อรหันต์ไม่ใช่สำคัญที่พระธาตุ
โดย สมณะโพธิรักษ์
วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๓๐
ณ พุทธสถานสันติอโศก

เข้ามาหาเรื่องปัจจุบันธรรมขณะนี้ งานศพหลวงปู่แหวนผ่านไป ก็ยังมีข่าวมีคราวอยู่ เรื่องนี้อาตมามีเจตนาพูดนะ เจตนาที่จะเอามาบรรยาย มาอะไรต่ออะไร เพราะว่าเหตุว่า มันเป็นเรื่องของธรรมะ เป็นเรื่องของศาสนา ที่เราทำงานนี้โดยตรง เป็นหน้าที่ของเราอยู่แท้ๆ เราก็จะต้องดูว่า มันมีอะไรเกิดขึ้น และอาตมาคิดว่า อาตมาพอที่จะพูดได้ พอที่จะวิเคราะห์วิจัย หรือว่าพยายามที่จะกระทำความเข้าใจกัน ให้ถูกต้อง แต่ก็ไม่ทำอะไรให้หวือหวาจนเกินไป ให้ไปเทศน์ข้างนอก อาตมาก็ไม่ไปวิจารณ์อะไรมากมายหรอก เพราะว่าเรารู้อยู่ว่า กาลเทศะตัวเราก็เท่านี้ แต่ในพวกเรานี่พยายามทำ อาตมาพยายามทำความเข้าใจให้แม่นชัด วิเคราะห์วิจัยอะไรลงไปลึกลงไปมาก เพราะฉะนั้น อะไรมันมีมาก มันก็ออกมาก เพราะส่วนเสียมันมีมากกว่าส่วนดี ก็ยังทำ เพราะฉะนั้น ในพวกเราจะรู้ส่วนนั้นมากหน่อย แต่ข้างนอกเรา อาตมาบอกแล้ว อาตมาไม่ทำ จะไปวิเคราะห์ส่วนเสียมากกว่าส่วนดีให้เขานั้น อาตมายังไม่ทำข้างนอก เพราะว่าผลกระทบ มันจะแรงมันจะมาก และเราเสียผล ไม่ใช่กลัวนะ ไม่กลัวหรอก แต่มันไม่ถูกกาละ มันไม่สมกาละ

อาตมารู้อยู่ว่า อาตมาไม่ยิ่งไม่ใหญ่อะไร เขายังไม่ยอมรับอะไรมากมาย เขาเองไม่เกรงใจอะไรถึงขนาด มันเป็นแต่เพียงนิดๆหน่อยๆ เท่านั้นเอง เขาก็เริ่มเกรงใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็เท่านั้นๆ แหละ ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรนักหนา ก็ทำไปตามฐานะของเรา ที่เราประมาณตนตัวเราอยู่ว่า เราได้เท่านี้ ยังมีบทบาท ในมติชนนี่ก็ขึ้นเลย ยังเล่นหัวตัวรองนะ ไม่ใช่ตัวแท้ ไม่ใช่ใหญ่ตัวเบิ้มทีเดียวหรอก ก็ไม่มีแล้วละตัวเบิ้มทีเดียว ลดแล้ว ตัวใหญ่จริงๆ ตัวโป้งไม่มีแล้ว มีแต่ตัวรองของมติชนนี่ยังเล่น ถวายเพชรแท้ค่านับล้าน ใส่ยอดมณฑปอัฏฐิปู่แหวน เนื้อความก็มีว่า แย่งอัฏฐิหลวงปู่แหวนโกลาหล อย่างที่อาตมาว่าแล้วนะ ทั้งพระทั้งคนไม่ยอมถอย ทหารคุมไม่อยู่ มูลนิธิขอเวลา ๑ สัปดาห์ รวบรวมเงินบริจาค เอาเถ้าถ่านดอกไม้จันทน์ทำพระผง (นั่นหาทางหากินต่อไปอีก ) เก็บเครื่องอัฐบริขาร จัดนิทรรศการทั่วประเทศ เป็นเรื่องของวิธีการ PROPAGANDA วิธีการโปรโมท เพื่อที่จะหาผลประโยชน์ทั้งสิ้น และก็อ้างว่า จะเอาเงินนี้ไปทำจ่ายคืน หรือจะไปทำสาธารณประโยชน์ต่อประชาชน เขามีส่วนจริงนะ เขามีส่วนจริง ที่ไปทำสาธารณประโยชน์ ต่อสาธารณประโยชน์ ต่อประชาชน แต่ส่วนที่เราไม่รู้นั้น เราก็ไม่รู้ว่า ส่วนที่มัน.. กรรมการครึ่งหนึ่งวัดครึ่งหนึ่ง ยังไงหรือไม่ เท่านั้น หรือว่ากรรมการไม่เอาถึงครึ่งหรอก ให้วัดเสียกว่าครึ่งก็ได้ เราก็ไม่รู้นะ ความไม่จริงเหล่านั้น เราไม่รู้ เราไม่เข้าใจ เราไม่เห็น เราไม่ได้ซอกแซกรู้ แต่เรื่องสาธารณประโยชน์ ที่เขาทำอยู่นั่น มันได้จริง เพราะมันได้มาก มันได้เยอะ และเขาก็ทำออกมา อันนี้ก็จริงของเขา อาตมาจะอ่านแต่ช่วงที่ มันมีโกลาหลอะไรนี่ อาตมาว่ามันจะเกิดผล นอกนั้น เขาก็ทำไปตามเรื่องของเขาแหละ อะไรต่ออะไรต่างๆ นานา

เผาจริงโกลาหลกลางดึก พระลูกศิษย์ ไม่ยอมลงจากเมรุ ผู้สื่อข่าวรายงานจากวัดดอยแม่ปั๋งว่า ตั้งแต่เริ่มพิธีสุมเพลิง (เผาจริง) หลวงปู่แหวนสุจิณโณ ในเวลา ๒๒ นาฬิกา ของวันที่ ๑๗ มกราคม ปรากฏว่ามีบรรดาพระลูกวัด เกือบ ๓๐ รูป ที่เคยใกล้ชิดหลวงปู่แหวน นี่คนในแท้ๆ นะนี่ คนนี่ เขากันออก ออกจริงๆ เลย แข็งแรงเลย ถ้าขืนทั้งล้านไปโกลาหล ก็คงเจ้งนะ มันจะเป็นคลื่น อย่างนั้น มันจะไปคั่นอะไรอยู่ ถ้าเป็นล้าน นี่เขาจัดสรรแล้ว เขาพยายามแล้ว นี่พระลูกวัด ๓๐ รูป ที่เคยใกล้ชิดหลวงปู่แหวนมาก่อน ไม่ยอมลงจากเมรุ แม้เจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวัง จะพยายามชี้แจง ขอร้องให้ลงข้างล่างก็ไม่ยอม พระสงฆ์บางรูปถึงกับร่ำไห้ ขอนั่งใกล้โกฏิที่กำลังสุมเพลิง ศรัทธาหนัก

ต่อมาเวลา ๒๓ นาฬิกาเศษ เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ได้ยุติการสุมเพลิง และ โกฏิเปล่าออกไป เหลือเพียงอังคารของหลวงปู่แหวน ที่กำลังลุกไหม้อยู่บนจิตกาธาน เจ้าหน้าที่ได้แจ้งกับพระสงฆ์ลูกศิษย์ว่า เสร็จพิธีแล้ว และขอให้ลงจากเมรุ แต่พระสงฆ์ดังกล่าวไม่ยอม ใช้เวลาโต้เถียงเวลา ๑ ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ต้องยอมให้พระดังกล่าว สวดมนต์อยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อเจ้าหน้าที่ตัดสินใจเดินลงมาพร้อมๆ กัน พระจึงยอมลง ออ ต้องเล่นวิธีการลงมาก่อน เพราะพระก็ไม่ไว้ใจฆราวาส ฆราวาสก็ไม่ไว้ใจพระ ต้องลงมาด้วยกันซิ ฆราวาสลงมาก่อน และก็พระก็ต้องมีหิริโอตตัปปะ ฆราวาสเขาขอให้ลง และเขาก็ลงแล้ว เราจะไปอยู่ยังไง จึงถึงยอมลง

ข่าวแจ้งว่า ที่ไม่มีผู้ยอมลงจากเมรุ เพราะเกรงว่าจะมีผู้นำอัฐิหลวงปู่แหวนไป ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่และพระเดินลงมา มีพระสงฆ์บางรูป เก็บเถ้าถ่านที่ตกอยู่ ไปไว้บูชาส่วนตัว ตลอดระยะเวลาตั้งแต่พิธีสุมเพลิง จนเสร็จสิ้น กระทั่งวันรุ่งขึ้น มีทหารจากกองพันทหารราบที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๗ จังหวัดเชียงใหม่ ๑ กองร้อย พร้อมอาวุธครบมือ โอ้โฮ! เล่นอาวุธครบมือเลยนะ เฝ้าเรียงราย พร้อมรั้วลวดหนาม ทั้งตอนบนและล่างของเมรุ โอย! ไปกักขังกันตอนตายนี่เอง เอารั้วลวดหนามไปทำเป็นกรงขังหลวงปู่แหวน ไว้ตอนตายนี่เองนะ มันเป็นรูปอย่างนั้น เรามองกลับกัน ที่จริงเขาป้องกันคนจะเข้าไปเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่แท้จริงมันเหมือนกับการขัง มองกลับกันเสีย นอกนั้นก็เป็นพิธีการ ตามพิธีเขานั่นแหละ เก็บอัฐิ ทำสามห่าม ทำโน่นทำนี่ ทำอะไรต่ออะไรไปตามเรื่อง อาตมาไม่อ่านละนะ มาอ่านตอนนี้ แย่งกันคุ้ยหาอังคาร พระสงฆ์ถือเทียนมุดใต้เมรุ มันอยู่ดีๆ ถ่ายวีดีโอไว้ ก็น่าดูเหมือนกันนะ ถ่ายลักษณะพวกนี้ ตอนนี้เกิดเหตุการณ์พวกนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่มีการเก็บอัฐิดังกล่าว มีนายแพทย์คนหนึ่ง จากมหาวิทยาลัยมหิดล เข้ามาแจ้งกับเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังว่า จะขอรับเหล็ก นี่นายแพทย์นี่ก็เหนือชั้นเหมือนกันนะ จะขอรับเหล็ก ที่ผ่าตัดใส่ต้นขาหลวงปู่แหวน ซึ่งมีการตกลงกันไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะคืนให้

นายแพทย์ดังกล่าวเผยว่า จะนำเหล็กดามกระดูกนี้ ไปเก็บในพิพิธภัณฑ์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเหล็กดามกระดูกชิ้นดังกล่าว มีลักษณะแปลกมาก ตนไม่เคยพบมาก่อน นั่น มันชักจะปาฏิหาริย์ขึ้นมาแล้ว เพราะตอนบนของเหล็กมีลักษณะกลม ยังคงมันวาวผิดปกติ ก็เขาว่าเป็นเรื่องพิสดารเข้าไป มันก็มันอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นเหล็กชุบ และพอเผาออกมา มันก็วาวอยู่ บอกว่าผิดปกติ เพราะที่จริงอาจเป็นได้ เพราะว่าถูกเผา ใช่ไหม มีไฟเผามันก็กลับมันวาว แต่จะมันขนาดไหน อาตมาก็ไม่รู้ เขาก็ว่ากันอย่างนั้น เพราะว่าตาคนมันวาว มันก็อาจจะเห็น มันไม่มันเท่าไร มันก็วาวได้คนเรา แต่เราดูมันอาจจะเห็น มันไม่วาว ไม่ อะไรมันธรรมดาเหล็ก เหล็กมันเหล็กชุบนะ มันก็ต้องมีอย่างนั้นบ้างแหละ จะไปยังไง

หลังจากพิธีเก็บอังคารเสร็จสิ้นลง ประชาชนที่อยู่โดยรอบ ได้เล็ดลอดผ่านรั้วลวดหนาม ไปยืนออแน่น และกรูเข้าไป นำผ้าเช็ดหน้า ไปซับจุดที่เคยวางผ้าที่เรียงอังคาร คือเขาเผาเสร็จแล้ว เขาก็เก็บอัฐิ และเขาก็เอามาวางเรียง เหมือนเป็นรูปทั้งหมด หัวกะโหลกเอาไว้ แขน ขา ท่อนอะไรก็วางเรียง และเขาก็เอาน้ำอบ น้ำมนต์อะไรพรม พรมๆๆ เสร็จแล้วเขาก็เก็บใส่โกฏิ ใส่อะไรต่ออะไรไป เสร็จแล้ว พื้นที่เหล่านั้น มันก็มีหยดน้ำมนต์ น้ำอะไรต่ออะไรพวกนี้อยู่ พวกนี้ก็เอาบ้างแฮะ พวกนี้ก็เอานำผ้าเช็ดหน้าไปซับ จุดที่เคยวางผ้าที่เรียงอังคาร ซับ ซับผ้าที่เคยเรียงอังคาร และพรมเครื่องหอมแล้วนั้น ซับเอาเศษเครื่องหอม น้ำหอมที่ติดอยู่บนพื้น เพื่อนำไปบูชา นอกจากนั้น ยังค้นหาเศษอิฐ เถ้าถ่านทุกชนิด กันโกลาหล จนไม่สามารถควบคุมได้ นี่ก็คงจะหมดนะ ดินดอนอะไรเหล่านั้น ในหนังสือแนวหน้า อาตมาดูเพิ่มเติม นี่เขาก็อีกอันหนึ่ง ทางด้านมูลนิธิ เขาก็พูดกันไป เพื่อที่จะทำทางหาเงินอีกต่อไปนี่แหละ จะนำดอกเถ้า ดอกไม้จันทน์ทำผง เป็นแรงใจมหาศาลอะไรนี่ อะไรต่ออะไร เขาก็ว่าของเขาไป และเขาก็ยังมีเรื่องของผู้ที่มาบริจาคเพชร อะไรต่ออะไรมาให้ เอารวมใส่ไว้เจดีย์ เป็นเพชร เป็นของมีค่าทางโลกอะไร มีคนเสียสละ ก็เป็นเรื่องสนับสนุน นี่ก็บอกอันนี้อยู่เหมือนกัน เผยเถ้าถ่านหลวงปู่แหวน มีลักษณะเป็นพระธาตุ นายประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร กรรมการจัดงานผู้หนึ่งเผยว่า อัฐิของหลวงปู่แหวน มีทั้งหมด ๓ ลักษณะ คือ ๑. ป่นละเอียดสีขาวเทา ๒. เป็นชิ้นๆ เป็นมันเลื่อม ๓. เป็นเม็ด ขนาดเม็ดมะขามใส และเป็นมันเลื่อม ซึ่งมีลักษณะคล้ายพระธาตุ ทั้งหมดนี้ ได้มีการจัดแยกออกเป็น ๒ ส่วน โดยนำเข้าสู่ในมณฑป ๑ ส่วน อีกส่วนหนึ่ง นำขึ้นทูลเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นี่เป็นเป็นคำอธิบาย นอกนั้นเรื่องล้วงกระเป๋า เรื่องอะไรต่ออะไร เขาก็บอกมา อาตมาไม่อ่านนะ

ทีนี้ก็รายละเอียดของอีกอันหนึ่ง ของทางหนังสือพิมพ์แนวหน้า เขาบอกไว้ เสริมตรงจุดที่ อาตมาจะเอานำมาขยาย ก็คือ จนเวลา ๐๗.๐๐ น. พระอาจารย์ของ เจ้าหน้าที่กรมการศาสนานั้น เอาละ ไม่อ่านต่อ อันนี้

พิธีเก็บอัฐินี้ เจ้าหน้าที่จัดให้มีขึ้นก่อนกำหนดเดิม ซึ่งตลอดเวลา ๘ นาฬิกา ทั้งนี้เกรงว่าประชาชน ซึ่งจะออ รอคอยอยู่จำนวนมาก จะฮือเข้ามามุงแย่งอัฐิ จนอาจจะเกิดความวุ่นวายขึ้นได้ ภายหลังพิธีเก็บอัฐิ ประชาชนจำนวนมาก ได้ออกันขึ้นไปบริเวณ เมรุพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่แหวน เพื่อเก็บทรายรอบฐาน หมดนะ ทั้งทราย ทั้งอิฐ ทั้งหิน ทั้งดิน ของอะไรแถวนั้น และเหรียญรอบฐาน และเหรียญหลวงปู่แหวน ที่วางอยู่รายรอบ เพื่อเก็บไปบูชา แม้กระทั่งเศษไม้ กาบกล้วย ก็แย่งกันเก็บหมด ไม่เหลือหรออะไรอยู่แถวๆนั้น ใครได้อะไร ก็เอาอันหนึ่งไป

มันก็น่าชื่นใจนะ มองในแง่ที่น่าชื่นใจ ก็น่าชื่นใจนะ ดังที่อาตมาว่าแล้วว่า การที่มีคนไปเลื่อมใสศรัทธา สิ่งแทนพระศาสนา เราถือว่าหลวงปู่แหวน เป็นสิ่งแทนพระศาสนา โดยเฉพาะก็ชื่อกันว่าพุทธ นี่เรามองกันง่ายๆนะ มองกันว่าสำคัญๆ มันก็น่าชื่นใจว่าเออ ดีนะพวกเรานี่ แม้จะงมงายบ้าง แม้ว่าจะอะไรต่ออะไรบ้างก็ตามแต่ มันก็เป็นสภาวะจิตวิญญาณอันหนึ่ง ศรัทธา เลื่อมใส บูชา มันก็ดีอยู่ในแง่นับถือบูชา ในการเลื่อมใส นี่ก็เป็นปฏิกิริยาของสังคม หรือเป็นสิ่งเกิดขึ้นจริงเป็นจริง ในบทบาทที่มันมีอยู่ในสังคม โดยเฉพาะชาวพุทธในเมืองไทยเรา นี่ก็น่าอบอุ่น

เพราะฉะนั้น เราก็มาดำเนินสานต่อเถิด เมื่อเขาต้องการพุทธ เราก็พยายามที่จะสร้างพุทธทำพุทธ หรือเสนอสิ่งที่เป็นพุทธให้จริง เสนอสิ่งหรือเอาสิ่งที่เป็นพุทธ ออกมาเผยแพร่ เอามาแจกจ่าย ให้ที่เขาศรัทธาเลื่อมใสให้จริง ทั้งในการปรับทิฐิ ทั้งในการที่ตัวเราเอง ก็เป็นพุทธที่จริง และก็มีอริยสมบัติ มีพุทธสมบัติที่แท้ๆ เพื่อจะให้เขา ที่เขาต้องการ เขาศรัทธาเลื่อมใส มันโหยหา มันอยากได้ มันรุนแรงนะ มันศรัทธา มันต้องการ นี้เป็นความปรารถนาจริงของจิตเขา มันดีนะ มันดีแล้วล่ะ ทีนี้ส่วนดีอันนี้ เราก็ต้องขอบคุณกิจกรรมอันนี้ ขอบคุณสิ่งที่เกิดอันนี้ ในส่วนที่ขอบคุณ เพราะว่าเขาทำ มันก็ต้องทำล่ะ เขาทำได้ขนาดนี้ ก็เป็นภูมิของเขา มันก็มีส่วนดีอยู่บ้าง จะน้อยจะมากอะไร เราไว้วิเคราะห์ไปจริงๆ มันก็มีส่วนดีอยู่ จะน้อยก็ตาม ถ้าจะวิเคราะห์เห็นว่า ส่วนดีมันน้อย ส่วนเสียมันมากก็ตาม เราก็ขอบคุณในส่วนดี มองในส่วนดี เห็นได้ในส่วนดี ขอบคุณอันนั้นจริงๆ ส่วนเสียนั้น มันก็เป็นล่ะ เขาไม่รู้ละ ที่จริงเขาทำโดยไม่รู้ เมื่อไม่รู้มันเสีย ก็ค่อยมาแก้ไข ทำยังไงได้ล่ะ เราไปบังคับไม่ได้ เราไปห้ามกันก็ไม่ได้ จะไปเปลี่ยนแปลงให้มันถูกต้อง ให้มันดีงามอะไร มันไม่มีสิทธิ์ ที่จะทำได้ทั้งนั้นนะ มันทำไม่ได้จริงๆ มันสุดทาง มันจะต้องเกิดอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นอยู่เท่านั้น ได้เท่านั้น หรือได้เท่านี้ มันได้เท่านี้ มันก็ดีแล้วล่ะ อาตมาก็ยังว่า เออ มันก็ยังดี คนเรากล้าลงทุน กล้าเสียสละ ทำอะไรต่ออะไรกันไปถึงปานฉะนี้ เขาก็ลงทุนลงแรง ลงวัตถุอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา ไปไม่ใช่น้อย ได้อะไรต่ออะไรขึ้นมาบ้าง

ทีนี้อาตมาก็ขอเสริมอีกหน่อยว่า เรื่องกระดูกนี่นะ เรื่องพระธาตุอะไรพวกนี้นี่ อาตมาเคยพูดเคยอธิบายน่ะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เน้นว่า เราจะรู้จักผู้นี้เป็นพระอริยะ เป็นพระอรหันต์นั้น จะต้องให้มันเน้นกันที่ ต้องดูตรงกระดูกนี่นา เป็นพระธาตุนี่แหละ เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอริยเจ้าแท้ๆ ต้องให้ดูตรงนี้ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เน้น แต่โดยสัจจะมันก็มี ความจริงมันก็มี การมีกระดูกเป็นพระธาตุนั้น ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นเครื่องยืนยันว่า เป็นพระอริยะไปทั้งหมด ไม่จริง คนไม่ใช่อริยะเลย ก็มีกระดูกเป็น ที่เขาเรียกพระธาตุนี่แหละ โดยความหมายของมันก็ กระดูกมันเกิดผนึกตัว ตกผลึกเป็นอะไรต่ออะไร มันเกาะคุมกันแน่น มันสลายอะไรหลายๆ อย่าง ที่มันสลายสิ่งที่มันควรสลายออก เหมือนอย่างท่านก็สลายออก จนกระทั่งเป็นเพชร อย่างนี้เป็นต้น มันก็สลายสิ่งที่ควรสลายออก และมันก็มีพลังงานอะไรต่างๆ นานา อาตมาก็อธิบายไม่เก่งเท่าไร เรื่องวิทยาศาสตร์ การสังเคราะห์ การรวมตัว การปรับตัวของมันนี่ มันก็จะเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ

ในเมื่อผู้ที่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่เรียกว่า เกิดธาตุทางวัตถุธรรม ธรรมดา โดยเฉพาะพวกที่เย็น พวกที่เย็น เพราะฉะนั้น พวกที่ปฏิบัติธรรม ประเภทที่สะกดจิต ทำตนเองเย็น มีธาตุเย็น มีธาตุอะไรต่ออะไรต่างๆ นานาได้เก่ง กระดูกจะจับตัว จะตกผลึกอย่างนั้นได้มาก พวกฤาษีทั้งหลายแหล่นี่ ไปจับมาเผาเถอะ กระดูกเป็นผลึกกันเยอะเลย กระดูกจะเป็นลักษณะพวกนี้เยอะเลย ของพุทธก็เย็น มีธาตุเย็นได้จริงๆ ไม่ใช่ของพุทธ ก็มีธาตุเย็นได้จริงๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะเกิดกระดูกเผา และเป็นลักษณะอย่างนี้นะ เป็นได้ทั้งสอง เป็นได้ทั้งที่ไม่ใช่อริยะและทั้งอริยะ เพราะฉะนั้น จึงเป็นเครื่องตัดสิน ไม่แน่นอน แต่ไม่ได้หมายความว่า ศาสนาพุทธไม่เย็น เป็นเหมือนกัน ไม่เป็นก็ได้ อย่างของพระสารีบุตรนี่ ไม่เป็นผลึกอะไรมากมายหรอก พระธาตุของพระสารีบุตร ยังเป็นโพรงๆ ยังเป็นอะไรต่ออะไรอยู่ เยอะแยะด้วยซ้ำไป เหมือนกระดูกธรรมดาๆๆ นั่นนะ มากกว่าด้วยซ้ำไป เพราะว่ามันไม่เหมือนกัน ท่านเป็นพระทำงาน ท่านเป็นพระปรุง ท่านเป็นพระสังขาร พระสารีบุตรอย่างนี้เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้มันลึกซึ้ง ไม่ใช่เรื่องพูดเอาแต่ปากง่ายๆ และเรายังไม่เข้าใจ เราจะพิสูจน์อะไรแค่นั้นๆ มันไม่พอ มันไม่พอ เรื่องพวกนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไม่มากหรอก ไม่ได้ตรัสไว้ เป็นความรู้ที่ผู้ที่จะรู้ พึงรู้ไปเท่านั้นเอง ไม่ต้องมาสาธยาย อาจารย์ผู้ใดจะสาธยายบ้างก็สาธยาย ที่จริงอาตมาไม่อยากสาธยายหรอก เพราะสาธยายแล้ว ก็ไม่รู้ไปถกไปเถียงอะไรกัน ไม่มีกรรมการตัดสิน พิพากษากันก็ไม่ได้ ใครถูกใครผิดก็ไม่รู้ พวกคุณไม่รู้ คุณรับฟัง และก็เอาไปตีกันไม่เข้าเรื่อง อาตมาก็ไม่อยากจะสาธยาย อะไรหรอก

แต่อยากจะเน้นให้ฟัง ก็บอกให้เข้าใจให้ชัดว่า เรื่องกระดูกเป็นพระธาตุนี้ ไม่ใช่เครื่องตัดสิน เพราะไม่ใช่อริยะ อย่าว่าแต่อรหันต์เลย ก็ยังเป็นกระดูกเป็นอย่างนี้ได้ อาตมาได้ฟังมาว่า อาจารย์ของอะไรไม่รู้ อยู่ไต้หวันนี่ เป็นคนจีน เป็นคนที่เรียนแบบฤาษี นุ่งขาวหนวดยาว เป็นอาจารย์และก็เล็บมือนี่ยาว ไม่ตัดเล็บ เล็บมือก็ยาว เขาก็บำเพ็ญ โอ้โฮ เจโตแข็ง เสร็จแล้วเขาก็ตาย ตายแล้วเขาก็เผากัน เผากระดูกเขาก็เป็นพระธาตุ เขาก็เป็นฤาษีอย่างนั้นแหละ ไม่ใช่พุทธ ตัวเขา เขาก็ว่าไม่เป็นพุทธ เขาก็ทำของเขา อย่างของเขานั่นแหละ ตามลัทธิของเขา เขาก็มีกระดูกเป็นพระธาตุ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเลย อาตมาไม่แปลก ใครจะแปลกก็ตามใจเขาเถอะ เขาเรียนไม่ถึง และไม่รู้เรื่องจริง และก็ไปเอาเรื่องเหล่านี้มา อีกอย่างหนึ่ง ที่มันไม่ควรจะไปเอาเรื่องนี้ มาเป็นเรื่อง เป็นโล้เป็นพายอะไรมาก ประเดี๋ยวก็จะไปคอยจะเชื่อว่า เป็นพระอริยเจ้า จะเชื่อเป็นพระอรหันต์ ต่อเมื่อได้เห็นกระดูก ก็ซวยซิ พระอรหันต์ตายไปแล้ว เราก็เลยไม่ต้องได้อะไร ได้แต่กระดูกพระอรหันต์ ก็ซวยกันแย่ แทนที่จะได้ เอาเข้ามาฟัง เข้ามาศรัทธาเลื่อมใส เข้ามาปฏิบัติตาม อบรมตนไปตั้งแต่ก่อนตาย ท่านได้นำพา ไม่เอาถ่านนี่ โน่นไม่เชื่อ ไปรอเอาจนตายแล้ว เอากระดูกมาแล้ว จึงเชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ ไปกราบเอาตอนตายไปแล้ว มันซวยไหม มันโง่ไหม นี่ตรงนี้สำคัญเหมือนกัน มันซวยนะ มันโง่ตายเลย

พระพุทธเจ้าท่านให้ใช้สังโยชน์ ให้คบคุ้น ให้คบหา ให้สมาคม ไต่ถามศึกษา เราจะรู้กันได้ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาอย่างไร พยายามศึกษาติดตาม พิสูจน์หลักฐานต่างๆ องค์ธรรมต่างๆ พระพุทธเจ้าท่านมีไว้ให้สอบทาน ไว้ให้เอามาใช้ประกอบ ในการที่จะพิจารณาพอรู้ไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะปฏิบัติจริง มีของจริงเป็นจริง เราก็จะยืนหยัดยืนยันของเราเอง มีของจริง เป็นอริยคุณ เป็นอริยธรรม มีสภาวธรรมที่เป็นอริยะเองจริงๆ เราก็จะรู้จะเห็น ด้วยญาณทัศนวิเศษของเรา เราก็มั่นใจของเราเองได้อันนี้ ไม่ใช่ว่าแต่ไปรอๆ จนสุดท้าย เอากระดูกเผาเป็นพระธาตุโน่น ถึงจะมาเป็นพระอรหันต์ แล้วก็ถึงจะศรัทธา ศรัทธาตอนตายไปแล้ว แล้วก็มานั่งกราบนั่งบูชา ดีไม่ดี ก็ไปเก็บอย่างนี้แหละ บูชากันหมด เอามาหมด กาบก้ง กาบกล้วย ดินๆ ทรายๆ อะไร ๆ เรียกว่า เกี่ยวข้องถึง เอามันหมดแหละ และเอาสิ่งเหล่านั้นมาบูชาเฉยๆ เราจะมีอะไรเป็นเครื่องบูชา เป็นเครื่องระลึกถึง ถ้าเป็นวัตถุสิ่งอะไรบ้าง มันก็มีผลบ้าง ในพวกที่ติดยึดในวัตถุ ส่วนผู้ที่ไม่ติดยึดในวัตถุแล้ว มันไม่มีปัญหาอะไรหรอก ไม่มีปัญหาอะไร ก็เราศึกษาคุณธรรม ศึกษาหลักทฤษฎี ที่จริงสิ่งเหล่านั้น จะมีหรือไม่มี มันก็พออย่างนั้นแหละ จริงๆ แล้วพระธาตุพระพุทธเจ้านี่น่ะ เอามาไว้ที่เราแล้ว เขาก็ว่ามีฤทธิ์มีเดช อย่างโน้นอย่างนี้ อาตมาไม่วิเคราะห์ ไม่วิจัยหรอก มีฤทธิ์มีเดชอะไรต่ออะไร แม้ไม่มีพระธาตุที่เป็นกระดูกแท้ เป็นวัตถุธาตุเข้ามาให้เรามีนี่ ทำไมเราเป็นพระอรหันต์ไม่ได้

ถ้าเผื่อว่าเป็นอย่างนั้นได้ พระพุทธเจ้าสอนคน เป็นพระอรหันต์ไม่ได้หรอก เพราะไม่มีใครได้พระธาตุ ตั้งแต่ท่านยังเป็นๆ ยังไม่ได้เผาใช่ไหม และก็เป็นพระอรหันต์กันโครมๆ เยอะแยะ ก็เรียนรู้จากธรรมะ พระพุทธเจ้าเทศนานี่แหละ และก็ปฏิบัติตามนี่แหละ ก็เป็นพระอรหันต์กันโครมๆ แล้วเรื่องอะไร จะต้องไปมุ่งหมายอะไรกันนักกันหนา อาตมาในชีวิตนี้ ไม่เคยไปขวนขวายในเรื่องเหล่านี้ แต่อยู่ๆ อาตมาก็ได้เจอพระธาตุ อาตมาก็ไม่พิสูจน์ ว่าจริงหรือไม่จริง ว่านี้พระธาตุพระพุทธเจ้า เขาให้มา ได้มาองค์เดียว องค์เดียว โด๋เด๋หนึ่งองค์ นอกนั้นก็เป็นอื่น ของพระอริยะอื่น ของพระสาวกอื่น เขาก็บอกมาอย่างนั้น และเขาก็แหม คนนั้นเขามีเยอะเสียด้วย แหม มีบุญเหลือเกิน คนที่เขาให้มาน่ะ ทำไมมีบุญมากนักก็ไม่รู้ มีเยอะ แจกเรา แจกหลายคน ไม่ใช่แจกอาตมาคนเดียว เขาบอกว่า อาตมาก็เอามา อาตมาก็ไม่ว่าไม่เกี่ยง ตอนนั้นก็ยังไม่ได้เป็น นักปฏิบัติธรรมอะไรลึกซึ้ง อะไรนักหนาหรอก แต่อาตมาก็รู้สึกยินดีอยู่เหมือนกันแหละ ยินดีเหอะ ได้ก็เอามา แหม ซื้อไม้ที่เขากลึงเป็นรูปเจดีย์ แล้วมีกลวง กลวงๆ แล้วก็ อาตมาก็ใส่ ใส่สลักไม้ สลักไม้และก็มีสำลีใส่ และก็เอาใส่ไว้ในนั่น และจะใส่เจดีย์นี้ ตั้งบนหิ้งพระก็มี

จนอาตมาปฏิบัติธรรม จนเรียบร้อย จนสบาย และอาตมาก็ทิ้งอะไรหมด หมด หมด ก็ยังนึกอยู่ เออ อะไรเราก็ทิ้ง พระพุทธรูปเราก็ให้ใครเขาไปหมด อะไรๆ เราก็ให้ ยังเหลือพระธาตุอยู่ ตอนนั้นอาตมาคบหาอยู่ก็ ใครต่อใครบ้าง ที่จดหมายติดต่อกัน นักธรรมะอะไร ก็ออกหนังสือไปก็ คนนั้นคนนี้ โอภาปราศรัยมา มีคนคนหนึ่ง ชื่อว่า เขาใช้ฉายาของเขาว่า ธรรมสามี ใช้ชื่อว่า ธรรมสามี เขียนจดหมายตอบโต้กันเยอะ เรื่องธรรมะอะไรต่ออะไร ต่างๆ นานา จนกระทั่งมาพาดพิง จนกระทั่งอาตมาว่า อาตมาจะออกไปแล้ว มีอะไรต่ออะไรก็ทิ้ง ก็วางแล้ว ไม่เอา อาตมาก็ว่า มีพระธาตุอยู่รูปหนึ่ง เขาว่า ให้เขาซิ ให้คนอื่นไม่ควรหรอก เขาว่าอย่างนั้น อาตมาว่า คุณมาเอาซิ อยู่มาวันหนึ่ง เขาก็มาที่บ้านอาตมา และอาตมาก็ให้เขาไป อาตมาเดี๋ยวนี้ ก็ยังจำหน้าเขาไม่ได้ ธรรมสามี ตอนหลังเขาก็มาออกหนังสืออะไร พรหมจรรย์อะไร ธรรมสามีอะไร เขาก็มาออกตอนหลัง นี่อาตมาก็อ๋อ เขาก็ยัง เดี๋ยวนี้หายไปแล้วในวงการ แต่ก่อนนี้ขมีขมันจับกลุ่มกัน มีใช้นามปากกากันเป็นกลุ่มอยู่ มีกี่คนเขาก็ไม่รู้ หรือเขาจะเป็นคนเดียว เขาใช้นามปากกาหลายอัน ก็ไม่รู้ได้ ตัวเขาล่ะ ธรรมสามี มีพรหมจรรย์ และมี นายไกลกิเลส นายอะไรของเขา เขาตั้งฉายาของเขา และทำหนังสือ ออกเป็นโรเนียว ออกมาหลายฉบับ ตอนนี้ไม่มีแล้ว แต่ก่อนนี้ มีอยู่ช่วงหนึ่ง หายไปแล้ว อาตมาก็ไม่ได้ติดต่อเขา ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เขาได้พระธาตุอันนั้นไปแล้ว ก็หายไปเลย อาตมาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ก็ธรรมดา ก็ไม่เคยเสียดาย ไม่เคยนึกถึงอะไร ก็อยู่มาอยู่มา มาเป็นพระเป็นเจ้า

ขณะนี้อาตมามีพระธาตุ นี่เขาบอกเป็นพระธาตุพระพุทธเจ้า อาตมามีอยู่เดี๋ยวนี้ ๙๐ กว่าองค์ เดี๋ยวนี้ แต่ก็ไม่ได้อยู่กับอาตมาหรอก ก็ฝากไว้ ที่คุณสันติยาเก็บไว้มั่ง อาตมาก็ไม่ได้จำ งวดแรกก็ได้มา ๑๓ องค์ นี่วันแผ่นดินไหว อาตมาได้พระธาตุ ไปปักกลดอยู่ที่องค์พระ ไปบิณฑบาตที่หน้าองค์พระนั่นแหละ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง มาใส่บาตร ก็เอาเงินมาใส่บาตร อาตมาก็บอกรับเขา และก็อนุโมทนา และบอกคืนไป อาตมาก็ไม่รับเงิน นั่นแหละ ให้เขาใส่บาตรและก็คืนเงิน เขาก็ โอ ลงนั่งไหว้บอก พบแล้วๆๆ เขาว่า อะไรล่ะ โยมบอกว่าพบแล้ว ดิฉันตามหา ผู้ที่จะต้องมอบพระธาตุนี้ให้ บอกอย่างนั้น อาตมาบอกพระธาตุ ดิฉันมีพระธาตุของพระพุทธเจ้าอยู่ ๑๓ องค์ ว่าอย่างนั้น อาตมาบอก ก็ดีนี่ นี่ก็คุณเก็บรักษาไว้ซิ ไว้บูชา บอกว่า ดิฉันถึงเวลาที่จะต้องมอบให้ ผู้ที่สมควรที่สุดแล้ว ดิฉันตามมานาน ว่าอย่างนั้น ไม่เจอ เพิ่งเจอแล้ว พระคุณเจ้า เจอแล้ว บอกว่า ดิฉันติดตามมานี่ แน่ใจแล้ว และจะต้องมอบให้เดี๋ยวนี้

อาตมาว่า เอ้า คุณก็เอาไปซิ ทำไมไม่มอบให้ผู้ควรให้ ผู้ใหญ่ผู้ใดๆ ที่จะนำสิ่งนี้ไปดีๆๆ ซิ อาตมาก็แนะนำ พระราชินีดิฉันก็มอบให้หมดแล้ว นี่ยังเหลือส่วนนี้ ที่จะต้องจัดการ ว่าอย่างนั้น จะต้องมอบให้แก่พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่ดิฉันจะต้องแน่ใจ แล้วจะต้องมอบให้ ดิฉันพบแล้ว เขาก็ยืนยันอยู่นั่นแหละ อยู่กลางสะพานพอดี สะพานหน้าองค์พระ ที่มีถนนหน้าองค์พระเลย สะพานที่นครปฐม เขาก็ยืนหยัดยืนยัน อาตมา เอ้าๆๆ มอบก็มอบ อาตมาว่า รับก็รับ อาตมารับมา นั่นแหละวันนั้น แหม พวกเราก็ฮือฮากันบ้างพอสมควร ไปถ่ายรูปไว้นี่ ถ่ายรูป close up อะไรต่ออะไรเอาไว้ วาง ใส่ใบกุหลาบด้วยนะ พระธาตุมีหลายสี มีพระธาตุนั้นหลายสี มีอยู่ ๑๐ กว่าองค์ ๑๓ องค์หรือไง ๑๓ หรือ ๑๒ อาตมาก็จำไม่แม่นแล้ว เราไม่ใส่ใจเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็รับมา พอรับมาแล้ว พอไปสนามจันทร์ไปนั่งฉัน แผ่นดินไหววันนั้นน่ะ และพวกเราก็แหม เล่นเป็นนิมิตใหญ่เลย โอ้โห! เห็นมั้ยนี่ รับพระธาตุมาวันนี้มีไว้นี่เกิด พระโพธิสัตว์รับพระธาตุ แผ่นดินไหว ฮือ ไปโน่น และเขาก็มีลิเกละครอยู่บ้าง พวกเราตามเรื่องตามราว ก็ไม่มีปัญหาอะไร เราจะมองไปในแง่ดีก็ได้ มองไปในแง่ไม่ดี อย่าไปหลงใหลอะไรมัน มันมีอะไรก็เป็นไปตามธรรม มันมีโน่นมีนี้อะไร ก็ว่าไปอย่างนั้นแหละ นั่นก็จำนวนหนึ่ง

อีกจำนวนหนึ่ง ตอนหลังมา ก็ธรรมดาๆๆ ก็ไม่ได้คิดว่าไปพบพระธาตุ ไปพบคนๆ หนึ่ง เขาบอก โอ้! เขาเลื่อมใส ไปซ่อมพิมพ์ดีด ได้ยังไง เขาซ่อมพิมพ์ดีด คุยกันไปคุยกันมา ก็งัดพระธาตุออกมา เป็นกระปุกเลย โอ้โห! ทำไมมันเยอะมันแยะนักก็ไม่รู้ เม็ดเล็กๆๆ เท่ากับเม็ดงา ตั้งใจจะมอบให้ท่าน ท่านรับไปเลย ท่านจะเอาเท่าไรว่าอย่างนั้น อาตมาบอก เอ๊ะจะเอาเท่าไร อาตมาไม่รู้ จะเอากี่องค์บอกผมมา ว่าอย่างนั้น อาตมาบอกเอ๊ อาตมาไม่รู้ คุณให้เท่าไรก็ให้มาเถอะ ไม่ได้ท่านต้องบอกจำนวนมา ว่าอย่างนั้น อาตมาก็ไม่รู้ ท่านมีบ้างไหมเขาว่า อาตมาก็เคยได้รับมา ๑๒ -๑๓ รูป มีอยู่นี่ เขาก็เคยได้มาว่าอย่างนั้น เอาอย่างนั้น ท่านเอาไปให้ครบ ๑๐๐ ก็แล้วกัน ท่านมีอยู่เท่านั้นแล้ว เขาก็หักเอาไปเท่านั้นเอง ตกมันเหลือเท่าไรล่ะ ๘๐ กว่าองค์ใช่มั้ย มันก็เหลือ ๘๐ กว่าองค์ก็ครบ อาตมาก็บอกมีอยู่ ๑๒ องค์ หรือ ๑๓ องค์ อาตมาก็จำไม่ได้แม่น บอกว่าจำตัวเลขนี้ไม่ชัด ๑๒ หรือ ๑๓ เขาก็หักเลย ถ้าอย่างนั้น ถ้ามีอยู่ ๑๒ ก็เอาไป ๘๘ หรือ ๘๙ มีอยู่ ๑๑หรือ ๑๗ อะไรอย่างนี้ เขาก็หัก เขาก็นับมาให้เรียบร้อย อาตมาก็เอามา เอามาก็ไม่เคยได้เรียกมาดูอีก ก็อยู่ มันก็คงจะมีอีก มีคนเอามาให้อีกก็ได้นะนี่ อาตมาก็ไม่รู้ล่ะ จะมีศรัทธาเลื่อมใสอะไร อยากเอามาให้ ก็ไม่รู้เขาล่ะ เขาก็อยากเอามาให้อีกก็ได้ อาตมาก็ว่า มันไม่มีปัญหาน่ะ ถ้าจะมองในแง่รูปธรรมแค่นี้ จะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ตาม ถ้าเป็นจริงก็เป็นจริงไป ก็ยกประโยชน์ไปอย่างนั้นแหละ ถ้าเป็นจริง เขามาเองแหละ ให้เรามีบารมีเถอะ ให้มีของอะไรเองเถอะ มันไม่มีปัญหาอะไรหรอก

และเรื่องเหล่านี้ อาตมาบอกแล้วว่า มันไม่มีปัญหา ถ้าเราเองเป็นผู้ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรมพระสงฆ์ที่แท้ จะเป็นวัตถุ หรือเป็นนามธรรม ยิ่งเป็นนามธรรมยิ่งดี ไม่หนัก สบาย เป็นวัตถุธรรม ไม่ต้องคอยมาดูแลรักษา นี่อาตมาก็ไม่รักษานะนี่ ไม่ใช่ลบหลู่พระพุทธเจ้า ถ้าเป็นพระธาตุจริง พระบรมสารีริกธาตุจริง ก็ชั่งเถอะ ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาไม่ได้ลบหลู่ อาตมาไม่ได้ดูถูกอะไร และก็ไม่ได้หลงใหลอะไรนักหนา เป็นไปตามจริงก็แล้วกัน ก็เท่านั้น จะเป็นพระธาตุของใคร จะเป็นอะไรของใคร ก็ตามใจเถอะ

แม้หลวงปู่แหวน ก็ศึกษาซี ถ้ามีคุณธรรมอะไร ถ้ามีพฤติดีอะไร จะเอาอย่างได้ และมันถูกธรรมถูกทาง ถูกสัมมาทิฐิ ตามของพระพุทธเจ้าพาเป็น เข้าใจให้มันได้ และเราก็ประพฤติปฏิบัติเอาตามส่วนดี ส่วนที่ถูกต้องให้ได้ก็แล้วกัน อะไรยังผิดๆ อยู่ เราไม่เอา หลวงปู่แหวนสูบบุหรี่ตุ๋ยๆ อย่าไปสูบอย่างท่าน อันนี้ไม่เอา ท่านเอง ท่านจะมักน้อยสันโดษก็เอา แต่มักน้อยสันโดษ อย่างที่มันไม่สัมมาทิฐินัก ก็อย่าไปได้นั่นนัก มันน้อย มันสุดโต่งไปนี่ เป็นอัตถกิลมถานุโยคชนิดหนึ่ง มันโต่งไปในทางภพ เป็นภวตัณหาที่มากที่หนัก มันสุดโต่งไปทาง ภวตัณหามาก อย่างที่หลวงปู่แหวนเป็นอยู่นี่ ทำอยู่นี่ เพราะฉะนั้น ประโยชน์มันจึงน้อย และไม่รู้โลก ไม่มีโลกวิทู โลกวิทูไม่มี มีแต่จิต จิตๆๆ ต้องว่าง ต้องเป็นอะไรต่ออะไรไป ท่านก็พอรู้บ้างเท่านั้นนะ พอรู้บ้าง ท่านก็พูดได้ ในส่วนที่อย่าว่าแต่ หลวงปู่แหวนเทศน์เลย คนอื่นก็เทศน์ได้ อย่างที่หลวงปู่แหวนเทศน์ คนที่เทศน์เก่งกว่าหลวงปู่แหวน เยอะแยะไป เป็นธรรมปรมัตถ์ เป็นอะไรต่ออะไรอย่างนั้น มันก็เทศน์ได้ คนเราศึกษา และก็พอรู้ และท่านเองบวชมาขนาดนั้น อยู่ในวงการ อยู่ในธรรมถึงขนาดนี้ เทศน์ไม่ได้ถึงขนาดนี้โอย อย่าเป็นหลวงปู่แหวนเลย เทศน์ไม่ได้ขนาดนี้ อาตมาบอกว่า ท่านเทศน์ได้แค่นี้นะน้อยไป ไม่สมที่เขาเคารพนับถือด้วย เทศน์ได้แค่นี้ไม่สมน่ะ ไม่สมที่เขาเคารพนับถือเหลือเกิน ยกย่องให้เป็น พระอรหันต์ปัจเจก ของพระพุทธเจ้าโน่นแน่ะ เขายังบอกเป็นอรหันต์ ยิ่งกว่าอรหันต์ด้วยซ้ำไป โอ้โฮ! อรหันต์ยิ่งกว่าอรหันต์ เทศน์ได้แค่นี้นะหรือ มันไม่น่าเลย มันน่าจะมีผล มีฤทธิ์ ทำให้คนนี่ ได้พัฒนา ได้เป็นอริยบุคคล ได้เป็นอะไรต่ออะไรมากกว่านี้ซิ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงนะ อาตมาว่ามันน้อยไป มันน้อยไป จริงไหม

คุณฟังดูดีๆ มันจริงไหม มันน้อยไป มันไม่สมค่าว่าเป็นพระอริยบุคคล หรือเป็นผู้ที่มีคุณค่า ทางด้านอริยธรรมถึงขนาดนี้ มันน่าจะกอบกู้ หรือช่วยเหลือเฟือฟาย มีประโยชน์คุณค่าต่อสัจจะอันลึกซึ้ง ความจริง เพราะว่าท่านมีสัจจะอันลึกอันสูงอันส่ง ยิ่งใหญ่จริงๆ มันน่าจะมีผลมากกว่านี้ แต่อันนี้มันไม่สมค่าไม่สมคุณ ไม่สม มันไม่ ไม่ มันไม่ อาตมายิ่งเห็นว่า มันต่างกันไปหมดเลย มันยิ่งเห็นได้ว่า โอมันไหง ยิ่งกาง ยิ่ง ยิ่ง แหมอาตมาว่า จะบอกว่ายิ่งไกลยิ่งห่าง มันยิ่งไกลยิ่งห่างนะ มันยิ่งรู้สึกว่ามันยิ่งไกล มันยิ่งห่างไปตั้งเยอะตั้งแยะ อาตมากลับมองเห็นอย่างนั้นนะ แหม มันไม่ match กันเลย มันไม่สมดุล สมคล้อย มันไม่ดูกลมกลืน ใกล้เคียงเลย มันยิ่งดู มันยิ่งไม่สมคล้อย มันยิ่งขัดแย้ง แต่อาตมาจะอธิบายให้พวกคุณเห็นว่า มันขัดแย้งอย่างไร ก็ยังอธิบายไม่เก่ง มันดู มันยิ่งขัดแย้ง เอ๊ะมันใหญ่ มันควรจะใหญ่ มันยิ่งเห็นเล็ก มันน้อย มันเที่ยงแล้ว อย่างอาตมาพยายามหยิบมาอธิบาย มายืนยันนี่ พวกคุณจะฟังเข้าใจแค่ไหน มีปฏิภาณรับรู้แค่ไหน มันยิ่งดูแล้ว มันไม่เหมาะสม เหมือนอย่าง อาตมาอธิบายเมื่อวานนี้ บอกว่า จะให้ฮือฮาอย่างนี้นี่นะ อาตมาก็ไปเทียบเคียงกับโลกีย์ให้ฟังแล้ว ก็ฮือฮาได้ ด้วยเหตุ ด้วยองค์ประกอบอย่างนั้น ๆ แล้วมันไม่สมน่ะ และส่วนที่ไปฮือฮานะ คนอะไรละ ถ้าเป็นคนที่มีคุณภาพ เป็นอริยบุคคล ส่วนใหญ่เลย จริงๆ มันดีซี แต่มันไม่ใช่ กลับไม่ใช่ กลับกลายเป็นเรื่องเหลวไหล งมงาย เป็นศรัทธางมงาย เป็นเรื่องเหลวไหลอะไรไป เยอะแยะเลย มันไปเด่นอย่างนั้นหมด ที่จริงมันควรจะเด่นอีกอย่างหนึ่ง แหม เป็นอริยคุณอย่างนี้ เป็นอริยบุคคลอย่าง มันควรจะเด่น แหมชูเชิด ศาสนาพุทธที่ถูกต้อง มีอะไรไม่เลอะๆ เทอะๆ อย่างนี้มาก มันควรจะมีอย่างนี้มาก แต่มันกลับเป็นสิ่งที่เลอะๆ เทอะๆ มาก

เอ้า ถามจริงๆ อาตมาตาย พวกจะปล่อยทำให้เลอะเทอะอย่างนี้ไหม ขายขี้หน้าตัวเอง ขายขี้หน้าอาตมา ขายขี้หน้าหมด อาตมาว่าคุณจะเคร่งอะไรต่ออะไร ไม่เอาละ อย่างโน้นอย่างนี้ ให้มาเลอะๆ เทอะๆ ทำให้มันเป็นองค์ประกอบ หรือทำให้เสื่อมเสีย มันไม่ใช่ลักษณะที่สะอาดบริสุทธิ์ เมื่อครั้งดีๆ ครั้งสำคัญ มันก็ควรจะทำให้สะอาดบริสุทธิ์ ให้ดีๆ ซี จะไปทำให้มันเลอะเทอะทำไม มันควรจะเป็นอย่างนั้นต่างหาก นี่ดูแล้วมันกลับกันไปหมด มันเลยย้อนแย้ง หรือยิ่งเลอะยิ่งเทอะยิ่งฟ่าม หรือมีอะไรต่ออะไร ผสมผสานกันไป กลายเป็นเรื่องไม่เข้าท่า มันก็เลยดูไม่ดี

อาตมาวิเคราะห์วิจารณ์อะไรต่ออะไรพวกนี้นี่ เป็นเจตนาที่อาตมา จะต้องวิเคราะห์วิจารณ์ เพราะว่ามันฮือฮากันไปมาก และอาตมา ก็ประมาณตนแล้วว่า ในฐานะอาตมา มาถึงวันนี้ อาตมาคงพูดได้ เพราะว่ามันก็มีความนับถืออยู่บ้าง มีอะไรต่ออะไร ที่แสดงออกให้เขารู้ ให้เขาเห็นว่าอาตมาไม่หมาย หมายความว่า ปากเปล่า หรือว่าไม่มีฤทธิ์ ไม่มีเดชทางธรรมอะไรเสียเลย เป็นเรื่องเหลวไหลอะไรทีเดียว ก็ไม่ใช่อย่างนั้น มีผู้ยอมรับนับถือ และก็มี จะว่าถึงกำลังของอิทธิ อาตมาไม่เรียกอิทธิพล เรียกพละ กำลังของอิทธิ หรือฤทธิ์เดชของธรรมะนี่ มันก็พอมีอยู่บ้างแล้ว มีพละกำลังของฤทธิ์ของเดชของธรรมะ มันก็พอมีอยู่บ้าง คิดว่าสิ่งนี้พอเป็นไปได้ จึงวิจารณ์ เพราะว่ามันจะต้องตอบรับ เขาจะฮือฮา จะวิเคราะห์วิจารณ์กันไปอีก และถ้าคำวิจารณ์ของอาตมานี้ เขาจะเอาไปหยิบไปอะไร อาตมาก็ไม่รู้ได้ จะเอาไปคู่ไปเคียง เอาไปสานต่อ หรือเอาไปตีรันฟันแทง มันอาจจะเป็นได้ จับไปชกกัน

เหมือนอย่างของมติชน เขาเอาของท่านพุทธทาส มาลงคู่เคียงกันเลย เห็นมั้ย มติชนสุดสัปดาห์ และก็เอาของเราลงไปเลย คู่เคียงกัน แหม! เสร็จแล้ว อาตมาไม่เห็น มันชกกันตรงไหนเลย มันคนละเรื่อง แต่เขาก็เอาไปชกกันจนได้ อาตมาไปชกกับท่านพุทธทาส แต่ที่เขาตัดไปลงนั้น มันคนละเรื่อง เรื่องหนึ่ง เขาก็พูดไปโน่นเลย ไปไหนมา ทางนี้ก็ไปสามวาสองศอก ไปคนละเรื่องอย่างนั้น เพราะทางนี้ ท่านทางนี้เป็นเรื่อง คืออาตมาดูแล้ว เนื้อหามันไม่กินกันทีเดียว แต่เขาก็เอามาประกบกัน แข่งกันอะไรกัน มันก็เลยดูเด่น ดูดีไปในทางพระพุทธทาส คำพูดของท่านก็ดูดี เอาส่วนดีของท่านมาพูดมาโชว์ ทางด้านของอาตมา เขาก็เอาเรื่องเน้นเรื่องมังสวิรัติ เรื่องอะไรต่ออะไร ที่เขาตัดตอนออกไปนี่ เอาไปใส่ เอ้า มันคนละเรื่อง มันไม่ได้ชกกันเลย คือมันไม่เป็นมุมที่ถูกต้องอะไรกันทีเดียว แต่มันก็มีเฉียดๆ ผ่านๆ บ้าง ตามประสาที่เขาก็พอรู้ จะให้มันเฉียดมันผ่าน เท่านั้นแหละ แต่โดยจริงแล้ว มันไม่ถูกเป้า มันไม่ตรงประเด็นกันทีเดียว ไม่ถูกนั่นแหละ มันไม่ตรงกันนั่นแหละ ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว หมดภูมิใช้ภาษาแล้ว นี่ลักษณะพวกนี้ มันมีอยู่ในสังคม เราก็ต้องทำ อาตมาถือเป็นหน้าที่ ถือเป็นงานเหมือนกัน ถือเป็นงานที่จะต้องทำอันนี้ ก็จึงต้องทำ และก็คิดว่าอันนี้จะมีผลบ้าง น้อยหรือมากก็แล้วแต่ เพราะเรื่องนี้เราไม่ได้ปิดได้บังอะไร เทปดี เทศน์แล้วมันก็ออกไป อาตมาก็ไม่ได้ปิดไม่ได้ห้ามกันว่า อันนี้ออกไปได้ นอกจากเผยแพร่ ใครจะซื้อจะหาไปฟัง อะไรก็ได้ และจะดูผลเหมือนกัน อาตมาจะดูผลสะท้อนกลับเหมือนกัน ว่ามันจะมีอะไรต่ออะไรแค่ไหน

เพราะถ้าปล่อยให้เขาหลงใหล ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดไปหมดเลยว่า ถ้าคุณภาพของพระอรหันต์ มีเท่าหลวงปู่แหวน อาตมาเลิกนับถือศาสนาพุทธ อาตมาไม่เอา เพราะไม่พอ คุณภาพของพุทธสูงกว่านี้ มีประโยชน์คุณค่ากว่านี้ มีอะไรต่ออะไรดีกว่านี้ มีความสงบที่เด่นชัด ไม่ใช่สงบนิ่ง ดื้อ ซื่อ เป็นถีนะเป็นมิทธะเท่านี้ ไม่ใช่ลักษณะกระด้างแข็ง ลักษณะที่ต้องแววไว ลักษณะที่จะต้องมีสปริง มีความคล่องตัว มีปฏิภาณไหวพริบ มีฤทธิ์เดชที่จะมีผลต่อสังคม มีพหุชนหิตายะได้ดีกว่านี้ ไม่ใช่สงบสุขแบบสงบ สยบอย่างนี้ หรือสงบประเภทที่สงบ หรือว่าอยู่ในรูในเลี้ยวน้อยๆ หนีๆ หลบๆ ลี้ๆ อย่างนี้ ไม่ใช่ ไม่อาจหาญ อย่างนี้ไม่ใช่ อาตมาไม่รู้จะบรรยายอย่างไร มันถึงจะครบสมบูรณ์บริบูรณ์ ก็ฟังดูก็แล้วกัน และเราต้องพิสูจน์ และไม่ใช่ว่าห่าม เป็นพวกห่ามเป็นพวกหวือหวา พวกกำลังภายในประเภทหนังกังฟู อะไรอย่างนั้น ก็ไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว อย่างที่เราเป็นอยู่นี่ ไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว ไม่ใช่ไปเอะอะ มึงมาพาโวย ตีรันฟันแทงเขา จนโฉ่งฉ่างอะไร ก็ไม่ใช่ แต่เราก็ไม่ท้อไม่ถอยนะ เราก็มีทีรุกทีรับ มีกลเม็ดเด็ดพราย มีศิลปะ มีวิทยายุทธ อะไรต่างๆ นานาอยู่ทีเดียว และก็มีผลมีประโยชน์ มีคุณภาพของศาสนา ดำเนินไปได้พัฒนา มีพัฒนาการ เห็นได้ว่า มันทำให้คนนี้มีการรู้ตาม เอาอย่างตามปฏิบัติตาม มีมรรคมีผลตาม มีเป็นตัวเป็นตน เป็นรูปเป็นแบบ เป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นบริษัท มีรูปธรรมที่อ่านได้ เห็นได้ ดูได้รู้ได้

อย่างอโศกเรานี่ อาตมาว่ามันมีแล้ว มีกลุ่มมีหมู่ มีบริษัท มีรูปมีร่าง มีทั้งรูปธรรมและนามธรรม ที่ให้คุณมาใช้รูปธรรมนี่แหละ ให้คุณพิสูจน์ แม้คุณจะหยั่งนามธรรม หรือสัมผัสนามธรรมไม่เป็นก็ตาม ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ ว่ามีความลดโลภลดโกรธลดหลง เอาสังโยชน์ทั้ง ๑๐ มาจับมาวัด อะไรก็เข้าใจ และก็มาพิสูจน์กันจริงๆ คุณจะต้องเรียนรู้ จนพิสูจน์เป็นนั่นแหละว่าสังโยชน์ ๑๐ มันอย่างไร และคนที่ลดละลงไปได้ พ้นจากสังโยชน์ ๓ สังโยชน์ ๕ สังโยชน์ ๑๐ อะไร มีคุณภาพขนาดนั้นขนาดนี้ จะต้องเป็นของจริง ท้าทายให้พิสูจน์ได้จริงๆ เพราะฉะนั้น เรื่องที่มันไม่ใช่ แล้วเราก็จะปล่อยให้มันเป็นไป โดยที่เราสมควรที่จะต้องพูดกันบ้าง อาตมาก็ต้องพูด ถ้ามันไม่สมควรมีอยู่ ที่อาตมาไม่ปล่อยไปก่อน ผ่านไป มันก็ต้องไม่ แต่ตอนนี้มันต้องก็ต้อง

จะเห็นได้ว่าอื่นๆ อะไร อาตมาก็ยังไม่ค่อยเท่าไร หลวงปู่ผาง หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่อะไรต่างๆ นานานั่นน่ะ อาตมาก็ไม่ได้ไปวิจัยวิจารณ์ ไม่ได้ไปแตะต้องอะไร มากมายนัก พอมาถึงระดับหลวงปู่แหวนนี่ อาตมาถึงได้แตะต้องมากหน่อย ซึ่งอาตมาไม่ได้แตะต้องหลวงปู่แหวน เพิ่งแตะต้อง อาตมาแตะต้องมาก่อนแล้ว แตะต้องมาก่อน ที่เคยพูด ถ้าเผื่อว่าใครเก็บหลักฐานนั้นไว้ เคยสัมภาษณ์ไปลงหนังสือพิมพ์ เคยอะไรต่ออะไร ... แม้พวกเราก็เคยได้ยินมาแล้ว แตะต้อง มากกว่าอยู่อย่างนี้เป็นต้น อันนี้เป็นดุลพินิจของอาตมา อาตมาดูว่าควรทำอะไร แค่ไหนๆๆ คนนั้นคนนี้อย่างไรๆ พอที่จะเป็นผลประโยชน์ ไม่ใช่ว่าเราไปทำให้มันเลวร้าย หรือให้มันเสียหาย อาตมาวิเคราะห์หลวงปู่แหวน ก็ไม่ได้หมายความว่า ไปถล่มทลาย ท่านก็เป็นอาหุเนยบุคคล ก็เป็นคนที่พอเคารพนับถือจริงๆ นับถือได้ เพราะว่าโลกที่แล้ง แล้งบุคคล อาหุเนย แล้วบุคคลที่เป็นผู้ที่ควรนับถือบูชาจริง ยุคนี้กาลนี้ เพราะฉะนั้น คนในระดับนี้ก็เคารพไปเถอะ อย่างน้อยที่สุด ก็มีตัวอย่างหลายๆ อย่าง มักน้อยก็ดี สันโดษก็ดี ซึ่งเป็นจุดเด่นของหลวงปู่แหวน เราก็เอาก็ทำ นั่นจุดเด่นที่มักน้อย ท่านมักน้อย ท่านสันโดษ ท่านเป็นคนจริงจัง เป็นคนมั่นคงอยู่ในภูมิ อยู่ในภูมิของนักบวช อยู่ในเพศของนักบวช มั่นคงอยู่จนกระทั่ง อายุตั้ง ๙๐ กว่า เป็นอย่างนี้มันก็ดีแล้วล่ะ เป็นตัวอย่างอันดีงาม เป็นทิศทางอย่างนั้น พวกเราก็ขอให้อยู่น่ะ มั่นขวัญยืน ๙๘ ๆๆ ๙๘ เท่าหลวงปู่แหวนกันทั้งนั้นๆ ที่นั่งอยู่นี่ ก็มันดีไหมล่ะ หรือใครไม่อยากให้เป็น ยกมือขึ้น นี่ท่านทั้งหลายนี่ ใครไม่อยากให้เป็น ใช่มั้ย ก็ควร อยากให้เป็น มันเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนาอย่างนี้น่ะ อย่างนี้เป็นตัวอย่างที่ดีงาม เราเอาซิ เราเอา เป็นคน โคตรภูบุคคล อาตมาอธิบายไม่หมดหรอก โคตรภูบุคคล ต้องอธิบายถึงภาวะ ของปรมัตถ์ด้วยซ้ำ

แต่อาตมา เมื่อวานนี้เทศน์ ก็ไม่ได้เทศน์ถึงปรมัตถธรรมอะไรหรอก อาจจะมีบางคน เขาบอก เอ้ย ตีความโคตรภูบุคคลอะไร อาตมาพูดแต่แค่ว่าตัดโคตร ของฆราวาสอีกแล้ว ท่านมาอยู่เป็นพระ จนกระทั่งตาย อาตมาอธิบาย เทศน์ไปเมื่อวานนี้ ผู้รู้เขาก็คงจะต้องว่าอาตมาบ้าง อาตมาไม่มีปัญหาอะไรหรอก อาตมาเข้าใจอยู่แล้วว่า มันหมายถึงจิตวิญญาณ มันหมายถึงปรมัตถธรรม โคตรภู ตัดโคตรภู หรือว่ามีสภาพเกิดจริงตามโคตร เป็นโคตรอริยะขึ้นมาบ้าง หรือยังไม่ถึงอริยะโคตร กัลยาณชน อะไรก็แล้วแต่ มันก็ไม่เลื่อนขึ้นมาถึงขอบถึงขั้น ในระดับกัลยาณชน ยังไม่เข้ากระแสจริงๆ ยังหมุนเวียน ยังหมุนกลับอะไรต่ออะไร มีอีกต่างๆ อาตมาพูดไม่ไหวหรอก ที่จะพูดอธิบายอันโน้น พวกเราก็ค่อยๆ อธิบายไป พูดถึงได้อะไรได้ แต่ถึงกระไรสรุปแล้วมันก็เอาละ เราก็เคารพนับถือ คนในระดับนี้ เป็นพระของเรา ดูซินี่ ต่างๆ นานา ผู้ที่ไปเคารพ หรือผู้ที่ไปยิ่งไปใหญ่กว่าหลวงปู่แหวน อยู่เดี๋ยวนี้ มีศักดิ์มียศ มีโน่นมีนี่อะไรต่างๆนานา ถมถืดไป น่าเคารพเท่าหลวงปู่แหวนที่ไหน เป็นทั้งสมเด็จ เป็นถึงเจ้าคุณ เป็นถึงอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา สารพัดสารเพ หรือแม้แต่ไม่เป็นก็ตาม ไม่เป็น ก็เป็นเกจิอาจารย์ ระดับนั้นระดับนี้ ตั้งเยอะตั้งแยะไป ก็ไม่น่าเคารพเท่าหลวงปู่แหวน ตั้งเยอะตั้งแยะ ขนาดหลวงปู่แหวนเอาเถอะ บอกแล้วในยุคที่มันแล้ง มันยุคยามไร้เด็ดดอกหญ้าแซมผม มันไม่มีอะไรแล้ว มันแห้งแล้ว แค่ดอกหญ้า อู๊ย! ดีใจนักหนาแล้ว แค่นี้ก็งามงดนักหนาแล้ว เด็ดดอกหญ้าแซมผมก็เหลือสวน แค่นี้ก็ดีแล้วล่ะ ไม่เป็นไร ส่วน ส่วนดีที่ดียิ่งกว่านี้อีก เราก็ทำสิ่งนี้ พอเป็นพื้นเป็นฐาน อะไรพอเป็นไป

อันใดที่บกพร่องอยู่ เราก็แก้ไขปรับปรุง อะไรที่ดีแล้วก็อาศัยฐานนั้น แม้ในทางมักน้อยสันโดษ เราก็ต้องใช้ ของพุทธก็ต้องมี ไม่ใช่ไม่มี มักน้อยสันโดษ แต่มันไม่ได้มักน้อยสันโดษโต่งๆไป อยู่อย่างนั้นเท่านั้น มักน้อยสันโดษ ในสภาพที่ยืนยันได้จริง เป็นไปพอจริง ที่จริงแล้วน่ะ ถ้าว่ากันไป หลวงปู่แหวนกับอาตมา เอามาเทียบกันนี่ อาตมาดูโดยรูปแล้วนี่ มักน้อยสู้หลวงปู่แหวนไม่ได้ หลวงปู่แหวนมักน้อยกว่าอาตมานะ แต่ถามคุณหน่อยซิ คุณเคารพหลวงปู่แหวน หรือเคารพอาตมา นับถือหลวงปู่แหวนหรือนับถืออาตมา อย่างไรแค่ไหนกว่ากัน นี่ไม่ใช่อาตมาอ้างตู่อะไรหรอกนะ เหมือนพระพุทธเจ้า อาตมาก็บอกแล้วว่า ถ้าจะเคารพพระพุทธเจ้า เขาเคารพนิครนถ์นาฏบุตรไม่ดีหรือ นิครนถ์นาฏบุตร ที่เป็นอาจารย์ ด้านศาสนาเซนน่ะ เขามักน้อยกว่าพระพุทธเจ้าตั้งเท่าไร พระพุทธเจ้า ไม่ได้ว่าถึงเซนอย่างนั้น พระพุทธเจ้ายังบอกว่า ถ้าจะเคารพสาวกของเรา ถ้าจะเคารพว่า เรามักน้อยในส่วนนั้นส่วนนี้ ท่านเคยตรัสไว้ในพระสูตรมี

ท่านต้องไปเคารพพวกที่กินน้อยกว่า ตถาคตก็มีผู้ที่มีผ้าน้อยกว่า ตถาคตก็มีผู้ที่มักน้อย อะไรต่ออะไรกว่าตถาคตก็มี เท่ากันก็มี มากกว่าก็มี แต่มันไม่ได้หมายความเท่านั้น อย่างนั้น เท่านั้นไม่ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัส เพราะฉะนั้น เรื่องพวกนี้ลึกซึ้ง ไม่ใช่เรื่องตื้นเขินเลย เราจะต้องพิจารณาพิสูจน์กันดีๆ เข้าใจกันด้วยญาณปัญญาอันเอก อันยิ่งจริงๆ มันจึงจะสมบูรณ์ ไม่ใช่ว่ามองแต่ด้านเดียวโด่งๆ และก็เกินไปด้วย เลยเถิดไปด้วย สุดโต่งไปด้วย ก็ยังไม่เข้าใจ อย่างนี้มันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธ ที่บอกมัชฌิมานี้ หรือสัมมานี้ จึงไม่ใช่ตื้นเขินเลย ลึกซึ้งมากมายมหาศาล เป็นทฤษฎี ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ล่ะ ยิ่งใหญ่ขนาดใครก็เข้าใจ ทำเป็นพูดภาษาง่ายๆ เป็นตื้น มันก็เข้าใจ มัชฌิมา ปานกลาง ก็กลางๆของเขาเท่านั้น กลางๆ เขาก็เข้าใจแล้ว กลางก็คืออะไร กลางก็คือ ไม่ขวาไม่ซ้าย มันก็ง่ายๆ ใครจะรู้ทั้งนั้น กลางมันก็พูดได้ด้วยบัญญัติโวหาร แต่ด้วยสภาวะสัจจะที่มันสูงส่ง มันไม่ใช่ตื้น มันมีองค์ประกอบนานาสารพัด ที่อาตมาก็ยังพูดไม่ถึง ยังไม่เก่งพอที่จะสาธยาย ก็สอนกันอยู่ บอกกันอยู่ พยายามที่จะสื่อออกมา ให้พวกคุณเข้าใจลึกซึ้งรอบถ้วน มันได้แค่นี้ก็ ใครว่าอาตมาไม่เก่ง อาตมาเก่งนักหนาแล้วล่ะทุกวันนี้ แต่ก่อนนี้ มันก็แย่กว่านี้ด้วยซ้ำ เดี๋ยวนี้มันก็ยังเก่งมามากเท่านี้แล้ว ก็ดีแล้วนี่ ขนาดนี้

แต่อาตมาก็ไม่ได้หยุดหย่อนนะว่า ดีเท่านี้แล้วก็พอ ถ้ามันดีกว่านี้ได้อีก สามารถที่จะมีศิลปวิทยายุทธ สื่อให้พวกคุณได้รู้แจ้งเห็นจริงยิ่งกว่านี้อีก ก็พยายามอยู่ ไม่ได้หย่อนข้อ ไม่ได้แหนงหน่ายอะไร ไม่แหนงหน่ายนะ อาตมาไม่แหนงหน่าย ไม่ท้อแท้อะไรเลย ที่ทำงานมา ๑๐ กว่าปี ไม่แหนงหน่าย ไม่ท้อแท้เลย ก็ยังเห็นดีว่า ความมั่งคงของเรามี ความแน่ชัด ความมั่นคงนี่ มันยืนหยัดยืนยันอยู่ อาตมาไม่เคยกะล่องกะแล่งอะไรเลย ยังไม่เคย อันนี้เราจะทำต่อไปดี หรืองานนี้เราจะหนี วอกแวก ไม่เคยจริงๆ แม้เศษเสี้ยว นิดๆ หน่อยๆ จะเจอศึกจะเจออุปสรรค จะเจอภาวะอะไรต่ออะไร ขนาดไหน ที่เลยผ่านๆๆ มาก็ไม่เคย ไม่เคยเลย ยังมั่นคงแข็งแรง ยังเป็นไปด้วยดี ยิ่งน่าสงสารด้วยซ้ำ น่าสมเพช หรือว่า แหม มันน่าจะต้องช่วยเหลือยิ่งกว่านี้ แต่มันเก่งเท่านี้ มันหมดแรงหมดเรี่ยวเต็มที่ อาตมามีอีก เอาอีกน่ะ ถ้ามีแรงมีเรี่ยว มีอะไรต่ออะไรมากกว่านี้ เอา นี่มันไม่มี มันสุด มันเท่านี้เอง เหมือนกับเครื่องยนต์ที่มันปั่นได้ ๑๐๐ กิโลวัตต์ มันก็สุด อย่างเก่ง มันก็น้อยกว่าด้วยซ้ำ น้อยกว่า ๑๐๐ กิโลวัตต์ได้ แต่มากกว่ามันไม่ได้ มันสุดฤทธิ์แรงของมัน มันปั่นได้แค่ ๑๐๐ กิโลวัตต์ มันก็แค่ ๑๐๐ กิโลวัตต์ อาตมาก็เหมือนเครื่องยนต์อย่างนั้น มันเก่งอยู่เท่านี้ พยายามอยู่ เพราะฉะนั้น บุญบารมีแต่ละปาง แต่ละครั้ง แต่ละชาติ เราสั่งสม เราพยายามที่จะสร้างสรร

อาตมาเป็นโพธิสัตว์ ก็เข้าใจจุดนี้อยู่ พระโพธิสัตว์ก็เข้าใจจุดนี้อยู่ ก็พยายามให้พอกคูณฝึกฝน คนเรามันไม่จบเท่านี้ และมันเจริญได้ แม้ชาตินี้มันยังไม่ออกผล มันก็เป็นพลวปัจจัย เป็นสิ่งเสริมสร้าง เป็นส่วนจริงตามกรรม กรรมเป็นของของเรา เราทำอันนี้เป็นส่วน เป็นพลวปัจจัยของเรา เป็นส่วนได้ส่วนดีอะไรของเรา มันเป็นจริงๆ คุณไปแบ่งให้ใคร ไปอะไรไม่ได้ คุณต้องเป็นทายาทของมันแน่ๆ เป็นทายาทแน่ๆ ไม่ต้องเขียนใบพินัยกรรม ไม่ต้องเขียนอะไร ไม่ต้องทำอะไรหรอก มันเป็นจริงของมัน โดยจริงของมันจบในตัวว่า ทำปุ๊บเป็นปั๊บ ชั่วก็เป็นชั่วตามสัจจะ ดีก็เป็นดีตามสัจจะ แม้คุณจะเข้าใจผิดก็ตาม เข้าใจว่านี่เราทำดี แต่มันเป็นชั่ว มันก็ต้องเป็นชั่วนั่นแหละ สิ่งนี้เราทำดี ไม่เข้าใจว่ามันเป็นชั่ว มันก็เป็นดี ถ้ามันไปถูกต้องดี แต่ถ้ามันเข้าใจก็ดีด้วย และทำก็ดีด้วย ถูกต้อง มันก็ดีนะซิ แต่เข้าใจว่านี่เป็นชั่ว และยังไปทำชั่วอยู่ ก็น่าจะฝังเสียเลยเอามั้ย เข้าใจรู้อยู่ว่าเป็นชั่ว แล้วก็ยังไปทำอยู่นั่นแหละชั่ว อย่างนี้มันน่าตอกให้ แต่รู้ว่านี่ดีและก็ทำดี มันก็ดีซิ มันย้ำยืนยันและถูกต้องงี้ แต่ส่วนเรา จะเข้าใจผิดบ้าง ไปเข้าใจว่านี้ดี แต่แท้จริงมันเป็นชั่ว เราทำไป เราก็น่าเห็นใจกันบ้าง มันจะทำไงได้ มันไม่ได้แกล้งนี่ มันไปหลง พระพุทธเจ้าถึงไม่ได้เอาความผิด ในผู้ที่หลง ผู้ที่หลงจริงๆ มันหมดทางจริงๆ มันจะไปทำอะไรกันได้ ก็มันหลงจริงๆ มันไม่ได้แกล้ง มันไม่ได้เสแสร้ง มันไม่ได้อะไร มันจริงๆ มันหลง มันเข้าใจว่าชั่วเป็นดีจริงๆ มันก็เท่านั้น ส่วนเข้าใจดี เข้าใจว่าดีเป็นชั่ว มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ใครเป็นชั่วเป็นดี ก็เลยไม่ต้องทำ ถ้าเข้าใจว่าดีนี่เป็นชั่ว แล้วเราก็ไม่ทำมันก็ขาด เอ๊ มันดีแท้ๆ แล้วไปเข้าใจเป็นชั่ว แล้วไปทำ ก็เสียท่าอยู่เหมือนกันน่ะ มันก็ไม่ค่อยเข้าท่า เพราะฉะนั้น เราต้องให้มันตรงทุกอย่าง ดีก็ให้เป็นดี ชั่วก็ให้เป็นชั่ว ชัดๆ เจนๆ และเราก็พยายามพากเพียรเอา ของใครก็ของมัน ทำได้มากก็ได้มาก ได้น้อยก็ได้น้อย

ชาตินี้อาตมาเคยเช็คๆ เคยถามๆ ใครล่ะ คิดไป ตอนแรกมานี่หลายคน มาด้วยขมีขมัน แหมเห็น แจ๋วเลย ทางมาเป็นพระอรหันต์ พรุ่งนี้แน่ๆ เลย มานี่เยอะเหมือนกัน บางคนก็บอกว่า โอ๊ย ไม่ช้าไม่นาน เป็นพระอรหันต์แน่ มาปู๊ดๆๆ พอปฏิบัติเข้าจริงๆ ค่อยรู้ตัวโอ้โห ยัง เรายังแน่ๆ ยัง ยิ่งนานปีเข้าก็ยิ่งเห็น โอ๊ย ยัง แน่เลย เรายังไม่ได้หรอก อรหันต์ชาตินี้ แต่ถ้ายังไม่ท้อแท้ ยังพากเพียรอยู่ ก็อนุโมทนา ก็ดีแล้ว และคุณจะไปทางไหน โลกีย์เราก็ประกาศ นี่เอามาให้ดูตัวอย่างอยู่ตลอดเวลา หนังทุกเรื่อง บอกให้คุณดู รวมจบทุกเรื่อง บอกหนังทุกเรื่อง คือ ตัวทุกข์ทั้งนั้นแหละ อย่างน้อย คุณดูหนังเรื่องใด ก็เห็น โอ๊ย มันทุกข์หนอ มันทุกข์หนอ มันทุกข์จริงๆนะ คนพวกนี้ ยิ่งโง่ๆ งมๆ งายๆ ยิ่งเซ่อๆ ซ่าๆ ยิ่งเอาหนังไม่ใช่เรื่องของ เซียนๆ เซียนๆ อะไรนักหนา เรื่องคุณความดีมากๆ มายๆ อะไรนักหนา เป็นหนังที่บ้าๆ บวมๆ โง่ๆ เง่าๆ มากๆ มาให้ดูนี่ คุณก็ยิ่งจะเห็นชัดเจนว่า โอ้โห มันยอดทุกข์ มันยอดงมงาย มันก็จะเห็นสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้น หนังทุกเรื่อง บอกคุณได้ก่อนเลย ทุกเรื่องคือทุกข์ทั้งนั้น ตัวอย่างทุกข์ ทั้งนั้นแหละ มาดูเสียว่าทุกข์ เข้าใจมันเสียว่า นี่อริยสัจ แม้มันจะไปติดยึดในดี ในชั่ว อะไรก็ตามเถอะ มันได้ดี มีส่วนดีก็ตาม แต่เราก็เอา เลือกเอาว่า แม้ตัวที่มันเป็นบทบาทอะไร มันก็เป็นตัวสมมุติสัจจะ มันมีทุกขอริยสัจอยู่ในนั้น อ่านเอาให้ได้ แล้วก็เป็นอยู่อย่างนั้น เราก็พยายามเรียนรู้ออก เออ เราก็เป็นอยู่อย่างนี้ที่เราเป็น เออ อันนี้เราเคยเป็น เราเลิกมาได้ อันนี้เราไม่ได้เป็นน่ะ ไม่ได้เป็นก็ช่างมันเถอะ เห็นว่าเป็นทุกข์ก็อย่า เอามาทำไม หรือมันเป็นแม้โลกียสุข คุณจะไปเอามาทำไมล่ะโลกียสุข ให้มันชัดซิ

โลกุตระคืออะไร โลกุตระก็โลกุตระ ไม่ใช่โลกียสุขนะ เรามาล้างโลกียสุขน่ะ เพราะฉะนั้น แม้โลกเขาจะเอาอันนี้ มาบำบัดบำเรอบ้าง เขาอยู่ในฐานะของเขา ถ้าไม่ได้อันนี้ก็ไม่มีกำลังใจ มันท้อแท้ มันหมดพลัง เขาก็ต้องมีอันนี้ไปเป็นฐานอาศัยไปบ้าง ตามฐานะของเขา ขั้นตอนของเขา ระดับของเขา เออ ก็เขาไป แต่เราเองเราไม่ต้องแล้ว ก็ไม่ต้องไปริษยาเขา และไม่ต้องไปเที่ยว เอ๊ ไปลองกับเขามั่ง ลองอย่างเขาบ้างมั่งดู เราไม่ได้ลอง ปัดโธ่ รู้และเราจะเข้าใจ เราจะดูอันนี้เป็นประโยชน์ เราจะใช้พวกนี้เป็นประโยชน์แก่เรา อาตมาก็หาวิธีการหลายๆอย่าง หลายๆอัน นานาสารพัด เพื่อที่จะมาเสริมหนุน ให้พวกเราแข็งแรงมั่นคง ได้รับมรรครับผลอะไร เพิ่มเติมขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเป็นงานเดียว อาตมาไม่มีทางเลือก ไม่มีงานอื่น และพวกคุณจะเอาอะไร คุณก็ให้มันแน่ๆ ถ้าแน่ๆก็ไปด้วยกัน เลือดสุพรรณก็เลือดสุพรรณ ไปด้วยกัน อย่างนี้แหละ จะอยู่กี่ปีกี่เดือน กี่ชาติก็ตามแต่

ถ้าผู้ที่อยู่กันได้โดยกฎโดยหลัก โดยศีลโดยวินัย อยู่กันได้อย่างนี้ก็ไป อุ้มกันมั่ง ทุบกันมั่ง ไม่ใช่จะอุ้มอย่างเดียว ไม่เอาหรอก อุ้มอย่างเดียวหนักตาย อุ้มกันมั่ง ทุบกันมั่ง ลากกันมั่ง ถูกันมั่ง ไปอย่างนี้แหละ ได้มั่งมันก็ได้เท่าไรก็ไป เพราะอาตมาว่า เกิดมาเป็นคนแล้วก็ ทางนี้ก็แน่นอนแล้ว ขนาดหลวงปู่แหวน อยู่ทางธรรมงี้ ไปจนกระทั่งสิ้นชีพดับขันธ์ อายุตั้ง ๙๘ เรายังอนุโมทนาสาธุ ยินดีปรีดา เราก็เหมือนกัน เอาให้มันได้ไปอย่างนี้แหละ ทางโน้น สงสัยอะไรก็พยายามเรียนรู้ ให้มันคลายสงสัย จนกระทั่งแน่ชัดแล้วน่ะ มันไม่ไปหรอก โสดาบันก็อยู่อย่างนี้ไปจนตายแหละ มันจะไปไหน มันไม่เอาหรอกอันโน้น ถ้ามันวิจิกิจฉา มันบริสุทธิ์น่ะ ตัวไม่ลังเลสงสัยตัวนี้ โอ กระแสนี้แน่นอน จะสมบุกสมบันขนาดไหน หน้านองน้ำตาอย่างไรก็นี่ ตนนั้นเป็นกระแสวิจิกิจฉา ที่พ้นอย่างบริบูรณ์นะ พ้นอย่างไม่ลังเล พ้นอย่างอะไรยังไงๆ ก็มันมาดึงไปไม่ได้เลย ไม่วอกแวกด้วย นั่นแหละยิ่งบริสุทธิ์ ในวิจิกิจฉาสังโยชน์ แต่ถ้าไม่วิจิกิจฉาก็อย่างว่า ก็อย่างนั้นๆๆ แม้โสดาบันก็เป็นได้ ถอนรากวิจิกิจฉาโสดาก็ได้ แต่มันไม่ได้ถอนง่ายๆหรอกโสดา แต่ใครจะถอน อาตมาอนุโมทนาน่ะ ไม่ต้องวอกแวกเลย ตัดโคตรภูมิ อย่างยอดเยี่ยมเลย อยู่ในทางนี้ กระแสนี้ ในฐานของวิจิกิจฉาสังโยชน์ มันกำไรน่ะ

อาตมาเคยบอกแล้ว ความลังเลไม่อะไรนี้ มีโทษกี่ประการ มันทุกข์ มันระบมกลัดหนอง มันไม่เร็ว มันช้าๆ มันไม่มีกำลัง มันไม่เด็ดขาด อาตมาแค่วิเคราะห์ให้แค่ ๕ ประเด็น มันทุกข์ มันระบม กลัดหนอง มันช้ำชอกอยู่อย่างนั้น มันเฮ้ย ไม่ได้เรื่อง ใครไม่รู้ก็รู้สภาวะมั่งซี ได้ลังๆ เลๆ มันไม่เข้าท่า และมัน ไม่เร็วจริงๆ นะ ไม่เร็ว แล้วมันไม่มีพลัง แต่ถ้ามันเด็ดๆ มันจะมีความเร็ว และมันมีพลัง ไม่ต้องไปนั่งระบมช้ำกลัดหนองอะไร มันง่าย เจ็บก็เจ็บ เจ็บแผลสด ประเดี๋ยวมันก็หาย แต่แบบนี้ โอ้โห! ช้ำไปช้ำมา ปัดโธ่ เน่าเฟะระบม ไม่ได้เรื่อง ทุกข์แบบนี้ ทุกข์ลักษณะนี้ และความเด็ดขาดของคน มันไม่ถึงสักทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้ามันถึงจริงแล้ว หมดนี่แล้วน่ะ มันเป็นตัวเด็ดขาด แหมเราจะเอาอันนี้แหละ เป็นยอดกระบี่ เอาไปใช้ นี่มันไม่ได้ยอดกระบี่สักทีเลย ยอดกระบี่เด็ดขาด มันไม่ได้ มันก็เลยไม่มีฤทธิ์ที่จะทำอะไรอื่น มันต้องคว้าเอายอดกระบี่ ให้มันได้บ้างซี ถ้ามันไม่ได้ มันไม่ถอนรากของวิจิกิจฉา มันไม่มีได้กระบี่เด็ดขาด มันเด็ดเดี่ยวเด็ดขาด มันไม่ได้ ถ้ามันได้ โอ้โห! มันแย่ มันแน่เลย และตัวเด็ดขาดอย่างนี้ ไม่ได้ตัวเด็ดขาดบ้าๆด้วยนะ มันมีปัญญาประกอบน่ะ ไม่ใช่เด็ดขาดอะไรก็เด็ดขาด มีแต่อัตตา กิเลสหนา แล้วก็ปัญญาทื่อ เด็ดขาดด้วยดื้อๆๆ ลงทะเลเลย ยะเยือกเย็นเลย ไปลงนรกไปเลย ดิ่วๆๆๆ ใครกู่ไม่กลับ มันไม่มีปัญญาก็ไม่ได้ เด็ดขาดตัวนี้ มีองค์ประกอบอีก มีคำขยายน่ะ มันเด็ดขาด ต้องให้จริง ให้ชัดเจน

ขณะนี้ยังไม่แน่ไม่ชัด ไม่ตัดไม่สิ้น อาตมาไม่ได้บังคับน่ะ ไม่ได้มาบอกคุณว่า คุณจะต้องมาเด็ดขาด และจะต้องเชื่ออาตมา คุณตัดสินของคุณเอง คุณเป็นของคุณเอง พยายามพิจารณา ทบทวน เอ๊ มันจริงมั้ย นี้เป็นอย่างนี้มันจริงมั้ย นี่ชีวิตจะเอามั้ย เอามั้ย เอาให้แน่ แล้วแน่ก็แน่ของคุณ ไม่แน่ ไม่แน่ ไม่แน่ก็ไม่แน่ของคุณ เด็ดก็เด็ดของคุณ เด็ดไม่ขาดก็ของคุณ เดินเด็ดก็ยืดก็หยุ่น ยังกับหนังสติ๊ก ก็เรื่องของคุณน่ะ เห็นมั้ย ความจริงมันอยู่ในนี้ทั้งหมดน่ะ ที่อาตมาว่า ก็เป็นไปให้มันดีก็แล้วกัน และจะมีพลัง และมันจะเร็ว ไม่เช่นนั้นก็ช้า ต้อยติ่ง เสียเวล่ำเวลา ไม่ได้เรื่องได้ราว และแถมทรมานด้วย

เอาละ สำหรับวันนี้พอ


จัดทำโดยโครงงานถอดเทปธรรมะฯ
ถอดโดย ยลศิริ ดำช่วย
ตรวจทานครั้งที่ ๑ โดย สิกขมาตปราณี ปึงเจริญ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๓๐
ตรวจทานครั้งที่ ๒ โดย ๖ มิถุนายน ๒๕๓๑
บันทึกข้อมูลโดย ทีมงานคุณกัญญา พุ่มวัฒนา ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖
พิสูจน์อักษรโดย วรรณประภา ชัยประสิทธิกุล ๑ สิงหาคม ๒๕๔๗
พิมพ์ออกโดย วรรณประภา ชัยประสิทธิกุล สิงหาคม ๒๕๔๗
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์
ตรวจทานใหม่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๖

อรหันต์ไม่ใช่สำคัญที่พระธาตุ