สร้างแผ่นดินธรรม สู่แผ่นดินพุทธ
สมณะโพธิรักษ์
ทำวัตรเย็น พุทธสถานราชธานีอโศก
วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๔๘


เจริญธรรมทุกๆคน การได้ฟังธรรมเสมอๆ เป็นสิ่งที่เป็นมงคล เป็นสิ่งที่ดี ชาวพุทธเราทุกวันนี้ ไม่ค่อยเข้าวัด ไม่ค่อยฟังธรรม ก็เลยไม่ได้กล่อมเกลาชีวิตจิตใจ ไปฟังอะไรเขาก็ไม่รู้ ไปฟังไฮปาร์ค ไปฟังโฆษกโทรทัศน์ มันมอมเมาเอา ฟังทุกวันๆ ละเยอะแยะ โฆษกนี่มอมเมาอย่างนั้นดีนะ อย่างนี้ดีนะ บ้าๆบวมอะไร หลอกไป ตะพึด คนก็เลยเลอะเทอะในสิ่งที่เขาพูด คนที่พูดไม่ได้น่านับถือเท่าพระเท่าเจ้าด้วยซ้ำ แต่ก็ถูกเขา กล่อมเกลาเอา ฟังบ่อยๆก็หลงไปตามเขาไปเรื่อย การพูดนี่กล่อมเกลา หรือว่าน้อมนำให้คนหลงตามได้ง่าย ยิ่งคนมีวาทะศิลป์ พูดเก่ง พูดดี มีศิลปะ มีวิธีการพูด โอ้ย กล่อมคนให้หลง ก็เป็นไปตาม บางทีซักนำ ให้คนไปตามเสียหายเสื่อม ไปในทางที่ผลาญพร่า ไปในทางไหนก็แล้วแต่ วิธีนี้นี่แพร่หลายทั่วโลก เพราะว่า ใช้เสียงสื่อสาร ใช้การพูด การโน้มน้าว การบอกการกล่าว การพูดที่ใช้วิธีการเชิงชั้น ในการให้หลงเชื่อ แม้แต่เป็นข่าวเท็จ แม้แต่เรื่องเท็จ เป็นเรื่องหลอกๆลวงๆอะไร ก็ทำให้คนนี่หลงเชื่อตาม แล้วก็เกิดเรื่อง เกิดราวขึ้นไปทั่วโลกทุกวันนี้นี่ การฟังพูดเราก็จะเข้าใจ เราก็จะรับรู้ แล้วเป็นไปตาม เพราะการฟังธรรม ยิ่งเป็นสัจธรรม แม้มันจะยาก แต่พวกเราก็เป็นประโยชน์กับชีวิต

พวกเราชาวอโศกนี่ได้ดีกันเพราะฟังธรรม เราฟังธรรม เหมือนทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น บางที่ทำวัตรเย็น อย่างที่นี่ ทำวัตรเย็น ใช่มั๊ย? เอ้อ ที่นี่ทำวัตรเย็น ที่อื่นๆ ส่วนมากทำวัตรเช้ากัน ชุมชนหมู่บ้านต่างๆ มีอยู่ทั่วประเทศ มีอยู่หลายหมู่บ้านนี่ หลายสิบชุมชน ก็ฟังธรรมกัน จะทำวัตรเช้ากันเป็นส่วนใหญ่ บางที่ ทำวัตรเย็นแต่น้อย บ้านราชนี่ทำวัตรเย็น ก็จะพยายาม หาเวลาฟังเทศน์ฟังธรรมกัน เราชาวพุทธ ฟังเทศน์ ฟังธรรมกัน เราก็ได้รับถ่ายทอดจากพระพุทธเจ้า มากบ้าง น้อยบ้าง อะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นประโยชน์ เพราะเหตุว่า พวกเราไม่นำพา ไม่เอาเรื่องเอาราว ไม่ฟังธรรมกันนี่แหละ คนถึงเสื่อมทุกวันนี้ สังคมถึง เดือดร้อน ลำบากลำบน และยากจน แล้วยากจนเป็นทุกข์ด้วยนะ ถ้ามายากจนอย่างชาวอโศกนี่ ไม่มีปัญหาหรอก ชาวอโศกนี่ตั้งใจจน ไปไหนล่ะ ดินดอน นามสกุล”ตั้งใจจน” ลุกไปแล้วนั่งอยู่ตรงนี้ ส่วนผู้ใหญ่บ้าน นามสกุล”มุ่งมาจน – ตั้งใจจน” เราตั้งใจจน เรามุ่งมาจน เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้ พาเรามาจน พระพุทธเจ้าเราไม่ได้พามารวย พระพุทธเจ้าเรา ร่ำรวย โดยฐานะ เป็นเจ้าบ้านเจ้าเมือง เป็นลูก พระเจ้าแผ่นดิน ก็ต้องรวย มีทรัพย์ศฤงคาร เกิดมามันรวยมาแล้ว แต่ท่านก็ไม่เอา ท่านก็ทิ้ง ท่านก็มาจน พากันมาจน พาเจ้าชายอานนท์ เจ้าชายอะไรต่ออะไร เจ้าชายภัททิยะออกมาบวช พาเศรษฐีสารีบุตร เศรษฐีโมคคัลลานะ นั่นลูกเศรษฐีนะ ทิ้งทรัพย์สินศฤงคารออกมาบวช ออกมาจน เป็นคนมาทำตัวให้จน การทำตัวให้จนนี่ เป็นการดำเนินรอยตามพระพุทธองค์ การทำตัวให้ไปร่ำไปรวย เป็นการทวนกระแสกับ พระพุทธเจ้า แต่คนไม่ค่อยเชื่อ และสอนกันก็ไม่ถูกต้อง สอนกันให้ไปพากันรวย ถ้าจะรวยก็ต้องไปแย่งกัน มันก็ต้องกอบโกย

คนจะรวยนี่มันก็ต้อง หนึ่งต้องเอาเปรียบให้ได้มาก สองขี้เหนียวให้ได้จัดๆ นี่ถ้ารวย ได้มาก็ให้แน่นเลย กระดิก ก็ไม่ให้หล่นล่ะ ไม่ให้รวบ ผัวก็ไม่ให้ ลูกก็ไม่ให้ เมียก็ไม่ให้ ขี้เหนียวขนาดหนัก และก็เอาเปรียบ ให้ได้มากๆ เอาเปรียบให้ได้มากๆเท่าไหร่ ดีไม่ดีก็คดโกงเลยล่ะ ได้มากๆถึงจะรวย ถ้าไม่เอาเปรียบคน ดีไม่ดี เสียสละด้วย แล้วมันจะรวยเหรอ ได้มาก็ให้คนอื่น ได้มาก็เสียสละ ได้มาก็บริจาค ได้มาก็ทาน ไม่ขี้เหนียว เกื้อกูลคนอื่น เหมือนชาวอโศก นี่แหละ มีความคิดอย่างนี้ ของที่ได้มาก็แจกจ่าย เสียสละเกื้อกูล บริจาค คนอื่น ไม่กักไม่ตุนไม่ขี้เหนียว ก็ไม่รวย ก็ต้องจน แต่เป็นสุขๆ พระพุทธเจ้านี่ท่านพาคนมาพ้นทุกข์ หรือพาคนมาเป็นสุข ไม่ได้พาคนมาทุกข์นะ ไม่ได้ทุกข์เพราะจนนะ ความจนนี่ไม่ได้ทุกข์หรอก แต่คนจน ที่เสียหาย คนจนที่ผลาญพร่า สำมะเลเทเมา ฟุ่มเฟือย มันก็ต้องจน จนแบบนั้นจนทุกข์ ดีไม่ดีเป็นหนี้ เป็นสิน เข้าไปอีก อะไรต่างๆ ตาย จนแบบนั้น จนเสียหาย

พวกเรานี่ตั้งใจมาจนกัน แล้วก็พยายามพัฒนาตนเองให้เป็นคนที่ไม่สะสม เป็นคนมีวรรณะ๙ แล้วก็เชื่อ กรรม เชื่อวิบาก พระพุทธเจ้าท่านก็สอนไว้ว่า ความเชื่อ ๔ ชนิด หนึ่ง เชื่อกรรม สอง เชื่อวิบาก สาม เชื่อว่า กรรมเป็นของตน สี่ เชื่อความตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้า ภาษาบาลีก็ กัมมสัทธา แปลว่าเชื่อกรรม วิปากสัทธา วิปากะก็วิบากไง หรือเชื่อผลของกรรม กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่ากรรมเป็นของของตน กรรมนี่เป็นทรัพย์ ของตน ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่ตรัสรู้จริง คือประสบความสำเร็จ ในการตรัสรู้ยอดเยี่ยม ที่รู้แจ้งโลกทุกอย่าง รู้ว่าเกิดมาเป็นคน เกิดมาทำไม เกิดมาเป็นอะไร เกิดมาแล้ว จะทำให้ตนเป็นคนมีความสุข เป็นคนที่สูง เป็นคนที่สร้างสรร เสียสละ เป็นคนมีสมบัติ เป็นคนถึงขั้น วิเศษสูญ หรือ สูญญตา เป็นคนที่สุดยอดเต็มครบสัมบูรณ์ จะเป็นคนอย่างไร ทำอย่างไรที่จะเป็นคน อย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้พร้อม และก็เอามาประกาศ เผยแพร่ให้คนฟัง เริ่มแรกตรัสรู้เสร็จ ก็ไปเทศน์ให้ปัญจวัคคีย์ฟังดู ปัญจวัคคีย์ก็พยายามแสวงหา สิ่งที่ประเสริฐเหมือนกัน ท่านก็ไปลองดู เทศน์ให้ทั้งห้ารูปนี่ฟัง พอเทศน์เสร็จ โอ ฟังรู้เรื่องเลย บรรลุธรรมเลย อันญาสิวัฒโพ โกญทัญญะเลย พระพุทธเจ้าอุทานเลยโอ้ โกญทัญญะ บรรลุธรรมแล้วหนอ รู้แล้วหนอ ฟังรู้เรื่อง ฟังแล้วเข้าใจบรรลุธรรมได้ หนึ่งในห้า พอฟังจบกัณฑ์แรก ก็บรรลุธรรมเลย ท่านก็เทศน์ต่อ บรรยายอีก ๔ รูปนั้นต่อไป จนบรรลุเป็น อรหันต์หมดทั้งห้า ก็คือว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านี่มันยาก ยากที่จะรู้ตาม ยากที่จะเห็นตาม ท่านว่ามัน คัมภีรา มันลึกซึ้ง ทุททสา มันคนเห็นด้วยไม่ได้ง่ายๆ ให้คนอื่นรู้ตามไม่ได้ง่าย ทุรนุโพธา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา

สันตามันสงบพิเศษ มันไม่ได้สงบอย่างง่าย สงบก็คือนั่งเงียบๆ ไปอยู่ในที่เงียบๆถือว่าสงบ มันไม่ใช่ มันสงบที่ใจ สันตา มันสงบที่จิต มันหยุด มันนิ่ง มันไม่กระเพื่อม มันไม่หวั่นไหว มันแข็งแรง มันไม่ดีดดิ้น ไม่ดิ้นรน โลกจะร้อนแรง โลกจะมีทุกข์ มีร้อน โลกจะมากระทุ้งกระแทก ยั่วยวนมอมเมายังไงก็นิ่งสงบ กิเลสไม่ขึ้น กิเลสตายสนิทนั่นล่ะสงบ สงบที่กิเลสในใจ ตายสนิท นิ่งสบาย กิเลสหรือว่าตัวเหตุที่มันยั่วยวน มนุษย์เก่งๆเท่าไหร่ อย่างไร มันกระทุ้งกระแทกยังไง มันยั่วยวน กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตก็สงบนิ่ง สันตา สงบอยู่พิเศษ สงบอย่างวิเศษ ปณีตา มันเป็นความประณีต มันเป็นความละเอียดลึกซึ้ง ทั้งที่มันรู้ ไม่ใช่ง่ายๆ มันไม่ใช่เป็นตัวเป็นตน มันไม่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ มันไม่ใช่เป็นแท่ง เป็นก้อน ไม่มีสีมีสัน ไม่มีความร้อน แสง เสียง ไม่มี มันไม่เห็น ไม่รับรู้ง่ายๆเลย ปณีตา อตักกาวจรา ด้นเดาเอาไม่ได้ คาดคะเน เอาไม่ได้ รู้ไม่ได้ด้วยเหตุผล จะต้องมีสิ่งนั้นจริงเข้าไปรู้จริง เรามีจิตสงบตัวนี้จริง ผู้นั้นถึงจะรู้แจ้งของตนเอง เรียกว่า ปัตจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ คุณนั้นมีของตนเอง เช่น เดี๋ยวอธิบายตรงนี้ก่อน ให้จบก่อน อตักกาวจรา นิปุณา เป็นสิ่งที่วิเศษ ละเอียด เป็นสิ่งที่สงบ ละเอียดสนิทถึงนิพพาน นิปุณา ปัณฑิตเวทนียา ผู้ที่เป็นบัณฑิตจริงๆเท่านั้น ถึงจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ผู้ใดได้บรรลุแล้วนี่ ได้เข้าถึง ผู้นั้นจะรู้เองด้วยตน บอกคนอื่นก็ยาก รู้แล้ว มีแล้ว ตัวเองมีแล้ว พูดให้คนอื่นฟัง ก็ยาก มันเป็นยังไง อารมณ์มันเป็นยังไง สนิท สงบ มันนิ่ง มันเป็นนิพพาน มันเป็นวิมุติ มันเป็นยังไง บอกคนอื่นก็ยาก เล่าก็ยาก

แต่จริงๆแล้ว มันก็พอพูดได้ ถ้ารู้พอเป็นของจริง ก็พอพูดได้ พูดถูก ไม่ต้องรู้ภาษาบาลี ไม่ต้องรู้ภาษาธรรมะ ก็พูดได้ พูดภาษาสามัญนี่แหละ เช่นเราเลิกเหล้าได้ เลิกเฉยๆ ไม่ใช่เลิกมากดข่มใจ เลิกเพราะวิธีง่ายๆ กดข่มเฉยๆ แต่เลิกแล้วนี่ สามารถที่จะมีปัญญาบรรลุธรรม มีปัญญารู้ว่า โอ้”เหล้านี่ มันเป็นอย่างนี้ แล้วจิตเรา มันก็มีกิเลส แล้วจิตเราก็ล้าง กิเลสได้ด้วย กิเลสมันยอมจางคลาย กิเลสมันยอมตาย กิเลส มันถูกเราปราบ ถูกเราละล้าง เรียกว่า เจโตวิมุติ เรียกว่า จิตของเรา หลุดพ้น ปัญญาวิมุติ ปัญญาก็เข้าใจ หลุดพ้นด้วยปัญญา

โอ้โฮ เหล้านี่กินเข้าไปทำไม มันไม่ได้ดิบได้ดีอะไรเลย มันมีแต่พาเสื่อมพาเสีย เสียเงินเสียทอง เสียผู้เสียคน เป็นโรคเป็นภัย อีกต่างหาก กินเหล้าแล้วไปทำอะไรได้สารพัด ที่มันจะไม่เป็นคนธรรมดา ถ้าสติสตังดีๆ มันก็ไม่ทำ พอกินเหล้าเข้าไปแล้วทำ มันไม่ดีก็ทำ คือจะเห็นเหตุเห็นผล เห็นความจริง ทั้งกิเลสที่เคยติด เคยอยาก หลายคนรู้แต่อดไม่ได้ เพราะกิเลสมันยัง ไม่หมด เพราะมันจะต้องกดข่ม จะต้องล้าง จะต้อง กำราบ มันก็ต้องทำ จนกิเลสมันยอมแพ้ จนกิเลสมันยอมตาย กิเลสมันหยุด ที่จะหลุดพ้น นี่หลุดพ้น หรือนิพพานแค่เหล้า แค่สุรา เราก็ลองดู อันนี้เรียกว่าอบายมุข เรียกว่า สิ่งที่เป็น เริ่มต้นแห่งทางเสื่อม อย่างเหล้านี่ ยกตัวอย่างง่ายๆ ผู้ใดดื่มแล้วเลิกได้ ตอนดื่มเราสุขยังไง เราอร่อยยังไง เป็นสุขแบบโลกๆ โลกีย์ สุขเพราะอบายมุข มันก็จะรู้ความสุขแบบนั้น แบบโลกียสุข แต่พอเลิกแล้ว ดับกิเลสได้แล้ว จิตกิเลสไม่มี จิตมันเฉย เรียกว่า อุเบกขา เป็นฌาน บรรลุฌาน๔ เลยฌาน๔ ถ้าตรวจสอบเป็น เป็นอรูปฌาน อินทรีย์ก็ได้ ตรวจสอบจนจิตเฉยจิตว่าง อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ ก็สนิท สะอาด เป็นจิตบริสุทธิ์ จากกิเลสเหล้า จิตไม่มีธุลีละอองของกิเลส อากิญจัญญายตนะ เราเรียนรู้จิตของตัวเอง เรารู้ความจริงแล้ว พ้นเนวสัญญานาสัญญา รู้จักนิโรธแล้ว เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธที่โอ้ มันดับได้อย่างนี้เองเนาะ กิเลสมันไม่มี อย่างนี้เอง เป็นพวกที่มีฌาน ๔ ฌานลืมตานะ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา

ฌานของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องนั่งหลับตา ลืมตาปฏิบัตินี่แหละเป็นฌาน แล้วเราก็มีภาคปฏิบัติที่รู้จิต รู้เจตสิก รู้รูป รู้นิพพาน จิตมันสะอาด มันก็รู้ว่า อ้อ จิตมันสะอาดจากกิเลสเป็นอย่างนี้ มันว่างจากกิเลส มันเฉย อย่างฌานที่๔ อรูปฌาน๔ นี่มันมี อุเบกขา มีอทุกขมสุข อทุกขมสุขก็คือ ไม่ทุกข์ไม่สุข หรืออุเบกขา ผู้ที่บวชเรียนมาก็คงจะรู้ บวชเรียนมาก็คงจะได้ศึกษามา มันก็ว่างๆ อุเบกขาคือวางๆ ว่างๆ มันอยู่เฉยๆ เห็นเหล้าก็คือเหล้า แต่ก่อนนี้เห็นเหล้าไม่ได้ น้ำลายไหล มันไม่เห็น ก็ไปตามเอามา ยิ่งคนมากินยั่วกินยวน โอ้ย มันอดไม่ได้กิเลสขึ้น ใจมันจะขึ้นจริงๆ แต่ตอนนี้เราอ่านใจเป็น แล้วใจเราไม่ขึ้น เขาจะกินอวดกินอ้าง ยั่วยวนยังไงก็เฉย นั่นแหละจิตสงบ จิตนิ่ง จิตอทุกขมสุข จิตอุเบกขา นั่นแหละนิพพาน นั่นแหละ นิโรธ ฟังให้ดี อ่านใจตัวเองให้เป็น ผู้ที่บรรลุแล้วไม่เกิดอีก เพราะมันมีทั้งเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ เรียกว่า อุภโตภาควิมุติ วิมุติทั้งสองส่วน คือ จิตกิเลสก็หมด สองปัญญาก็รู้ทัน เอ้ย สิ่งเหล่านี้ไปเป็นทาสมันทำไม มันจะมาใหญ่กว่าเราไม่ได้หรอก นี่ยกตัวอย่างแค่เหล้านะ

ผู้ที่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้านี่ พระพุทธเจ้าถึงท้าทายให้พิสูจน์เลย เอหิปัสสิโก อย่างที่สวดไปเมื่อกี้นี่ เอหิปัสสิโก ท้าทายให้พิสูจน์ เชิญชวนมาดูได้ ผู้ที่บรรลุแล้วนี่ โอโห! ยิ่งกว่าเอกราช ทั่วทั้งแผ่นดิน อย่างนี้เป็นต้น มันยิ่งใหญ่เลย โอ้โห! เหล้าน่ะเหรอ เราใหญ่กว่ามัน ไม่ใช่มันใหญ่กว่าเรา ตอนที่เป็นทาส มันอยู่ มันใหญ่กว่าเรา ไม่มีเงิน ก็ไปกู้หนี้ ยืมสินเขามาซื้อ จะบ้าตาย เป็นทาสมัน แต่พอเราหลุดพ้นแล้ว เราหมดความเป็นทาส ไม่เป็นทาสมันแล้ว เราเป็นนายมัน ยิ่งใหญ่กว่ามันแล้ว เอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน เหล้านี่อยู่ในเมืองไทย เราก็เป็นนายมัน หลุดพ้น เหล้าจะอยู่อเมริกา ไปเจอที่อเมริกา เราก็เป็นนายมัน ทั่วทั้งแผ่นดินเลย เหล้าจะอยู่แผ่นดินไหนในโลกนี้ เราเป็นนายมันหมด เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งใหญ่อย่างนี้ อยู่เหนือมัน อย่างนี้แหละ นี่แหละพระพุทธเจ้าท่านตรัส ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งกว่าสวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยใดๆในโลกหล้า ในโลกทั้งปวง นี่คือความหลุดพ้น นี่แค่โสดาบัน นี่แค่เหล้า หลุดแค่เหล้านี่เป็นแค่โสดาบันนะ ยังไม่ได้เป็นอรหันต์ใหญ่ เป็นอรหันต์เล็ก เป็นแค่โสดาบัน เหล้านี่เป็นอบายมุข นั่นน่ะคือ อะไรๆข้างล่าง คือพระโสดาปัตติผล คือผลของพระโสดาบันที่บรรลุ บรรลุเหล้านี่ เป็นพระโสดาบันแล้ว

ผู้ที่บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า บรรลุอบายมุขต่างๆ ไม่ว่าจะกินเหล้ากินยา ไม่ว่าจะติดบุหรี่ ติดการละเล่น ติดการพนัน ติดหวยติดเบอร์ พวกนี้มันอบายมุขทั้งนั้นแหละ ติดความสวย ความงามที่มอมเมา มันบ้าใหญ่แล้ว ความสวยความงาม ที่มันมอมเมาเรานี่ ที่ออกโทรทัศน์นี่ มันยอดอบายมุขเลย โอ้โห ! มันเปลืองยิ่งกว่าผู้ชายกินเหล้า ผู้ชายกินเหล้านี่ กินขวดหนึ่งเมาแล้ว ไม่กี่ตังหรอก ใช่มั๊ย ไม่กี่บาทหรอก ไม่กี่ร้อยก็เมาแล้ว แต่ผู้หญิงนี่โอ้โฮ ความสวยความงามนี่ อย่าว่าร้อยเลย เป็นพัน เป็นหมื่น เมาต่อเลย เป็นแสน เมาต่อเลย แล้วผัวก็หลงตามด้วยนะ โอ้ย เมียสวย หลงไปอีก ใหญ่เลย แต่ถ้าผัวเมาแอ๋ ตายแล้ว โอ้โห ชัง เบื่อ แต่ที่สวยนี่เมาต่อไปอีก หมดไปหมื่น หมดไปแสน หมดไปห้าแสน ยิ่งสวย ยิ่งหรูหราไปใหญ่ ผัวก็เมาตามไปอีก นี่ความสวย ความงาม ความหรู ความหรา เมายิ่งกว่าเหล้า หลงยิ่งกว่าเหล้า ฉิบหาย ยิ่งกว่าเหล้า ในสังคมทุกวันนี้นี่ อบายมุขความสวย ความหรูหรานี่ เป็นอบายมุขที่ร้ายแรงกว่าเหล้า หลอกกันทั่วบ้าน ทั่วเมือง หลอกคุณหญิง คุณนาย นี่กระเป๋าใบเท่านี้นี่เป็นแสน จะไปซื้อทำอะไร กระเป๋าใบเท่านี้ ราคาตั้งเป็นแสน ว้า ฟังแล้วก็ เขามีตัง แล้วก็เขาก็ถูกหลอกเอาไป ถือแล้วมันเหาะได้หรือไง ใบละเป็นแสน นั่นแหละพวกนี้ อบายมุขยิ่งกว่า กินเหล้า คนไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ลวงกันทั่วโลก ผู้ใดที่ชนะแล้ว ไม่หลงแล้ว กระเป๋าใบละแสนนี่ ให้พวกโง่ๆหลงกันไป เราเป็นอิสระ เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ใบนี้ราคา แสนหนึ่ง เจออยู่ที่ประเทศไทยก็ไม่ซื้อ ใบนี้ไปเจออยู่ที่ฝรั่งเศส เราก็เป็นไทยแก่ตัว เป็นนาย ไม่ซื้อ ไม่หลง ไม่เป็นทาส ไปเจอที่อเมริกาก็ไม่เป็นทาส ไปเจออยู่ที่ญี่ปุ่นก็ไม่เป็นทาส อยู่ที่ไหน ทั่วทั้งแผ่นดิน เอกราช ทั่วทั้งแผ่นดิน สบาย ขึ้นสวรรคาลัย อยู่ในสวรรค์ สวรรค์สงบ สบาย เบิกบาน ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่ลำบาก ลำบน ไม่อึดอัดไม่ขัดเคือง ไม่อยากได้ เฉยๆ สบม.ธมด. ปกต.หห.จจ. สบม.นี่สบายมาก ธมด.ธรรมดา ปกต.ปกติ หห.หายห่วง จจ.จริงๆ สบายมากเลย ไม่ต้องไปทุกข์ร้อนเหมือนเขา อันนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ อบายมุข อย่างนี้เป็นต้น

อบายมุข ๖ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อบายมุขอะไรอื่นๆที่จะมีมากกว่านั้น ก็แล้วแต่เถอะ เป็นสิ่งที่มอมเมา เยอะ เดี๋ยวนี้ จัดอยู่ในอบายมุข เรียนรู้แล้วเราเลิกมา จนกระทั่งบรรลุธรรม บรรลุธรรมนี่คือ จิตของเรา ่กิเลสหมดไป และปัญญา ก็รู้เท่าทัน เพราะฉะนั้น หลอกอีกไม่ได้ มามอมเมาเราอีกไม่ได้ อยู่กับมันนี่แหละ ไม่ต้องหนีไปป่า ไปเขา ไปถ้ำ ไปไหนๆหรอก อยู่กับมันนี่แหละ อยู่เหนือมัน ถึงเรียกว่า ”โลกุตระ” โลกุตระ อยู่เหนือโลก โลกมันมีคนที่หลง ก็หลงๆ อยู่นั่นแหละ แต่เราเฉย ยิ้มสบายไม่อยากได้ ได้ไป ก็ไม่เห็นเป็นไร ได้เพชรก็เอาไป ได้ไปก็เฉยๆ เราอยู่เหนือมันแล้ว ในชีวิตนี้ไม่ต้องมีเพชรเลย ไม่ต้องได้ เพชรเลย ทั้งชีวิตนี้ ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นคนดีได้มั๊ยๆ? โอ้ ได้ ขาดได้เรื่องเพชร แต่ขาดเกลือได้มั๊ยๆ? ตาย อย่างนี้เป็นต้น เราจะรู้สาระว่าขาดเพชร ไม่มีเพชรเลยทั้งชาติ เป็นคนดีได้ เป็นสุขได้ แต่ขาดเกลือนี่ไม่ได้ ตาย เราต้องรู้สาระนี้

ในโลกนี้ ถ้าเอาเพชรกับเกลือมาเทียบกัน คนก็อยากได้เพชร ไม่อยากได้เกลือ เราก็เหมือนกัน เอาเพชร กับเกลือ ก้อนเท่ากัน วางไว้ใกล้กัน หยิบอันไหน? ก็หยิบเพชร มันฉลาดรู้ เอาเพชรไปขาย ซื้อเกลือก็ได้ เห็นมั๊ย เอาเพชรไปขายได้เงินมาก แล้วก็ไปซื้อเกลือก็ได้ ไม่เห็นจะต้องยาก เอาเกลือไป ตายขาดทุน นี่คือ ความรู้มาก เอาเปรียบคนทั้งหลาย พวกไม่ซื่อไม่ตรง พวกหล่วย พวกไม่อยู่กับร่องกับรอย พวกหล่วยพวกนี้ มันไม่ตรง ไม่ซื่อสัตย์ ความจริงเกลือสำคัญกว่าเพชร อย่างนี้เป็นต้น

เราไม่หลงเพชร หมู่บ้านนี้จะมีหรือเปล่า ไม่รู้นะเพชร ทั้งหมู่บ้านจะมีซักเม็ดหนึ่งหรือเปล่า ไม่รู้ หา ไม่มีแหละ คุณไม่มี แต่คนอื่น เขาอาจจะหมกเอาไว้ก็ได้ คุณจะไปรู้ได้ไง คนไหนเขาหมกเอาไว้ซักเม็ด สองเม็ด แต่เชื่อว่าคงจะไม่มีหรอกที่นี่ เพราะคิดว่าทุกคน คงจะเข้าใจแล้ว แล้วไม่เห็นจะต้องไปอะไร เอามาล่อ มาหลอกเพชรเม็ดนี้ เพชรเม็ดสีชมพู อะไรก็แล้วแต่ โอ้โห ตั้งชื่อตั้งเสียง เพชรสีน้ำเงิน เพชรอะไรก็แล้วแต่ เอา หลอกกันไปเถอะ ชาตินี้เราไม่ต้องมีเพชร เราก็ดีได้ สุขได้ เป็นคนประเสริฐได้ เป็นคนมีคุณค่าต่อโลก ต่อมวลมนุษยชาติได้ โดยไม่ต้องมีเพชร เพราะฉะนั้น ตัดไปได้เลย เป็นอบายมุข อย่างยิ่ง คนรวย ให้เขารวยกันไปให้เข็ด ให้เขาบ้ากันไปตามเรื่อง แต่ถ้าเราจะใช้ให้เป็นประโยชน์จริงๆ ในอนาคต เราร่ำรวยแล้วเหลือเฟือ จะต้องเอามาใส่เป็นสิ่งของมีค่า หายากก็จริง จะเอามาประดับอะไร ต่ออะไร เอามาประดับ ข้างหน้าๆ ของพระพุทธรูป เอามาประดับพระพุทธรูปอย่างนี้ ก็ซื้อมาประดับ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึง ความเสียสละว่า มันแพงนะ มันเป็นของมีค่า แบบโลกเขาสมมุตินะ ก็เอา ถ้าจะทำ ถ้ามีปัญญา หรือมีฐานะทำได้ก็เอา ทำให้มันสง่า สมโลกๆเขาบ้าง ถ้ามันมีทั้งทุนรอน มีทั้งโอกาส ไม่เดือดร้อนอะไร ตามสมมุติโลก เขามีบ้างก็เอา แต่สำหรับ ตนเองแล้ว ไม่ต้องเอาหรอก ไม่ต้องมีเพชรเลย ก็เป็นคนประเสริฐได้ เป็นคนสุขได้ เป็นคนมีคุณค่าประโยชน์ เป็นคนสูงได้ โดยไม่ต้องมีเพชร เราจะมี ปัญญาเข้าใจสิ่งเหล่านี้กัน ถ้าเรามาหัดเลิกหัดละ

อย่างน้อย ที่มานั่งอยู่ที่นี้นี่ ร้อยกว่าคนเกือบสองร้อย รวมแล้วทั้งหมู่บ้าน เกือบสองร้อย มาฟังอยู่นี่ขณะนี้ ถ้าไปเลิก อบายมุขได้ เป็นพระโสดาบัน บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน อบายมุขไม่มีแล้วนี่ ตามพระพุทธเจ้า ท่านสอนเลย คำสอนพระพุทธเจ้านี่ ไม่ผิดเพี้ยนเลย ถ้าทำได้จะเป็นสุข จะไม่อดไม่อยาก ไม่ต้องรวย ก็สุขทั้งหมู่บ้าน

บ้านราชฯนี่ไม่รวยหรอก เชื่อมั๊ย ขณะนี้ เอาโยมมา ๕๐ คน นี่นั่งอยู่นี่เลือกพวกโยมที่มาอบรมนี่ สุ่มมาเลย สุ่มจับมา ห้าสิบคน เลือกว่าคนนั้นคนนี้ แล้วก็เอาชาวบ้านราชฯมา ๕๐ คนมานั่ง นั่งเสร็จแล้วให้ทำอะไร เอ้า ควักกระเป๋าออกมา ดูซิว่า คนบ้านราชฯ มีเงินคนละเท่าไหร่ ขณะนี้นี่ ใครมีทรัพย์ศฤงคาร มีเงินมีเพชร มีทอง มีเงินในตัวเท่าไหร่ เอาออกมากอง ตรงนี้ซิ พวกคุณห้าสิบคนนี่ กับพวกชาวบ้านราชฯนี่ เอ้า พวกชาวบ้านราชฯ มีเงินมีทอง มีทรัพย์ศฤงคาร อยู่เท่าไหร่ เอาออกมากองซิ บอกได้มั๊ยว่า ใครจะมี มากกว่ากัน ชาวบ้านราชฯ หรือว่าพวกโยม พวกโยมมีมากกว่าแน่ ชาวบ้านราชฯ นี่จนกว่าแน่ เพราะว่า ไม่ได้สอนให้สะสม ทำงานฟรี ไม่มีรายได้ อยู่กันอย่างนี้แหละ กินอยู่ร่วมกัน รวมกัน ที่นี่ไม่มีอบายมุข เหล้าก็ไม่มีซักขวด บุหรี่ก็ไม่มีซักห่อ ไม่มีใครสูบบุหรี่ ไม่มีใครกินเหล้า ไม่มีอบายมุข เล่นหวยเล่นเบอร์ เล่นไพ่เล่นโป บันเทิงเริงรมย์ อบายมุขอะไร ที่นี่มหรสพอะไรครื้นเครง ไม่มีทั้งหมู่บ้าน คนหนึ่งคนเดียว ที่บรรลุ ที่ไม่มีอบายมุข จิตหลุดพ้น ก็เป็นโสดาบันแล้ว รวมแล้วทั้งหมู่บ้านบรรลุโสดาบัน เป็นหมู่บ้าน อาริยบุคคล ทั้งหมู่บ้าน เป็นเรื่องวิเศษ อาตมาภูมิใจ ธรรมะของพระพุทธเจ้ามากเลย หมู่บ้านราชธานีอโศก หมู่บ้านศีรษะอโศก หมู่บ้านศาลีอโศก หมู่บ้านหินผาฟ้าน้ำ หมู่บ้านสีมาอโศก หมู่บ้านภูผาฟ้าน้ำ หมู่บ้าน ดินหนองแดนเหนือ ดอยรายปลายฟ้าอะไรอย่างนี้ หมู่บ้านต่างๆ ทุกหมู่บ้าน เหมือนกัน กินใช้ร่วมกัน เรียกว่า ”สาธารณโภคี” ที่มีเงินกองกลาง มีทรัพย์ศฤงคาร เป็นของส่วนกลางหมด นี่ทุกคน เป็นเจ้าของ ร่วมกัน ข้าวน้ำอะไรหามา เงินทองทุกบาทุกสตางส์ เอามารวมเป็นของส่วนกลาง ใช้ร่วมกันรวมกัน อยู่กัน อย่างมีความสุข ถ้ามีหมู่บ้านอย่างนี้ เกิดขึ้นในประเทศไทย สัก ๒๐,๐๐๐ หมู่บ้าน จะเป็นยังไง หา ! เดาได้มั๊ย ๆ จะเป็นยังไง จะสุขหรือทุกข์

ญาติธรรม – สุขครับๆ

พ่อท่าน – หา ”จนนะ ไม่รวยนะ หา” ฟังรู้เรื่องนะ เอ้า ”เห็นมั๊ยว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านี่มันซับซ้อน มันทวนกระแส มันลึกซึ้ง อย่างโยมนี่มาหมู่บ้านนี้ มาสัมผัส มาเห็นมารู้ ดูของจริง เราไม่ได้พูดเล่น เรามี ของจริงให้สัมผัส ให้พิสูจน์ได้ แต่ถ้าคนที่ไม่เคยสัมผัส ไม่เคยรู้” มันจะจริงเหรอ มันจะมีเหรอคนแบบนี้ และเป็นทั้งหมู่บ้าน มันเป็นคนเดียว มันยังเป็นยากเลย แล้วเป็นทั้งหมู่บ้าน มันเป็นยังไง มันเป็นได้เหรอ” มันจะงงอยู่นะ มันจะหลอกหรือเปล่า ใช่มั๊ย? แล้วมันจะอยู่ได้ยังไงว้า ทำงานฟรีไม่มีเงิน ไม่มีทอง มันจะอยู่ยังไง หน้าไม่เหี่ยวเขียว หน้านิ่วคิ้วขมวด ปวดขมับ ปวดหัวเหรอ แล้วจะเอาอะไรกิน เอาอะไรอยู่ เขาสนุกเฮฮากัน แล้วก็ไม่ไปสนุกเฮฮากับเขา มันจะไม่อึดอัดขัดเคือง ดิ้นรน โอโฮ จะเป็นจะตายเหรอ ขนาดเด็กขับรถซิ่ง เขาให้มันหยุด มันยังจะเป็นจะตายกันเลยนี่ ห้ามกันนี่ออกข่าว ดูข่าวกันใช่มั๊ย ยึดถนน ชาวบ้านเขา จนกระทั่งผู้ปกครอง ผู้บริหารประเทศก็จะยอมแหนะ จะปิดถนนให้มันแข่งกัน วะ! แล้วกัน มันจะไปใหญ่ ยังไงเนาะ เสียภาษีมาให้มันสร้างถนน มาให้มันเป็นสนามแข่งรถหรือยังไง ปัดโธ่ ! ไปทำได้ยังไง ไปปิดถนน ให้มันแข่งรถกันซะนี่ คิดยังไง หนวกหูชาวบ้านเขา แล้วยังจะเอาของส่วนกลาง ไปให้มันเล่น มันจะเป็นใหญ่อะไรกัน ขับรถ แข่งกันเล่น มันจะเป็นจะตาย ไปตามใจมันได้ยังไง โอ้ นี่เราอยู่ แม้แต่คนจะมาห้ามใจ ยังห้ามไม่ได้ แล้วจะมาห้ามใจ อยู่กันเป็นหมู่ เป็นมวลอย่างนี้ อันนี้พิสูจน์ธรรมะ พระพุทธเจ้า เรียกว่า ”ธรรมะอารยธรรม” หรือธรรมะขนาดขั้นโลกุตระ

มาถึงวันนี้นี่ อาตมาพูดได้อย่างสบายใจ พูดได้อย่างภาคภูมิในธรรมะของพระพุทธเจ้าจริงๆ พิสูจน์มานี่ อาตมาพาคน มาปฏิบัติแค่ ๓๐กว่าปี แหม! ถ้าอาตมาทำไปอีกเป็นร้อยกว่าปี เหมือนกับอย่างเถรสมาคม มีพระมีเจ้ามาเป็นร้อยๆปี หลายร้อยปีใช่มั๊ย เมืองไทยก็เกิดมาตั้ง ๘๐๐ ปี ที่จริงพุทธศาสนาเข้ามา สุวรรณภูมินี่ มาตั้งเป็น ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว แต่เมืองไทยนี่ มันตั้งหลักขึ้นมาก็นับเอาตอน “สุโขทัย” แปดร้อย กว่าปีเอง พุทธ อาตมาทำงานอีกซักแปดร้อยปี แหม! อยากจะอายุซักแปดร้อยปีเนาะ อยู่ทำงานอีกซัก แปดร้อยปีนี่ จะเห็นผลขนาดไหน นี่ทำมาแค่สามสิบกว่าปี ทำมาอย่าง แหม! วันดวลนะ คนเดียวแท้ๆ เขาจะเหยียบเอาตาย มันมาทวนกระแสเขา มาย้อนแย้งเขา มันไม่เหมือนเขา พามาอะไร มันไม่ไปทำอะไร อย่างเขา ต่างๆนานาสารพัด

ไม่ต้องเอาอะไรมากหรอก อาตมาไม่พามารดน้ำมนต์ ก็หาว่าออกนอกรีด ว่าที่นี่ไม่มีเคาะหัว รดน้ำมนต์ ไม่มี ให้ปฏิบัติกรรม ปฏิบัติธรรมนี้คือปฏิบัติกรรม เชื่อกรรม เชื่อวิบาก เชื่อกรรมเป็นของของตน ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาล กรรมเป็นของของเรา เราจะเกิดมาสวย จะเกิดมาหล่อ ก็เพราะว่ากรรม ของเรา ที่ทำไว้แต่ปางก่อน จะเกิดมาจน จะเกิดมารวย จะเกิดมาฉลาด จะเกิดมาโง่ มันเกิดมาจาก เราทำเอง ทั้งสิ้น ไม่มีพระเจ้า พระพุทธเจ้าของเรา ไม่ได้ไปตรัสรู้ แบบ ศาสนามีพระเจ้าดลบันดาล จะเกิดมาก็พระเจ้าสร้าง อยากรวย อยากอะไร ก็อ้อนวอนขอ พระเจ้าบันดาล ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คนละเรื่อง ใช่มั๊ย? พระพุทธเจ้าตรัสรู้ให้พึ่งกรรม พึ่งตนเอง อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ไม่ใช่ไปพึ่งพระเจ้า กัมมปฏิสรโณ พึ่งกรรม กรรมเป็นสรณะ กรรมเป็นที่พึ่ง กัมมปฏิสรโณ นี่คำสอนพระพุทธเจ้าเรา เพราะฉะนั้น ที่ปฏิบัติ ที่สอนกันทุกวันนี้ ไม่มีหรอก วัดไหนไม่อ้อนวอน มีมั๊ย? ไปถึงก็กราบพระพุทธรูป ดีไม่ดี ไปกราบขอนไม้ ขอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โอ้ย”แล้วว่าไง”ช่วยลูกช้างด้วย””ช่วยให้ร่ำให้รวย”ก็แล้วแต่ ขออ้อนวอนสาระพัด ขี้หมูขี้หมา จอมโปกจอมปลวก กราบหมด แล้วมันจะไปยังไง ขายหน้าพระพุทธเจ้า หมดเลย เป็นลูกของพระพุทธเจ้าแท้ๆ สาระพัดสาระเพจะทำ น่าอาย

อาตมาก็เคยทำสมัยที่มันโง่ๆอยู่ ยังไม่ได้ศึกษาธรรมะ ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมะ ก็เคยทำ เคยโง่แบบนั้นมาแล้ว อาตมาว่า ทุกคนนี่ มีใครไม่เคยมั่ง ยกมือขึ้นซินี่ เคยมาทั้งนั้นแหละ บ้าๆบอๆจนมีนิทาน ใครเคยได้ฟังมั่ง? มีขี้หมากองหนึ่ง คนๆนี้ เห็นเข้า ก็เลยเอาฝอยมาปิด อีกคนหนึ่งตามมาเห็นเข้า มันยังไม่ดี มาเห็นเข้า ก็ถมเข้าอีก มีคนมาเห็นเข้าก็เอ้ เขาเอาอะไร มาวาง บางคนเห็นเข้าก็เอ้ เราเอาดอกไม้ไปวาง คนนี้เอามาวาง คนนี้ก็เอาดอกไม้มาวางตาม เอาดอกไม้มาวางกองๆ หนักเข้า คนอื่นเห็นเข้าก็ เอ้ มันมีอะไรพิเศษวะ คนนั้นคนนี้ก็เอาดอกไม้มาวาง หนักเข้าก็นั่งกราบ เออ คนนี้ก็เอาดอกไม้ มาวาง เอากิ่งไม้มาวาง กราบเลย ๆ กราบกองขี้หมา เพราะไม่รู้ นี่มันเป็นอย่างนี้ เชื่อกันไป

เหมือนอย่างเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี่นะ อย่างพระพรหมนี่เฮี้ยน ใครมาบนแล้วได้ มาบนแล้วนี่สำเร็จว่างั้นนะ ก็มาบนกัน คนมาบนพันคน แน่นอนคนมาบน มันจะต้องได้สำเร็จ เอ้าสิบคนก็ได้เอ้า บนพันหนึ่ง มันก็ต้อง สำเร็จบ้างล่ะเนาะ เพราะคนเรานี่ มันก็ต้องมีกรรมเป็นของๆตน ทำแล้วอะไรต่ออะไร มันก็จะได้ผลสำเร็จ ของตัวเองว่า ต่อให้บนพันคน สำเร็จ แค่สิบคน สิบคนก็ต้องมาแก้บน พอคนมาถึง เห็นคนแก้บน ”เจ้าบนบ่อนนี้ล่ะ” “เอ้อ บนบ่อนนี้แหละ โอ้ยสำเร็จ บ่อนนี้เฮี้ยน สิบคนก็มาแก้บน คนที่มา พระพรหม องค์นี้นี่ เจอแต่คนที่สำเร็จ อีก ๙๙๐ คนไม่มา พวกนั้นไม่สำเร็จ คนที่มาเจอพระพรหม ก็เลยมาเจอ แต่คนที่สำเร็จ เลยเฮี้ยน พระพรหมองค์นี้เลยดัง เพราะเจอแต่คนที่มาบน แล้วได้สมใจทุกคนสิบคน แต่จริงๆ แล้ว มาบนพันคน แต่เจอแต่คนที่มาบนแล้วสำเร็จ มาแก้บน คนไม่สำเร็จไปไหน ก็ไม่มานี่ เขาไม่มาแก้บน ก็เลย ไม่รู้ว่า ไม่เฮี้ยนหรอก ไม่เก่งหรอก เราไม่เห็นได้เลย พระพรหมทุกแห่ง เฮี้ยนอย่างนี้ ทั้งนั้นแหละ ต้นไม้ที่เฮี้ยนแบบนี้ ไปแก้บน เอาช้าง เอาม้า เอาอะไรไปแก้บนเหมือนกันทั้งนั้นแหละ แบบนี้แหละ

ศาสนาพุทธของเราเป็นศาสนากรรม กัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ ฟัง อาตมาจะขยาย เรื่องกรรมให้ฟัง ถ้าเราเข้าใจกรรมแล้ว แล้วเราก็ไปปฏิบัติให้ดีๆ ตนเองต้องทำตนเอง ต้องปฏิบัติตนเอง พระพุทธเจ้า ท่านก็ตรัส เราเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น ส่วนการจะบรรลุธรรม การจะสำเร็จได้นั้น ต้องไปทำเอาเอง อะไรต้องไปทำ เอาเอง กัมมัสสโกมหิ กัมมัสสกตา กัมมัสสกต แปลว่า กรรมเป็นของๆตน คนเรานี่ มันไม่มีอะไรเป็นสมบัติหรอก กัมมทายาโท เราเป็นทายาทของกรรม เราต้องรับ มรดกกรรมของเรา เราทำชั่วเป็นของเรา เป็นกรรมนะ เป็นวิบาก เป็นสมบัติของเราแล้ว แล้วเราบอกว่า เราไม่เอาน่ะ ชั่วนี่เราไม่เอา ไม่ได้ ทำดีก็เป็นของเรา ทำชั่วก็เป็นของเรา ไม่หก ไม่ตก ไม่หล่น เราต้องรับ มรดกกรรมของเราทุกอัน กัมมโยนิ กรรมนี่แหละพาเราเกิด กรรมนี่แหละสั่งสมเป็นเหล่าเป็นพันธุ์ สะสมชั่ว มากๆ ก็สะสมเป็นกรรมชั่ว เป็นพันธุ์สัตว์นรก สั่งสมแต่ดีมากก็เป็นเทวดา สั่งสมกรรม หรือ ไปสั่งสม โลกุตรธรรม ที่เป็นกรรมแบบโลกุตระ เป็นอาริยะ ก็เป็นอาริยบุคคล สั่งสมแบบเรา ก็เป็นมนุษย์ อาริยะ เราเองสั่งสม ก็เป็นพันธุ์ ของเราเอง กัมมพันธุ เป็นพันธุ์ของเราเอง กัมมปฏิสรโณ กรรมเป็นที่พึ่ง เป็นที่อาศัย เพราะฉะนั้น จะบอกว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ กัมมปฏิสรโณ เราพึ่งตน อัตตา หิ อัตตาโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน หรือ กัมมปฏิสรโณ ก็อันเดียวกัน

หรือแม้แต่ว่า พระไตรลักษณ์นี้เป็นสรณะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี่เป็นสรณะ ก็อันเดียวกัน เป็นที่พึ่ง อันเดียวกัน เดี๋ยวจะขยายไปถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นไตรลักษณ์ว่า มันอันเดียวกันยังไง กรรมนี่แหละ การกระทำของเรา นี่แหละ แล้วเราก็ได้เป็นของเรา อัตตแปลว่าตัวเรา อัตตา ตัวเรา เราทำอย่างไรก็ได้ เป็นตัวเรา เพราะฉะนั้น เราอย่าไปทำชั่ว ทำแล้วเราไม่เอาก็ไม่ได้ เอายางลบๆก็ไม่ได้ แบ่งให้ใครก็ไม่ได้ เราทำชั่วร้อยหนึ่ง แบ่งให้คนอื่นซะ ๒๐ เราเอา ๘๐ ดีไม่ดี แบ่งให้คนอื่นซัก ๗๐ เราเอา ๓๐ ขี้โกงนะ ชั่ว เราทำชั่ว เราเอาสามสิบ ให้คนอื่นเจ็ดสิบ มันได้มั๊ย แบ่งได้มั๊ยกรรม กุศลแบ่งได้มั๊ย แบ่งได้เหรอกุศล กุศลกรรมน่ะนะ กุศลเป็นกรรมหรือเปล่าๆ กุศลไม่เป็นกรรมเหรอ กุศลเป็นอะไร อกุศล เป็นอะไร? ไม่รู้ เออ ตอบก็ค่อยยังชั่วกว่าตอบว่า เป็นตอบผิด กุศลเป็นกรรม อกุศลก็เป็นกรรม กุศลกรรม อกุศลกรรม ไม่เคยได้ยินเหรอเป็นกรรม คือ กระทำดี เรียกว่า กุศล กระทำชั่วเรียกว่าอกุศล หรือเรียกว่าบาป กระทำสิ่งที่ไม่ดี เรียกว่าบาป กุศลเรียกว่าทำดี เรียกว่าบุญ เป็นสิ่งที่ดี มันอยู่ที่เราทำทั้งนั้น ทำแล้วเราบอกว่า เราไม่เอาน่ะ ไม่ได้ แม้แต่คิดก็เป็นกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม คิดชั่ว คิดจะฆ่า หักคอมันดีมั๊ยนี่ คิดจริงๆเลยนะ เป็นกรรม สั่งสมลง เป็นวิบากของเราแล้ว คิดเข้าบ่อยๆ ไปหักคอเขาจริงๆนะ คิดมากๆเข้า ไปฆ่าเขาจริงๆ พยาบาทแรงๆเข้า สั่งสมเข้า ทำจริงๆ เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดอย่าไปทำ มโนกรรม ก็เป็น เรื่องจริง มโนกรรมก็เป็นกรรมที่สั่งสมลง เป็นสมบัติ คนเราไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อวิบาก อาตมาจะยก ตัวอย่าง ตัวอย่างนี้ยกแล้วชัดเจน ยกบ่อย เราไปทำชั่ว เอาชั่วมันจะชัด เราไปปล้น ไปข่มขืนฆ่า รู้มั๊ยว่า ไปปล้น ไปข่มขืนฆ่านี่มันชั่ว รู้มั๊ยๆ คนก่อนจะไปปล้นนี่รู้มั๊ยว่าทำชั่ว จะข่มขืนฆ่าเขานี่ มันก็รู้ว่า ก่อนจะทำนี่ มันชั่ว แต่กิเลสมันแรง กิเลสมันทำให้คนทำชั่ว

คนที่ไปโกงบ้าน โกงเมือง อยู่ทุกวันนี้นี่ ไปโกงเขารู้มั๊ยว่ามันชั่ว ไม่รู้เหรอ? “จะตอบก็คิดก่อนหน่อยนะ” พวกที่ไปโกงนี่ เขาบริหารบ้านเมืองนี่ หรือพวกที่มีโอกาส จะโกงจะกิน ก่อนจะโกง ก่อนจะทำนี่ เขารู้มั๊ยว่า เขาจะโกงนี่มันชั่ว เขาทำชั่วนะ เอ้า ตั้งใจหน่อยสิจะตอบอะไร” ตอบไม่คิด ตอบไม่ตั้งใจ ก่อนจะโกงน่ะ เขารู้ว่ามันชั่ว แต่เขาต้องโกงเพราะกิเลส เพราะว่ากิเลสมันเป็นใหญ่ ต้องบรรลุฆ่ากิเลสให้ตาย ถึงจะเป็น เอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน เราถึงจะเป็นใหญ่เหนือมันได้ ถ้าไม่เช่นนั้น อธิปไตย ก็คือ ความเป็นใหญ่ ยิ่งกว่า อธิปไตยใดๆ ในโลกทั้งปวง เพราะฉะนั้น คนจะทำชั่วทำดี อยู่ในโลกนี้ จะมีคุณค่าประโยชน์ มันไม่ได้ เรียนรู้มาก ฉลาดๆ มีความรู้สูงๆ มันอยู่ที่กิเลส เพราะฉะนั้น คนต้องมาปฏิบัติตน ละกิเลส เรียนสูงๆก็ดี แต่ต้องลดกิเลสให้สำคัญ ที่ยิ่งเรียนสูง แล้วไม่ลดกิเลส โอ้โฮที่นี่ล่ะ เสือติดปีกเลย ที่นี่ยิ่งกินยิ่งโกงเก่งเลย มันยิ่งฉลาด มันยิ่งมีช่องทาง มันยิ่งรู้แนว รู้อะไรต่ออะไร รู้เศรษฐศาสตร์ รู้รัฐศาสตร์ รู้อะไรศาสตร์ๆ มันยิ่งรู้ วิธีเจาะกิน กินหมด กินตับ กินไต กินไส้ กินพุง กินเกลี้ยงเลย เพราะนี่เป็นภัยหนักเลย ถ้าเผื่อว่าไม่มีการ ละกิเลสนี่ การละกิเลสนี่ เป็นตัวสำคัญ เป็นหลักประกัน ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย

ทีนี้สมมุติอีกอันหนึ่ง สมมุติว่าเราไปโกงเขามา หรือไปปล้นเขามาก็ตาม มันชั่วทั้งนั้นแหละ โกงก็ชั่ว ปล้นก็ชั่ว บาปทั้งนั้นแหละ ไปโกงมา ได้มาหมื่นล้าน กอดไว้เลย ปล้นมาได้หมื่นล้าน หรือว่าไปโกงเขา มาได้หมื่นล้าน กอดไว้ ไม่กระดิกเลยนะ ลูกเมียไม่ให้ใครเลย หมื่นล้านกอดไว้จนตาย ถามว่าหมื่นล้าน เป็นของๆคนนั้นมั๊ย? กอดไว้ไม่เป็นยังไงล่ะ โอ้ย อุตส่าห์ไปโกงมาได้ อุตส่าห์ไปปล้นเขามาได้ตั้งหมื่นล้าน ไม่ใช่สมบัติของเขาเหรอๆ กรรมที่ไปปล้น กรรมที่เขาไปทำ การโกงมา หมื่นล้านนี่ เป็นของเขามั๊ย? ไม่เป็น เอาอีกแล้ว ก็ไปโกงเขามาตั้งหมื่นล้าน ไม่เป็นของเขาได้ยังไง เขาเป็นคนทำน่ะ จะตายไปจากหมื่นล้าน นี้แล้ว หมื่นล้าน มันไม่เป็นของเขาแน่นอน เพราะเขาตายจากหมื่นล้านนี้แล้ว แต่กรรม เป็นของเขามั๊ย ตายแล้วยังเป็นมั๊ย อะไรเป็นสมบัติ หมื่นล้านเป็นสมบัติ หรือการโกงเป็นสมบัติ อะไรเป็นสมบัติของเขา

เห็นมั๊ย นี่คือความจริง โกงบาทหนึ่งก็เป็นกรรมเป็นบาป โกงหมื่นล้านนี่ยิ่งเป็นบาปขนาดไหนล่ะ เขานึกว่า เขาได้หมื่นล้าน เขายิ่งดีใจ ที่แท้มันได้เท่าไหร่ล่ะ และนั้นแหละเป็นสมบัติติดตัวเขาไป จนจะปรินิพพาน ไม่มีการล้างออก ล้างไม่ได้ แบ่งใครก็ไม่ได้ เพราะตัวเอง ทำคนเดียว ใครทำร่วมก็บาปด้วยกัน แบ่งกันไป ถ้าทำคนเดียว ก็เอาไปหมดเลย เหมาโกงมา หมื่นล้าน ก็บาปเหมาไปทั้งหมดเป็นของเขา นี่คือสัจจะ ฟังดี ก็จะเข้าใจ ไม่ต้องไปเอาพระพุทธเจ้ามาบรรยาย อาตมาเป็น ลูกศิษย์ พระพุทธเจ้าก็บรรยายได้ นี่เป็นกรรม เป็นบาป เป็นเวร เป็นสิ่งที่ติดตัวเรา ไม่ศึกษาก็ไม่รู้ อย่าไปทำเลยกรรม กรรมชั่ว กรรมบาป อย่าไปโกงไปกิน มาขยันหมั่นเพียร มาลดละเลิกก็ไม่เปลือง อย่างคนที่นี่จน ทำไมถึงอยู่ได้ อยู่ได้เพราะ มันไม่เปลือง มันไม่ได้เสียกับหวย มันไม่ได้เสียกับเหล้ากับยา มันไม่ได้เสียกับบันเทิงเริงรมย์

ทา... ใบละ ๒,๐๐๐บาท ต้องไปซื้อดู บ้าเหรอ มาเต้นที่นี่ยังจะไล่หนีเลย มาเต้นอุจาดๆอย่างนี้น่ะไม่เอา มาเต้นที่นี่ ไล่ไปเลย ที่นี่ไม่เอาเต้นอุจาด มันเต้นอะไร ไม่ต้องอุจาดอย่างนั้นก็เต้นได้ ไม่จำเป็นจะต้อง ไปทำอุจาดอย่างนั้น ไม่เข้าเรื่อง เพราะฉะนั้น เราจะรู้เท่าทันโลก โอ้โฮ บัตรโฆษณากัน ทางโทรทัศน์นี่ ขายกัน โอ้โฮ วิ่งไล่จองกันเลยเดี๋ยวนี้ เล่นทีหนึ่ง รอบหนึ่งนี่ เขาได้ค่าตัว ๑,๕๐๐,๐๐๐บาท เล่นที ประมาณ ชั่วโมงกว่า ไม่ถึงสองชั่วโมงนั้นแหละ เขาได้ค่าตัว รอบละล้านห้า ถ้าสองรอบ ก็สามล้าน แล้วยังได้ค่าอื่นๆ อีกนะ ค่าตั๋วเป็นเปอร์เซ็นต์อีกต่างหาก ก็หลงกันหลงเงิน

แต่มันยิ่งมอมเมาโลก ยิ่งมอมเมาสังคม ยิ่งคนไม่รู้ทัน บ้านราชฯนี่รู้ทันแล้ว ไม่เอาแล้ว เพราะฉะนั้น มาล้าง กิเลสตัวนี้ ก็ไม่ไปทำกรรมนี้ กรรมอย่างนี้ไม่ทำ ไม่สะสม อย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัส อย่าง... อย่างที่จะ ไปเต้นสนุกสนาน บันเทิงเริงรมย์อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า นรกปหาสะ แต่เขาก็ไม่รู้เรื่องหรอก เพราะว่าเขา ไม่ได้ถือศาสนาพุทธ เขาไม่รู้เรื่องหรอก เป็นนรกปหาสะ นรกที่มันรื่นเริง บันเทิงสนุกสนาน อะไรอย่างนี้ มันหลอก มีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า “ผู้ที่เต้นกินรำกิน เค้าก็สนุกบันเทิงเริงรมย์ และ เขาตายแล้ว เขาจะเป็นสุขเป็นทุกข์มั๊ยพระเจ้าข้า?” พระพุทธเจ้า ก็เลยถามต่อ ”นี่เธอจะให้เราตอบจริงมั๊ย?” พระพุทธเจ้าย้อนถาม มีคนมาทูลถามว่า พวกนี้ตายแล้ว จะตกนรก หรือขึ้นสวรรค์” พระพุทธเจ้า ถามย้อน ไปถึง ๓ ครั้ง คนนั้นก็ยังอยากรู้ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยบอกว่า ”ตกนรก” ชื่อนรกปหาสะ อันนี้อาตมา ก็เล่าเรื่องของกรรม กรรมนี่เป็นของของเรา เมื่อกี้ก็ยกตัวอย่างแล้ว เราไปทำชั่วก็เป็นของ ของเรา แบ่งกันไม่ได้ แบ่งบุญแบ่งบาปไม่ได้

เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธมันผิดมานานแล้ว ทำบุญไปให้คนตาย แบ่งบุญไปให้คนตาย ถามหน่อย คนตาย ไปแล้วนี่ รู้มั๊ยว่า คนตายแล้ว ไปอยู่บ้านเลขที่เท่าไหร่ รู้มั๊ย เอ้า! แล้วพระบอกว่า ”โยม หยาดน้ำแล้ว ส่งไปให้คนตายไปแล้ว” แล้วรู้มั๊ย ปู่ไปอยู่บ้านเลขที่เท่าไหร่ อยู่สวรรค์หรือนรก ไม่รู้ แล้วพระจะเอาไปส่งให้ ได้ยังไง พระจะเอาไปส่งถูกบ้านมั๊ย? อยู่บ้านไหน อยู่นรกหรือสวรรค์ ยังไม่รู้เลย หนึ่ง บาปบุญแบ่งกันไม่ได้ ยิ่งไปบอกว่า ”พ่อชอบกินหมกไส้ปลาช่อน” ไปได้ไส้ปลาช่อนมา ก็มาหมก หมกอย่างดี ปรุงแต่งอย่าง สุดฝีมือเลย ว่างั้นเถอะ เสร็จแล้วเอาไปถวายพระ ให้พระฉัน พระก็ฉันไส้ปลาช่อหมก พอพระฉันเสร็จ ก็บอก เอ้าโยมส่งไปให้พ่อเสร็จแล้ว (พ่อตายไปแล้ว) นั่นล่ะที่ว่าสอนผิด ที่อาตมาเล่าให้ฟังอยู่นี่นะ นี่แหละ เขาจะเอาอาตมาตาย ไปพังโลงเขา พอพระฉันหมกปลาช่อนหมดปั๊บ ก็บอก เอ้า! โยมหยาดน้ำ แล้วหมก ไส้ปลาช่อน มันออกจากท้องพระ ไปหาพ่อเราที่ตายไปแล้วมั๊ย ที่หยาดน้ำเสร็จแล้ว ที่บอกว่า พ่อชอบน่ะ แต่พระกินนะ แต่บอกว่า จะส่งไปให้พ่อ แล้วมันไปมั๊ย โอ้ย! ถูกหลอกกันมาเท่าไหร่ ยิ่งอธิบาย ยิ่งเห็นว่า ถูกหลอกกันขนาดหนัก นี่ไม่ใช่บุญใช่บาป นะ นี่เป็นวัตถุ ยกตัวอย่างไส้ปลาช่อน มันไม่ใช่บาป ใช่บุญนะ เอ้า”บอกว่าส่งไปให้พ่อตาย แม่ตาย พ่อชอบ แล้วมันไปยังไง นี่หลอกกันมา ไม่รู้กี่ร้อยปี หลอกกันมา ก็ทำกันไป บุญบาปก็ส่งกันไปไม่ได้ แบ่งกันไม่ได้

ถ้าแบ่งได้ ก็ล้มล้างคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า” กรรมเป็นของของตน” ตนต้องรับมรดกของกรรม กัมมทายาโท เราต้องเป็น ทายาทของกรรม กรรมเป็นของเรา ไม่เอาไม่ได้ ทำชั่วก็ต้องเอา ทำบุญก็ต้องเอา ทำบาปก็ต้องเอา เราต้องเอาหมด เราเป็น ทายาทนะ จะเลือกเอาแต่บุญ ไม่เอาบาปไม่ได้ ต้องรับเอา มรดกของกรรม กัมมทายาโท ต้องรับเอาทั้งหมด ไม่เอาไม่ได้ ก็ต้องเป็นของเรา ก็อย่างที่ยกตัวอย่าง แหม! เราทำบาปไปพันหนึ่ง แบ่งให้คนอื่น สองร้อย เราเอาไปแปดร้อย มันไม่ได้ แบ่งบาปแบ่งบุญไม่ได้ เอาพิสูจน์ ไม่ต้องพิสูจน์แบ่งบุญไปให้คนตาย ”อาตมาเป็นๆอยู่นี่ พิสูจน์ให้ชัดไปเลย มีบุญเท่าไหร่ เอ้าเอาไปเลย แบ่งเอาไปเลย เอาไปยังไง แบ่งไปได้มั๊ย?”อย่าเอาพร้ามาถากนะ อาตมาตายจริงๆนะ จะเอาไปยังไง นี่มีบุญ อยู่ในตัวของอาตมานี่ เอ้าแบ่งเอาไปเลย จะเอายังไง วิธีไหน นี่ขนาดไม่ต้องตายจากกัน เห็นกันอยู่หลัดๆนี่ ยังแบ่งเอาบุญ เอาบาปกันไม่ได้ บุญอาตมาก็ต้องทำเอาเอง โยมก็ต้องทำเอาเอง บาปของโยมๆไปทำ โยมก็ต้องรับเอาไป จะแบ่งบาป มาให้อาตมาก็ไม่ได้ บุญก็เป็นของโยม จะไปแบ่งให้ลูกให้หลาน ก็ไม่ได้ แบ่งให้ใครก็ไม่ได้ ฟังให้ดีกรรมเป็นของๆตน กัมมทายาโท ตนต้องเป็นทายาทของกรรม กรรมเป็นของ ตัวเราเอง กรรมจะพาเราเกิด ไม่หกตกหล่น ทำแล้วไม่มีใคร ไปเบี้ยวนะ ทำบาปแล้วก็ให้มันเบี้ยวมาเป็นบุญ ซักห้าสิบ เบี้ยวไม่ได้ ไม่มีใครไปโกงสัจจะ สัจจะนี่กรรมเป็นของจริง เราทำบาป บาปน้อย บาปมาก บาปใหญ่ บาปเล็ก ขนาดไหนก็ขนาดนั้น สัจจะไม่มีการผิดเพี้ยน โกงไม่ได้ สัจจะซื่อสัตย์ ที่สุด บาปน้อย ก็น้อย บาปมากก็มาก บาปเล็กบาปใหญ่ บาปขนาดไหนก็ตาม บุญเท่าไหร่ก็บุญเท่านั้นๆ ตามสัจจะ ไม่มีใครโกง ไม่มีใครเบี้ยว ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ กรรมเป็นของจริง กรรมเป็นสัจจะทั้งสิ้น และกรรม นี่แหละ ทั้งบาป ทั้งบุญ เหมือนคนนี่

อาตมาเปรียบเทียบคนนี้เป็นขวดน้ำ เราทำบุญสมมุติว่าเป็นสีน้ำเงิน ก็ใส่ลงไปในนี้ เราทำบาปสมมุติว่า เป็นสีแดง ก็ใส่ลงไปในนี้ ถ้าทำบาปมากๆๆๆๆๆ น้ำนี่จะเห็นสีแดง หรือเห็นสีน้ำเงินมาก เราสมมุติว่า บาปเป็นสีแดง บุญเป็นสีน้ำเงิน ใส่ลงไปในนี้แหละ ทำบุญหน่อยหนึ่งสีน้ำเงิน แล้วทำบาปบึ้มๆๆใส่ลงไป จะเห็นสีแดงหรือสีน้ำเงิน

ญาติธรรม – สีแดง

พ่อท่าน – ไม่หายไปไหน อยู่ในนี้แหละ เราหยุดบาปสีแดง ทำแต่สีน้ำเงินบุญ บาปลดลงๆๆไม่ทำเลย แดงก็ไม่ทำ ทำแต่น้ำเงิน ใส่แต่น้ำเงิน จะเห็นสีน้ำเงินหรือสีแดงทีนี้ เห็นสีน้ำเงิน ไม่หายไปไหนนะ แดงก็ยังอยู่นะ แต่สีน้ำเงิน ก็จะขึ้นมา สีแดงก็จะถูกลบไป มันจะอยู่ในนี้แหละ มันจะบวกลบ คูณ หาร กันอยู่ในนี้ เป็นอจิณไตย เราคิดไม่ออกหรอก บาปบุญมันยิ่งใหญ่ ก็สีสองสี ที่อาตมาสมมุติ แต่นี่สมมุติ ให้เห็นง่ายๆ มันจะอยู่ในนี้แหละ และก็ออกฤทธิ์นะๆ สีแดง สีน้ำเงินนี่ มันจะออกฤทธิ์ บาปมันไม่ออกสี เท่านั้นนะ มันเอาเราตายนะ ถ้าเป็นบาป ถ้าเป็นบุญก็ค่อยยังชั่ว ช่วยเรานะ มันออกฤทธิ์นะ ธรรมฤทธิ์ ออกเป็นบุญเป็นบาปนะ เพราะฉะนั้น คนจะสุข จะทุกข์ คนจะสบาย คนจะดีไม่ดีนี่ มันก็อยู่ที่บาป บุญที่เราทำ ศาสนาพุทธเราสอนเรื่องนี้

เราก็พยายามศึกษาดีๆ แล้วก็อ่านจิต อ่านใจ จิตนี่เป็นประธาน กิเลสมันอยู่ที่จิต ที่ใจ เราล้างกิเลส ที่จิต ที่ใจออกให้หมด ศาสนาพุทธถึงอย่างนั้น โลกุตระนี่อ่านกิเลส อ่านจิตอ่านใจออก รู้เลยว่า นี่เป็นราคะ นี่เป็นโลภะ นี่เป็นโทสะมูล โลภมูล สราคะ สโทสะ สโมหะ มีเจโตปริยญาณ มีจิตหยั่งรู้ อ่านจิตออก มีตาทิพย์ สามารถลดละกิเลสได้ ก็เห็นว่า วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ ละลดลงไปได้ๆๆ จนมันดับสนิท จนมันเป็นวิมุติ เจโตปริยญาณ มันมี ๑๖ขั้น อาตมาจะไม่อธิบายหรอก ที่นี่นะ สิบหกขั้น ตั้งแต่ สโทสะ สราคะ สโมหะ เป็นวีตราคะ วีตโมหะ วีตโทสะ เป็นสังขิตตัง เป็นวิกขิตตัง จนกระทั่งถึง วิมุติ อวิมุตินั่นล่ะ อาตมาไม่ไล่นะขอผ่าน ถ้าเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าสอน ให้หมดเลย อ่านจิตอ่านใจ อ่านรายละเอียด ของสิ่งไหน เป็นเจโตปริยญาณ เป็นวิชชา ๘ ประการของพระพุทธเจ้า วิชชาจรณสัมปัณโณ ที่เราท่องๆไป

ถ้าเราเรียนรู้จริงแล้ว เราจะอ่านออกจริง เอ้า ! เราบรรลุ เราก็จะรู้ว่าเราบรรลุ เราล้างกิเลสได้แล้วนะ กิเลสเรา หมดไปแล้ว เราก็รู้ ได้แล้วมันก็ได้เลย แล้วเราก็เป็นสุข เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี พาเราเกิดเป็นอาริยะ เกิดเป็นโสดา กัมมโยนิ เกิดในนี้นะ เกิดในตัวคนนี่ ไม่ใช่ไปเกิดตาย การตายการเกิด ในปรโลก ของพระพุทธเจ้านี่ ไม่ต้องประสงค์ การตาย จากร่างกายนี้ แล้วก็ไปสู่ปรโลก ไม่ต้องไปอย่างนั้น ไอ้อย่างนั้น มันก็เป็นจริง ตายจากร่างกายนี้ แล้วก็ไปเกิดใหม่ มันก็จริง แต่ของพระพุทธเจ้านี่เก่งกว่านั้น ตายเกิดในตัวเราเอง อ่านใจเราเอง กิเลสเราตายจากจิตแล้ว เราเกิดกิเลส มันเป็นก้อน เราล้างมันออกไป กิเลสส่วนนี้หมด จิตนี่สะอาดขึ้นมาส่วนหนึ่ง เป็นพระโสดาบัน เกิดเป็นพระโสดาบัน ในร่างกายเรานี่ เรียกว่า ”การเกิดแบบโอปปาติกโยนิ” ภาษาบาลี ภาษาพระพุทธเจ้า เป็นการเกิดทางที่ไม่ใช่กิเลสเกิด กิเลสตาย แล้วจิตเกิด จิตมันสะอาด เพราะฉะนั้น สะอาดนั้น มันระดับหนึ่ง เป็นโสดาบัน เรียกว่า จิตเกิด ผุดเกิด ไม่ต้องไป เปลี่ยนแปลงร่างกาย ร่างกายยังอยู่ จิตมันผุดเกิดในจิตเอง เกิดจากจิต แต่ก่อนจิตเป็น สัตว์นรก แล้วก็ฆ่ากิเลส ที่มันพาไป เป็นสัตว์นรกนี่ กิเลสที่พาไปเป็นสัตว์นรกนี่ตายสนิท ไม่เกิดอีกเลย ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีบทบาทอีกแล้ว กิเลสตายแล้ว จิตก็สะอาดขึ้น เป็นพระอาริยะระดับหนึ่ง เรียกว่า ”โสดาบัน” เกิดจริงๆ เพราะว่ากิเลสมันตายจริงๆ จิตจึงเกิดจริงๆ เพราะว่า กิเลสมันอยู่ที่จิตนะ กิเลสมันไม่อยู่ที่อื่น หรอก ที่อื่นที่ไหนไม่มีกิเลสหรอก กิเลสมันอยู่ไม่ได้ กิเลสมันอาศัยจิตเกิด เท่านั้นเอง มันอาศัยที่อื่นเกิดไม่ได้ ไม่มีจิตมันไม่เกิดหรอกกิเลส จิตอยู่ที่ไหนมันเกิดที่นั้น ตรงไหน ในคนเรามีจิตมีใจ มันก็เกิดในจิตในใจเรา นั่นแหละ เพราะฉะนั้น เราล้างกิเลสนี่หมดไปจำนวนหนึ่ง เป็นโสดาบัน ลดไปอีก เป็นสกิทาคามี เกิดจริง เพราะฉะนั้น เกิดสู่โลกใหม่ โลกพระโสดาบัน โลกพระสกิทาคามี โลกพระอนาคามี โลกพระอรหันต์ เรียกว่า ”โลกุตระ ๔ ขั้น” โลกใหม่ปรโลก ธรรมดาคนเราอยู่ในโลกปุถุชน อยู่ในโลกโลกีย์นี่ ได้กินเหล้าก็เป็นสุข อยากกินเหล้า เป็นทุกข์ๆสุขๆอยู่ เพราะเหล้าขวดนี้ เพราะเหล้านี่แหละ พอดับกิเลสแล้ว ไม่ต้องสุขทุกข์ เพราะเหล้า แต่ก่อนสุขทุกข์ เพราะทาลิปสติก พอเลิกกิเลสแล้ว ไม่ต้องสุขๆทุกข์ๆ เพราะทาลิปสติก ก็เกิดใหม่เป็นคนใหม่ แต่ก่อนติดเพชร ติดพลอย เดี๋ยวนี้ไม่ติดแล้ว เฉยๆแล้ว เลิก อุเบกขา เห็นเพชร เห็นพลอยก็เฉยๆ ไม่เป็นสุข ไม่เป็นทุกข์ ไม่ไปอยากได้ เขาจะได้ เขาจะยังไง ก็ไม่ไปริษยาใคร เขาจะมีเพชร มีพลอย ก็เรื่องของเขา วางได้ หลุดพ้นได้ กับสิ่งเหล่านั้น จิตใจก็เกิดใหม่แล้ว เป็นจิตคนใหม่ เป็นคนปรโลก อีกโลกหนึ่ง

ไม่ใช่ แต่ก่อนนี้ โอ้โห! ได้เพชรมา ได้เหล้ามากินก็เป็นสุข เดี๋ยวนี้ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์กับมันแล้ว หลุดพ้นอย่างนี้ เกิดจริงๆ ในร่างคนนี่ ปรโลก เพราะฉะนั้น ปรโลกของพระพุทธเจ้านี่ ไม่เหมือนปรโลกศาสนาอื่น ตายไปแล้ว ค่อยไปปรโลก แล้วไป ตามทำอะไรมันได้ล่ะ ก็มันตายไปแล้ว แต่คนยังไม่ตาย ทำปรโลกนี้ ให้เป็นโลกใหม่ ให้เป็นโลกที่ดี ให้เป็นโลกโลกุตระ เป็นโลกที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบว่า โลกโลกุตระนี่ เป็นสุดยอด เป็นโลกวิเศษ เพราะฉะนั้น กัมมโยนิ ทำกรรมนี่แหละ จะเกิด”โอปปาติกโยนิ” โยนิ แปลว่า การเกิด ทำกรรม กัมมโยนิ กรรมนี่ทำให้จิตถึงจิตๆโอปปาติกะ คือจิต ทำให้จิต มันเกิดใหม่ เป็นจิต อาริยบุคคล ถ้าไม่เช่นนั้น จะเป็นจิตสัตว์นรก เป็นจิตเทวดา แบบโลกๆเป็นสมมุติเทพ เทวดาสมมุติเทพ ตกสวรรค์ ลงนรก ขึ้นจากนรกได้ มาก็ขึ้นสวรรค์อีก ตกสวรรค์ก็ลงนรกอีก อยู่อย่างนั้น เวียนวนอยู่อย่างนั้น ไม่รู้แล้วหรอก เรียกว่า”วัฏฏสงสาร” เรียกว่างมอยู่อย่างนั้นแหละ ลงนรกขึ้นสวรรค์ ขึ้นสวรรค์ลงนรก หมุนอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักจบ นั่นเรียกว่า วัฏฏสงสาร เรียกว่าโลก เรียกว่าโลกียะ ไม่รู้จักจบ พอเราฆ่ากิเลสนี้ ได้แล้ว หยุดหมุนแล้ว หยุดมีโลกอย่างนั้นแล้ว เป็นโลกใหม่ เป็นโลกสงบ เป็นโลกดับสนิท เป็นโลก ไม่ต้อง หมุน ไม่ต้องมีวัฏฏสงสาร ไม่ต้อง หมุนเวียนอีกแล้ว ใครบวชเรียนมานี่ ฟังอาตมาอธิบาย จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น หมดวัฏฏสงสาร ไม่ต้องหมุน ไม่ต้องเวียน อีกแล้ว เลิก หยุด โลกโลกียะ โลกที่หมุนเวียน เป็นการดับโลก นั้นแล้ว หลุดพ้นจากโลกนั้นแล้ว ไม่ต้องไปเวียนวนกับมัน อีกแล้ว

ฟังดีๆ ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ มาพิสูจน์ได้เลย ท้าทายให้มาพิสูจน์ พิสูจน์เป็นโสดาบันนี่ มีพ้นสังโยชน์ ๓ หลุดพ้นอบาย แล้วมาล้างกาม กามราคะ ซึ่งเป็นสังโยชน์อีกสองข้อ ก็มาล้างกาม ล้างปฏิฆะอีก ไปได้หมด สกิทาคามี มาล้างจนหมด ไม่มีกาม ไม่มีปฏิฆะ ไม่มีความโกรธความเคืองแล้ว เป็นอนาคามี เป็นคน ไม่ต้องมีกาม กามตายด้าน โอ้โฮ เยี่ยม เป็นคน กามตายด้าน เป็นคนไม่ต้องไปแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ต้องไปแย่งทรัพย์ศฤงคาร บ้านช่องเรืองชาน เป็นอานาคาริกชน อย่างบ้านราชฯเรานี่ หลายผู้หลายคน มีศีล ๑๐ได้ เป็นฆราวาสนะ ศีล๑๐ นี่ไม่ต้องมีเงินทอง ไม่ต้องสะสมเงินทอง ไม่ต้อง ถึงกระทั่งบวช เป็นพระหรอก เป็นคนนี่ ก็พิสูจน์ศีล ๑๐ ได้ พวกเรานี่ศีล ๘ อย่างพวกศีล ๕ อย่างหมู่บ้านนี่ ทั้งหมู่บ้านนี่ ใครมาก็รู้แล้ว มีศีล๕ กัน ไม่มีอบายมุข ศีล ๘ ก็มีที่นี่ วิกาลโภชนา หลายคนก็กินข้าววันละมื้อ วันละ หนเดียว หลายคนน่ะ กินสองมื้อ กิน ๓ มื้อก็มีบ้างเด็กๆ ก็มีบ้างนิดหน่อย แต่ไม่กินเล่นกินหัว ไม่กินจุบจิบ อย่างที่เห็น กินเลอะๆเทอะ ไม่เหมือน ข้างนอก ที่เขากินทุกอย่างที่ขวางหน้า กินอะไรก็กิน ตะพึดตะพือ แบบนี้ปากไม่มีวินัย แย่

แต่หมู่บ้านนี้ไม่เป็น เห็นมั๊ย ศีล ๘ วิกาลโภชนา นัจจะ คีตะ วาคีตะ วิสูกทัสสนา มาลาคันธะ วิเลปนะ ธารณะ เล่นดอกไม้ ประดับประดา ตกแต่งไม่มี ที่นี่ก็มีคนศีลแปด ไม่มีอะไรละเว้นได้ ถือศีล๘ ได้บริสุทธิ์ที่นี่ ศีล ๑๐ ฆราวาสนะ เห็นมั๊ยคนที่นี่ ไม่ต้องไปมีเงินมีทองแล้ว ไม่ต้องสะสมเงินแล้ว เงินทองไม่ต้องเอาแล้ว ก็เป็นคนมีศีล ๑๐ ได้ นี่เป็นคนหมู่บ้านที่มีศีลๆ เพราะฉะนั้น คนไหนที่หลุดพ้นมาได้แค่เงินทองก็สบาย ไม่ต้องมีเงินมีทอง ทำงานฟรี จิตใจก็ไม่อยาก ได้เงินได้ทอง มันได้มาตามโลก ทำไปมันก็มีเงิน เหมือนกับ อุปกรณ์ เหมือนกับเสื้อ เหมือนผ้า เหมือนผัก เหมือนหญ้า มันเป็นอุปกรณ์ ทั้งนั้น ก็หมุนกันไป แลกกันมา เวียนไปเวียนมา เพื่อที่จะแลกกันมาใช้ หรือว่าอาศัย ใช้กิน อย่างธนบัตร เขาไม่กินกัน ก็เอาแลกไปแลกมา เท่านั้นเอง เหมือนภาชนะ สิ่งของก็ใช้งานมัน ธนบัตรมันมีหน้าที่แทนทาสก็เอาไปใช้มัน ชามมันมีหน้าที่ ใส่ของก็ใส่มัน ใช้เหมือนวัตถุอุปกรณ์ ไม่ต้องไปหลงไหลมัน เพราะฉะนั้น ที่นี่ไม่มีวุ่นวาย เรื่องเงินเรื่องทอง เรื่องอะไร ไม่เดือดร้อนเหมือนกับคนชาวโลก เป็นคนแปลก เป็นคนแบบใหม่ เป็นคนอะไร เป็นคนไม่แย่งเงิน แย่งทอง เป็นคนกินก็ไม่กินมาก ใช้ก็ไม่ใช้มาก เสื้อผ้าหน้าแพร ก็ไม่เห็นต้องไปแต่ง ไปเติ่งอะไรกัน ไม่เห็น ลำบากลำบนอะไรเลย ไปตบไปแต่งแข่งกัน มันก็ลำบาก ไม่ตบไม่แต่งแข่งกัน มันก็ไม่ลำบาก ไม่ต้องแย่ง ต้องชิง สบายๆ ดีได้มั๊ย ดีได้ มีประโยชน์มั๊ย โอ้โฮ มีประโยชน์เพราะคนที่นี่ขยันหมั่นเพียร สร้างสรรค์ทำงาน ตื่นเช้ามาฟังธรรม ได้ฟังธรรมตอนเย็น ก็ไม่เป็นไร ตื่นเช้ามา ก็แบ่งงานหน้าที่กันไป ทำนั่นทำนี่กัน พอทำ เสร็จแล้ว ก็มีเวลานั่นเวลานี่ ก็มารวมกันกิน ทำงานนั่นนี่ ก็มาประชุมร่วมกัน

ที่นี่ประชุมกันบ่อย มีเรื่องราวอะไรตกลงกัน มีเรื่องราวอะไรจะบอกกัน แจ้งกัน มีอะไรช่วยกันคิด ช่วยกัน แก้ไข ก็มาช่วยกันคิด ร่วมหัวกันคิด ร่วมหัวกันทำ มันก็มีพลังสร้างสรรโน่นนี่ เป็นทรัพย์ศฤงคารร่วมกัน คนบ้านราชฯนี่ ไม่ได้มีทรัพย์เท่านี้นะ อโศกทั่วทั้งประเทศนี่ มีสาธารณโภคีเหมือนกันหมด เป็นอันหนึ่ง อันเดียว เหมือนกันหมด คนบ้านราชฯนี่ ทรัพย์สินที่ศีรษะอโศก ที่นี่ก็มีสิทธิ์ไปกินไปใช้ที่โน้นได้ ที่สันติอโศก ก็ไปได้ ศาลีอโศก สีมาอโศก ภูผาฟ้าน้ำ หินผาฟ้าน้ำ ทักษิณอโศก ปักษ์ใต้โน่น ชเลขวัญ ไปได้หมด มีอโศกอยู่ที่ไหน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด ทรัพย์สินศฤงคาร ยิ่งไม่เอาเป็นของตัวของตน ยิ่งมีเยอะ ยิ่งมีมากแปลกๆ น่าอัศจรรย์มั๊ย ยิ่งไม่เอายิ่งได้ เห็นมั๊ย ยิ่งมีเยอะมีแยะเลย นี่จะกินจะอยู่ บ้านช่องเรือนชาน จะไปไหนก็ไม่ต้องไปเสียค่าโรงแรม ไปพักบ้านเรา พี่น้องเราทั้งนั้น ไปพักกินอยู่

ขอให้เป็นคนมีศีล มีธรรม มีมาตรฐานของชาวอโศก หนึ่ง มีศีล อย่างน้อยศีลห้า สอง ไม่มีอบายมุข สาม ไม่กินเนื้อสัตว์ นี่เป็นหลักกลางๆ หลักใหญ่ๆของอโศกเรา ไปไหนก็อยู่ได้ ไม่ต้องกินเนื้อสัตว์ ไม่ต้องมี อบายมุข มีศีล ศีลยิ่งสูง ยิ่งเป็นที่เคารพ ยิ่งศีลสูงยิ่งเกิน ๑๐ได้ยิ่งดี ยิ่งเป็นคนขยันหมั่นเพียร สร้างสรร กินน้อย ใช้น้อย ไม่เอา ทำแล้วก็เอาไว้ให้ส่วนกลาง ไว้แจกจ่ายเจือจานกัน เกื้อกูลกัน คนที่ในสังคม ที่จะต้องดูแล ที่จะต้องเผื่อมีอยู่ ๕ หนึ่ง เด็ก ทำไม่พอกินพอใช้ สอง คนแก่ๆ แย่แล้ว ทำกินไม่ไหวแล้ว มันก็เป็นจริง มันก็ต้องเลี้ยงดูกันไป สาม คนป่วย ก็มันป่วยทำไม่ได้ ก็ต้องเลี้ยงดูกันไป สี่ คนพิการ แต่ชาวอโศกเรานี่ คนพิการน้อย มีหลายคนบางคนเป็นอัมพาตข้างหนึ่ง มีบ้าง แต่มีไม่มาก หรือตอนนี้ มีพระรูปหนึ่ง ก็นิ้วด้วน ถูกเลื่อยมันตัดเอา นิ้วด้วนไปสองนิ้ว ส่วนอีกนิ้วหนึ่ง เขาต่อให้ทัน ไม่รู้จะใช้งาน ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาที่ต่อให้ได้ ก็เป็นพิการบ้าง อะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องช่วย ไม่คุ้มกิน ทำไม่คุ้มตัวเอง หนึ่งเด็ก สองคนแก่ สามคนป่วย สี่คนพิการ ห้าคนไร้สมรรถภาพ มันไร้สมรรถภาพคือมันเกิดมาเป็นเอ๋อน่ะ เกิดมา เป็นคน.. บ้านเราเรียกว่าอะไร พวกเอ๋อ คนปัญญาอ่อนๆ ภาษาบ้านเราเรียกว่าอะไร ที่ไม่ใช่ปัญญาอ่อน เรียกว่า ”คนไม่เต็มบาท”คนที่ไม่ประสีประสา เกิดมา มันเป็นน่ะ มันไร้สมรรถภาพทางกฎหมาย เขาก็ยกให้นะ ถือเป็นคนที่ไม่ต้องเสียภาษีหรอก อย่างนี้เป็นต้น นี่ห้าชนิด นี่เราต้องช่วยกัน เผื่อกันมันพอ

เพราะเด็กมันก็จำนวนหนึ่ง คนแก่ก็จำนวนหนึ่ง คนหนุ่มคนสาวที่มีกำลังวังชา แม้แต่คนแก่ก็ขยันที่นี่ เพราะเรารู้ว่า เราขยัน ถ้าเราขยันแล้วนี่ ทรัพย์เป็นของใครๆ เป็นของเรา เพราะพวกเรานี่ รู้สัจธรรมดี แก่แล้ว ทำเท่าที่ทำได้ ไม่มีใครบังคับ แก่ก็ทำเท่าแก่ ทำได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ขี้เกียจมันก็เป็นอบายมุข มันก็เลวก็ชั่ว ก็รู้อยู่แล้ว จะไปขี้เกียจทำไม่ล่ะ หัดขยัน จนขี้เกียจไม่เป็น ขยันจนกระทั่งแก่นี่ มันขยัน จะห้ามไม่หยุดนะ” แก่แล้วหยุดได้แล้ว ไม่ค่อยหยุด มันติด มันเป็นอัตโนมัติ คนแก่แล้วก็ยังขยัน ก็เป็นจริง ฝึกฝนเข้าให้เป็นจริง ให้หยุดก็ไม่หยุด คนที่อาตมาว่านี่เป็นสมณะ ที่นิ้วด้วนนี่ แก่แล้วนะ อายุ แปดสิบห้า หรือแปดสิบหก ขยัน บอกว่าอย่าไปทำ พอแล้ว ก็ไม่ยอม อดไม่ได้ เห็นไม้นี่ ก็จะต้องเอามาทำบุ้งเต้า ที่ตัก เห็นปิ๊ปจะมาเรื่อย บอกไม่ต้องทำ ก็เอาไปเลื่อย วงเดือนน่ะ เผลอยังไงไม่รู้ ปึ๊ดมา ตัดเอาไปเลย แก่แล้ว ให้หยุดก็ไม่หยุด ขยันอยู่นั่นแหละ เป็นแก่ขี้ดื้อ ก็บอกไม่ฟัง เป็นคนขยัน คนที่ขยัน ทำได้มากกว่าตัวเองกินใช้ ไม่ค่อยเหลือ ส่วนเหลือนั้น เป็นบุญ ส่วนเหลือนั้น เอาเข้ากองกลาง สะพัดไป แบ่งแจกใครกินใครใช้ก็แล้วแต่ มันก็เป็น บุญแล้วนะ เราก็ได้เสียสละ เราก็ได้บุญแล้ว เราไม่ได้เอาเป็นของของตัวเอง

แต่ถ้าวิธีคิดของชาวโลกทุกวันนี้ ชาวโลกีย์ หรือชาวทุนนิยมนี่ ทำได้น้อยแต่เอามาก ค่าตัวของฉันต้องแพง คิดราคา ค่าตัวแพง จริงๆค่าตัวมันควรจะ ๒๐๐ บาท แต่จะเอา ๓๐๐–๔๐๐ บาท นั่นบาปทั้งนั้น ถ้าเอา สองร้อยก็เจ๊า ที่เหมาะสม ควรจะสองร้อย เราก็เอาสามร้อยดีใจ โอ้โห ได้บาป ก็ไปเอาเปรียบเขามาเกินจริง ตั้งร้อยหนึ่ง มันบาป แต่วิธีคิดทางทุนนิยม เขาไม่รู้บาป เขาดีใจ อย่างจบปริญญามา ทำเป็นหรือไม่เป็นก็ไม่รู้ ราคาก็ไม่ควรจะได้แต่ตีราคาเอา ไม่เหมาะสมเลย หรือต้องเอาแพงยิ่งกว่านั้นอีก จบมาเท่านี้แหละ คนนี้ ตีราคาให้แพง เอ้าแพงเท่าไหร่ก็ชอบ เพราะฉะนั้น พวกนี้ได้บาป โดยไม่รู้ตัวเยอะ ถ้าทุนมันร้อย หรือทุนมัน หนึ่งพันนี่ สมมุติว่าอันนี้ทุนมันสร้างมาหนึ่งพัน ทุนนี่เขาคิดหมดนะ ค่าแรงงาน ค่าโสหุ้ย ค่าเปลือง ค่าวัสดุ ค่าเสื่อม ค่าอะไรคิดหมด สมมุติคิดทุนแล้วหารออกมา อันนี่ทุนราคาหนึ่งพัน ถ้าเราขายอันนี้ เท่าทุน หนึ่งพัน คนซื้อกับคนขาย ใครได้บาป ใครได้บุญ หา ใครได้บาป ใครได้บุญ เจ๊า ก็ทุนมันหนึ่งพัน ก็ขายไป หนึ่งพันน่ะ ก็เจ๊า ไม่มีใครได้บาป ใครได้บุญ แต่วิธีคิดของโลกนี่ ทุนมันหนึ่งพันขายได้เท่าไหร่ๆ สองพัน ขายเกินพัน ใช่มั๊ย อะไรได้บาป ไปเอาเขาเกินมา ก็หนึ่งพันเท่าทุน มันก็ไม่บาปไม่บุญแล้วนะ แต่ถ้าทุน มันหนึ่งพัน ขาย ๘๐๐ ร้อย เราได้กำไร สองร้อย อย่าเอาหัวเดินต่างตีนนะตอนนี้ ได้กำไร ๒๐๐ เพราะเรา ได้เสียสละ สองร้อย เสียสละนี่เป็นบาป หรือเป็นบุญ เอ้า ผิดตรงไหนล่ะ ทุนหนึ่งพัน ขายสองพัน เอาเปรียบ บาปหรือบุญ เอ้า เคยบาปมั๊ย? (หัวเราะ) เป็นทั้งนั้นแหละ วิธีคิดของโลก เขานี่เห็นมั๊ย วิธีคิด พาคนบาป ทำบาปโดยไม่รู้ตัว

พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสไว้ใน สังยุตคตนิกาย เทวดาที่ตายจากเทวดา หรือคนที่ตายจากความเป็นคน ไปแล้ว จะได้กลับ มาเกิดเป็นคนอีกนั้น น้อยต่อน้อยนัก ส่วนใหญ่ตกนรก ไม่ได้กลับมาเกิดเป็นคนอีกหรอก พระพุทธเจ้า ท่านตรัสความจริง นะ ใช่มั๊ย เพราะฉะนั้น ท่านมาฟังธรรม อย่างที่อาตมาเทศน์ ให้ฟังนี่ แล้วก็ไม่ปฏิบัติ ไปทำกรรมใหม่ อย่างที่ชาวอโศกทำ ทำแล้วยอมขาดทุน ลงทุนไปหนึ่งพัน ขายแปดร้อย อย่างนี้ได้บุญ ไม่คิดแล้วทุนหนึ่งพัน จะไปขายพันห้า ขายห้าพัน โอ้โห ฉลองเลยนะ ทุนหนึ่งพัน ขายห้าพัน โอ้ย ดีใจ ได้บาปเยอะ โง่มั๊ย? ดีใจฉลองใหญ่เลย ฟังดีๆนะ นานๆได้ฟังธรรม ถ้าอาตมาพูดผิด เถียงเลยนะ พูดผิดแล้วแย้งเลย สัจธรรมของพระพุทธเจ้านี่ลึกซึ้ง ซ้ำซ้อน คัมภีรา ทุททสา ทุรนุโพทา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา อย่างที่พูดไปแล้ว พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ธรรมของท่านนี่ลึกซึ้งนัก เดาเอาไม่ได้ คาดคะเน ไม่ได้ เป็นเรื่องลึกซึ้งละเอียด ประณีต เป็นเรื่องทวนกระแส ปฏิโสตัง เป็นการทวนกระแสโลก โลกเขาบอก ขาดทุนนั้นแหละแย่ กำไรถึงจะดี ทางธรรมบอกว่า ขาดทุนถึงจะดี กำไรนั่นแหละแย่

ในหลวงตรัสว่า ”ขาดทุนนั้นแหละกำไร กำไรนั่นแหละขาดทุน แต่ท่านไม่ได้พูดเป็นภาษาไทย Our Loss Is Our Gain ท่านพูดเป็นภาษาอังกฤษ Our Loss แปลว่า ขาดทุนของเรา Is Our Gain นั่นแหละ เป็นกำไร ของเรา Our Loss Is Our Gain ขาดทุนของเรานั่นแหละเป็นกำไรของเรา นี่ในหลวงตรัส ในหลวงองค์นี้ แหละ เยี่ยมยอดเลยในหลวงองค์นี้ แต่คนไม่รู้เรื่อง ท่านตรัสสิ่งที่ มันเกินคนคิด พอฟังอาตมา พูดแล้วนี่ พอเข้าใจมั๊ย ”ไปขาดทุนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” หัวเราะอะไร ไม่ดีเหรอ

ญาติธรรมะ – จะเอาที่ไหนใช้

พ่อท่าน – เอ้า แล้วชาวอโศกเอาที่ไหนใช้ล่ะ เห็นมั๊ย ได้ตรงไหน เออ ตรงนี้มันซ่อนอยู่ ได้ตรงค่าแรง ของเราไง เวลาเราสร้าง อันนี้นี่ เขาคิดค่าแรง บวกได้ คิดค่าแรงไม่น้อยด้วยนะ วัตถุดิบมันคิด ๕๐๐ มันคิดค่าแรง ธรรมดาก็ ๕๐๐ ดีไม่ดี มันคิด ค่าแรง ๑,๐๐๐โน่นแหละ ก็ดูทา.. มันคิดค่าแรง เต้นทีหนึ่ง ตั้งล้านห้า น่ะคิดดูซิ เต้นทีหนึ่งชั่วโมง มันคิดตั้งล้านห้า มันคิดอะไรกันนักกันหนา คิดค่าแรง ขนาดนั้น มันตั้งเอาเอง คนยอมๆก็ไปเสียให้มัน ผู้จัดการธนาคาร กรุงเทพฯ เงินเดือน ๑,๕๐๐,๐๐๐ คิดดูซิ แล้วตั้ง เอาเอง ผู้จัดการธนาคารกรุงไทย เงินเดือน ๑,๔๐๐,๐๐๐ คนเงินเดือนล้านห้า นี่ไม่ใช่แค่ ล้านห้า มันยัง มีค่า เบี้ยประชุม เขายังได้ค่าโบนัส ค่าเอนเดอร์เทรน โอย วิธีคิดเขาเยอะ นี่คือวิธีคิดเอาเปรียบ ได้เปรียบ ไปเยอะ เขาดีใจที่เขาได้มา เป็นหนี้ตั้งเท่าไหร่ไม่รู้เลย คนพวกนี้ เพราะฉะนั้น คนพวกนี้ ตายไป แล้วตกนรก ไม่ต้องไป พยากรณ์ เพราะเป็นหนี้บาปเขา เอาเปรียบเขามากเกิน ฟังดูก็รู้ พวกนี้เกิดมา เป็นวัวเป็นควาย ไถนา ใช้หนี้อีกไม่รู้ตั้งกี่ชาติ นี่เรื่องสัจจะนะ อาตมาไม่ได้ไปว่าเขานะ ไม่ได้ไปว่า ส่วนตัว บุคคลหรอก เป็นเรื่องที่เขาไม่รู้สัจธรรม แล้วเขาก็ทำ พวกเรานี่ เข้าใจชีวิตนี่จะต้องการอะไร

พระพุทธเจ้านี่ ท่านมีทุกอย่าง เมียสวยก็มี ใช่มั๊ย ทิ้งทรัพย์ศฤงคาร บ้านช่อง ฐานันดร ยศศักดิ์ มีหมด เพราะท่านมีบุญ ท่านเกิดมา ท่านก็มีแล้ว ท่านสั่งสมบุญแต่ละชาติๆ ยิ่งให้ไปยิ่งได้มา ยิ่งให้ไป ชาติหน้า ยิ่งได้มา มากกว่าเก่า อาตมาไม่กลัวเลย ชาติหน้า จะไม่หล่อเท่าชาตินี้ เพราะอาตมาพยายามเสียสละ สร้างสรร เบิกบานร่าเริง อาตมาไม่ทุกข์มาตั้งแต่ รู้แล้ว ไม่ทุกข์ไม่หม่นหมอง ไม่หน้างอ ไม่มานั่งหน้าบูด หน้าบึ้ง เกิดมาสบายใจเบิกบาน ใครมาด่า ก็ด่าไป เขาอยากด่าก็ด่าไปสิ ใครจะว่ายังไง ไม่ต้องไปบูดไปบึ้ง ไม่ต้องเศร้าใจเสียใจ ไม่ต้องไปน้อยใจทำไม อยู่ที่เราน่ะ เอ้า น้อยก็ทุกข์ เสียใจก็ทุกข์ โกรธก็ทุกข์ โกรธแล้ว ทำบ้าๆบอๆอีกด้วย แล้วไปโกรธทำไม สบายเบิกบานร่าเริง มาตั้งแต่ บัดโน้นถึงบัดนี้ แล้วมันก็ไม่หน้าย่น หน้ายู่ ไม่หน้าเขียว หน้าแดง มันก็หล่อของมันเองน่ะ เซลล์ก็ตาม จิตวิญญาณก็ตาม มันจะสะสม ต่อไป เรื่อยๆ ชาตินี้ชาติหน้าชาติไหน มันก็ไปอีก มันจะเป็นอีก เป็นไปตามธรรมที่เราทำ สร้างสรรเสียสละ อาตมา ไม่ต้อง คิดค่าแรง ถ้าจะคิดตามราคาที่ควรแล้วนี่ อาตมาทำงานที่ยาก ทำงานที่เป็นประโยชน์ ทำงาน ประเสริฐ ราคาค่าแรงนี่ ต้องแพง มันเป็นเศรษฐกิจที่หายาก เศรษฐกิจที่สอนคนให้เป็นอาริยะ นี่หายาก ครูที่สอนคนให้เป็นอาริยะนี่ หายาก ราคาการสอนนี่ ต้องแพงมาก เทศน์ทีหนึ่งนี่ ราคาต้องแพง ตัวอย่าง ที่เขาจ้างนักเศรษฐศาสตร์ มาจากต่างประเทศ ชั่วโมงหนึ่ง ไม่รู้ตั้งกี่ล้าน เกินสิบล้าน อาตมาเทศน์ นี่ เกินสิบล้าน เอ้า จริง เศรษฐกิจที่อาตมาสอนนี่ เป็นเศรษฐกิจ ที่เหนือชั้นกว่าเขาสอน เศรษฐศาสตร์ ที่เขาสอนนี่ เป็นเศรษฐศาสตร์บรรลัย เป็นเศรษฐศาสตร์ที่เอาเปรียบเอารัด ทำให้โลกนี่ลำบาก เดือดร้อน ไปทั่วโลก

แต่เศรษฐศาสตร์ที่อาตมาสอนนี่ ทำให้คนเป็นสุขทั่วโลก ถ้าเข้าใจเศรษฐศาสตร์ที่อาตมาสอน และก็ไปทำ เศรษฐศาสตร์ บุญนิยมนี่ โลกก็จะสบาย ทุกคนก็จะเป็นสุข คนก็จะไม่ไปเป็นหนี้ เป็นบาป เพราะฉะนั้น วิชาเศรษฐศาสตร์ ที่อาตมาสอนนี่ มันควรได้ค่าบรรยายแพงกว่านักเศรษฐศาสตร์ ที่เขาจ้างมาชั่วโมงหนึ่ง หลายสิบล้าน อาตมาบรรยายทีหนึ่ง จะต้องได้แพง กว่านั้น เพราะถ้าคิดค่าตัวแล้วนี่แพง แต่อาตมา ทำงานฟรี เพราะฉะนั้น สิ่งที่แพงๆ ที่ได้มานั้น อาตมาไม่เอา มันเป็นบุญ ของอาตมาทั้งนั้น เป็นรายได้ ของอาตมาทั้งนั้น โดยสัจธรรม ฟังดีๆ อาตมาทำงานฟรี ทำงานไม่เอาเงิน แต่ค่าตัวอาตมา ควรจะแพง เพราะมัน เป็นสิ่งที่หายาก เป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่ดี นี่ไม่ได้หมายความว่า ยกยอตัวเองหรอกนะ มันเป็น สิ่งจริง มันก็ต้องแพง แต่อาตมาไม่เอา อย่างนี้เป็นต้น

อาตมาจึงมีเกิน มีกำไร กำไรธรรมะนะ กำไรโดยสัจธรรม ทุกวันๆอาตมาก็ทำงาน ไม่มีวันหยุดมาตั้งสามสิบ กว่าปีแล้ว เสาร์-อาทิตย์ ก็ไม่หยุด หยุดก็เพราะป่วย ถ้าไม่ป่วยก็ทำ ทำได้ก็ทำ ไม่เคยขี้เกียจ ไม่รู้จะขี้เกียจ ไปทำไม ไปนั่งทอด…ไปนั่งเล่น อาตมาก็หยุดเล่นแล้ว ไม่รู้จะไปเล่นทำไม ก็ใช้พลังงาน แคลลอรี่ให้เป็น ประโยชน์ ก็ทำไป มันก็เกิดประโยชน์คุณค่า ไปขี้เกียจ มันก็สร้างนิสัยเลวให้กับตัวเอง ก็เลิกแล้วขี้เกียจ ขยันก็ทำไป เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียรไปเรื่อยๆ ถ้าจิตใจเรา ไม่ไปเห็นแก่ตัวเอง โอ้ย”ขี้เกียจๆ มันมาย้อนแย้ง อยู่ในตัว มันก็ไม่อยากหยุดหรอก แต่ถ้ามีขี้เกียจ มันก็อยากหยุด ถ้าไม่ขี้เกียจ มันก็ไม่อยากหยุด มันก็จะเมื่อย เท่านั้นเอง ก็รู้ตัวเองบ้าง รู้จักผ่อนคลาย รู้จักพักยกอย่างสมควร ถ้าทำงานมา หนักๆ ก็พัก ไม่หนักไม่เหนื่อย ทำต่อไปได้ก็ทำไปทั้งวัน วันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง ถึงเวลานอนก็นอน ถึงเวลาตื่น ก็ตื่นมา ให้มันหมุนเวียนได้สัดส่วน เป็นการหมุนเวียนที่ได้ระบบระเบียบดี เราก็เกิดร่างกายก็ดี จิตใจก็ดี ที่สร้างสรร ก็ได้สัดส่วน ทำมาทุกวัน อาตมาว่าอาตมาได้กำไรทางธรรมนะ คือไม่เอามาสะสมเป็นของตัวของตน ไม่ได้เงินได้ทอง ไม่ได้ข้าวได้ของ อะไรมา บุญอาตมาก็พอมี ทำแบบโลกๆก็ทำได้ ยิ่งมาทำทางธรรมนี่ ยิ่งวิเศษ ยิ่งหายาก ยิ่งมาเป็นโลกุตระ สอนโลกุตระ ทำให้คนพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษยชาติ เป็นอาริยบุคคล เป็นอาริยชน เกิดขึ้นๆในสังคมในโลก ยิ่งวิเศษใหญ่เลย ครูอาจารย์ หรือว่า นักวิทยากร จะใหญ่ จะสอน ศาสตร์นั้นศาสตร์นี้ จะบรรยายศาสตร์นั้นศาสตร์นี้ มีราคาการสอน การบรรยายแพงๆนี่ อาตมาก็ว่า อาตมา อยู่ในราคาการสอนศาสตร์นี่แหละ เป็นศาสตร์แห่งมนุษย์ที่แพง ไม่ได้น้อย แต่ว่าไม่มีใครเขาพูด ไม่มีใคร เขาเชื่อ ไม่มีใครเขายก อาตมายกตัวเอง แต่อาตมาว่า อาตมาไม่ได้พูดความผิด อาตมาพูดความจริงๆ

ที่พูด อย่างนี้นี่ อาตมาไม่ได้นึกผยองตัวเองเลย ไม่ได้นึกอยากอวดอยากอ้าง อยากยกอยากชู อยากเด่น ว่าตัวเอง เก่ง ตัวเองดี ทำสิ่งที่ดี ไม่ใช่ พูดความจริงสู่ฟังเท่านั้น ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แค่ไหนก็แล้วแต่ ไม่ว่ากัน ใครจะว่าก็ว่า อาตมายอมให้เขาว่า โอ้ย”อวดตัวอวดตน ใครไม่ยกก็ยกตัวเอง ก็รู้เอง ก็รู้สิไม่ว่าอะไร ใครไม่รู้ ก็บอกเขา อาตมาบอกคนไม่รู้นะ คนที่ไม่รู้ ก็ได้รับรู้บ้าง ก็เท่านั้นเอง ส่วนคนรู้ก็รู้ไปเถอะ แต่คน ที่รู้แล้ว ก็หาว่า อาตมาอวดตัว อาตมาบอกแล้วว่า อาตมาไม่ได้อวดตัว จะหมั่นไส้อาตมาก็แล้วไป เขาหมั่นไส้ ก็ทุกข์ของเขา อาตมาก็ไม่ได้เดือดร้อนด้วย หาว่าอาตมา อวดตัวอวดตน เขาก็ว่าอาตมา ก็แล้วไป ไม่เป็นไร เพราะฉะนั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ ถ้ามาศึกษาดีๆแล้ว เราจะได้ปฏิบัติตนเอง เป็นบุญไปตลอดชีวิต คุณเกิดมาจะเอาอะไร อาตมายกตัวอย่างให้ฟังแล้ว จะได้บาปได้บุญ หรือได้กรรม กรรมที่เราทำ นี่แหละ ไปเป็นทรัพย์ๆ ไม่มีอะไรอื่นเป็นทรัพย์หรอก ทำดีก็เป็นบุญ ทำชั่วก็เป็นบาป บุญบาปเป็นทรัพย์ เป็นของแท้ ติดตัวเราเองไป จนกว่าจะปรินิพพาน แม้แต่บรรลุเป็นโสดา สกิทา อนาคา ยังมีบาปมีบุญ มาเล่นงานเรานะ อย่างอาตมานี่ ถูกจับ ก็เป็นวิบากบาปเหมือนกัน แต่ว่าถูกจับนี่ ก็ไม่ได้เสียหายอะไร อาตมาพยายามทำ ให้มันเป็นประโยชน์ เอาวิกฤต ให้เป็นโอกาส ทำให้มันเกิดประโยชน์คุณค่าไป

แม้แต่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังมีอกุศล ต้องมาถูกเขาเอาช้างนาราคีรี มามอมเหล้า ให้มาชน จะให้มาแทงตาย จะต้องถูกเขามาด่า จะต้องถูกเขามาหาเรื่อง จะต้องปวดหัว จะต้องอะไร ท่านเล่าของท่านเอาไว้ว่า เพราะวิบากอันนั้นอันนี้ จะต้องถูกพระเทวทัต กลิ้งหินมาทับพระบาทห้อเลือด ก็เพราะว่าวิบากกรรมเก่าของท่าน ขนาดตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ยังมีวิบากบาปบ้าง แต่มันไม่มาก เพราะบุญของท่านเยอะ อาตมาก็มีบ้าง มากกว่าพระพุทธเจ้าๆ มากกว่าเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น บุญบาปนี่แหละ เป็นสิ่งที่เราจะได้อาศัย กัมมปฏิสรโน อาศัยไปตลอด จนกว่าจะปรินิพพาน ฟังดีๆ เราทำชั่ว ทำดีนี่แหละ เป็นสิ่งที่เป็นของแท้ มันเป็นทรัพย์ที่แท้จริงเลย อันอื่นมันไม่ใช่ เพชร นิล จินดา ข้าวของ ที่ดินที่นา ที่ไร่ที่บ้านอาศัยเท่านั้นเอง อาศัยใช้ถ้ายิ่งมาอยู่อย่างระบบเรานี่ มาร่วมกันทำ มาร่วมกัน สร้างสรร แล้วก็กินใช้ให้มัน น้อยลง ๆ ทำไมให้มันทรมานตน กินใช้น้อยลงนี่ร่างกายก็พอ ร่างกายต้องการ เท่านี้ มันกินเกินด้วยซ้ำไป ใช้เกินกินเกินมาซะเยอะ พอเรามาเลิก มาเรียนรู้แล้ว มันลดลง อีกตั้งเยอะ กินไม่เปลือง ใช้ไม่เปลืองเลย แล้วยังขยันสร้างสรร มากกว่าให้ตัวเองกิน ตัวเองใช้ เพราะฉะนั้น จึงกำไร กำไรทางธรรมนะ ไม่ใช่แบบโลกๆนะ มาจนนี่แหละกำไร มาเป็นคนจน ยิ่งจนยิ่งกินใช้น้อยลง ยิ่งสร้างสรร ได้มาก แล้วก็เสียสละ เกื้อกูล แจกคนอื่น บริจาคคนอื่นมากๆโอ้ยยิ่งกำไร นับไม่หวาดไม่ไหวเลย ฟังแล้ว ไม่งงนะ ยังงงอยู่หรือเปล่า ตอบหลายที มันยังเมาหมัด นี่คือธรรมะของพระพุทธเจ้าวิเศษอย่างนี้

อยากบอกพวกเราว่า ชีวิตของคนเรานี่ ตั้งแต่เกิดจนตาย กี่ชาติก็แล้วแต่ เกิดมาไม่รู้จะกี่ชาติๆ จนกว่า จะได้มาพบอาตมา มาพบศาสนาพุทธ และได้มาฟังธรรมนี้ ไม่ง่ายหรอก คนในโลกนี้มี ๖,๐๐๐กว่าล้านคน ตราหน้าได้เลย อีกหลายพันล้าน ไม่ได้มาฟังธรรมกับอาตมาหรอก แต่พวกโยมนี้ ได้มาฟังธรรมะ ที่อาตมา เอาของพระพุทธเจ้า มาสอนพวกโยม มาบรรยาย ให้ฟัง มีบุญแล้วได้ฟังธรรมะอย่างนี้ เคยได้ฟังมั๊ยล่ะ เออ ธรรมะแบบนี้ ไม่เคยได้ฟังหรอก พระพุทธเจ้าบอกว่า อานิสงค์ ของการฟังธรรม มี ๕ ประการ หนึ่ง ได้ฟัง สิ่งที่แปลกๆใหม่ๆ มันยังไงแปลก สอง เข้าใจยิ่งขึ้น โอ้อย่างนี่เหรอ (ไอ) อาตมาก็ยังงี้แหละ ใช้คอมาก โรคมันไม่มีอะไรหรอก มีคอนี่แหละ ใช้มาก มันเสื่อมไปตามธรรม อย่างอื่นมันไม่มีโรคอะไร โรคประจำตัว ไม่มี ๗๐ ยังแจ๋ว อาตมา เจ็ดสิบเอ็ด เจ็ดสิบสองแล้ว อายุมากแต่ยังไม่แก่ อย่าว่าอาตมาแก่นะ อาตมาอายุ ยาวเฉยๆ อาตมาจะพยายามจะเอาอายุตัวเองนี่ให้ได้ ๑๕๑ ปี จะพยายาม พอไหวมั๊ย เห็นท่าทีนี่ ๗๒ แล้ว พอจะไปถึง ๑๕๑ ได้มั๊ยนี่ ยังปึ๋งปั๋งอยู่เนาะ ยังแข็งแรงกระปี้กระเป่า คนเรานี่เกิดมาไม่รู้ตัวเอง เกิดมาตั้ง กี่ชาติๆแล้ว นับไม่ถ้วนเลย เกิดมากี่ชาติแล้ว แต่ไม่ได้เรียนรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า มันก็จะเป็น อย่างนั้น แหละ ทุกคนเหมือนกันหมด แม้แต่เรียนแล้ว บรรลุแล้วก็ตาม เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า รู้แล้วนะ แต่ละชาติๆ เป็นพระโพธิสัตว์ ไปสั่งสมบุญ รู้แล้วล่ะ ท่านรู้แล้วล่ะ ธรรมะของท่านตรัสรู้เป็นโสดา สกิทา อนาคา เป็นอรหันต์มาตั้งไม่รู้กี่ชาติ

พอเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดมาก็ถูกโลกมอมเมา ไปตามโลกเขา ตามโลกียะ มีลาภ ยศ สรรเสริญ พระราชบิดา ก็ยิ่งมอมเมาใหญ่เลย ให้อยู่ปราสาท สามฤดู ประคบประหงมด้วยกาม ไม่ให้เห็นคนเจ็บ คนป่วย คนตาย ไม่ให้พบ ป้องกันไปหมดเลย เพราะได้รับคำทำนาย ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า พระราชบิดา ก็เลยป้องกันใหญ่เลย ไม่ให้เห็นเลย ถูกมอมเมาใหญ่เลย ต้องไปแต่งงาน ต้องไปมีลูก ต้องไปอะไรอยู่แบบ โลกๆเขาพอสมควร สุดท้ายท่านเป็นตัวของท่านเอง ท่านรู้ตัวของท่านมา นี่เราถูกครอบงำ เหมือนลิงลม อมข้าวพอง ทำให้เมาไปตามโลกีย์เขา ถูกโลกีย์มันย้อมเหมือน…. เขาเรียกอะไร ลิงลมอมข้าวพอง เอาผ้า มัดตา แล้วก็ก้มลงไป แล้วก็ลุกขึ้นมา แล้วก็เมาจับคนโน้นคนนี้ เขาเรียกอะไร ไม่ใช่เมาหมัด เคยเล่นมั๊ย เอาผ้ามัดตาแล้วก็ก้มลงไป แล้วก็เขย่าให้มันเวียนหัว แล้วก็ปล่อยให้ลุกขึ้นมาเมา แล้วก็ไปไล่ จับเขา จับใครได้คนนั้นเป็นต่อ เอามามัดตา ผูกตาเขย่าต่อ อาตมาเคยเล่นตอนเด็กๆ ภาษาภาคกลางเขาเรียก ลิงลม อมข้าวพอง มันก็เหมือน โลกมันมามอมเมาเรา เกิดมาโลกมันก็มาครอบงำเรา มันก็เป็นไปตามโลก ต้องแย่งลาภ แย่งยศ ต้องแย่งสรรเสริญ ต้องแย่งกาม ต้องแย่งอัตตา พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ไปแย่งอะไร เท่าไหร่หรอก ท่านมีอยู่แล้วของท่าน แต่ท่านก็ถูกครอบงำ อยากจะให้ไปแย่ง เอายศให้ เอาลาภ เอาสรรเสริญ เอากามให้ เอาอัตตายัดเยียดท่านนะ ท่านก็ถูก โลกเขามอมเมา อยู่ชั่วระยะหนึ่ง พอรู้ตัวก็อายุ ๒๙ ไม่เอาแล้ว ออกบวชเลย ไม่เอาแล้ว

เหมือนอาตมานี่ ก็ถูกมอมเมามาตั้ง ๓๕ ปี อยู่ทางโลก ๓๕ พอ ๓๖ โอ้ย ไม่ไหวแล้ว เลิกแล้ว ก็ออกมา มาทำงานทางนี้ ก็สบาย ช่วยโลก แล้วก็ถ่ายทอดธรรมะ ของพระพุทธเจ้า มาจนป่านนี้ ทำงานมาสามสิบ กว่าปี แล้ว มันจะสะสมเป็น ของตัวเอง อย่างอาตมานี่ชาตินี้ อาตมาไม่เคย เรียนธรรมะมาเลยนะ ตั้งแต่ เป็นฆราวาสมา ตั้งแต่เด็ก จนกรทั่งโต จนทำงาน ไม่เอาใจใส่ ไม่เอาเรื่องเลย ธรรมะ ธรรมโมอะไร ไม่เกี่ยวข้องเลย ไม่เคยเรียน พอจะรู้ตัวแล้วก็ค่อยๆ เอ๊ะ! มันอะไรนี่ ธรรมะพระพุทธศาสนา มันเป็นยังไง ฟื้นตัวขึ้นมาพอสมควร ตรวจดูโน่นนี่ เอาหนังสือหนังหามาดู เอ้ายังงี้เหรอๆ ก็เข้าใจทันที ก็เลิกหลุด ออกมาเอง ไม่มีใครสอน อาตมาไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ แล้วก็ออกมาบวช บวชแล้ว ก็มาสอน อย่างที่สอน นี่แหละ สอนมาจนทุกวันนี้ สอนไม่เหมือนเขาด้วย ไม่เหมือนครูบาอาจารย์ทั้งหลายแหล่ ที่เขาสอนอยู่ ทางเถระสมาคม เขาถึงได้จับเอา เอาเข้าคุก สอนไม่เหมือนเขาหรอก ของอาตมาเองตั้งแต่ชาติก่อนๆ สั่งสมมา อาตมาเอา อันนี้แหละ มายืนยันมาพิสูจน์ ว่าอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ มาหลายชาติแล้ว แล้วชาตินี้ก็มาทำหน้าที่ต่อ ซึ่งอาตมา ก็บอกกัน อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ พูดมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่บวช เป็นพระโพธิสัตว์แล้วก็มาทำงานนี้ คนก็ฟังไม่รู้เรื่อง หาว่าอาตมาอวดตัวอวดตน

พอมาถึงวันนี้ สามสิบกว่าปีแล้ว ก็พอพิสูจน์ผลงาน เขาก็เลยว่า เออ มันอาจจะจริงเนาะ เอาธรรมะของ พระพุทธเจ้า มาตรวจสอบซิ ว่าคนเราลดละโลภ โกรธ หลง ลดละลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข โลกียะ มันจริงมั๊ย เอามาตรวจสอบ เออ มันจริงเนาะ เขาก็เลย ยอมๆอยู่บ้าง เออ มันทำได้นะ สอนให้คนมาเป็น อย่างนี้ หลายคนเป็นพระ ท่านเจ้าคุณปัญญานี่ ยังสงสัย ยังถามเลย เอ๊ะ โพธิรักษ์นี่สอนยังไงนะ ให้คน มาเป็นปึกแผ่น มาละลาภ ละยศ ได้ยังงี้ สอนยังไง ท่านเจ้าคุณ ปัญญานันทะ เคยปรารภอย่างนี้ ก็สอน อย่างที่อาตมาพูดนี่แหละ ก็ท่านสอนอย่างที่ท่านสอน ท่านไม่รู้จริงๆ ว่าท่านสอนยังไง ท่านสอนจนเดี๋ยวนี้ ท่านอายุ ๙๔ ปีแล้วนะ ท่านก็สอน มันก็ไม่มีกลุ่มหมู่อย่างนี้ ไม่มีคนมาเป็นกลุ่มหมู่ ประชาชน เป็นสังคม สังคมที่มีศีล๕ ศีล๘ ศีล๑๐ ฆราวาสก็มีศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ หรือศีลอื่นๆอีก ศีลโอวาทปาติโมกข์ศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลต่างๆยังมีได้นี่ ไม่ต้องไปนั่งอะไรเป็นอบายมุข เป็นเดรัจฉานวิชชา ทำได้จริงๆ

อาตมาก็สอนตามที่อาตมามีภูมิเดิม เอามาสอน ตรวจจากพระไตรปิฎกก็ยิ่งดี เอาคำสอนพระพุทธเจ้า มายืนยัน อ้างอิงตรงกัน เพราะใช้พระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน ก็เอามายืนยืนตรงกัน เขาก็เชื่อ ยอม หลายอย่าง เขายอม เพราะว่าใช้ พระไตรปิฎก เล่มเดียวกัน พระสูตรนั้น พระสูตรนี่อ้างเหมือนกัน แต่อธิบาย ไม่เหมือนกัน เท่านั้นเอง แต่ทีนี้อธิบาย ไม่เหมือนกันแล้ว มันสอดคล้องกับความหมาย มันสอดคล้อง กับความจริงมั๊ย มันสอดคล้องกับความจริงยิ่งกว่า อาตมาพิสูจน์แล้วว่า มาทำอย่างนี้แหละ สอดคล้องกับ ความจริงยิ่งกว่า มาเป็นคนไม่มีอบายมุข มาเป็นคนลดลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นคนลดโลภ โกรธ หลง คนที่นี่ไม่มีอาชญากรรม อยู่กันมาเท่านั้นเท่านี้ปี ไม่อาชญากรรมตีกัน ฆ่ากัน อย่างแต่ก่อนก็มีศีลน่ะ ไม่ทำหรอก หยาบคายรุนแรง ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวเขา เมียใคร อะไรอย่างนี้ ที่นี่ไม่มี มันก็ยืนยันได้ ของเขา มีมั๊ยล่ะ วัดนั้นวัดนี้ที่ว่าแน่น่ะ ตีกันโครมๆอยู่นะ ลูกศิษย์ลูกหา ก็ยังชัดกันอยู่เลย โกงอาจารย์ทำมาหากิน ร่ำรวยกัน อาจารย์ร่ำรวย ลูกศิษย์ก็ร่ำรวยตาม ยักยอกโกงทำโน่นทำนี่ เต็มไป หมดเลย มันก็พิสูจน์ได้ ยืนยันได้ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

พวกเราเกิดมาเป็นชีวิตแล้วนี่ จะมีชีวิตต่อไปอีก ตอนก่อนจะเป็นอรหันต์ ปรินิพพานไป ก็จะต้องเกิดอีก ตามวิบากกรรม เพราะฉะนั้น สั่งสมตามวิบากกรรม ที่เป็นกุศลนั่นล่ะ เป็นทรัพย์ไว้ อันนั้นล่ะ ที่เราจะ สะสมไว้ เป็นกัมมปฏิสรโน อาศัยอย่างอื่น ที่ยิ่งกว่าหรอก อาศัยที่ดิน อาศัยที่ตาย จากมันก็ไม่ใช่ของเราแล้ว แล้วสะสมไว้ชาตินี้ มีตั้งล้านไร่ ตายจากชาตินี้ มาเกิดชาติหน้า แล้วมาทวงเอาว่า นี่ชาติที่แล้วของฉันน่ะนี่ ที่ดินนี่ ต่อให้ ระลึกชาติได้ ฉันชื่อว่า นายก. โฉนดนี่ชื่อฉันอันเก่าเมื่อชาติก่อนนี่ ไปตามทั้งที่เขาโอน เป็นของ คนอื่น หมดแล้ว เขาก็ไม่เคยมีคุณหรอก จะมีที่ดิน ล้านไร่ ก็ไม่ได้เป็นของคุณ จะมีเพชรนิลจินดา ซักเท่าไหร่ ตายจากไปแล้วชาติหน้าต่อไป นี่จำได้เพชรนิลจินดาของฉันนี่ พิสูจน์ได้ว่าของฉัน เขาก็ไม่คืน คุณหรอก มันไม่ใช่ของคุณหรอก แต่กรรมเป็นของคุณ กรรมมันจะมาตาม จะให้มาทวง หรือเปล่า ก็ไม่รู้ มีที่ดิน ตั้งล้านไร่ แต่ไปเกิดเป็นหมู เป็นหมาก็ไม่รู้ ไปเกิดเป็นวัวเป็นควาย ใช้หนี้เขาอยู่ กว่าจะได้เกิดมา เป็นคน ไปตามหาหลักฐานที่ไหนก็ไม่รู้ ร้อยชาติพันชาติ กว่าจะได้เกิดมา ตกนรกนี่ไม่ใช่น้อยๆ ชาตินะ ตกนรก ทีหนึ่งนี่ ไม่ต่ำกว่า ๕๐๐ชาติ เคยอ่านพระไตรปิฎกกันมั๊ย ผู้ที่เคยอ่านพระไตรปิฎก ตกนรกนี่ ไม่ต่ำกว่า ๕๐๐ ชาติ ทีหนึ่งนี่ อัตราการลงโทษนี่ สูงกว่ากฎหมายไทยนะ กฎหมายไทยนี่อย่างต่ำ ก็ตลอดชีวิต ชาติเดียว แต่ตกนรก นี่หลายร้อยชาติ เป็นพันชาติ หมื่นชาติ ตกนรกหมื่นชาติก็มี ฟังให้ดีนะ คนเราเกิดมา ๑๐๐ ปี ตาย ไม่ต้องแค่ ๖๐ ปี ๗๐ ปีหรอก ๑๐๐ ปี ตายยังน้อยนัก มันสั้นนิดเดียว ฟังให้ดี คนเรานี่เกิดมา เวียนวน อยู่ใน วัฏฏสงสารนี่ มันมากมาย

พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราตายเกิดนี่ เอาน้ำตาของใคร เกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นคนเป็นอะไรแล้วแต่ มีน้ำตา เมื่อไหร่ มารองไว้ มากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่ๆ ในโลกนี้มันมีมหาสมุทรที่ใหญ่ อยู่สี่มหาสมุทรเท่านั้นแหละ ในโลก น้ำตาคนนี่มันมากกว่า มหาสมุทร ทั้ง ๔ ถ้าจะเอากระดูก เกิดเป็นหมาก็เอากระดูกมา เกิดเป็นช้าง ก็เอากระดูกช้างมา เกิดเป็นวัวเป็นควาย ก็เอากระดูกวัวควายมา เกิดเป็นคนกี่ร้อยชาติมา ก็เอากระดูกนั้น มากองๆไว้ กระดูกของแต่ละคนนั้น กองเท่ากับภูเขา เวฬุบรรพต พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เกิดมาไม่รู้ กี่ชาติแล้ว เอามากองรวมกันนี่ ไว้ที่ภูเขาเวฬุบรรพตๆ เป็นภูเขาที่ใหญ่ที่สุด ในสมัยนั้น สูงที่สุด ใหญ่ที่สุด น้ำตาเท่า๔มหาสมุทร มันจะขนาดไหนดูซิ ไม่น่าเชื่อ เพราะฉะนั้น อย่าไปประมาท พยายาม ฟังธรรมไปแล้ว วันนี้ ได้ฟังอะไรใหม่ๆ ได้ฟังอะไรดีๆ ชัดเจนแล้ว เร่งเถอะ หลายคนอายุมากแล้ว อย่าช้าอย่ารอ

อาตมาเทศน์ไปเทศน์มา ให้เวลา ๗ โมงก็ยังไม่พอ มันเลยเวลาไปแล้ว ก็ขออภัยนะ ไปเร่งรัดพัฒนา ทรัพย์แท้ๆ อยู่ที่กรรม ของเราที่ทำ อันอื่นไม่ใช่ทั้งสิ้น ดินน้ำลมไฟ ทรัพย์ศฤงคาร เพชร นิล จินดา ที่ดิน บ้านช่องเรือนชาน ผู้คน คนนั้นเมียเรา คนนั้นผัวเรา คนนั้นลูกเรา คนนั้นหลานเรา ไม่ใช่ทรัพย์ของเราทั้งสิ้น ตายจากไปแล้ว มันก็เป็นไป ตามวิบากทั้งนั้น ชาติหน้านี่ จะมาตู่ว่า นี่ผัวฉัน นี่ลูกฉัน นี่เมียฉัน ไม่มี ชาติไหน ก็แยกกันไป เป็นคนละตัว คนละแท่ง คนละชิ้น คนละส่วน คนละตอน มันไม่ใช่ มันเลิกกันไป หมุนเวียน เปลี่ยนแปลงกันไปหมด แต่กรรมเท่านั้น เป็นของของตน จำไว้ ไปสั่งสมกรรม ให้ดี ก็ขอให้ทุกๆ คน ไปพยายามพากเพียร ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไปตั้งหน้าตั้งตาสั่งสมกรรม ที่เป็นกุศล ให้แก่ตัวเองๆ ให้ได้เป็นกุศล โดยเฉพาะให้ได้เป็นโลกุตระกุศล เป็นกุศลในระดับ อาริยธรรม นั่นล่ะยิ่งประเสริฐที่สุด ก็ขอให้ทุกคน ฟังธรรมแล้วเอาไปทำ ให้ได้รับธรรมะตามสมควรแก่ธรรม ทุกๆคนเทอญ….

สาธุ…..