้ว ตายแล้วไปเป็นเปรต ในชาติที่ร่างกายตายแล้ว ก็ไปเป็นเปรต ตกต่ำอย่างนั้น นี่คือคำแปล ของผู้ที่แปล ไม่ได้เข้าใจถึง ปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้น ค้านแย้งแน่ และก็บอกว่า ได้รับซิ เพราะว่า ให้อุทิศไปให้ ให้ส่งไปให้ผู้นี้ ที่จริงนั้น ไม่ใช่ผู้ที่จะสมควรได้รับ แล้วก็ไม่ได้รับ ...แน่นอน ไม่ขัดแย้ง ถ้าผู้นั้น ตายไปแล้วจริงๆ แต่ถ้าเอาเปตานังจริงๆแล้ว ยังอยู่เป็นคนด้วยกัน แต่จิตตก จิตตาย จิตต่ำ ไปเป็นเปรต เพราะฉะนั้น เราจะช่วยอย่างไร ที่จะให้เขาได้รับส่วน ที่เราจะช่วยเค้าได้ ให้พ่อแม่ พ้นจากความเป็นเปรต เพราะตกต่ำไปเป็นเปรต จิตมันตกต่ำ ไปเป็นตัวอยาก ตัวอะไรต่ออะไร เป็นเปรตลักษณะหนึ่ง อสุรกายลักษณะหนึ่ง สัตว์นรกลักษณะหนึ่ง อะไรนี่ก็ว่ากันไปนะ นั่นแหละ ช่วยให้ได้ซิ ยังงี้แหละทำได้ ไม่ขัดหรอก เพราะคำว่า เปตานัง ตัวเดียว ไปแปลกันอย่างนี้ มันก็เลย เป็นอย่างนี้


 

ถาม : พ่อท่านคะ ถ้าจะเปรียบการปฏิบัติธรรม กับการเข้าโรงเรียนแล้ว รู้สึกว่า ตัวเองจะไม่ได้เรียน ชั้นประถม กระโดดเรียนมัธยมเลย มีปัญหาว่า เราจะปฏิบัติอย่างไร ถึงจะได้แก่นแท้ของธรรมะ เพราะบางครั้ง ฟังธรรมจากพ่อท่าน จะไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ใจก็ยังใฝ่ดีอยู่ ยังศรัทธาอยู่ เข้ามาใน แวดวงอโศก ได้หนึ่งปีแล้วค่ะ

ตอบ : ก็จริงนะอันนี้ ของเรานี่มันห้องเรียนปน ตั้งแต่อนุบาลยัน ธรรม PH.D (พ่อท่านหัวเราะ) ธรรมปริญญาเอก มันคละเคล้ากันอยู่หมดเลย แล้วก็สอนกันหรือแนะนำ หรือว่าเทศน์อะไร ก็เหมือนบทเรียน อันเดียวกันหมด ยังงี้ใครก็ตาม ใครเนี่ยควรจะเป็นครูเรา ในฐานะครูเรา แม้แต่ฆราวาส ด้วยกันเอง นี่ก็เป็นครูเราได้ เรารู้ตัวเรามั้ย ว่าเราเอง เป็นนักเรียน ชั้นอนุบาล เราเป็นนักเรียน ชั้นประถม เราเรียนชั้นมัธยม นี่คุณถามมาด้วยกับคุณนี่ จะเป็นนักเรียนประถม ก็มาเรียนมัธยมเลย คล้ายๆงั้นแหละ เมื่อคุณรู้ตัวก็ดีแล้ว แล้วคุณบอกว่า อาตมาเทศน์ ฟังไม่รู้เรื่อง ก็ไม่เป็นไร แต่คุณก็ศรัทธาอยู่ ก็ไม่เป็นไร ที่จริงบางทีคุณก็คงพอเข้าใจบ้าง ถึงศรัทธาอยู่ได้ ถ้าไม่เข้าใจเลย คงไม่ศรัทธาหรอกนะ คุณก็หาครูที่มันเหมาะกับฐานะของเรา ทำอย่างนี้แล้ว จะได้ไปเบาอาตมาบ้าง ให้อาตมาไปสอน ตั้งแต่อนุบาล ยันปริญญาเอก นี่อาตมา ตายแน่ๆเลย วันหนึ่งก็เข้าชั้นไม่พอ...ตาย และทำไมจะต้องเป็นอย่างนั้น มันจะต้องมีครู เดี๋ยวนี้เราก็พยายาม จะให้มีครู ช่วยกันหมด และก็มีนะ หลายคน ไม่เคยมาให้อาตมาสอนเลย แต่ก็เจริญในธรรม มาเรื่อยๆๆๆ มีมากนะในพวกเรา บางคนเป็นลูกศิษย์ท่านอโสโก ต้องหูหักหน่อยนะ ท่านอโสโกนี่ (คนฟังหัวเราะ) บางคนเป็นลูกศิษย์ท่านอนุตตโร บางคนเป็นลูกศิษย์ท่านชาตวโร มีจริงๆ แม้ท่าน สีลวัณโณ นี่เห็นไม่ค่อยเทศน์นี่เถอะ มีลูกศิษย์นะ (พ่อท่านและคนฟังหัวเราะ) ทำเป็นเล่นไปเถอะ มีลูกศิษย์นะ บางคน อยากเป็นลูกศิษย์ที่ศึกษาประจำด้วยนะ แต่ท่านไม่ค่อยเอา ท่านอาจจะ แคบหน่อย ระวังนะ ให้เขาบ้าง (พ่อท่านหัวเราะ) มีทั้งนั้นน่ะ เล็กๆน้อยๆ มี บางคน หาลูกศิษย์เอง ไม่ใช่นักศึกษา มาหาหรอก หาลูกศิษย์เอง และชอบมีลูกศิษย์เยอะๆ ด้วย (คนฟังหัวเราะ) เยอะเกินตัวด้วย ระวังจะตาย ระวังลูกศิษย์จะฆ่าเอา (คนฟังหัวเราะ) ฆ่าด้วยเกสรดอกไม้ด้วยนะ (คนฟังหัวเราะ พ่อท่านหัวเราะ) อ้าว...ก็เตือนกันบ้างนะ ในฐานะ ไม่อยากจะให้ตกล่วงนะ (พ่อท่านหัวเราะ) เอาล่ะ อ่านต่อเรื่องเลย


 

ถาม : สภาวะธรรมต่างๆ ที่เรามองเห็นด้วยปัญญานั้น ของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นขั้นต้น ขั้นสูง อย่างนี้ กาละเวลา ที่จะละกิเลสนี้ ทำไมมันถึงทำได้ยาก และ คนที่ทำนานๆแล้ว น่าจะได้แล้ว (พ่อท่านหัวเราะ) พอดูดูไปแล้ว ตีกลับ เป็นอย่างไรกันแน่ครับ ช่วยอธิบาย

ตอบ : เอ้อ... มันก็ปัญหาง่ายๆนะ แต่ตอบย้ากยาก ถามว่าแต่ละคนนี่ ไม่ว่าขั้นต้น ขั้นสูง นี่ เอ้! ไอ้กาละเวลา ที่กิเลสนี่ ทำไมมันถึงได้ยากนักนะ คือกาละ ที่มันสำเร็จนี่ คงหมายถึงอย่างนั้นนะ ว่ากาละนี้ได้ ได้ควรจะเป็นขั้น เป็นตอน เป็นฐานะ บางคนนี่โอ้โห! ก็ทำมานานแล้ว มันน่าจะได้แล้ว ทำไม ไม่เห็นมันจะได้เลย พูด ดูๆไปแล้ว บางคนตีกลับเสียด้วยซ้ำ นึกว่า แหม! นานแล้ว แต่ก่อนนี้ก็ เห็นว่าดี เอ้า! มาคราวนี้มันตีลังกาลงต่ำกว่าเก่าแฮะ มันยังไงกันแน่นี่ ช่วยอธิบายด้วย อาตมาก็ไม่รู้ จะอธิบายยังไง มันเป็นยังงั้นจริงๆน่ะแหละ (พ่อท่านหัวเราะ) ถ้าไม่เอาจริง พระพุทธเจ้าถึงได้ กำชับ กำชาว่า ท่านไม่สรรเสริญ คนที่หยุดอยู่เท่านั้น ป่วยการกล่าวไปไยกับคนที่เสื่อมอยู่ คนที่เสื่อม แม้แต่คน ที่อยู่กับที่ ไม่เจริญขึ้น ท่านก็ไม่สรรเสริญ ท่านก็ไม่ยอมรับ ท่านไม่สนับสนุน ท่านสนับสนุน สรรเสริญ คนที่ เจริญอยู่ ๆ ๆ อาตมาว่า แม้แต่ผู้ที่เขานานแล้ว มันน่าจะได้แล้ว เขาก็ไม่ได้นี่ อาตมาว่า หลายคนก็คงไม่เจตนาอยากให้เป็นอย่างนั้นหรอกนะ แต่มันยาก อย่างที่คุณว่านั่น ถูกแล้ว ศึกษาดีๆ และจะมีคนที่เขาเจตนา และพากเพียรอยู่ด้วยซ้ำ แต่ก็ตก หรือมันต่ำกว่าเก่า ที่จริง ไม่ได้ตกต่ำ กว่าเก่าหรอก เคร่ง ทำแล้วก็สุดท้าย มันก็ไม่ได้ มันไม่ถูกทางบ้าง หรือว่า มันผิดพลาดฐานไป มันมากไป น้อยไป อะไรก็แล้วแต่ ไม่สมฐานะ ไม่มัชฌิมา มันก็ไม่พอดี มันก็ไม่ได้เรื่อง เสร็จแล้วก็ดู เหมือนตอนเคร่ง คุณไปดูตามรูปนะ ตอนเคร่ง ก็แลดูว่า เอ๊อ! นี่เค้าดีนะ แต่ที่จริง เขาก็ยังไม่ได้ พอเขาหยุดเคร่ง ก็เลยกลายมาเป็นสภาพ ที่ดูเหมือนเขาตกต่ำ ก็ได้ แต่ที่จริง เขาก็ไม่ได้ตกต่ำหรอก ตอนนั้น เขายังไม่ได้ แต่ท่าทีดูเหมือนเคร่ง ท่าทีดูเหมือนได้ แต่ที่จริงยังไม่ได้ ก็เลยดูว่า เขาตกต่ำ ก็ได้ อย่างนี้ก็ได้ เรื่องของธรรมะ เรื่องของสัจจะ ถ้าปฏิบัติแล้ว ได้แล้วได้ นะ ได้แล้วได้จริง ได้แล้วได้เลย แต่มันยังไม่เที่ยงแท้ มันยังขึ้นๆลงๆ ขึ้นๆลงๆ ก็มีบ้าง แต่ถ้าปฏิบัติ ถูกทางจริงๆ ขึ้นๆลงๆ แล้วถ้าเผื่อว่า มันวุฒิ วุฒิ วุฒิ มันก็จะมีบ้าง ไอ้ขึ้นลง ขึ้นต้นขึ้นลงนิดหน่อย นิดหน่อย พยายาม พากเพียรอยู่ มันก็จะเจริญขึ้นเรื่อยๆๆๆ ไปเอง และถึงที่สุดเที่ยงแท้แล้ว ไม่ลงหรอก ไม่เวียนกลับ ไม่ลงต่ำ

พ่อท่าน : เอ้า! ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันช้า


 

ถาม : ที่พ่อพูดว่า ปฏิบัติศีลตั้งแต่เป็นฆราวาส แล้วทำให้รู้มรรคแปดเองนั้น อยากทราบว่า รู้อย่างไร ช่วยอธิบาย

พ่อท่าน : แหม! มันยากนะตรงนี้ จะตอบว่า รู้อย่างไร มันรู้เอง มันรู้จริงๆ ถ้าอาตมารู้แล้ว อาตมา เอามาบอกคุณได้นี่ คุณจะเชื่อมั้ยว่าอาตมารู้ โดยที่อาตมาไม่มีครู เชื่อมั้ย เอาแค่นี้พอมั้ย อาตมา ตอบไม่ได้ว่า รู้อย่างไร ก็มันรู้เองนี่นะ สยัง อภิญญา ซึ่งมันเป็นหลักของอริยะ ที่มีสยัง อภิญญา มา มันก็รู้เองจริงๆ ลักษณะนี้ มันเป็นของเอง จะเรียกว่าเป็นปัจเจก ก็อย่างหนึ่ง เป็นปัจเจก ในระดับ สยัง อภิญญา คือรู้ได้ด้วยตนเอง เหมือนกันกับ ปัจเจกนั่นแหละ ในข้อที่ว่า

พ่อท่าน : สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจะ โลกัง ปรัญจะ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ นี่ ข้อมิจฉาทิฏฐิ ข้อที่สิบ มันเป็นลักษณะรู้เอง จะให้อธิบาย ยังไงหละ มันรู้อย่างไร ก็รู้อย่างมันรู้หละ มันก็ถึงบอกคุณได้ไง คือรู้ว่า นี่หละ อย่างที่อาตมา อธิบายให้คุณฟัง มรรคองค์แปดเป็นอย่างนี้ แล้วก็ทำอย่างนี้นะ ปฏิบัติอย่างนี้ ก็มันรู้มาเองได้ ปฏิบัติแล้ว มันก็รู้ตั้งแต่เป็นฆราวาส อย่างที่คุณถามนี่แหละ และรู้ก็เลย อ๋อ ! ปฏิบัติอย่างนี้เองน่ะ แล้วมันก็เป็นอย่างนี้ เป็นหลักเป็นทางปฏิบัติของพระพุทธเจ้า ก็มันรู้ของตนเอง มาแต่ปางบรรพ์ นี่แหละ เป็นเครื่องยืนยันว่า มันเป็นสิ่งที่เป็นทรัพย์ของอาตมาเองมา จะถามว่า อย่างไร ก็อย่างที่ เอามาสอน พวกเรานี่ไง และอาตมาก็ถามคุณอยู่แล้วว่า เมื่ออาตมา เอามาบอกคุณได้ แล้วคุณ ก็เข้าใจ คุณว่าอย่างนี้ เป็นมรรคองค์แปดมั้ยล่ะ แล้วปฏิบัติอย่างนี้ ได้มรรคได้ผล จริงไหม ถ้าได้จริงแล้ว คุณจะเชื่อไหมว่า อาตมารู้มาเอง ทั้งๆที่อาตมาไม่มีครูอื่นสอน หรือแม้แต่คนอื่น ก็ยังพูดค้านแย้ง กับเขาเลย ครูชั้นใหญ่ชั้นโตอะไรเดี๋ยวนี้ ก็ยังพูดค้านแย้ง มรรคองค์แปด เขาแปล ตรงกันภาษา หยาบเหมือนกันหมด แต่นัยละเอียดลึกซึ้ง นี่ไม่เหมือนกัน และอาตมาถึงบอกไป จับมาจาก พระไตรปิฎก ก็มีอธิบายไว้แค่นั้น อย่างนั้น คือในมหาจัตตารีสกสูตร ขยายความ ได้ตั้งเป็นเล่ม เห็นมั้ย แล้วมันก็ละเอียดลึกซึ้ง ซับซ้อนมากมาย เพราะว่า อาตมายืนยันแล้วว่า เป็นทฤษฏีที่ยิ่งใหญ่ ของพระพุทธเจ้าท่านค้นพบนะ แล้วก็อาตมา เทียบให้ฟัง อยู่เสมอว่า ขนาดไอสไตล์ ค้นพบ E=Mc2 นี่ ไม่ยิ่งใหญ่เท่า มรรคมีองค์แปด อันนี้เป็นทฤษฏี ที่ยิ่งใหญ่กว่ามาก สำหรับมนุษยชาติ ไม่ใช่เล็ก ไอสไตล์ เคยพูดนะ พยายามไปบรรยายให้เขาฟัง คนก็ยังได้ ไม่เท่าไหร่เลย ขนาดนั้น ยังยาก สำหรับคนที่จะรับได้ แล้วมรรคองค์แปด มันจะง่ายเหรอ จริงๆ ไม่ง่ายนะ ไม่ใช่ว่าอาตมาแกล้งพูดนะ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทุกวันนี้ ก็ยังสอนมรรคองค์แปด อยู่ตลอดเวลา


 

ถาม : โจรที่โพกผ้าปล้น กับผู้ที่หน้าฉากว่าทำดี แต่กอบโกยรวยเละ อย่างไหนบาปมากกว่ากัน ช่วยเปรียบเทียบ ให้เห็นชัดด้วย

ตอบ : ก็อธิบายมาแล้วไอ้พวกโจร จอมโจรบัณฑิตมหาอภินิรันดร์กาล (พ่อท่านหัวเราะ) ที่หน้าฉากดี และ ซับซ้อนฉ้อฉล ไม่ให้คนเขาจับ แล้วก็ รวยเละอย่างที่คุณว่ามานี่แหละ คนอย่างนี้แหละ เป็นสภาพซับซ้อนที่ขี้โกง แล้วก็ยังหลอกเขาต่อ โหดร้ายปล้นจี้ แต่ยังหลอกเขาด้วยว่า ฉันไม่ปล้น ไม่จี้ อำพรางทุกอย่าง มันจึงมีค่าแห่งความเลวซับซ้อน ราคามันจึงแพงกว่าราคาความชั่วนะ แพง ราคาความชั่ว มากกว่า สูงกว่า โจรปล้นนี่เขาก็ไม่ซับซ้อนอะไร เห็นหน้าก็รู้ว่าโจรนี่ จะมาปล้น วิ่งหนียังทัน ไม่ตายใจ ไม่หลงหลอกอะไรต่างๆนานาพวกนี้ แล้วไม่โกหก ไม่ปิดบังด้วย อย่างนี้ มันก็ยัง ราคาความชั่ว ก็ยังถูกกว่า ราคาความชั่วของคนชนิดนี้ เปรียบเทียบอย่างนี้ ชัดมั้ยล่ะ เดี๋ยวก็ถามมาว่า ไม่ชัด คุณชัดน่ะ คุณชัดแล้ว คุณไม่ได้ถาม แต่คนที่ถามมานี่ซิ (คนฟังและ พ่อท่านหัวเราะ) คนที่ถามมา นี่ซิชัดมั้ย ตอบอยู่ในใจ แล้วก็ไม่รู้ว่า อยู่ไหนคนถาม


 

ถาม : ได้ยินว่าญาติธรรมของเราบางคน เวลามีปัญหาจะบอกว่า ต้องไปให้พ่อท่านแก้ โดยเฉพาะ แล้วสมณะ ลูกท่านทั้งหลาย ไม่มีความสามารถแก้ไขให้ได้หรือครับ ในเมื่อฟังดูปัญหาแล้ว มันก็ไม่ พิสดารอะไรนัก อย่างนี้จะหมายความว่าอย่างไร ช่วยชี้แนะ

ตอบ : อันนี้ก็ตอบไปแล้ว เมื่อกี้นี้นะว่ามีขั้นตอน จะให้สมณะอื่นๆช่วยแก้ ช่วยอะไรบ้าง ได้ แล้วก็แบ่งกันอยู่ ผู้ที่มีไม่ใช่ว่า มาหาที่อาตมาคนเดียว คนพูดคนนี้อาจจะพูดโดยที่เรียกว่า เอ๊ะ อันนี้มันยากหน่อยนะ อันนี้มันสำคัญหน่อยนะ มาหาที่อาตมา หรือว่าอันนี้คิดว่าตอบเร็วๆ ไปงั้นน่ะ ยังไง ๆ ก็ทีเดียวก็ได้ จริงๆเรามีอยู่นะ


 

ถาม : พ่อท่านครับ ที่พ่อท่านเทศน์ตอนเช้านั้น พ่อท่านเทศน์องค์เดียว พ่อไม่เหนื่อยหรือครับ เทศน์ตั้ง ๒ ชั่วโมงกว่าทุกๆเช้า ผมสงสารพ่อมาก พ่อน่าจะให้สมณะเทศน์ด้วย เช้าละหนึ่งองค์ รวมกับพ่อ เพื่อจะช่วยพ่ออีกแรงหนึ่ง เพราะว่าสมณะท่านแต่ละองค์ก็เทศน์ดีทุกองค์ แล้วก็มี หลายๆ องค์อยู่ ผมว่าพ่อน่าจะอนุญาต ให้ลูกช่วยบ้าง เพื่อจะได้แบ่งเบาภาระลงบ้าง ผมอยากให้ พ่ออยู่กับลูกไป อีกนาน แสนนาน

ตอบ : ก็ดีอยู่นะ ที่จริง อาตมานี่เทศน์ แต่ก่อนนี้งานปลุกเสกนี่ โอ้โฮ ! อาตมาเหนื่อยกว่านี้ ถามรุ่น เก่าๆได้ อาตมาบุก เดี๋ยวนี้อาตมาเบา ทุกวันนี้ สบายจริงๆเลย แค่นี้ไม่ครนามือ อาตมาหรอก ผู้ถามมา เอาเถอะ ขอบคุณที่สงสาร เทศน์แค่นี้นะ เมื่อวานนี้นะ รายการเช้า และบ่าย และก็เย็น สามรายการ สามในสี่ เมื่อวานนี้ ยังปร๋อเลย ยังสบายๆ จริงๆนะ ไม่ได้เหนื่อยเหน็ดอะไรเลย จริงๆ แต่ก่อนนี้ อาตมาไม่ใช่ทำแค่นี้ ต้องกำหนดรายการ ต้องดูควบคุม ต้องจัดแจง เลือกไอ้โน่นไอ้นี่ วิจัยทำโน่นนี่ เดี๋ยวนี้ มีผู้รับช่วง ช่วยอาตมามากมาย อย่าลืมว่า การจัดงานปลุกเสกนี่ ไม่ใช่นิดหน่อยนะ แต่ดูเหมือนไม่มีอะไร ไม่ได้ทำอะไรมากมาย เพราะว่า พวกเรามันเข้าฝักแล้ว และก็มีผู้ช่วยกัน รับช่วงรู้หน้าที่กันมากแล้ว แต่ก่อนนี้ อาตมาต้องคอยเดินดูด้วยนะ ห้องส้วม ห้องน้ำ อะไรต่ออะไร ต้องดูหมดเลย เพราะว่ามันขาด มันเหลือ มันไม่ค่อยพร้อม ไม่ค่อยพอ แล้วก็มาเทศน์ เสร็จแล้วก็ต้องมาบรรยายในนี้แหละ เทศน์ นั่งพูดอยู่ตรงนั้นน่ะ พูดยิ่งกว่า ทุกวันนี้ ด้วยซ้ำ พูดจริงๆ แต่ก่อนนี้หนักเหน็ดเหนื่อย เดี๋ยวนี้สบ๊าย สบาย เอ๊า ! ตอบเลย หมดแล้ว อะไรมีอีก หมดแล้ว


 

ถาม : การปรับตัวเข้าหาคนอื่นด้วยความเข้าใจ ดีกว่าการเอาตัวเองเป็น ศูนย์กลาง ให้ผู้อื่นยอมรับ หรือไม่

ตอบ : การปรับตัวเรานี่ เข้าหาคนอื่นด้วยความเข้าใจ เข้าใจเขาให้ได้ หรืออะไรก็แล้วแต่ ทำความเข้าใจ อะไรก็แล้วแต่ ดีกว่าการเอาตัวเอง เป็นศูนย์กลางให้คนอื่นยอมรับหรือไม่

แน่นอน แน่นอน แน่นอน คนที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ให้คนอื่นยอมรับน่ะ มันอีโก้ มันอัตตา มันมานะ มากไป กิเลส แม้แต่อาตมานี่ ยังระวังมากเลยเรื่องนี้ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แหม...ใหญ่ เป็นเจ้า พระเจ้ารึไง (พ่อท่านหัวเราะ) อันนี้คำถามแค่นี้นะ


 

ถาม : การเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง โดยคิดว่า ตนเป็นเช่นนี้เอง ใครจะเข้าใจหรือไม่ ไม่สน ช่วยไม่ได้ เราจริงใจ บริสุทธิ์ใจซะอย่าง ใครจะถือสาอย่างไรไม่คำนึง เช่นนี้พ่อท่านว่า คนเช่นนี้เป็นคนเช่นไร

ตอบ : คนที่มีอัตตามานะมาก หลงตัวหลงตน ไม่มีทางเป็นอรหันต์ (พ่อท่านและคนฟังหัวเราะ) เอ๊า! นี่ตอบโดยจริงนะ ถูกเป๊ะเลย

ถาม : คนชนิดนี้ปฏิบัติธรรมถูกต้องรึเปล่า ดิฉันไม่เข้าใจ เพราะ เคยฟังสมณะบางองค์เทศน์ ว่าคนปฏิบัติธรรมจริง ต้องทำงานด้วยความใจเย็น แต่ไม่ใช่ช้า (ช่วยเตือนผู้ปฏิบัติธรรมที่ใจร้อน)

ตอบ : คนปฏิบัติธรรมจริง ต้องทำงานด้วยความใจเย็น แต่ไม่ใช่ช้า ความหมายคำว่าใจเย็น กินความแค่ไหน ใจเย็นประเภทรถหวานเย็น แต่เขาก็มีเงื่อนไขด้วยว่าไม่ใช่ช้า เพราะฉะนั้น ในเงื่อนไข ของคำว่าใจเย็น ก็หมายความว่า เป็นคนจิตใจไม่วู่วาม ไม่ร้อนรน สุขุม ประณีต ดี ถูกแล้ว ถูกแล้ว ทำงานด้วยใจเย็น แต่ ไม่ใช่ช้า ไม่ใช่เชื่อง เชื่องช้า เอ้า ! แผ่นสุดท้าย


 

ถาม : ผู้หญิงที่จะบำเพ็ญบารมีอย่างเจ้าแม่กวนอิมโพธิสัตว์นั้น มีคุณสมบัติอย่างไร

ตอบ : เอ๊! อาตมาจะตอบอย่างไร มีคุณสมบัติอย่างเจ้าแม่กวนอิมซะด้วย จะบำเพ็ญบารมี อย่าง เจ้าแม่กวนอิมโพธิสัตว์ จะมีคุณสมบัติอย่างไร มันก็มีคุณสมบัติ มีความอดทน ที่จะบำเพ็ญบารมี ให้ได้คุณภาพ อย่างเจ้าแม่กวนอิมจริงๆ ตอบกำปั้นทุบดินอย่างนี้ ต้องอดทนจริงๆนะ ต้องพากเพียร ต้องอุตสาหะจริงๆนะ เพราะฉะนั้น อยากจะได้ ก็ไปศึกษา แบบอย่าง ของเจ้าแม่กวนอิม ว่าท่าน มีอะไรมากอย่างไร อะไรเด่น เอาเลย บำเพ็ญสะสมบารมีเข้า จะตอบว่าอย่างไร อาตมาเอง ก็รู้ไม่หมดหรอก คงจะมีม้ากมาก นะ เจ้าแม่กวนอิม เราก็ยกย่องว่า เยอะแยะน่ะนะ เพราะฉะนั้น เรื่องกลางๆ กำปั้นทุบดิบ เจ้าแม่กวนอิมก็บำเพ็ญ มันก็เป็นกลางๆ แหละบารมีต่างๆ บารมี ๑๐ ทัศ มันก็เหมือนกันแหละ กลางๆ แล้วท่านก็มีเด่น จุดนั้นจุดนี้อะไร จุดเด่นของท่าน อาจจะมากกว่า คนไหน กระทั่งเอามาพูดเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่าง คุณจะอยากให้เด่น เหมือนเจ้าแม่กวนอิม อย่างนั้น ก็เชิญซิ

ถาม : สอง บวชเป็นสิกขมาตุ คงไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำง่ายๆ คงต้องอดทนกว่าชาย ที่จะบวชเป็นสมณะ เหตุใดผู้หญิง จึงต้องมีวิบากมากเช่นนี้ พ่อท่านช่วยผู้หญิงแค่ไหน

ตอบ : สองข้อมี ๒ คำถาม ถามว่าผู้หญิง นี่ ทำไมถึงมีวิบากมาก เอ๊ะ! ตอบยังไง มันก็ความจริง เอาความจริงมาถาม ทำไมต้องต้องมีวิบากมาก ก็คุณไปทำวิบากไว้เอง และ ถามว่า เหตุใดผู้หญิง ต้องมีวิบากมาก ไม่ใช่ทำไมต้องมี ทำไมต้องมีวิบากมาก ก็เพราะคุณ เป็นผู้ที่ไป สั่งสมทรัพย์ ที่เป็นวิบาก ของคุณมาอย่างนั้น จึงได้อยู่ในภูมิ ในเพศขนาดที่ คุณได้คุณเป็น ตามสัจจะ และ เราก็รู้กัน อย่างชัดอยู่แล้วว่า ฐานะของผู้หญิงด้อยกว่าผู้ชาย ปุริสภาวะ ต้องสูงกว่า อิตถีภาวะ นี่ศาสนาพุทธเรา ไม่มีปัญหา นะ และก็เดี๋ยวนี้ จะสิทธิสตรีจะต้องเท่าเทียมกับผู้ชาย อะไรก็ให้เขา ว่ากันไปเถอะ เราเข้าใจอยู่อย่างนั้นจริงๆเลย แม้แต่ในศาสนาคริสต์ พระเจ้าก็สร้าง อาดัมก่อน อีวา แค่กระดูกซี่โครงของอาดัมนะ ที่พระเจ้าเอามาสร้างเป็นอีวา ส่วนหนึ่งของอาดัม เท่านั้นเองนะ นี่ก็เป็น ความหมายว่าผู้หญิง ไม่ได้หมายความว่า เป็นใหญ่อะไรกว่าอาดัม อาดัม หรือผู้ชาย นี่เป็นเพศก่อน ในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ยากเกินไป ถ้าเผื่อว่า ไม่มีการติดยึด ดันทุรังอะไร เกินไปนะ มันก็คงจะรู้ได้ จะให้ตอบว่าทำไม เหตุใดผู้หญิงต้องมีวิบากมากเช่นนี้ มันก็ตอบได้โดย โวหาร เท่านั้นแหละ ว่าก็คุณไปทำให้มันมีอกุศล หรือมีส่วนที่ไม่แข็งแรง หรือ ส่วนที่ไม่สมบูรณ์ ไว้เองมาซี่ มันก็เป็น เพราะฉะนั้น เมื่อมันเป็นเช่นนี้ คุณก็ทำใหม่ซิ ทำให้เกิดกรรม เกิดวิบาก ที่ดีใหม่ๆๆๆๆๆๆๆ ไปจริงๆ เมื่อทำจริงๆ มันก็จะเกิดเอง พ่อท่านช่วยผู้หญิงแค่ไหน นี่อีกประเด็นหนึ่ง ในข้อที่สองนี้ ช่วยแค่ไหนล่ะ อาตมาว่า อาตมาก็ช่วยนี่ แหม! มากแล้วนะ จะพูดไป เดี๋ยวจะหาว่า อาตมาทวงบุญ ทวงคุณจริงๆ จริงๆนะ ช่วยมากแล้ว และก็ให้ไว้ ทำอะไรต่ออะไรให้ไว้ แล้วก็พยายามที่จะเปิดทาง ช่วยไว้มากแล้วจริงๆ แหม! ที่จริงอาตมาก็อยากบอก แต่ว่าไม่บอกดีกว่า ไม่ดี ไม่บอกดีกว่า (พ่อท่านหัวเราะ) เอ้า! ข้อสาม (พ่อท่านหัวเราะ) ก็ตอบแล้วว่า อาตมาช่วยไว้ แค่ไหน ก็แค่มากแล้วหละ (พ่อท่านหัวเราะ) มากขนาดที่เป็นนี่หละ ก็อุตสาหะ พยายามอยู่


 

ถาม : ดิฉันเห็นผู้หญิงที่อ่อนหวานมากๆ อ่อนหวานนี่หมายความว่า หวานน้อยใช่มั้ย (คนฟังหัวเราะ) ถ้าแก่หวาน ก็หวานมากใช่มั้ย (คนฟังและพ่อท่าน หัวเราะ) ดิฉันเห็นผู้หญิง ที่อ่อนหวานมากๆหนึ่ง เรียบร้อย เนิบนาบนุ่มเนียน หนึ่ง เกิดความรู้สึกว่า ช่างเป็นผู้หญิง ที่น่ากลัว อะไรอย่างนั้น กลัวอย่าง ไม่เคยเกิดความรู้สึกมาก่อน เขารู้สึกเช่นนี้ เป็นอิตถีภาวะในตน ใช่มั้ยค่ะ

ตอบ : ไม่ใช่หรอก มันเป็นปุริสภาวะ คุณเกิดความเห็นล่ะว่า ไอ้นี่น่ากลัว นี่ชักจะไม่อยากได้ ไม่อยากเป็นแล้ว ชักน่ากลัวแล้วนี่ลักษณะอย่างนี้นี่ แหม! อ่อนหวานมาก เรียบร้อย เนิบนาบ นุ่มนิ่ม จุ๋มจิ๋ม อะไรก็แล้วแต่ ลักษณะผู้หญิงมามากๆ อย่างนี้นะ ซึ่งผู้ชายอาจจะชอบ อะไรนี้นะ แต่คนนี้ รู้สึกว่า เอ๊ ! ลักษณะอิตถีภาวะอย่างนี้ ฉันไม่ยินดีแล้ว ไม่ใช่ลักษณะอิตถีภาวะของคุณ แต่กลับเป็น ปุริสภาวะต่างหาก เป็นจิตที่ไม่ศรัทธา หรือไม่ชอบในอิตถีภาวะอันนี้แล้ว แต่ยินดีในปุริสภาวะ ต่างหาก คุณถามกลับกัน ไม่ใช่อิตถีภาวะของคุณ แต่เป็นปุริสภาวะในคุณ ก็ไม่ต้องชังนะ ไม่ต้องชัง แม้ว่าคุณเอง คุณจะเห็นว่าอย่างนั้น คุณไม่ค่อยชอบ อะไรก็ตาม ไม่ต้องชัง ก็เห็นว่าไม่ดี ก็แล้วไปนะ แล้วเราก็พากเพียรทำเอาในสิ่งที่ดี สิ่งที่คิดว่า เราไม่มี เขามี เราไม่มีก็ดีแล้ว ถ้าเรามีอยู่ เราชังอยู่ นอกตัว เห็นคนนั้นคนนี้เป็น แล้วเราเป็นรึเปล่า เป็น ก็ลดละลงไป แต่อันนี้ขอบอกซ้อนไว้ นะว่า ผู้หญิงนี่ อย่าเข้าใจว่าอิตถีภาวะ นี้แล้วก็คิดว่า เราเป็นผู้หญิง เพราะฉะนั้น เราอยากเป็นผู้ชาย ลีลาอย่างนี้ เป็นของผู้หญิง เราไม่เอา เราจะต้องเอาลีลาผู้ชาย ระวังเป็นกะเทยนะ (คนฟังหัวเราะ) เป็นทอม เป็นอะไรไม่ได้ คุณต้องรู้ว่า โดย สมมุติสัจจะ เราเป็นผู้หญิง เมื่อเราเป็นผู้หญิง เราจะต้อง เข้าใจคำว่า อิตถีภาวะนั้น มันเป็นลักษณะซ้อนนะ ลึกซึ้งนะ ในผู้หญิงที่มีลักษณะที่เป็น ลักษณะ ผู้หญิงนี่ มันบอกตายตัวไม่ได้ คุณเป็นผู้หญิง คุณต้องมีกิริยา ที่สมมุติสัจจะ เขารู้ว่า เป็นผู้หญิง นี่ต้องมีท่าที กิริยาแข็งแรง หรือว่า จะมีท่าที อาตมาพูดไม่หมดหรอกนะ อธิบายละเอียด ไม่ได้ มันต้องพอเหมาะ กับผู้หญิงที่เป็นร่างกายผู้หญิง อย่างนี้นะ ต้องอย่างนี้ อย่าไปให้ท่าทีร่างกาย หรือว่า กิริยาอะไรของคุณ มันเป็นกิริยาเหมือนอย่าง ผู้ชาย อะไรนี่ มันแล้ว นี่คือปุริสภาวะ นั่นยิ่ง ตีลังกากลับนะ มันไม่ถูกนะ ไม่ถูกสัดส่วน ไม่ถูกสภาวะ สมมุติสัจจะ เป็นสัจจะอันหนึ่ง คุณร่าง ผู้หญิงนะ สมมุติเป็นผู้หญิง คุณจะเป็นผู้ชาย ไปทำอะไรดัดจริต ให้มันเกินความเหมาะสม กับสภาพ ผู้หญิงไม่ได้

แต่คำว่า อิตถีภาวะนั้นหมายถึงลีลาที่มันไปในทางกาม ทางโกรธ ทางงอน ทางอะไรก็ตามใจเถอะ มันเป็นลีลา ที่มันไม่ควรทำ คุณเลิกลีลาอันนั้นเถอะ ที่จริงมาจากจิตใจ มาจากสภาพ ที่จะไปกำหนด กิริยาต่างๆ ถ้ามันได้สมส่วนที่ผู้หญิงไม่มีกิเลสอิตถี กิเลสผู้หญิงแล้ว มันก็จะเป็นผู้หญิง ที่สมบูรณ์ ด้วยสภาพ พฤติกรรมกิริยา กายวาจาใจ แม้ภาษาคำพูด สำเนียงไม่กระด้าง ไม่แข็ง หรือไม่เหมือน ลีลา ภาษาผู้ชาย กิริยากายก็ไม่เหมือนผู้ชาย แต่เป็นผู้หญิง ที่ได้สัดส่วน ไม่มีลักษณะชี้ชวน สิ่งนี้ละเอียดนะ ถ้าคุณไม่มีอันนี้นะ ป้องกันตัวเองได้ ผู้ชายจะไม่รู้สึกว่านี่ ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิง ทั้งๆที่ก็มีร่างกายผู้หญิง สมส่วนของผู้หญิงนี่แหละ เขาจะไม่รู้สึกว่า ผู้นี้ผู้หญิง มีกิเลสของผู้หญิง เสริมเข้าไปนิดหนึ่งก็จะดี เพราะฉะนั้น เมื่อเขาไม่มีกิเลสของผู้หญิง ในตัวผู้หญิงคนนี้ ผู้ชายก็ไม่ติด มันจะไม่เกิดสภาพ ขั้วบวก ขั้วลบ ปลอดภัย ฟังให้ชัดว่า อย่าไปเป็น ไอ้กิริยาที่มันเกินเลย ไม่เป็น เป็น สภาพ กะเทย (พ่อท่านหัวเราะ) หรือสภาพที่มัน มันยากนะ อาตมาว่าพูดยาก คุณก็คงพอ เข้าใจ อันนี้ละเอียดตายตัว ไม่ไหวนะ อันนี้ขออธิบายละเอียดอย่างนี้ให้ฟัง

เอ้า ! ปาเข้าไปตั้งสิบเจ็ดนาที นั่นน่ะ เกินเวลา (คนฟังสาธุ)


ถอดโดย ศิริวัฒนา เสรีรัชต์ ๑๙ มี.ค.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๑๐ พ.ค.๒๕๓๔
พิมพ์โดย อนงค์ศรี เบญจโศภิษฐ์
ตรวจทาน ๒ โดย สม.จินดา
FILE:1519D.TAP