เธอพึงตั้งตนไว้ ในคุณอันสมควรก่อน
โดยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ประจำวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๔๘
ที่สังฆสถานทักษิณอโศก
จ.ตรัง


ตอนนี้เราก็ได้ ประชุมกันสัมมนากันคุยกันพูดกัน ก็ขอย้ำนะว่าพวกเรานี่ จะต้องคำนึงขบวนการกลุ่มกันนี่ให้สำคัญ การคำนึงถึง ขบวนการกลุ่ม นี่เป็นการปฏิบัติธรรม อย่างยิ่ง เป็นการถอดอัตตาถอดตัวถอดตนระลึกถึงคนอื่น ระลึกถึง ข้างนอก ไม่ใช่เอาแต่ตัวแต่ตน เอาแต่ตัวเราเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้น เราระลึกถึงคนอื่น โดยเฉพาะ จะเป็นความคิด จะเป็นความเห็น จะเป็นความรู้ จะเป็นสิ่งที่เราได้เจออะไรขึ้นมา คิดอะไรขึ้นมาเกิดอะไรขึ้นมาในจิตในใจนี่ เราก็ควรคิดถึง คนอื่นว่า เออ คนอื่นเขาจะคิดยังไง คนอื่นเขาจะเห็นยังไง คนอื่นเขาจะมีความเห็นร่วม หรือความเห็นแย้ง หรือมีนัยที่ลึกซึ้ง กว่านี้ มีอะไรที่ควร จะเพิ่มเติมกว่านี้หรือไม่ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น ถ้าเราคิดถึงคนอื่น มันก็จะเพิ่ม แต่ถ้าเราคิดถึงตัวเองนี่ ลักษณะนิสัย อัตตานี่นะ มันรู้สึกว่าหยิ่งผยองในตัวเองนี่ ความคิดของข้า ความเห็นของข้า ข้าสงวน จะต้องเสนอ ให้เป็นของข้า และเด่นใหญ่ดังหนักเข้า ใครมาแย้ง ใครมาขัดไม่ได้ อะไรอย่างนี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น ความแคบ ทั้งสิ้นเลย ฟังก็คงเข้าใจ อาตมาใช้ศัพท์คำว่า มันเป็นความแคบ แต่มันเป็นในลักษณะอัตตานี่เป็น จริงไหม คนเรานี่มันเป็น เพราะฉะนั้น ถึงบอกว่า คนเรานี่มันโง่.นะ มันสิ่งที่ไม่ดี มันก็ไม่ดีนะ ที่จริงมันรู้นะว่า มันไม่ดี มันหวงแหน จะเอาเด่น เอาดัง ตัวเอง แล้วก็แคบๆด้วนๆ มีแค่นั้นแหละ

ถ้าเรามาศึกษา ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว จะได้เห็นว่า โอ.. พระพุทธเจ้า นี่ สอนสิ่งที่วิเศษ สิ่งที่ประเสริฐจริงๆ เราก็พยายาม ที่จะพัฒนา บูรณาการเรื่องของชีวิต เรื่องของคุณภาพ คุณธรรม ของตัว ของตนเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เราจะเห็นได้ว่า ถ้าเรา พัฒนา คุณธรรมของตน เมื่อคุณธรรมของตนนี่ สามารถที่จะปฏิบัติได้ มันก็จะเกิดเป็นคุณสมบัติของเรา คุณสมบัติต่างๆ เกิดขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อยก็ตาม สั่งสมขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นคุณลักษณะ ที่ดีที่งาม สูงขึ้นสูงขึ้นเป็นคุณภาพที่ดีขึ้น ๆๆๆ จนถึงขั้น คุณวิเศษ คุณวิเศษสูงพัฒนาจนถึงขั้นคุณวิเศษ ก็คือ มันเป็นอาริย ที่สมบูรณ์ เป็นอาริยที่ดีขึ้น ตามลำดับ สิ่งเหล่านั้น จะเป็นตัวหลัก หลักของมนุษย์โดยเฉพาะที่จิต จิตมันพัฒนา จริงๆ ไม่ใช่จิต อยู่อย่างเก่า จิตเกิดอินทรีย์ เกิดพละอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ของพระพุทธเจ้า นี่มันจะเกิดศรัทธาเชื่อ เราเชื่อตั้งแต่ทฤษฎี เชื่อตั้งแต่ปริยัติ เชื่อตั้งแต่ภาษาความเข้าใจ ความหมาย ความเห็น เชื่อแล้วเราก็เชื่อสูงขึ้น จนขั้นสูงขึ้น มีกำลังของ ความเชื่อ เรียกว่าศรัทธินทรีย์ ศรัทธินทรีย์สูงขึ้น มีกำลังของ ความเชื่อ สูงขึ้นๆ มันก็จะเพิ่ม เป็นความเชื่อถือ ภาษาไทย ศัพท์ภาษาไทย ศรัทธินทรีย์นี่ อาตมาแปล เป็นภาษาไทยว่า เชื่อฟัง เชื่อธรรมดานี่เชื่อถือ มันเชื่อสามารถ คนเรานี่ เชื่อถือ ศาสนาเชื่อถือ พุทธเชื่อถือความเห็นยังงั้นอย่างนี้ เชื่อเฉยๆ ยังไม่ถึงขั้น มีอินทรีย์ ถ้ามีอินทรีย์ ถึงขั้น เชื่อฟัง เชื่อฟังนี่ ภาษาไทยเรานี่ หมายความว่า คนนี้ปฏิบัติตาม ศัพท์ไทยเรานี่ คนนี้เชื่อฟัง เอ้อ คนนี้สูงกว่า เชื่อถือธรรมดา คนไทยพุทธ เชื่อถือพุทธ เท่านั้นแหละ แต่ไม่เชื่อฟัง ศีลข้อเดียวก็ไม่ทำตาม ถ้าเชื่อฟังนี่ทำตาม เชื่อฟังนี่ฝึกฝนแล้วปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ความมีอินทรีย์ ความมีกำลัง ความมีคุณภาพ ความมีดีกรี ของอันนั้น สูงขึ้นเรื่อยๆ นี่ ก็คือลักษณะอย่างนี้ มันเชื่อตัวเดียวกันนั่นแหละ แต่มันมีคุณลักษณะเพิ่ม แล้วเป็นเชื่อฟัง แล้วก็พัฒนาไปเรื่อยๆ มีวิริยะ วิริยินทรีย์ ศรัทธินทรีย์ อินทรีย์ ๕ นี่ มีศรัทธินทรีย์ แล้วก็มีวิริยินทรีย์ พากเพียรทำ พากเพียรทำ การพากเพียรในพุทธนี่ พากเพียรปฏิบัตินี่ จะต้องพากเพียร โดยมีสติ มีสติ เป็นตัวหลัก สติปัฏฐาน ๔ หรือมีสติ ที่นำการปฏิบัติ การเดินโพชฌงค์ นี่คือการเดิน มีสติสัมโพชฌงค์ มีวิริยะ มีธรรมวิจัย สัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์อะไร พวกนี้เกิดผลดีขึ้นมา จนเป็นปีติสัมโพชฌงค์ ผลดีนั้นสูงขึ้น จนถึงขั้นปัสสัทธิ ทำให้เกิด ความสงบ ความนิ่ง ความแข็งแรง มั่นคง ปัสสัทธินี่สงบแล้วยิ่งนิ่ง ถึงปัสสัทธิแล้วก็ต้องถึงสมาธิ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา สัมโพชฌงค์ เพราะฉะนั้น สตินี่ เป็นตัวนำ ในการปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ ก็ดี สติก็ต้องให้เจริญขึ้น เป็นสติสัมโพชฌงค์ เป็นองค์ของความเจริญ วิริยินทรีย์เกิด สติสัมโพชฌงค์ หรือ มีสติปัฏฐาน ๔ ขึ้นมา สติปัฏฐาน ๔ ไป เวทนา กาย เวทนา จิต ธรรม จนกระทั่ง มีสัมมัปทานด้วย มีอิทธิบาทด้วย มันด้วยกัน วิริยะ กับอิทธิบาท อะไรพวกนี้ มันก็คล้ายๆกัน หรือ วิริยะสัมโพชฌงค์ พวกนี้มันก็ต้องมีเสริม เป็นยาดำ แซมช่วยกัน เกื้อกูลกัน พัฒนากัน ให้เจริญขึ้น เจริญขึ้น เมื่อปฏิบัติสติสูง มีผลสูงขึ้น สั่งสมผลลงเป็น สมาธินทรีย์ เป็นความตั้งมั่นของจิต เป็นความแข็งแรง ของจิตแล้ว ก็มีปัญญินทรีย์ เป็นตัวสุดท้าย เป็นสัมมาญาณ ก็ตาม หรือเป็น วิชชาก็ได้ เป็นวิปัสสนาญาณ เป็นญาณทัศนะวิเศษ อะไรก็ตามใจ เป็นความรู้

ที่จริงความรู้ มันจะไม่มีการบกพร่องเลย ความรู้จะต้องรู้ตามอะไรทุกอย่างหมด ศรัทธาก็ต้องมีความรู้ วิริยะก็จะต้องมีความรู้ พากเพียร คนขยันแต่โง่นี่นะ เขากลัวนะ วิริยะพากเพียร คนขยันแต่โง่นี่ เขากลัว เดี๋ยวเถอะหมด บรรลัย เดี๋ยวคนขยันแต่โง่นี่ เขากลัว เพราะฉะนั้น จะขยันก็ขยัน แต่ต้องมีปัญญา ไม่ใช่ขยันแต่โง่นี่ น่ากลัว เพราะฉะนั้น ปัญญานี่ จะแทรกอยู่ทุกอัน และวิริยะนี่ มันไม่มีทำงาน ประพฤติทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่มีวิริยะกับปัญญานี่ อาตาว่าล้มเหลว ล้มเหลววิริยะกับปัญญา เพราะฉะนั้น ยิ่งจะมีสติเข้าไปด้วย มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์เข้าไปด้วย ครบองค์ปฏิบัติ ก็จะเจริญพัฒนาไปได้อย่างแท้จริงนะ เราเสริมอินทรีย์ ๕ พละนะพละ ๕นี่ ศรัทธาพละ วิริยะพละ สติพละ สมาธิพละ ปัญญาพละ อะไรเขาที่เป็นองค์ที่เป็น โพธิปักขิยธรรม ข้อที่ก็คือเต็มพละเหมือนกัน ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาเหมือนกัน แต่พละแปลว่า กำลังเหมือนกัน แปลว่า ความเป็นใหญ่ หรือแปลว่า ฤทธิ์แรง น้ำหนักฤทธิ์แรงมีอำนาจ แปลว่าอำนาจเหมือนกันหละ พละหรืออินทรีย์ มีความหมาย ใช้แทนกันได้ แต่พละเขาหมายถึง ตัวที่เป็นตัวผล ถ้าอินทรีย์เป็นตัวมรรค เป็นตัวกำลังสั่งสมเดินทาง พละเป็นตัวผล ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ปัญญินทรีย์ก็คือตัวเดินทาง ปัญญาพละ คือตัวผล ศรัทธินทรีย์คือตัวมรรค ศรัทธาพละคือตัวผล นี่เป็นต้นนะ เพราะเราทำให้เกิดกำลังจนถึงขั้นพละ ถึงขั้นสมบูรณ์ เมื่อสมบูรณ์แล้ว จิตวิญญาณ ที่ตั้งมั่น จนสมบูรณ์แล้ว ก็ตาม ที่พระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่า มันต้องแข็งแรงเที่ยงแท้มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไร หักล้างได้ ไม่กลับกำเริบ ถาวร ยั่งยืนเลย สิ่งเหล่านี้ เราก็ต้องพิสูจน์ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ อาตมาล้มเหลว นี่แหละพวกเรานี่ พวกคุณพิสูจน์ ตามอาตมาพาทำ ใช่ไหม ตอนนี้อาตมาพยายาม อาตมาเข้าใจว่า พวกคุณก็มาปฏิบัติได้อย่างนี้ แล้วอาตมา ก็จับมายืนยัน มาพูด มาย้ำ อยู่อย่างนี้นี่ เรามีถึงขั้น เป็นชุมชน เรามีถึงขั้นเป็นระบบ การดำเนินชีวิต มีสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ มีระบบวิธี บุญนิยม นี่คุยกัน ปรึกษา หารือกัน ปรับระบบระเบียบอะไรกันอยู่ เพื่อที่จะให้เข้าร่อง เข้ารอย ให้มันดีที่สุด ให้มันเป็นวิธีปฏิบัติ ที่มันเยี่ยมที่สุด ลงตัวที่สุด ก็ทำกันไปเรื่อยๆ ปรับกันไปเรื่อย จนมีชุมชนอย่างนี้ อาตมา ก็มั่นใจ ในทฤษฎีของพระพุทธเจ้า

นี่ให้พิสูจน์แล้ว อาตมาพาพิสูจน์แล้ว นี่อาตมาว่าอันนี้มันของจริง อาตมาว่าของจริง ได้ขนาดนี้ อาตมาก็ดูก็เห็นอยู่ว่า นี่ไม่ใช่ ของหลอก นี่ของจริง อาตมาเชื่อมั่นอย่างนั้น และเมื่อมันเป็นของจริงแล้ว มันต้องเป็น ตามที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้ แน่นอน มันต้องมั่นคง ยั่งยืนแน่นอน สิ่งอย่างนี้ยั่งยืน นี่แหละ มันเป็นที่หวังได้ ของมนุษยชาติ ถ้าสังคมอย่างอโศกนี่ แพร่หลายไป ในทั่วประเทศนี่นะ ๖๓ ล้านคนนี่ มีซักหมื่นชุมชน ประเทศไทยนี่ มีกี่หมื่นตำบล แปดหมื่นตำบล ใช่ไหม ตำบล หมู่บ้าน เอ้าเราเรียกหมู่บ้านก็ได้ ของเรานี่ระดับ หมู่บ้านนะ เราไม่เอาเป็น แบบใหญ่ อย่างนั้นหรอก แหมเกิดเป็นจังหวัด จังหวัดบุญนิยม เราไม่ต้องหรอก เขาสงวนลิขสิทธิ์ เขาก็เอ้ยพวกนี่ไมโคร แม็คโครไม่ได้ โอเค เราก็เอาไมโครก็ได้ แต่ก็ให้เป็น ไมโครนี่แหละ เป็นหมู่บ้าน ที่เป็นเครือแห เป็นหมู่บ้านเครือแห เป็นสาธารณโภคี เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างนี้ เป็นเอกีภาวะ อย่างที่เราเป็นนี่แหละ เป็นเอกภาพ อย่างนี้แหละ ๆ เขาบอกว่า พวกเราไม่เหมือนเขา ไม่เป็นไร ไม่เหมือนก็ได้ แต่ของเรา ก็มีแบบเรา อะไรนี่แหละ ถ้าเมืองไทยนี่ มีซักหมื่นหมู่บ้าน ช่วยกันเดาซิ ช่วยกันเดา คาดคะเนล่วงหน้าดูว่า ฝันหวานๆ ดูซิ จะเป็นยังไง แข็งแรงด้วยนะ ให้เป็นหมู่บ้านที่แข็งแรง มันต้องแข็งแรง ถ้าเป็นลักษณะนี้ อาตมาว่าต้องแข็งแรง มันต้องยั่งยืน ต้องแข็งแรง เพราะมันจริง และมันก็ชัดเจนว่า มันดี มาจนนี่ยังดี เลยกินข้าวมื้อเดียว นี่ยังดีเลย ไม่มีเงินซักบาทเลยยังดีเลย ทำไมฟังแล้ว นี่อะไรวะ ไม่มีเงินซักบาท ก็เหมือนหมาตัวหนึ่งสิ

อาตมาเคยโดนมาแล้ว เขาเคยว่าอาตมามาแล้ว ว่าไม่มีเงินซักบาท ก็เหมือนหมาตัวหนึ่งน่ะสิ ว่างั้นนะ ไม่ เราไม่มีปัญหาเลย เราเข้าใจ เป็นอย่างนี้ ถึงแม้ยังดูเหมือน ปมด้อยของสังคม แต่ความจริงแล้ว เราเข้าใจ มันไม่ใช่ปมด้อย เราไม่แหม ไม่เท่ ไม่อินเทรน กับเขาเลย ดูซิหน้าตาเนื้อตัว เดินไปเหินไป มันไม่อินเทรนเลย มันมาจากป่าไหนวะ ออกมาจากเขาไหน นี่พวกหลังเขา อะไรอย่างนี้ใช่ไหม แต่เราก็ไม่เกิดปมด้อย มีความมั่นใจของเรา ไม่สะทกสะเทิ้นอะไรเรา เราก็ดีของเรานี่แหละ เราก็ว่าของเรา ก็สบายดีแล้ว อะไรพวกนี้ แต่ในวิถีองค์รวมของชีวิต วิถีชีวิตที่มีองค์รวม แต่การเป็นอยู่ของเรานี่ อาตมาว่า มันได้พิสูจน์แล้ว พิสูจน์ความเป็นอยู่ พิสูจน์ความอยู่รวมกัน พิสูจน์การ มีคุณค่า ประโยชน์หรือไม่ พิสูจน์ความจริง หลายๆ ประการ พิสูจน์ความจริงที่บางที มองเผินๆว่า มันไม่เข้าท่า มาจน มันจะเป็นยังไง มันจะดีอะไร ง่ายๆนะ เขานิยมสะสวย หรูหรา ไม่หรูหรา มันจะดียังไงไม่หรูหรา มามักน้อย ว่างั้นเถอะ เอาง่ายๆ มามักน้อย มักน้อย มันก็ไม่เจริญสิ มักน้อยอะไร อย่างนี้ เราไม่ได้เข้าใจผิด อย่างงั้นนะ มักน้อยนี่แหละ มันตัวเจริญแหละ ไปมักมากนั่นแหละ มันถึงจะฉิบหายกันใหญ่ อยู่ทุกวันนี้ ธรรมใดวินัยใด เป็นไปเพื่อความมักมาก ธรรมนั้นวินัยนั้น ไม่ใช่ของเราตถาคต เราก็มาเดินทางมักน้อย อย่างพระพุทธเจ้า ท่านพาเป็น และพิสูจน์แล้วว่า เอ้อมันก็เป็นความจริง เป็นความจริง ที่ยืนยันได้

ถึงวันนี้แล้ว อาตมา ยิ่งสบายใจ ยิ่งเห็นพวกเรารับภาระ เอาภาระ อาตมาก็ยิ่งถ้าตาย ก็ตายตาหลับ นี่ต่างคนก็พากเพียร เอาภาระ ทั้งฆราวาส ทั้งสมณะ สมณะยังน้อยไปหน่อย เวลาประชุม ประเชิมก็ไม่มานั่งฟัง นั่งรับรู้อะไร ต่อยอดไปกับเขาบ้าง นี่ก็ติ สมณะไปพลาง ไม่เอาใจใส่ มันน่าฟังนะ มันน่ารับรู้ มันน่าจะช่วย อะไรๆ เอออย่างน้อย ก็รับรู้ไป แม้ไม่ร่วมคิด ก็รับรู้ รับทราบ เราก็จะได้ปัญญา เราก็จะได้รู้ความจริง อะไรขึ้นมา เพราะฉะนั้น พวกเรา อย่างทำประชุมกันไป อะไรกันไปนี่ ก็มีอะไร ก้าวหน้า ขึ้นไปเรื่อยๆ ตอนนี้ เราก็กำลังจะรวมให้มันเป็นระบบระเบียบ อะไรต่ออะไร จัดสรรอะไรต่ออะไร ต่างๆ นานา ให้มันเป็นชิ้น เป็นอัน ให้มันเป็น ทุกอย่างมันลงตัว มันเป็นสูตรสำเร็จ มันเป็นสิ่งที่ ประโยชน์สูง ประหยัดสุด ซึ่งเป็น โศลก ที่อาตมาตั้งไว้นานแล้ว เป็นเพลงอาริยะ หมายเลข ๑ เลยนะ ประโยชน์สูงประหยัดสุด นี่เพลงอาริยะ หมายเลข ๑ ซึ่งความหมาย ก็กินความมากเลย ประโยชน์สูง ประหยัดสุดนี่ ถ้าเข้าใจ ในความหมาย เพื่อทำให้มันมีความรั่วซึม ให้มันขาดหก ตกหล่น ได้น้อยที่สุด และ ให้มีประสิทธิภาพ เกิดระโยชน์คุณค่า ได้มากที่สุด และมันก็จะเร็ว มันก็จะเกิด ความเร็ว แล้วมันก็จะเกิด ความมีคุณค่า อะไรต่ออะไร พวกนี้สมบูรณ์ ขึ้นมาเอง

ยิ่งทำอาตมา ก็ยิ่งเห็นว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ สุดยอดคนจริงๆ ท่านตราไว้ ตรัสไว้ ยิ่งทำไปแล้ว เราก็ไปเจอพระสูตร เจอคำสอน ของพระพุทธเจ้า ที่ท่านตราไว้ ก่อนแล้ว ตั้ง๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว เอามาดูโธ่เอ๊ย เรากำลังทำงม ๆ คลำๆ ท่านจัดแยก ไว้แล้ว ท่านจัดหมวดหมู่ ไว้แล้ว ท่านมีอะไรต่ออะไร ขยายกันไว้ อาตมายิ่งไปเจอพระไตรปิฏก เจอคำสอนของ พระพุทธเจ้า แต่ละหมวด แต่ละหมู่นี่ มันเป็นลายแทง มาตลอด อันนี้มา เอ้า เจออันนี้อีกแล้ว โอ้โฮ ลายแทงอันนี้ เราพึ่งไปเจออะไร นิดๆนะ พอของพระพุทธเจ้า มาทั้งยวงมาทั้งสูตร นี่ ๖ ข้อ นี่ ๘ ข้อนี่ ๑๐ ข้อ อะไรมั่ง โอ้โฮ... ท่านเรียบเรียงไว้แล้ว เยี่ยมจริงๆ อาตมา ได้แจกวิธีการทำงานเอาไว้ ๑๙ หัวข้อ ยังไม่ได้เอามาอธิบาย ขยายความให้ชัดๆ ละเอียดๆ ก็คิดอยู่ว่า สักวันหนึ่ง จะเริ่มต้นบรรยายกัน แต่เริ่มต้นว่า การทำงาน ที่จะสมบูรณ์สุดนี่ มันจะขนาดไหน อย่างไร เกี่ยวข้องกัน ๑๙ ข้อทำไว้ ตามประสา อาตมา นะ มีปัญญาอะไร ก็เรียบเรียงไว้ ก็ยังไม่ได้เอามาขยายความ สักวันหนึ่ง ก็คงจะได้เอามาขยายความ สู่กันฟัง อาตมาเน้นคนเป็นหลัก งานสังคมสังเคราะห์ กับงานสร้างคนนี่ ที่อาตมาพยายามเน้น ให้พวกเราเข้าใจ ให้รู้จัก ทิศทาง อันนี้เป็นเรื่องที่ คนเราเข้าใจได้ยาก คนที่มีปัญญา จะเข้าใจได้ง่าย คนที่ไม่มีปัญญา เข้าใจได้ยาก และจะไปเห็นดี เห็นชอบ ในเรื่องของสังคมสงเคราะห์ ซึ่งมันไม่ใช่ ของไม่ดี สังคมสงเคราะห์ของดี การสร้างคนนี่ เขาก็รู้ว่าดี แต่มันฟังแล้ว มันก็ยังไม่ดูน่าชื่นชม น่านิยม เท่าสงเคราะห์ สังคมสงเคราะห์นี่ มันเป็นตัวที่มีอยู่ ในสังคม ตลอดนั่นแหละ สังเคราะห์กัน เกื้อกูลกัน ช่วยเหลือ เฟือฟายกัน มันก็เป็นเรื่องดี ในการสร้างคนนี่ ต้องมีสังคมสงเคราะห์ ต้องมีการสงเคราะห์ แต่ในสงเคราะห์ มันไม่ได้สร้างคน การสงเคราะห์ ทั้งผู้รับและผู้ให้ มันไม่ค่อย ได้สร้างเท่าไหร่หรอก จะดูเผินๆ ดูเหมือน สร้างนะ สร้างคนที่ไปให้เขา ไปช่วยเขา ไปสงเคราะห์คนอื่น เช่น คุณหญิงคุณนาย ไปทำการสงเคราะห์ ไปทำงาน สังคมสงเคราะห์ ไปนั่งแจกนั่งช่วยเหลือโน่นนี่ อาตมาว่า อัตตาเขาขึ้นเยอะ และไม่ใช่ ทำให้เขาเจริญแล้ว อัตตาขึ้นเยอะ คุณหญิง คุณนาย ไปสังคมสงเคราะห์ นานๆที ก็เอาหมู่เอาเหล่าไป แล้วก็ตีฆ้องร้องป่าว เอ้าโทรทัศน์ ต้องมาถ่ายนะ ไม่ถ่ายจะไม่แจกนะ อะไรอย่างนี้ โอ๊นะ ยังไม่มีโอ๊.. รอก่อน โทรทัศน์ยังไม่มา ยังไม่ทำการ รอไว้ก่อน คนจะเอานั่งรอไปสิ โทรทัศน์ยังไม่มา รอจนกว่าโทรทัศน์จะมาแล้ว เอ้าเริ่ม แจกได้ เอ้ามาๆๆๆถ่ายนะ

ก็ไม่รู้ละ พูดไปยาวๆ มันก็เยอะแยะ อธิบายก็ได้ เพราะฉะนั้น บางทีสังคมสงเคราะห์ มันไม่ได้เป็น การสร้างคน แต่มันเป็น การทำลาย คนด้วย คนรับเองก็เสีย คนรับการได้รับสงเคราะห์ ก็เสียคน หนักเข้า งอมืองอเท้า เอาแต่ขอ เอาแต่รอรับ ขี้เกียจ ขี้คร้าน ไม่รู้จักสร้างสรร ไม่ได้รู้จัก อดทน ฝึกฝนอะไรต่างๆนานา แต่ดูเผินๆแล้วดี จะไปว่าเขาไปแจก ไปอะไร สังคมสงเคราะห์ ไปว่าเขาก็ไม่ได้ ว่าไม่ได้เลยนะ ทุกคนรู้ว่าดี อย่างนี้เป็นต้น นี่บอกตัวอย่าง ให้ฟังง่ายๆ สังคมสงเคราะห์ การสร้างคนนี่โอ้โฮ ต้องขัด ต้องเกลา ต้องว่า ต้องกล้า ต้องพูด การพูดทุจริต ของบุคคล ท่านถือว่า เป็นคำแรง รุนแรง พระพุทธเจ้าถือว่า เป็นความรุนแรง พอเราพูดถึง ความทุจริต ของใครปั๊บนี่ ใครมีความทุจริตนี้ อยู่ในตัว พอพูดปั๊บ กระทบ เขาปั๊บนี่ มันแรงทันที มันปะทะเลย เพราะฉะนั้น ใครมีอัตตา ถือตัว นี่มันรู้ความลับของกู รู้ข้อทุจริตของกู มันว่ากูแล้วไอ้คนนี้ เอาแล้ว ไปสืบดูซิมัน รู้ได้ยังไง ถ้าเป็นเจ้าพ่อนะ ไปสืบมาทำ ไม มันมาล้วงลับ มันมารู้อะไร มันมาว่าอะไรกู ถ้าเป็นเจ้าพ่อ เอาละ ถ้าไปกล่าวถึงทุจริต แล้วนี่มันจะเกิด ความรุนแรงยาก เพราะฉะนั้น การสร้างคน โดยนัย โดยยุทธวิธีของ พระพุทธเจ้า คือ ต้องหาเหตุแห่งทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ มันไม่ได้พาดีหรอก เหตุแห่งทุกข์ มันพาชั่ว ก็คือ ทุจริตนั่นเอง เพราะฉะนั้น เมื่อกล่าว เหตุแห่งทุกข์ ค้นหาเหตุแห่งทุกข์ พยายามอธิบาย ให้คนรู้จักเหตุแห่งทุกข์ มันก็เท่ากับด่าคน เพราะฉะนั้น การสร้างคน จึงไม่ใช่ งานสนุก ไม่ใช่งานง่าย ไม่ใช่งานที่คน จะมายินดี มีแต่เขาจะหนี อะไรนะ มีเวลา ๑๐ วันปลูกพืช ๑๐ ปีปลูกต้นไม้ ๑๐๐ ปีจึงสร้างคน ๑๐๐ ปีสร้างคนได้ ก็ยังดีนะ อาตมา กลัวจะหมื่นปี หมื่นๆปี สร้างคน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สรุปแล้วนี่ การสร้างคนนี่ ยากเหนื่อย ลำบาก แต่อาตมาไม่เห็นงานอะไร ดีเท่ากับงานสร้างคน โดยเฉพาะ สร้างโดยทฤษฎีของ พระพุทธเจ้า ไม่ไปผิวเผิน อยู่แต่สร้าง ประโลม อะไรต่ออะไรอยู่

การสร้างคนทุกวันนี้ เราทำงานมาได้ขนาดนี้ ช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำไป จะสร้างคนอื่นได้ พระพุทธเจ้าก็สอน ไว้แล้ว ต้องทำคุณ อันสมควร ให้แก่ตนก่อน สอนผู้อื่น(ภายหลัง) จักไม่มัวหมองต่อไปเลย แม้ไม่มีอะไรขั้นตรงนั้น ทำคุณอันสมควร ให้แก่ตนก่อน แล้วค่อยสอนผู้อื่น จักไม่มัวหมอง เพราะว่าอะไร เพราะว่าเราเอง เรามีคุณ อันสมควรนั้น เป็นจริง คนเรานี่ รู้แปะๆๆ ไว้เฉยๆ เป็นคุณอันสมควร ที่รู้ด้วยภาษา ด้วยความหมาย ด้วยทฤษฎี เรียนกันมานี่ สมัยนี้ โดยมากเลย เรียนกัน โฮ้โฮ เรียนแล้วก็ท่องจำ แล้วก็เวลาสอบ สอบความจำอันนั้นได้ทั้งนั้น จบดอกเตอร์มาเต็มหูเต็มหัว แต่ความเป็นน่ะ เป็นยัง ไม่ได้หรอก คุณอันสมควรนั้น ยังไม่ถึง ได้แต่รู้ พอไปสอนคนอื่นแล้ว บางทีนี่มันถึงเนื้อ มันเพี้ยนได้ โดยเฉพาะ มันมีกิเลส มันขัดใจตัวเอง ไอ้นี่ทฤษฎีว่าอย่างนี้ เราจะไปสอนอย่างนี้ตรงๆ เอ๊ยมันด่ากูตัวเองเว้ย มันก็จะไม่เต็มคำ หรือมันก็ต้อง กลบเกลื่อน ก็เกิดปฏิรูปแล้ว เมื่อเกิดการกลบเกลื่อนคำสอน เกิดปฏิรูปคำสอนแล้ว จะเพี้ยนไปเรื่อยๆ ตามนี้ เสมอเลย มันจะเกิดปฏิรูปไป โดยไม่รู้ตัว ไปเรื่อยๆๆๆ มันก็เพี้ยนไปๆๆๆ เมื่อได้ปฏิรูปไประดับขั้นหนึ่ง อันนั้นเป็นตัวหลักต่อ ขั้นที่ ๒ ก็ปฏิรูป จากตัวนี้ต่อ ขั้นที่ ๓ ก็ปฏิรูปจากตัวนี้ต่อ อาตมาไม่ขึ้นนะ เพราะมันจะตกหลัก มันจะลงไปเรื่อย มันก็จะ ลงไปเรื่อย นี่คือความเสื่อมของศาสนา ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ถึงยุคหนึ่ง ก็จะเป็นกลอง อานกะ

กลองอานกะนี่ พอถึงยุคหนึ่ง มันไม่มีเนื้อไม่มีหนัง เป็นกลองเก่า เพราะมันจะเอาไม้ใหม่ เมื่อมันแตก ก็เอาไม้ใหม่มาแซม ตรงนั้นขาด ก็เอานี่มาปะ เอาตัวนั้นมาใส่มาแซม จนถึงวันหนึ่ง กลองอานกะ ยังชื่อว่ากลองอานกะเหมือนเดิม แต่กลอง อานกะ ใบนั้น ไม่มีกลองเก่า ไม่มีเนื้อเก่า ไม่มีของเก่า ที่จริงที่แท้เดิมเลย มีแต่ของปลอม ของใหม่ ของแซม ของแทรก เต็มไปหมด ท่านพยากรณ์ ตั้งแต่ต้นๆ ยุคต้นๆ พุทธสมัย ไม่ใช่ว่าท่านตรัส ตอนหลังตรัสไว้ ตั้งแต่ตอนต้นๆ ยุคสมัย นี่อันนั้นน่ะ ถึงวันนี้ ๒๕๐๐ ปีวันนี้ กลองอานกะอันนั้น มันไม่มีแล้ว ซึ่งอาตมา ทุกวันนี้ อาตมาพูดอย่างผยองมากอยู่นะ ว่ามันไม่ใช่แล้ว พุทธทุกวันนี้ มันไม่เป็นพุทธ ไม่ต้องเอาอะไรหรอก เอาจุลศีล มัชฌิมศีล ที่เป็นศีลธรรมนูญพระพุทธเจ้า ท่านตรา ศาสนาพุทธ ตอนแรกๆ พอมาถึงก็ประกาศ และก็สอนในพระไตรปิฎก เล่ม ๙ นี่ทุกสูตรเลย ท่านเจอกับ พราหมณ์ คนนี้ ท่านเจอกับคนนี้ ท่านเจอกับ พระเจ้าพิมพิสาร ท่านเจอคนนั้นคนนี้ อะไรเจอกับพระเจ้า อชาติศัตรู ท่านก็เริ่มสอน ด้วยสูตรพวกนี้เลย แล้วก็ประกาศ ธรรมนูญ คือศีล นี่คือศีลนะ ศีลหมดที่ท่านตั้งต้นเลยนะ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลนี่ เพราะอะไร มัชฌิมศีล และ มหาศีล คือศาสนาเทวนิยม เขาก็เป็นอย่างของเขาเป็น แต่ของท่าน ก็บอกว่า ไม่เป็นแล้ว เขาจะมี การทรงเจ้า เขาจะมีการทายพระจันทร์ พระอาทิตย์ เขาจะมีการทำพิธีโน่นนี่ ไอ้โน่นนี่ แม้แต่จุดเทียน จุดธูป แม้แต่จะมี รดน้ำมนต์ แม้แต่จะมีเดรัจฉานวิชา โน่นนี่ ของท่านก็ตราไว้ ในนี้แหละ เป็นธรรมนูญ เป็นกฎหมาย หลักใหญ่ ของพระพุทธเจ้า เลย ของศาสนา พุทธเลย นี่ศาสนาพุทธ ต้องเป็น อย่างนี้นะ สมัยพระพุทธเจ้า ก็เป็นอย่างนี้หมด ไม่มีหรอกอย่างทุกวันนี้ ไม่มี ไม่เป็น อย่างนี้หรอก ศาสนาพุทธ ในสมัยพระพุทธเจ้า นี่ก็มา เอ้า เอานั่งสวดมนตร์ ยถา วริวหา… เอ้าแล้วก็ พรมน้ำมูกอะไรกัน มาถึงก็จุดธูป จุดเทียนก่อนกราบไม่มี สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีน่ะ จุดธูปจุดเทียนก่อน แล้วก็กราบพระ แล้วก็สวดมนตร์สวดพร แล้วก็พรม น้ำมูกน้ำมนตร์ มันไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย พูดที่นี่นะ อย่าไปพูด ณ ข้างวัดอื่น ในวัดไม่ต้องเด็ดขาด วิ่งออกมาไม่ทัน ข้างวัด ก็อย่าไปพูดอย่างนี้เชียว ทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวก็สวด อาตมาเดิน บิณฑบาต เจอเสมอ แล้วก็เอ้ากลุ่มนี้ท่านไป ท่านก็เอาแล้ว พอเสร็จแล้ว ท่านก็ ภวะตุ สัพพมังคลัง ไม่ใช่เอาท้ายๆเนาะ จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง เราไป เรารับเสร็จแล้ว เราก็เดินเฉย พวกนี้เขาก็มอง ปัดโธ่เอ๊ย พระอะไรวะ ไม่ให้ศีลให้พรเลย เขาก็ว่าเรานะ แลกเปลี่ยน มันก็ใช่ มันแลกเปลี่ยน ก็มันก็ เอาละ พูดไปมันก็ยาว เดี๋ยวก็จะ ถ้าต่อ ให้นินทาต่อนี่ นินทาได้ยาวนะ คุณอย่าเผลอยุอาตมา นินทาได้เยอะ มีอะไรที่จะว่าได้เยอะ ถ้าเอาจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ที่เป็นธรรมนูญของพุทธ ศีลของเธอประการหนึ่งนะ ภิกษุทั้งหลาย มาจับศาสนาพุทธไม่เหลือ

อาตมา ไม่ได้พูดเอาเอง ไม่ได้พูดโดย ไม่มีหลักฐานอะไร อย่างนี้ เป็นต้น เพราะฉะนั้น พวกเรานี่ จงภูมิใจเถอะ อย่าว่าแต่ พระเลย อาตมาให้ฆารวาสทำ ใช่ไหม พวกเราก็ทำ พวกเราก็ไม่ต้องไปเป็นอย่างนั้นหรอก เคยติดเคยยึดนะ แต่ก่อน เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ติด ไม่ยึดแล้ว แหมไม่ต้องมา จุดธูปจุดเทียน ไม่ต้องมานั่งอ้อนวอน สวด ฟังอะไรกันมากมาย ไม่ต้องมานั่ง แหม ต้องได้มูกน้ำมนต์ แหมเสร็จแล้ว ไม่เห็นต้องได้น้ำมนต์เลย ฉันข้าว แล้วไม่เห็น ยถาสัพพีเลย ไม่ต้องทวง ไม่ต้องอะไร แล้วสบาย ฟังแต่อาตมาด่าก็พอแล้ว ต้องใช้พูดให้ชัดๆไง ก็บอกแล้ว ถ้าเราพูดถึง ทุจริต มันเท่ากับด่า มันเท่ากับถูกเราว่า แล้ว โอ… นี่ว่าเราล่ะเจอกิเลสเรา แต่ใครไม่ถูกด่าก็คือ คนสะอาดขึ้น สะอาดขึ้น ก็ถูกด่าน้อยลงๆ ใช่ไหม แล้วสะอาด จนกระทั่ง เราก็ไม่ผิดอะไรแล้ว เราก็ไม่มีทุจริตอะไรในตัวเราแล้ว ท่านจะด่าใคร ก็ด่าไปซิ มันไม่โดนเรา เพราะเราสะอาด หมดแล้ว ใช่ไหม ก็ไม่โดนเรา เพระฉะนั้น เรายังไม่สะอาด แน่นอน ยังจะต้องถูกโดนด่า อยู่ตลอดเวลา ด่าน้อย ด่าเล็ก ด่าใหญ่ อะไรก็ตามใจ

ผู้ที่มาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วนี่ ก็จะเข้าใจชัดขึ้น ก็จะไม่มีปัญหา ถ้าคนนี้ไม่ได้มีพื้นฐานพวกนี้มาก่อนก็โอ้โฮ … พวกนี้ มันปฏิบัติธรรม อะไรกันเว้ย พวกนี้ มันพูดกันแล้ว ฟังกันแล้ว อะไรมันพูดกันแต่เรื่องเลวๆ ร้ายๆ พูดแต่เรื่อง ไม่ดีไม่งาม พูดแต่เรื่องอะไร ก็ไม่รู้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันก็โอ… เขาก็พอฟัง แล้วไม่เอา วัดนี้ไม่มีอะไร ไม่ให้พรให้ศีลอะไรหรอก ที่จริง เราให้ศีลให้พรนะ ให้สิ่งประเสริฐนะ แต่เขาฟังคนละเรื่องเลย ศีลกับพรของเขา คนละอย่างกับเรานะ อย่างนี้เป็นต้น จนมาถึง วันนี้แล้ว เราก็พูดอะไรขึ้นมา ชัดๆ ขยายความ อธิบายยืนยันอะไรชัดๆ พวกนี้ได้มากนะ อาตมาภาคภูมิใจ ที่ทำศีล ของพระพุทธเจ้า สะอาดขึ้น ให้มนุษย์ ได้มามีศีล ของพระพุทธเจ้าได้ อย่าว่าแต่สมณะภิกษุ แม้แต่ฆราวาส ก็มีศีลขึ้นมา ยืนยัน ให้อาตมาเห็น เด็กก็พูดถึงศีลได้ นายกระทง อายุตอนนั้น มันซัก ๓ ขวบมั้ง มันน่าเอ็นดู มันตัวเล็ก มีคุณน้าคุณอา อะไร เข้าไปกอดเขา หอมแก้มเขา อี๊ผิดศีล นายกระทงเขาบอก ผิดศีล ผิดศีลข้อ ๓ อายุ ๓ ขวบนายกระทง ไปหอมแก้มเขา มันก็น่าเอ็นดู ก็เด็กๆ ก็อย่างว่าแหละ ผู้ใหญ่ก็ผู้หญิง เขาเป็นผู้หญิงนะ ไปกอดเขา แล้วก็ไปหอมเขา เขาบอกงี้ ผิดศีล เขาว่า นี่ก็คือ ความเข้าใจของเด็ก มันก็สอน ซึมซับไปว่า เออ ศีลคืออะไร ลดละอะไร ห้ามอะไรๆ ต่างๆนานา พวกนี้ ก็ทำกันไป ศึกษากันไป จนกระทั่ง เราสามารถถึง ศีลสัมปทา เข้าถึงศีล คือศีลมีผลของจิต ของปัญญา ของวิมุติ ศีลมันสามารถ ทำให้เกิดวิมุติ ตามอานิสงส์ของศีล ๑๐ ประการ นั่นแหละ ๙ ประการ ๑๐ ประการ ถ้านับนิพพิทาวิราคะ เป็น ๑ มันก็เป็น ๙ ถ้าแยกนิพพิทา ๑ ข้อ วิราคะอีก ๑ ข้อ มันก็ ๑๐ ในกิมัตถิยสูตรน่ะ มันก็ ๑๐ ข้อ ก็เป็นอานิสงส์ของศีลนี่ จนกระทั่งถึงวิมุติ

อาตมามั่นใจนะ ว่าพวกเรามีศีลกัน จะศีลข้อ ๑ ก็ตาม ความหมายแค่นั้นแหละ ไม่ฆ่าสัตว์แค่นั้นแหละ ถึงวิมุติ ถอนอาสวะสิ้น เราจะเห็นสัตว์ เป็นเพื่อนทุกข์ เราจะไม่โกรธสัตว์ แม้สัตว์จะมาทำร้ายเรา เพราะฉะนั้น คนมาทำร้ายเรา เราก็จะไม่เกิด โทสะมูล แม้น้อย เกิดแค่อรติ เกิดแค่ความไม่ชอบ ก็ไม่เกิด แม้เขาจะมาทำร้ายเรา จะฆ่าเรา จิตก็จะไม่เกิด นั่นก็คือ วิมุติ ก็จากศีลข้อ ๑ ศีลข้อ ๑ นี่ให้ดับโทสะมูล ให้ดับโทสะมูลให้ตลอด ถ้าเป็นอธิศีล ที่จบสุด มันก็ถึงความดับกิเลส โทสะมูล หมดเกลี้ยง ศีลข้อ ๒ ลดโลภะมูล อะไรอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น เกิดศีลสัมปทาขึ้นมา ตามลำดับ จนมาถึงขั้นที่ มาทำงานฟรี มาเป็นสาธารณโภคี มาเป็นสังคม ชาวพุทธ หรือเป็นพุทธบริษัท ถึงรูปนี้ มีความเป็นอยู่ มีวิถีการดำเนินชีวิต อย่างนี้มีระบบระเบียบ มีวิถีการเป็นอยู่กันอย่างนี้ อาตมาพูดแล้วยิ่งชื่นใจ นี่แหละ ถ้าเป็น อย่างนี้อยู่นี่ พรึบ เนรมิตขึ้นมา ได้หมื่นหมู่บ้านอย่างนี้ ในประเทศไทยขณะนี้ อยากจะถาม ท่านทักษิณ ดูซิว่า เอาไหมๆ ให้อาภาภรณ์ นครสวรรค์ ไปร้องเพลง เอาไหมๆ อย่างนี้ ชุมชนแบบนี้หมู่บ้านแบบนี้เอาไหมๆ ถามคุณทักษิณ หรือผู้บริหารชุดไหนก็แล้วแต่ ที่ท่าน เคยมา บริหาร บ้านเมือง ก็ถามท่านดูว่า ถ้าเราพัฒนาสังคม ให้เป็นอย่างนี้ มันจะดีไหม เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ เราก็เข้าใจ รัฐศาสตร์ เราก็เข้าใจนะ สังคมศาสตร์เราก็เข้า แล้วก็เกิดจากการศึกษาศาสตร์นั่นแหละ เราศึกษาอย่างนี้ แล้วเราก็เอาไป ปฏิบัติ ตามการศึกษา ที่เราได้ศึกษามา ไม่ใช่ศึกษาไปไว้สำหรับ สอบเอาใบเอาบัตรอะไร

นี่สัมมาสิกขาลัย ไม่รู้เมื่อไหร่ จะแจกปัญญาบัตรซักที ก็ยังไม่รู้ เราก็ไม่คำนึง จะแจกปัญญาบัตร หรือไม่แจกปัญญาบัตร แจกใบบัตรใบเบอร์ ใบรับรองอะไร อะไรหรือไม่ ไม่เป็นปัญหา แต่คุณได้ศึกษา นิสิตยกมือขึ้นซิใคร นิสิตบ้าง นี่ยกมือซิ นี่คุณได้ศึกษาหรือเปล่า คุณก็ศึกษาไป แต่ละวันแต่ละวัน ศึกษาไป เมื่อไหร่จะได้ปัญญาบัตร ก็ตอนแรก ก็คิดว่าจะ ๖ ปี ๑๐ ปีคงได้เนาะ ตอนนี้นึกว่า ๑๐ ปีจะได้ ไหมนี่ ปัญญาบัตร อาตมาไม่ใช่ทำหลอกนะ ตั้งใจจะให้จริงๆนะ แต่ยังไม่ได้แจกเลย ซักทีหนึ่ง นี่เอ้า หลายคน อาจจะ ไม่เคยเห็น ไม่ใช่อาตมาพูดเล่นนะ พูดจริงทำจริง ทองคำแท้นะ ทองคำแท้ๆ ไม่ใช่ทองคำปลอม ไม่ใช่ทองคำประสม ทองคำ ๙๐ % ถ้า ๑๐๐% มันจะอ่อนมาก มันจะทำไม่ได้ นี่ ๙๐% รับรองไม่ขึ้นสนิม นี่สลักไว้ หมดแล้ว นี่มีโลโก้ของ สัมมาสิกขาลัย มีอะไร ต่ออะไร แล้วก็จะมีคนเซ็นต์ จะมีวิชชาธิบดีคนหนึ่ง และก็ประธาน สัมมาสิกขาลัย อีกคนหนึ่ง มีลายเซ็นสองนะ เมื่อไหร่ จะได้แจก ก็ยังไม่รู้เลย ที่จริงสั่งทำไว้๑๐ แผ่น แต่ยังไม่ได้จารึก นี่จารึก มาเป็นตัวอย่าง อันเดียวก่อนนะ เราเอง เราเข้าใจกันแล้ว เรารู้ว่า การศึกษาคืออะไร การศึกษาคืออะไร การศึกษา คือได้รับ ความรู้ แล้วเอามาใช้กับชีวิต จนเป็นตถตา จนมันเป็นอัตโนมัติ จนมันเป็นอย่างนั้นเอง เลยเอาการศึกษา หลักการทฤษฎีอะไร ก็แล้วแต่ เราได้มาแล้ว ก็เอามาฝึกฝน อบรมตน จนเราเป็น ตามทฤษฎี สูตรต่างๆนั้น ที่ท่านตราไว้เป็นอย่างนั้นเลย จนเป็นเอง จนเป็นตถตา เป็นเช่นนั้นแหละ เช่น ทฤษฎีไหน ว่ายังไง ก็แล้วแต่ เป็นอย่างนั้นแหละ เป็นอย่างนั้นเองเลย เป็นเอง อัตโนมัติเลย ไม่ต้องไปพยายาม ไม่ต้องไปฝืน ไม่ต้องไปใช้ สติควบคุม ไม่เลย มันเกิดของมันเอง เป็นของมันเอง มันเป็น อย่างนั้นแหละ เป็นตามสูตรที่ว่า คือมันจะวิมุติ มันจะดียังไงล่ะ มันจะสุจริตยังไง มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ มันจะไม่ฆ่า สัตว์แล้ว เป็นเองเลย ไม่ต้องควบคุมตัว ไม่ต้องรู้สึกตัว ทั่วพร้อม ไม่ต้องคอยระวัง มันเจอสัตว์มันไม่ฆ่าทั้งนั้นแหละ มันไม่มีแว้บ มีเวิบ ไม่เผลอ ไม่ต้องตั้งสติ มันก็ไม่ฆ่า นั่นคือ สิ่งที่เป็น ศีลสัมปทา ถึงที่สุดสัมบูรณ์ เข้าถึง ศีลสัมปทาสัมบูรณ์

ไม่เอาของเขา ศีลข้อที่ ๒ ของที่ไม่ใช่ของเรา เรารู้ว่า อันไหนเรามีสิทธิ์ อันไหนเราไม่มีสิทธิ์ อย่างของส่วนกลางนี่ อันนี้ก็อยาก จะขอย้ำพวกเรา พวกเราเป็นสาธารณโภคี ส่วนมาก เป็นของส่วนกลาง มันก็เลยลำบาก ๑ ไม่ยึดถือเป็นของเรา ทิ้งขว้าง มันเลย อ้าวทุกอย่าง อย่ามายึดเป็นของตัวของตน ว่าไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเราของเรา ทิ้งไปเลย ไม่ดู ไม่แล ไม่รักษา ไม่เก็บงำ ไม่เอาภาระ อันนี้เลว ได้ระดับเลยนะ เลวได้ระดับเลย คำสอนพระพุทธเจ้า เอามาอ้างยังได้เลย อธิบาย ยังได้เลย ไม่ผิดคำสอนเสียด้วยนะ นี่อธิบายไปเลย ไม่ยึด เป็นเราของเรา มันก็ไม่ได้ ทีนี้ไอ้นี่ เป็นของกลาง เราก็ควรดูแลรักษา ท่านก็สอนอีกแหละ อารักขสัมปทา ดูแลเก็บงำ อย่าให้ มันรั่วมันซึม อย่าให้มันบก มันพร่อง อย่าให้มันสูญสลาย ทำลาย อย่าสุรุ่ยสุร่าย อะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ เราก็ต้องดู ไม่ใช่ของ ของเรา แต่ก็ของ ของเรา เอ้อซ้อนอีกแล้ว ภาษาพระพุทธเจ้านี่ บางทีลำบาก เพราะอันนี้เป็นของกลาง เราเอง เราจะวิสาสะนี่ อาตมาหมาย จะอธิบายนี่ ไอ้ของกลางอันนี้นี่ ใครเขาใช้ ใครเขาครอบครอง หรือว่าใครเขายัง เอาเถอะ ไม่ยึดเป็นเรา ของเรา แต่เขายึดใช้ ของเขาอยู่ เพราะเป็นของส่วนกลางน่ะ เขายึดใช้ของเขาอยู่ เราก็ถือวิสาสะ ช่างคุณเถอะ ฉันจะใช้มั่ง ก็คงจะตีกัน เรื่อยไปนี่ อย่างนี้มันเป็น ความละเอียด ลึกซึ้ง ต่างๆ นานา เพราะฉะนั้น การถือวิสาสะ หรือการที่จะไม่ดูแล ไม่ค่อยเก็บงำ ไม่ค่อยมีปัญญาญาณ พวกนี้นี่ ต้องฝึกฝน ต้องศึกษา เรียนรู้ แล้วเราก็จะทำให้สิ่งต่างๆ มันก็อุดมสมบูรณ์ ไม่สูญหาย ไม่สลาย ไม่เปลือง ไม่ผลาญ ก็จะอุดมสมบูรณ์ มันไม่ใช่ของเราหรอก ถ้าเราดูแลรักษา หรือเก็บงำไว้ให้ดี มันก็อุดมสมบูรณ์ ไม่ขาดแคลน ไม่ผลาญพร่า ไม่ทำลายต่างๆนี่ อยู่ในศีลข้อ ๒ ถ้าจะว่าไปแล้ว เป็นความละเอียด นัยละเอียดของศีลข้อ ๒ เพราะฉะนั้น เราไม่เอาของที่ไม่ใช่ของ อันเป็นของ ของเรา ในฐานะอันเป็นขโมย แม้แต่วิสาสะ เราก็ต้อง ศึกษาให้ลึกซึ้ง ในศีลข้อ ๒ แต่เอาเถอะ ศีลข้อ ๑ เอาความหมายง่ายๆ ว่าเราไม่เอาเขา ในฐานะอันเป็นขโมย ก็ให้มันได้ ถ้าเราไม่เอา อะไรจริงๆแล้วหละ เราไม่เอาของ เรื่องขโมยนี่ ไม่ทำเด็ดขาด แค่นี้สังคมก็เป็นสุขแล้ว ใจเราเป็นเองเลย เป็นอัตโนมัติเลย โอ้ของคนอื่น เราไม่อยากได้ มันไม่มีใจอยากได้ อันไม่ใช่สิทธิ มันไม่ใช่ของของเรา เอ้อ อันนี่น่าได้ ไม่ใช่อยากได้นะ น่าได้ นี่ยังไม่ใช่อยากได้นะ เอออันนี่ มันน่าได้ เอ้อ เราจะรู้สึกได้ รู้สึกว่า อันนี้น่ามี อันนี้น่าใช้นะ เออ อันนี้น่าเอาม าให้พวกเราทำงาน น่าได้ น่าเป็น น่ามี ไม่ใช่อยากได้ ยังไม่อยาก เพราะฉะนั้น ทีนี้เราก็มาถึงขั้น เมื่อน่าได้แล้ว ถ้าเราอยากได้ เราก็ต้องสร้างเอง เราต้องหามาโดยวิธีสุจริต ถ้าอยากได้ ก็ต้องหามาได้ โดยวิธีสุจริต ก็สมบูรณ์ ด้วยศีล ข้อนี้ ศีลข้อ ๒ ไม่เช่นนั้น ไม่สมบูรณ์ และมันจะไม่ละเอียด ก็ตรงที่ว่า ตกลงเราจะไป อยากได้อะไร ไม่ได้เลย ถ้าไม่อยากได้อะไรไม่ได้เลย คำว่าน่าได้ ก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจคำว่า อันนี้น่าได้นะ มันเป็นสิ่งอันนี้ มันน่าจะมี มันน่าใช้ มันน่ามาเป็นประโยชน์ อย่างนี้ มันดูดีกว่า อันนี้ ที่เรามีอยู่ อันนี้มันดูดีกว่านะ ถ้าใช้มัน น่าได้มาทำประโยชน์จะดี เพราะเราเคยใช้แล้ว สิ่งนี้มีประโยชน์ แต่อันนี้ มันควรกว่า ดีกว่า ก็น่าได้ แต่ถ้าอยากได้ขึ้นมาแล้วก็ เออไอ้นี่ ไม่ใช่สิทธิ์ของเรา ไม่เอาแล้ว ไม่ละเมิดแล้ว อันนี้คือศีลข้อ ๒ ส่วนศีลข้อ ๓ นั่นก็ไม่ใช่เฉพาะเรื่อง ผู้หญิงผู้ชาย กาเมสุมิจฉาจารนี่ กามทุกอย่าง แต่ถ้าเป็นพรหมจรรย์ เขาก็ไปแปล ให้มันลึกขึ้นไปอีก ตามความหมาย เอาอัตถะ ก็เรื่องผู้หญิง ผู้ชาย เรื่องเพศก็ไม่ว่ากัน เรื่องเพศก็จะมีการลดกาม อย่างที่ว่านี่ ก็ลดไป คุณบริสุทธิ์ด้วยศีลข้อสาม ได้จิตใจ ของคุณ ก็หมดสุขหมดทุกข์ เรื่องกาม ก็ไม่มีปัญหาอะไร ภูมิธรรมขั้นกาม ถึงขั้นกามราคะ หมดสังโยชน์ ๕ เบื้องต้น หมดไป เป็นอนาคาริกะ หรืออนาคามี ในเรื่อง ของกาม เรื่องของเพศ ผู้หญิงผู้ชาย ก็สบาย คุณก็บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ในสังคม ของพวกเรานี่นา คนกามตายด้านครึ่งค่อน ว่างั้นนะ แหม..วิเศษจัง ถ้าเป็นไปได้ แต่ถ้าไปข้างนอกนี่ โอ้โฮตาย ต้องวิ่งหายา ยาโด๊บ ต้องไปกินไส้เดือนโด๊บ เขาหลอกกันน่ะ โอ๊ยพวกที่มันกลัว กามตายด้าน มัน ก็ไปกิน สารพัดเขาจะหลอก กินไส้เดือน กิ้งกือ กินแมงสาบ กินอะไรก็ไม่รู้ กินงูเห่า งูอะไรไม่รู้หละ ยั่วอะไรไปคือหลอกกันน่ะ กินแมงวัน แมงวันสเปน ด้วยนะ ต้องแมงวัน สเปนด้วย แหม แมงวัน อเมริกา ก็ไม่ได้ มันประเทศ ใหญ่กว่าสเปน นี่เรื่องของความไม่เข้าใจ อะไรต่ออะไร

เรามาถึงวันนี้แล้ว เราพูดถึงว่า เออถ้าเรามีกามมันหมดเลยนี่ โอ้โฮ มันสบายใจยินดี แต่ถ้าเผื่อว่าเป็นคนโลกๆ หรือไม่ต้องคิด คิดแต่เรา แต่ก่อนนี้ มันไม่คิดอย่างนี้ แต่ก่อนใช่ไหม ถ้าเราไม่มีกาม มันก็ไม่เข้าท่าเหมือนกันนะ แต่ตอนนี้มันคนละเรื่องแล้ว แหม..เมื่อไหร่มันจะหมดเสียทีวะ ถ้าหมดได้ มันก็สบาย เพราะฉะนั้น คนถ้าเผื่อว่า หมื่นหมู่บ้านนี้ หมู่บ้านนี้นี่ คนไม่มีกาม ๘๐% โอ้โฮ อาตมาว่าหมู่บ้านนั้น มันจะเรียบร้อย สงบสันติ มีแต่เอาพลังงาน ที่เหลือน่ะ ไปขยันหมั่นเพียร สร้างสรร แทนที่ จะเอา พลังงาน ไปจีบกัน เอาไปคอยกันเอาไปแข่งกัน เอาไปแย่งกัน เหมือนสัตว์เดรัจฉาน มันสู้กันตายด้วยนะ แย่งเพศ แย่งตัวเมียอะไรนี่ แทนที่จะเอา พลังงานพวกนั้น ไปเสียงั้น เอาพลังงาน มาสร้างสรรอะไรซะ โอ้โฮ จะวิเศษขนาดไหน และกลัวคนหมดโลกไหม ต่อให้มีหมื่นหมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้าน มีคนกามตายด้าน ๘๐ % หมู่บ้านนี้ แต่ละหมู่บ้าน ว่างั้นนะ บอกว่าชาวอโศกนี่ หมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านนี่โอ้โฮ คนตายด้าน คนกามตายด้านตั้ง ๘๐ % แน่ะ เอ้าแล้วประเทศไทย ประชากร มันจะไม่ลดเหรอ เดี๋ยวไม่มีคนทำงานนะ ไม่มีคนผลิตคน ตกลงจะเหลือแต่คนแก่นะ เด็กไม่เกิดเด็กไม่พอ เหลือแต่คนแก่ เป็นภาระทีหลังยุ่งนะ คิดไปพวกจะคิดนะ คำนวณเดานะ เขามาเคยว่า บอกว่าสอนอะไร้ สอนให้คนหมดกาม ประเดี๋ยว คนไม่มีกาม เดี๋ยวคนไม่แต่งงาน ประเดี๋ยว ก็หมดสูญพันธ์หรอก คนมาว่า แต่ก่อนนี้ สมัยก่อนนี่ว่าจังเลย เดี๋ยวนี้คลายๆแล้ว ไม่ค่อยว่าเท่าไหร่แล้ว อาตมาตอบไม่ยาก บอกคุณมาก่อนคนหนึ่ง มาให้กามตายด้าน ให้ไม่ต้องสืบพันธุ์คนเสียก่อน ไม่ต้องไปบอกคนอื่น ไม่ต้องไปให้คนอื่น มาเอาคุณน่ะ ก่อนมาได้ไหม ถ้าได้แล้ว คนถึงไปคิดอย่างนั้น คิดว่าโลกจะสูญพันธุ์ ยังผมยังไม่มา แล้วคุณจะสูญพันธุ์ได้ยังไง คุณยังไม่มาเลย แล้วมันจะสูญพันธุ์ได้ยังไง โดนจิ้มเข้าอย่างนี้แล้ว เขาจะไม่ถาม คำที่ ๒ นี่คือคำตอบ ที่อาตมาได้คำตอบ จากปัญหานี้แหละ เพราะสอนอย่างนี้ เราบอกโอ…. แบบนี้ มันก็ให้คนไม่แต่งงาน คนมันก็ สูญพันธุ์หมดสิ เขาก็พูดเลยเถิด สุดโต่งไปโน่นเลย อาตมาต้องหา คำตอบแทบแย่เลยว่า จะตอบอย่างไรว้า ให้มันจนแต้ม ก็เอาอย่างนี้แหละ คุณนั่นแหละ มาก่อน มาให้สูญพันธุ์ก่อน คนเดียวก่อน ไม่ต้องไปคำนึงคนอื่น ว่าเขาจะ สูญพันธุ์ มาก่อนมาได้ไหม จะได้ง่ายไหม มาสิ มองหน้า ไม่ถามแล้ว ไปแล้ว เจอจริงเข้าอย่างนี้ ไปแล้ว

มาถึงวันนี้แล้ว อาตมาพูดกับพวกเรา ก็เข้าใจดีก็ ง่ายขึ้น แม้แต่เรื่องกาม เรื่องรูปรส กลิ่นเสียง สัมผัส เราก็เข้าใจขึ้น แล้วเสียงเพราะ รสอร่อย รูปสวยอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา แล้วเราก็ลด ได้ลดมาเป็นชุมชน ที่ไม่ต้องไปแต่งสวยงามแข่งเขา ไม่ต้องเอารูปสวย ไม่ต้อง เอาเสียงเพราะ ไม่ต้องเอา แต่ก็อย่าไปด่าเขา ไปกระโชกกระชากนะ เราเสียงไม่เพราะก็ เราเสียง สุภาพๆ ไม่ต้องไปอย่างนั้น ปรุงแต่งอะไร ก็จะมาปะเล้าปะโลม อย่างที่เขาเป็นกัน เราก็ไม่แล้ว เราก็รู้แล้วขีด ขีดของรูปรส กลิ่นเสียง ประมาณเท่าไหร่ อนุโลมกันขนาดไหน บางที่นี่ไปเอา ชมร. เอามือเรียกว่าฉมัง แม่ครัวมือฉมัง จากหมู่บ้าน ไปปรุง มันเลยขาย ไม่ค่อยออก เพราะมือฉมังมือเยี่ยมของวัด ไปปรุงอาหารขายที่ชมร. เราก็แขกหนีหมด กินไม่ลง เพราะว่าเป็น แกงวัด เป็นแกงชาวอโศก มันก็ไม่ได้ปรุงแต่งอะไร รสชาติ มันก็ไม่ค่อยอะไร เราก็ต้องเออ เอาเถอะ แม่ครัวนี่นะ บางทีเขาปรุง อาหารนี่ เขาไม่ได้ปรุง ให้ตัวเองนะ เขาปรุงรสชาติให้คนกิน โอ…อร่อย ใครมาชม ว่าปรุงฝีมืออร่อย ก็พอใจแล้ว แต่เขากิน ของเขานี่ บางที่ เขาก็กินข้าวง่ายๆ บางทีเขาไม่ติดอะไรมาก แต่เขาต้องปรุงให้คนกิน เขาก็ไม่กิน ถึงขนาดนั้น เขาก็ไม่ติอะไร พวกเราเหมือน แม่ครัวแบบนั้นน่ะ เราก็ต้องรู้ว่า นี่อนุโลมเขานะ ก็แค่นี้แหละ อะไรไป ไม่ว่าจะเป็นอะไร รูปรสกลิ่นเสียง สัมผัส เรื่องกามคุณ ๕ เราก็เข้าใจมากขึ้น แล้วก็ยืนยันได้ เราก็พิสูจน์ได้ ว่าในพวกเรานี่ รูปมันก็ไม่จัดจ้าน รสก็ไม่จัดจ้าน กลิ่นเสียงก็ไม่ได้จัดจ้าน ไม่ได้ไปถูกปรุงแต่ง เหมือนสังขารโลกเขาข้างนอก สิ่งเหล่านี้ ก็เป็นการพิสูจน์ ธรรมะของ พระพุทธเจ้า

กลิ่นไอ้นี่ มันธรรมชาติ อาตมาบอกว่า บางคนนี่ ยอดเหม็นเลย ไม่เชื่อคุณ สัก ๕ วันไม่อาบน้ำดูสิ วันเดียว ก็แย่แล้วเนาะ เหม็นนาน บอกว่าหมา มันเหม็น ไอ้นั่นก็มันไม่อาบน้ำ เป็นเดือนๆ มันไม่เหม็นได้ยังไง้ เหม็นขนาดนั้น มันดีแล้วคนนี่ ไม่ได้เหมือนกะหมูหมา เอาเถอะ ลองดูสิ เอ้า ๕ วัน ๘ วัน เดือนหนึ่ง อย่างหมา ดูซิเอ้า ทีหมามันไม่อาบน้ำ เดือนหนึ่งนี่ ลองดูซิคนน่ะ จะเหม็นขนาดไหน มันเหม็นนะคนน่ะ มันไม่ใช่มันหอมนะ เพราะฉะนั้น นี่เราไปพูด ไม่ได้หรอก มันเป็นเรื่อง ธรรมชาติ เพราะร่างกาย ต้องขจัด สารเสีย สารเน่าสารพิษ สารอะไรออกมา ส่วนนั้นส่วนนี้ มันก็ขจัด ถ้าไม่ล้าง มันออก มันก็หมัก หมักมันก็สร้าง แบคทีเรียต่อ ไม่เหม็นได้ไง ยิ่งในที่อับ ในที่อะไรนี่ มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะฉะนั้น เราก็ต้อง อาบน้ำอาบท่า พอสมควร ล้างถู พอสมควร ก็เรียกว่า อนุโลมพอเข้าใจ ข้อสำคัญ อย่างเราจะใช้กลิ่นดับ เอากลิ่นหอม มาดับกลิ่นเหม็นอะไรแล้วบ้าง ก็เอาละ พอสมควร แต่ถ้าเราจิตใจยังติดนี่ ระวัง เราใช้ก็เคยตัว พอไม่มีกลิ่นนี้แล้ว ก็ไม่สบายใจ อะไรอย่างนี้ ไม่ได้ ต้องอ่าน จิตของเราให้ดี แต่เพื่อสังคมเราเอง เอ้อ เอาเถอะ มันต้องกลิ่นมีบ้าง เดี๋ยวนี้ บางที เราก็ใช้ผงซักฟอก คนอื่นเขานี่นา มันมีกลิ่นมาด้วยนา ผงซักฟอก พอซักปั๊บนี่ ผ้าหอม แล้วก็ดับกลิ่นในตัว เราก็ติดตัวเราด้วย อะไรนี่ มันก็ติดกันไป ติดกันมา เอาละคิดว่า พวกเรา ก็เข้าใจนะ ซึ่งเราก็ดูประมาณว่า พอเหมาะพอดีขนาดไหน ข้อสำคัญ ต้องอ่านจิตตัวเองว่า ถ้าเราไม่มีอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างนี้แล้ว เราทุกข์ ดิ้นรนไม่ไหวแล้วไม่ชอบ ทุกข์แล้ว กลิ่นมันเหม็นแล้ว มันกระไร เพราะฉะนั้น เหม็นหน่อยก็ทนดู หัดดู แต่ว่าไม่ใช่ไปให้คนอื่นดม ดมเองนะ ของตัวเองก่อน อย่าไปให้คนอื่น เอาทุกข์ไปให้คนอื่นไม่ไหว ตัวเอง หัดเอนตัวเอง แต่ถ้าเราเข้าใจแล้ว มันไม่มีปัญหาหรอก มันก็เอาพอประมาณ สะอาด พอประมาณ เราก็มีความรู้พอ เราก็ดับกลิ่นให้มันได้ ขนาดนั้นขนาดนี้ก็เป็นอยู่

แรกๆใหม่ๆ พวกเรายังไม่เข้าใจลึกซึ้ง กลิ่นอโศกเรานี่ โอ้โฮ รับรอง สมัยที่ไปขึ้นศาลนี่ พวกศาล เขาร้องเลย พวกเรา ไปนั่งอยู่ในศาลนี่ มันก็อบอยู่ในนั่นน่ะนะ พวกอโศกมานี่ เขาบอกโอ้โฮ เขาเวียนหัวกัน เอ้านอกจาก มันกลิ่นพวกนั้น มันกลิ่นเนื้อกลิ่นตัวด้วย เหม็นเขียว คนนี่ เหม็นเขียวนะ กลิ่นเนื้อกลิ่นตัวนี่ เหม็นเขียว ทีนี้หลายๆเหม็นเขียว มันม่ใช่คนเดียวเหม็นเขียว มารวมกัน มันก็เลย เป็นเขียวใหญ่ มันก็เลยเหม็นเขียวใหญ่เลยคลุ้ง ทีนี้พวกเราเองนี่ มันชิน มันอยู่ด้วยกัน มันก็เลยชินกันไป ชินกันมา มันก็ไม่เท่าไหร่ เขาไม่ชินแบบนี้ แล้วเขาถูกปลูกฝัง อุปาทาน ของเขานี่ เขาจะต้อง ใช้น้ำอบ น้ำหอม เขาจะต้องเอา อะไรกลบ แล้วเขาก็ชินกับกลิ่นของเขา ต้องอบ ต้องหอมแล้ว แล้วมันดัน ตรงกันข้าม กันเลยกับเรา มันก็แล้วกัน คุณก็ต้องเห็นใจเขาบ้า งนี่อันนี้มันเรื่องจริง เราก็ต้องรู้ว่า เราออกสังคม ก็ต้องเข้าใจเขา มีมารยาท สังคมพอสมควร สิ่งนี้อาตมาก็พูดขึ้นบ้าง และก็ให้พวกเราได้ปรับ แต่ข้อสำคัญ ถ้าเราอนุโลมอะไรพวกนี้แล้วนี่ เอามีกลิ่นหอม กลิ่นนั่นกลิ่นนี่บ้าง คุณก็ต้อง รู้ตัวเองนะ ว่าคุณติดหรือเปล่า ต้องใช้เป็นสิ่งที่ศึกษา ถ้าไม่ศึกษา มันไม่ละเอียดนะ จิตใจเราติด เรายึดอยู่จริง มันเป็นจริง จริงๆเลยนะ แต่ถ้าเราอยู่เหนือมันแล้ว จริง ไม่ติดไม่ยึด เราก็ใช้ได้ เพราะกิเลสที่ศึกษา เป็นเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติแล้ว ไม่กำเริบแล้ว มันเป็นจริง และมันไม่ติดหรอก แต่ถ้าเผื่อว่า ยังมีเชื้ออยู่แล้วนี่ อย่าเชียว เชื้อนี่เดี๋ยวเถอะ อ้วนขึ้น อ้วนขึ้นต่อเลย แล้วก็ทนไม่ได้ ฝืน สังกุปปัง กลับกำเริบมาทีหลังได้

อันนี้เป็นทฤษฎีของพระพุทธเจ้า จะต้องพิสูจน์ความไม่กลับกำเริบให้ได้ เมื่อไม่กลับกำเริบแล้วอยู่เหนือแล้ว ท่านถึงบอกว่า สูงสุด คืนสู่สามัญ อรหันต์จี้กงกินเหล้า แต่ไม่ได้ติดหรอก ท่านเลิกเดี๋ยวนี้ ท่านก็เดี๋ยวนี้ ท่านก็ไม่ได้สุขได้ทุกข์กับมันหรอก ท่านกิน ท่านก็อนุโลมไป ตามเรื่องตามราว มันก็เป็นคำสอนอย่างหนึ่ง จะมีจริงไม่จริง อาตมาไม่รู้ อรหันต์จี้กงขี้เมา เมาเกินการ อย่างอาตมาไปแต่งเพลง ก็สูงสุดคืนสู่สามัญ อาตมาไปแต่งเพลง อาตมาก็ไม่ได้ไปทุกข์ไปสุข กับมันหรอก อาตมาว่า อาตมา ไม่ได้ติด ได้ยึดนี่ พลเอกปรีชา นั่นฝากคนทวงนั่งอยู่นั่น ขวัญดิน วันที่ ๕ ขีดเส้น under line สิงหาคม ให้อาตมาส่ง ให้แต่งเพลงให้ เพลงปลุกเร้า รักชาตินี่แหละ เขาบอกเชื่อมือท่านๆ ท่านต้องแต่งมาให้ผม แล้วเดี๋ยวผมไปทำเอง ผมไปให้คน อาเร๊นซ์ วงผมมี พลเอกปรีชา อะไรนามสกุลอะไร เทียมสุวรรณ นั่นแหละ คนนี้ก็มักน้อย สันโดษนะ มักน้อย สันโดษดี ไม่มีรถส่วนตัว ไปไหนมาไหนขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถไฟไป คนนี้พลเอกปรีชา เพื่อนคุณจำลอง มาบ่อย สุงสิงอยู่กับ พวกเรานี่เยอะ พลเอกปรีชา แต่ก็ยังช่วยทำงานอยู่ในกลุ่มทางโน้นเป็นที่ปรึกษา เป็นอะไรอยู่ อาตมาก็แต่งให้ไม่ได้ ไม่มีเวลา แต่งเลย ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว เดี๋ยวนี้ ก็บอกตรงๆ มันไม่ได้ปรุงอะไรขึ้นมาเลย มันก็เลย กลายเป็นยาก แล้วอาตมา ก็ยังแต่ง ไม่ไหว มันไม่ติดหรอก อาตมาก็ทำมันหลุดแล้ว มันก็ไม่ได้ติด อะไรแล้ว และปรุงแบบใหม่ๆ เขาก็ไม่ขึ้นแล้วไอ้เขาเดี๋ยวนี้ เขามีใหม่ๆ ลีลาแบบนี้ มันอินเทรนของเขาเป็นแบบนะเพลงของเขาต้องอย่างนี้ ไอ้นี่พวกโบราณ เขาไม่ฟังหรอก ง่วง เราไปแต่ง มันง่วง แล้วเด็กพวกนี้ มันไม่ค่อยฟังหรอก อาตมา แต่งเด็กมันก็ไม่ฟัง แต่มันยังมีรุ่นหนึ่งที่เขายังรับอยู่นี่ อีกหน่อย ก็คงจม ไปกับบาดาลแล้วเขาก็ไม่รับแล้ว เพราะว่า เราไม่ได้ไปรับของใหม่เขาเลย เราไม่ได้ปรุงแต่ง ร่วมสมัย เขาเลย เพราะอันนี้ มันต้องขึ้นกับสมัยด้วย ถ้าไม่ร่วมกับสมัยเขา มันก็ไม่มีอะไรต่อติด ก็นึกเป็นพวกขึ้นหิ้งไง พวกคลาสสิกๆ มีกลุ่มน้อย พวกคอนเซอเวทีบ ก็เป็นอย่างนี้แหละ คลาสสิกพวกอื่นๆไม่รู้เรื่องด้วย มันก็นับวัน จะสูญไป มันก็เป็นธรรมดา อาตมาไม่ได้ แปลกอะไร ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะเมื่อเรารู้ เราทำได้ เราเรียนรู้อะไรต่ออะไร ต่างๆนานา อะไรจะอนุโลม ปฏิโลมอะไร ที่เราจะทำอะไรเขา

อาตมาถึงบอกว่า อาหารปรุงแต่ง อาหารมีอะไรบ้าง อะไรต่างๆ นานา เสื้อผ้า หน้าแพรอะไร เครื่องใช้ไม้สอย แม้แต่ที่สุด ซื้อรถเบนซ์ มาให้อาตมานั่ง อะไรอย่างนี้ อาตมาก็ว่าเอ้อเอ้า สุดท้ายแล้ว แม้เบ๊นส์นี่ มันทำให้เรา เสียท่าเลย ขายขี้หน้า หลายที เข็นก็ไม่ได้ด้วยนะ ไม่ใช่หนัก อัตโนมัติไง ถ้ามันตายแล้วหยุด อยู่ตรงนั้นแหละ เขยิบไม่ได้เลย มันล๊อกหมดเลย หลายทีแล้ว ไปตาย แล้วก็ล้อกอยู่ตรงนั้นแหละ บอกโอ้โฮ ….ก็เลยโละ แล้วก็เลย ซื้อคันใหม่ เลยตั้งชื่อว่า เค้นเบ็ด เดี๋ยวนี้ อยู่ไหน อยู่ที่ศีรษะใช่ไหม เจ้าเค้นเบ็ดน่ะ โตโยต้า ตั้งชื่อว่า เจ้าเค้นเบ็ด คนฟังเขาก็ไม่รู้ ชื่อแปลกดี เป็นภาษาฝรั่งด้วยนะโอ้ เค้นเบ็ด ภาษาฝรั่ง ก็นี่เอ้า ใช้โตโยต้าป้ายแดง ยังไม่ทันหมดเลย คนก็ไปซื้อคันใหม่มาให้อีกแล้ว ไปซื้อโฟล์ก มาให้อีก เอ้า ก็ใช้โฟล์ก เขาก็เอาเค้นเบ็ดไป เอาโตโยต้าไป เอ้าใช้โฟล์ก ก็นั่ง ก็ว่าไปพอสมควร เขาก็ปรารถนาดี ก็พอไปได้ก็เอาเถอะ อาตมาก็ต่อรอง กับคนที่จะซื้อให้ว่า คุณอย่าเที่ยวไปเป็นหนี้เป็นสิน คุณอย่าไปเที่ยวได้เอาเงิน เอาอะไรมาซื้อ มาทำ ไม่เอานา เขาก็ไม่ยังโง้นอย่างนี้ อะไรต่ออะไรอาตมาก็ไม่รู้ เขาเดือดร้อน หรือไม่เดือดร้อน แต่อาตมา พูดแล้ว ต้องไม่เดือดร้อนอะไร กันนักกันหนา เพราะอาตมาใช้คันนี้อยู่ก็ได้ แต่เขาบอก เขาอยากจะทำ ๗๒ ปีโน่นนี่ อ้างไปหมด สารพัด แม่น้ำทั้ง ๘ ก็อา ตกลง นี่ก็เล่าอะไรต่ออะไรสู่ฟัง ในรายละเอียดต่างๆ ร่นย่นย่อเข้ามาสู่สภาวะจริง

เมื่อมนุษย์เราสามารถปฏิบัติสาระสัจจะหรือคุณวิเศษของพระพุทธเจ้า นี่ได้แล้วเอาศีลมาจับก็ตาม เอาสมาธิมาจับก็ตาม เอาปัญญา มาจับก็ตาม เอาวิมุติมาจับมาอ่าน ศีลนี่วิมุติไหม ศีลนี่มีผลถึงจิตไหม ศีลนี่มีปัญญาประกอบไหม เมื่อมีปัญญา ประกอบ เอารายละเอียด ในความรู้ ความอะไร ต่อะไร ประกอบแล้ว ศีลนี่ใช่ชัดถูกต้อง ไม่ใช่ศีลพตุปาททาน ไม่ใช่ ศีลพตปรามาส พ้นศีลพตุปาททาน พ้นศีลพตปรามาส…(ต่อหน้า ๒)

ของความรู้เข้าใจตัวเองนั่นแหละจะมีปัญญารู้ว่าศีลนี่มีมรรคมีผลอย่างไรศีข้อ ๑ มันขัดเกลาเราอะไร ศีลข้อ ๒ มาขัดเกลา เราอะไร ขัดเกลากายวาจา ก็ใช่ แต่ต้อง ขัดเกลาจิตด้วย จนกระทั่ง จิตสะอาด จากไอ้ที่เราจะละ จะลด จะเลิก มานั่นแหละ จะปหานตพา มันเป็นเหต ุแห่งความไม่ดีไม่งาม เป็นวิมุติ วิมุติอย่างไร เราก็ตรวจสอบได้ ที่แท้จริงแล้ว สิ่งนี้ ก็ยืนยันว่า ธรรมะ ของพระพุทธเจ้ายังไม่เป็นหมัน ธรรมะของพระพุทธเจ้ายังมีประโยชน์ อกาลิโกแม้ยุคนี้ก็ยังสามารถพิสูจน์ได้ ยังยืนยันได้ว่า ปฏิบัติได้ เพราะพวกเราได้มาปฏิบัติกัน แล้วก็ได้มรรคได้ผล ได้หมู่ได้กลุ่มอย่างนี้ ก็ดีขึ้นมา อาตมาก็ย้ำสิ่งที่เกิดแล้ว เอามา อธิบาย ขยายความกับหลักธรรม พระพุทธเจ้านี่ แม้แต่เอาศีล สมาธิปัญญา มาขยายความ เอามาพูดให้ฟัง มันจะเข้าใจ ยิ่งขึ้น มันจะมีอานิสงส์ ในการฟังธรรม ๕ ประการยิ่งขึ้น เข้าใจลึกขึ้นจริงๆ ไอ้สิ่งที่มันสงสัย ก็จะคลายสงสัยไป สัมมาทิฐิ ก็จะสูงขึ้น คุณก็ยิ่งจะเลื่อมใสศรัทธาสิ่งที่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้ายิ่งๆขึ้น

นี่เป็นอานิสงส์ ๕ ประการ ของธรรมะของพระพุทธเจ้าฟังของเก่าก็ตาม มันจะขยายความ มันจะรู้สึกว่า เอ้อเราได้ฟังอะไร ใหม่ๆ สิ่งที่ไม่ได้เคยฟัง ได้ฟังเพิ่มขึ้น ภาษาเก่า ก็ตาม มันจะมีแง่ใหม่ที่เราได้เข้าใจ โอ๊อันนี้ลึกซึ้งขึ้น ภาษาเดิมนั่นแหละ ภาษาง่ายๆ ภาษาไม่ใช่ลึกลับไม่ใช่ภาษาวิชาการด้วยซ้ำไป ภาษาไทย ภาษาเก่าๆก็ตามแต่ เมื่อมาขยายความ แล้วมันเข้าใจ สภาวะ ที่เข้าใจสิ่งอันนี้มันใหม่นะ อันนี้เออเราได้ฟังแล้ว อันนี้แม้ชัดแปลกใหม่ แต่ว่าเป็นแง่เชิง ที่เพิ่มความเข้าใจ ให้ยิ่งขึ้น เป็นอานสิสงส์ ข้อที่ ๓ ๑ได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังหรือได้ฟังใหม่ๆ อันใหม่แง่ใหม่ปมใหม่ ๒ เข้าใจยิ่งขึ้น เข้าใจลึกขึ้น ๓ คลายสงสัย ๔ ทิฐิเป็นสัมมาทิฐิยิ่งขึ้น ๕ จิตเลื่อมใส ศรัทธา นี่อานิสงส์ของการฟังธรรม เพราะฉะนั้น ฟังซ้ำฟังซาก ก็ไม่เป็นไร ฟังดีๆ ฟังธรรมด้วยดีย่อมได้ปัญญา ย่อมเกิดการพัฒนาภูมิเพิ่มขึ้นถึงขั้นบรรลุธรรม ก็ได้ฟังธรรม แล้วบรรลุธรรม ก็ได้ ในสิ่งที่เหลือน้อย เหลือแต่ว่าในจิตก็ทำได้แล้วแต่เรายังไม่เข้าใจ อ๊ออย่างนี้หรือเราได้แล้วนี่ ก็บรรลุอุภโตภาค มีปัญญา เข้าไปเสริมเจโต ที่เราได้แล้ว หรือมันยังเหลืออยู่นิดหนึ่ง เจโตเรายังข้องอยู่นิดหนึ่ง พอฟังปัญญานี่ เข้าใจปั๊บ มันตัดเลย เป็นวิปัสสนาญาณ เป็นพลังของปัญญา พลังของปัญญา ทำให้ตัดตัวนั้น สมบูรณ์ เลย เพราะฉะนั้น ฟังธรรมก็บรรลุธรรมได้ ในภาษาที่ฟังนี่ ฟังซ้ำฟังซาก ฟังใหม่โอ…. วันนี้พ่อท่านพูด ไม่เหมือนเก่าแฮะ นี่ปมนี้ตรงนี้มี เข้าใจทันที แต่ละคนก็มี ปฏิภาณ ต่างกัน บางคนฟัง เอ๊ยไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่คนนี้ฟังโอ๊โฮ อย่างนี้มันเข้าใจ มบอกไม่ได้เหมือนกันนะ มันเป็นไป อย่างนั้นน่ะ มันจะเกิดผล

เอาละอาตมาว่า วันนี้ก็ขอขอบคุณทุกคนที่มาช่วยกัน พยายามที่จะบูรณาการ พยายาม ตอนนี้เราก็จะเอาสถาบันบุญนิยม กับพรรค ทางการเมือง ซึ่งมันเป็นเรื่อง ที่โลกเขาก็นับว่าเป็นตัวสำคัญ เรื่องพรรคการเมืองแต่พรรคการเมืองของเรานี่ จะไม่เหมือนใคร จะไม่เหมือนการเมือ งที่โลกเขามีมา จะเป็นการเมืองบุญนิยม จะเป็นการเมือง ที่มันก็เหมือน เราทำงาน กับทฤษฎีพระพุทธเจ้า ทั้งหมดนั่นแหละ เพราะพระพุทธเจ้านั่น พหุชนหิตายะ พหุชนสุขขายะโลกานุกัมปายะ ถ้าการเมืองนั้น เป็นไปเพื่อหลักใหญ่ของพระพุทธเจ้า อันนี้มันผิดตรงไหนมันไม่ใช่การเมืองแท้ๆตรงไหน อาตมาอยากรู้ ใช่ไหม การเมือง ที่เป็นไปเพื่อ ความมีประโยชน์คุณค่า ให้แก่มวลชน เป็นอันมาก การเมืองเป็นไปเพื่อความสุข ของมวลชน เป็นอันมาก การเมืองเพื่อการอนุเคราะห์ เกื้อกูลมวลชน หรือโลกอยู่ทั้งโลกอย่างนี้ มันจะไม่ใช่ยอดการเมืองได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ทฤษฎีหลักที่จะไปทำการเมือง ทฤษฎีที่เราทำนี่แหละ ยิ่งทำไม่เอาตังค์เลยนี่แหละ ยอดเยี่ยมนักการเมืองแหละ ไม่ต้องมา เป็นมือปืนรับจ้างหรอก มาทำงานฟรีให้สังคมประเทศชาติมวลมนุษยชาตินี่แหละ เป็นนักการเมืองอย่างนี้ ดูซิว่า ใครจะว่า จะเป็นได้ไหม นักการเมืองไม่รับเงินเดือนนี่

ฟังแล้ว เสียงเบาๆ ยังไม่ตั้งหลักเหรอ ปฏิภาณยังไม่ไว มุทุภูตะยังไม่มีประสิทธิภาพ มุทุภูตะ จิตยังไม่แววไวพอ ที่จิตมันยัง ไม่ไวพอ มันยังปรับไม่ทันไว มันยังไม่ใช่มุทุธาตุ มันยังไม่อ่อน จิตยังกระด้างๆอยู่ ยังทื่อๆอยู่ ยังไม่แววไว ยังไม่ฉลาดพอ อาตมาว่าเป็นได้นะ เป็นนักการเมือง ที่ทำงานไม่เอาเงินนี่แหละ มันทำไม่ได้ยังไง ยิ่งเราเป็นนักการเมืองที่ เรามี ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนช่วยรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญเราก็ตวง เอ๊าตวงเอา ไม่เอาบาปนะ บุญเราก็ตวงเอ๊าตวงเอา อย่างนี้หละ เราไม่ต้องกังวลเลย เรามีระบบ คุณจะไปทำงานกับสังคม ทำงานกับข้างหน้า ถ้าสมมุติว่า ข้างหน้านี่นะ พรรคการเมืองของเรานี่ ไม่ว่าคุณนี่ตัวแทนของเรา ตัวแทนของกลุ่มนั่น กลุ่มนี่ ของเรา ต้องออกไปหน้าแล้ว ต้องออกไปประชุม อะไรต่ออะไร คุณก็ทำไปซี้ ดีไม่ดีก็เอาข้าวไปส่ง มีคนเอาข้าวไปส่ง ไม่ต้อง กังวลหรอก ไปทำงานเถอะก็บอกว่าไปทำงานนี่จะประชุมหลายชั่วโมงนะนี่ ยังไม่ได้กินข้าวเลยรับรอง เดี๋ยวมีคน เอาข้าวไปส่ง ไม่มีค่ารถ ไม่เป็นไรไปรถคนนั้นสิไปรถคนนี้สิเดี๋ยวไปรถส่วนกลางสิ ก็ไปเอาไปใช้เลย ก็จะไปทำงาน กับสังคมเพื่อสังคม มันเป็นไปได้นะ มันต้องพิสูจน์ นักการเมืองแบบนี้กัน แหม อาตมาอยากอยู่ซัก ๒๐๐ ปีดีมั้ง จะได้เห็น นักการเมืองแบบนี้ มันจะมีการเมืองแบบใหม่ อยู่ในสังคมโลกนี่นะ มีแบบนี้เลย ต้องมาร่าง ธรรมนูญใหม่ ต้องมา ตราพระราชบัญัติกันใหม่ อะไรนี่ แหม มันจะเป็นยังไง พระราชบัญญัติฉบับนี้นะ มันคงเข้มน่าดูเลยนะ ทุนนิยมมาอ่านนี่นะ พวกศักดินานิยม หรือ ทุนนิยมมาอ่าน ใครจะเป็นได้วะ อย่างนี้นะ ถ้าเราเป็นได้แล้วมันก็ต้องเป็นได้ว่า ก็นี่ยังไง เขาเป็นอยู่แล้วนี่ ก็เขาถึงได้ ร่างออกมา ดังนี้แล้วก็ดำเนินตามนี้ เมืองไทยเอาก่อน ทำดูก่อน ฟังแล้วมันน่าฮึกเหิมนะ ฟังแล้วมันน่าฮึกเหิม แต่มันจะเกิดได้ เป็นได้ก็เพราะพวกเรา อาตมาว่าพอจะเป็นได้ มันจะเป็นเรื่องการเมือง ก็การเมืองบุญนิยม ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราก็เข้าใจเพิ่มขึ้นแล้ว นี่เราก็ประชุมกันไป จะผนึกสถาบันบุญนิยม ก็พรรคการเมือง ก็ผนึกกันเถอะ มันผนึกกันอยู่แล้ว โดยเนื้อแท้ มันอันเดียวกัน เอกีภาวะ เพราะฉะนั้น อาตมาถึงบอกพวกที่บันทึกนี่ส่ง กกต. เขานี่กิจกรรม ของเรานี่ บันทึกไปเถอะ นี่เราทำงานอย่างนี้นี่หละเพื่อสอนทางด้านโน้นเขาด้วยว่านี่เราทำงานกับประชาชนอย่างนี้ เราทำอันนี้ เรื่องนี้อย่างนี้ๆแหละนี ่ดูซินี่ ประชุมเรื่องปุ๋ยกันไม่เท่าไหร่ก็ประชุมไปสิค ุณก็บันทึกไปสิ ว่านี้ตกลง จะลงในเนื้อหาด้วย ก็ได้ว่า นี่ปุ๋ย เราก็จะต้องทำ อย่างนี้ๆนะ คุณก็ส่งไปให้ กกต. เขาอ่านตาลายบ้าง มันทำอะไรวะ อ๋อ นี่มันคุยกัน เรื่องปุ๋ยเหรอ เรื่องปุ๋ย แล้วมันจะขายกัน ยังไง แล้วมันจะทำให้ปุ๋ยเคมีเขานี่ ขจัดออกไป แล้วเอาปุ๋ยอันนี้ แล้วคุณภาพ มีรูปให้ดูด้วย เหมือนกับ อย่างที่ภาณุ เอามานี่ แต่ปุ๋ยนี่ คุณภาพมันจะดีกว่า คุณภาพปุ๋ยเคมี เท่านี้ๆๆอย่างนี้ๆๆ อะไรต่ออะไรพวกนี้นี่ เราทำงาน การเมืองอย่างนี้ ส่งไป รายงานกกต.ไป นี่พวกนี้หมู่กลุ่มนี้ เอ้าสาขาไหน ก็บันทึกไว้ ที่นี่สาขานี้ ก็บันทึกไปสิส่งไป วันนี้เราพูดอันนี้ ก็ว่าสาขานี้ สาขาอื่นก็แอบบันทึกไปด้วย เพราะมาร่วมประชุมด้วยนี่ เราก็ไปทำบ้าง วันนี้เราเดินทาง ไปที่ ทักษิณอโศก จังหวัดตรัง เราก็ได้ประชุมเรื่องนี้ๆก็ซ้ำกัน ก็เรามาจริง เราก็สาขาโน้นน่ะ ก็สาขา ๕ สาขา ๘ อะไร ก็บันทึกไปสิ จะแปลกอะไรล่ะ แล้วก็ทำส่งไป กกต. เขาก็จะได้ดู เอ้อพรรคการเมืองพรรคนี้ มันทำอะไรของมันวะ ไม่ใช่ไปถึงก็ไปหา วันนี้ได้ไปแจกของ วันนี้ได้ไป งานบวชของ เจ้านั้น วันนี้ได้ไปงานขึ้นบ้านใหม่ ของเจ้านั่น เจ้านี้ นั่นเหรองานการเมือง แล้วก็ไปแจกซองเขา แล้วบอกว่านี่คือภาษีสังคม อาตมาว่า มันล้มเหลว ขนาดหนักเลย การเมือง เมืองไทยนี่ และสส. ก็มาพูดอ้าง อันนี้แหละ มาขอขึ้นเงินเดือน ภาษีสังคมก็ไม่พอ คุณพัฒนาการเมืองของคุณยังไง เรียนกันมา จบดอกเตอร์ กันมา ทางการเมือง รัฐศาสตร์อะไรก็แล้วแต่ เสร็จแล้วก็ โอ..จ้าประคุณ แล้วก็ทำเป็นตัวอย่างกันอยู่ อย่างนั้นแหละจนกระทั่ง เลอะเทอะ พูดไปก็นินทาต่อเข้าไปอีก เดี๋ยวยาว เอาล่ะ พวกเราก็พัฒนาไป วันนี้หรือว่างวดนี้ หรือว่างานต่อๆมานี่ เราก็จะพยายาม ที่จะผนึกอะไรเข้ามา เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่มีหลากหลาย ยูนิตี้ออฟ ไดเวอสตี้ unity of diversty เป็นหนึ่ง เดียวกัน แต่ว่า มีอะไรต่างๆ หลากหลาย ประสานกันอยู่เป็นเครือแห ประสานกันอยู่อย่างได้รูปได้ร่าง แล้วก็ทำกันไปนะ

เอาละสำหรับวันนี้อาตมาก็เทศมาจนเวลาเข้าไปอีกประเดี๋ยวก็เลยใครต่อใครก็ตั้งหน้าตั้งตา จะบินจะไปเที่ยว ชเลขวัญ มั่ง จะไปเที่ยว กินผลไม้กันที่พะโต๊ะ ที่ธรรมชาติอโศกบ้าง อะไรก็แล้วแต่ ก็คิดว่าพวกเราก็คงจะมีความฮึกเหิมในธรรม ไม่ใช่ฮึกเหิม ไปชกไปต่อยกับใครนะ ฮึกเหิมในธรรม เป็นการสร้างพลัง อะไรขึ้นมาในใจว่า ชีวิตของเรา ก็เข้าใจแล้ว ได้เท่านี้ อะไรที่มันยังมีตัวถ่วงตัวเอง สิ่งที่ถ่วงตัวเองอยู่อะไร ก็เรียนรู้ให้ดี ลดตัวถ่วงนั่นออกซะ ล้างตัวถ่วงนั่นออกให้ได้ ให้เกิด พลังงาน ที่จะมีพลังงานแข็งแรง มีอิทธิบาทมีทั้งความยินดี พลังยินดี พลังวิริยะ พลังจิตะ พลังวิมังสา นี่ให้มันเกิดจริง เป็นจริง เพื่อพลังอิทธิบาท เพราะฉะนั้น พระพุทธจ้า ถึงได้ตรัสว่า ความเป็นอาริยะ ความเป็นอรหันต์นี่ พลังที่เกิดนี่ก็คือ พลังของ อิทธิบาท มีความเพียรเป็นตัวแสดง พยายามกัน แล้วเราก็จะได้ พิสูจน์ความจริง ของธรรมะ ของพระพุทธเจ้า โดยเราเอง เราก็เป็นผู้ได้ ได้คุณวิเศษ ของพระพุทธเจ้า ที่ท่านอุตส่าห์ตรัสรู้มา จนเอามาเผยแพร่ เอามาสอนเอาไว้ มันยิ่งกว่า e เท่ากับ mc กำลัง ๒ ของไอสไตน์ เป็นไหนๆ สูตรของพระพุทธเจ้าใช่ไหม มันวิเศษ นักหนา ยอดเยี่ยมเพราะฉะนั้น ก็ขอให้ ทุกคน ได้ประสบผลสำเร็จ จากทฤษีของ พระพุทธเจ้า ทั่วถ้วนทุกคนเทอญ

สาธุ

มีหนังสือเขียนมาถึง บอกว่าผู้มาที่หลัง (เพิ่งเกิด) ถามมาว่านิมนต์ท่านเทศน์ นิมนต์เทศน์เลยนะว่า

๑ ทำไมสันติอโศกไม่มี พระพุทธรูป ปัดโธ่ ก็มองเข้าไปซี้ นั่นน่ะ ไอ้ตรงกลมวงกลม ข้างบนนั่นน่ะ พระพุทธรูปพระยานาคปรก อยู่นั่นน่ะ โอ้โฮ.. ปางตรีลักษณ์ คิดดูสิ ปางนี้เป็นปางใหม่ ยังไม่เคยมี ในตำนาน ในระบบ เป็นปางใหม่ ไปดูสิยกนิ้ว ปางตรีลักษณ์ ตรีลักษณ์ ลักษณะ นี่มี ๓ นิ้ว ตรีลักษณ์ ก็คือ จะเรียกว่า เป็นโลก ๓ โลกก็ได้นะ โลกโลกุตระ โลกโลกวิทู โลกโลกานุกัมปา ก็ได้ หรือจะเรียกว่า เป็นโลกของ
๑ จะต้องได้ อุภโตภาควิมุติลักษณะหนึ่ง
๒ ลักษณะที่มีความรู้ ความสามารถ ในสังคม
๓ มีความรู้ มนุษยสัมพันธ์ สังคม หรือ มีสัปปุริสธรรม ๗

สามข้อ ข้อที่ ๓ มนุษยสัมพันธ์นี่ เป็นประโยชน์ โลกานุกัมปา ส่วนสมรรถนะ ความรู้ความสามรถนั้น ก็คือโลกวิทู ส่วนอุภโตภาควิมุติก็คือ โลกุตรจิต จิตบรรลุธรรม จิตอยู่เหนือโลก จิตเป็นโลกุตระนะ นี่เรียกว่า ปางตรีลักษณ์ ของชาวอโศก กำเนิดโดยชาวอโศก ของอื่นๆ มันมีหลายปาง ปางนั่น ปางนี่ สมัยสุโขทัย เขาก็จะมี ปางลีลา เป็นเอก สมัยรัตนโกสินทร์ ก็มีปางรัตนโกสินทร์โ อ้โฮ ทรงเครื่อง ปางรัตนโกสินทร์นี่แต่งตัวเป็นลิเกเลย สมัยอู่ทอง สมัยเชียงแสน เขาก็มีปางของเขา เป็น หลายๆ อย่าง สมัยสุโขทัย ก็มีปางสมาธิ ปางอะไรพวกนี้ เขาก็มีหลายๆอย่าง แต่อันนี้เป็นปางของชาวอโศกเรา มีความหมาย ดังที่กล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น มาว่า ทำไมสันติอโศกไม่มีพระพุทธรูป นี่แสดงว่า เอ จะว่าตาไม่ดี ก็เขียนหนังสือได้ มันก็คงจะ ไม่ใช่มั้ง ตาดีอยู่ เขียนหนังสือได้ขนาดนี้ แสดงว่า ตาดีอยู่

๒ กราบพระพุทธรูปอย่างไรไม่เป็นเทวนิยม (เออ อันนี้น่าตอบ เดี๋ยวเอาไว้เดี๋ยวตอบ)

๓. ต่อไปสันติโศกมีพระพุทธรูปได้หรือไม่ มีแล้ว เดี๋ยวจะมีอีก แต่ไม่บอก นี่ไม่บอกนะ มีแล้วไง ที่มีแล้ว ที่อาตมาชี้ไปที่วงกลม รอบ พระวิหารนั่นน่ะ เพราะชัด ฝั่งโน้น ก็มีพระพุทธรูปยืน ใช่ไหม ฝั่งนี้ก็มีพระพุทธรูปนาคปรก ปางตรีลักษณ์นี่ อย่างที่ว่า ฝั่งนี้ นอกนั้น ก็เป็นเรื่องราว อะไรต่ออะไร ประกอบเป็นภาพ คอมโพสิชั่น

อาตมาว่าภาพปั้นหรือหล่ออันนี้นี่ จะเป็นภาพที่ต่อไปก็อีกซักร้อย สองร้อยปี ก็คงขายราคาแพง เหมือนกับนารายณ์ บรรทมสินธุ์น่ะ ระวังอเมริกา จะมาแงะ เอาไปก็แล้วกัน เหมือน นารายณ์บรรทมสินธุ์ จะต้องไปแย่งเอาจากอเมริกาคืน คาราบาว ต้องแต่งเพลง บอกเอาอะไร เอาพระนารายณ์คืนมา เอาไมเคิล แจ๊คสันคืนไป เอาพระนารายณ์ คืนมา เอา ว่ากันนัว เลยนะ ในนี้จะมีอะไร หลายๆอย่าง ในภาษาของธรรมะนี่ อธิบายได้

เอ้าทีนี้กลับมา ข้อ ๒ ที่ถามว่า จะกราบพระพุทธรูปอย่างไรไม่เป็นเทวนิยม อันนี้ดีมาก คนเราทุกวันนี้ในเมืองไทยนี่ก็ตาม เมืองไทย เป็นเมืองพุทธ ว่าอย่างนั้นนะ ซึ่งความจริง ก็คือ มวลของ ประเทศไทย ประชากรประเทศไทยนั้น นับถือพุทธ แต่ก่อนนี้ ๙๕ ๙๘% ทีเดียว แต่เดี๋ยวนี้ ก็ลดลง เขาบอกว่าสำรวจครั้งสุดท้ายนี่ เหลือ ๘๕ % กลายเป็น ผู้ไม่นับถือ ศาสนาพุทธ เและไม่นับถือ ศาสนาอะไรไปเสียเยอะ และก็เป็นศาสนาอื่นบ้าง ไปเข้าคริสต์ ไปเข้าอิสลามอะไรก็มี เดี๋ยวนี้ เขามีมาเยอะเลย ศาสนาบาไฮ ก็เข้ามา ศาสนาคริสต์ในนิกายอื่นๆ ก็หลายนิกายเข้ามา ตอนนี้ นิกายหลังสุด อะไรของเขาล่ะ สุดท้ายน่ะ นิกายอะไรของเขามอมอล นี่เขาก็เข้ามา เคาะประตูเลย มอมอลนี่ ประตูบ้านใครถูกเคาะบ้าง พวกมอมอลนี่ ไปเคาะประตู แล้วก็คุยเลย ขยัน พวกนี้หาบริวาร หาสมาชิกเก่ง แต่ก็ยังทะลุทะลวงเมืองไทยไม่ได้ เมืองไทย ก็ยังคงแข็ง ในความเป็นพุทธ อยู่นั้นเอง แต่น่าเสียดายที่ว่าแข็งจริง คือยึดความเป็นพุทธไว้ โดยภาษา โดยบัญญัติ เท่านั้น แต่ในเนื้อหา ของความเป็นพุทธนั้น กลายเป็นเทวนิยม เกือบหมดแล้ว เกือบหมด อาตมา อยากจะใช้คำว่า หมดแล้วด้วยซ้ำไป เพราะอะไร เอาง่ายๆ เทวนิยมนี่คือ ศาสนาที่มีพลังพิเศษ มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ บันดลบันดาล มีฤทธิ์มีแรงเหนือกว่าอะไร ก็ไม่รู้หละ สามารถ ที่จะบันดาลบงการ จะให้ดีจะให้ชั่ว จะให้ทุกข์ จะให้สุข จะให้รวย จะให้จน จะให้ลำบาก ลำบน จะให้ สะดวกดาย อะไร ก็ตามใจ เป็นอำนาจพิเศษอย่างนั้น บันดาลไปเลย อย่างนี้แหละคือ เทวนิยม ง่ายๆเทวนิยม ส่วนพุทธนั้น พระพุทธเจ้า ตรัสรู้เป็น อเทวนิยม ไม่เอาอย่างนี้ มันไม่เป็น วิทยาศาสตร์ ข้อ ๒ ใหญ่ๆก็คือ เทวนิยมไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องลึกลับ พระเจ้าพระบุตร ถือว่าไม่ใช่คน ถือว่าเป็นสิ่งพิเศษ ห้ามคนไปวิจารณ์ เป็นของต้องห้าม คำสอนถือว่าเป็นคำสั่ง เป็นโองการ มาจากพระเจ้า เพราะฉะนั้น พระบุตรหรือพระบรมศาสดานี่ จะเป็นผู้นำโองการของพระเจ้า มาประกาศกับประชากร ประชากร ได้ฟังแล้วจงเชื่อ และปฏิบัติตาม เป็นศาสนาอานา หรือ อาชญา พูดภาษาสมัยใหม่ก็ว่า เผด็จการเต็มรูป

พระพุทธเจ้าไม่เอา เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ไสยศาสตร์ไม่ลึกลับและไม่เป็นของต้องห้าม เป็นสาธารณะของมนุษยชาติทุกคน ของ พระพุทธเจ้า อเทวนิยม ต่างกันอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ของพระพุทธเจ้านั้น คำสอนเป็นอนุสาสนีย์ ไม่ใช่อานาไม่ใช่อาชญา แต่เป็นคำสอน เป็นคำบอกกล่าว ให้เอาไปพิจารณา โดยปัญญา ไม่เชื่อ ก็ไม่ต้องเอาตาม ถ้าเชื่อก็เชิญพิสูจน์เชิญปฏิบัติตาม ปฏิบัติตามแล้ว ได้มรรคได้ผล ได้ประโยชน์คุณจะเลือกเอาหรือไม่เอาก็ได้ พิสูจน์แล้วว่า โอ..พิสูจน์ออกมาแล้ว มันเป็น อย่างนี้เหรอ วิมุติเป็นอย่างนี้เหรอ นิพพานเป็นอย่างนี้เหรอ ไม่เอานิพพานไม่มัน ไม่ได้เหมือนโลกีย์ มีลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข แล้วก็กระดี๊กระด๊า อยู่กับโลกีย์อย่างนี้ดีกว่ามัน มันดีกว่า คุณก็ว่าไป แต่ของท่าน ท่านบอกว่าอย่างนี้ นี่สงบอย่างนี้ เป็นความสุข อันสงบพิเศษกว่า และไม่เป็นภัยอะไร อย่างงี้เป็นต้น ท่านก็อธิบายของท่านไป ตามความเห็น ของท่าน เพระงั้น ผู้ใดมาศึกษาแล้วพิสูจน์แล้ว เห็นตามเอาตามก็ป็นเรื่องของแต่ละบุคคลเป็นอิสระเสรีภาพ สมบูรณ์ ศาสนาของ พระพุทธเจ้า เป็น อเทวนิยม

ทีนี้การกราบพระพุทธรูปนี่ใครที่ยังไม่ล้างกิเลสไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลง ความเคยชินคนเรานี่ มันติดยึดเป็นเทวนิยม กันมาเดิม เดิมเลย ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา คนชาติไหนเหมือนกันหมด แต่เดิมน่ะติดเทวนิยม ตั้งแต่เทวะโดยไม่เป็นเทวะ เป็นอะไรก็ไม่รู้ อำนาจวิญญาณ อำนาจลึกลับ อำนาจพลังงานพิเศษ ตั้งแต่เป็นครั้ง สมัยโบราณ ดึกดำบรรพ์ ก็นับถือหมอผี หมอผีก็เอาอำนาจวิญญาณ เอาอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาอำนาจอะไรๆ มาใช้ จะใช้ทางดำ ทางขาว อะไรก็ตามใจ ก็ใช้วิธีนี่ สิ่งที่ไม่รู้จักตัวตนหรอก แล้วก็เอามาใช้กัน แล้วก็เชื่อกันสมัยโบราณ แล้วก็ติดมา อย่างนั้น ธรรมดาธรรมชาติของสังคม ของมนุษยชาติ เพราะฉะนั้นแม้มาถึงทุกวันนี้นี่ ความเชื่ออันนี้ ความเคยตัวอันนี้ มันฝังราก ในจิตวิญญาณ มันนาน จนถึง ทุกวันนี้ ล้างยาก เปลี่ยนแปลงไปยาก

ถ้าเผื่อว่าไม่ศึกษาไม่พิสูจน์หรือคนไม่มีภูมิปัญญาที่มีเหตุมีผล เป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นคนสมัยใหม่ จริง ยากที่จะ เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น คนในสถานที่ หรือว่า อยู่ในภูมิประเทศ ที่ไม่สมัยใหม่ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์นี่ เปลี่ยนแปลงยาก เอาธรรมะ โลกุตระ หรือ อเทวนิยมของพระพุทธเจ้าเข้าไปนี่ เปลี่ยนแปลงยาก เพราะฉะนั้น ผู้ไม่เข้าใจเป็น อเทวนิยม ไม่เข้าใจ อย่างศาสนาพุทธ กราบพระพุทธรูป ก็จะขอบันดาล ขอพลังพิเศษ ขอให้ช่วย ขอให้บันดลบันดาล อย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้ คุ้มครอง อะไรก็แล้วแต่ ขอให้คุ้มครอง อย่าให้เจ็บป่วยได้ไข้ อย่าให้เป็นโน่น เป็นนี่ให้เป็นสุข อะไรก็ตามแต่เถอะนะ คือ ขอพลังพิเศษช่วย นั่นคือการกราบพระพุทธรูป ที่ยังมี ความเป็น เทวนิยม เป็นความเชื่อพลังพิเศษอะไรอื่นๆ ได้อีก เยอะแยะ จะกราบพระพุทธรูป ในเชิงนั้นเชิงนี้ จะเชิงขอ พลังพิเศษ จะเชิงเชื่อว่าขลัง เชื่อว่าปกป้อง ปกครอง เชื่อว่าอะไร ก็แล้วแต่ มาดลบันดาล นั่นๆนี่ๆอะไรก็ตามใจเถอะ เป็นการกราบพระพุทธรูปที่ไม่ถูกต้อง ตามแบบพระพุทธศาสนา จริงๆ แล้ว พระพุทธเจ้าท่านเอง ท่าน ตั้งแต่เผยแพร่ ศาสนา ท่านยังไม่มีรูปเคารพ ไม่มีพระพุทธรูปไม่มีรูปเคารพ ที่เป็นรูปแทน ก็ไม่มี รูปพระพุทธรูป ที่เป็นรูปแทนอย่างอื่น ที่เป็นสิ่งแทนก็ไม่มี พระพุทธเจ้า ปรินิพพาน ไปแล้วนาน จนประมาณ ๒ ๓ ร้อยปี ไม่ใช่๗๐๐ ปี ๒ ๓ ร้อยปีนี่ พระเจ้าอโศกมหาราช ยุคพระเจ้าอโศกมหาราช ก็ยังไม่มี พระพุทธรูป สามร้อยปีนี่ พระเจ้า อโศกมหาราช ๗๐๐ ปี จึงค่อยมีความคิด มาจากชาวทางตะวันตก มาเริ่มต้นสร้างเป็น พระพุทธรูป เป็นสิ่งแทนอะไรขึ้นมา แล้วก็กราบเคารพมา จนกระทั่ง ป่านนี้ ซึ่งความเป็นอเทวนิยมนั้น ลดหย่อนลงไปเยอะแล้ว พระพุทธเจ้า ท่านประกาศศาสนา อเทวนิยม มาตอนต้น พอศาสนา ร้อยปี ๒ ร้อยปี๓ ร้อยปี ๔ ร้อยปี ๕ร้อยปี ๗ ร้อยปีขึ้นมา ๘ร้อยปีมีพระพุทธรูปก็ลดลงมา เป็นอเทวนิยม เยอะแล้ว ไอ้ความติดยึด สมัยดึกดำบรรพ์ ที่มันติดมาในรากเหง้าของ ฐานจิตวิญญาณ เลยมีสัญญาเดิม มาเยอะ เพราะคนจะเป็นเทวนิยม มาตั้งแต่ดั้งเดิมเลย ก็มันก็จะกลับมานับถือแบบ เทวนิยมกันใหม่ เพราะฉะนั้น ศาสนาก็เลย ต้องผสม ศาสนาพุทธ เลยกลายเป็น ศาสนาผสม เทวนิยม มาเรื่องยๆๆๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ อาตมาพูด ศาสนาพุทธ อย่างเทวนิยม เพียวๆ ยากมากเลย พูดแทบไม่ไหวเลย จะกลายเป็น ศัตรูกัน หาว่านี่ไม่ใช่พุทธ ออกนอกลู่ นอกทางพุทธ ท่านเคารพบูชาอะไร มีดอกไม้ธูปเทียน บูชาสวดอ้อนวอน สวดมนต์อวยพรกัน ขอให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ อย่างโน้นอย่างนี้ พรมน้ำมนตร์ เป่าหัว คือเป็น ลักษณะของ เทวนิยมหมดเลย เพราะฉะนั้น ถ้าจะกราบเคารพพระพุทธรูป ให้เป็นอเทวนิยม จะทำอย่างไร พระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้สอนไว้ เพราะว่า สมัยท่าน ยังไม่มี ท่านก็ไม่ได้ตราไว้ ไม่ได้บัญญัติไว้ เพราะฉะนั้น ที่จะพูด ไปนี่ ก็เป็นความเห็นของอาตมา ว่าจะกราบเคารพ พระพุทธรูป โดยไม่ให้เป็นเทวนิยม อย่างไรก็คือ

๑ อย่าไปกราบพระพุทธรูปอย่างเชิงขลัง อย่างเชิงที่มีฤทธิ์มีเดชบันดลบันดาล อย่างนั้นอย่างนี้

๒ อย่าไปขอ พอกราบเข้าก็ขอเลยขออะไรก็ไม่รู้ขอนั่นขอนี่ขอๆ ขอให้อยู่ยงคงกระพัน ขอให้แคล้วคลาด ขอให้มหานิยม ขอให้ร่ำ ขอให้รวย ขอให้ชนะ ขอให้ผู้หญิงรัก ขอตะพึด คือ เรียกว่า ขอแหลกเลย ขอ แล้วแต่จะขอ อะไรก็ตามแต่ พระพุทธเจ้า ถ้าเผื่อว่าท่านเองนะ ท่านเป็นผู้ที่จะต้อง คอยมารับ คำขอนี้ โอ๊ะโฮ งานหนักชะมัดเลย ใช่ไหมพระพุทธเจ้านี่ โฮ เหนื่อยตายเลย คิดดูซินี่ ประชากรที่เป็น พุทธศาสนิกชน ร้อยล้าน และก็ขอทั้งนั้นเลย พระพุทธเจ้าตาย จะแบ่งงาน แจกไม่ทันเลย คนนั้นก็จะเอางี้ คนนี้ก็จะเอางั้น มันไม่หวาดไม่ไหว วันหนึ่ง แค่เท่าไหร่ ๑๒ ชั่วโมง ตีเป็นนาที ตีเป็นวินาที เท่านี้นี่ โอ้โฮ คนขอมาก เท่าวินาทีต่อวัน ทำไม่ไหว ตายแน่ๆ นะนั่นเป็นข้อใหญ่ใจความ ทีนี้จะขออย่างไร จะทำใจอย่างไร ทำใจคือเวลากราบนี่ เหมือนเรากราบรูป พ่อแม่ เราไม่ได้นึกว่า พ่อแม่ของเรา ขลังหรอก แต่พ่อแม่นี่ เป็นคนที่เคารพ นับถือ บูชา พระพุทธเจ้าก็นัยคล้ายกัน แต่ไม่ใช่เคารพนับถือบูชา แค่เมือนอย่างกะพ่อแม่ ที่ให้ชีวิต ให้ความเลี้ยงดูให้ความเกิด ให้ความรู้อะไร ก็แล้วแต่เถิด ให้อะไรต่ออะไรแก่เรา เหมือนอย่างพ่อแม่ให้ เราก็กราบเคารพบูชาบุญคุณ บุญคุณของพ่อแม่ อย่างนั้น แต่ทีนี้ เรากราบเคารพ พระพุทธเจ้า กับรูปเคารพ ซึ่งไม่เหมือน ซักรูป เจ๊กปั้นเหมือนหน้าเจ๊ก พระพุทธเจ้าหน้าเจ๊ก แขกปั้นเหมือนหน้าแขก ไทยปั้นเหมือนหน้าไทย ก่อนที่จะเป็นไทยนี่ มันลาวๆนะ พระพุทธรูป หน้าลาวๆ หน้าละโว้ หน้าแป้นๆ เหลี่ยมๆ นะหน้าละโว้ ปากแบะๆ ดั้งไม่มี พระพุทธรูปโบราณพระพุทธรูปอย่างนี้พอมาสมัยใหม่สุโขทัยโอ้โฮ ตั้งโด่งเชียว สุโขทัยต้องโด่ง รัตนโกสินทร์ นี่โอ้โฮ เรียกว่า ออกมาจาก แค้ตตะล้อกเลย นะพระพุทธรูป จะต้อง ให้รูปร่าง เรียกว่า รูปร่าง อยู่ในเทรน ในเทรน พูดภาษา สมัยเข้าหน่อย อินเทรนเลยนะ ว่างั้นนะ ก็แล้วแต่แนวคิดของคน ที่จะบันดาลออกมา สรุปแล้ว ก็คือ พระพุทธรูปก็คือ สิ่งแทนเท่านั้น ไม่เหมือน พระพุทธเจ้าจริง ซักองค์ ถ้าปั้นพระพุทธรูป เหมือนกับ พระพุทธเจ้าจริงนะ พวกคุณเห็นแล้ว วิ่งหนีเลยๆ เพราะพระพุทธเจ้า ท่านหลายๆอย่าง ต่างคน คนนี่มันมีโค้งเยอะ มีโค้งมีเคิบเยอะ มีโค้ง มีเว้า มีแหว่ง มีอะไร ต่ออะไรเยอะ แต่พระพุทธเจ้านี่มีน้อย แม้แต่พระบาทนี่ ก็เต็มหลังเท้าตรงอะไรอย่างนี้ นิ้วเท่ากันอะไรอย่างนี้ คุณเห็นคุณวิ่งแน่ มันแข็งไปหมด มันไม่มีเคิร์บ มันไม่มีโค้ง มันไม่มีอะไรมาก มันจะซื่อจะตรง มันจะได้สัดส่วน ที่ไม่ซับซ้อน ลึกลับนะ นั่นเป็นสัจธรรม ที่แปลกนะ เป็นสัจธรรม ที่แปลก แต่เอาเถอะ นี่ก็อธิบายประกอบ อะไรต่ออะไรให้ฟัง

สรุปแล้วพระพุทธรูปคือ สิ่งแทนที่เราจะกราบเคารพบูชา เป็นจุดหนึ่งใช้เป็นรูปธรรมเพราะถ้าเราเข้าใจแล้ว ทำไมแต่ก่อนนี้ อาตมาเคร่ง ไม่ให้พระพุทธรูป เข้ามาในนี้ เพราะแต่ก่อน พวกเรา ยังเข้าใจไม่ดี เข้าใจเทวนิยม อเทวนิยม ยังไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเอาเข้ามา ให้มาทำกันเลอะๆ เทอะๆ ประเดี๋ยว วุ่นวาย หลายสิบปี ๒๐ ปีผ่านไป อาตมาถึงค่อยนุโลม ให้มีพระพุทธรูป มาบ้าง อยู่ในห้อง ในหับเล็กๆ น้อยๆมาจนกระทั่ง ๓๐ปี ๒๐ กว่าปีผ่านไป จึงยอมให้มี พระพุทธรูป เปิดตัวขึ้นมา ทุกวันนี้ เพราะเราเข้าใจแล้วว่า เราจะกราบพระพุทธรูปอย่างไร เคารพพระพุทธรูปอย่างไร แล้วเราก็บอก สอนกัน เพราะเราจะห้าม ไม่ให้พระพุทธรูปนี้ ไม่มีในโลกได้ไหม ไม่ได้หรอก อันนี้จำนนท์ ปราบไม่ได้ ห้ามไม่ให้พระพุทธรูปนี้ ไม่เกิดไม่มีอีกในโลก ไม่ได้เด็ดขาด เมื่อห้ามไม่ได้ เราก็ต้องสอน ให้รู้ความจริง รับเสียแต่อย่างมงาย รับแล้วก็ต้องเข้าใจว่า เราจะใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่างไร พระพุทธรูปใช้เป็นที่เคารพบูชา เหมือนแค่รูปพ่อแม่ เราก็บูชาเคารพ เป็นประโยชน์แก่เราได้ เป็นประโยชน์ แก่สังคม ได้ฉันใด พระพุทธรูปมีคุณประโยชน์พูดก็พูดเถอะยิ่งกว่าพ่อแม่เรา เพราะท่านมีประโยชน์ ต่อมวลมนุษยชาติ มากมายกว่า พ่อแม่ เท่านั้น ใช่ไหม เพราะฉะนั้น จะบูชาเคารพ ก็บูชาเคารพไป กราบเคารพท่าน ระลึกถึง พระคุณ ท่านดีนักหนา หรือ ระลึกถึง เมื่อกราบเคารพ ก็ตั้งใจ อธิษฐานแปลว่าตั้งใจ กราบเคารพ ก็ตั้งใจว่า ต่อไป ลูกจะขอ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จะปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ให้เข้มแข็ง ให้ได้มรรคได้ผลที่พระพุทธเจ้าทรงประธานมา เป็นความรู้ ความวิเศษ ของมนุษยชาติ เอ้อ อย่างนี้เชิญเลย กราบเคารพ แล้วก็ตั้งใจ เรียกว่า อธิษฐาน อย่างนี้เคารพ เชิดชู ยกย่อง ถึงพระคุณของท่านตั้งใจ เพื่อที่จะเอามาปฏิบัติ เอามากระทำ ให้มันเกิด คุณค่าประโยชน์ ต่อตน ต่อสังคม อย่างนี้เป็นการ กราบบูชาเคารพ พระพุทธรูป ที่ถูกต้อง นี่ก็อธิบายให้ฟังคร่าวๆ เอ้าเลยกลายเป็น ตอบปัญหาไปเลย วันนี้นะ ที่จริงอาตมา ขึ้นต้นด้วยการเมือง แล้วก็ไป วรรคๆไว้ ไม่เป็นไรหรอก การเมืองพูดเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะยังจะมีเรื่องสนุก ให้พูดอีกเยอะ เรื่องการเมือง ถามมาว่า ทำไม พระพุทธศาสนา จึงไม่มีหรือมีน้อยมาก ในประเทศ ที่มีความเจริญ ทางด้านวิทยาศาสตร์ ทั้งๆที่ พระพุทธศาสนา เป็นวิทยาศาสตร์ เอ้ออันนี้ ตอบมันก็ ถ้าไม่เก่งจริงๆ นี่ตอบยากนะ ตอบ ทำไมพระพุทธศาสนา จึงไม่มี หรือน้อยมาก ในประเทศ ที่มีความเจริญ ทางด้านวิทยาศาสตร์ ทั้งๆที่พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ คำตอบก็คือ ศาสนาพุทธ เป็นศาสนา เป็นวิทยาศาสตร์ จริงๆแล้ว เป็นวิทยาศาสตร์อย่างไร เดี๋ยวจะขยายให้ฟังอีก หน่อยหนึ่ง แต่เคยพูดแล้วหละ เคยขยาย แล้วหละ เดี๋ยวขยายอีก

พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ทางนามธรรม เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ ซึ่งทางตะวันตก หรือทางยุโรป ทางอเมริกา ก็ตาม เขาเก่ง ทางวิทยาศาสตร์ หรือเขาเก่งทาง ความเจริญทางวัตถุ เขายืนยันจับมาพิสูจน์ เลยจนกระทั่งถึงแกส ถึงนิวเคลียร์ อะไรต่ออะไรได้ เขาก็ถือตัวว่าเขาเก่ง เขาถือตัวว่า เขารู้ เขาก็เลยมองมา ทางเอเชีย ศาสนาพุทธ เป็นศาสนา เอเชีย เขาไม่รู้ตัว หรอกว่า เขามีอัตตา เขามีการลบหลู่ เพราะเขาเจริญกว่า ทางเอเชีย ต้องเอาตามเขา วิทยาศาสตร์ เขาดี ทางความรู้ ทางวัตถุ เรื่องอะไร ต่ออะไร ต่างๆนานา ต้องเอาตามเขา เพราะฉะนั้น เขาถือว่า เป็นเมืองเจริญ ประเทศเจริญ เจริญทางวัตถุใช่ เพราะฉะนั้น มานะอัตตาของเขานี่สูง เขาจึงมองว่า ทางเอเชียนี่ ไม่ใช่เมืองเจริญ เพราะฉะนั้น จะมีความเจริญอะไร ที่เขาจะต้อง ยอมนิยม เอเชีย นับถือผี นับถือดึกดำบรรพ์นับถือเทวนิยมลึกๆๆ ลับๆ อะไรต่ออะไร ไม่เหมือนกับ ทางโน้น เขาก็เทวนิยม ของเขาเจริญกว่า อะไรต่ออะไร พิสูจน์ได้มากกว่า เขาว่างั้นนะ เพราะฉะนั้น เขาก็จะไม่เชื่อ ทางนี้เลย ศาสนาพุทธ เกิดจากศาสนา ทางเอเชียโดยตรง แต่ลึกซึ้งยิ่งกว่าศาสนาเอเชียเอง คือไม่เป็นเทวนิยม เหมือนอย่างกับ ตะวันตก ยุโรป ที่เขานับถือ ก็เป็นเทวนิยม เหมือนกัน แต่ทางด้านเอเชียนี่ มีพลังทาง จิตวิญญาณ พลังทางนี่ เก่งกว่าทางยุโรป เขาตาม พิสูจน์ไม่ได้ แม้พลังไสยศาสตร์ ทางเอเชียก็เก่งกว่า เก่งกว่าทางยุโรป แต่เขาก็ไม่เชื่อ น้ำมนตร์ เพราะพลังไสยศาสตร์ มันพิสูจน์ เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เขาก็เลยไม่เชื่อ อยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้น เขาก็เลยลบหลู่ ตีกลบ ไปเลยว่า ศาสนาพุทธ ก็เป็นศาสนาเชิงเดียว กันกับ เทวนิยม แบบเอเชีย ที่เป็นไสยศาสน์ พิสูจน์ยากกว่า ศาสตร์ของเขา เป็นเทวนิยมเหมือนกัน แต่ของเขาพิสูจน์ได้มากกว่า เพราะฉะนั้น อันนี้เพื่อนเขาไม่นับถือ ยิ่งศาสนาพุทธ กล่าวลึกลงไปอีก กว่านั่นอีก เขาก็เลย ยิ่งบอกว่า ไสยศาสตร์ใหญ่เลย เพราะฉะนั้น คนเหล่านั้น จึงเข้าใจกับศาสนาพุทธไม่ได้ เลยตีทิ้งก่อน

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามศาสนาพุทธมีหลักฐาน มีคำสอนมีอะไรต่ออะไร ทีนี้แพร่ออกไปแล้ว มันทันสมัย ศาสนาพุทธนี่ เป็นศาสนาที่ ทันสมัย ถ้าอ่านพระไตรปิฎก โดยตรง จะมีความเป็น ทันสมัย แต่ขนาดนั้น ก็ยังถูกปลอม ในพระไตรปิฎกนี่ ถูกเขียน เป็นเชิง เทวนิยม เชิงอะไรผสม ก็เยอะเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม หลักที่มันเป็น อเทวนิยม หลักที่มันเป็น วิทยาศาสตร์ มีอยู่เยอะ ที่ศาสนาพุทธ เป็นวิทยาศาสตร์คืออะไร ศาสนาพุทธ เป็นวิทยาศาสตร์ ก็เพราะว่า พระพุทธเจ้า ตรัสชัดเจน ตรัสไว้ดีแล้ว เรียกว่า สวากขาตะ สวากขาตะนี่มาจากสุ +กับอักขาตะ อักขาตะ แปลว่า การกล่าวแล้ว พระพุทธเจ้า ได้กล่าวแล้ว ทุกอย่างดีสุข ชัดเจนหมด ในสวากขาตะธรรม มีอะไรบ้าง ไล่กันได้ไหม ๑ เป็นภาษาบาลีก่อน แล้วก็เดี๋ยวอาตมา จะขยายให้ฟัง (เงียบ นักเรียนสอบตกทั้งชั้น) สวากขาตะธรรม สวากขาโตภควตาธัมโม อะไร ไม่ได้ท่องเล้ยนี่ สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัตจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ ๕ ธรรม ๕ ข้อ อันนี้เป็นคำอักขาตะ ของพระพุทธเจ้า เป็นคำที่กล่าวระบุ บ่งชี้ยืนยันว่า ธรรมะของท่าน อันนี้เป็นบทธรรมะนะ สวากขาโต นี่เป็นบทยืนยันของ พระธรรม ใช่ไหม อิติปิโส เป็นบทยืนยันพระพุทธ สวากขาโต เป็นบทยืนยัน พระธรรม สุปฏิปันโนเป็นบทยืนยันพระสงฆ์ ใช่ไหม สวากขาตธรรมนี่ เป็นบทยืนยัน พระธรรม พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ท่านตรัสยืนยัน ระบุไว้ว่า ถ้าไม่เป็นทั้ง ๕ ชนิดนี้ ไม่ใช่ของพุทธ เท่ากับ พระพุทธเจ้า กำหนด specification ของท่านเอาไว้ วัด นี่คือ spec ของท่าน ภาษาทั่วๆไป ก็เรียกว่า specน่ะ ถ้าบอก specification ก็ไม่รู้เรื่อง บอกนั่นแหละ specของท่านแหละ ๑ สันทิฏฐิโก คืออะไร สันทิฏฐิโก แปลว่า ปฏิบัติ เอาตนเองเข้ามาปฏิบัติให้ได้ด้วยตนเอง สันทิฏฐิโก เอ้ารีบอธิบาย สันทิฏฐิโก คือแปลว่า เอาตัวเอง มันจะคล้ายกันกับ ปัจจัตตัง เวทิตโพ ขออธิบายตรงนี้เสียก่อน สรุป คือจะอธิบายยาวไม่ได้ อาตมาก็ขออธิบายลัดๆ ปัจจัตตัง เวทิตโพ ปัจจัตตัง นี่แปลว่า ตนเองเหมือนกัน เวทิตโพนี่แปลว่าความรู้ มันต่างกันอยู่ที่ว่า สันทิฏฐิโกนี่ จงเอาตนเอง เข้ามา พิสูจน์ เพราะฉะนั้น ศาสนา พระพุทธเจ้า ยืนยันว่า จะเป็นวิทยาศาตร์ ตรงที่ คุณต้องเอาตัวคุณเอง เข้ามาเป็น ตัวพิสูจน์ คุณได้แต่นั่งเรียน ได้แต่มอง ข้างนอกอยู่ ท่องแต่ภาษาเฉยๆ ไม่ได้เอามา ปฏิบัติพิสูจน์ ถ้าไม่ครบข้อที่ ๕ ปัจจัตตัง

ปัจจัตตังคือจะเกิดความรู้ เกิดมรรคผล แล้วคุณก็รู้มรรคผลเอง คุณจะเห็นมรรคผลนั่นเอง เมื่อมรรคผลมันเกิด เมื่อคุณบรรลุ เป็นโสดา บรรลุเป็น สกิทา บรรลุเป็นอนาคา ละสังโยชน์ ๓ ได้ละสังโยชน์ ๕ ได้ คุณก็จะมีการรู้ นี่วิทยาศาสตร์ คือพิสูจน์แล้ว ก็รู้จักผล ใช่ไหม วิทยาศาสตร์ มันต้องพิสูจน์ผล และรู้จักผลอย่างนี้ มันก็ถึงจะ ท่านยืนยันว่าจริง เพราะฉะนั้น คุณพิสูจน์ ได้ว่า ของจริง อย่างนี้มัน อ๊อ ..และคนที่มีสูตรสิ่งเดียวกันตรงกัน มันก็จะตรงกันหมดเลย อ๊อ… โสดาเป็นอย่างนี้ โสดาต่อโสดา คุยกันนี่อ๊อ.. ยักคิ้วใช่แล้ว ตรงกันเหมือนกัน ละอบายมุขเหมือนกัน ละอบาย ปิดอบาย กิเลสไม่มีแล้ว ว่างจาก อบายแล้ว กิเลสมาก็เฉย ไม่มีกิเลสเท่า ไม่สุขไม่ทุกข์ กับอบายแล้วนะ ใครจะพนันบอลยังไง ฉันก็เฉยๆ คุณจะปลุกเร้ายังไง เราก็ไม่ไปเอาด้วย การพนง การพนัน สิ่งเสพย์ติด อะไรที่เป็นอบาย แล้วปิด อย่างนี้เป็นต้น โสดาบันพูดกันตรงกัน อันนี้ พิสูจน์แล้ว เอ้อไอ้กิเลส มันไม่มีจริงๆ นี่มันสูญนี่ มันเป็นอย่างนี้นะรู้กันๆ ยืนยันได้ เป็นวิทยาศาสตร์ สันทิฏฐิโก กับปัจจัตตัง เวทิตโพนี่ ต่างกันตรงที่ สันทิฏฐิโก คุณต้องเริ่มต้นเอาตนเองเข้ามาเป็นตัวพิสูจน์ทั้งชีวิตร่างกายและจิตใจ เอามาพิสูจน์ ๒ อกาลิโก ไม่จำกัดยุค ยุคนี้ก็พิสูจน์ได้ ยุคพระพุทธเจ้า ก็พิสูจน์ได้ บรรลุได้ ขอให้สัมมาทิฏฐิแล้วปฏิบัติให้ถึงเถอะ มีมรรค มีผลจริง อีกประโยคหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านตรัส ตราบที่โลกมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ตราบใด โลกไม่ว่างจาก พระอรหันต์ ไม่ใช่โสดาบันเท่านั้น ก็เหมือนกันยืนยัน อกาลิโก ยุคไหนก็ได้ ขอให้ปฏิบัติเป็น สัมมาทิฏฐิ และตั้งใจจริง นี่เป็นคำยืนยัน เป็น spec ของพระพุทธเจ้า ที่ต้องระบุว่า ต้องเป็น อย่างนี้ ๓ เอหิปัสสิโก อันนี้เมื่อทำได้แล้ว ประกาศได้ เชิญชวนให้มาดูได้ ท้าให้พิสูจน์ได้ เอหิปัสสิโก เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะว่าไปแล้วนี่ ถ้าเป็นศาสนา ที่เชิญชวนให้มาดูได้ หรือท้าให้พิสูจน์ได้นี่ มันจะประกาศว่า เราบรรลุได้ไหม ไม่ได้เหรอ เอ๊ะ เชิญชวนให้มาดูได้ ท้าให้มาพิสูจน์ได้ แล้วประกาศไม่ได้ เหมือนกับสมัยนี้นี่ บอกว่าไม่ได้ บรรลุแล้ว อย่าไปพูดนะ ประกาศไม่ได้ บอกไม่ได้เอ.. อาตมาว่า มันค้านกับ คำสอนพระพุทธเจ้า ตั้งไม่รู้ กี่อย่างนะ ซึ่งอาตมา เอาสูตรอื่นๆ มาอ้างอยู่แล้วว่า ประกาศไม่ได้นี่ ในโลหิจสูตร ก็เอามาประกาศ อาตมาก็เอามาอธิบาย แล้วว่า ไม่ได้ การบรรลุแล้ว ไม่บอกผู้อื่น เหมือนกับ คนอะไรท่านว่า คนขี้เหนียว คนตระหนี่ คนอะไรต่างๆนานาคนไม่กตัญญู ในโลหิจสูตรนี่ อาตมาก็เคยเอามาอธิบาย แล้วต้องประกาศ ต้องบอกคนอื่นด้วย หรือแม้แต่ใน อภิณณหะปัจเวกขณ์ ข้อที่ ๑๐ ท่านก็บอกว่า อุตริมนุสธรรม ที่เราบรรลุแล้ว และก็มีเพื่อนสหธรรมิกมาถาม แล้วเราก็ตอบไม่ได้ เก้อๆยากๆ อย่างนี้ต้องให้ พิจารณาเนืองๆ ว่าเราจะเป็นคน อย่างนั้นหรือเปล่า คือคน มาปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วก็ไม่ได้มรรคได้ผล ใครมาถามว่า เป็นไง บวชมา ๑๐ ปี ๒๐ ปีเป็นไง อ้อก็บรรลุธรรมอะไรบ้าง ได้โสดาแล้วยัง ได้สกิทาแล้วยัง ตอบไม่ได้ ท่านเรียกว่า มังกุๆ ท่านบอกว่า เก้อๆ เขินๆ เก้อๆ ยากๆ มันตอบไม่เต็มคำ ตอบไม่ได้ เพราะเราไม่บรรลุ

อาตมาก็ถามว่า ถ้าผู้บรรลุมีคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ยืนยันอย่างนี้แล้วใครมาถามแล้ว อยากจะรู้อะไร มันบอกกันไม่ได้หรือไง นี่ก็เป็นข้อ แต่นั่นแหละ เราต้องระมัดระวัง ในการอวดตัว อวดตน โดยอวดตัวอวดตนน่าเกลียด แต่นี่มันคุณสมบัติผู้ดี ก็รู้ๆ กันอยู่แล้วไปคุยโว โดยเฉพาะ ยิ่งคุยโม้ สิ่งที่ไม่จริง เราไม่บรรลุ ก็ว่าบรรลุ ท่านเอาตายเลย ปราชิกไปเลย ใช่ไหม มันเสียหายน่ะ ของใหญ่ ของโต ของลึกลับอย่างนี้ คุณไม่เป็นตำรวจ คุณไปอ้างเป็นตำรวจก็โดนจับ อย่างนี้คล้ายๆกัน ยิ่งไม่เป็น พระราชวงศ์ ไปอ้างเป็น พระราชวงศ์เข้าคุกไปเลย จับเข้าคุกไปเลย อย่างนี้เป็นต้น เราไม่ใช่ แล้วเราไปอ้างได้ยังไง ของสูงด้วย โลกุตระ มันของสูงด้วยใช่ไหม โลกุตระ มันของสูง อาริยะธรรม มันของสูงไม่ได้ สรุปแล้ว เอหิปัสสิโกนี่ อวดได้ ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ นี่เป็นธรรมะของ พระพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่อวด อย่างคุยเขื่องโม้ แหมทำเป็นอวดตัว อวดตนอย่างนั้น มันกิเลส มันไม่เข้าท่า อันนี้ก็ต้องศึกษาเรียนรู้ แต่มันก็บอกกันได้ อธิบายกันได้ พูดกันได้ อย่างอาตมา อวดกับพวกคุณนี่ พวกคุณ ก็ฟังได้ ไม่หมั่นไส้อะไร แล้วอาตมา ก็ไม่ได้ไปอวด อย่างประเภทที่เรียกว่า น่าเกลียด อะไรหรอกนะ อาตมาก็อวด พอสมควร มีมารยาท อยู่พอสมควร อยู่หรอกเนาะ เพราะฉะนั้น เอหิปัสสิโก ก็คืออย่างนี้ โอปนะยิโกนี่ สำคัญยังเหลือ ตัวเดียวนะ ปัจจัตตัง อาตมาอธิบายไปแล้วนะ ตัวที่ ๕ คือความรู้ มันรู้สิ่งที่เราบรรลุ ส่วนสันทิฏฐิโกนั้น คุณต้องเอาตัวเอง เข้ามาบรรลุ ส่วนปัจจัตตัง นั้น ตัวเองรู้สิ่งที่บรรลุ เป็นสิ่งลึกทั้งมรรคทั้งผลของตนเอง เป็นความรู้ อันหนึ่งนั้น ตัวตนบุคคล เอาเข้ามา ส่วนปัจจัตตังนั้น คือ รู้ได้ด้วยตนเอง คนอื่นรู้แทนไม่ได้ ปัจจัตตังนี้ คนอื่นรู้แทนไม่ได้ ต้องตนเองรู้ได้เอง นี่เป็นการ ยืนยันสัจธรรมของ พระพุทธเจ้า ส่วนโอปนยิโก นี่สิสำคัญ เป็นสิ่งสูงเป็นดอกฟ้า ธรรมะของ พระพุทธเจ้า ท่านยืนยันว่า ของท่านเป็นดอกฟ้า เป็นสิ่งสูง แต่เป็นสิ่งสูงที่ควรเอื้อม เป็นสิ่งสูง ที่ไม่ใช่ของต้องห้าม เป็นสิ่งสูง ที่สาธารณะ คนทุกคน พึงควรเอื้อม ต่างกับ เทวนิยม เทวนิยมสิ่งสูงเป็นของต้องห้ามแตะต้อง และไม่มีใคร มีสิทธิ์จะเป็นได้ นี่คือ คำประกาศ ศาสนา ของพระพุทธเจ้า

ฟังให้ดีนะที่อาตมาพูดนี่ไม่ใช่มาก่อความแตกแยกนะ ว่าเราแตกแยก กับศาสนาเทวนิยมอะไรไม่ใช่ นี่พูดสัจธรรมให้รู้ว่า เทวนิยม กับ อเทวนิยม ต่างกันอย่างไร พระพุทธเจ้าเกิดมา หัวเดียวกระเทียมลีบนะ ยุคนั้นน่ะ นอกนั้นเขาเป็นเทวนิยม หมดเลย ท่านเอง ท่านเป็นอเทวนิยม ท่านต้องระมัดระวัง มากเลย ต้องกล่าวต้องพูด ต้องอะไรต่ออะไร อย่าให้เขามารุมตึ๊บ เอาจริงๆนะ ไม่งั้นโดนรุมตึ๊บ ขนาดนั้น ก็ยังลำบากลำบน พระโมคคลาเอง ก็โดนฝ่ายตรงข้าม นั่นแหละ ฆ่าจนตาย ฆ่าแล้ว ฆ่าอีก จนตาย อย่างนี้เป็นต้น และคนอื่นๆ โดนฆ่าไปเยอะ ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า โดนฆ่าไปเยอะ ถ้าใครพยายามศึกษาได้ ศาสนาคริสต์ ลูกศิษย์พระเยซู ก็ถูกฆ่าเยอะ ฉันเดียวกันน่ะ พอศาสนาที่จะขึ้นมาใหม่นี่ กว่าจะรุ่งเรืองได้นี่ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านประกาศ ของท่าน เอาไว้ตรงนี้ โอปนยิโก เป็นสิ่งสูงจริง สูง ใครได้แล้วได้บรรลุแล้ว ก็จะรู้ว่า สูงจริงๆ ซึ่งน่าได้น่าเอื้อม เป็นดอกฟ้าที่หมาวัดต้องเอื้อม ควรเอื้อม คนทุกคนควรเอื้อม และเป็นของที่ ไม่มีชั้นวรรณะ ทุกคนเอื้อมได้ ของประชาชน เป็นของคนไม่ใช่ของลึกลับ ไม่ใช่สิ่งต้องห้าม อันนี่สำคัญ โอปนยิโก ตัวหนึ่งเป็นตัวที่ประกาศ ยืนยันให้รู้ว่า ธรรมะของท่าน ไม่ใช่เทวนิยมนะ ไม่ใช่อย่างที่เทวนิยมนับถือกัน แล้วก็ประกาศกันไว้ อธิบายกันไว้ ของท่าน เป็นอย่างนี้ แม้ตัวพระพุทธเจ้าเอง ท่านก็เป็นคน สามัญ ที่พากเพียร ปฏิบัติ จนบรรลุ จนสำเร็จเป็น พระอนุตร สัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ ของประหลาด ไม่ใช่เป็น พระบุตรไม่ใช่เป็นส่วนใด ส่วนหนึ่ง ของพระพรหม เอาปากพระพรหม มาเสก ให้เกิดเป็นพระบุตร เอาเท้าพระพรหม มาเสกให้เกิดเป็นพระบุตร เอาแขนพระพรหมมาเสกให้เกิดเป็นพระบุตร ไม่ใช่ ไม่ใช่ส่วนใด ส่วนหนึ่ง ไม่ใช่อวตาลของพระเจ้า พระพุทธเจ้าคือคน ซึ่งเกิดได้ด้วยกรรม พระพุทธเจ้า ก็บรรลุธรรมได้ด้วยกรรม ท่านก็สั่งสมกรรม ของท่าน สั่งสม พากเพียรใส่กรรม เป็นกรรมเป็นวิบาก เป็นโลกุตรวิบาก เป็นสัมภารวิบาก จนกระทั่ง ได้บรรลุเป็น พระพุทธเจ้า จะบรรลุแค่อรหันต์ก็เอา บรรลุได้แค่อรหันต์ ก็ยังได้ยังดี ก็เอาอย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นธรรมะของ พระพุทธเจ้า ที่ไม่เหมือน เป็นศาสนา ที่วิทยาศาสตร์ อย่างแท้จริง ท้าให้พิสูจน์ได้ยืนยันได้ ดังกล่าวนี้ นี่เป็นคำตรัส พระพุทธเจ้า ที่ยืนยันไว้แล้ว ก็ขยายความให้ฟัง อย่างพอสมควร

ที่จริงอาตมาเขียนอยู่พวกนี้เขียนๆบรรยายเอาไว้อธิบายอะไรเอาไว้ให้พวกเราได้รู้ในอนาคตไม่เช่นนั้นมันก็จมๆ อยู่ในนั้นแหละ ได้แต่ สวดกันไป สวากขาโต ภควตาธัมโม สันทิฏฐิโก อกาลิโก อะไรไป แต่ก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร หมายความว่าอย่างไร ดีขนาดไหน อะไรๆไม่ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่เป็น ท่องเฉยๆ ใช้ไม่เป็น ถ้าเรารู้ความหมายแล้ว ก็ใช้เป็นพิสูจน์เป็น เราเป็น นักวิทยาศาสตร์ พิสูจน์เลย ตามที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสยืนยันไว้ เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้นี่ ชาวโศกเราได้พยายามปฏิบัติพิสูจน์ หมายความว่า ของเรานี่ค่อยๆ พยายามพัฒนาตนเอง พิสูจน์ตนเอง ให้เป็นโสดา สกิทา อนาคา อะไรขึ้นมา ก็เท่ากับพิสูจน์ ทฤษฎีพระพุทธเจ้า ว่า อกาลิโกยุคนี้ก็บรรลุได้ พิสูจน์แล้ว เราเป็นสันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ทุกวันนี้ คนเป็นทาส อบายมุข เป็นทาสลาภยศสรรเสริญ เป็นทาสอะไร เราก็ออกมายืนยันได้ พิสูจน์ได้ ท้าทายให้มาดูได้ว่า เราไม่เป็น ทาสสิ่งเหล่านั้น มันเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ พิสูจน์ได้ อย่างนี้เป็นต้น เราก็เอาวิทยาศาสตร์ แสดงวิทยาศาสตร์ ทางศาสนา พิสูจน์ มนุษย์ชาติ ให้แก่สังคมโลกเขา เพราะฉะนั้น อาตมาเอง อาตมาไม่โกรธหรอก ถ้าแต่ละคนที่มาปฏิบัติ ในชาวอโศก จริง มาหลอกอาตมา ไม่ได้บรรลุจริงหรอก มาทำทีเป็นมักน้อย สันโดษ แหมไม่เอา ทำงานฟรี พยายามมาถอดรองเท้า กินข้าว มื้อเดียว ไม่กินเนื้อสัตว์ อดเอาทนเอา เอาเถอะ เรามาหลอกอาตมา ก็หลอกไป หลอกให้ถาวรนะ หลอกไป จนกระทั่ง แก่ตาย นี่ให้ได้ แต่ถ้าหลอกจริงๆ มันกิเลสมันจริงนะ มันอดไม่ได้ ทนไม่ได้ สักวันหนึ่งก็ไป แต่มาเถอะ อาตมาเอง อาตมา เชิญชวน แม้จะมาหลอกอาตมา ทำทีเป็นมา พรีเทนเดอร์ เสแสร้ง ทำเป็น ฉันเป็นอย่างนี้แหละนะ ว่าจะให้เหมือนเลยนะ ให้เหมือน ชาวอโศกเลย แล้วอยู่คลุกคลี กับชาวอโศกไปหน่อย อาตมาว่า โดนโอสถทิพย์ ของชาวอโศก ยัดเข้าในขุมขน คนมาปลอม เขาจะได้ยาโอสถทิพย์ ของชาวชุมชนเองนี่ เข้าไปในขุมขน โดยที่คุณกั้นไม่ได้หรอก ไม่อยู่ มันจะซึมเข้าไป ซึมซับเข้าไป ภาษาฝรั่งเขาว่า ออสโมซิส มันจะซึมเข้าไปจริงๆ แม้ที่สุดแล้ว คุณสู้ไม่ได้ คุณออกไป คุณก็ได้รับรู้ว่า คืออะไร จริง หลายคน ที่มาจับผิดชาวอโศก มาแล้ว เสร็จแล้ว สุดท้าย เสร็จอโศก ไปไม่รอด ต้องอยู่ในนี้ หรือแม้ไม่อยู่ในนี้ ออกไป อย่านึกว่า ชาวอโศก ไม่มีสันติบาล ไม่มีหน่วยข่าวกรอง ถามตำรวจนี่ก็ได้ หรือตำรวจเก่าๆได้ อย่านึกนะ แม้ในส่วนของทหาร ในส่วน ของราชการ ป้องกันราชอาณาจักร หรือผู้รักษาความสงบอะไรก็แล้วแต่ เขามีหน่วยงาน พวกนี้เข้ามา ปลอมเข้ามาในนี้ หลายผู้ หลายคน กลับออกไปทุกคนน่ะ ที่กลับออกไปแล้ว เขาไม่เป็นชาวอโศก แต่จบเป็นชาวอโศกไป ก็หลายคน ไม่เป็น ชาวอโศกอยู่ เขายังไม่เป็นชาวอโศกนะ เขาก็กลับออกไป ไม่กล้าว่าไงหรอก เพราะว่า เราไม่ได้ปิดบัง ไส้เรามีกี่ขด เรายินดี จะให้ดูไส้ เพราะเราถือว่า ไส้เราทำดีท็อกซ์ทุกวัน ไส้เราสะอาด เอ้าวิธีเสนอ วิธีบรรยายใช่ไหม คุณเข้าใจง่าย ใช่ไหม เข้าใจง่าย อาตมา พูดอย่างนี้ คุณเข้าใจง่าย คือเราเอง เราไม่ลึกลับ เราทำอะไรก็ยินดีที่จะให้ท่านเรียนรู้ แม้แต่สิ่งจะลึก ขนาดไหน อยากให้คุณรู้ สิ่งลึกจริงๆ ให้ได้ด้วยซ้ำ เรามีอะไรที่ลึกๆ ของชาวอโศก ที่ลึกๆได้นะ เชิญเลย คุณจะค้นเจอ ความลึกๆ มันจะอยู่ลับตรงไหน ลึกตรงไหน แล้วคุณเข้าไปดูเลย ยินดีจะให้ดู เพราะมันเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ แม้ที่สุด มันเป็นสิ่งที่ ตรงกันข้ามกับ ชาวโลก เขาก็ตาม เป็นคนที่ไม่หลงโลก ถูกลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข ครอบงำ ไม่ได้เป็น ทาสโลกเขา อย่างนั้นก็ตาม มันอาจจะตรงกันข้ามกันก็ตาม แต่เราก็ยินดีที่จะให้ดูให้รู้ เพราะมันไม่ใช่ สิ่งน่าอาย เป็นสิ่งที่ ถ้าว่าอวดอ้างได้ ก็น่าอวดอ้างด้วยซ้ำ

แต่ว่าพระพุทธเจ้า ไม่ได้สอน ให้เราเป็นนักอวดอ้าง ไปได้ข่มเบ่งอะไรไหม ท่านไม่ได้ สอนอย่างนี้ เราก็ไม่ทำ เพราะจริงๆ แล้ว มันน่าให้ดูน่ะ เพราะฉะนั้น จึงเป็นสิ่งที่ท้าทาย ให้พิสูจน์ เป็นวิทยาศาสตร์อย่างนี้ ถามมาอีกเดี๋ยวไม่ถึง อุตส่าคำถามมา เสียอย่างงาม ยังไม่ถึงเลย จะหมดเวลา

พระนิพพานและพระอมตะมหานิพพาน ต่างกันไหม ไม่ต่างกันหรอก ก็คุณเติมคำว่า อมตะมหาใส่เข้าไป ที่หัวนิพพาน เท่านั้นแหละ พระนิพพาน และ พระอมตะ มหานิพพาน ต่างกันไหม ไม่ต่างกันหรอก นิพพานก็คือนิพพาน ยังไม่ทรงเครื่อง อมตะมหานิพพาน ก็ใส่หมวก ใส่เครื่อง ใส่แหวน ใส่เพชรอะไรหน่อย เท่านั้นเอง อลังการ์ ทรงเครื่องนิดหน่อย ถ้าเราปรารถนา ให้ถึงพระอมตะมหานิพพานจะผิดหรือเปล่า จะไปผิดยังไง จะไปคิดยังไง จึงจะผิดรีบได้ ได้เอาไปนิพพานน่ะนะ เราพูดยกยอ ด้วยภาษา ใส่ภาษา อภิบรม มหาอะไรก็แล้วแต่ ว่ายิ่งใหญ่ ว่ายอดว่าเยี่ยม อะไรก็ตามใจ เป็นคำอลังการ์ ประกอบเข้าไป ยกย่องแม้แต่คำว่า พระแปลว่า ประเสริฐ ก็ยกย่อง ใส่นำเข้าไป โดยความหมาย ภาษาไทยเรานี่ มันเหมือนยกย่อง บอกนิพพาน เฉยๆ ไม่ใส่คำว่าพระ ก็ไม่ยกย่อง เท่าไหร่ พระนิพพาน เอ้อเขื่องขึ้น พระมหานิพพาน เอ๊อเขื่องขึ้น ใหญ่อีก พระอมตะ มหานิพพาน คุณใส่เข้าไปอีกสิ พระอภิบรมอมตมหานิพพานโอ้โฮ ทีนี้มีทั้งอภิ มีทั้งบรมอมตะมหานิพพาน แปลว่ายิ่ง แปลว่า ใหญ่ ทั้งนั้นเลย ใส่เพชรใส่พลอยอะไรหรูหราไปหมดเลย นเอ แท้ก็อยู่ที่ตรงคำว่านิพพาน เพราะฉะนั้น จะอลังการณ์ ใส่ยกย่อง เชิดชู ด้วยภาษา ด้วยการอะไรหริว่าจริงๆ มันเป็นนิพพานที่มีคุณภาพมาก จริงๆแล้ว นิพพาน มีคุณภาพมาก อย่างเดียวเป็นเอก คือกิเลสดับสนิท ไม่เกิดอีกเลย ในบุคคลใดๆ ก็แล้วแต่ บุคคลสามัญ ที่ได้นิพพาน ถึงเป็น พระอนุตร สัมมาสัมพุทธเจ้า มีนิพพานตัวเดียวกัน คือ กิเลสดับสนิท เหมือนกันหมด เหมือนกันตรงกัน เท่ากัน กิเลสดับสนิท ของเราหมด ไม่เหลือไม่ฟื้นอีก เป็นเสร็จ กตญาณ มีญาณตรวจสอบแล้วว่าจบ ไม่ต้องศึกษาอีก อเสขะ ไม่ต้องศึกษาอีก อเสขะ เป็นกิจจบ นิจจัง ธุวัง สัสสตัง อวิปรินามธัมมันติ อสังหิรัง อสังกุปปัง จบไม่กำเริบ ไม่มีอะไรหักล้างได้ ไม่แปรเปลี่ยน มั่นคงยั่งยืนถาวร

จบ