พลัง ๔
พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ทำวัตรเช้าที่ สวนบุญผักพืช คลอง ๑๓ ปทุมธานี
เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๘



เจริญธรรมทุกๆ คน

วันนี้นี่เป็นวันที่อาตมาไม่รู้นาว่า เคยมีใครมาเทศน์ มาทำวัตรกันที่นี่แล้วบ้างหรือยัง นี่เป็นครั้งแรกหรือ เป็นครั้งแรก ที่เราได้ทำวัตร ได้เกิดยิฏฐัง เกิดพิธีกรรมอะไรขึ้นมาที่นี่ ก็เป็นเรื่องดี เป็นไปตามธรรม อะไร ต่ออะไร ก็เป็นไปตามเรื่องที่มันควรจะเป็น เหตุปัจจัยอะไรก็แล้วแต่ มันจะมีที่ไปที่มา ทุกอย่าง มาแต่เหตุ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุนี้จึงเป็นอย่างนี้ มาเรื่อยๆ ถือว่าสมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม เป็นกลุ่มที่ได้เข้ามาทำพิธีร่วมกัน เป็นกิจจะลักษณะ เป็นเรื่องเป็นราว เหมือนกัน มาเป็นกลุ่มขึ้นมาประเดิม นอกนั้นก็เป็นเรื่องที่เราได้จัดแจงกันมา เราได้ค่อยๆ ลงไม้ลงมือ แล้วก็กระทำขึ้นมา ร่วมไม้ร่วมมือกันมา หลายผู้หลายคน ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ช่วยกัน เพื่อที่จะให้เกิด เป็นแหล่งชุมชนของมนุษย์ ที่จะมีรูปลักษณ์ ของความเป็นอยู่ มีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ มีการงานอาชีพ เป็นการกระทำ ที่เป็น อัตตา หิ อัตตโน นาโถ พึ่งตนเองได้อย่างแท้จริง อันนี้เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสสอน แล้วท่านก็เอาความจริง เอาสัจจะมาสอน มาบอกพวกเรา ให้พวกเรานี่ได้รู้จักว่าเกิดเป็นคน มันจะมีอะไร อาตมาว่าครบทุกอย่าง ไม่มีอะไรจะขาดตกบกพร่อง ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรา บัญญัติ หลักนั้นหลักนี้ อะไรต่ออะไรเอาไว้ ให้แก่มนุษย์ เพราะฉะนั้น เราก็ปฏิบัติ เมื่อเรียนรู้มาแล้ว และได้บำเพ็ญ ปฏิบัติตนเอง ละลดปลดปล่อย หรือว่าสิ่งที่ควรขัดเกลาออก เราก็ขัดเกลาออกจากกายวาจาใจ พฤติกรรม ที่มันไม่ควรจะเป็น เราก็ได้ละล้างออกไป ก็มีมรรคมีผล หรือว่ามีส่วนที่เราได้ทำกันแล้ว ตามที่แต่ละบุคคล ได้กระทำมา แล้วก็มารวมกัน

คนเป็นสังคมโขลงหรือว่าเป็นสัตว์โขลง เป็นมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน รวมกันเป็นหมู่เป็นกลุ่มใหญ่ ไม่ใช่สัตว์ ปลีกเดี่ยว และอยู่เป็นกลุ่มใหญ่มาก รองจากพวกมด พวกปลวก พวกผึ้ง มันก็ไม่รองหรอก ถ้าเผื่อว่า จะนับเอาจำนวนที่มันมีปริมาณของบุคคล มันก็เหมือนจำนวนปลวก จำนวนมด จำนวนผึ้ง มันรวมกันอยู่ เป็นกลุ่มเป็นก้อน ตัวมันเล็ก มันก็เลยดูเป็นหมู่เป็นกลุ่มที่แน่น คนก็แน่นที่จริงน่ะ แต่คนนี่สู้ผึ้ง สู้ปลวก อะไรไม่ค่อยได้ เพราะว่ามีกิเลส มารวมอยู่ด้วยกัน แต่ว่าก็ไม่แน่นเหมือนปลวก เหมือนผึ้ง เหมือนมด เพราะปลวก ผึ้ง มด มันไม่มีกิเลสมาก มันรู้หน้าที่ มันมีสัญชาตญาณ คนก็มีสัญชาตญาณ แต่คนมีกิเลส ก็เลยเอากิเลสนี่มาเปลี่ยนสัญชาตญาณ เปลี่ยนไป เอาแต่ใจตน คิดแต่ตามเรื่องอะไร ฟุ้งซ่านไปเยอะ แล้วก็ก่อก็เกิดอะไรเรื่องราวอะไร โดยเฉพาะมีโลภ โกรธ หลงขึ้นมาก มีการเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ มีพลังของ การดูดการผลัก โลภนี่ก็ดูด โกรธหรือโทสะนี่ก็ผลัก เอาออกนี่ก็ผลัก มีสองทิศเท่านั้นแหละ เอาออก กับเอาเข้า เมื่อมันแรงมันก็มีลีลาอย่างที่มันเป็น โลภจัดๆ หรือราคะจัดๆ ก็ลีลาอย่างที่มันเป็น จัดจ้าน จนรุนแรง ได้เหมือนกัน ราคะหรือกามก็รุนแรงได้ รุนแรงถึงขั้นข้ามสามัญ เรื่องกามหรือเรื่องราคะ อย่างนี้ เป็นต้น

เช่นคนที่มีจิตวิตถารขึ้นเลยขีดสามัญ มีกามจัด จัดถึงขั้นทำให้ตัวเองเจ็บปวด แล้วก็เป็นสุข นา เป็นพวก มาโซคีสต์ ทำให้ตัวเองเจ็บ ได้รับเจ็บปวด บางทีก็เลือดไหล ถึงจะเป็นสุข ทุบตัวเอง ตีตัวเอง กรีดตัวเอง เลือดไหลแล้วเป็นสุข พวกกามจัด ราคะจัดข้ามขั้นไป หรือคนที่กินเผ็ดจัดๆ ที่จริงมันแสบ มันร้อน มันสุข คนซดน้ำร้อน พวกคนจีนนี่ ซดน้ำร้อน ร้อนจัดๆ ฝึกจนชินจนเก่ง จนรู้สึกสร้างอัตตา ให้แก่ตัวเอง คนธรรมดา ไปซดน้ำร้อนตามอุณหภูมิน้ำร้อนที่จีนเขาซดนี่ คุณลองซี ปากพอง เพราะว่า อุณหภูมิของมัน มันเกินขอบเขตที่จะรับได้สามัญ แต่เขาฝึกจนทนได้ เพราะว่าอุปาทาน อาตมาก็เคย แนะนำให้ฟังแล้ว อุปาทานเป็นได้สารพัด ทนได้เก่งกว่าปกติ หมายความว่า เป็นปาฏิหาริย์หลายๆ อย่าง อุปาทานนี่ จิตนี่แหละ ไม่ใช่อะไรหรอก กิเลสในจิต พลังงานในจิตนั่นแหละ มันก็ทำอะไรต่ออะไรพิเศษได้ เพราะฉะนั้น คนที่กินน้ำร้อน ร้อนๆ สุข ก็พวกมาโซคีสต์นี่ กินเผ็ดจัดๆ อร่อย หรือมีอะไรก็แล้วแต่ ที่มันเกิน สามัญ ทำกับตนเอง กระทบสัมผัสโดย ตา หู จมูก ลิ้น กายนี่ พวกสมัยนี้วิตถารจัดๆ รูปพิสดาร ต้องรูป อย่างนี้แสบดี ร้อนดี พวกนี้ พวกมาโซคิสต์ ตนเองทำกับตนเอง รูป รส กลิ่น เสียง เสียงต้องกระแทก พวกเล่นดนตรี หรือพวกอะไรก็แล้วแต่ มันต้องทำอะไรให้มันจัดๆ ต้องให้มันกระแทกอย่างนี้ ถึงจะถึงใจ อย่างนี้ไม่ถึงใจ ตัวเองก็ทำกับตัวเอง ได้รับความรุนแรง นี่พวกนี้พวกกามจัด ส่วนพวกซาดีสซึ่มนั้น เห็นคนอื่น เจ็บปวด เห็นคนอื่นดิ้นพลาดๆ เจ็บปวด เป็นสุข ลักษณะซาดิซม ก็คือ โทสะ ลักษณะมาโซคีสต์ ก็ กาม ก็ราคะสองด้าน

ถ้าศึกษาสัทธธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วจะเข้าใจว่า โอ..ไอ้สิ่งที่เกินขอบเขต ปรุงแต่งหรือว่าสิ่งที่ทำอะไร ให้รุนแรง จนกระทั่งเกินขีดเกินเขต ของคนที่เป็นเช่นนั้น ถ้าไม่ศึกษาเราก็ไม่รู้ ลองๆ ศึกษาแล้วเราจะเข้าใจ แล้วเราก็ลดละลงมา ไม่ต้องไปรุนไปแรงอะไรหรอก อยู่ไปพอสมควร ส่วนจะปรุงแต่งเพื่ออาศัย ก็ปรุงแต่ง ไปพออาศัย พอได้มีเชิงฟิสิกส์ ความร้อน แสงเสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้า อะไร ก็ปรุงขึ้นมาใช้พอให้อาศัยได้ ไม่ใช่ว่า เราจะไม่รู้ เราจะไม่อนุโลม คนที่ละลดปลดปล่อยได้ เป็นอรหันต์ก็เป็นผู้ที่ไม่ต้องเกิด ทั้งแรงผลัก แรงดูด ไม่มีทั้งราคะ ไม่มีทั้งโทสะ ไม่เกิด จึงจะสุข แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พระอรหันต์นั้นรับแรงไม่ได้ หรือว่าทำแรงไม่ได้ ทำได้ก็ต้องปรุงแต่งขึ้นมา เพราะเหตุอย่างนั้นๆ เพื่อผลอย่างนั้นๆ จึงทำ แต่ไม่ได้ทำ เพราะบำเรออารมณ์ของตนเอง ไม่ได้ทำเพราะว่า ถ้าเราได้ทำอย่างนี้แล้วอู้ฮู..มันอร่อย เป็นอัสสาทะ หรือว่าเป็นสุขให้ตัวเอง ได้ผลักก็ดีหรือได้ดูดก็ดี ทั้งสองทิศสองทาง เพราะเราจะเข้าใจทั้งลักษณะ ของทุกอย่าง ลักษณะแอ๊คชั่น รีแอ๊คชั่น ลักษณะของเชิงฟิสิกส์ทั้งหมด ลักษณะของ อะไรต่ออะไรต่างๆ นานา ที่บรรดาโลกก็ศึกษา พระพุทธเจ้าสอนมานี่ก็จะเข้าใจ แม้เราจะไม่รู้ภาษา ทางวิชาการ แต่เราก็จะเข้าใจ ความเป็นจริงในสิ่งเหล่านี้ชัดเจน


เราได้อบรมฝึกฝนทดสอบทฤษฎีของพระพุทธเจ้ากันมา ยิ่งผู้ที่อยู่ในๆ หรือว่านอกก็ตาม บางผู้บางคน อาจจะฝึกฝนตนเองได้พอสมควร แต่ถ้าเผื่อว่าผู้ที่ฝึกฝนตนเองได้ดีแล้ว ลดละได้ มีภูมิธรรมที่ดีแล้ว ก็จะรวมหมู่รวมกลุ่ม อยู่รวมกัน เหมือนผึ้ง เหมือนปลวก เหมือนมด อย่างที่ว่านั่น จะรวมกลุ่มกันอยู่ เพราะว่า คนเป็นสัตว์โขลงดังที่กล่าวแล้ว ผู้ที่ปลีกเดี่ยวอยู่ เป็นอัตตา อยู่คนเดียว อยู่ปลีกๆ ไม่อยากรวมหมู่ ไม่เห็นว่าไอ้การรวมเป็นหมู่ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีทั้งหมดนี่ เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ หรือ ทั้งหมดทั้งสิ้นของศาสนา ก็คือความเป็นหมู่มวล เป็นมิตร เป็นสหาย เป็นสัมปะวังโก เป็นความที่ รวมกัน เป็นวงเป็นกลุ่ม เหมือนโขลง เหมือนกลุ่มของปลวก ของมด ของผึ้งอย่างที่กล่าวแล้ว จะรวมกัน อันนี้จะเป็นภูมิปัญญา เพราะว่าถ้าเราอยู่กับหมู่นี่ แม้ผู้ที่ยังไม่บรรลุสูงสุด ไม่เจริญสูงสุด เป็นอรหันต์ ก็อยากจะมารวมหมู่ ก็จะมีปัญญารู้ว่า อยากจะมารวมหมู่ เพราะหมู่นั้นจะเป็นโจทย์ จะเป็นเพื่อน เป็นมิตร เป็นสหาย เป็นผู้ปรารถนาดี เป็นผู้ที่จะช่วยเรา ให้เราเจริญขึ้น สูงขึ้น เพราะฉะนั้น คนไหนที่ยังมีจิต ไม่อยาก อยู่กับหมู่ ไม่อยากอยู่กับใคร พวกนี้ยังไม่ได้อยู่ในทางของศาสนาพุทธ เพราะผู้เจริญแล้ว แม้โสดาบัน สกิทาคามี ก็จะมีความเข้าใจ ถึงความเป็นหมู่มวล ถึงความเป็นมิตรดีสหายดี ถึงความเป็นประโยชน์ ของหมู่มิตร หรือประโยชน์ของบุคคล ประโยชน์ของคน เพราะคนนี่แหละ เป็นประโยชน์แก่เรามากที่สุด ยิ่งกิเลสที่สูงขึ้น ลึกขึ้นๆๆ ละเอียดละออขึ้น จะไม่มีลีลาอะไร ที่จะทำให้กิเลสละเอียดๆ นั้น ลดลงได้ เท่ากับ ลีลาของคน จะลีลาเชิงลึก เชิงละเอียด เชิงซับซ้อน โอ..บางทีคิดไม่ถึง ที่จะทำให้เราเกิดกิเลสได้ โอ..ลีลาของสัตว์เดรัจฉาน ลีลาของต้นหมากรากไม้ ดิน น้ำ ลม ไฟ ลีลามันไม่มีอะไรมากหรอก ที่จะทำให้เรากิเลสขึ้น อย่างไม่น่าจะเกิด โอ้โฮ..กิเลสนี้เรายังเหลือนา

เพราะลีลาของคนแท้ๆ ที่มันกระทุ้ง กระแทก ให้กิเลสเราออกมาได้ ลีลาของสัตว์เดรัจฉาน ลีลาของไอ้นั่น มันไม่ดี มารยามันไม่มี ลีลามันไม่มีความสามารถอะไรมากมายหรอก คนด้วยกันนี่แหละ ความสามารถ ลึกล้ำที่จะแย้ง กิเลสที่ส่วนเหลือ ที่ลึกที่ละเอียด ของคนด้วยกันออกมาได้ เพราะฉะนั้น คนที่อยู่ด้วยกัน จึงมีหลากหลายลีลา หลากหลายจริต หลากหลายกิเลส ด้วยเจตนาบ้าง ไม่เจตนาบ้าง สามารถที่จะ กระแทกกระทุ้ง กิเลสลึกสุดถึง อนุสัยอาสวะ ออกมาได้ เพราะฉะนั้น คนที่เป็นนักปฏิบัติธรรม ก็จะมีสติ สัมปชัญญะปัญญา มีมุทุภูตธาตุ มีมุทุภูตะ กัมมนิยะ โดยเฉพาะมีมุทุภูตธาตุ สามารถที่จะรู้เท่าทัน จิตตัวเอง รู้เท่าทันกิเลสตัวเอง รู้เท่าทันอะไรที่มัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันจะเกิดขึ้นมาเป็นตัวที่มัน ยังเหลือส่วน เหลือเศษ เหลือส่วนขนาดไหน เราก็จะสามารถอ่านได้ จับได้ และเป็นญาณ เป็นวิชชา เป็นญาณที่รู้เท่าทัน โอ..ตัวนี้ยังมีเศษส่วนนั้นส่วนนี้ ยังมีเศษส่วนเหลือ อันนั้น อันนี้ เราก็จะเรียนรู้ได้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะบรรลุสูงสุด ถ้าเจโตยังไม่สะอาด จิตยังไม่สะอาด ก็ต้องอยู่กับหมู่ ให้กระแทกกิเลส ออกมา เราจึงจะรู้ได้ เราจึงจะจัดการกับกิเลสเหล่านั้นได้

ถ้าเผื่อว่าไม่มีใครกระทุ้งกระแทกมามันก็จม ถ้ามีการกระทุ้งกระแทกออกมา กิเลสมันก็จะแสดงตัว แล้วเราก็ สามารถที่จะจัดการกับมันได้ เมื่อเราได้ศึกษาฝึกฝน สร้างวิปัสสนาญาณ หรือสร้างญาณของเรา สามารถเป็น มุทุภูตธาตุ เป็นธาตุที่หัวอ่อน เป็นจิตหัวอ่อน เป็นญาณหัวอ่อน ทั้งในด้านเจโต ด้านญาณ ด้านปัญญา จะเรียกภาษาไทยว่าอะไรก็ไม่รู้หละ ทางภาษาบาลีเรียกว่ามุทุ นี่หมายความว่ามันไว มันอ่อน มันเร็ว มันละเอียด จิตหัวอ่อน อาตมาแปลเป็นภาษาไทยว่า จิตหัวอ่อน ก็น่าจะฟังเข้าใจได้ มันทั้งในเชิง ของปัญญา เชิงของเจโต มันเร็ว มันไว มันดัดง่าย มันไม่ดื้อด้าน มันไม่ดื้อดึง มันรู้เร็ว แทนที่จะมะลื่อทื่อซื่อ ไม่ฉลาดเฉลียวปราดเปรียวแววไว มันอ่อนไหว ไวเร็ว ถ้าจะใช้เป็นภาษาฝรั่งก็เซ็นซิเบิ้ล มันไว มันเร็ว เซ็นซิเบิ้ล และมันก็ปรับได้ง่าย ดัดได้ง่าย ไม่หัวแข็ง ไม่ใช่จิตหัวแข็ง จิตหัวอ่อน ฟังเข้าใจ ละ ลด ปลด ปล่อย หยุด ดับ เลิก เร็ว

ยิ่งภูมิธรรมสูงขึ้น โสดา สกิทา อนาคา ยิ่งอนาคายิ่งสั้นยิ่งเร็ว เพราะว่าเป็นจิตที่ทั้งเข้าใจ ทั้งที่จิตที่ฝึก มาแล้ว ทั้งดีแล้ว มากขึ้นแล้ว จะเป็นอรหันต์แล้ว เพราะฉะนั้น เศษเล็กเศษน้อยที่เกิดมาก็โอ..ก็วาง ก็ปล่อย ก็เลิกได้เร็ว จิตหัวอ่อน ทั้งเชิงเจโตและเชิงปัญญา ปัญญารู้เร็ว รู้ตัวเองเร็ว รู้ มีญาณหยั่งรู้ได้เร็ว และเจโต ก็รู้จิตเองก็ปลดปล่อย ดับ ทำลาย กำจัด ปหานะ ได้เร็วด้วย นั่นเรียกว่า จิตหัวอ่อน มุทุภูตะธาตุ เพราะฉะนั้น จะกรรมใดๆ กัมมนิยะ ทุกกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม หรือกัมมันตะ การงานทุกอย่าง ในกรรมในการงานทุกอย่างจึงดี เพราะเมื่อจิตดี มุทุภูตธาตุดี จิตสามารถที่จะรู้ทั้งกิเลสเร็วไวแล้วก็ปรับได้ เมื่อจิตสะอาดบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์สะอาดนั้นย่อมสร้างสุจริตธรรม กุศลธรรมที่ดีงาม เพราะฉะนั้น กรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่ากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม หรือ กัมมันตะ หรือการงานใดๆ ทั้งปวง ที่จะประพฤติออกไป จึงเป็นสิ่งที่ดี การงานที่เหมาะควร ที่ว่าเหมาะควรนี่คือ ได้สัดส่วน มีส่วนที่พอเหมาะ พอดี ไม่โต่งไปด้านใดด้านหนึ่งสูงสุด คือ มัชฌิมานี่สูงสุด ไม่โต่งไปด้านนั้นด้านนี้ อย่างดี

เราได้ฝึกได้เรียนธรรมะพระพุทธเจ้ามา ฝึกฝนมา จนกระทั่งมาเกิดหมู่เกิดกลุ่ม เราก็รู้ว่าคงเหมือนกับ สร้างรวงรังของผึ้งของมดของปลวกก็สร้างไป รวงรังนั้นรวงรังนี้ แต่รวงรังแต่ละรวงรังของคนนี่ มันจะไม่เหมือน สัตว์เดรัจฉานทีเดียว เพราะเราเข้าใจ ขาดการสัมพันธ์กัน การรวมกัน มนุษย์ด้วยกัน เพราะฉะนั้น ของเรานี่จะเป็นรังปลวก หรือเป็นรังผึ้ง ก็ไม่ใช่แบบโดดเดี่ยว รังนั้นรังนี้ต่างคนต่างอยู่ เหมือนรังผึ้ง หลายๆ รัง ต่างก็อยู่ของใคร เป็นสัดส่วนของใครของมัน ดีไม่ดีมันก็ทำลาย อย่ามายุ่ง ผึ้งรังโน้น เอ็งอย่ามายุ่งรังนี้นะ เขาก็แยก เขาก็แตก แต่ของคนเรามีปัญญา เราจะไม่แตก อันนั้นแหละ เราไม่เหมือนผึ้ง ส่วนผึ้ง ส่วนปลวก ส่วนมดอะไรที่เขาดีแล้ว เราก็เอาตาม อะไรที่เขาไม่ดีเขาไม่เก่งเท่า เราก็มีปัญญารู้ ถ้าเผื่อว่าเราสามารถจะประสาน จะเชื่อมโยงกันเป็นเครือแห แล้วก็สอดสานร้อย ถักทอกันเข้าไป แล้วก็มีส่วนสัมพันธ์ที่ดี เกื้อกูลกัน พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ กันยิ่งๆ ขึ้น มันก็สุดวิเศษ แต่เราก็ต้องรู้ฐานะของเราว่า เราจะเป็นคน เตี้ยอุ้มค่อม ย่อมจะเอื้อม ไปช่วยอันโน้น อันนี้ไม่ได้ ไปสานกับอันโน้นยังไม่ได้ เราก็แหม อยากจะสาน อยากจะเชื่อม อยากจะต่อ อยากจะทำอะไร มากขึ้น เกินแรงตัวเอง ไม่ดู ไม่อัตตัญญุตา ไม่ประมาณตน ไม่รู้ตนเอง ว่าเราตัวเราเท่าไหร่ ตัวเราก็เท่านี้นา ไม่รู้ตัวเอง เสร็จแล้วก็อ้าขาผวาปีก ไปจนเกินควร ก็ไม่ดี เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้ตนเอง มีอัตตัญญุตา ประมาณว่า รู้ตัวเอง แล้วก็ประมาณให้ได้สัดส่วนที่พอเหมาะ ว่าเราจะทำงาน เราจะเชื่อมโยง เราจะถักทอ สานข่ายอะไรต่ออะไร ออกไปเท่าไหร่ ตอนนี้ก็เป็นการเพิ่มข่าย สานข่าย เรามาทำสวนบุญผักพืชนี่ขึ้นมานี่ ก็เป็นการสานข่าย เป็นการรวมพล กลุ่มสมาคมนักศึกษา ผู้ปฏิบัติธรรม มากันเป็นปึก มาทำพิธีการ มาทำอะไรต่ออะไรหลายๆ อย่าง เกิดที่นี่ ทำอะไรต่ออะไรที่นี่ มากกว่ากลุ่มที่ไปเริ่มสาน เริ่มก่อหวอดกันที่ ราชธานีอโศกนา

ราชธานีอโศก มีคนรวมกลุ่มกันกระจุกเดียว น้อยๆ เขากล่าวว่ามีเจ็ดคนด้วยซ้ำไป ที่ราชธานีอโศก กลุ่มเจ็ดดาว ว่าอย่างนั้นนา เขาก็ไปบุกเบิกของเขาอยู่ แล้วก็ไม่มีใครไปดูไปแลไปอะไรหรอก พอถึงเวลา ฉลองหกสิบปีอาตมา ก็ไปรวมกัน คนที่พอรู้เรื่องรู้ราวอะไร ไปทำอะไรต่ออะไรไป เกิดขึ้นไปตามธรรมชาติน่ะ ตามธรรมชาติของคนที่ได้ทำกัน สร้างสรรกันไปจนกระทั่งถึงวาระเวลาก็มีเหตุ เอาอันนั้นเป็นเหตุ เอาอันนี้ เป็นเหตุ จนเอาอาตมาเป็นเหตุ ครบหกสิบปี ก็ฉลองให้อาตมาว่าอย่างนั้นนา ก็เอาอันนั้นเป็นเหตุไปทำกัน เสร็จแล้วก็มีคนต่างๆ ก็มารวมกัน แล้วก็มีแนวคิดว่า นึกถึงนะว่างานหกสิบปี ที่บ้านราช ตอนที่ฉลอง น่ะ ปราจีน ทรงเผ่าก็ไป ขนาดอยู่กรุงเทพนี่ก็ยังไปนะ ปราจีน ทรงเผ่า ...

[ แต่ที่พูดนี่ ระลึกถึงปราจีน นี่ ปราจีนตอนนี้ ศพก็ยังอยู่ที่ วัดพระศรีมหาธาตุ ปราจีนก็สิ้นชีวิตอายุ ห้าสิบเก้า ตาย วันนี้วันที่เท่าไหร่ เขาเก็บศพ เมื่อวานนี้นา วันที่สิบหกเป็นวันสุดท้ายที่เก็บศพ อาตมาก็พอดี เราพิมพ์หนังสือเยอะ เป็นหลายหมื่นเล่ม นี่โอ้โฮ..ไล่แจกกันน่าดูเลย เราก็ได้โอกาสงานปราจีนฯ เลยรวม ไปให้แจก ทำไปให้ปราจีน ศพนี้ ไปให้แจกแขกที่มางาน ทุกวันเลย สวดเจ็ดวัน แจกทุกวัน ดูเหมือนจะ ไม่มีใครทำนา ว่ามีของ ชำร่วยแจก แค่มา นั่งสวดนี่นา มางานสวดนี่ แจกทุกแขก ทุกวัน แขกที่มาซ้ำ คงจะได้ไปเจ็ดชุดนา ถ้าเขาเอาน่ะนา ถ้าเขาเอารวมไป เจ็ดชุดเลย ชุดละสี่เล่ม มีพุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ กับ ประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส เป็นหลักเพราะมันเยอะ ส่วนหนังสือที่เราพิมพ์สี่เล่ม เล่มที่สี่ ยังไม่ได้พิมพ์ พิมพ์ไปสาม ปฏิบัติธรรมคืออะไรนั่นน่ะ มันหมดไปแล้วสี่หมื่นเล่ม ยังเหลือ พุทธที่เป็น อเทวนิยมอย่างนี้ กับ ประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส ยังเหลืออยู่เยอะ นอกนั้นก็มี หนังสืออื่นๆ ที่มันยังเหลือ ยังพอเป็นไป ผสมเข้าไปอีกสองเล่ม แล้วแต่แต่ละชุด ชุดไหนได้เล่มไหน ก็แล้วแต่ ผสมผเส เข้าไป เพราะหนังสือเหล่านั้นมันน้อย พิมพ์กันเป็นจำนวนพันเท่านั้น ที่มีจำนวนหมื่น ก็มีอยู่ สามสี่เล่ม ที่เป็นช่วงนี้แหละ เป็นปิตุบูชา แล้วเขาก็พิมพ์กันขึ้นมา ก็ได้เอาไปแจก เมื่อวันนี้วันสุดท้าย ]

ที่อาตมานึกถึงก็เพราะว่างานนั้นเป็นงานฉลองหกสิบปี แล้วก็เป็นวันเริ่มมีแนวคิดว่าจะสร้างเป็นชุมชน จะสร้างเป็นสถานอะไรอย่างที่นี่ เป็นรวงรังขึ้นมาที่ราชธานีอโศก พอไปงานนั่นแล้วก็เกิดการขยายตัว จัดสรร เอ้าใครจะเอาตรงไหน อะไรต่ออะไรอย่างไง วัดเอาเชือก เอาสายเชือกฟาง ธำรง ฯ เป็นคนวิศวกร จัดแจงกันใหญ่เลยนา เอาที่ตรงนั้นตรงนี้อะไรต่ออะไรต่างๆ นานาอย่างนี้เป็นต้น สรุปแล้ว ก็มันลีลาคล้ายๆ กัน ที่นี่เราไม่ได้ทำอะไรมาก แต่ก็มาเป็นรูปของกลุ่ม เป็นรูปร่าง เป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นคณะ อาตมาก็คิดว่า เออ..มันก็ดีนา สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรมเรานี่ ที่เรามีมีกิจกรรม มีอะไรต่ออะไรขึ้นมานี่ แม้ว่าครั้งนี้ จะเป็นการคืนสู่เหย้าเข้าคืนรัง ครั้งที่สอง ใช่ไหม แม้จะเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกก็อยู่ที่สันติอโศก ก็ยังไม่ได้ มีอะไรมาก พอครั้งที่สองนี่ ก็มาจัดที่นี่กัน อาตมาก็ยังเป็นจุดประกายอะไรที่จิตวิญญาณให้พวกเรา ชาวนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรมอะไร ที่ได้มาร่วมกันนี่แหละ ก็จะได้อาศัยพวกเราที่เข้าใจความเป็นมนุษย์ เข้าใจสิ่งที่ประเสริฐ เข้าใจอะไรต่ออะไรดี ก็ให้รับซับทราบ แล้วก็เอาไปต่อ จะต่อด้วยการพัฒนาตนเอง มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็แล้วแต่ สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรมนี่ มีวัตถุประสงค์ เพื่อผนึกรวมตัว รวมแรง รวมใจกันของผู้ใฝ่ธรรม ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่นักศึกษาทั่วไป นักศึกษา อะไรก็ได้ เขาก็ศึกษากันไปธรรมดา แต่ของเรานี่ มีการจำกัดความไว้ว่า เป็นนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อเรา มารวมตัว รวมแรง รวมใจกัน มันเป็นการรวมกัน ของผู้ใฝ่ธรรม มารวมกันให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อร่วมกันทำกิจวัตร กิจกรรม กิจการ พึ่งพาอาศัยกันซึ่งกันและกัน โดยวิถีสาธารณโภคี และมีการ แลกเปลี่ยน องค์ความรู้ ส่งเสริมสัมมาอาชีพ คุณภาพชีวิต ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีบุญนิยม ตลอดทั้งส่งเสริมงานศาสนา เศรษฐกิจ สังคมสิ่งแวดล้อม และการเมืองบุญนิยม โดยไม่มุ่งหวังหาค้ากำไร มาแบ่งปัน นี่เป็นวัตถุประสงค์ของ สมาคมผู้ปฏิบัติธรรมเรา

เมื่อวัตถุประสงค์ก็ดีมาก ในความหมาย ในสิ่งที่เราเรียบเรียงคำ ระบุไว้เป็นบัญญัติที่เราตราขึ้นมา กำหนด ขึ้นมา เพื่อที่จะเอามา ทำให้ตรงตามที่เราตราขึ้น หรือบัญญัติขึ้น หรือมีเจตนารมณ์ ที่เราจะทำให้มันดี เมื่อมาร่วมรวมแล้ว ก็ให้เข้าใจว่า เราตั้งใจที่จะมาทำ ใครไม่ตั้งใจแต่โดยบังเอิญก็ตาม ได้เข้ามาเป็นสมาชิก หรือเข้ามารับ ซับทราบ มารวมกันอยู่กับกลุ่มนี้ ก็มาดูว่าเออ..วัตถุประสงค์เขาจะทำอย่างนี้ เอ..เราจะเอา ด้วยไหมนี่ ดีไหมนี่ ถ้าไม่ดีเราก็ถอย โอ..ไม่ดี ดูแล้ววัตถุประสงค์เหลวไหล เลอะเทอะ ไม่เข้าท่า เราก็ถอย แต่วัตถุประสงค์ว่า เออ..ดูแล้วดีนี่ มันดีทั้งตนเอง มันดีทั้งสังคมสิ่งแวดล้อมด้วยแน่ ดูแล้ว โอ.. วัตถุประสงค์ ถ้าอย่างนี้แล้วก็ทำให้มันได้ จะเอาหลักเกณฑ์อะไรหรือว่าจะเอากลเม็ดเด็ดพรายอะไรมา สามารถที่จะทำให้มันเป็นไปได้ ตามที่วัตถุประสงค์ที่กล่าวไว้นี้ เราก็เร่งรัดทำเอา มันเป็นเหตุในมนุษยชาติ เรามีเหตุ มีปัจจัยที่จะสร้างยัญญะพิธี จะสร้างเหตุปัจจัยนั้น จะสร้างกฎอันนี้ ระเบียบนั้น ข้อกำหนดนั้น หรือตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งจิตตัวเราเอง อะไรก็แล้วแต่ กำหนดให้แก่ตนเอง บังคับตนเอง ตั้งสัจจะให้แก่ตนเอง แล้วก็ปฏิบัติตามที่เราเข้าใจ แล้วก็พากเพียรอุตสาหะ วิริยะ ให้มันเกิดผล ตามที่เราต้องการ มันก็เกิด การก้าวหน้า หรือเกิดการพัฒนาขึ้น เพราะฉะนั้น ชีวิตนี่ก็มีวิธีการ มนุษย์รู้จักวิธีการกันแล้วทั้งนั้นแหละ เยอะแยะเลย ผู้ใดสามารถที่จะหยิบจับเอา วิธีการต่างๆ ศาสดาผู้ฉลาด ปราชญ์ผู้รู้ทั้งหลาย ได้ผ่าน ความรู้เหล่านั้นมา ซึ่งได้ทำอะไรไว้เป็นตัวอย่างเก่าๆ คิดขึ้นใหม่ หรือเราจะคิดขึ้นเสริมก็ตาม ก็ได้กระทำ กันมาแล้วทั้งนั้น เราก็กำลังทำอยู่ เขาทำมาแล้ว ยังไม่พอใจ เราก็ทำเพิ่ม หรือจะเอาอันเก่านั่นแหละ โดยเฉพาะ ท่านที่ใช้มาแล้ว คิดมาแล้ว ได้พิสูจน์มาแล้วด้วย อย่างของพระพุทธเจ้าเป็นต้น เราก็หยิบมา บันทึกเอาไว้ เราไม่เคยรู้ก็ศึกษา ตรวจทานอ่านดู จากตำหรับตำรา จากพระไตรปิฎก หรือจากหลักฐานอื่นๆ ใดๆ ที่ผู้รู้ท่านขยายขึ้นมา เอามาใช้ได้ เราตรวจสอบแล้วมีผลมีอะไรดีแน่นอน เราก็เอามาทำ

คนเราที่เกิดมาแล้วนี่ อาตมาก็ย้ำพูดซ้ำพูดซาก หมู่นี้พูดซ้ำซากแบบนี้ เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง พูดบ่อย ว่าคนเราเกิดมาแล้วนี่ จะเป็นคนแล้วนี่มันสุดยอดแล้ว ไม่มีคนอย่างไหน ที่มันจะดีประเสริฐเลิศสุดวิเศษ เท่าคนชนิดที่พระพุทธเจ้าท่านได้ค้นพบ ก็คนเป็นอย่างนี้แหละสุดยอดแล้ว วิชาอะไรที่เอาก่อน อรหันต์ นี่แหละ สุดยอด วิชานี้สุดยอด เอาก่อนให้ได้ แต่เราก็ไปเอาอื่นๆก่อน เลยซะทั้งนั้นแหละ ไปเอาอะไรก่อน มาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ไปจบปริญญาเอกโน่นมาก่อน จะเอาอันโน้นแหละก่อน มันไม่เยี่ยมเท่า เอาอรหันต์ก่อน หรอกที่จริงน่ะ อันโน้นน่ะ ค่อยๆทำเอาไป ค่อยๆไปด้วยกัน จะได้โสดาบัน อย่างน้อยเป็นหลักประกัน แล้วค่อยๆ ไปเอาปริญญาตรี ได้สกิทาแล้วค่อยไปเอาปริญญาโท ได้อนาคาแล้วค่อยไปเอาปริญญาเอก ก็ยังดี แล้วก็มาได้อรหันต์ ยังไม่ได้ก็ไม่เป็นไร นี่ไปเอาปริญญาเอกก่อน ยังไม่ได้โสดาเลย นี่มันก็จะผยอง ข้าฯ ปริญญาเอกนะ อัตตา โอ้โฮ..ยาก เพราะฉะนั้น พวกที่ได้ปริญญาเอกแล้วนี่ โอย..ไม่มาง่ายๆ หรอกที่นี่ หรือเขาไปได้ฐานะทางสังคม รวย มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ปริญญาเอกเท่านั้น ได้ตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี เป็น สส. ก็ใหญ่นา เป็นอะไรก็แล้วแต่ตำแหน่งทางโลก ตอนนี้เป็นผู้อำนวยการ เป็นอธิบดี เป็นอะไรก็แล้วแต่ ข้าราชการประจำ เป็นปลัดกระทรวง นี่ใหญ่ที่สุดแล้ว ทางข้าราชการอะไรต่างๆ ยากมาก เป็นเศรษฐี ใหญ่แล้ว เป็นคนร่ำรวย รวยร้อยล้านพันล้าน มาไม่ได้หรอก พวกนี้กระจอก มันไม่มารวม มันจะผยอง หรือไม่ก็รวยมากๆ แล้วมาที่นี่ ที่นี่มันรู้มันจน พวกนี้มันจน เรารวยๆ มาเดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวมันก็ มาแย่ง มาแบ่ง มาแง็บๆๆๆ กับเราอะไรอย่างนี้ กลัวจะต้องถูก มาสูญ มาเสีย มาลด มาอะไรก็แล้วแต่ มันก็หวาดระแวง คนที่หวงแหน คนที่ขี้เหนียว นั่นหนึ่ง ศักดิ์ศรีอีกหนึ่ง ฉันสูง ฉันใหญ่ ฉันโต ฉันดีกว่าเธอ อะไรพวกนี้ อัตตา มีสารพัด ที่มันยกตัวยกตน ถือตัวถือตน กลัวเสียหรือกลัวที่เขาจะข่ม แล้วก็ไม่อยากเข้ามา

แต่ถ้าคนที่มีปัญญา มีภูมิธรรม รู้ว่าตนเองนี่ แม้จะรวยแสนล้าน ก็ไม่ได้ดีเท่าคนที่มีภูมิธรรม ถ้าคนที่มี ภูมิปัญญาที่แท้จริงนี่ ต่อให้รวยแสนล้าน ก็จะเคารพอาริยะบุคคล เคารพนักบวช นี่ก็คือรูปของผู้ที่เป็นสงฆ์ หรืออาริยะบุคคล ตัวแทนคน อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านพาทำ พอบวชแล้วเสร็จแล้วนี่โกนหัว ถือว่าเป็นผู้ มักน้อยสันโดษ เป็นผู้ที่ลดกิเลสได้ฐานะหนึ่ง จริงๆ แล้วนักบวชนี่ จะให้จริงแล้วเป็นผู้ที่ พระพุทธเจ้า ท่านตราไว้ว่า เป็นผู้ที่มี โภคักขันธัง ปหายะ ญาติปริวัฏฏัง ปหายะ ผู้มาบวชนี่ จะต้องทิ้งบ้านช่องเรือนชาน เป็นอนาคาริกชน เป็นผู้ที่ต้องปล่อยวางจากญาติแล้ว ญาติปริวัฏฏัง ปหายะ ปล่อยวางจากทรัพย์ศฤงคาร บ้านช่องเรือนชาน โภคักขันธัง ปหายะแล้ว เพราะฉะนั้น คนระดับนี้นี่ ไม่มีทรัพย์ศฤงคาร ไม่มีเงินไม่มีทอง แม้ใจจะยังไม่ได้ล้างกิเลส จนหมดกิเลส หมดยึดหมดติดแล้วจริงๆ ก็ตาม แต่ภาพรูปนอก เมื่อมาบวชแล้วนี่ ปฏิบัติให้จริง เหมือนอย่างสมณะชาวอโศกเรา โภคักขันธัง ปหายะ ญาติปริวัฏฏัง ปหายะ

ญาติปริวัฏฏัง ก็ไม่ใช่ลากคนนั้นลากคนนี้ เอาญาติเอาโยมอะไรมาวุ่นมาวายอะไรก็ไม่รู้ เอามาเลี้ยงมาดู เอามาเกี่ยวข้อง กังวลกังวายอะไรอยู่กับญาติโกโยติกา สมณะชาวอโศกของเราเห็นได้โดยชัดเจน แม้จิต วิญญาณ อาตมาก็ว่ามีจิตวิญญาณที่ล้างละ ปหายะไปได้พอสมควรจริงๆ เพราะฉะนั้น สมณะเรา นักบวชเรานี่ ต่อให้คุณรวยแสนล้าน คุณก็ต้องกราบ ต่อให้คุณมียศชั้นเป็นนายกรัฐมนตรี หรือใหญ่กว่านั้น อีก ก็ต้องกราบ คือเป็นที่รู้กันดีในหมู่ของชาวพุทธ ก็ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ทีนี้เมื่อไม่จริงก็ตาม ก็ตามสมมุติ เป็นสมมุติสงฆ์ ก็กราบก็ไหว้กันไปอยู่ตามธรรมเนียมประเพณีเท่านั้น แต่โดยจริงแล้ว ถ้าเป็นจริงนักบวชนี่ ผู้ที่มีคุณธรรมถึงขั้น โภคักขันธัง ปหายะ ญาติปริวัฏฏัง ปหายะนี่ มันคืออนาคามี คือ อนาคาริกชน ผู้ที่ใจ ปล่อยวางแล้ว ไม่ติดไม่ยึดในทรัพย์ศฤงคาร บ้านช่องเรือนชาน ญาติโกโยติกาอะไรที่เป็นทางสายเลือด อะไรต่ออะไรนี่ ไม่ติด ไม่ยึด ไม่ห่วงหาอาวรณ์ ปลดปล่อย ปลงวาง แต่คนปลดปล่อยปลงวาง ไม่ใช่คน ที่ไร้ปัญญา ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักอะไร เพราะว่าญาติปริวัฏฏัง ปหายะ ไม่รู้จักญาติ แล้วญาติมาเป็นพี่ เป็นน้องมา ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่สัมพันธ์ ไม่เกี่ยวเนื่อง ไม่รู้จักว่าทั้งโลกควรจะอนุโลม เขาไม่ยึดไม่ถือ เหมือนเรา ก็ไม่ได้ เขายังยึดยังถืออยู่ พ่อก็ยังถือว่าเป็นพ่อ แม่ก็ยังถือว่าเป็นแม่ พี่ก็ยังถือว่าเป็นพี่ น้องก็ยังถือว่า เป็นน้อง ถือนา เขายังมีเยื่อใย เขายังมีอะไรต่ออะไรอยู่นา เพราะเขายังไม่ได้มาปล่อยวางได้ อย่างพวก ปฏิบัติลดละแล้ว

เราก็ต้องรู้ความเป็นจริงอันนี้ ซึ่งเป็นสัจจะธรรม สมมุติแม้เป็นสมมุติสัจจะก็เป็นสัจจะ เป็นพ่อเป็นแม่ เพราะฉะนั้น ในหลักวินัยยังมีอีกเยอะแยะ ผัวเมียเคยแต่งงานกันมาแล้ว ก็ถือเป็นโยมอุปถาก โยมอุปถัมภ์ หลายอย่าง ก็อนุโลม เป็นผัวเป็นเมียกัน หรือเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูก ก็ยังมีอนุโลม เช่นปวารณาก็ได้ ไม่ปวารณาก็ได้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ถือว่าเป็นอุปถากชั้นหนึ่ง อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งวินัยมีซับซ้อนกัน อีกเยอะ แม้ว่าเราจะญาติปริวัฏฏัง ปหายะแล้ว ใจเราน่ะ ก็ต้องมีภูมิปัญญารู้ ในสัจจะความจริงพวกนี้ ที่ต้องรู้ว่า เออความเป็นจริงของความเป็นจริง มันมีอะไรซับซ้อน นี่ลึกซึ้ง ธรรมะของพระพุทธเจ้าลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น จะต้องมีการอนุโลมปฏิโลม หรือการมีพิเศษ มีอย่างนั้นอย่างนี้ อะไรต่ออะไรต่างๆ นานา ซับซ้อน อยู่พอสมควรนา

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของมนุษย์ ที่มนุษย์จะต้องศึกษาพึงรู้ แล้วก็กระทำกันให้จริง เมื่อกระทำแล้ว รู้ความจริงแล้ว ก็จะเกิดความเป็นไปได้ อย่างชาวอโศกเรานี่ เราพึ่งตนเองให้รอด บอกแล้วว่า คนที่มีอัตตา มีภูมิธรรมมากๆ คนที่มีอลังการทางโลก มียศมีศักดิ์ มีร่ำรวยมีฐานะ มีโน่นมีนี่ อะไรต่ออะไร ไม่ใช่หนี้สินนา มีอะไรต่างๆ ของเขา ที่เขาเอง เขาอลังการของเขาอยู่ ก็เห็นได้ว่า เขาไม่ค่อยมากันหรอก จะมาก็พวกที่จนๆ เข้าใจแล้วหละ มันจนนี่ มันไม่ต้องสละอะไรมาก มันก็มาได้ง่าย ไม่มีศักดิ์ ไม่มียศอะไรมากมาย ก็มาได้ง่าย ไม่เป็นอัตตาที่ติดๆ ยึดๆ อยู่ ไม่เป็นไร ไอ้อะไรที่ตัวเองยังหลง ยังไหล ยังยึด ยังเกาะ เราก็ลดมาได้จริงๆ แล้วก็มาได้จริงๆ พวกนี้ ก็จะก่อเกิดคนกลุ่มนี้ขึ้น จนกว่าจะมีมวล มีกลุ่มโต มีรูปลักษณ์ที่ชัดเจน มีพลัง มีรังสี มีกัมมันตภาพรังสี เป็นพลังที่ดูได้ด้วยตาไม่ได้ แต่มันเป็นพลังธรรม เป็นธรรมมะที่มีพลัง มีแต่ราสี รังสีออกไป มีฤทธิ์นา เพราะฉะนั้น ถ้ามวลที่โต หรือภูมิธรรมคุณธรรมที่เป็นจริงเป็นจัง เรามีอาริยะคุณ กันแต่ละคน เช่น มีอรหันต์จริง อรหันต์จริงก็ต้องมีพลังราสีรังสีเยอะ มีอนาคามีจริง มีสกิทาคามีจริง มีโสดาบันจริง รวมกันอยู่มาก ราสีรังสี หรือกัมมันตภาพรังสีของธรรมมะนี่ จะขยายผลออกไป... ทุกวันนี้ รู้สึกไหมว่า ชาวอโศกนี่มีมีราสีหรือรังสี มีกัมมันตภาพรังสี ที่แผ่ออกไปให้ คนอื่นรู้สึกว่า แต่ก่อนนี้ไม่มีฤทธิ์ แต่ก่อนนี้ไม่มีรังสี จะมีอะไรออกไป เขาได้รับซับทราบอโศก อี้ ตีทิ้ง ลบหลู่ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างเก่าแล้ว ไม่ลบหลู่ทันที หรือดีไม่ดีก็ยอมรับ จนกระทั่งเข้าใจ เลื่อมใสขึ้น นี่คือสัจจะธรรม ที่มันจะค่อยๆ เกิด มันไม่ใช่ มันเป็นรูปแบบ แสงก็แสงจ้า มีสี มีหุ่น มีรูป มีทรง มีตัวตน จับต้องได้ ไม่ใช่ มันเป็นกัมมันตภาพรังสี ที่แผ่กระจาย เป็นธรรมฤทธิ์ เป็นกัมมันตภาพรังสีแห่งธรรม ที่กระจายออกไป

ที่อาตมาขยายความให้ฟังนี่ก็เกิดจากสัจจะธรรมทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การมารวมหมู่รวมกลุ่มกัน แล้วก็ ขัดเกลากัน ที่อาตมาขยายความ หรืออธิบายให้ฟังแล้วก็ดี ผ่านมาแล้ว คนนี่แหละ อยู่ด้วยกันนี่แหละ จะเป็นประโยชน์แก่กันและกัน สัลเลขะ ขัดเกลาให้กันและกัน ได้อย่างสูงสุด โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิปัญญา หรือมีแนวลึก มีสิ่งที่ลึก ก็จะมีลีลาลึก มีอะไรลึกๆ ที่จะทำอะไรลึกๆ ละเอียดๆ ประณีตขึ้นมาเรื่อยๆ ตามสัจธรรม แล้วมันก็จะก่อเกิดประโยชน์แก่กันและกัน ขัดเกลากันและกัน ช่วยเหลือกันและกัน เพราะฉะนั้น พวกเรานี่ จะมีความอดทน หรือมีความรู้ สามารถที่จะรู้สิ่งที่ละเอียด สามารถที่จะอดทน ต่อสิ่งที่ลึกซึ้ง ละเอียดสูงขึ้น เมื่อความอดทนได้ มันก็คือไม่ต้องทน อดทนได้แล้ว มันก็คือไม่ต้องทน ไอ้ที่อดทนยังไม่ได้ มันก็ต้องฝึก ฝึกไปมันก็จะอดทนได้ หรือละล้างได้แล้วก็ไม่ต้องทน เมื่อปลดปล่อย ละล้างได้แล้ว ก็ละเอียดลออขึ้น เพราะฉะนั้น กลุ่มหมู่ของเราก็จะมารวมกันขึ้น ผู้รู้อย่างที่อาตมากล่าวแล้ว ผู้รู้ถูกทิศทางเป็นสัมมาทิฐิของศาสนาพุทธนั้น ผู้สันโดษก็คือ ผู้ที่จะมารวมกันอยู่ เราจะรู้ว่ามิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี หรือมวลหมู่ของบัณฑิต รวมกันอยู่ที่ใด เราก็พึงจะไปอยู่กับ หมู่มวลบัณฑิตนั้น ไม่ใช่จะปลีกแยก จะรู้ประโยชน์ว่า การรวมเป็นหมู่เป็นกลุ่มนี่มีประโยชน์ จะเกิดปัญญารู้ว่า การรวมหมู่กลุ่ม เป็นประโยชน์ ถ้าอยู่ปลีกเดี่ยวนี่ช้า ปปัญจารามตา ปปัญจะ แต่อย่าไปรามตา รามตาแปลว่า ความยินดี ปปัญจะ แปลว่าความเนิ่นช้า อย่าไปทำความเนิ่นช้า อย่าไปให้เกิดปปัญจะ มันเป็นความเนิ่นช้า ผู้ใดที่ไป หลงติดหลงยึดความเนิ่นช้า นั่นก็คือโง่แล้ว ไม่อยากเจริญเลย อยากจะช้าๆ เจริญช้าๆ เจริญไวๆไม่เอา มันก็โง่น่ะซี โง่ดักดานเลย คนอย่างนั้น เจริญดีๆ นี่ ไวๆ มันก็ดี ก็เป็นเรื่องสามัญ ใครๆ ก็รู้ ไม่ได้เป็นเรื่อง พิศดารอะไร เป็นเรื่องง่ายๆ

เมื่อเรารู้ว่า อะไรจะทำให้เราเจริญได้ดี ได้เร็ว คนฉลาดก็ต้องทำ ก็ต้องปฏิบัติประพฤติ เพราะฉะนั้น สังเกต ดูให้ดีว่า เราเองเป็นผู้ที่มีจิตใจ ไม่อยากจะรวมหมู่รวมกลุ่ม ไม่อยากจะเข้าหมู่เข้ากลุ่ม อยากจะอยู่โดดเดี่ยว ยิ่งจะหนีไปอยู่โดดเดี่ยวนั่นแหละ ยิ่งคนไม่สันโดษ อาตมาเจตนาจะอธิบายคำว่า สันโดษนี่ให้ชัดเจนขึ้น เพราะคนไปเข้าใจผิด ภาษาไทยว่าโดดๆ คำนี้ เอาคำว่าโดดคำนี้น่ะ มันก็กลายมาเป็นว่า สันโดษ มันก็เลย นึกว่า ไปโดดเดี่ยว มันไปหนีจากหมู่ชน หนีจากกลุ่ม หนีจากอะไรต่ออะไร ไปอยู่ลำพังเงียบๆ เฉยๆ นั่นเป็น ลักษณะฤาษี ซึ่งมันก็เข้าใจได้ในลักษณะของฤาษีว่า ไอ้นั่นแหละ คือคนที่ไม่ต้องวุ่นวาย ก็ถูกแล้ว ก็ถูก มิติตื้นๆ มิติต้นๆ ง่ายๆ ไม่ต้องวุ่นวายอะไรอยู่คนเดียว นั่นก็เป็นลักษณะหนึ่งของศาสนาฤาษี หรือ ความคิดง่ายๆ แล้วเขาก็ทำกันมานานแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร ชาวพุทธเรารู้ดี

ทีนี้มาเป็นผู้ที่ศึกษาธรรมมะของพุทธแล้ว สันโดษมันลึกซึ้ง ใจนี่มันสันโดษ สันตุฏฐิ สันตุฏฐิคือสันตะ + อุฏฐิ อุฏฐะ สันตุฏฐินี่ สันตะแปลว่าอะไร สงบ สงบ เพราะฉะนั้น อุฏฐิหรืออุฏฐะ มันก็คือการตั้งขึ้น การตั้งขึ้น ซึ่งความสงบอันนี้นี่ ไม่ใช่ว่าเป็นความสงบที่ตื้นๆ สันตา ปณีตา สันตะนั่นแหละสันตา

ธรรมมะของพระพุทธเจ้าเป็น คัมภีรา ทุททสา ทุรนุโพธา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา นิปุณา ปัณฑิตเวทนียา อะไรพวกนี้ สันตะแปลว่าสงบ สงบของพุทธเป็นสงบพิเศษ ไม่ใช่สงบเพราะหนีไปอยู่นิ่งๆ เงียบๆอยู่ ไม่ใช่ สงบเพราะกิเลสมันหมดฤทธิ์เลย มันนิ่งหมดแล้ว จิตยิ่งแข็งแรง จิตยิ่งรอบรู้ เป็นโลกวิทู จิตยิ่งมีพหูสูต จิตยิ่งมีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ สามารถ ที่จะรู้โลก โลกวิทู และอนุเคราะห์โลก ช่วยโลกได้ จิตที่มีประสิทธิภาพ จิตยิ่งรู้ดี จิตยิ่งแข็งแรง จิตยิ่งมี กำลังที่จะแบกโลก อุ้มชูโลก ช่วยโลก ยิ่งกว่าปลาอานน รู้จักปลาอานนไหม โลกลูกนี้ตั้งอยู่บนหลัง ปลาอานน นะนี่ ปลาอานนหนุนอยู่นี่ โลกลูกนี้นี่อยู่บนหลังปลาอานน นิทานเก่าเขานี่ ตำนานเก่าๆ เขาว่าอย่างนั้นนา ปลาอานนแบกลูกโลกนี้ไว้ เพราะฉะนั้น

ศาสนาพุทธนี่ยิ่งสงบ ยิ่งมีพลัง เพราะวิมุติเป็นพลัง ผู้ที่ยิ่งมีวิมุติแบบพุทธ หลุดพ้นแบบพุทธ ยิ่งมีพลัง พลังนั้นเป็นพลังที่สู้โลกีย์ได้ พลังนั้น เป็นพลังที่ช่วยเหลือคนอื่นได้ แบกหามคนอื่นได้ อุ้มชูคนอื่นได้ มากขึ้นๆ นี่คือพลัง พลังสร้างสรร พลังปัญญา ที่จะมีพลัง ปัญญาที่จะอุ้มชูเกื้อกูล ช่วยเหลือมนุษยชาติ พลังสี่ มี ปัญญาพลัง วิริยพลัง อนวัชชพลัง สังคหพลัง เพราะฉะนั้น พลังที่เกิดนี่นา ปัญญาพลัง และ วิริยพลัง อนวัชชพลัง แล้วก็ สังคหพลัง พลังสี่นี่นา ปัญญาพลังก็คือ ปัญญามันมีแรง มันมีฤทธิ์ ที่จะไปรู้อะไรได้เร็ว ได้ไว ได้มาก ใช่ไหม ปัญญามันมีพลัง มันมีกำลัง มันมีฤทธิ์ มันมีอำนาจ สามารถ ที่จะรู้ซึ่งภาษา ก็อธิบายสู่ฟังแค่นี้ คือมันเข้าใจ มันฉลาดน่ะ ปัญญามันฉลาด มันรู้เร็วรู้ไว รู้ได้ลึก ได้ไกล ได้มาก ได้เร็ว คนอื่นยังไม่รู้เลย คนที่มีปัญญาพลังก็จะรู้ได้เร็ว ได้มากอยู่ วิริยพลัง มีความเพียรโดยที่ เป็นพลัง เป็นแรงเป็นฤทธิ์ด้วยตัวมันเอง วิริยพลังเป็นกำลังของความเพียร มันเพียรโดยมันอัตโนมัติ มันเพียรนา เพียรเหนื่อยยากก็แปลว่า มันจะไม่เอา ไม่ทำ แต่ที่จริงมันคือ มันไม่ค่อยเหนื่อยเร็ว ไม่รู้ว่า จะแปลว่าอย่างไงภาษาไทยนี่ ฟังไปฟังมา วนไปวนมา มันไม่ค่อยเหนื่อยเร็ว คนอื่นเขาเหนื่อยแล้ว แต่นี่ยังพากเพียรอยู่เลย พลังปัญญา ทนต่อการเหนื่อยยาก คือทำงานทน ทำอะไรทนๆ ซึ่งเป็นวิริยพลัง ที่ก็มีความเพียร ที่เป็นกำลังมาก แหม่..ไม่รู้จะแปลว่าอย่างไงอีกหนอ พวกเราก็คงเข้าใจ มีปฏิภาณ อีกสองอันที่สำคัญ อนวัชชพลัง กับ สังคหพลัง อนวัชชะคือการงานที่ไม่มีโทษ เพราะฉะนั้น จะต้องรู้ว่า การงานอะไรเป็นโทษ การงานอะไรไม่เป็นโทษ

เอาง่ายๆ คุณไปทำการงานหาเงินอยู่ กับมาทำงานฟรี การงานอะไรเป็นโทษ การงานอะไรไม่เป็นโทษ ตอบ ดูสิว่านี่จะผ่านไหมนี่ พันหน่วยกิต นาอันนี้ พันหน่วยกิต ตอบถูกได้พันหน่วยกิต ตอบไม่ถูกศูนย์ นี่ตีลังกาเลย หา ทำงานเอาเงินมากๆ กับทำงานที่ไม่เอาเงินเลย อันไหนเป็นการงานมีโทษ อันไหนเป็น การงานไม่มีโทษ หาเงินเยอะๆ มีโทษ ทำงานเอาเงินแลกเปลี่ยนมามีโทษ การงานที่ไม่เอาเงินเอาทองเลย ไม่มีโทษ อย่างนี้เป็นต้น มีพลังปัญญาที่เข้าใจ

นี่ไม่ใช่อาตมามาหลอก อาตมาว่าอาตมากล่าวสัจจะ กล่าวความจริงอย่างนี้เป็นต้น หรือแม้แต่จะเอา เชิงเศรษฐศาสตร์ ดีมานของสังคม การงานอะไรเป็นดีมาน ทุกวันนี้นี่คนที่จะทำงานเก็บขยะ ต้องการมาก หรือว่า คนที่ทำงานสูงๆ ใช้สมองไม่ต้องมาก มีคนทำงานแทน แต่ได้รายได้เยอะ รายได้เยอะ งานเบา มีองค์ประกอบ มีเครื่องทุ่นแรง มีลูกไม้ลูกมือ มีบริวารเยอะ ได้เงินเดือนเยอะ กับคนที่จะมาทำงานเก็บขยะ ขัดส้วมอะไรพวกนี้ ได้เงินเดือนน้อย บริวารก็ไม่มี ใครไม่ค่อยจะช่วยหรอก อะไรเป็นดีมานสูงกว่ากัน (เก็บขยะ) จะมีพลังปัญญาที่จะเข้าใจ อนวัชชะ การงานที่ควรไม่ควรพวกนี้ การงานที่มีคุณ มีประโยชน์ การงานที่มีโทษกว่ากันพวกนี้ จะเข้าใจ จะวิเคราะห์ออก เพราะฉะนั้น ก็จะทำอะไรที่ควรหรือไม่ควร ถูกต้องขึ้น จะเลือกการงานที่ทำให้แก่ตน เป็นทั้งบุญกุศล เป็นทั้งประโยชน์แก่โลก เพราะฉะนั้น ในหลัก เศรษฐศาสตร์ก็ตาม ถ้าคนระดมกัน ไม่ต้องเอาที่อื่นหรอก เอาในชาวอโศกนี่ พวกเรายังเลี่ยง การงานทำขยะ ขัดส้วม ไปทำงานอื่นที่มันไม่เหม็น มันไม่ยาก แต่มันมีความจำเป็นไหม มีความจำเป็น ที่จะต้องทำ มวลที่ไปทำส้วมทำขยะพวกนี้ มวลอยู่ด้วยกันนี่แหละ ชาวอโศกนี่ร้อยคน ต้องการจะไป ทำงานนี้ โอ้โฮ.. แย่งกันไปทำเลยงานขยะนี่โอ้โฮ.. รับสมัครมากันเป็นทิวเลย แต่งานอื่น ที่มันเบากว่านี้ หรือว่า มันง่ายกว่านี้ หรือว่ามันหรูกว่านี้ มันมีค่ามีแบบโลกๆ น่ะนา เขานิยมยกย่องกันมากกว่า ในอโศกเรา นี่ก็เถอะ มันจะวิ่ง ไปงานโน้น มากกว่างานนี้ อันนี้ก็ต้องศึกษาให้ดีๆ เพราะฉะนั้น เราจะไม่เอาอะไร ทำตามใจชอบ เราจะต้อง วินิจฉัยสัจจะให้ดีว่า อะไรควร การงานที่ควร อะไรมีโทษ อะไรมีคุณมากกว่ากัน อะไรมีประโยชน์มากกว่ากัน อะไรสมควรมากกว่ากัน เราจะต้องพยายาม มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา มีปฏิภาณ เข้าใจความจริงที่ลึกซึ้ง ความจริงที่ถูกต้อง ตามที่อาตมากล่าวนี้ ให้ดีๆ

คนใดที่เข้าใจอนวัชชะ ก็จะมีกำลังในอนวัชชะ จะเลือกงาน ทำงานที่มีคุณมากกว่าโทษ เปรียบเทียบกันได้ งานที่อาตมาเปรียบเทียบให้ดู เป็นคู่ๆ เป็นอย่างๆ ไป อย่างตัวอย่างพวกนี้ เราจะเปรียบเทียบว่า เออ งานนี้ เราทำอยู่ ทั้งๆ ที่แน่นอน เราไม่ชอบ เพราะฉะนั้น เราไม่บำเรอใจเรา ไม่บำเรอกิเลสเรา เราเอาแต่ชอบ เป็นอิฏฐารมณ์ ชอบ อันนั้นเราไม่ชอบ อนิฏฐารมณ์ เราไม่เอา มันก็บำเรอใจตัวเอง บำเรออัตตา ลักษณะพวกนี้ ก็เป็นการสร้างอัตตา เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีพลังปัญญา มีพลังวิริยะ ก็จะมีพลังปัญญาหรือ ความเพียร ที่จะเพียรในการงานชอบ การงานที่ไม่มีโทษ การงานมีคุณค่า มีประโยชน์

ไม่ใช่ทำด้วยอารมณ์ อิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ ทำด้วยความชอบความไม่ชอบ จะเลือกสิ่งที่ควร กับสิ่งที่ไม่ควร

สุดท้ายนี่สุดยอดสังคหะ พลังสังคหะคือพลังเกื้อกูล พลังช่วยเหลือผู้อื่น เพราะฉะนั้น ผู้ที่สูงไปด้วย แล้วมีพลังสูงๆ ผู้ที่มีวิมุติ มีพลังสี่นี้แน่นอน พลังปัญญา พลังวิริยะ พลังอนวัชชะ พลังสังคหะ ผู้ไม่มีวิมุติ ก็มีพลัง นี่ธรรมะพระพุทธเจ้าสอนเอาไว้สุดนะนี่ เอามาสัมพันธ์กันแล้ว มาร้อยเรียง มาขยายกันแล้ว มันจะสอดคล้อง มันจะส่งเสริมกันไป อย่างละเอียดลออ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้เลยว่า คนที่ปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้าถูกต้องแล้ว มันจะไปในทิศทาง ที่เป็นประโยชน์คุณค่า ไม่ได้เห็นแก่ตัว มีแต่เรื่องที่เป็น คุณค่าประโยชน์ที่สูงส่งละเอียดลออ มากมายทับทวีขึ้นเสมอๆ เพราะฉะนั้น พวกนั้นก็จะเห็นได้เลย ผู้ที่มีพลังสังคหะ มีพลังเกื้อกูล ก็จะเห็นได้ว่า โอ..เป็นคนไม่ดูดาย เป็นคนมีน้ำใจ เป็นคนโอ..นี่หรือ ต้องการให้ช่วยอะไร เอาเลยเกื้อกูลช่วยเหลือ เป็นคนที่มีน้ำใจ เป็นคนที่ไม่ดูดาย เป็นคนที่ไม่อืด ไม่ขี้เกียจ ไม่เลี่ยง เห็นชัด มันจะเห็นได้ง่ายๆ

ถ้าเราเรียนรู้แล้วก็ลดกิเลสตัวเองได้จริงแล้ว มันก็จะเป็นได้จริงอย่างที่ว่านี้ เพราะฉะนั้น คำสอนที่ พระพุทธเจ้า ท่านตราเอาไว้ต่างๆ เมื่อเราได้มาปฏิบัติตามพิสูจน์แล้ว มันจะเป็นจริง และเป็นคนชนิด อย่างไร โอ..เป็นคนที่มีพลัง ยิ่งมีวิมุติ มีพลังแบบนี้ โสดาบันก็มีแบบนี้ โสดาบันก็รู้สึกว่า จะเป็นผู้ที่มี พลังปัญญาพอสมควร มีวิริยะพอสมควร เพราะฉะนั้น เราก็จะมีความขยันมากขึ้น ขยันของพวกเรานี่นา มันซับซ้อน คนเราในโลกนี่สอนให้ขยัน เพราะเอาอามิสไปล่อ ขยันอย่างลา คนในโลกนี่ ขยันอย่างลา มีลาภล่อ มียศล่อ มีสรรเสริญล่อ มีกามล่อ มีอะไรล่อเหมือนลา ถึงทำงาน ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่เดินเลย ลานี่ไม่มีอะไรล่อ บื้อยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นแหละ ดีไม่ดีตีมันก็ยังไม่ไปเลยลา ไม่มีอะไรล่อ แต่พอเอาหญ้ามาล่อ มันเดินเลย มันจะกิน มันบำเรอตัวเอง เห็นแก่ตัว ตัวได้ก็ถึงทำ ถ้าตัวไม่ได้ ไม่ทำ คนในโลกีย์ก็อยู่ใต้อำนาจ ของโลกธรรม อามิสล่อ แต่พวกเรานี่มาขยัน มาวิริยะ ต่างกันกับคนโลก

อาตมามาสอนพวกเรา ไม่ได้มาเอาโลกธรรมมาเป็นตัวล่อเลย เพราะฉะนั้น จึงเข็นยาก เข็นให้มีพลังวิริยะ เข็นให้มีพลังปัญญา ก็ไม่ค่อยจะฉลาดสักทีว่า พามาทำนี่โอ้โฮ..ทุกวินาที เป็นวินาทีแห่งบุญ ฟังแล้วก็เฉย ก็เข้าใจ แต่ยังไม่รู้ ยังไม่ฉลาดพอ ยังไม่รู้พอ เพราะฉะนั้น พลังของปัญญา ก็ยังไม่แหลมพอ พลังของวิริยะ ก็ยังไม่เกิดพอ แล้วงานที่เราพาทำกันนี่ เป็นงานที่มีโทษหรืองานที่ไม่มีโทษ เราเลือกนา ใช่ไหม ชาวอโศกเรา ช่วยกันคัด ช่วยกันสรร ช่วยกันเลือกงานที่ทำ ว่างานนี้เป็นคุณค่านาเรามาเลือกทำ อาตมาว่างาน สามอาชีพกู้ชาติ งานกสิกรรม งานปุ๋ย งานขยะ มาถึงวันนี้ ได้ขยายความของมันเอง โดยอาตมาไม่ได้ ขยายความไปทีเดียว แต่ตัวมันเองคลี่คลายขยายความ มาตั้งสิบยี่สิบ ปีมาแล้ว ประมาณถึงนา ยี่สิบปี อาตมาพูดถึงเรื่อง สามอาชีพกู้ชาตินี่ ยี่สิบปีถึง พูดมาก่อนตั้งนานเนแล้ว แล้วก็ขยายความเขียนในหนังสือ แสงสูญ ทำอะไรต่ออะไรออกมานี่ เพื่อที่จะให้เรานี่ได้เรียนรู้ สิ่งเหล่านี้ แล้วก็กระทำ มาถึงวันนี้ มันอธิบาย ตัวมันเอง ขยายตัวมันเองให้เห็นว่า เออ..มันมีความสำคัญ แค่แต่บอกว่า ภาษาของทางสังคม ขณะนี้รัฐ ในระดับรัฐบาล จะถือเป็นวาระแห่งชาติ คือเกษตรอินทรีย์ ว่าอย่างนั้นนาขณะนี้ จะต้องรณรงค์ จะต้อง พยายามว่า นี่ถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ จะต้องพัฒนาเกษตรอินทรีย์ ให้เป็นเรื่องเป็นราวให้เจริญงอกงาม ขึ้นมาให้ได้ ภาษาคำนี้ มันเป็นคำตอบว่า เออ ขานรับสามอาชีพกู้ชาติขึ้นมา ในนัยหนึ่ง ฟังเข้าใจใช่ไหม มันเป็นคำตอบขานรับ ของสังคมในระดับสูง ระดับประเทศ ระดับชาติ ขานรับ ที่อาตมาพูดมาก่อนแล้ว พยายามรณรงค์ พวกเราพยายามกระทำ อย่างประเภทที่ ปัญญาก็ยังไม่ค่อยมีพลัง อนวัชชะก็ไม่ค่อย มีพลังเท่าไหร่ พยายามที่จะดึง พวกอยู่หอคอยงาช้าง ลงมาติดขี้โคลน ดึงพลังพวกที่อยู่หอคอยงาช้าง ลงมาติดดิน ก็ยังไม่ค่อยจะลง แต่ก็ลงมาเรื่อยๆ ก็ได้มาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น พลังของอนวัชชะ พลังของ การงาน ก็ยังไม่ค่อยจะเต็มที่ เพราะพลังปัญญามันไม่เกิดพอ เพราะฉะนั้น ก็ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ จะเข้าใจขึ้น เรื่อยๆ

เมื่อปัญญาก็พอ การงานที่ควรจะทำก็พอ ปัญญาก็พอ การงานก็พอ คุณก็จะเข็ญตนเอง ให้เกิดวิริยะ ให้เกิดความเพียร ให้เกิดความเอาน่า มันไม่ขยันก็ขยัน มันไม่เพียรก็ต้องเพียร เพราะมันดี มันจำนนแล้ว มันเข้าใจแล้ว มันรู้แล้ว เราก็จะลงไปฝึก เพราะฉะนั้น เราก็ทำไปทั้งรูปแบบ ให้อด ให้ทน ให้ฝืนบ้าง แนะนำบ้าง บอกบ้าง แล้วก็พยายามให้อ่านถึงผลบ้าง อย่างให้มานี่ก็ หลายคนก็บอกโอ้โฮย.. บังคับเรา ให้ไปขุดดิน แล้วก็ปลูกผัก ปลูกต้นไม้โว้ย..ขี้โคลนก็เลอะเหลือเกินโว้ย..ก็ไม่ค่อยจะสะดวกใจเท่าไหร่ บางคน อาจจะสนุกสบายใจ บางคนอาจจะเออ..อารมณ์ดีแล้ว ถ้าจิตคนนั้นดีแล้ว จิตคนที่บอก โอ..มานั่งปลูก แหม.ไม่ได้ติดใจ เลอะก็เลอะ สบาย ปล่อยวาง เอา..ขี้โคลนก็ไม่เป็นไรนี่ แหม..ขี้โคลน มันไม่ใช่ขี้หมาสักหน่อย ไม่เห็นเป็นไร เลอะก็เลอะไป เดี๋ยวก็ล้างออกสบาย ถึงขี้หมาก็เหมือนกันนั่นแหละ ว่ากันจริงน่ะ แต่พวกเราก็ตั้งค่าติดยึดไปตามประสาของเรา เพราะฉะนั้น เราก็ไปทำ คนไหนที่วางใจได้ ไม่ได้มีทุกข์อะไรเลย ปลูกสนุกเสียด้วยซ้ำไป จะเกิดประโยชน์ แล้วได้ร่วมมือสังสรรค์อะไรต่ออะไรพวกนี้ นั่นก็ดีเป็นสุข เพราะฉะนั้น สุขทุกข์มันไม่ได้เกิดที่ว่าอะไรล่ะ ไปนั่งปั้นนั่งสร้าง มันอยู่ที่เราเข้าใจ และเราปล่อยวาง พอเราเข้าใจปล่อยวางแล้ว ดูอันนี้มีคุณค่า อันนี้เราไม่ติดใจ อันนี้เราก็ไม่อะไร เปื้อนแค่นี้ เราก็ไม่เป็นไร เปื้อน เออ..ขุดเออ..ก็ขุด เราก็ทำ เราก็ปลูกอะไรต่ออะไรขึ้นมา ทำอะไรขึ้นมา

เอาตัวอย่าง ง่ายๆ นี่ เราไปปลูกต้นไม้กันเมื่อวานนี้ ใครเป็นสุข คนนั้นก็แสดงว่า คนนี้มีพลังวิมุติพอสมควร มีพลังปัญญา มีพลังวิริยะ มีพลังอนวัชชะ และมีพลังสังคหะ เพราะสังคหะคือการเกื้อกูล คือการช่วยเหลือ คือการพัฒนา การช่วยเหลือเกื้อกูลนี่เป็นการพัฒนา เป็นการเสริมหนุน เป็นการรวมสิ่งที่จะทำให้เจริญ เพิ่มขึ้น สังคหะ สุดยอด ถ้าไม่มีสังคหะในที่ดีๆ ที่นั่นบรรลัย สังคหะก็คือทาน สังคหะก็คือจาคะ สังคหะก็คือ การเกื้อกูลช่วยเหลือเฟือฟายอุ้มชู อุปถัมภ์ค้ำชู ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น เราจะมีพลังอะไรแค่ไหน ช่วยกันได้ เราก็ช่วย ทุกวันนี้ชาวอโศกเรายังไม่รวยในเรื่องวัตถุ เพราะฉะนั้น เราจะช่วยวัตถุอะไรใคร ไม่ได้หรอก มีการบริจาค มีการบอกบุญมาเรื่อยนี่สมาคม เดี๋ยวพวกคุณก็จะได้รับต่อไปในอนาคต สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม พวกสมาคมต่างๆ มูลนิธิต่างๆ เดี๋ยวก็มาแล้ว จดหมายมา บอกบุญเรี่ยไร ขอให้ช่วยหน่อย ขอให้ช่วยเงินน่ะบ่อย คนที่นี่ขาดเงินที่จะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ขอให้ช่วยมูลนิธิ อย่างมูลนิธิเก่าๆ นี่ธรรมสันติ กองทัพธรรมมูลนิธิ หรือว่า สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม สมาคมเก่านา ธรรมทัศน์สมาคมอะไรนี่ จะได้รับหนังสือพวกนี้มา เดี๋ยวอีกหน่อย สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม ก็จะได้รับ เสร็จแล้วเราก็บอกว่า เราให้อะไร ให้หนังสือ เขาต้องการเงินนา แต่เราไม่มีหรอกเงิน เราให้หนังสือ ขอบริจาคช่วยเหลือหน่อย อยากได้เงินเท่านั้นเท่านี้ ให้หนังสือไป เอาไปขายเอาเอง ได้เงินเท่าไหร่ก็เท่านั้น ต่อไปถ้าเขาขอบริจาค อย่างนี้มาบอก เราไม่มีหนังสือหรอก เรามีลำใยเยอะ ขอเงินมา ให้ลำใยไปหนึ่งตัน คุณไปขายเอาซี เอาเงินไปใช้ เรามีผัก มีพืช มีสินค้า มีเครื่องอุตสาหกิจ แปรรูปอะไรก็แล้วแต่ ที่เราทำได้ มีอันนี้แหละส่งให้ เราก็จะเป็นอย่างนั้น เราจะพยายามนา

อย่าให้เอาเงินเป็นตัวหลักนักเลย หลงเงินกันจนกระทั่ง อะไรก็จะมาเป็นเงินมาหมดเลย เงินกลายเป็น เรื่องที่หลงไหลได้ปลื้ม จนกระทั่ง คนโง่เพราะเงินไปหมด เห็นเงินได้เงินมา ทำชั่วทำเลวอะไรก็ได้ ไปทำชั่ว ทำเลวอะไรต่างๆ นานา ผู้หญิงขายตัวก็ได้เพราะเงินอะไรต่างๆ พวกนี้ ผู้ชายก็ไปทำอะไรก็ไม่รู้ ผู้ชายก็ขายตัว เพราะเงินเหมือนกัน มันจะบ้าอะไรกันถึงขนาดนั้น อย่างนี้เป็นต้น โอ..ไม่เอาหรอก มันอะไร ก็เอาแต่เงินเป็นหลัก เพราะฉะนั้น พวกเรานี่ก็จะมาลดจริงๆ ในเรื่องเงินเรื่องทอง เมื่อเรามาฝึกปรือ เรียนรู้ อะไรต่ออะไรแล้ว เราก็จะเข้าใจ แต่เราก็จะไม่โง่จนกระทั่งว่า เงินนี่คือสิ่งที่จะต้องใช้ เป็นเครื่องใช้อันหนึ่ง ผ่านไปผ่านมา ทดแทนอันหนึ่งอันใด เราก็รู้ค่ายิ่งกว่านักเศรษฐศาสตร์อีก เราจะรู้ค่าของเงิน ยิ่งกว่า นักเศรษฐศาสตร์ รู้ว่าเงินคืออะไร ไม่หลงงมงายเหมือนกับชาวโลก ที่ไม่รู้ว่าเงินคืออะไร เราจะเข้าใจเช่น วัตถุบางสิ่งบางอย่าง มันตกมันหล่นอยู่นี่ หลายอย่างนี่นา มันไม่ใช่แบงก์พัน นา มันมากกว่าแบงก์พัน หลายสิ่งหลายอย่าง ตกคลุกขี้ฝุ่น อยู่ตรงนั้นตรงนี้ คุณไม่ดูแล คุณไม่เก็บ คุณไม่หยิบ น่ะ แต่มันไม่ใช่ พันเดียวนา มันมากกว่าพันนา แต่คุณเฉย แต่ถ้าธนบัตรพันหนึ่ง เฮ้ย..คุณหยิบทันทีใช่ไหม โง่ไหม เห็นของที่มีค่า แล้วคุณก็ต้องดูแลรักษา ของที่มีค่ายิ่งกว่า คุณไม่รักษาหรอก แต่คุณควรรักษาดูแลเก็บงำ สิ่งที่มันมีค่าต่ำกว่า ฉลาดหรือโง่ นั่นคือคนไม่รู้ค่า และคนไม่ละเอียดพอ ใครเป็นบ้าง ยกมือขึ้น ที่ไม่ละเอียดอย่างนี้ โอ้โฮ..ฉลาดกันทั้งนั้นเลยหรือนี่ ไม่เป็นเหรอ ไม่เชื่อ อาตมาไม่เชื่อ ไม่เชื่อจริงๆ ให้แค่นี้ๆ ตกน้ำป๋อมแป๋มก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ

นี่คือความละเอียดลออ ที่เราจะต้องศึกษาฝึกฝน แล้วเราจะรู้ แล้วพวกเราจะรวย ไม่ใช่รวยธนบัตร แต่รวย ทุกอย่างที่มีค่าที่จริง ใช่ไหม ไอ้ค่าไม่จริง ธนบัตรบางทีแค่แบงก์ร้อยเท่านั้น สิ่งที่ราคาเกินร้อย ทิ้งขว้าง จมดิน จมปลักอะไรพวกนี้ คุณก็เฉย ดีไม่ดี เหยียบซ้ำด้วยซ้ำ นี่แน่ะเหยียบเฉยไปเลย มันราคายิ่งกว่า แบงก์ร้อย ทั้งๆ ที่แบงก์ร้อย คุณเก็บนา ทั้งๆ ที่ค่าเกินกว่าแบงก์ร้อย คุณไม่รู้หรอก นี่คือความเผิน ความไม่ฉลาดเพียงพอ สิ่งเหล่านี้ ต้องศึกษาและต้องฝึกฝน ปรับตัวเอง ฝึกปรือตัวเอง เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้น ถ้าฝึกฝนไม่ดูดาย อย่าว่าแต่เงินน้อยเงินมากเลย อะไรที่ยังมีค่าควรที่จะต้องดูแลรักษา มีอารักขสัมปทา เราก็อารักขสัมปทา เพราะว่าอันนี้เป็นประโยชน์ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์แท้ ต้องเรียนรู้ อารักขสัมปทา ที่ละเอียดลึกซึ้งให้พอ

ถ้าเราเกิดการฝึกฝนพวกนี้ เราก็จะเป็นคนที่มีคุณค่าประโยชน์อยู่ในโลก เป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง ที่รู้คุณค่า ของอะไรต่ออะไรต่างๆ นานาพวกนี้ เพราะฉะนั้น ปัญญาสี่ ที่วันนี้พูดไปพูดมา ก็โยงมาถึงตรงนี้ อาตมาไม่ค่อยจะได้รื้อฟื้นทบทวนคาถา ที่ไม่ค่อยทวน มันลืม แต่เมื่อระลึกถึงก็หยิบขึ้นมา เมื่อถึงวาระ ที่จะกล่าว จะอธิบาย ก็อธิบายสู่พวกเรากันนา เพราะฉะนั้น ในสถานที่นี้ พวกเราก็จะพยายาม สร้างกรอบ ขึ้นมา เป็นบ้านสวน หรือเป็นชุมชนอันหนึ่ง ที่จะเป็นชุมชนจะโชว์ได้ของสังคม เพราะจะเป็นบ้านคู่เคียง ของสันติอโศก เพราะฉะนั้น อาตมาก็อยากจะบอกบุญพวกเรา ไม่ได้มาบังคับ ไม่ได้มากดดันอะไร ให้พวกเรา ก็อยากจะให้พวกเรามองว่า อันนี้นี่เรามาเริ่มประเดิมที่นี่กันแล้ว พวกเราจะได้เป็นกลุ่มหมู่ ที่รังสรรค์ ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างสรรอันนี้ อันนี้จะทำอะไรไป เราก็มีแผนงานอยู่พอสมควร เดี๋ยวนี้เราทำ แผนงาน มีแผนอะไรต่ออะไรพอสมควร แล้วก็ทำขึ้นไปสำเร็จ ในวัตถุประสงค์ ที่เราควรจะได้เป็นชุมชน ถ้าชุมชนบ้านสวน เรียกสั้นๆ ว่าชุมชนบ้านสวน ชุมชนบ้านสวนคือ สวนบุญผักพืชนี่ เป็นเต็มคำ บ้านสวนนี่ มันเป็นชุมชนที่เกิดขึ้นมาได้เป็นรูปร่างที่ดี แข่งกับบ้านราช นี่บ้านราชสร้างเก้าปี เขาเจริญขนาดนั้น ถ้าชุมชนบ้านสวนนี่ ห้าปีก็เจริญเท่ากับบ้านราชที่เป็นได้ อาตมาว่าไม่เบานะ ที่ว่าเจริญนี่ก็คือ มีวัตถุดิบ มีทรัพยากร มีพืชพันธุ์ธัญญาหาร มีโรงเรือน มีโรงงาน มีไอ้โน่นไอ้นี่อย่างเหมาะสม ไม่เฟ้อ ได้สัดส่วนที่ดี ถ้าขาดแคลน ก็มีแรงที่จะสร้างเสริมเติมขึ้นมา เพื่อที่จะให้มาทำงานได้ทุ่นแรง หรือว่าเป็นถิ่นที่รองรับ การสร้างสรร สิ่งที่พอเหมาะ พอดี เพราะฉะนั้น ก็พยายามกันดู นา

นี่ก็คิดว่าเทศน์เข้าเรื่อง สำหรับพวกเราที่ มาชุมนุมกันที่นี่ สถานที่นี้ มันควรจะเกิดอะไร ควรจะมีอะไร ควรจะสร้างอะไร เป็นมนุษย์ที่ควรจะทำอะไร อาตมาเทศน์ที่สันติอโศก ผู้ใดที่เป็นเจ้าไม่มีศาล อาตมาเทศน์ ที่โฮมบุญ คือพวกเราจะเป็นวิญญาณล่องลอย มันยังไม่มีที่ลงทีเดียว หลายคนจะพะวักพะวง เอ..เราจะมา ปักหลักอยู่เสียทีนี่ มาขึ้นศาลนี้ หรือว่าเราจะไปสร้างบ้าน สร้างเรือนของเราอยู่ข้างนอก บ้านเรือนข้างนอก เราก็ เออลำลองทำไป ก็ยังไม่แน่ไม่นอน หรือบางคน ไปร่องๆ แร่งๆ อยู่ไม่มีที่ลงหรอก แล้วลอยอยู่ ทำมาหากินกันไป จะปักหลักตรงนั้นตรงนี้ ก็ไม่แน่ไม่นอน เป็นเจ้าไม่มีศาลล่องลอยอยู่ เรียกว่าพวก สัมภเวสี พวกวิญญาณล่องลอย ก็ตรวจสอบตัวเองบ้าง เราควรจะปักหลักลงแหล่งที่ไหน ควรจะทำอะไร ให้เป็นเรื่องเป็นราว เป็นรูปเป็นร่าง ชีวิตของเรา ควรจะสร้างสรร จะเป็นประโยชน์ มีทั้งสิ่งแวดล้อม มีทั้งมิตรดี สหายดี มีทั้งอาชีพการงาน สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อะไรที่จะเป็นโล้เป็นพายอะไร ก็ตรวจสอบกันดู ไม่ว่าชีวิตของเรา จะอายุแค่สิบ ยี่สิบ สามสิบ ห้าสิบ เท่าไหร่ก็แล้วแต่ ถ้าทุกวินาที หรือว่าวินาทีต่อไปนั้น เราจัดสรรให้แก่ตัวเราเอง อยู่ในทิศที่ถูกต้อง อยู่ในทางที่ควรเป็นสัมมามรรค มันก็จะเดินไปในผล จะเดินไปสู่จุดหมายปลายทางที่ดีงาม ที่ประเสริฐ ที่สมบูรณ์ได้ดีได้เร็ว เพราะเอาตาม ที่เหมาะควร

อาตมาพูดนี่ก็กลางๆ บางคนมีภาระ บางคนมีความจำเป็น บางคนควรจะต้องทำสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ ก็ทำ แต่ก็ต้องพิจารณาให้ดี ว่าเราเอียงไหม เราพิจารณาสิ่งนั้นสิ่งนี้ เข้าข้างตัวเองหรือบำเรอกิเลสตัวเอง ความเห็นตัวเองมากไป เอียงไป สมควรที่จะทำอะไรที่จะควรรังสรรค์ ควรสร้างสรร เพื่อที่จะทำให้มันเกิด มันก่อ มันเจริญงอกงาม ก็ไปตรวจสอบ ไตร่ตรองกันดู แล้วเราก็จะได้เป็นผู้ที่ร่วมไม้ร่วมมือรังสรรค์ ทั้งตัวเราเจริญ ทั้งสังคมมนุษยชาติ เจริญไปด้วยกัน

เอาละ..สำหรับวันนี้ อาตมาคิดว่า…

ถอด/พิมพ์โดย พ.อ.นารถ กองถวิล 3/08/48