ยิ่งเชื่อสนิท ถ้ามีวิชชา ๓
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๓๕
ณ ปฐมอโศก


เริ่มต้นฟังธรรม ฟังวิชชยสูตร ในพระไตรปิฎกเล่ม ๒๔ ทสกนิบาต อันนี้ หมวด ๑๐ วิชชยสูตร ที่จริงก็เป็นสูตรที่เราเคยได้ยิน ได้ฟังมาแล้ว โดยเนื้อหาหลักก็เป็นเรื่องของศรัทธา นี่ มันต่อจากสัทธาสูตร สันตสูตร มา ก็มาถึง เนื้อหาของส่วนย่อย รายละเอียด ที่ท่านบรรยายซ้อนๆลงไปอีก ฟังดู ข้อ ๑๐ ในเล่ม ๒๔

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา แต่ไม่มีศีลอย่างนี้ เธอชื่อว่า เป็นผู้ไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น มีศรัทธาเฉยๆ ไม่มีศีล กำหนด ไม่มีศีลควบ ไม่มีศีลกำกับ ก็ถือว่าไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น เราอาจจะไม่บรรยาย รายละเอียดมากนัก ไม่ขยายมากนัก ในเรื่อง ของศรัทธา ที่เราพูดกันถึงบ่อยแล้ว ศรัทธาด้วยศีล มีศีลเรียกว่า บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น จากศีล แล้วก็จะมีพหูสูต อะไรไปนี่ ไล่จนกระทั่งถึง ๑๐ นี่ แต่ในนี้ ท่านจะซอยในองค์ที่ ละเอียดเข้าไปอีก

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา แต่ไม่มีศีลอย่างนี้ เธอชื่อว่า เป็นผู้ไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น เธอบำเพ็ญองค์นั้น ให้บริบูรณ์ ด้วยคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล เมื่อนั้น ชื่อว่าเป็นผู้บริบูรณ์ ด้วยองค์นั้น

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล แต่ไม่เป็นพหูสูต ไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น เพราะฉะนั้น ต้องเป็นพหูสูต ทีนี้ แม้เป็นพหูสูต มีศรัทธา มีศีลแล้ว ก็เป็นพหูสูตแล้ว แต่ไม่เป็นธรรมกถึก ก็เหมือนกัน ก็ไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น เพราะฉะนั้น ไฉนหนอ เราจะต้องเป็นผู้มีศรัทธา มีทั้งศีล เป็นพหูสูต แล้วก็เป็นธรรมกถึกด้วย ทีนี้เป็นธรรมกถึก แต่ไม่เข้าสู่บริษัท ยังเป็นผู้โดดเดี่ยว อยู่นั่นแหละ เข้าสู่บริษัท สัมผัสอะไรก็ไม่ได้ ก็ยังไม่เป็นผู้มีศรัทธาที่บริบูรณ์ ต้องบริบูรณ์ด้วย ก็ต้องฝึกปรือ ไปจนกระทั่ง เข้าสู่บริษัทได้

ทีนี้เข้าสู่บริษัท แต่ไม่แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท คือยังไม่อาจหาญ ยังไม่แกล้วกล้า ยังจะพูดอะไรต่ออะไร บรรยายอะไร บอกอะไรอะไร ก็ยังไม่มั่นใจ ก็แสดงว่า ศรัทธานั้น ยังไม่เป็นศรัทธินทรีย์ ยังไม่เป็นศรัทธาพละ ที่สมบูรณ์เหมือนกันนั่นแหละ ยังไม่บริบูรณ์ ด้วยองค์นั้น เพราะฉะนั้น จะต้องเป็นผู้ที่เข้าสู่บริษัท แล้วก็แกล้วกล้าแสดงธรรม แก่บริษัทด้วย แกล้วกล้า แสดงธรรมแก่บริษัท แต่ไม่ทรงวินัย ก็เหมือนกัน ก็จะต้องพยายามให้ทรงวินัย ศึกษาองค์ประกอบหลักเกณฑ์ ที่มันควร ไม่ควรอะไรมากขึ้น หรือ วินัยอันยิ่ง ที่เราจะต้องรู้ จะต้องเข้าใจลึกซึ้ง ซ้อนเชิงขึ้นไปอีกมากมาย

เมื่อเราทรงวินัย แต่ระลึกไม่ได้ถึงชาติก่อน ฟังอันนี้ซ้อนแล้วละเอียด แล้วตอนนี้ เป็นผู้ที่มีศรัทธา มีศีล เป็นพหูสูต แล้วก็เป็น ธรรมกถึก เข้าสู่บริษัทได้ แล้วก็แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท ทรงวินัยด้วย แต่ระลึกไม่ได้ถึงชาติก่อนเป็นอันมาก ฟังให้ดี ตอนนี้จะขยายตรงนี้แหละ คือระลึกไม่ได้ถึงชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัป เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏกัป วิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุข เสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติ จากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้ชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุข เสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติ จากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกไม่ได้ ถึงชาติก่อนเป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ระลึกถึงชาติก่อน ได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ ไปจนกระทั่ง สังวัฏกัปวิวัฏกัปเป็นอันมาก พอไม่ได้แล้ว จนกระทั่ง มาได้พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ แต่ไม่เห็นหมู่สัตว์ ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงส่วนของมนุษย์ ไม่รู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ว่าสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วย กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า มิจฉาทิฐิ ยึดถือการกระทำ ด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เมื่อตายไป เขาเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฐิ เมื่อตายไป เขาเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ ไม่เห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ได้ทิพยจักษุ ล่วงจักษุของมนุษย์ ไม่รู้ชัด ซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้

จนกระทั่ง เห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุมนุษย์ ฯลฯ ตอนนี้ เห็นแล้ว ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ คือ จุตูปปาตญาณ เมื่อกี้นี้ ตอนแรกนั้น บุพเพนิวาสานุสติญาณ อันนี้ จุตูปปาตญาณ

ทีนี้ เมื่อจุตูปปาตญาณได้แล้ว แต่ไม่ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลาย สิ้นไป ด้วยปัญญา อันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่อย่างนี้ เธอชื่อว่าเป็นผู้ไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น เธอพึงบำเพ็ญองค์นั้นให้บริบูรณ์ ด้วยคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล เป็นพหูสูต เป็นพระธรรมกถึก เข้าสู่บริษัท แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท ทรงวินัย ระลึกถึงชาติก่อน ได้เป็นอันมาก ก็เหมือนเดิม เมื่อกี้นี้ คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง ไปจนระลึกถึงชาติก่อนได้ เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ แล้วเห็นหมู่สัตว์ ที่กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ รู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ซึ่งเป็นไปตามกรรม ด้วยประการ ฉะนี้ กระทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล เป็นพหูสูต ธรรมกถึก ผู้เข้าสู่บริษัท แกล้วกล้าแสดงธรรมกับบริษัท ทรงวินัย ระลึกถึงชาติก่อน ได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ ระลึกถึงชาติก่อน ได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ เห็นหมู่สัตว์ที่ กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ รู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ซึ่งเป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ กระทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญา อันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ เมื่อนั้น เธอชื่อว่า เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยองค์นั้น ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรมะ ๑๐ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ก่อให้เกิด ความเลื่อมใส โดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง วิชชยสูตรก็คือ วิชชา เป็นผู้ที่ ถึงซึ่งวิชชา เราได้ฟังสัทธาสูตรก็ดี สันตสูตรก็ดี โดยเฉพาะสัทธาสูตร ที่จะบริบูรณ์ด้วยองค์ทั้ง ๑๐ เราก็ฟังมาแล้ว บางคนก็ได้ท่อง ได้จำมาบ้าง ใครที่ท่องจำไม่ได้ ก็ควรจะจำได้บ้าง จะได้เข้าใจ มันเป็นเนื้อหา เป็นรายละเอียด ที่มันซ้อนเสริม ที่เราปฏิบัติแล้ว มีนัยเหล่านั้นจริง มันก็เกิดผลจริง ปฏิบัติแล้ว เราเกิดศรัทธา จะเป็นศรัทธินทรีย์ จะเป็นศรัทธาพละ นี้มีเนื้อหาของ ความเป็นจริง ตามความเป็นจริง ภาษาที่ท่านบอกนี่ เราก็รู้ความหมาย เข้าใจความหมายได้ดีเข้าไป เราก็มั่นใจ มันจะเกิดศรัทธาจริงน่ะ ศรัทธานั้นเกิดเพราะมี อันนี้ๆประกอบ มันจะเข้าใจว่า ความจริง อ้อ มันเป็นอย่างนี้เอง ถ้าศรัทธาทาง แรก ในโลกคนศรัทธาไป ก็ศรัทธาไปเรื่อยๆ ศรัทธาไปตามโลก ตามโลกีย์ เขาก็เป็นกันอยู่อย่างนั้น เพราะเขาไม่ได้ศึกษาธรรมะ ทีนี้เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า ศึกษาธรรมะ ก็ อ๋อ ศรัทธานี่ไม่ได้เชื่อ สะเปะสะปะ เชื่อว่ารดน้ำมนต์ดี เชื่อว่าไปหาเงินมามากๆ แล้วนี่แหละ คือความประเสริฐของมนุษย์ในโลกเท่านั้น มันก็เชื่อแค่นั้น มันก็บุกบั่น ไปหาเงินหาทอง ทุจริตก็ไม่รู้ หรือได้เปรียบ เอาเปรียบใครเขามา ตามหลักเกณฑ์ของโลก

โลกทุกวันนี้ มันได้เปรียบ มันหาทางเอาเปรียบ มันตั้งหลักเกณฑ์ได้เปรียบกัน ทั้งนั้นแหละ มันไม่สุจริตหรอก มันฉ้อฉล ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าโลกที่ไหน จะระบอบการปกครองไหนก็ตาม อาตมาขอยืนยันเลย มันไม่เรียบร้อย มันไม่เป็นบุญหรอก มันฉ้อฉล มันเอาเปรียบ เพราะความขี้โลภ แก่ตัว มันจะต้องมักได้ เพราะฉะนั้น หลักเกณฑ์ใดตั้งขึ้นมา จนคนจำนนแล้ว ยิ่งเป็นกฎหมาย เป็นหลักเกณฑ์ ของสังคม อัตราค่าตัว ราคาอันโน้นอย่างนั้น อย่างนี้ ทำไปได้มากเท่าไร มันก็ยิ่งชอบ เพราะความโลภมันสมใจ มันก็อย่างนั้นน่ะ แล้วมันจะไปเอาความจริง มันจะไปเอา อะไรตัดสิน ถ้าเผื่อว่าไม่สุจริต ไม่เอาหลักการเสียสละ เป็นหลักจริง อย่างเรานี่ หลักการเสียสละ มันอาจไม่ยุติธรรม เรียกยุติธรรม คือมันไม่เป็นไป ตามยุติธรรม หมายความว่า ต่างคนต่างลงตัว ยุติธรรม นี่หมายความว่า มันเสมอภาคกันจริง เราอาจเสียเปรียบ แต่สุจริต เราอาจเสียเปรียบ นี่แหละคือเราเสียสละ อย่างระบบ บุญนิยมของเรา นี่ เรายินดีจะเสียสละ เรายินดีที่จะเป็น ให้เขาได้ มากกว่าเราได้ เขาเป็นผู้ได้เปรียบ เพราะเราสละอย่างนี้ เรียกว่า มันอาจจะไม่ดูยุติธรรม ตามสังคมโลกเขาว่า เขามองเห็น ไอ้พวกนี้นี่ มันอะไร มันมายอมเสียเปรียบ มันมอซอ มันไม่ถูกต้อง เขาก็ว่าไม่ถูกต้องด้วยนะ เขาว่า คือความรู้สึกว่า มันไม่ยุติธรรมด้วย เขาว่าอย่างนี้มันไม่ถูกหรอก อะไรกัน มาเป็นผู้อด ผู้อยาก ผู้จะไปให้คนอื่นเขาได้มากมาย อย่างนี้ก็ทำให้ คนอื่นเขาได้เปรียบ อะไรอย่างนี้ มันก็จริง แต่เราถือว่าสุจริต เพราะว่าอย่างนี้แหละดี เราฝึกให้ เป็นผู้เสียสละอย่างนี้ดี สุจริต ฝึกจริตให้เราดี เราก็ทำจริงๆด้วย เพราะฉะนั้น เราเอง เราจะเชื่อศรัทธา เชื่ออย่างนี้ มันก็มีทิศทาง

แต่ถ้าเผื่อว่า เราไม่เชื่ออย่างนี้ เราเชื่ออย่างแต่ก่อน เป็นปุถุชน เป็นคนโลกีย์ ก็เชื่อไป ไม่มีหลักเกณฑ์อะไร ทีนี้ ถ้าเรามา ศึกษาแล้ว มันก็มีหลักเกณฑ์ ศีลของพระพุทธเจ้า นี่ จะขัดเกลา ขัดเกลาให้เราเสียสละโลภ โกรธ หลงลงไปจริงๆ มันจะละโลภ โกรธ หลง ลงไปจริงๆ จึงเป็นศรัทธาที่มีทิศทาง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีศีลแล้ว ไม่มีทิศทาง นี่เป็นอันแรก พอมีทิศทางแล้ว เราก็ปฏิบัติ พิสูจน์ มีพหูสูต เป็นพระธรรมกถึก เข้าสู่บริษัทได้ แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท ทรงวินัย จากทรงวินัยไปนี้แหละ วิชชยสูตร เมื่อกี้นี้ ต่อจากทรงวินัย ต่อมาก็เป็นเตวิชโช ระลึกชาติไม่ได้ ถึงชาติก่อนบ้าง ก็จะต้อง ให้ระลึกชาติได้ ไม่มีทิพยจักษุ ไม่มีจุตูปปาตญาณ ก็จะต้องให้มี จุตูปปาตญาณ ไม่มีอาสวักขญาณ ก็จะต้องให้มี อาสวักขยญาณ นี่สรุปเรื่องนะ เดี๋ยวค่อยดูรายละเอียดอีกทีหนึ่ง

จากที่เราเคยจำได้ ในสัทธาสูตรมา พอทรงวินัยแล้วก็ ต่อจากนั้นก็คือ อยู่ป่าเป็นวัตร หรือจิตยินดีในความสงบสงัด แล้วก็มี ฌาน ๔ แล้วจึงเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ ๓ เหมือนกัน อันนี้ก็ ๓ ท่านเอาเตวิชโชมาแทน แทนจิตสงบ ยินดีในความสงัด หรือเราใช้ศัพท์สำนวนว่า อยู่ป่าเป็นวัตร หรือว่าเสนาสนะอันสงัด ยินดีในเสนาสนะอันสงัด กับได้โดย ไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก ในฌาน ๔ แล้วก็ อุภโตภาควิมุติ ท่านก็เอา ๓ อย่างนี้มาแทน ๓ อย่างที่ในสัทธาสูตร จากทรงวินัย แล้วก็มา เตวิชโช เราควรจะต้อง ได้รับซับซาบ ว่าทำไม ท่านเอามาแทน มันไม่เหมือนกัน ท่านบอก มันเหมือนกัน แต่ว่า ทำไมถึง เป็นสูตรที่ต่อๆมานี่ พระเกจิอาจารย์ ก็เอามาเรียง โบราณาจารย์ก็เอามาเรียงไว้ วิชชยสูตร มาเรียงต่อจาก สัทธาสูตร ต่อมาจากสันตสูตร ซึ่งเนื้อหาหลักก็คือ ศรัทธาอันเดียวกัน แล้วก็ไม่ได้ผิดเพี้ยน นั่นแหละ เราจะเอาอันนี้ไปใช้ก็ได้ สัทธาสูตร หมวด ๑๐ นี้ไปใช้ก็ได้ เรามีศรัทธา ถ้าไม่มีศีล ก็ไม่บริบูรณ์ มีศีลไม่เป็นพหูสูต ก็ไม่บริบูรณ์ มันต้องเป็นให้ได้ มีให้ได้มา จนกระทั่ง มาถึงทรงวินัย แล้ว เราต้องมี บุพเพนิวาสานุสติญาณ ถ้าไม่มีบุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็ไม่บริบูรณ์ด้วยองค์ที่ ๘ จะต้องบริบูรณ์ด้วยองค์นั้น จะต้องมี บุพเพนิวาสานุสติญาณ

มีบุพเพนิวาสานุสติญาณ แต่ไม่มีจุตูปปาตญาณ เราก็ไม่บริบูรณ์ขึ้นไปอีก โดยศรัทธา ที่จะบริบูรณ์สมบูรณ์สูงสุด เราจะต้องมี จุตูปปาตญาณอีก สมบูรณ์จริง มีจุตูปปาตญาณแล้วไม่มีอาสวักขยญาณ ศรัทธานั้นก็ไม่บริบูรณ์อีกจนได้ เราจะเอา ๑๐ อันนี้ ๑๐ หลักนี้ ไปใช้เลยก็ได้ ก็เหมือนกันแหละ จะบอกว่า เรายินดีในเสนาสนะอันสงัด คือจิตจะยินดีจริงๆน่ะ อาตมาอธิบายแล้ว ไม่ใช่ว่า เรายินดีจะอยู่ป่า แล้วไปเอาติดอยู่แต่แค่ บัญญัติ ภาษา บุคคลาธิษฐาน เสนาสนะอันสงัด ก็ไปติดเสนาสนะ เป็นที่ดิน ที่อยู่ ที่เป็นพื้นภูมิข้างนอก ความจริงมันไม่ใช่ มันไหลเลื่อนเข้าไปสู่นามธรรม ยิ่งมาถึงสูตรนี้ ยิ่งยืนยันชัดเลยว่า มันไม่ได้หมายความ ถึงป่านอกแล้ว มันหมายถึงป่าในใจ สงบสงัดนี่ เราก็จะต้องทบทวน บุพเพนิวาสานุสติญาณเข้าแทนอยู่ ยินดีในเสนาสนะอันสงัด นี่ มันก็ชัดเจนว่า เราจะต้องตรวจสอบ ถึงป่าในใจเราแล้ว ทบทวนบุพเพนิวาสานุสติก็ระลึก ในนี้เอาอย่างนี้เลย เราระลึกได้ชาตินั้น ชาตินี้ ก็คือการระลึกทวนดูว่า เราเกิดการเกิด ถ้าคุณยิ่งระลึกได้ ถึงตัวถึงตนเลยว่า เกิดชาติโน้น ชาตินี้ จะเอาหยาบก่อน เป็นเนื้อหาภาษา บุคคลาธิษฐาน ก็เกิดชาติแต่ก่อนนี้ เกิดเป็นนายก. นางข. อะไร หรือเกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นสัตว์นรก เกิดเป็นนั่น เป็นนี่ เป็นอะไรก็เอา

แต่นี่ท่านก็ไม่ได้พูดรายละเอียดอย่างนั้น ก็ตามเถอะ ได้หลายชาติ ต่อไปก็หมายความว่า ได้การระลึกย้อนถึง ความเกิด ที่ผ่านมาแล้ว ในอดีต นั่นเอง บุพเพก็คือ แต่เก่า แต่ก่อน ที่ผ่านมาแต่เก่าแต่ก่อน เพราะการระลึกชาติ ประเภทที่เรียกว่า ข้ามชาติ ไปถึงชาติโน้น ชาตินี้นี่ยาก เป็นตัวเป็นตนนี่ ต้องใช้ฌาน แบบจิต พลังจิตที่จะต้องเข้าไปสู่ภพที่ลึกซึ้ง อย่างสัญญา ตามทวนกลับ ไปสู่จิต เจตสิก จิตวิญญาณที่เป็นสัญญาเก่า ระลึกไปอีกไกล ซึ่งต้องใช้พลังจิตที่ละเอียด ลึกซึ้ง ซึ่งเราจะต้อง ไม่มีอะไรกวน แล้วทำได้อย่างยาก ไม่ใช่ง่าย ไม่ใช่ง่าย ส่วนมากระ ลึกชาติแบบนี้น่ะโกหก เป็นอุปาทาน ส่วนมากปั้นเอง ระลึกเอง ระลึกไปแล้ว ก็เพ้อ เป็นภพ เป็นชาติ เป็นเรื่อง เป็นราวว่า ตัวเองเกิดเป็นนั่น เป็นนี่อะไรอะไรต่ออะไร ส่วนมาก เป็นอุปาทาน ส่วนมาก เป็นตัว จิตประหวัด จิตไปสร้างอะไรต่ออะไร นึกว่าเป็นจริง ปรุงเอาเอง มีนิมิตขึ้นมาด้วยก็ได้ เป็นมโนมยอัตตาเองได้ อุปาทานก็ได้ ส่วนมากปลอม อย่างระลึกชาติ ยิ่งไปเอาตัวตนอย่างนั้นน่ะ ระลึกปลอม

ความจริงแล้ว ถ้าเผื่อว่า เราเรียนรู้จิตที่เป็นไปตาม พุทธวิชชา ไม่ต้องไประลึกชาติ อย่างนั้นหรอก ระลึกชาติสิ่งที่บุพเพ ก็คือ ผ่านมานาทีที่แล้ว ชั่วโมงที่แล้ว วันที่แล้ว เราผ่านอะไรมาละ เราผ่านกรรมกิริยา อะไรมา เราผ่านบทบาทอะไรเกิด โดยเฉพาะ กายกรรมเกิด วจีกรรมเกิด มโน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มโนกรรมมันเกิด ความเกิดอันนี้ เป็นการเกิดที่เรา เรียนแล้ว ยิ่งเป็น โอปปาติกโยนิ เป็นการเกิดทางจิตวิญญาณ จิตเกิดดี เกิดชั่วนี่แหละ ในภาษาที่บอกว่า ได้ดี ตกยาก อะไรนี่ก็ตาม เราระลึก ชาติได้ เราก็บอกว่า จากชาตินั้น ไปชาตินี้ ในรายละเอียดของท่านบอกไว้ว่า สังวัฏกัป วิวัฏกัป อะไรนี่ ก็ตามใจ สังวัฏกัป กับวิวัฏกัป นี่เป็นกัปที่เราจะต้อง เข้าใจรายละเอียดความหมายนี้ ให้ดีขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง สังวัฏกัป ก็คือหมายความว่า คนที่เกิดไปตามธรรมดา อย่างที่เป็นธรรมชาติของวัฏฏะ วัฏกัป ก็คือสังวัฏกัป วัฏฏะธรรมดาที่มันเกิดแล้วก็ตาย เกิดแล้วก็ตาย ตายแบบมนุษย์ธรรมดา เป็นชาติๆ เป็นมนุษย์ปุถุชน

ปุถุชนเกิดแล้วก็ตาย ปุถุชนเกิดแล้วก็ตาย ก็ไม่ใช่เรื่องวิเศษอะไร ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น การเกิด การตาย ของมนุษย์ ธรรมดา เราก็ระลึกได้ เรียกว่า สังวัฏกัป ทีนี้ การเกิดการตายของ วิวัฏกัป ก็คือไม่ใช่วัฏฏะธรรมดา เป็นการเกิด การตายของ วัฏสงสาร ที่เป็นไป โดยการเจริญขึ้นแล้ว เช่นว่า คุณระลึกดูการเกิด การตายของจิตวิญญาณอย่างนี้ เป็นต้น มีปัญญาทาง ปรมัตถ์ การเกิดทางจิตวิญญาณ นี่การเกิดทางโอปปาติกะ จิตวิญญาณเราเกิดเป็นสัตว์นรก จิตวิญญาณเกิดกิเลส เกิดกิเลส นั่นแหละ สัตว์นรก เราเกิดเป็นสัตว์นรกดู เป็นสัตว์ที่ต่ำ หรือการตายของความเป็นสัตว์นรก การตายของจิตวิญญาณ การตายของกิเลส การตายทางจิตวิญญาณ อย่างนี้เรียกว่า การระลึก ดูรอบ การเกิด การตายวัฏฏะของสิ่งที่วิเศษ สิ่งที่ ไม่ใช่ธรรมดา วิ นี่ มันแปลว่าไม่, วิ นี่แปลว่ายิ่ง เป็นเรื่องของความยิ่ง ไม่ใช่วัฏฏะธรรมดา ไม่ใช่วัฏฏะอย่างโลกๆ แต่เป็น วิสามัญ เป็นวิสังขาร เป็นวิวัฏฏะ เป็นเรื่องของวัฏฏสงสาร เป็นวัฏฏสงสารพิเศษ เพราะฉะนั้น ผู้ใดระลึกชาติเกิดได้ในจิต เป็นชาติของ การเกิด การวนเวียนอยู่ในจิต วนเวียนของกิเลส ถ้าเรามีจุตูปปาตญาณต่อไป เราก็จะรู้ความเกิด ความดับ ของกิเลสนั่นอีก เพราะฉะนั้น การเกิด การดับ จุตูปปาตญาณ นี่คือ จุติ กับอุบัติ การจุติ ก็คือการเปลี่ยน การเลื่อน เพราะฉะนั้น ท่านถึงใช้ภาษา ท่านไม่ได้ใช้ว่า มรณะ

การตายท่านไม่ได้เรียกว่ามรณะ การเกิดท่านก็ไม่ได้เรียกว่าอุบัติ หรือ อุปาติ อุปาต ท่านเรียกการเกิด อุบัติได้ แต่ว่าการตาย ท่านไม่ได้เรียกว่า มรณะ ท่านเรียกจุติ จุตินี่แปลว่าเคลื่อน แปลว่าย้าย แปลว่าเปลี่ยนได้ จุติแปลว่าเคลื่อน แปลว่าย้าย แปลว่า เปลี่ยน หรือแปลว่าตายก็ได้ ถ้าจุติอย่างเด็ดขาด เปลี่ยนแล้ว เคลื่อนย้ายจากการเป็นสัตว์นรกแล้ว ไม่จุติ เป็นสัตว์นรกอีก แต่จุติเป็นเทวดา จริงๆแล้ว เกิดหรือเคลื่อนย้ายมาอยู่ในฐานใหม่จริงๆแล้ว มั่นคงแล้ว ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา ก็เรียกว่า คุณจุติอย่างเด็ดขาด จุติเป็นอุบัติเทพ เป็นวิสุทธิ เทพ เป็นเทวดาที่ไม่ใช่เทวดาหัวหกกันขวิด ที่จะวนเวียนเกิด วนเวียนตาย เป็นสังสารวัฏ อยู่อย่างนั้นแล้ว เรียกว่า สังวัฏฏะ หรือ สังสารวัฏ อยู่อย่างเดิม แต่ก่อนนี้ ไม่แล้ว เป็นวิวัฏกัปแล้ว เป็นการ เกิดใหม่ เป็นการไม่เกิดแล้ว อย่างที่ จะเลื่อนลง แต่เกิดใหม่แล้ว เกิดเป็นสัตว์ใหม่ ที่จะไม่เกิดอย่างเก่า แต่จะเกิดอยู่ ในภพใหม่ ที่เจริญ เป็นภพเทวดาที่จริง ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา อย่างนี้ เรียกว่าอยู่ ในวิวัฏกัป เรียกว่ากัป เป็นวิวัฏกัป นี่ก็ เราก็จะต้องรู้ว่า การเกิด ทางจิตวิญญาณ นี่แหละ สำคัญ จึงเรียกว่าวิวัฏกัป

ผู้ใดระลึกไม่รู้ ผู้ใดเข้ารู้ไม่ออก แม้แต่ความหมายก็ยังไม่เข้าใจ หรือความหมายแล้ว ก็จับสภาวะไม่เป็น ผู้นั้นก็ไม่รู้ หรือ จับสภาวะเป็น เราก็รู้ว่า เราระลึกเห็นได้ในวิวัฏกัป ว่าเรามีจุตูปปตญาณ มีการเกิด การดับจริงไหม

บุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็ทบทวน อาตมาเคยบอกพวกเรา ถึงเวลาจะนอน หรือเวลาว่าง เวลาจะพักผ่อน เวลาโน่นนี่ ก็ระลึกย้อน ความจริง ในขณะที่นั่งฟังธรรม อาตมานี่ก็ระลึกย้อนอยู่ได้ อาตมาพูดไป ทวนไปนี่ มันก็ระลึกย้อนอยู่ ทุกคน นั่นแหละ น้อยมาก ก็แล้วแต่ อาตมาพูดไป ก็เทียบกับตัวเอง มันก็ระลึก ย้อนสิ่งที่เราเกิด สิ่งที่เราผ่านมานั่นแหละ สภาวะจริง ที่เราได้ประสบ ทีนี้ นัยที่ชัดขึ้น ก็ต้องละเอียดลงไปแน่ๆเลยว่า แล้วเป็นยังไง เรารู้ความเกิด ความดับจริงไหม จริง คราวนี้ กิเลสเกิดตอนนั้น แล้วเราต่อสู้ หรือเราไม่ได้ต่อสู้ ปล่อยให้กิเลสมันกินตัว เสร็จแล้ว กิเลสก็อ้วน กิเลสก็เจริญงอกงาม กิเลสก็ยิ่ง มีกำลังวังชา กิเลสก็ได้ผนึกหนาขึ้น หรือว่า เออ เราได้ต่อสู้เหล่านั้น เมื่อนั้น เมื่อนี้ เรามีสติสัมปชัญญะ ได้ปฏิบัติธรรม แล้วก็มีโพชฌงค์ ปฏิบัติมีโพธิปักขิยธรรม ได้ต่อสู้จริงๆ เพิ่มอินทรีย์ขึ้น เพิ่มพละขึ้น เพราะฉะนั้น ศรัทธินทรีย์ ก็เกิดวิริยะ วิริยินทรีย์ก็เกิดแข็งแรง สตินทรีย์ก็แข็งแรง สมาธิ ในนี้ก็เรื่องของสมาธิ ของฌานด้วย ท่านเอามาแทนจิตสงบ เอามาแทนฌาน เอามาแทนวิมุติ อุภโตภาควิมุติ ก็เอาสามอันนี้ เอาเตวิชโชมาแทน เอาบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ มาแทนสามอันนั้น มาแทนจิตสงบ ฌาน และวิมุติ เสนาสนะอันสงัด นั่นแหละ จิตสงบ ยินดีในเสนาสนะอันสงัด เอามาแทน ก็นัยเดียวกัน เพราะฉะนั้น เราก็ต้องใช้ไปด้วยกัน เตวิชโช ก็ต้องใช้ไป ทั้งสามอันนั่นแหละ

อันไหนที่ถอนอาสวะ สิ้นแล้ว ตายสนิท รู้แล้วว่า กิเลสนี่ตายสนิท ถอนอาสวะไม่เหลือเลย คุณก็รู้ว่า ถึงวิมุติ ก็รู้วิมุติ จิตนี่ กิเลสดับสนิท ปัญญาอันยิ่ง เห็นเป็นญาณทัสสนอันวิเศษ รู้ยิ่ง เห็นจริง เป็นปัจจุบันนั่นเทียว ถอนอาสวะ อาสวะคืออย่างไร ถอนอาสวะ คือไม่มีแล้วอาสวะ ไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา ซ้ำหลายครั้ง หลายคราว เมื่อนั้น เมื่อนี่ มีเจโตปริยญาณ จริงๆเลย ตรวจเมื่อไหร่ ก็ไม่มีแม้แต่พวกอวิมุติ อวิมุติจรก็ไม่มี ไม่แผ้วพาน ไม่โผล่ ไม่ผุด ไม่หลอก ไม่เกิดอีก คุณก็จะยิ่งศรัทธา อันนี้อย่าลืมว่า เนื้อหาของศรัทธาน่ะ ยิ่งจะบริบูรณ์ ด้วยศรัทธาที่จะเป็นศรัทธาพละ ยิ่งจะเกิด อาสวักขยญาณ นี่แหละ ยิ่งเอ้อ แน่นอน ยิ่งจะเชื่อ มีกำลังของความเชื่อ ศรัทธาพละ ยิ่งถอนอาสวะทั้งสิ้น อ้อ เรื่องนี้ อย่างนี้ นี่เราไม่เกิดอีกแล้ว กิเลสอันนี้ เราไม่เกิดอีกแล้ว ในเหตุปัจจัยนี้นะ เรื่องนี้ อบายมุขเรื่องนี้ เรื่องกาม ในเหตุปัจจัยนี้ กามก็มีเหตุปัจจัย เหตุปัจจัย ทางตา เหตุปัจจัย ทางหู เหตุปัจจัยทางจมูก เหตุปัจจัยทางลิ้น ทางกาย เหตุปัจจัยในทางใจ ในใจเองก็ตาม ไม่มีแล้ว ไม่เกิดแล้ว เมถุนสังโยชน์ ระลึกเอาเสพอยู่ในภพเฉยๆ ก็ไม่มีแล้ว หมดสิ้น ถอนอาสวะสิ้นบริบูรณ์ คุณก็จะเกิดศรัทธา ศรัทธินทรีย์ บริบูรณ์จริงๆ ศรัทธา มีความหมาย ศรัทธามันมีหลักเกณฑ์อย่างนี้จริงๆ ศรัทธาไม่ใช่ของตื้นๆ

นี่ก็ย้ำเน้นถึงหลักใหญ่เสียก่อนให้ฟัง แม้ท่านจะเปลี่ยนมาสภาพนี้ มาเอาอันนี้แทน แต่ก่อนนี้ ในสันตสูตร ก็เหมือนกัน ในสันตสูตร ย้อนขึ้นไปสูตรหนึ่ง บอกว่า ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา แต่ไม่มีศีล เป็นผู้มีศีล แต่ไม่เป็นพหูสูต เป็นพหูสูต แต่ไม่เป็น ธรรมกถึก เป็นธรรมกถึก แต่ไม่เข้าสู่บริษัท เข้าสู่บริษัทได้ แต่ไม่แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท เป็นผู้แกล้วกล้าแสดงธรรม แก่บริษัท แต่ไม่ทรงวินัย ทรงวินัยแต่ไม่อยู่ป่าเป็นวัตร หรือว่าไม่อยู่ในเสนาสนะอันสงัด ต้องให้มันเป็นให้หมดนั่นแหละ พออยู่ป่าเป็นวัตร ในเสนาสนะอันสงัดแล้ว แต่ไม่ต้องวิโมกข์ ในสันตสูตรนี้ท่านเอา ไม่ต้องวิโมกข์อันสงบ ไม่มีรูป เพราะล่วงรูป เสียได้ด้วยกายอยู่ ถูกต้องวิโมกข์อันสงบ ไม่มีรูป เพราะล่วงรูปเสียได้ด้วยกายอยู่ แต่ไม่ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ ก็จะต้องทำ ใน สันตสูตรนั้น ท่านเอาวิโมกข์มาแทนฌาน มาแทนวิมุติ เอาวิโมกข์มแทนฌาน แล้วก็ เอาปัญญา มาแทนวิมุติ แต่ไม่ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลาย สิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ปัจจุบันเข้าถึงอยู่ อย่างนี้ เธอชื่อว่า ไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น เธอบำเพ็ญองค์นั้นให้บริบูรณ์ ด้วยคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล จนกระทั่ง ไล่ไปเรื่อยๆ มีศรัทธา มีศีล เป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก เข้าสู่บริษัท แกล้วกล้า แสดงธรรมแก่บริษัท แล้วก็ทรงวินัย จนกระทั่ง ทรงวินัยแล้ว ก็ยินดีในเสนาสนะอันสงัด แล้วก็เป็นผู้ถูกต้องวิโมกข์ หมายความว่า ท่านเอามาขยายคำว่าฌาน มาขยายตัวฌาน สันตสูตรนี่ท่านก็สงบน่ะ สงบลงไปอีก คือเป็นฌานที่ลึกซึ้งอีก ขยายความเรื่องวิโมกข์อันสงบไม่มีรูป เพราะล่วงรูป เสียได้ ก็หมายความว่า เป็นอรูปฌาน ล่วงรูปเสียได้ ก็เป็นอรูปฌานลงไป แล้วจึง ทำให้แจ้งซึ่ง เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะฉะนั้น จึงทำให้มันสมบูรณ์ ถ้าเมื่อไม่ก็จะต้องได้ให้ จนกระทั่งถึง กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่

มีศรัทธา มีศีล จนกระทั่งต่อมา ถึงวิโมกข์ สันตสูตร ท่านก็แทรกลงไปให้วิโมกข์ ตรงที่ฌานละเอียดขึ้น ฌานละเอียดขึ้นมา ถึงวิชชยสูตร นี้ก็คือ ให้เกิดเตวิชโช นั่นแหละฌานที่ลึกซึ้ง เพราะว่าเวลาเขาอธิบายกันเป็น ฌานฤาษี เขาก็อธิบายว่า เมื่อนั่ง หลับตาแล้ว เราก็จะระลึกชาติ ระลึกชาติแล้ว เราก็จะเกิดตาทิพยจักขุ ทิพยจักขุ หรือ จุตูปปาตญาณ แล้วเขาก็บอกว่า นี่เตวิชโช แล้วก็ถอนอาสวะเขาไม่พูดกันมาก เพราะว่าเวลาเขาเล่นฌานกันนี่ ปฏิบัติฌานหลับตา เขาก็ไปเล่น ไปในทาง แบบฤาษี แล้วก็อธิบาย ออกนอกทางไป มันไม่เข้าพุทธวิชชา จะเป็นแบบฌานฤาษีไป

เพราะฉะนั้น บุพเพนิวาสานุสติญาณ เขาก็จะไประลึกชาติแบบตัวตน เพราะฉะนั้น เขาจึงจะระลึกชาติ ไม่เข้าสู่วิวัฏกัป เขาจะระลึกชาติ แต่เพียงสังวัฏกัป ของพระพุทธเจ้าสังวัฏกัป ก็ระลึก ไม่ว่า ถ้าระลึกได้ก็ไม่ว่าอะไร ก็เป็นเนื้อ เป็นตัว เพราะฉะนั้น เขาก็เลยถือว่า อันนั้นหยาบ แต่แท้จริงแล้ว อาตมาว่า มันยิ่งละเอียด จริงๆแล้ว มันยิ่งปฏิบัติได้เป็นปัจจุบัน

วิวัฏกัปนี่ ถ้าเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าก็ยืนยันแล้ว ธรรมะของท่านเป็นสามัญ ธรรมะของท่าน ปฏิบัติ ให้พิสูจน์ได้ ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ ไม่ใช่ธรรมะของท่านนั้น เหลือกินเหลือเกิน ยาก จนกระทั่งทำแล้ว กลายเป็นคนพิสดาร เป็นคนพิเศษ บางทีโอ้โฮ หลงใหลได้ปลื้มกันนัก ถ้าได้ฌาน ถ้าได้ญาณแล้ววิเศษวิเสโส ถึงขั้นที่ เรียกว่าเลิศ คนประหลาด ไปเลยล่ะ ก็จริงนะ ถ้าระลึกชาติได้กับข้ามชาติ มันยากกว่าระลึกชาติที่เราว่านี่ แต่ระลึกชาติอย่างข้ามชาตินั้นน่ะ มันไม่จริง ทีเดียวหรอก ส่วนมากหลอก ก็บอกแล้ว ระลึกชาติได้จริงๆน่ะ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา มันก็เลยกลายเป็นเรื่องยาก ของทาง เดรัจฉานวิชา เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจแล้วว่า สังวัฏกัป ก็คือในภพของ ไม่ใช่ภพของการเกิด การตายที่วิเศษ เราระลึกทางจิต เหมือนกัน แต่ระลึกทางจิต เราก็รู้ละ นี่ก็จิตมันเกิดทางสังวัฏกัปก็ได้ ก็แต่ก่อนนี้ ก็เป็นคนธรรมดานั่นแหละ กินอยู่หลับนอน หรือว่าจะมีชีวิตอยู่ แบบสังวัฏกัป มันก็ เออ ได้เสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เสพชีวิตไปอย่างนั้น มีชีวิตเหมือนอย่างกับ ที่เราผ่านมาปุถุชน ก็เป็นสังวัฏกัป เราก็ระลึกได้ทางจิต สังวัฏกัปทางจิต มันก็เป็นปุถุชนก็เกิด ตาย โลกียบุคคลหลงลาภ หลงยศ หลงสรรเสริญ หลงโลกียสุขอยู่ อย่างนั้น เราก็ระลึกเท่าไหร่ ก็ระลึกได้นี่ คุณเคยหลง คุณเคยอร่อย ในรสอย่างนั้น กี่ชาติละ กี่ครั้งละ นับไปซิ การเกิดวัฏฏะของจิตน่ะ กี่ครั้งล่ะ เอร็ดอร่อย ไปกี่ครั้ง ตกนรกไปกี่ครั้ง ขึ้นสวรรค์ไปกี่ครั้ง นับถ้วนไหม เพราะฉะนั้น ๑๐ ชาติ ๒๐ ชาติ พันชาติ แสนชาติ ระลึกได้ไหม ระลึกได้ไหม มันคงเรียงเป็นลำดับไม่ได้นะ แต่ว่ามันนับชาติถ้วนไหมล่ะ จำไม่ได้เลยเหรอ จำไม่ได้หมด นับถ้วนไหมล่ะ นับเป็นแสนชาติถ้วนไหม แล้วมันก็มี เท่าแสนชาติไหม มันเกิดดับอย่างนั้นน่ะ มากเท่าแสนชาติไหมละ กว่า เป็นล้านๆ ชาติ ด้วย

เราฟังแล้วก็บอกว่า อ๋อ ที่ท่านสอนนี่ เป็นไปได้ ระลึกว่าเราเกิด เราตายสังวัฏกัป อย่างกิเลสน่ะ แหม เคยเสพ เคยสุข ประเดี๋ยว ก็ตกนรก ประเดี๋ยวก็อยาก ตกนรก มันอยากเป็นสัตว็์นรก ดิ้นพรวดๆ ไปแสวงหา พอได้มาเสพ ก็ขึ้นสวรรค์หอฮ้อ ไม่รู้อะไรบ้าง คุณเสพมาตั้งเท่าไหร่นะ โอ๊ อยากกินไอศกรีม ก็ตกนรกแล้ว พอได้กินไอศกรีม ก็ขึ้นสวรรค์หอฮ้อแล้ว นับกี่ล้านชาติ เป็นจริงไหม ไม่รู้เหรอ เป็นจริงไหม ตอบไม่รู้ เออ จริง เห็นไหม มันเป็นความจริง เข้าใจได้ ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่เรื่องลึกซึ้ง คำสอน ของพระพุทธเจ้านี่ เอามาปฏิบัติได้ เพราะฉะนั้น จะไปย้อนชาติระลึกชาติว่า โอ้ โฮ แสนชาติบ้าง แบบข้ามชาติ ไปนั่นน่ะ ในยุคของ พระพุทธเจ้าเองก็ไม่มี ไม่มีใครทำได้ถึงขนาดนั้นหรอก เอ้า เรายกไว้ พระพุทธเจ้าท่านเอง ท่านระลึก ข้ามชาติ เป็นเนื้อ เป็นตัวนี่นะ ท่านก็เอาเล่าในชาติต่างๆ ในชาดก ห้าร้อยชาติ ที่เขาเอามารวมไว้ มีกว่านั้นน่ะ ที่จริง ไม่ใช่มีชาดก ห้าร้อยชาติเท่านั้นน่ะ ชาดก ห้าร้อยชาติ มันก็เป็นเรื่องของท่านเอง ทั้งนั้นน่ะส่วนมาก เป็นเรื่องของท่าน ระลึกชาติของท่านเอง แล้วก็มาเล่าอะไรต่ออะไรไป ให้คนอื่น เป็นตัวอย่าง เป็นลำดับ เป็นอะไร เขาก็เอามารวบรวมไว้ หรือพระเจ้าสิบชาติ ที่เอามาเป็นสิบชาติใหญ่ก็ตาม หรือว่า ห้าร้อยชาติ ว่าโอ้ เป็นนก เป็นหนู เป็นเสือ เป็นสิงห์ เป็นอะไร แล้วแต่เยอะแยะ เป็นช้าง เป็นม้า เป็นวัว เป็นควาย เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นนายพราน เป็นคนรวย เป็นเจ้าสัว เป็นโน่นเป็นนี่ อะไรเยอะแยะ ห้าร้อยชาติ ใครจะไปอ่านก็ไปอ่าน จะเอาชาติอย่างนั้น เอาละ เรายกไว้

พระพุทธเจ้าจะระลึกได้อย่างนั้น แสนชาติ ก็ช่างท่านเถอะ ไอ้เราจะไปแสนชาติ โอ้โฮ อาตมาว่า ไม่ต้องได้บรรลุธรรมหรอก ถ้าขืนไปกังวล ไอ้จะไปบรรลุแบบนั้นน่ะ ไม่ได้บรรลุอรหันต์หรอก ใช่ไหม เพราะว่ามันยากแสนยาก แต่ระลึกอย่างที่ว่านี่ โอ้โฮ อย่าว่า แต่แสนชาติเลย ล้านชาติ ก็ระลึกได้ เกิดตายแบบนั้นน่ะ เกิดตายแบบที่ ปฏิบัติได้เป็นแบบวิชชาของพระพุทธเจ้านะ วิชชยสูตร สูตรแห่งวิชชา นี่ ระลึกได้ ทบทวน โอ๊ แต่ก่อนนี้ เราดูซินี่ เราไปติดได้ ไอ้กรอกยานี่นะมาดูด มาชูอยู่ได้ สูบฝิ่น กินกัญชา ติดแม้ ไอศกรีม ติดแม้ท็อฟฟี่ โอย โง่เง่าเต่าตุ่นนะ ติดแม้แต่เสื้อ ติดแม้แต่เครื่องใช้ เครื่องขี้หมาทาสีอะไร ก็ถูกเขาหลอกมา ติดได้ดี รักมัน ชอบมัน ชอบมันเป็นสุข เป็นทุกข์ลงนรก ขึ้นสวรรค์วนเวียนอยู่อย่างนั้นแหละ มันเป็นสาระ แค่ไหน มันเป็นแก่นสารแค่ไหน ที่เราไป หลงติด หลงดูด หลงดื่มอยู่ได้ ทบทวนจริงๆ ระลึกจริงๆ จะได้เห็นว่า โลกนี้น่ะ มันยั่วยวน เสร็จแล้ว ก็มาติดเนื้อ มาติดหนัง ผิวพรรณดี ผิวพรรณงาม มาติดเนื้อหนังของคนอื่น มาติดเนื้อหนังของตนเอง ผู้หญิงนี่แหละ พยายามหน่อย เดี๋ยวนี้เขายิ่งมี หมอชั้นหนึ่ง หมอตบแต่ง เรียนจบออกมา นี่ก็กลายเป็นช่างเสริมสวย นายแพทย์น่ะ เรียนจบออกมา มาเป็น ช่างเสริมสวย เสริมสวยหน้า เสริมสวยตา เสริมสวยจมูก เสริมสวยทุกส่วนน่ะ เดี๋ยวนี้น่ะ หน้ามันไม่ได้สัดส่วน เขาก็เลื่อยออก เขาก็ทำหมดหรอก กระดูก หน้า ตานี่ ให้มันได้สัดส่วน จะเอาหน้าทรงไหนล่ะ เอาพระจันทร์ หรือว่าเอาหน้ารูปไข่ จะเอาทรงไหน ทำไมมันเบี้ยว มันบิด มันไม่ได้ มันคางกว้างไป เขาก็เลื่อยคางออก แหม ให้มันสวย หน้าไม่มน ให้มันมน หน้าไม่ได้สัดส่วน ทำให้ได้ทั้งนั้นแหละ ตรงนี้ไม่โด่ง เสริมตรงนี้ ให้ได้สัดได้ส่วน ตามันตี่ไป ทำให้ตากว้าง ตรงไหน โอ้ เดี๋ยวนี้ เป็นช่างเสริมสวย จบหมอมา เป็นช่าง เสริมสวย หากินเดี๋ยวนี้เยอะ รวย หากินกับผู้หญิง เพราะผู้หญิงมันโง่ อยากสวย อยากงาม โอ้ย แพงด้วยนะ เล่นเอาแพงนะ ติดไปหมด เนื้อหนังมังสา สัดส่วนรูปสมมุติอะไร ติดเป็นวรรคเป็นเวร เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้คุณหญิง คุณนายที่ร่ำรวย เขาไม่แก่หรอก เป็นสาว สามพันปี อายุ ๘๐-๘๐ เลย อายุแล้ว ยังพริ้งเลย โอ้โฮ เราอายุแค่จะ ๖๐ นี่ก็หน้ายับ ลงไปเยอะแล้ว เขาหน้าไม่ยับหรอก ตึงเปรี๊ยะอยู่เลยนะ ดึงหนังน่ะ มันดึงไม่ยากด้วย เขาดึงกันง่าย ดึงหนังนี่ ดึงตึงเปรี๊ยะเลย เอาไหมล่ะ ไปดึงหน้าบ้างไหมล่ะ เหมียว โยมใจพร้อม บอกไม่เอาหรอก ไปได้อีก มันก็ไอ้อย่างเก่านั้นแหละ

ปลงไปแล้ว มันก็อสุภะอย่างเก่า หลงมันพิจารณาจริงๆ พระพุทธเจ้าถึงได้พิจารณาเนื้อ หนังมังสา ไม่เที่ยง ตับไต ไส้พุง ไม่เที่ยง อะไรไม่เที่ยง พิจารณาตรวจสอบ เราไปติดอยู่ในอะไร ในภพ ในชาติ เกิดยินดีในส่วนนั้นส่วนนี้ มันก็เป็นกิเลส มันเป็นความหลงยินดี เป็นสวรรค์ เป็นนรก ละเอียดขึ้นมาขนาดนั้น เพราะฉะนั้น เราเอาตั้งแต่หยาบๆ ก่อนที่อาตมา อธิบาย ไปแล้ว ไปหลงติด ในสิ่งที่นอกตัว หลงติด เป็นนรก เป็นสวรรค์ ต้องรู้จักสัตว์นรก สัตว์นรก ท่านพูดอย่างนี้ ท่านจุตูปปาตญาณ ท่านก็บอก แม้แต่ในบุพเพนี่ ท่านก็บอก ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น

เดี๋ยวอาตมาขออธิบายสังวัฏกัป วิวัฏกัป ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นกว่าเก่านั้น ก่อนน่ะ อีกอันหนึ่ง เข้าใจขึ้นแล้วนะ สังวัฏกัป คือวัฏฏะ ที่มันเป็น สังสารวัฏ ธรรมดานี่ของโลก มนุษย์ปุถุชน นี่ วนเวียนเกิด ตกนรก ขึ้นสวรรค์ มันเป็นธรรมดา จนมาวิวัฏกัป นี่ก็หมายความว่า วัฏฏะนี่ชักจะมีปัญญาแล้ว วัฏฏะที่มีมรรค มีผล รู้การเกิด การตาย ที่เป็นอุบัติเทพ แต่ก่อนนี้ มีแต่แค่เป็น สมมุติเทพกัน เป็นสัตว์นรกแท้ ต่อมาก็เป็นสัตว์นรก ก็จริงอยู่ แล้วเราก็รู้ด้วยว่า เราจะฆ่าสัตว์นรกให้ตายจริงๆ ให้ขึ้น สวรรค์จริง เป็นอุบัติเทพ เป็นวิสุทธิเทพได้อย่างไร จนกระทั่ง เราสามารถเป็นได้ เป็นวิฏกัปแล้ว ไม่ใช่สังวัฏกัป ไม่ใช่ สังวัฏธรรมดา เป็นวิวัฏกัป เป็นกัปที่มันหมุนเวียนอยู่อย่างยิ่ง อย่างวิเศษ อย่างขั้นสูงเลย ไม่ใช่สามัญ มันเป็นวิสามัญแล้ว ไม่ใช่โลกที่หมุนเวียน คะเมนตีลังกา อยู่อย่างแบบธรรมดา ธรรมชาติแบบโลกีย์ เป็นโลกใหม่ เป็นโลกที่พระพุทธเจ้า ท่านค้นพบ เรียกว่า วิวัฏกัป

เพราะฉะนั้น เราอ่านในจิตในใจของเรา นี่แหละชัดเจน หรือจะยิ่ง เป็นตัว เป็นตนทีนี้ คุณระลึกชาติได้ ชาติก่อนนี้ เกิดเป็น โสดา ชาติก่อน เคยเป็นสกิทาข้ามชาติก็ได้ ก็เรียกว่า วิวัฏกัปเหมือนกัน ระลึกไปได้ข้ามชาติ เราก็รู้ว่า ชาติแต่ก่อน เราเป็นโสดาแล้ว ชาติแต่ก่อน เราก็เป็นสกิทา ชาติก่อนเป็นอรหันต์ สูงไปกว่านั้น

ยิ่งเป็นโพธิสัตว์ โพธิสัตว์นี่ระลึก วิวัฏกัปของโพธิสัตว์นี่ ยิ่งมากมายเลย วิวัฏกัปของโพธิสัตว์มีมาก เมื่อกี้บอกแล้ว แม้แต่โสดา สกิทา ระลึกได้ว่า เราก็เกิดเป็น แม้แต่เราเกิดเป็นอย่างพระพุทธเจ้า นี่ ท่านบำเพ็ญโพธิสัตว์นี่ เราก็บรรลุแล้ว อันนี้ เราก็พ้น แล้วละ แต่เราก็หมุนเวียน มาเกิดอีก เราจะยังมาเกิดอยู่ เราจะยังไม่ตัดรอบ เราจะยังไม่ปฏิญาณตนเป็น สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า ก็เป็นรอบของ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น จะเอาอรหันต์เท่าไหร่ๆ ก็มีความหมาย ของแต่ละท่านๆ อีกเหมือนกัน ท่านก็จะรู้กัป ที่เป็นวิวัฏกัปของท่าน

อันนี้ อาตมาอธิบายต่อให้ฟังว่า เป็นเรื่องของโพธิสัตวภูมิ พวกเราไม่ต้องเข้าใจก็ได้ พวกเราไม่ต้องไปคำนึงก็ได้ ไม่ต้อง ไปเสียหัว เอาแต่แค่สาวกภูมิของเรา แต่แค่วิวัฏกัป อย่างสาวกภูมิ ให้ได้ คือวิวัฏกัป ที่เราเป็นเทวดาจริง เป็นอุบัติเทพจริง เป็นวิสุทธิเทพจริง ให้ได้ วิสุทธิเทพก็คือเทพบริสุทธิ์ เป็นจุดอรหันตผลนั่นเอง เพราะฉะนั้น จะเกิดดับๆ ในกิเลสข้อใด สัตว์นรกประเภทใด เอามาต่อตรงนี้

สัตว์นรกประเภทใด เป็นอย่างนี้ ตลอดสังวัฏวิวัฏฏกัป เป็นอันมากบ้าง ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น ในภพโน้น เราเป็นชื่อ อย่างนั้น เรียกว่า มารชนิดไหนล่ะ ผีชนิดไหนล่ะ ผีกองกอย ผีปอบ ผีโขมด ผีอะไรก็แล้วแต่ เรียกมัน ตั้งชื่อมาให้มันก็ได้ แสดงว่าผีเหล่านั้น นี่มันมีลักษณะที่อยู่ในสายของ โลภมูล หรือ ราคมูลก็ตาม ผีที่อยู่ในสาย โทสมูลก็ตาม ชนิดหยาบ ชนิดกลาง ชนิดละเอียด อย่างนั้น อย่างนี้ แล้วก็เหตุปัจจัยต่างๆด้วย ตั้งชื่อมันไปเถอะ จะตั้งชื่อมัน กี่ล้านชื่อ ก็ได้ชื่อผีน่ะ ผีไอศกรีม ผีบุหรี่ นี่ มันภาษาไทยนะ ผีอะไรก็ตั้งมันไปก็ได้ ต่างๆนานา จึงเรียกว่าผีอย่างนั้น ผีไอศกรีม มันเป็นยังไงน่ะ ชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น อ้อ ไอ้โคตรไอศกรีม มันเป็นโคตรอย่างนี้หนอ มันไปหลงติด มันมีองค์ประกอบ ไอศกรีม จะต้องประกอบไปด้วย มีโคตร มีตระกูล มีแบบ มีอย่าง มีเชื้อพันธุ์นะ ไอ้นี่ไอศกรีม กะทิ ไอ้นี่ไอกศกรีมนม ไอ้นี่ไอศกรีมแป้ง ไอ้นี่ไอศกรีมครีม ไอ้โน่นไอ้นี่ เราชอบไอศกรีมนม ไอศกรีมนั่น ไอศกรีมครีม นี่ รายละเอียดไปอีกนะ อ้อ ไอศกรีมยังมีชื่อ มีเสียง มีการปรุงแต่ง ไปอีกหลายแบบ โอ้โฮ อ้อ อาตมาก็ไม่ค่อยชำนาญ เรื่อง ไอศกรีมมาก ก็ไปยกตัวอย่างให้ไม่ค่อยชำนาญ ก็เลยไม่ค่อยรู้ ไม่ได้มาก จะชื่ออะไรก็แล้วแต่

บุหรี่ แหม นั่นชอบ บุหรี่อย่างนี้ต้องชนิดมีเวอร์จิเนีย นี่ไม่มีเวอร์จิเนีย นี่ประเภทนี้ โอ้โอ ไม่มีเวอร์จิเนีย นี่เป็นพื้นบ้านเลยนี่ ฉุนกั๊กเลย ไอ้นี่ชนิดซิการ์ ไอ้นี่ชนิดประเภท เอ้อ ก็เอาละ ก็บุหรี่ตระกูลไหน ก็พูดไป มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น ตระกูล อย่างนั้น ผิวพรรณดี ผิวพรรณทราม เสร็จแล้ว มันก็มีชั้นผิวพรรณ คือวรรณะ คือชั้นสูง ชั้นใหญ่ ถ้าสกุลกล้องละก็ ชั้นสูงหน่อยละ ซิการ์ซึ่งยิ่งสูงไปอีก มวนละห้าร้อย มวนละพัน มันก็บ้าดีนะ ซิการ์มวนละห้าร้อย มวนละพันนี่ แล้วก็ มันก็ซื้อสูบกันจริงๆ เป็นไปได้ถึงขนาดนั้น ผิวพรรณดี มีชั้น มีวรรณะ ผิวพรรณดี ผิวพรรณทราม มีอาหารอย่างนั้น ก็อย่างไรเล่า อาหารยังไง โธ่เอ๊ย กับ รส อาศัยรส อาศัยรูป กลิ่นอย่างไรล่ะ อาหารอย่างนั้นๆ เสวยสุข เสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น โธ่เอ๊ย สูบถุนเดี๋ยวเดียว ก็หายแล้วนะ เดี๋ยวก็ตกนรกใหม่แล้ว บางทีก็นาน บางคนนี่ อายุยืนนะ อายุยาวนาน ขึ้นสวรรค์นาน พอสูบเสร็จแล้วนะ เอ้อ ขึ้นสวรรค์หอฮ้อ แล้วก็เสร็จแล้ว ก็ยังไม่ลงนรก ยังไม่อยาก นาน บางคนพอสูบเสร็จหนึ่งนาที สองนาทีต่อมวน ต่อมวนๆๆๆ อายุสั้นสะบัดเลย นรกไป เข้าใจไหม อายุ ภพอย่างนั้น อาหารอย่างนั้น อายุสั้น อายุยาวอย่างนั้นๆ

นี่แหละคือ วิวัฏกัปที่เราจะต้องศึกษา เสวยสุขอย่างนั้น เสวยทุกข์อย่างนั้น กำหนดอายุเพียงเท่านั้น จุติจากภพนั้นแล้ว ก็ไปเกิด ในภพโน้น จุติจากในภพสวรรค์ ดันเลื่อนลงจากสวรรค์ สู่นรกอีกแล้วกู เอา แต่ก่อนไม่รู้ แต่ก่อนไม่เคยศึกษา ธรรมะก็ไม่รู้ เอ้อ ระลึกซิ เดี๋ยวนี้ โอ้หนอ ไม่ต้องไประลึกย้อน เดี๋ยวตอนเช้า เดี๋ยวละเผลอๆ อาหารนี่ขึ้นสวรรค์ ลงนรก ได้อยู่นี่นะ เดี๋ยวก็ขึ้นสวรรค์หอฮ้อ ประเดี๋ยวก็ไปนั่งระลึก เมื่อเช้านี่กูหนอ เผลอไปขึ้นสวรรค์ ไปนรกแล้วก็ขึ้นสวรรค์ ตกสวรรค์ เดี๋ยวนี้ก็มาตกสวรรค์ แล้วยังระลึก อีกหรือไม่ เดี๋ยวพรุ่งนี้มา บางคนยังบอกว่า แหม มันติดใจ เผลอไม่รู้ตัวนะ มันจะเผลอ ไม่มีสติ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ศึกษาธรรมะด้วย นี่จะไม่มีสติ ไม่รู้ตัว แหม วันนี้นี่ เขาปรุงไอ้นั่นมาใหักินนะ โอ้โฮ วันนี้ อร่อย นึกถึง พรุ่งนี้เช้า จะทำอีกหรือเปล่าว้า แหม พรุ่งนี้เช้ามาอีก อร่อยอีก ไอ้ ไม่รู้ตัวแบบนี้น่ะ มันไม่ได้ระลึกชาติอะไรหรอก ลงนรก ขึ้นสวรรค์เป็นธรรมดา สังวัฏกัป เพราะฉะนั้น เราจะต้องศึกษา ให้เป็นวิวัฏกัป ให้รู้ตัวทั่วพร้อมว่า โอ้โฮ เรานี่ระลึกได้นะนี่ มีบุพเพนิวาสานุสติญาณ เมื่อวานนี้ ฮื้อฮือ เผลอลงนรก แล้วก็ขึ้นสวรรค์ ลงไปสั่งสมกิเลสไปเตรียมตัวไม่ได้ พรุ่งนี้เรา จะต้องนี่ มันก็ตั้งใจ ไม่เอาแล้ว รู้ตัว เอาละ มันจะตกนรกไปชั่วคราว ลงสวรรค์ลวง ไปชั่วคราว มีเวลาอยู่ในสวรรค์ลวงชั่วคราว ตั้งใจ พรุ่งนี้มาใหม่ เสร็จแล้วพรุ่งนี้เผลอ ขึ้นสวรรค์อีก ตั้งใจใหม่ มาระลึกใหม่ ต๊าย เมื่อวานนี้ ตั้งใจจะไม่ลงนรก ไม่ขึ้นสวรรค์ ตกนรก ขึ้นสวรรค์อีก อย่างเก่าอีก ทบทวน ตั้งใจใหม่ จนสู้มันได้ จนไม่ต้องแล้ว นรกสวรรค์นี่ เราก็อบรมฝึกฝน จนกระทั่ง เราหลุดพ้น ไม่มีแล้ว นรกสวรรค์อย่างนี้อีก เหตุปัจจัยนี้ไม่มีอีก อย่างนี้เป็นต้น

อย่างนี้ เป็นของปฏิบัติ ได้ด้วยเรื่องจริง ไม่อิงนิยาย ของใครของมัน นี่ ยกตัวอย่าง ได้แค่อาหาร อะไรอื่น ก็เหมือนกัน เรื่องผู้หญิง ผู้ชายก็เหมือนกัน วันนี้เผลอไป แหม คิดถึงคนที่เรา ตรงสะเป๊ค เผลอไป แหม เป็นภพแบบเมถุนสังโยคเลยนะ ไม่ได้พบหน้าเธอ ไม่ได้ อะไร ระลึกเอาอื่น ชื่นใจ ระวังเมถุนสังโยคอันดับ ๕ เมถุนสังโยคชั้นที่ ๕ อร่อยไป แล้วเราก็ขึ้นสวรรค์ ลงนรกอะไรไป ตามเรื่อง ตามราว ก็ต้องรู้ตัว ถ้ามีปัญญาวิชชยะ มีวิชชาพระพุทธเจ้าแล้ว เราจะต้องระลึก อย่าเผลอ ตั้งอกตั้งใจ อย่าให้มันเกิด อย่าให้มัน เป็นไป ด้วยถูกสั่งสมลงไปในจิต อย่างโง่ๆ อย่างอวิชชา จะต้องมีวิชชาแก้ไข ปรับปรุง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราว อะไรทั้งนั้นแหละ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นกามวิตก เป็นสภาพที่มันไปสั่งสมกาม ในเรื่องกาม อย่างนี้ สั่งสมใส่จิต ใส่ใจ ถ้าเราพยายามตั้งจิต วิเคราะห์ วิจัย เห็นความหน่ายคลาย ระลึกน่าเบื่อหน่าย น่าจางคลาย ทำให้ได้ เรื่องใดๆ คุณก็บุพเพนิวาสานุสติ อย่างมีประโยชน์ จุตูปปาตญาณ รู้ความเกิดความดับ ที่มีประโยชน์ ความเกิด ความดับ ที่เป็นวิวัฏกัป ความเกิดความดับ ที่คุณอบรม ฝึกฝนของตนเอง อย่างแท้จริง พิจารณาจริงๆ จะนั่งว่างหรือไม่ว่าง ขณะนี้ ไม่ใช่ไปนั่งนึกนั่งคิด ขณะนี้เกิดญาณ ปัจจุบันญาณ เลย ไม่ต้องไปบุพเพ เห็นความเกิดความดับเป็นจุตูปปาตญาณ เห็นความเกิดเดี๋ยวนี้ นี่แน่ะ สัมผัสแตะต้องอยู่เดี๋ยวนี้ เกิดเดี๋ยวนี้เลย ฆ่าอาสวะ ดับอาสวะมันเดี๋ยวนี้ๆ เลย ยิ่งเป็น วิปัสสนาญาณที่สมบูรณ์กว่า วิปัสสนานี่ ยิ่งเป็นปัจจุบันเท่าใด ไม่ต้องไปนั่ง ระลึกย้อน ไม่ต้องไป นั่งทบทวนย้อนเท่านั้น ยิ่งเป็น ปัจจุบันเท่าไหร่ ยิ่งเรียกว่าเป็น วิปัสสนาญาณจริง เท่านั้น เพราะฉะนั้น วิปัสสนาญาณ ท่านเรียกว่า ถอนอาสวะ ท่านถึงจะจบ อย่างปัจจุบันสนิท มีปัญญาวิมุติ เจโตวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ ทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญา อันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่

ในปัจจุบันเข้าถึง หมายความว่า เป็นจริง อยู่ๆเดี๋ยวนี้ยังไม่หายไป ในปัจจุบันวิหรติ นี่ วิหรโต เรียกว่าอยู่วิหรติอยู่เดี๋ยวนี้ อาศัยอยู่เดี๋ยวนี้ วิหาระ หรืออาหาระนี่ อยู่เดี๋ยวนี้หลัดๆนี่แหละ ให้เป็นปัจจุบันธรรม ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ สำนวนสมัยเก่าก็ว่า ในปัจจุบันเข้าถึงแล้วแลอยู่ ทั้งเข้าถึง และ แลอยู่ และก็อยู่ ถ้าพูดเป็นภาษาไทย ก็เข้าถึง ก็หมายความว่า เป็นไปได้ อย่างนั้น แล้วไม่ใช่ว่า เข้าถึงในความลึกซึ้ง เข้าถึงในภพที่ลึกซึ้ง เข้าถึงในตัวเรื่องที่เป็นตัว บทบาท เข้าถึงในอาการอย่างนั้น เรื่องราว เป็นอย่างนั้น แล้วก็อยู่ ยังมีอยู่ ยังไม่หายไปไหนหลัดๆ อยู่ จึงเรียกว่า เข้าถึงแล้ว แล้วก็ยังอยู่ สำนวนพระไตรปิฎก เข้าถึงแล้วแลอยู่

แลนี่ไม่ใช่ดูนะ แลคือและ เข้าถึงและก็อยู่ๆนั่นแหละ ยังไม่หายไปไหน เข้าถึงแล้วแลอยู่ นี่ หมายความว่าอย่างนั้น เข้าถึง ได้จริงๆ แล้วก็ยังอยู่ ยังไม่ไปไหน ยังเป็นจริง ยังเป็นปัจจุบันนั่นเทียว นี่หมายถึงอย่างนั้น วิปัสสนาญาณ เพราะฉะนั้น พิจารณาเมื่อใดๆ ก็ต้องพิจารณาศึกษา ยิ่งเป็นปัจจุบันธรรมก็ยิ่งชัด แม้ได้แล้ว ในปัจจุบันใด ทบทวนเป็น เตวิชโช จะทบทวน ปุพเพนิวาสานุสติญาณก็ได้ ทบทวนดูว่า เออ ทบทวนเมื่อไหร่ ดึงเอามันมานึก ดึงเอามันมาคิด มันก็ยิ่งได้พิสูจน์ว่า ไม่มีเมถุนสังโยคเลย ยิ่งเฉย

เอ้า ระลึกมา ดึงมาทบทวน อย่างไรเล่า แต่ก่อนนี้เรื่องที่เคยประสบการณ์ ประทับใจอะไร ยังระลึกโหยหา อาวรณ์อยู่ เป็นรส อร่อย ดึงมา อย่างนี้ก็ก็เฉยๆ แต่ก่อนนี้ โอ้ ถ้าได้กินไอศกรีม แหม เคยสุข เคยชอบ แต่ก่อนนี้ ติดตุ๊กตา โอ๊ เคยระลึกได้นี่ ลองดูซิ นี่แหละ ระลึกได้ แต่ก่อนนี้ เด็กๆ จะชอบตุ๊กตา อู้ฮู ได้มานี่ เคยตีกัน เคยแย่งกัน ตีกันกับพี่ ตีกันกับน้อง แย่งกัน แหม มันเป็นทุกข์ ได้มาแล้ว ชื่นใจอะไร ลองดูซิ เดี๋ยวนี้ อาตมาว่า คงไม่ติดกันละมั้ง ติดตุ๊กตาไหมล่ะ ยังติดอยู่หรือเปล่า ป่านนี้แล้วล่ะ นั่นแหละ เราก็จะเห็นจิต มันก็ปัดโถ มันไม่มีรสอะไรเลย มันไม่ได้สวรรค์อะไรจริงๆ

จืดแล้ว จะติดตุ๊กตา หรือติดของเล่น ติดของงาม ของสวยอะไรก็ตามใจ คุณก็เอามาระลึกย้อนดูซิ จะเห็นความจริง จะเห็น ของจริง ต่างๆ เหล่านี้ได้ในภพในชาติ รู้จักจุตูปปาตญาณ รู้จักกิเลสเกิด กิเลสไม่เกิด กิเลสสงบแล้ว จิตสงบแล้วนี่แหละ เสนาสนะอันสงัด มีฌาน ได้ขัดเกลากิเลส เป็นวิโมกข์ได้ถูกต้องวิโมกข์มาแล้ว หมายความว่า ได้รู้จัก ละปละปล่อยปลงวาง ระงับวิโมกข์ก็คือ การหลุดพ้นด้วยรูปฌาน อรูปฌาน หรือได้รูปธรรม หรืออรูปธรรมถึงขั้นไม่มีแล้ว รูปราคะ อรูปราคะ ก็ไม่มี โทสอย่างละเอียดไม่มี ไม่ผลัก ไม่ดูด นั่นแหละ เข้าไปถึงวิโมกข์ เข้าไปถึงฌาน เข้าไปถึงวิมุติ เมื่อถึงจุตูปปาตญาณ มีอาสวักขยญาณ ญาณที่อ่านรู้จักวิมุติ ที่แท้จริง เรียกว่า ยิ่งบริสุทธิ์บริบูรณ์ในวิโมกข์ทั้งหลายแหล่ ไม่มีแล้ว แม้แต่อรูป ก็ไม่มีเหลือ รูปก็คือสิ่งที่เป็นรูป ที่รู้ได้ชัดหยาบ อรูปก็คือละเอียดๆ แทบจะเรียกว่า ไม่ใช่รูปก็ได้ แต่เป็นความรู้สึก ที่ยิงไปหา นามธรรม ละเอียด ก็ไม่มีพริ้วพรายหวั่นไหว ระริกระรี้อะไรก็ไม่มี อาการเหล่านี้ต้องสัมผัส หรือ ต้องอาการเหล่านั้น ได้ด้วยของตนๆ ญาณของตน ต้องเอง ต้องสัมผัสวิโมกข์ ต้องวิโมกข์เหล่านั้น ด้วยตนเอง ต้องรูป ต้องอรูปเหล่านั้น ด้วยตนเอง รู้ของตนเอง มีจริงหรือไม่จริง มันก็ต้องระลึกทบทวนนี่ ต้องตรวจ ต้องสอบ

มีนัยละเอียดในเรื่องของภาษา ในเรื่องของบุพเพนิวาสานุสติญาณ อธิบายไปเคร่าๆ แล้วว่า ภพโน้นหมายถึงอย่างไร ก็บอกไปแล้ว ภพนั้นอย่างนั้นแหละ หมุนเวียนไป มันหมุนเวียนอยู่ในโลกนั้นอย่างนั้น แต่ก่อนโง่เง่า แม้แต่ภพก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่า ภพเป็นอย่างไร ชื่ออย่างไร โคตรอย่างไร ก็อธิบายไปบ้างแล้ว ผิวพรรณอย่างไรก็รู้แล้ว อาหารอย่างนั้นก็รู้แล้ว เสวยทุกข์ เสวยสุขอย่างนั้นๆ ก็รู้แล้ว ว่านี่ มันลงนรก ขึ้นสวรรค์ เสวยสุข เสวยทุกข์ กำหนดอายุเพียงเท่านั้น เท่านี้ๆ อธิบายไปแล้ว แหม ติดมาก ติดนาน ลงนรกไว ขึ้นสวรรค์ ก็สวรรค์ปึ๊บเดียว นรกอีก ก็แสดงว่า ยิ่งตัวเองยิ่งชั่ว จิตจัดๆ ประเดี๋ยวก็อยากให้ใหม่หมด สุขแล้วลงนรกใหม่ ได้เสพอีก ขึ้นสวรรค์อีก ถ้าไม่ได้เสพ ก็จะทุกข์ไปนาน ถ้าไม่มีอะไรมาบำเรอ ขึ้นสวรรค์ประเดี๋ยวเดียว อยากใหม่อีกแล้ว อยากใหม่อีก ตกนรกแสวงหา ไม่มีมาบำเรอ ก็ตกนรกอีกนาน แต่ถ้ามีพรักพร้อม เงินทอง ทรัพย์สินอะไรต่ออะไร จะเอามาบำเรอได้ มันก็ขึ้นสวรรค์ไว เพราะฉะนั้น มันก็จะบำบัด บำเรอด้วย จะต้องหามา เสพสมสุขสมให้ได้ ในโลกียะ ในสังสารวัฏ ในสังสารวัฏกัป แล้วจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น จะต้องทำให้ตนเองเป็น วิวัฏกัป จนกระทั่งวิเศษ ไม่สังขาร ไม่ปรุง ไม่แต่งเป็นวิสังขารให้จริง วิวัฏกัป จนกระทั่งทำได้ ก็ตรวจสอบ ได้เท่าไหร่ มีหมดแล้วทีนี้ ก็จนกระทั่งไม่ต้องเสพอาหาร ไม่ต้องอาศัย ไม่ต้องมีอาหาร อย่างนั้นหรอก ผิวพรรณ เรียกว่า มีชั้นวรรณะ เป็นโลกุตรบุคคลเลย อริยะเลยแหละ ถ้าจะว่ามีศักดิ์ แต่ก่อนนี้ มีศักดิ์อะไร เป็นสัตว์นรก เป็นปุถุชน เป็นมนุษย์โลกย์ เป็นสัตว์โลกีย์ธรรมดา ทีนี้เป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งแล้ว

ต่อมาท่านก็.. ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ไปเกิดภพโน้น ก็รู้ว่านี่เราไปเกิดจากภพ แต่ก่อนอยู่ในภพของโลกียะ ตอนนี้ อยู่ในภพ ของ โลกุตรภพ เป็นภพเทวดาแท้ เป็นภพอุบัติเทพ โลกุตรภพ ถึงขั้นวิสุทธิเทพหรือยังล่ะ เราก็ต้องรู้ภพ ได้เกิดจากภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น ในโลกุตรภพ ก็มีภพของ โสดา สกิทา อนาคา ซ้อนละเอียดลงไปอีก มีอาหารอย่างนั้น เป็นโลกียะ ลดลงเรื่อยๆ ไม่เป็นโลกียรส ไม่เป็นอาหารอย่างรส เสวยสุข เสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนด อายุเพียงเท่านั้น ขึ้นได้ ประเดี๋ยวเดียว ก็ตก ยังไม่แข็งแรง ยังไม่เป็นสมาธิที่มั่นคง จนกระทั่ง ขึ้นได้ที่มั่นคงแข็งแรง จนกระทั่ง ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา จนกระทั่ง สมบูรณ์ มีอายุเพียงเท่านั้น จุติจากภพนั้นแล้ว ก็มาเกิดในภพนี้ ย่อมระลึกชาติก่อน ได้เป็นอันมาก ก็วนเวียน ทบทวนถึงความจริง แล้วนี่เรียกว่า เกิดตาทิพย์นี่แท้ ตาทิพย์อย่างนี้แหละ บุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วก็รู้รายละเอียดของ การเกิดในวิวัฏกัป เป็นกัปของปรมัตถ์ เป็นกัปของคนอย่างมีวิชชา อย่างของพระพุทธเจ้า ได้ละ ได้ล้าง อย่างนั้นจริงๆ

เสร็จแล้ว จุตุปปาตญาณ เธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ พร้อมทั้งอย่างหลักเกณฑ์ อย่างอาตมาบอกนี่ หลักเกณฑ์หัวข้อ บอกมีชื่ออย่างนั้นนี่ หัวข้อ แล้วในรายละเอียดเป็นยังไง อาตมาก็เอามาแสดงให้ฟังนี่ มีโคตรอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นหัวข้อ มีผิวพรรณอย่างนั้น ก็เป็นหัวข้อ เป็นอุเทศ อาตมาก็ขยายอุเทศให้ฟัง ยกตัวอย่าง ให้ฟัง คุณเข้าใจแล้ว โดยนัยปริยาย ฟังไปแล้ว เข้าใจนะ แล้วก็ไปตรวจสอบเอาเอง มันจะเกิดโคตรไหนก็ช่าง ผิวพรรณไหน ก็แยกชั้นตอน ผิวพรรณ โคตร อย่างนั้น ชื่ออย่างนั้น อาหารอย่างนั้น เสวยสุข เสวยทุกข์อย่างนั้น มีกำหนดอายุ เท่านั้นๆ อย่างนั้น คุณก็รู้กันไปนี่ เรียกว่า รู้อาการของมัน แล้วก็รู้ว่า อ้อ หัวข้อนี้ หมายถึงหัวข้อนี้ แต่มีรายละเอียด มีนิทาน มีเรื่องราว มากมาย โอ้ เข้าใจแล้ว คุณจะรู้จักว่า รายละเอียดของอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา เป็นผู้ระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้ง อาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ แต่ไม่เห็น หมู่สัตว์ ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ ตอนนี้เข้าจุตูปปาตญาณ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ไม่รู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ว่าสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดถือ การกระทำด้วยอำนาจ มิจฉาทิฐิ เมื่อตายไป เข้าถึงทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ตอนนี้ก็ชักเข้าใจสูงขึ้น สัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วย กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ไม่รู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ว่าสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วย กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดถือ การกระทำ ด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เมื่อตายไป เข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ตอนนี้ ชักเข้าใจสูงขึ้น สัตว์เหล่านี้ประกอบ ด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฐิ ยึดถือ การกระทำ ด้วยอำนาจ สัมมาทิฐิ เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ ดังนี้

ผู้ใดไม่เห็น ก็จะต้องทำให้เห็น เมื่อไม่เห็น ก็จะต้องจนกระทั่งสุดท้าย ก็ให้รู้ชัด ให้เห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต หมายความว่าอย่างไรก็คงรู้ ประณีตหมายความว่าสูงขึ้น ละเอียดขึ้น เจริญขึ้น เลวกับประณีต เพราะฉะนั้น จิตของเรา ที่ยังหมกมุ่น ติดยึด เป็นสัตว์นรก คลุกคลีอยู่ ด้วยไอ้เรื่องหยาบๆ ต่ำๆ แม้แต่อบายมุข ก็ยังเป็นสัตว์นรก ติดอบายมุข หรือแม้แต่ ไม่อบายมุข ก็ตาม ที่จริง คำว่าอบายมุขนี่ เป็นนรก หัวหน้านรก ไปติดอะไรก็ตามใจเถอะ คุณจะไป ติดทองคำ ติดเพชรนิลจินดา อะไรก็ตาม ติดมัน มันก็หยาบอยู่นั่นแหละ ติดจัดๆ ก็คือหยาบๆ มันก็เลว มันก็ต่ำ มันก็ชั่ว มันก็หยาบ ปหีนะ นี่เรียกว่า ต่ำ หีนะนี่ ต่ำ หยาบ ทราม ประณีต ประณีตเรียกว่าละเอียด เพราะฉะนั้น ละเอียดขึ้นๆมาๆ เราก็ไม่ต่ำแล้ว ก็ต้องทำให้สูงขึ้นว่า เราก็ต้องรู้ว่า เรารู้สัตว์เหล่านี้ นั่นก็คืออาการ คือนิมิต ที่เรามีอยู่ในใจเรานี่แหละ อันนี้เป็นกิเลสน่ะ จับตัวมันได้ แล้ว กิเลสอันนี้ นี่ โอ้โฮ เรานี่ ยังติดจัดจ้าน หยาบคาย ต่ำอยู่เยอะ สัตว์นรกตัวโต สัตว์นรก ตัวโตของเรา เรารู้แล้วว่า สัตว์นรกตัวโต ตัวหยาบ แหม แข็งแรง เสียด้วยนะ เราก็รู้ว่า โอ้โฮ สัตว์นรกตัวหยาบ ตัวแข็งแรง ของเรา นี่เรียกว่าเลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี หรือตกยาก ก็รู้ละ โอ้โฮ นอกจากมัน จะตัวหยาบแล้ว มันยังเป็นตัวที่น่าเกลียดน่าชังนะ ผิวพรรณทราม โอ้ แล้วก็ ทรมานทรกรรม ไม่เคยได้ดีสักที ตกยากระกำลำบาก อยู่อย่างนั้นแหละ แล้วแต่ก่อนนี้ ไม่เคยรู้ว่า ตัวเองทรมาน ทรกรรม ไม่เคยรู้ตัว ตกยาก ไม่ว่าจะเป็นยาจก คนร่ำรวย ไม่ว่า จะเป็นคนจน คนรวยทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่รู้ ก็ตกยากลำบากอยู่นั่นแหละ ร่ำรวยก็สามารถติดฝิ่น คนร่ำรวย ก็สามารถติดอบายมุขต่ำๆ

ถ้าเผื่อว่า ติดเมื่อไหร่ หยาบเมื่อไหร่ กลายเป็นกิเลส ต่ำหยาบ เป็นสัตว์นรก ต่ำหยาบเมื่อไหร่ต่อให้เป็นเศรษฐี รวยเท่าไหร่ ไอ้ตอนตก มันก็ตกหยาบต่ำจัด ร้ายแรง เหมือนกันนั่นแหละ จะแรงเอาจัดจ้านกว่าด้วย ยิ่งเป็น ไปบำเรอมันมากๆ มันหยาบ หนามาก ใช่ไหม หนามาก มันก็ติดจัด ไอ้ความจัดจ้าน นั่นแหละ แล้วมันก็เวลาตก มันก็บ้าๆ ยิ่งมีอัตตามานะร่ำรวยนี่ อัตตามานะสูงนะ ไม่ได้ดังใจ โอ้โฮ ผีแรงเลย ออกมาข้างนอกด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ไม่ได้ดังใจ แย่งชิง ตบเอา ฆ่าแกงรุนแรง หยาบออกมาถึง ข้างนอกนะ ต่อให้ร่ำรวยด้วย คนจนเสียอีก อาจไม่ต้องมีอัตตามานะมากขนาดนั้น มันไม่ได้ ก็ต้องจำยอม กูไม่มีละ มันก็ได้อย่างนี้ จะไปรุนแรง กับคนอื่นได้อย่างไร จะยิ่งมีความร่ำรวย อัตตามานะนี่ สมมุติว่า ติดอะไร ก็แล้วแต่เถอะ ติดที่มันกินตัวรุนแรง อย่างเป็นยา เสพติด อย่างเป็นคนร่ำรวย ติดยาเสพย์ติด อย่างนี้นี่นะ แล้วมีเงิน มีทองซื้อด้วย ใครหามาไม่ทันอกทันใจ เห็นไหมละ อย่างในหนัง ฮ่องเต้ติดฝิ่น อย่างนี้ พออยาก แรง มานี่แสดงออกมาถึงกาย ต่ำ หยาบ ต่ำนั่นแหละ เรียกว่า ผิวพรรณทราม มัน หยาบจัดเท่าไหร่ ก็คือตกยาก ไม่ได้ดีหรอก ไอ้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น เรามาแก้ไข เสียให้กลับคืนเป็นได้ดี ไม่ใช่เป็นคนกระจอก ไม่ใช่เป็นสัตว์นรก ที่หยาบต่ำอยู่อย่างนั้น ทำแล้วก็เจริญขึ้น เราก็จะเห็นชั้นวรรณะ หรือ ผิวพรรณดี ที่จริงวรรณะเขาแปลผิว ก็แต่แค่ผิวรูปธรรม แต่ชั้นวรรณะนี่ มันไม่ใช่ธรรมดา มันชั้นที่เจริญขึ้น เรียกว่า ผิวพรรณดี หรือว่า วรรณะดี ผิวพรรณเขาแปลมาจาก วรรณะโดยตรง ภาษาบาลี เขามาแปล เป็นภาษาไทยก็ผิวพรรณ เราก็เลยมาแปลเอาแต่ผิวนี่ ผิวอันนี้ แต่แท้จริงแล้ว สัตว์นรก มันไม่มีผิวอย่างนี้ด้วยซ้ำ มันเป็น ชั้นวรรณะ เป็นวรรณะสูงขึ้น แต่ก่อนนี้ เราเป็นสัตว์นรกที่หยาบคาย เป็นสัตว์นรกที่ต่ำ เดี๋ยวนี้ ก็ชักค่อยยังชั่ว เบาบางได้ จะเป็นพวกสัตว์ตกยาก ทรมานทรกรรม ก็ไม่ใช่ เดี๋ยวนี้ ก็ดีขึ้น ประณีตขึ้น นี่เรียกว่า เห็นความเลื่อน เห็นจุติเลื่อน เคลื่อนสู่สูง หรือเคลื่อนสู่ต่ำ ปฏิบัติไปๆ ยิ่งกิเลสหนากว่าเก่า ก็ต้องรู้ตัวไม่เจริญขึ้นนะ โอ้โฮ ตกยากไปอีก หยาบไปอีก ไม่ใช่ประณีต ยิ่งปหีนะ ไม่ใช่ประณีต ยิ่งต่ำเข้าไป ระวัง นี่เรียกว่าเรียนรู้ มี วรรณะสูงขึ้น หรือ ชั้นวรรณะต่ำลง ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ เราไม่ได้เอาลูกนัยน์ตาเนื้อนี่ ไปดูหรอก จักษุนี่ก็การเห็น การรู้ด้วยญาณ จักษุทิพย์ด้วยญาณ การเห็น การรู้ด้วยญาณ การเห็นการรู้ด้วยญาณปัญญาที่แท้จริง ด้วยวิชชานี่ที่แท้จริง

ถ้าเราอ่านอย่างพวกนี้ได้ชัดเจน ในวิวัฏกัป ในสภาพภพ ชาติ ยิ่งเป็นภพชาติที่ไม่ใช่ภพธรรมดา เป็นวิภวภพ เป็นภพที่สูงขึ้น ยิ่งมีปัญญา เข้าใจวิชชา ที่อาตมาพูดให้ฟังเป็นปริยัติ เป็นภาษาว่า วิชชาของพระพุทธเจ้า นี่ สอนอย่างนี้ แนะนำอย่างนี้ เรียนรู้อย่างนี้ แล้วทำอย่างนี้ แล้วคุณไปอ่านให้ออกเอง อ่านของตัวเองจริงว่า อ้อ วิภวภพ หรือวิวัฎกัปนี่ เป็นอย่างนี้หนอ ภพของวิวัฏกัป นี่หมุนเวียน ตกระกำลำบาก หรือว่าขึ้นจากสวรรค์เก๊ มาเป็น ขึ้นสวรรค์แท้ อ้อ เราขี้นได้นะ เป็นสัตว์นรก ที่ประณีตขึ้นมาแล้ว แล้วเป็นสัตว์นรกที่มี วรรณะดี อย่าไปแปลแค่แต่ ผิวพรรณดีเลย มีวรรณะสูง มีวรรณะเจริญขึ้นมาได้นั้น เราได้ดีแล้ว เราไม่ตกยากแล้ว เราเจริญขึ้นแล้ว แต่ก่อนนี้โอ้โฮ โง่เง่าเต่าตุ่น ต่อให้ร่ำรวย ต่อให้มียศถาบรรดาศักดิ์สูง ก็ยัง ลงนรกอย่างนี้ ได้อย่างหยาบๆ คายๆ ชั้นต่ำด้วย ต่อให้เป็นฮ่องเต้ ยังขั้นต่ำได้ เข้าใจไหม วิวัฏกัปนี่ ยิ่งจะเป็นฮ่องเต้ที่ว่า นั่นแหละ ยิ่งที่มีอำนาจราชศักดิ์ มีทรัพย์ศฤงคาร ไม่ได้ดังใจ ยิ่งจะหยาบ หยาบ ยิ่งจะไม่ประณีต ยิ่งจะจัดๆ จ้านๆ ก็ยิ่ง จะตกยาก ไม่ใช่ได้ดี ยิ่งตกยาก มากมายขนาด แหม ร่ำรวย มีอำนาจราชศักดิ์อะไรอย่างไรก็ตาม เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เรียนรู้ ถ้าไม่แก้ไขแล้ว มันก็ไม่ได้เจริญ ในทางจิต วิญญาณ

มีการถามแซงมาอีกว่า เมื่อกี้นี้ พ่อท่านเทศน์ว่า ผู้หญิงที่ไปเสริมสวยโง่ แหม ไม่ยอมเหมือนกันนะ แล้วผู้ชายล่ะ ที่ไป แปลงเพศ เป็นผู้หญิงละ ว่าโง่หรือเปล่า ไอ้นั่นมันยิ่งโง่มหาโง่เลย เป็นผู้ชายดีๆ แล้วดันผ่าไปเป็นผู้หญิง มันโง่จริงๆนะ กะเทยนี่ พระพุทธเจ้า ถึงไม่ค่อยคบ ไม่คบด้วยกะเทย มันโง่จริงๆ เอ้อ ผู้หญิงอยากเป็นผู้ชาย มันยังพอเข้าท่าหน่อย แต่ระวังเล่า แต่มันก็ไม่ดี อยู่นั่นแหละกะเทย มันไม่ใช่สมมุติที่ถูกสัดส่วน เพราะฉะนั้น จะต้องรู้ความมัชฌิมา สัดส่วนของมัน ไม่ต้องไปอยากหรอก ปฏิบัติธรรมไป แล้วมันก็เลื่อนขั้น เลื่อนฐาน เลื่อนอะไรไปเอง แล้วไอ้คนนั่น เป็นผู้ชายดีๆ แล้วดันผ่า อยากไปเป็นผู้หญิง ไม่ต้องพูดกันแล้วจบ มันโง่ มหาโง่แล้วนะ แหม นี่ไม่ยอมเลยน่ะ เป็นผู้หญิงไปแต่งตัว มาว่าเขา เสริมสวยโง่ แล้วผู้ชายแปลงเพศ เป็นผู้หญิงนะ ไม่โง่เหรอ เท่านี้ก็เอา เป็นอย่างไรเล่าจิตใจ มันไม่ยอมเหรอ เป็นผู้หญิง ถูกว่าฝ่ายเดียว เป็นผู้ชาย ทำไมไม่ว่าบ้าง ว่าแต่ผู้หญิง เอ้า ว่าให้แล้ว เลยสมใจ อัตตามานะอย่างนั้น ก็ระมัดระวังนะ แม้แต่ แค่นี้ก็แย่งชิง แม้แต่อัตตามานะแค่นี้น่ะ

เพราะฉะนั้น เราจะต้องเข้าใจในนัยอุเทศ ประณีต เป็นอุเทศ เป็นหัวข้อ เลว เลวอย่างไร ต่ำกว่าปหีน ปหีนะ อย่างไร ประณีต ละเอียดๆ สภาวะมันเป็นอย่างไร อาตมาขยายความไปบ้างแล้ว มีผิวพรรณดี หรือวรรณะดี คงจะสุวัณเณมั้ง ผิวพรรณทราม ก็คงจะทุพพัณเณ อาตมาเดาพระบาลีนะ อย่างนี้เป็นต้น ได้ดี หรือตกยาก นี่ก็ไม่รู้ว่า ใช้บาลีตัวไหน แต่เอาเถอะ ไม่มีปัญหา อะไร แม้เป็นภาษาไทยมา อาตมาก็เข้าใจสภาวะ เพราะว่าอาตมามีสภาวะ เอาสภาวะมาบรรยาย อาตมาไม่ได้ผิด บัญญัติ ภาษา พยัญชนะ เท่าไรหรอก แต่พยัญชนะ อาตมานี่ เขาอธิบายความต่างนี่ ท่านเข้าใจมา ก็เถียงอาตมา เอาเถอะ อาตมาก็ ไม่ได้ถือสาอะไร อาตมาอธิบายภาษาสู่สภาวะ ให้สภาวะพวกคุณเข้าใจ ซึ่งมันจะมากกว่าที่เขาแปลเอาไว้ ในพระไตรปิฎก แปลไว้ในพวก ที่รู้พยัญชนะ รู้ไวยากรณ์ รู้อะไร อาตมาแปลให้คุณเข้าใจ อธิบายให้คุณเข้าใจ ขยาย ให้คุณเข้าใจ แล้วคุณ ก็เอาไป ปฏิบัติได้ก็แล้วกัน รับรองว่า ไม่ผิดปรมัตถ์ แม้ภาษาจะดูเกินดูเลย อะไรก็ตามเถอะ รับรองไม่ผิดปรมัตถ์ แต่คนที่เขา ถือบัญญัติ ถือภาษา ก็เรื่องของเขา ก็ไม่เป็นไรหรอก ก็ให้เขาติงเขาท้วง ก็ถูกของเขา เพราะเขาเรียนมาอย่างนั้น เอาหลักเกณฑ์ อย่างนั้น มันก็ไม่อะไร แต่ธรรมดา ธรรมชาติในโลกนั้น สภาวะมันเกิดก่อนภาษา ภาษาที่เอามาเรียกสภาวะ มาเกิดทีหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษาเรียกไปแล้ว นี่ยิ่งมาพิจารณาเป็นไวยากรณ์แล้วนี่ ไวยากรณ์เกิดทีหลังภาษา ที่บัญญัติด้วยซ้ำ ไวยากรณ์นี่ ไม่ใช่ไวยากรณ์ เกิดก่อนที่จะเกิดภาษาพูด ไม่ใช่ ไวยากรณ์ เกิดหลังภาษาที่พูด หรือภาษาที่เรียกสภาวะด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น มันจึงยาก ที่จะอธิบายไวยากรณ์

ต่อมาอันนี้ก็เอาไปแล้ว อธิบายไปแล้ว เรื่องเลว เรื่องประณีต วรรณะดี หรือวรรณะทราม ถ้าเรียกวรรณะแล้ว มันจะเข้าใจ ง่ายขึ้น ถ้าเรียกผิว พรรณ ประเดี๋ยวมันจะไปติดอยู่แค่ผิวหนัง คำว่าวรรณะ ไม่ได้หมายถึงผิวหนังเท่า นั้น หมายถึงศักดิ์ชั้นด้วย หมายถึง ศักดิ์ของความเจริญ ของความสูงจริง ของความ ต่ำจริง เพราะฉะนั้น วรรณะดี วรรณะทรามก็จะต้องรู้ได้ดี หรือตกยาก บอกแล้ว ว่า แม้แต่จะให้ร่ำรวย จะให้มีอำนาจราชศักดิ์ มีอำนาจตัดหัวคนให้ได้ก็ตาม ใหญ่ ยิ่งถึงขนาดนั้น ก็ยังเป็นคนตกยาก ไม่ใช่คนได้ดี เป็นคนตกยากได้ เป็นสัตว์ที่ตกยาก ถ้าเข้าใจดีแล้ว เป็นปรมัตถ์ เป็นสัตตาโอปปาติกา ที่ตกยากอยู่ได้ ถ้าท่าน ในรูปนอก นี่ โอ้โฮ ดูยิ่งใหญ่ เป็นฮ่องเต้ เป็นผู้มีอำนาจราชศักดิ์ นี่มีทรัพย์ศฤงคาร มีอะไร ต่ออะไรได้ เรียกว่า ขุดหัวคนก็ได้ อย่างที่ว่านี่นะ ก็ยังเป็นคน ตกยาก ยังเป็นคนกระจอก เป็นสัตว์กระจอก เป็นสัตว์ต่ำ สัตว์ตกยาก สัตว์เป็นสัตว์ที่ลำบาก ลำบนเองนะ ตกยากนี่ หมายถึงตัวเอง ตัวเองไม่เจริญ ตัวเองไม่ได้ดีน่ะ มันทุกข์ มันทรมาน หรือว่า มันโง่เง่าเต่าตุ่น มันยังหลงติด มันยังหลงยึด มันยังด่ำดิ่งจัดจ้าน ติดกิเลส กิเลสจัดจ้าน รุนแรง แล้วก็หยาบคาย เป็นอยู่อย่างนั้นน่ะ เพราะฉะนั้น ทำอะไรออกมา ประทุออกมา ถึงรูปข้างนอก หยาบๆ คายๆ

ดูแล้ว แหม น่าเกลียดน่ากลัว เป็นสัตว์โขมด เป็นผีโขมด โอ้โฮ ดุร้าย รุนแรงอะไรก็ได้ ต่อให้ร่ำรวยมีราชศักดิ์อย่างที่ว่า นี่เรียกว่าได้ดี หรือตกยาก ยิ่ง ถ้าจะว่าไปแล้ว ยิ่งร่ำรวย มีอำนาจใหญ่ ยิ่งจะทำให้ตัวเองนี่ เป็นสัตว์นรกตกยาก หรือ เป็นสัตว์ ขั้นต่ำ ได้ง่ายกว่าด้วย เพราะมันมี อัตตามานะเข้าไปซ้อน ใช่ไหม ติดรูป รส กลิ่น เสียง แล้วก็ทำให้อัตตา ของตัวเอง ต่ำทรามลงไปอีก ให้ตัวตนตัวเองต่ำ ทรามไปอีก มีกิเลส หรือว่าจิตวิญญาณที่หยาบ เลว ต่ำ รุนแรงจัดจ้าน นี่เรียกว่าตก ยาก เพราะฉะนั้น ต้องมาปรับ ให้มันได้ดี ละล้างขึ้นมา อย่าไปติดจัด อย่าไปรุนแรง อย่าไปหยาบคาย อย่าไปอะไรต่ออะไร ขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง เลื่อนขั้นขึ้นมา เป็นวรรณะ ดีๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ ประณีตขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่หยาบ ไม่ต่ำ ไม่เป็นอย่างนั้น ขึ้นมาได้เรื่อยๆ นี่เรียกว่า จุตูปปาตญาณ มีรู้การเกิด การดับ เกิดทางจิตวิญญาณ ดับทางจิตวิญญาณ เลื่อนขั้น จุตินี่เลื่อน เคลื่อน เลื่อนลง หรือเลื่อนขึ้น เลื่อนขึ้นสู่ ความเป็นเทวดา ที่เป็น อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ หรือเลื่อนต่ำ ลงไปหาสัตว์นรก ต้องเห็น ต้องมีวิชชา ต้องมีญาณของตนๆ เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ทบทวน อ่าน พิจารณา เรียนรู้จริงๆ ให้ชำนาญ ให้คล่องแคล่ว ในจิตวิญญาณของเรา ในปรมัตถ์ จิต เจตสิกของเรา ชำนาญแล้วก็ปฏิบัติ เป็นปัจจุบันธรรม

ยิ่งปฏิบัติเป็นปัจจุบันธรรม ได้มากมาย ยิ่งรู้แจ้ง เห็นจริง แววไว มีมุทุภูเต กัมมนิเย ฐิเต อาเนญชัปปัตเต เป็นฌานที่แววไว เป็นฌานที่ปรับได้ ดับได้ ดัดได้ง่ายดาย เป็นสัตว์เจริญ เป็นอุบัติเทพ เป็นวิสุทธิเทพที่เจริญง่าย จริงเข้าคล่องแคล่ว คุณก็ จะมีจริง อันนั้น ยืนยันตัวเอง อาตมาหลอกคุณไม่ได้หรอก คุณอย่าหลอกตัวเอง คุณจะเห็นจริงของคุณเอง ไม่ต้อง หลอกหรอก ไม่มีใคร หลอกใครหรอก เอาไปปฏิบัติ ประพฤติแล้ว ก็จะเห็นแจ้งของตนเอง

ยิ่งมีบทปฏิบัติ มีบทปฏิบัติอบรมฝึกฝน มันก็ยิ่งคล่องแคล่ว มันก็ยิ่งจะชำนาญในของจริง เพราะฉะนั้น คนก็ได้แต่นึก แต่คิด ทบทวนแต่เหตุผล ทบทวนแต่บัญญัติ ทบทวนแต่ความรู้ ไม่ได้มีประสบการณ์จริง ไม่ได้มีของจริง ไม่ได้มี ปัจจุบันธรรม ไม่ได้อ่านได้จริงนะ ไม่ชัด ไม่เจนหรอก ไม่ทันการ ไม่แคล่วคล่องจริงหรอก ช้า ไม่ทันกิน กระทบสัมผัส กว่าจะตั้งหลักได้ กว่าจะแววไว จะมุทุภูตธาตุ แทนที่จะมุทุภูตธาตุเจริญ เป็นมุทุภูตธาตุที่แววไว เป็นองค์ประกอบ ของการปฏิบัติฌาน องค์ประกอบ ของการเรียนรู้ องค์ประกอบของเครื่องมืออุปกรณ์ ในการที่จะทำฌาน มุทุภูตธาตุ เพราะฉะนั้น ไม่ได้ฝึกจริง เลยนะ นั่งพูดเอา คิดเอาไม่ได้หรอก

ต้องมีประสบการณ์จริง มีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วก็ได้ปฏิบัติ ได้ประพฤติ ได้เกิดญาณ เกิดเห็น เกิดสู้ เกิดแข็งแรง สมาธิ หรือฌาน อันนั้นน่ะแข็งแรง สมาธิหรือฌานลืมตา สมาธิหรือฌาน ที่มีผัสสะ เป็นปัจจัย สำรวม สังวรอินทรีย์ ๖ นี่แหละ มันวิเศษ แล้วเราก็ มีบทบาท เป็นการเรียนรู้บุพเพด้วย ปัจจุบันนี่ เราก็ระลึกได้แววไวนะ ได้ นั่งฟังธรรมอาตมานี่ ระลึกได้ ก็ระลึกไปด้วย ใครระลึกได้ ระลึกทุกคนน่ะ อัตโนมัติ หลายคนไม่รู้ตัวหรอก ไม่รู้เองก็ตาม ระลึกที่อาตมานำนิดเดียว ระลึกนิดหนึ่ง แม้แต่อาตมาไม่บอกคุณ ก็ระลึกไปอัตโนมัติ อยู่ในตัวนั่นเอง

ยิ่งเราเข้าใจ เราก็ยิ่งทบทวน เราก็ยิ่งทำให้มันชัดเจน เออ ระลึกย้อนถามทวนว่า ตัวเองเมื่อนั้นเมื่อนี่ เอาให้อย่างนี้ อย่างที่ อาตมา อธิบาย ของหัวข้ออุเทศ มาขยายให้ฟัง คุณก็จะเข้าใจลึกซึ้ง ด้วยประการทั้งปวงมาก ละเอียดลออขึ้น มันก็ยิ่ง จะทำได้ง่าย สุดท้าย แม้แต่กิเลสหยาบ ล้างละเอียด วิติกกมกิเลส ปริยุฏฐานกิเลส จนกระทั่งถึง อนุสัยกิเลสก็รู้ หมดสิ้นแล้ว ถอนอาสวะ แล้วเดี๋ยวนี้ ก็ไม่มีๆ มีประสบการณ์ตั้งร้อยครั้ง พันครั้ง มันก็ไม่มีแม้แต่อวิมุติ อยู่ กับทุกอย่างได้สบาย อยู่เหนือ เป็นอนุตตรจิต เจโตปริยญาณ ๑๖ นี่ เป็นอนุตตรจิต เป็นสมาหิตจิต เป็นจิตที่เป็นสมาธิแบบสมาหิตะ มีประโยชน์ มีคุณค่า แข็งแรง อยู่เหนือ ไม่ย่นย่อต่อผัสสะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีผัสสะเป็นอย่างไร ก็ได้อยู่เหนือจริงๆเลย ยืนหยัด ยืนยัน มันจะแรง มันจะอย่างไรๆ เป็นคนอื่นก็สู้ไม่ไหว เดี๋ยวนี้ ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ น กัมปติ สัมผัสต่อโลกธรรม สัมผัสต่อโลกียะทั้งหลายอย่างนี้ ไม่หวั่นไหว อโสกะ, วิรชะ, อโสกะ หมองก็ไม่มี วิรชะ ธุลีเริงก็ไม่มี หมดนิ่ง สนิทเกษม เขมังๆ รู้ความจริงอันนี้ อย่างสมบูรณ์ บริบูรณ์จริงๆ จึงจะเป็นสัจจะที่ลงตัว เป็นสัจจะที่แท้จริง ในทางปรมัตถ์ ในทางโลก ที่เป็น โลกใหม่ โลกุตรบุคคล เป็นโลกวิภวภพ เป็นภพที่คุณรู้จักวิวัฏกัป เป็นภพที่ คุณรู้จักสังขาร ปรุง ก็กับปฏินิสสัคคะ ปรุงคนอื่นเขาได้ด้วย มีฤทธิ์แรง เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา จะตรรกะ วิตรรกะ สังกัปปะ จะสังขาร ก็เป็น วจีสังขาร เป็นเรื่องเป็นราวได้ อย่างไม่มีหวั่นไหว ไม่แปรปรวน ไม่ตกต่ำ ไม่เป็นไปตามโลกีย์ เขาอีกแล้ว แต่ก็ปรุงร่วมกับ โลกีย์เขาได้ ถึงอย่างนั้น สมบูรณ์สูงสุด

คนอย่างนี้ จึงเป็นคนที่ช่วยมนุษย์ได้จริง เป็นที่พึ่งของมนุษย์ได้จริง ของพระพุทธเจ้านี่ คนที่ประเสริฐจริงแล้ว เป็นอริยะของ พระพุทธเจ้า จึงเป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้จริงๆ เลยพิสูจน์ตนเองก็สมบูรณ์ ก็แข็งแรงด้วย อย่างยืนหยัด ยืนยันว่า มันไม่ต้องหลีก ต้องลี้ไปไหน อยู่เหนือมัน ไม่ต้องหนี ไม่ต้องหลบ

โลกุตรบุคคลของพระพุทธเจ้าจึงยิ่งใหญ่ อยู่ในโลกช่วยโลก เป็นที่พึ่งของโลก ด้วยประการฉะนี้

๒๙๐๒.TAP