เยื่อใยสุดท้ายของพุทธศาสนา

โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
วันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๖ ณ พุทธสถานปฐมอโศก


เอ้าทีนี้เรามาฟังธรรมะกันต่อ วันนี้วันกินข้าวหาด วันนี้เราแม้แต่ไหนๆ ที่พวกเรานี่ ก็จะมีวันเหมือน ประเพณีน่ะ กินข้าวหาดนี่ เป็นวันที่อาตมาเจตนาจะให้เกิด เป็นจารีตประเพณีของเรา เป็นวันที่ผ่อนคลาย ขณะนี้ก็ในที่ต่างๆ ไม่ว่าจะสีมาอโศก ศีรษะอโศก สีมากินข้าวไร่ ศีรษะกินข้าวนา สันติฯกินข้าวห้อง มีนักเรียนเป็นหลัก ที่สันติฯนี่ กินข้าวห้อง เขาก็สนุกของเขาเหมือนกัน มีญาติโยม มีผู้ปกครองนักเรียน อะไรนี่ มาร่วมมือร่วมสนุกอะไรต่ออะไรด้วย กินข้าวห้อง สนุกกันไปอีกอย่าง สันติฯกินข้าวห้อง มันไม่มี ที่แล้วสันติฯ ละนะ วาสนาบารมี ยังอุตส่าห์ได้กินข้าว หรือว่าได้สังสรรค์ร่วมรวมกัน เป็นสันทนาการ อย่างหนึ่งน่ะ ตามประสาของพวกเรา แล้วมันจะเกิด มันจะเป็นรูปเป็นเรื่อง เป็นราวเป็นอะไร ก็เหมือนกับ โลกๆ เขา มาสังสรรค์กัน แล้วเขาก็มีสถานที่นัดแนะกัน เดี๋ยวนี้ก็พบปะ meeting อะไรกันนี่ เขาก็ไปใช้โรงแรม เปิดห้องกว้างๆ มีสนุกเฮฮารื่นเริง ก็มีกินข้าว กินน้ำ มีร้องมีรำ มีเล่นมีเรื่อง สนุกสนาน อะไรต่ออะไรก็แล้วแต่ เป็นการบันเทิงส่วนของเขา

เราก็ฉันเดียวกันแหละน่ะ เพราะว่าคนเรานี่ มันขาดไม่ได้หรอก ซึ่งกรรมวิธี ที่จะมาสังสรรค์กัน ร่วมกันรวมกัน แล้วทำให้เกิดความสนิทสนม อาตมาก็พยายามอธิบายนะ กินข้าวหาด ก็บอกว่า อย่าเกาะแต่กลุ่มนัก ใครมา ก็กลุ่มใครกลุ่มมัน จุ๊กอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่สัมพันธ์กัน ไม่สนุกสนานร่วมกัน ไม่ทำความรู้จักมักจี่อะไรกัน ให้มันเป็นการกระจายความสัมพันธ์ ที่เป็นสัมพันธ์อันดีงาม ทั้งๆที่พวกเรา ก็กินข้าวหาดนี่ มันก็มีรสชาติ อย่างประเภทของเราแหละ จะสนุกสนานก็ขนาดนั้น จะร้องจะรำอะไร จะเล่นจะหัวอะไรกัน ก็ประมาณนั้น อาตมาก็ดูๆอยู่ ถ้ามันมากไป ก็จะปรามกัน แต่นี่มันก็ยังไม่ได้มากไปอะไรหรอก ก็พอเป็น ไปได้ ตามฐานะของเรา ซึ่งข้างนอกเขามาดู หรือคุณไหนก็แล้วแต่ พวกเราก็แล้วแต่ ที่มีการติดรสชาติ ที่จัดจ้านอยู่ ดูแล้วมันก็จืดๆ มันไม่หวือหวาพอ ที่จะถึงกับกิเลสขึ้น เหมือนกับไปดูไมเคิล แจ็กสัน อะไรนี่ มันไม่หรอก รับรองยังไม่หัวปรุหัวปำ อย่างนั้นหรอก มันก็เป็นไปตามประสาของพวกเรา

ถ้าเราเข้าใจเสียแล้ว แล้วคนที่พวกเราที่จะพอรู้แล้ว ก็เราก็ทำจิตใจของเรา ให้พอประสานร่วม มันไม่ชอบ เราก็ต้องฝึกความรับ ยอมรับเรียกว่ายินดี ยินดีไม่ใช่ชอบทีเดียวหรอก ไม่ใช่ดูดดึงทีเดียวหรอก หมายความว่า เราไม่ปฏิเสธ แล้วเราก็ยินดีที่จะร่วมอนุโลม ปฏิโลมกันได้ เป็นไปได้น่ะ แล้วก็ สมมติตามกันได้ บอกว่านี่สนุกสนานนะ นี่เป็นไปด้วยดีนะ เป็นไปด้วยไปว่า ก็เรียกว่า มันเหมือนกับปรุงรสหน่อย แล้วละนะ ไอ้วิธีการน่ะ มันก็ปรุงรสอยู่ในตัวของมนุษยชาติ รสของเรา ก็ขนาดนี้สิ ยินดี พอใจกัน เป็นไปได้ ร่วมไม้ร่วมมือกัน จะเรียกว่า มีมารยาทสังคมด้วยก็ได้

ที่จริงนะ เขาไม่เกิดรสเกิดชาติอะไรกันเต็มที่ บางสิ่งบางอย่างหรอก เรื่องที่เขาเคยมีมานี่นะ ใครเคยไป เป็นงานในงานสันนิบาตฯ คุณฟังดีๆนะ งานสันนิบาต เป็นงานสังสรรค์ชุมนุมให้เกียรติ หรือว่า มีงานอะไรสำคัญนี่ ก็มีอาหารหรูหราฟู่ฟ่า ทุกคนต้องแต่งตัวไป เพื่อที่จะให้มันเกิดเกียรติ เกิดความสัมพันธ์อันดี โอ้โหเต๊ะ งานสันนิบาตฯ นี่งานใหญ่มาก เป็นงานพิธี จัดงานสังสรรค์ มีเลี้ยงอาหาร มีบรรเลง มีดนตรี ก็จัดชั้นหนึ่ง ที่จะเป็นเกียรติสูง อาหารก็จัดชั้นหนึ่ง อะไรๆ ก็เป็นการสังสรรค์ที่ชั้นหนึ่ง คนที่ไป ไปถามเขาเถอะ เมื่อยชิบเป๋งเลย จะบอกให้ เต๊ะซะไม่มี ต้องถือแก้ว แก้วอะไรต่ออะไร ต้องโอ้โห งานสันนิบาตฯ นี่นะ หือ วางมาดกัน คือข่มเบ่งกันในที แต่สังสรรค์กันนะ วิธีการเดียวกันแหละ จะเห็นได้ว่า ยิ่งสูงเท่าไหร่ ยิ่งเมื่อย ยิ่งมารยา ยิ่งมารยาท ยิ่งเก๊กที่สุด แต่เขาต้องทำ ฟังให้ดีนะ เพราะฉะนั้น เรานี่ก็เหมือนกัน ฉันใดก็ฉันนั้นนะ คือคนเราต้องพยายาม ต้องรู้ นี่ขนาดคนโลกเขานะ เขายังเข้าใจ และเขาต้องทำ เพื่อความสัมพันธ์อันดี แล้วเขาก็ทำความรู้จักกัน ก็มีบทบาทลีลา เป็นเรื่องของสังคม เป็นพิธีการ

เราก็ต้องรู้ว่า การอนุโลม ปฏิโลม เป็นการขัดเกลาชนิดหนึ่ง แต่เขาอยู่กันได้ไหม สังคมเขา อยู่กันได้ เขาอยู่กันได้ แล้วเขาทำให้ดีที่สุด ให้เป็นการสัมพันธ์กันดี เป็นรูปเป็นแบบ เป็นจารีตประเพณี เป็นวัฒนธรรม นี่เรียกว่าวัฒนธรรมสังคมชั้นสูงของโลก มีทั่วโลกนะ งานสันนิบาตนี่ เป็นเรื่องของทางการ พิธีการของผู้ใหญ่ ของงานทางการ เป็นรัฐพิธีเลยนะ งานสันนิบาตนี่ งานใหญ่ๆ เขาถือเป็นงานสันนิบาตฯ ที่จะต้องไป ข้าราชการผู้ใหญ่ของนั่นของนี่ ได้รับการเชิญไปร่วมมือกัน ไปร่วมสังสรรค์กันไป ใครมีเมียก็ต้องเอาเมียไปด้วย ไปร่วมงานสันนิบาตฯ โอ๊ ยิ่งใหญ่ มี partner ต้องมี partner มีอะไร แล้วก็ต้องใช้มารยาทสังคม ฝืนนะ ไม่ใช่ไม่ฝืน แต่ก็ต้องสังสรรค์กัน อะไรต่ออะไรกัน ให้ดิบดี กลับบ้านนี่ โอ๋ย ปวดเมื่อยกัน เต๊ะกันไม่มีละ เขาต้องฝืนในสิ่งนี้ มันไม่ได้เป็นรสชาติเต็มที่ เต้นดีด ไม่ได้ไช้เต็มที่หรอก มันจะมีการสังสรรค์ ตั้งแต่รูปแบบอย่างนี้ ไปจนกระทั่งสังสรรค์รุ่น สังสรรค์อะไร โอ้โห สังสรรค์รุ่นนี่ เรียกว่า ทั้งแร้งทั้งกา เต้นดีดปล่อยหมด มันเพื่อนสนิท สังสรรค์รุ่นนี่นะ เพื่อนร่วมรุ่น มาเจอกันนี่ โอ้โฮ เต้นดีดไป เอะอะมะเทิ่งเฮฮาไป จริงใจ มันก็มีเหมือนกัน ก็เป็นมารยาทอย่างนั้น เหมือนกัน ถ้าเผื่อว่าผู้ใดเต๊ะหน่อย ก็จะมีการมีมารยาทแบบเต๊ะ ในเพื่อนรุ่นนี่แหละ สังสรรค์อย่างรุ่นนี่แหละ มีการเบ่งข่มกันในที มีการไอ้โน่นไอ้นี่ในที แม้แต่อาตมา อาตมายังเคยจำได้เลย เพื่อนรุ่นไปนี่ เราก็เต๊ะนะ อวดเบ่งใหญ่

ที่อาตมาเล่าๆ อะไรประกอบนี่ เพื่อจะให้เห็นว่า สังคมของมนุษยชาติ ต้องอาศัยตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ถ้าระลึกออก มนุษย์พวกคนป่าคนอะไร เขาก็มีการรวมกัน แหม สนุกเฮฮา ทำอะไรได้ หรือว่ามีประเพณี จารีตประเพณี วันอันนั้น งานอันนี้ของเขา เป็นวันสำคัญอะไรของเขา อะไรอย่างนี้ ซึ่งเป็นการนัดแนะกัน เพื่อที่จะได้มาร่วมกัน สัมพันธ์กัน จุดสำคัญที่สุดก็คือ การ่วมสัมพันธ์ สร้างความสนิทสนมกลมเกลียว รู้จักกัน หรือจุดที่มันเป็นไปโดยธรรมชาติ ก็คืออะไร ที่มันข้องอกข้องใจ อะไรที่มันไม่สนิทกัน จะได้อภัย จะได้เข้ากันติด จะได้มีอะไร ก็ถืออะไรเป็นตัวคลี่คลาย เป็นตัวทำลายจุดต้าน จุดที่ไม่เป็นปึกแผ่น พร้อมกันนั้น มันก็อาศัยความรื่นเริง บันเทิงพวกนี้ เป็นกระสายน่ะ ได้คลาย คนเราก็รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นั่นแหละ เพราะฉะนั้น ก็ทางหู ทางปาก ทางลิ้น ทางตา มีอะไรที่จะให้บันเทิง ทางตาก็ให้ดู ทางหูก็ให้ฟัง ที่จะเป็นรสอร่อย ทางปากก็ให้อร่อย น่ะ ทางจมูก ทางสัมผัสอะไรก็ว่าไป ตามที่จะเป็นความสุข มันก็มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นั่นแหละ ก็พอเป็นไป อนุโลมกัน เท่าที่เรามีขีดขั้น ทีนี้ทางโลก เขาไม่มี limit การกำหนดว่า อย่าให้มาก อย่าให้เกิน เขามีแต่เพิ่มขึ้นๆ เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น เขาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามที่เขาจะทำ เพราะฉะนั้น ที่อาตมายกตัวอย่างให้มา จะเห็นได้ อย่างงานสันนิบาตินี่ เขาปรุงกันอย่างชั้นสูงนะ เพราะฉะนั้น เขาจะจัด แม้แต่ดนตรีการ แม้แต่โน่นแต่นี่ ก็จะเป็นมาด เป็นอะไรที่หรูหรา ฟู่ฟ่าชั้นหนึ่ง ชั้นยอดอะไรของเขา ก็จะทำไป แม้แต่การตบแต่ง ให้เห็นสวยเห็นงาม ดอกม้งดอกไม้ สีแสง แสงไฟ โน่นนี่ โต๊ะ ตั่ง เตียง ที่นั่ง ที่นั่น โอ๊ย เขาก็จัดกัน อย่างสันนิบาติ ก็คืองานเรียกว่า ทำกันอย่างหรูหรา รองลงมาอื่นๆ จะเป็นงานใหญ่งานนั้นงานนี้ ซึ่งเป็นงานรวมสังสรรค์ อะไรพวกนี้กันก็ตาม ก็ตามฐานะ ขั้นตอนของสังคม ที่เขาเป็นขั้นเป็นตอน มันมีอยู่หลากหลาย จนกระทั่ง ถึงชุมนุม จนกระทั่ง ถึงมีงานสังสรรค์ ส่วนแต่ละกลุ่ม แต่ละหมู่ สังสรรค์กันถึงขั้น meeting อย่างที่ว่านี่ มันเป็นงาน เป็นการกระทำ ของมนุษย์ที่ให้เกิดการสังสรรค์ แล้วฝืน

เพราะฉะนั้น ผู้ดีชั้นสูงแล้ว แม้แต่โลกเขา เห็นไหมนัยเดียวกัน ก็ต้องฝืน เราเป็นนักธรรมะ เราก็ต้องรู้ว่า ถ้าเราไม่ชอบ แต่งานนี้เพื่อสังคมกลุ่ม เราก็จะต้องทำใจของเรา ให้ละลด ปล่อยวางซิว่า ทำไมเราไม่ชอบ มันไปเป็นประโยชน์ เพื่อกลุ่มของเรานี่แหละ ถ้าเราตกลงแล้วว่า กลุ่มนี้คือกลุ่มนี้ เราก็ต้องอยู่กับกลุ่มนี้ ชาติไทย มีงานอันนี้ เราก็ทำกับอยู่กลุ่มของชาติไทยนี่แหละ ย่อลงมาจนกระทั่ง ถึงเราอยู่ในกลุ่มของอะไร เราก็ต้องจัดของเรา เราก็ต้องอยู่ในกลุ่มของเรา ในบางอำเภอ ในบางตำบล ในบางประเทศ ในบางหมู่บ้าน เขาก็มีอะไร งานของหมู่บ้าน เหมือนอย่างที่ อาตมาพูดไปแล้วน่ะ ศีรษะฯก็มีกินข้าวนา สีมาฯกินข้าวไร่ สันติฯก็กินข้าวห้อง อะไรอย่างนี้ เป็นต้น ปฐมฯเราก็กินข้าวหาด ซึ่งก็เป็นไปทำเกิด ถึงเวลาก็อยู่ไหน ก็ที่นั่น หรือจะมารวมกัน อยากจะไปรวมกันที่ไหนอีก มีจารีตประเพณีอยู่แล้ว เรารู้แล้ว เวลานั้นวันนั้น เขานัดกัน เราอยากจะไปร่วมกินข้าวนาบ้าง ก็ไปซิ ถ้าเห็นว่า เออเราไปสังสรรค์ กับทางโน้นบ้างก็ได้

ที่ศาลีฯ ยังไม่มีกินข้าวอะไรใช่ไหม อ้อ ไปรวมกับโยมเถาว์ กินข้าวแก่ง อ้อ โยมเถาว์ โอ้โห ไปถึงพิษณุโลกโน่นเลยหรือ ไปไกลเลยนะ กินข้าวแก่งโน่น มันเป็นเรื่องของมนุษย์ แต่ละฐานะ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังติดอยู่ ผู้ที่ยังเป็นฐานล่าง อย่างโสดาบันนี่ มันก็ยังมี บันเทิงเริงรมย์พอสมควร แต่ก็อยู่ในสายหูสายตาพวกเรา มีทางออกน่ะ มีทางออก หรือว่ามีสิ่งที่เราดูแล ควบคุมกันอยู่ได้ ไม่ให้มันเลยเถิด มีผู้รู้ก็ต้องดู ต้องกำหนด มันมากไป เราก็ติงกัน มันพอสมควร เราก็มีเขตมีขอบ แต่ทางโลกเขา ไม่มีความหมาย อันนี้หรอก เขาไม่มีเขตมีขอบ แต่ก็อยู่ในสัญชาตญาณ หรือว่าอยู่ในสามัญสำนึก เหมือนกันนะ เขามากไป เขาก็จะรู้กัน เมาเกินไป เอะอะมะเทิ่งเกินไป บางทีเขาก็เตือนกันเหมือนกัน เลอะเทอะเกินไปนี่ รุ่มร่ามเกินไปแล้ว แต่ที่ไหน ที่เขาไม่มีปัญญา เขาจะเลอะไปเลย สังสรรค์กัน มีไอ้โน่นไอ้นี่กัน จนกระทั่ง นอกจากเลี้ยงดูแล้ว ปูเสื่อ ตอนนี้ลามกหน่อยนะ อธิบายให้เห็นว่า มันเป็นไปน่ะ มันเลวร้าย นอกจาก เลี้ยงดูกันแล้วก็ปูเสื่อ ปูเสื่อก็พากันไป เลอะเทอะออกไปทางกาม ทางอะไรต่ออะไร หนักเข้าเดี๋ยวนี้คุณรู้ไหมว่า งานสังสรรค์พวกนี้ พวกสนิท พวกชุมชน พวกกลุ่มนี่ เขาจะมีกลุ่มมีอะไร ถึงขนาดเลอะเทอะ ลามก ถึงขนาดสังสรรค์กันนี่ ของเมืองนอกนะ เมืองไทยจะมีหรือไม่ไม่รู้ พอไปรวม รวมกันแล้ว ต่างคน ต่างผลัดเปลี่ยนกัน เปลี่ยนเมียกัน ลามกถึงขนาดนี้ ถือว่าเป็นการปล่อยเปรตกัน ถึงขนาดนี้ พอถึงงานหรือถึงอะไรกัน ต่างประเทศมี เมืองไทยจะมีหรือยัง ไม่รู้ ไปสังสรรค์กันอย่างนี้แหละ เลี้ยงดูปูเสื่อแต่ก่อนนี้ เขาออกไปแบบนั้นนะ ปูเสื่อก็คงไป ไปเที่ยวต่อพวกนี้เขาน่ะแหละ เสร็จแล้วเดี๋ยวนี้ ทางแบบนี้ เขามีกันถึงขนาด เมื่อชุมนุมกัน สังสรรค์กัน เสร็จแล้ว เซ็กส์หมู่ก็มี แลกเมียกันก็มี อย่างนี้เป็นต้น แลกเมีย แลกผัว อะไรกัน

นี่คือความเลยเถิดที่เละเทะ วัฒนธรรมแบบนี้เกิดแล้ว วัฒนธรรมที่เลว เลวทรามต่ำช้าไป เขาก็ทำกัน นี่ก็เล่าให้ฟัง อีกมุมหนึ่ง ให้เห็นว่า เมื่อไม่มีขีดเขต เมื่อไม่มีกำหนด มันก็จะเป็นแบบนี้แหละ ปล่อยเปรต ก็เปรตใหญ่ไปเลย หยาบคาย ตกนรก หลุมลึกไปด้วย อย่างนี้เป็นต้น มันก็ไปกันใหญ่ อย่างนี้เป็นต้น นี่เล่าสู่ฟังน่ะ

พวกเรานี่ ต้องมีผู้รู้ ต้องมีผู้เข้าใจ ก็ควบคุมจารีตประเพณี วัฒนธรรมของเราขนาดนี้ ผู้ที่ยังปล่อยเปรตขนาดนี้อยู่ ก็ปล่อยเปรตขนาดนี้แหละ ของเรา ก็บันเทิงเริงรมย์ แค่นี้พอแล้ว มากกว่านี้เราไม่เอา ส่วนผู้ฝืน มันไม่สังสรรค์ เราก็ต้องขัดเกลา เราจะต้องขัดกิเลส ทั้งชอบและไม่ชอบ ใช่ไหม เราเข้าใจแล้ว เราก็ต้องทำให้เป็นกลาง เราไม่ชอบ เราก็ต้องขัดกิเลสที่ไม่ชอบ ไปสังสรรค์ เป็นไป งานนี้ร่วมไม้ร่วมมือ เหมือนงานสันนิบาตฯ ที่อาตมาเล่าแล้ว เขาฝืนนะ เขาไม่ได้อยากไป เท่าไหร่หรอก แต่คนอยากไปมีนะ กระดี๊กระด๊า ฉันจะได้ไปเที่ยวได้เต๊ะ ฉันจะได้ไปติดต่อ เชื่อมโยงกับผู้ใหญ่ อย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อผลประโยชน์ในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ต้องทำนะ มันเพื่อโลกธรรม ฝืน เมื่อย แต่ต้องไปเต๊ะ เพื่อโลกธรรม ต้องไปงานสันนิบาตฯ อย่างนี้เป็นต้น แต่เขามุ่งหมายโลกธรรม ของเราไม่ได้มุ่งหมายโลกธรรม ของเรามุ่งหมาย โลกุตระ เราก็ต้องไปสิ ไปอะไรละ ไปเพื่อขัดเกลากิเลสเรา นั่นเอง ทำไมเราไม่ชอบ ทำไมเราไม่อดทน ของเขาบางที กว่าจะเสร็จงานนี่ งานสันนิบาตฯ โอ้โห เต๊ะ เมื่อไหร่ มันจะเลิกสักทีวะ เมื่อยเต็มทีแล้ว อยากจะกลับไปนอน กลับไปถึงนอน โอ๋ เพลียเลยนะ มันเต๊ะจริงๆ เต๊ะจริงๆ แต่งแทกซิโด้ ต้องยืนอกตั้ง อย่างนี้นะ ถือ โอ้โห บางทีเมืองไทย ยิ่งเมืองไทยร้อนก็ร้อน ไม่ใช่ไม่ร้อนนะ ร้อนยังไงก็ไม่รู้ละนะ ในสนาม บางทีมันไม่ใช่ห้องแอร์ ห้องเออ อะไรของมันนี่ มันร้อนน่ะ บางทีในสนาม เขาจัดในสนาม ไม่ใช่ห้องแอร์ ถ้าบางทีก็จัดในสถานที่ที่มีแอร์ ก็แล้วไปเถอะ ในห้อง ในหับอะไร งานสันนิบาตฯ บางทีนี่เต๊ะ เขาก็ยอมเพื่อโลกธรรม แต่ของเราก็ยอมบ้างซิ เพื่อโลกุตระ ฝึกปรือ แล้วก็อดทน พวกเราก็ยังไม่เข้าใจกันถึงที่ ก็บางที พออาตมาพูดบ้าง ไกลหน่อย เอาแล้วตามใจตัวเอง ลงภพ ลงอัตตา ลงมานะ อย่างเก่า ก็เป็นไปอย่างนั้น

มันก็มีทั้งขัดเกลา ฝืน แล้วก็ทำให้มันเกิดวางใจ จนกระทั่ง เขาวางใจได้ แล้วเขาก็พยายามนะ จนกระทั่งบางคน ถ้าหลงโลกธรรมมาก เห็นแก่โลกธรรมมาก คนนั้นเขาก็ชอบ หรือยินดีในงานนั้น เขาก็ชอบ จิตใจก็เป็นฉันทะ เป็นยินดีได้ เพราะเขาได้สิ่งที่ตอบแทน คือโลกธรรม สมใจเขา ของเรา ถ้าเราทำแล้ว เราได้โลกุตรธรรม สมใจเรา เราก็จะเกิดฉันทะเหมือนกัน เราได้ขัดเกลา เป็นโลกุตระของเรา เราก็จะได้ฉันทะ เราก็จะมีจิตอย่างนั้นเหมือนกัน วางได้ เราก็จะมีฉันทะ แล้วก็จะเห็นจิตดี เห็นอะไร ต่ออะไร

อาตมา ไม่ใช่อาตมาไม่เมื่อยนะ เวลางานกินข้าวหาดทีหนึ่ง แต่อาตมาไม่ได้เบื่อ ไม่ได้เซ็ง ไม่ได้อะไรแล้ว อาตมาก็พยายามให้มีฉันทะ ซึ่งอาตมาว่า อาตมาวางใจได้ แล้วก็อาตมา จะให้ใจอาตมาเป็นอย่างไร อาตมาก็ทำ อาตมาไม่ได้ทุกข์ ไม่ได้ทุกข์เกินการ แต่มันก็ทุกข์สภาวะเท่านั้น จะว่าเหงื่อไหล มันก็ไหลนะ มันก็ร้อน ร้อนก็ถึงขั้นที่ต้องทำ อย่างโน้นอย่างนี้อะไร ที่จะเป็นประโยชน์คุณค่าบ้าง อาตมาก็ทำ อย่างนี้เป็นต้น นี่ก็เล่าละเอียด ให้ฟังเพิ่มเติมขึ้น ในความหมาย หรือเป้าหมายที่เรากระทำ อะไรต่ออะไรกันอยู่ ไม่ใช่อาตมาทำเล่น วัน ๒ วัน ทำไปเรื่อยๆ ต่อไปอีก เมื่อไหร่ๆ ก็ทำกัน เราก็มีการรื่นเริงบันเทิง หรือรวมกัน สังคมเราจะกว้างขึ้นกว่านี้อีก มันจะมีอะไรกว่านี้อีก ก็คอยดูไป ตามประสาที่เราเห็นว่ามาก มันจะมีเอง ปัญญาของเรา มันจถ่วงดุลกันเอง คนที่ไม่ชอบนี่ มันมากไปนี่ จะเป็นคนที่มีสัญญา ปรามกันเอง จะตัด จะติง จะเตือน อะไรกันเอง มันเป็น คนที่ไม่ให้ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยไปมาก มันจะควบคุมกันไปในตัวเอง ส่วนคนที่ มีกิเลสมากหน่อย มันก็จะพยายาม จะปรุงออกมาเรื่อยแหละ จะเพิ่มเติม ออกมาเรื่อยเอง แล้วมันก็จะควบคุม ไปในตัวของมัน ตามสัจธรรมของแต่ละกลุ่ม แต่ละหมู่ แต่ละแห่ง

หมู่ไหนที่เลวร้าย อย่างที่อธิบายไปแล้ว มันก็จะพากันเลวร้ายไป จนกระทั่ง เห็นไหม อย่างที่อาตมาเล่า ถึงว่าบางหมู่บางกลุ่ม สังสรรค์กันแล้ว ก็เละเทะกันไป ทางกามนั่นแหละ ไปทางไอ้นี่ มันไปทางกาม ปล่อยเปรต อย่างขนาดหนักไปเลย อย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องเป็นไป ของพวกเรา ก็ต้องดูแลกัน แล้วก็พยายามทำให้มันอยู่ดี ให้มันเป็นไป

ในสังคมไหนๆ ก็มี ถ้าเรานึกถึงตั้งแต่โบราณกาล ตั้งแต่คนป่าคนดอยอะไร เขาก็มี กองไฟกลางๆ เข้าก็มานั่ง เอ้า มากิน ก็อร่อย เต้น รำ ร้อง เขาก็มีแค่นั้นน่ะ ของคนโบราณ ใช่ไหมละ ก็มีร้อง รำ สนุกสนานกันไปอะไร จนกระทั่ง บางที่บางแห่ง กลายเป็นที่มอง หนุ่มๆ สาวๆ ก็มาร่วมงานนี้ แล้วก็จีบกัน อะไรของเขานี่ ทางโลกเขาก็เป็นอย่างนั้น แต่ของเขาก็คงไม่ใช้อาศัย ถึงขนาดเป็นที่จีบกัน จนเกินไปละนะ พวกเราก็ว่ากันไป อย่างนั้นน่ะ ให้มันพอสมเหมาะสมควร ตามฐาน

นี่เป็นเรื่องในรายละเอียด ที่อาตมาจะขยายความ อะไรต่ออะไรให้ฟัง เรามีความเป็นอยู่ จะมีทั้งพิธีกรรม อย่างนี้ เราเรียกว่า จารีต ประเพณี หรือพิธีกรรมก็ได้ มีทั้งกิจกรรม ซึ่งเป็นการงานของมนุษยชาติ อย่างนี้แหละ อย่างที่อาตมาเล่า กินข้าวหาดนี่ มันเรื่องของพิธีกรรม จัดไปในทางนั้น เราก็มีทั้งกิจกรรม ที่เป็นการงาน การงานของเราทุกวันนี้ ก็เกิดสัมมาอาชีพ เกิดสัมมากัมมันตะ จะเริ่มงานนั้น จัดงานนั้น เป็นอาชีพ อย่างนั้น ทำอันโน้นอันนี้ขึ้นมา นะ มีการทั้งผลิต และการค้าขาย

ตอนนี้ก็คงเหน็ดเหนื่อยกันมา เมื่อวานนี้ยังไงละ ชมร.ขายได้เท่าไหร่ละ เมื่อวานนี้ หรือว่าสลบไสล ไม่มาฟัง ไม่มาทำวัตร ชาวชมร.

ฯลฯ

เราก็ต้องทำอาหาร ทำโน่นทำนี่ ทำเข้าครัว หน้าเตาอะไรไป เราไม่เหมือนเขา ทางโลกเขา เขาควรจะได้เยอะๆ นี่ เขาขูดรีดนะ จานละ ๓๐ จานละ ๕๐ ดีไม่ดี เขาขายกัน จานละร้อยละพันนี่ เขาก็ได้เงินแสน เงินล้านอะไรของเขา เขาเท่าไหร่ เขาก็ไม่มีปัญหา เพราะเขาขูดรีด แต่ของเรานี่ มันมีตัวหลักต่ำยืนหยัด เสร็จแล้ว ก็ประเมินเอาพวกนี้ มันก็เป็นสถิติ ที่เราจะต้องรู้เข้าใจว่า คืออะไรของเรา ที่อาตมาหยิบมาพูดนี่ เพื่อจะได้พิสูจน์ว่า งานของเราหนักขึ้น และความนิยมมีมากขึ้น เราไม่ได้ฉวยโอกาส การค้าของเรา ไม่ได้ฉวยโอกาส เอาละหน้าเจ ตอนนี้ขึ้นราคาเลยแหละ จานละ ๒๐ แหละ จานละ ๑๕ แหละ อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ เราก็ยืนหยัด ธรรมดาเราก็ขาย ๖ หน้างานเราก็ขาย ๖ มีคนมากแล้วก็งานหนัก คนนิยมเพิ่มขึ้น ปีที่แล้วได้เท่านี้ ปีนี้มากขึ้น เราก็ปีที่แล้ว ปีนี้เราก็ยังไม่ได้ขึ้นราคา อะไรอย่างนี้เป็นต้น สิ่งที่มันยังยืนหยัด ทั้งๆที่ค่าของเงิน หรือค่าของเศรษฐกิจนี่ มันตกลงไปอีกแล้วเงิน มันจะต้องขายแพงขึ้น ตามค่าของเศรษฐกิจ เราก็ไม่ได้ขึ้นด้วยอะไรนี่ ซ้อนเชิงหลายๆอย่างพวกนี้ อาตมาอธิบาย ละเอียด ไม่ไหวละนะ มันแสดงให้เราเห็นว่า มันมีบทบาทก้าวหน้าไหม ก้าวหน้าด้วยงาน ก้าวหน้าด้วยความนิยม เราจะต้องมีงานหนักขึ้น อะไรอีก เป็นการเตือน เป็นการบอกเราว่า เราจะอยู่กับสังคมของเรา งานหนัก ก็ไม่มีปัญหา ถ้าเราเห็นว่า งานนี้เราจะต้องทำ แล้วเราก็จะต้องทำ มันมีประโยชน์ไหมละ งานหนักนี้ ถ้ามีประโยชน์ เราก็จะต้องรู้ว่า มันจะต้องเพิ่มขึ้นนะ เราจะต้องเตรียมตัว เราจะต้องเตรียมใจ เตรียมกาย เตรียมแรง เตรียมว่า เราจะทำอย่างไร ถ้าจะไม่ไหว เราจะต้องหาเครื่องทุ่นแรง ถ้าไหว เราก็จะต้องเพิ่มเข้าไป อย่างโน้นอย่างนี้อะไรนี่ มันเป็นการรู้ตัว ที่จะทำให้งานของเรา นี่ดีขึ้น สมบูรณ์ขึ้น ไม่ขาดไม่แหว่ง ไม่บกพร่องอะไรๆ จะดี เจริญ มันเป็นความเจริญ ของธรรมดาธรรมชาติ งานของเราอย่างที่เรามีนี่ เป็นกิจกรรมน่ะ งานเต้าหู้ สถิติสูงสุด กี่กิโล ๕๐๐ กิโล วันละ ๕๐๐ กิโล ก็ถั่ว ๕ กระสอบ กระสอบละ ๑๐๐ กิโล บดกันเครื่องพัง ทำกัน ... ลุย ทำเต้าหู้ส่ง เพราะความต้องการของตลาด ที่งานพอดี อย่างนี้เป็นต้นน่ะ

ก็ดีนะ อาตมาก็พยายามส่งเสริมนะ ทำเต้าหู้ เต้าเจี้ยว ทำซีอิ๊ว ทำอะไรพวกนี้ ก็พวกเราก็ต้องรู้ว่า เราเปิดการผลิต เปิดร้านค้า เปิดอะไรอีก เป็นงานกิจกรรม ที่จะเป็นสัมมาอาชีพ รองรับพวกเรา ต่อไปก็จะมี ผู้ที่จะเอาไปทำส่วนตัว นี่เราทำส่วนกลาง ให้เป็นแบบอย่าง เป็นหลักไว้ เราก็จะทำตามวิธีการของเรานี่ แล้วมันจะมีวิธีการต่อไป เรื่อยๆ นะ ทางศีรษะฯก็ ศีรษะนี่เป็นลูกล้อของพวกเราได้ ออกไปอย่างสำคัญเลยนะ การเกษตร การผลิต การค้า เดี๋ยวนี้อาตมาว่า เรื่องเห็ดนี่ ปฐมอโศกจะสู้ศีรษะไม่ได้แล้วน๊ะ เห็ดนี่ เรื่องปุ๋ยนั่น แพ้ไปราบแล้ว เรื่องปุ๋ยนั่นแพ้ศีรษะฯราบแล้ว กสิกรรมเขาก็มาก เดี๋ยวนี้ทางโน้น ก็ทำเป็นเล่นไปนะ แม้แต่แชมพู เดี๋ยวนี้ก็ เฮอะไม่เล่นศีรษะ ศีรษะรู้สึกว่า เอาไปเอามานี่ พลังการผลิต หรือพลังการสร้างสรรนี่ จะเป็นหลักเป็นฐานมั่นคง หรือว่าแข็งแรง

ปฐมอโศกนี่ พลังรวม มันน้อย เพราะมันคนต่างถิ่นมาอยู่ร่วมกัน มันก็เลยเข้ากันไม่สนิท อันนี้ อาตมารู้อยู่ลึกๆ อีกทั้งสัญชาตญาณของสัตวโลก มันเป็นจริงเหมือนกัน สรุปก็คือ กิเลสนั่นแหละ กิเลสในตัวมนุษย์นี่ มันติดพันธุ์ ติดเผ่า ติดกอ ติดของกู หมู่กู พวกกู มันจะกินลึกเข้าไป จนกระทั่งถึง ทั้งถิ่นฐาน เชื้อชาติ แค่ในไทยด้วยกันนี่ คุณคิดดู แต่ที่ศีรษะอโศกน่ะ อย่างน้อยที่สุด มันก็เป็นพวกอีสานด้วยกัน มันไม่ค่อยรวม เหมือนกับปฐม ปฐมนี่มีหมดเลยนี่ อีสาน ใต้ เหนือ ออก ตก ภาคกลาง รวมหมดเลย มีเจ๊ก มีแขก มีเขมร โอ๊ มาเลเซียด้วย รวมอยู๋ในปฐมอโศกนี่ มันจริงใช่ไหม เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ค่อยสนิทนัก นี่เราเราต้องยอมรับความจริงว่า มันมีจริงๆนะ แต่เราต้องไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมแพ้ เราจะทำให้ได้ ให้สนิท ให้เป็นปึ้ก ไม่ต้องปึกแผ่นหรอก ให้เป็นปึ้ก ให้เป็นปึ้กให้ได้น่ะ ให้เป็นปึ้ก เราต้องตีแตก สิ่งที่มันเกาะติด หรืออุปาทาน มันยึดมันติด อะไรอยู่ ตีตัวนั้นให้แตก สิ่งเลวตีแตก สิ่งดีต้องรวมให้แน่น นี่เป็นกรรมกิริยาเท่านั้นเอง ต้องทำ คำว่าแน่นนี่ ก็แน่นโดยลึกๆ เรามีสัจจะที่เราเรียนแล้ว ปรมัตถสัจจะ เราจะเข้าใจว่า สมมุติสัจจะ เราจะต้องใช้เป็นฐานอาศัย สมมุติสัจจะอย่างนี้ ถือว่ากุศล ถือว่าดี ถือว่าควร สมมุติสัจจะอย่างนี้ ส่วนปรมัตถสัจจะ สัจจะในๆ เราก็จะมีลูกซ้อน ของพุทธนี่ มันมีสัจจะ ๒ ส่วน สมมุติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ ปรมัตถสัจจะลูกซ้อนนั้น ก็คือ สมมุติสัจจะแน่น รวมให้แน่น เอาให้แน่นได้จริงๆ ได้ทั้ง ๒ ส่วน สัจจะ ๒ ส่วนสมบูรณ์ ปรมัตถสัจจะ ก็ต้องรู้เท่าทันว่าแน่น แล้วก็ต้องหัดวาง เข้าใจสมมุติสัจจะให้ชัดนะ ว่าคือสมมุติที่เราทำอย่างนี้ แต่ใจเราลึกๆ เราก็จะต้องทำให้ได้ เราต้องรู้ความจริงให้ได้ว่า เราทำอันนี้ ให้ได้คุณภาพอันนี้ แต่อันนี้อย่างหลงใหลได้ปลื้มนะว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรานะ ปรมัตถสัจจะก็ต้องเข้าใจ ก็ต้องฝึก ฝึกซ้อนอย่างนี้จริงๆ ได้สัจจะทั้ง ๒ ส่วน สมบูรณ์

คนของพุทธนี่ ปฏิบัติธรรมแล้ว จึงเจริญทั้ง ๒ ด้าน เจริญทั้งสมมุติสัจจะ สัจจะสมบูรณ์ ทั้ง ๒ สัจจะ ไม่ได้แหว่ง หมายความว่า สัจจะนั้นคือของไม่จริง จริงทั้ง ๒ อย่าง พระอรหันต์เจ้า ทำปรมัตถสัจจะ ได้สมบูรณ์สุด เป็นเอง เป็นตถตา เป็นอัตโนมัติแล้ว ท่านก็เลย เป็นแล้วเป็นเลย เพราะว่า ปรมัตถสัจจะ เมื่อจบแล้ว เป็นกตญาณ เสร็จกิจแล้ว ถอนอาสวะแล้ว มันไม่ต้องทำอีก ไม่ต้องฝึกอีก พระอรหันต์เจ้า ฝึกแต่สมมุติสัจจะ เพราะฉะนั้น พระอรหันต์เจ้าก็คือ คนโลกๆ เพราะท่านจะอยู่กับ สมมุติสัจจะ ท่านจะประเมิน ประมาณ ความควร ความไม่ควร แล้วท่านจะรู้ตัวท่านว่า ท่านทนไหวไหม หรือทนไม่ไหว อันนี้ท่านไม่มีปัญหา ท่านจะรู้ ท่านซื่อสัตย์ ท่านไม่แกล้ง ท่านไม่มีอัตตามานะ แม้แต่ตัวเองทนไม่ได้ ก็ทำแอ๊ค ฝืน ตัวเองทรุดไปตั้งเท่าไหร่ๆ แล้วก็ไม่รู้ ไอ้อย่างนี้ พระอรหันต์ต้องเข้าใจ เข้าใจอัตตัญญุตาตัวเอง ว่าอันนี้ อนุโลมไม่ไหวหรอก เราทำไม่ได้ แล้วท่านก็ไม่ต้องเสียหน้าเสียตา เพราะท่าน ไม่มีหน้าจะแตกแล้ว พระอรหันต์ ท่านไม่หน้าแตกหรอก ท่านไม่มีมานะ ท่านไม่มีอัตตา แต่คนโลกๆ มีกิเลส ไอ้อย่างนี้ไม่ได้หรอก แอ๊คสู้ ทั้งๆที่ฝืนจะตาย เดี๋ยวเอ็งก็เสียท่าด้วย กิเลสก็จะมากขึ้น ระวังก็แล้วกัน กลัวหน้าแตก ก็คืออัตตามานะเราดีๆ นั่นเอง เพราะฉะนั้น พยายามอย่าไปคิดถึงหน้าแตก หน้าเติกอะไรมากนัก แล้วเราก็ต้องรู้ว่า เราจะต้องอดทน เราจะต้องฝึกฝน มันเกินฐาน เกินฐานะก็เราก็ไม่เอา ถ้าเราสามารถ ที่จะฝืนได้ ก็ต้องพยายามเอา ให้มีความอดทน ไม่ต้องไปรักหน้ารักตา จนเกินการ ทำอันนี้ เพื่ออวด ไม่เอา ทำอันนี้เพื่อที่จะฝึกฝน ไม่ใช่ทำเพื่ออวด อย่างนี้ต้องรู้นัยที่ลึกซึ้ง ละเอียด แล้วก็ต้องพยายามกระทำน่ะ ทำให้มัน มันเกิดขึ้น สุดท้ายแล้ว ถ้าเมื่อเข้าใจทั้ง ๒ ด้าน สัจจะทั้ง ๒ ด้านแล้ว คน หรือว่ามนุษย์ ที่เรียนรู้ตามหลักการ ของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงเป็นคนที่สร้างสรรก็ได้ สัมพันธ์ก็ดี จิตกิเลส ก็ล้าง ก็ละ ก็ปลดก็ปล่อยได้ แข็งแรงจริงน่ะ เพราะฉะนั้น จะอยู่ในสังคม ก็เป็นสังคมที่สัมพันธ์ สร้างสรร มีกิจกรรม กิจการงานอะไรก็รู้ แล้วก็ขยันหมั่นเพียร รู้ประโยชน์ รู้คุณค่า กระทำได้ เป็นปึก เป็นแผ่นดีน่ะ

เมื่อไม่มีขี้เกียจ เมื่อไม่มีการติดยึดอะไรมาก การรวม การสัมพันธ์ที่จะร่วมมือ ร่วมแรงอะไรกัน คล่องแคล่ว เร็วไว แล้วก็จะมีพลังงาน รังสรรค์เยอะ พร้อมกันนั้น ปัญญา ความเฉลียวฉลาด ในการที่จะทำอะไรๆ แค่ไหน ที่จะให้เกิดการผลิต การสร้างสรร ก่อประโยชน์ มันก็จะสมบูรณ์แบบไปหมด อาตมาเห็นพวกเรานี่ ค่อยๆเกิด แม้แต่กิจกรรมก็ค่อยๆ มีกิจกรรมที่เข้าใจเพิ่มขึ้น และพวกเรา ก็คงจะรู้ตัวว่า เออ เราเองเราก็ยังไม่เข้าใจดี เราก็เลยต้องต้านอยู่บ้าง ไม่ผลักดันตัวเองบ้าง เพราะเรา เข้าใจ อย่างหนึ่ง พออาตมาพูดเข้าใจเพิ่มขึ้น มันก็จะอีกอย่างหนึ่ง

พวกเราก็จะมีกิจกรรมนี่แข็งแรง เป็นอัตตา หิ อัตตโน นาโถ พึ่งตน จนกระทั่งพวกเรานี่ กิน อยู่ หลับนอน เราก็เรียน พอเรียนแล้ว เราก็ลดก็ละ เมื่อลดละได้แล้วจริงๆ เรามีสันโดษ มีอัปปิจฉะ มีมักน้อย มีสันโดษ มีปวิเวกะ มีจุดสงบของจิตอาศัยแล้ว น้อยแค่นี้ เราก็สันโดษ น้อยเท่านี้ เราก็พอ เราไม่ต้องเพิ่มก็ได้ กินวันละมื้อ ทำงานไป อย่างอาตมานี่ ขอยืนยันกับคุณเลยนะ อาตมากิน จะกินมันวันละมื้อนี่ ไปจนตาย แล้วก็จะทำงาน จะหนักกว่านี้ หรือจะน้อยกว่านี้ก็แล้วแต่ อาตมาจะทำอย่างนี้ไปจนตาย นี่อาตมาว่า อาตมากินพอแล้ว สันโดษแล้ว วันละมื้อ ที่นั่งแห่งเดียวนี่นะ อาตมาว่าอาตมาไม่จำเป็น จะต้อง มากกว่านี้เลยจริงๆ มันอยู่ตัวจริงๆ แล้วอาตมานี่ ขอพูดอย่างกล้าหาญ ชาญชัยได้เลย เรียกว่า พูดกันอย่าง อาสภิวาจา การกล่าวอย่างกล้า อาสภิวาจานี่ เปล่งบันลือสีหนาท ด้วยความแกล้วกล้า ถ้าเผื่อว่า ยังไม่แกล้วกล้า เขาก็เรียกว่าบังอาจ บังอาจกล่าว ยังไม่แกล้วกล้า ก็เรียกว่าบังอาจกล่าว ถ้าเผื่อว่า แกล้วกล้า ก็เรียกว่า อาสภิวาจานี่ น่ะ กล่าวเหมือนกับการอวดอ้าง เหมือนกับการอวดอ้าง แต่อาตมารู้ว่า จิตใจที่อาตมาพูดนี่ ไม่ได้มีตัวอวดอ้างอะไรหรอก พวกคุณก็รู้อยู่ สิ่งนี้ เพื่อย้ำให้ความมั่นใจ แน่ใจ เสื้อผ้า หน้าแพร อาตมาก็ไม่มีปัญหา นี่เขาให้มาแต่งขาว ก็แต่งมันไปอย่างนี้ จะให้แต่งขาวนี่ ไปตลอดตาย ถ้ามันจำเป็น ที่จะต้องอย่างนี้ ก็เอาเลย

สุดท้าย เราจะต้องมายึดเอาขาวเสียแล้ว จะต้องมาใช้ขาวเสียแล้ว เพราะว่ามันเวรมันกรรม มันจะต้องอย่างนี้ เอ้าขาวก็ขาว แต่ถ้าเผื่อว่าไม่ขาว แล้วก็กลับไปนุ่งสีน้ำตาลนี่ได้ ก็นุ่งน้ำตาลนะ หนักเข้าจริงๆ มันไม่ได้นุ่งน้ำตาลแล้ว มันก็จะต้องครองขาวคลุมอีกก็เอา หรือมันไม่ต้องครองขาวคลุม ก็คืออาตมาพูดนี่ ก็หมายความว่า ถ้าแม้จริงๆเลยนะ เราจะแพ้คดีนะ แพ้คดีก็ไม่มีปัญหา ใครต้องติดคุก ก็ติดไป อาตมาเป็นต้น เพราะอาตมานี่ เจอเข้าไปตั้ง ๓๐ รายการอยู่นะ ติดมันก็ติดไป ใครอยู่ข้างนอก ชุดนี้อยู่ได้แล้ว ไม่ผิด ไม่ได้ไปลอกเลียนใคร จับอีกไม่ได้

.. ฯลฯ ....

เราก็เป็นไป แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เราได้แล้ว ไอ้นี่เป็นเรื่องของพิธีกรรม นั่นเป็นเรื่องของกรรม พิธีกรรม ที่เราจะจัดรูป จัดอะไรต่ออะไร มันก็เป็นเรื่องของ การประกอบรูป ประกอบแบบ ประกอบพฤติกรรม อะไรต่างๆ นี่ มันก็จะได้จะเป็นอย่างนี้ อยู่ในมนุษย์

ทีนี้อาตมาเมื่อกี้พูดถึง เรื่องกิจกรรมนี่นะ อยากจะให้พวกเราได้รู้ว่า มันเป็นชีวิตของมนุษย์ทั้งหมด ทำไม อาตมาด้วย สงฆ์ด้วย พระสมณะนี่ด้วย จึงต้องลงไปคลุกคลี ก็เพราะพวกเรายังไม่มากพอ และ เราจะต้องเป็น ใช้แรงงานร่วมด้วย ช่วยด้วย บางอันอะไร ที่มันยังไม่ถึงขั้นผิดวินัยตรงๆ เลยทีเดียว หรือแม้แต่ล่อแหลมวินัย เรามาอย่างนี้ ต้องอนุโลม อย่างการค้า หรือการกสิกรรม ไปปลูกไปอะไร อย่างนี้ เป็นต้น มันก็ล่อแหลม วินัยมีห้ามอยู่บ้างเหมือนกัน มีอยู่ ๒-๓ อย่าง ที่สมณะท่านห้ามอยู่

๑. การค้า

๒. เรื่องพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่จะต้องไปเด็ด ไปปัก ไปอะไรนี่ ท่านให้อาชีพทางด้านนี้ ให้ฆราวาสไป การค้า การกสิกรรม

๓. การรักษาพยาบาลนี่ ท่านก็ห้าม สมณะไปรักษาพยาบาลอะไร ไม่ได้หรอก แต่พวกเราพยาบาล พวกเรา ก็ไม่ค่อยเก่ง ไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่ ละลาบละล้วง ไม่ค่อยได้หรอก พยาบาลนี่ ยิ่งเป็นหมออะไรนี่ พวกเราก็ยังไม่ค่อยเก่ง ยังไม่มีหมอจริงๆ มาบวชเลย เพราะฉะนั้น ก็เลยไม่ได้ไปช่วยอะไร นักหนาหรอก จะไปทำ แหลมๆ แพลมๆ ไม่ได้หรอก เรื่องการรักษาพยาบาลนี่ จะต้องยิ่งสำคัญ ต้องมีความรู้ ความสำคัญตรงๆ เข้าไป เพราะมันเกี่ยวกับชีวิต เป็นเล่นๆ ไม่ได้ อย่างการค้า อย่างกสิกรรมนี่ ไม่เท่าไหร่ ชีวิตพืช ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ ไม่เหมือนชีวิตคน รักษานี่มัน เพราะฉะนั้น พวกเราก็ถึงสมณะเองไม่มี พยาบาลจริงๆ ก็ยังไม่มีมาบวช ดูเหมือนยังไม่มีพยาบาลเลยสักคน ใช่ไหมผู้หญิง

ยังไม่มีหมอ ยังไม่มีพยาบาล นักศึกษาแพทย์ หา อะไรนะ บอกว่ายังไง กิจการขนม เออ นั่นแหละเขาก็ดู มันก็จริงเหมือนกันละนะ นักบวชไปปรุง ขนาดไปปรุงขนงขนม อะไรอย่างนี้ละนะ ไปทำกับข้าว ไปทำอะไร อย่างนี้ละนะ มันก็เกินไป เพราะมันปรุงแต่งมากไป ก็ดู เราก็ต้องรู้ว่า มันเกี่ยวมันข้อง เขาดูแล้ว โดยสามัญสำนึก เขาก็รู้ แหม น่าจะสึกๆ ไปทำดีกว่า มันดูแล้ว มันก็ขัดๆ หู ขัดๆ ตา ขัดๆ ความรู้สึกอยู่ ก็จริง

ถ้าเผื่อว่า เราอย่าไปคลุกคลี หรือว่าอย่านั่นมากนัก ถ้าอย่างผู้หญิงเขานี่นะ อย่าง มันก็ยังดูๆ ผู้หญิงเขาไปทำ มันก็ยังพอ พอ ไอ้นั่นนะเป็นสิกขมาต แต่อย่างสมณะนี่ ไม่น่าจะลงไปทำขนมหรอกนะ มัน เออ ทำแค่ปรุง เป็นเต้าหู้นี่ มันก็ชั้นหนึ่ง มันระดับ ผลผลิตชั้นดิบ ไอ้ไปเป็นขนมนี่ มันผลผลิตชั้นปรุงแล้ว ก็ขั้น มันก็มีขีดขั้นอยู่ ถ้าเผื่อว่า เราละเอียดลออเข้าใจละนะ เราก็รู้ขั้นตอนบ้างว่า มันไม่สมควรขนาดนั้น ขนาดนี้ มันมากไป เราก็อย่าไปละลาบละล้วงนักน่ะ

การงานนี่แหละ เราจะต้องรู้อยู่ว่า อะไรสมควรไม่สมควรแค่ไหน อนุโลม ปฏิโลมแค่ไหน เรามีความจำเป็นขนาดใด เพราะมันมีความจำเป็นที่ว่า มันยังไม่มีพอ สมณะเราต้องขั้นบางที ไปลงนา ลงทำพืชพันธุ์ บางทีเรายังต้องไปช่วยอะไรบ้างแรกๆ แม้แต่อาตมายังต้องไป ดูซิ นำพากัน จูงนำกัน เพื่อที่จะได้มีพลัง อาตมาก็ต้องลงไปลุย กลบฟงกลบฟางด้วย อะไรต่ออะไรด้วย แต่ก่อนนี่ขนฟาง กลบอะไร อาตมาก็ต้อง ลงไปลุยด้วยอะไรด้วย ต้องทำ แต่ในขีดในขั้นหนึ่ง พอมีแรง มีเข้าใจกันแล้ว พวกเราไปแล้วพอสมควร อาตมาก็ไม่ได้ไปทำอะไร อย่างนี้ เราก็ต้องเข้าใจว่า มีความจำเป็น ที่เราจะต้อง ไปร่วมไม้ร่วมมือ ขนาดนั้นขนาดนี้ ถ้าเห็นว่า มันพอเป็นไปได้แล้ว ฆราวาสเราก็มากพอ หรือว่าสำนึกของฆราวาส ของเรา เข้าใจกันแล้วว่า อันนี้ไม่ต้องให้สมณะ หรือไม่ต้องให้ถึงขั้นนักบวชทำได้ เราทำแทนได้ ท่านไปเถอะ เรารู้จักสำนึก รู้จักขั้นตอน แล้วก็รับกันได้เพียงพอ ทดแทนกันได้เพียงพอแล้ว มันก็จะเป็น ไปจริง ขึ้นมาเรื่อยๆ สอดซ้อนการงาน มันก็จะเป็นสัดเป็นส่วน สมณะ ก็อยู่ในฐานะของสมณะ มีหลัก มีวินัย มีศีล มีอะไร ซึ่งดูแล้ว มันไม่ต้องไป ละลาบละล้วงกันเลย ก็ดีนะ ตอนนี้พวกเรานี่ อยู่ในระหว่างก่อ อยู่ในระหว่างตั้งตัว ในระหว่างแรกเริ่มนี่ มันก็เลยมีอะไรที่ปนๆ เปๆ สมณะก็ต้องรู้ตัว ฆราวาสก็ต้องรู้ด้วยว่า อันนี้นี่อนุโลมเท่านั้นนะ ถ้าเป็นไปได้เลย จะงามกว่านี้ ก็ไม่ต้องให้สมณะลงไปลุย ร่วมด้วยอันนี้ จุดสำคัญมีอะไรบ้าง อาตมาก็บอกแล้วน่ะ งานพวกนี้ ฆราวาสต้องรับเอง รับผิดชอบให้ได้ จนกระทั่ง สุดท้ายสมณะ หรือนักบวชในระดับนั้น ระดับนี้ ไม่ต้องไปเกี่ยวแล้ว ก็ไม่เป็นไรน่ะ สมณะไปทำ ลงมือไปทำกสิกรรม มันไม่ได้เต็มที่หรอก ถ้าไม่ไปทำเลยได้ก็ดี ได้แต่บอก อบรม ร่วมปรึกษาหารือเท่านั้น ก็ถือว่าดีแล้ว พระพุทธเจ้าท่านสอน ในคำสอนในพระไตรปิฎก สอนในการค้า การขาย ท่านสอนนะ ท่านบรรยายนะ ไม่ใช่ไม่บรรยายนะ ในการค้า ท่านก็สอนนะ เรื่องกสิกรรมท่านก็สอน เรื่องซึ่งงาน มันไม่มากเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้อาชีพมันเยอะ เพราะฉะนั้น งานคอมพิวเตอร์ ท่านก็สอนไม่ได้แน่ พระพุทธเจ้า เพราะว่ามันยังไม่มีในสมัยนั้น หรืองานอะไรหลายอย่าง ท่านก็ไม่สอนแน่ แต่ท่านสอนการก่อสร้าง การโน่น การนี่ ก็สอน ไม่ใช่ท่านไม่สอน มีในพระไตรปิฎก แต่เราอ่านไม่ละเอียด อ่านไม่หมด อ่านหมดจะเจอน่ะ ท่านก็บรรยาย ท่านก็สอนน่ะ

ในระดับแค่การสอน ไม่เป็นไรหรอก ทีนี้ถ้ามันจำเป็นต้องอนุโลม ต้องไปลงมือด้วย ต้องไปนำด้วย อย่างที่ว่านี่ แม้แต่อาตมา ก็ลงไปช่วยนำอะไรบางอย่าง แต่อาตมาคงไม่ไปนำทำขนมแน่ อาตมาเคยทำขนมนะ อาตมานี่ แม่พาเคยทำขนม นั่งขายไป ปักผ้าเช็ดหน้าไป นั่งขายขนมหวาน มีหมดแหละ ขนมหม้อแกง ไข่ สังขยา ขนมชั้น ขนมอะไรทำ ทำขายกลางคืน พอกลางคืน ก็เอาขนมออกมาตั้ง หน้าร้าน เป็นแผงลอย หน้าร้านนี่ ขายแล้ว กลางวันก็ทำอื่นขายอื่น กลางคืนก็ทำนี่ แม่พาทำ ขยัน อาตมาเคยขาย เคยทำน่ะ แต่ก็ไม่เก่งหรอก มันเด็ก อาตมาก็ได้ไปร่วมไม้ร่วมมือ ลงไปปรุงด้วย จริงๆ ก็ไม่เก่งเท่าไหร่หรอก แต่ทำได้นะ หรือจะสมัยอาตมาอายุ ๙ ขวบ ไปอยู่กับที่เขาให้ไปอยู่ อาตมาเรียกเขาพ่อใหญ่ แม่ใหญ่นี่นะ ทำ ทำขนม ทำอะไรต่ออะไรขาย ทำถั่วแปบ ต้องมานั่งโม่ โม่แป้ง ต้องมานั่งปั้นแป้ง ลวกแป้งมา ต้องมานั่งปั้น เขาไม่ให้ปั้นทีเดียวหรอก เราปั้นยังไม่เก่ง มันเด็ก แต่ก็พอรู้นะ ปั้น ปั้นตัวรูป ตัวขนมถั่วแปบ ปั้นเป็นตัว เราปั้น มันไม่ค่อยงามหรอก มันเด็ก มือมันยังไม่ค่อยเก่ง เขาก็ไม่ให้ปั้นเท่าไหร่ แต่ก็รู้ปั้น ก็ปั้นบ้าง อะไร อย่างนี้เป็นต้น มาเดี๋ยวนี้ ก็ทำไม่ได้แล้วละ มันเรื้อแล้ว มันลืมแล้วนะ ก็เคยทำบ้างนะ ทำโน่นทำนี่ อะไรก็เคยทำ แต่อาตมาก็ไม่ไปทำหรอก จะให้อาตมาไปช่วยทำขนม พวกเราทำก็ทำกันไป

สมณะใดที่ไป มันมันหรือยังไง ให้เขาทำกันเถอะ แรงงานไม่พอหรือยังไง ไม่พอก็เอาพอสมควร ถ้าแรงงานพอแล้วก็ไม่ต้อง อย่างไปทำเต้าหู้นี่ มันก็ไกล มันไม่ถึงขั้นขนาดผลิต ด้านปรุง มันทำต้นรากผลิต เต้าหู้ไม่เท่าไหร่ มันเป็นเครื่องกลไกขั้นหนึ่ง แต่ถ้าเผื่อว่าพอแล้ว ก็ไม่ต้องไปลงลุยกับเต้าหู้ มีคนงาน ฆราวาสรับมือไปเต็มแล้ว มีคนทำเต็มมือแล้ว ก็ไม่ต้อง แต่ตอนนี้สมณุทเทส ก็ยังไม่คุมหนัก ในเรื่องเต้าเจี้ยว อะไรอย่างนี้ ซีอิ๊วอย่างนี้ ก็ต้องทำก่อน ต่อไปผู้เป็นฆราวาส รับมือได้แล้ว ไม่ต้องถึงขั้นสมณุทเทส ต้องไปลง ก็ไม่เป็นไร หรือสิกขมาตุ ก็ไม่ต้องไปลง แต่ตอนนี้สิกขมาตุ หรือสมณุทเทสนี่ ถือว่าเอาลุยก่อนเถอะ ขั้นสมณะ ก็ช่วยเสริม แต่ถ้าเผื่อว่าทางโน้นเต็มมือแล้ว มีผู้รับเต็มตัว มีบุคคลเต็มแรงแล้ว ทางนี้ถอนตัว มาได้ก็มาขึ้นมา ค่อยๆผลัดเปลี่ยนกันไป งานใดที่มันดูล่อแหลม ในการที่มองแล้ว ก็เพ่งโทสได้ โลกวัชระ ฆราวาสเขาก็พอมีปัญญาเหมือนกัน มีปฏิภาณเหมือนกัน เขารู้เหมือนกันว่า อย่างนี้ไม่สมควร เขาก็จะรู้ แม้จะรู้ไม่ลึกอะไรนักก็เถอะ เขาก็จะเข้าใจ เราก็จะต้องรู้ด้วยว่า มันสมควรไม่สมควร แค่ไหน กิจการเรา จะมีมากขึ้น ตอนนี้

บางอันก็อย่าพึ่งขยาย ถ้าขยายมากไป แรงงานเราไม่พอแล้ว ไปกันใหญ่นะ จะเห็นได้ว่า กิจการของเรา แต่ละงานแต่ละงานนี่ มันดูเจริญทั้งนั้นแหละ งานการค้า ค้าเราก็ไม่มีอะไรมากหรอก ตอนนี้ ก็จะค้าอะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้ที่ศีรษะอโศก ปั๊มน้ำมัน แล้วจะมีการขายของ เป็นตลาดย่อยๆ ที่ปั๊มน้ำมัน คือของเขา มีมาขายของ ของๆ เราเองด้วย เป็นต้นหมากรากไม้ เป็นผลไม้ เป็นโน่นเป็นนี่ เป็นตลาดย่อยๆ ขึ้นมา จะมีขายของ แม้ข้างในจะมีร้าน เหมือนกับร้านศาลาค้า ร้านร่วมใจของเขา ร้านน้ำใจของเขาอยู่แล้ว ขายได้วันหนึ่ง ไม่ใช่น้อยๆนะ นั่นนะ แล้วเขาก็ค่อยๆ กอบก่อกันขึ้นมาเรื่อยๆ นี่ตอนนี้ ก็จะมีโรงสี เสร็จแล้ว ตอนนี้ ยังเหลือแต่จะลองเครื่อง อีกหน่อยก็จะผลิตอะไรขึ้นมา โรงสีเราก็ตลาด ไม่ต้องห่วงเลย อย่างนี้เป็นต้น เราจะเห็นได้ว่า กิจการน้ำมัน ก็ โถมันง่าย กับน้ำมันมีอะไร ลงทุนไป ก็เป็นแต่เพียง เติม เติมหมดก็สั่งเขามาเติม ก็หา หาเงิน ที่จริงหาเงินน้ำมันนี่ ไม่ใช่อะไร เราก็ได้ทุ่นแรง เพราะว่า เราก็ยังต้องใช้น้ำมัน เหมือนกันน่ะ เราก็เลยทุ่นในตัว แล้วก็เราใช้อะไรต่ออะไร ก็เป็นแหล่ง เป็นอะไรต่ออะไรไป เป็นตลาด หรือจะเกษตรนี่ หรือผลิตอะไรก็แล้วแต่ ผลิตสมุนไพร ทางด้านโน้น ได้ทุนสมุนไพรมา ที่ศีรษะฯ จากที่เขาช่วยมา แล้วเราก็เอามาทำ ก็จะต้องเป็นหลักเป็นฐานขึ้นมา มากกว่าเรา เป็นตัวผลิต พืชสมุนไพรขึ้นมา ให้มันจริงจังกว่าเรา เราก็ทำเหมือนกัน ของเขามีป่า ที่นั่นน่ะมีป่า ที่จะมีสมุนไพรได้ก่อน ที่เรานี่ มันป่าสร้างเอง เพราะฉะนั้น พืชสมุนไพรก็จะน้อย แต่กระนั้นก็ดี เราก็ต้องทำเหมือนกัน นี่เราจะไปปลูกพืช ที่มันเป็นป่าอยู่เก่า ก็คือที่ตราด ๕๐๐ ไร่ ประมาณนั้น ที่ตราด นี่เราก็จะไปกันอีก วันที่เท่าไหร่ ๒๗ เด็กก็จะ ไปกัน ไปช่วยปลูก เอาอะไรไปปลูกกัน

กิจการต่างๆ พวกนี้ เราจะมีผลิต เราจะเป็นตัวผู้ผลิตเองให้ได้ ถ้าเราผลิตเองได้ มี แหม ผลผลิต ที่เป็นของพวกเราเอง ในเครือข่าย งานค้าก็ดี งานผลิตที่เป็นร้านขายก็ดี เป็นร้านปรุง อย่างอาหารอย่างนี้ เป็นต้น เรามีผลผลิต จากของเราเองไป

๑. เป็นของธรรมชาต ไม่มีมลพิษ

๒. ผลผลิตของพวกเราเอง ขายกันได้ถูก เพราะว่าเราถูก เราก็ขายได้แล้ว เราอยู่ได้แล้ว เป็นต้น ต้นทุน ก็ถูกไปอีก ผลิตออกไปนี่ โอ้โห เราจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม คือเราก็ลดราคา หรือว่าเราก็ขายถูกลงไป ให้แก่ประชาชน ได้รับของถูก ของดี ประโยชน์ก็ดีแต่ประชาชนมนุษยชาติ เป็นการเสียสละอย่างหนึ่ง ถ้าเราคิด สังคมทุนนิยม เขาจะขูดจะรีด ของปลอม ของแปลง ของมอมเมา ของมีพิษอะไรขึ้นไป มันทำ ทารุณกรรมมนุษยชาติ มันเป็นบาป เราก็แนะทางบุญ เราก็ทำสิ่งที่เป็นบุญ ของให้ดี ให้มีคุณค่า ราคาให้ถูก เกื้อกูลกัน อย่าไปขูดไปรีดกัน บอกแล้ว ทฤษฎีกำไรขาดทุน ของอารยชน ถ้าไปขูดไปรีดกัน มันก็ไม่ดี มันยิ่งลดเท่าไหร่ มันยิ่งเป็นบุญเป็นกุศล แก่กันและกัน พฤติกรรมอย่างนี้แหละ ของสังคมมนุษยชาติ ที่เข้าใจสัจจะ ที่ถูกต้อง อย่างนี้แล้วก็จริงใจ ที่จะทำให้ได้ ถ้าแม้ที่สุดเป็นสังคมที่ อย่าว่าแต่ขายถูกเลย แจกฟรีกันได้ จะไปมีอะไร ก็มาแบ่งกันกิน มีอะไรก็มาแจกกันกิน ข้างในเรานี่ ให้มีอย่างนี้เลย มีผลผลิต อะไรๆ เราก็แบ่งกันกิน คนนี้ทอผ้า คนนั้นสานตะกร้า คนนี้ทำไอ้โน่นไอ้นี่ก็มี คนไหนขาดอะไร ก็แบ่งแจกกัน อะไรต่ออะไร ของจำเป็นสำคัญอะไร ก็ใช้ของเรา ในหมู่พวกเรานี่ ซึ่งมันก็เป็นแล้ว เรามีสหกรข้างใน เบิกใช้ เบิกสอย แม้บางอย่างบางอันต้องซื้อ เราก็ยังซื้อมาไว้ แบ่งแจกกันได้ ของที่สร้างเอง ผลิตเอง แจกจ่ายกันได้ แลกกันได้อยู่แล้ว ข้างนอกเขาต้องขายบ้าง ต้องแลกเปลี่ยนคืนบ้าง อะไรบ้าง ก็เป็นจังหวะ ที่จะสัมพันธ์ออกไป แต่ถึงจะขาย จะแลกเปลี่ยน อะไรก็แล้วแต่ เราก็จะเป็นไป เพื่อการแลกเปลี่ยน ที่จะเกื้อกูลให้ หรือ ทาน แจกจ่ายให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ตามฐานะที่จะอยู่ได้ มันจะเป็นรูปรอย อย่างนี้ไปเลยกับสังคม

เราจะปลูกฝังอันนี้ให้จริงจัง แข็งแรง แล้วมันจะเป็นวัฒนธรรม เป็นวัฒนธรรม เป็นกิจกรรม เป็นพิธีกรรม เป็นพฤติกรรม พฤติกรรมก็คือกาย วาจา ใจ ของคนนี่ อย่างจริงใจ แม้อะไรที่จะฝืนอยู่เป็นขัดเกลา เราก็จะรู้ว่า เราขัดเกลาอะไร เกลาอะไร หรือรังสรรค์อะไร การปฏิบัติกาย วาจา ใจนี่ รังสรรค์เหมือนกน ต้องทำท่าที กายกรรมอย่างนี้ วจีกรรมอย่างนี้ ให้มันตรง ให้มันจริงอย่างนี้ บางอย่าง มันจะมีกิเลสฝืนอยู่ ก็ต้องทำให้มันตรงอย่างนี้ ให้ชำนาญ ให้เป็นจริง ให้เป็นตถตา ให้เป็นเช่นนี้เองเลย เป็นอัตโนมัติ เราต้องรู้เป้าหมาย ของการเป็นชีวิต กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เราต้องการให้ดีอย่างไร ขัดเกลาอย่างไร ปรับอย่างไร ปรุงอย่างไร ปรับก็คือ จัดเจียนอย่างไรบ้าง ปรุงก็คือเสริม เติม อย่างไรบ้าง ให้มันได้สัดส่วน ให้มันได้รูป ทั้งกาย วาจา ใจ ลงตัวหมดเลย เป็นไปอย่างอัตโนมัติ เป็นไปอย่างง่ายดาย เป็นไปอย่างเป็นเอง นี่คือความมุ่งหมาย ของแต่ละชีวิต ที่จะต้องเป็นไปทุกชาติ ทำได้ก็จะชำนาญ ก็จะเป็นอย่างนี้ ไปเรื่อยๆ โดยมีจุดสำคัญ ที่เรารู้ว่า เกิดมาเพื่อสร้างสรร เสียสละ เกื้อกูล ช่วยเหลือเฟือฟายกัน มีชีวิตกันอยู่ อย่างเป็นพี่เป็นน้อง ไม่มีทุกข์ มีเรื่องเดือดร้อนอะไร ก็ช่วยกันคลี่คลายแก้ไข อย่างฉลาด ไม่ใช่อย่างมอมเมา ไม่ใช่อย่าง ทำให้เกิดกิเลส ทำให้เกิดนิสัยเสีย ตกต่ำ ไม่ใช่ !

แม้เราจะทำงานกับสังคม เราก็ปรารถนาดี เพราะฉะนั้น ลูกค้าบางคน ที่ไม่น่าขายให้ เราจะไม่ขาย เพราะถ้าขายให้เขาแล้ว เขากลายไปเป็นคนเลว ตกต่ำ เป็นคนเลว ในสังคมขึ้นมา เช่น ยกตัวอย่าง ศาลาค้านี่ แต่ก่อนเราขายข้าวกล้อง พอขายข้าวกล้อง เสร็จแล้วก็มีคนมาซื้อข้าวกล้อง มาซื้อ ซื้อมากขึ้น มากขึ้นเรื่อย บอก เอ๊อ เราขายข้าวกล้อง ขายดีเว้ย เราก็นึกว่า เราเป็นประโยชน์ หนักเข้า เราก็มารู้ว่า คนมาซื้อข้าวกล้องนั่นซื้อไป เป็นไงข้าวกล้องได้ประโยชน์กินดีไหม ว่าอย่างนั้นนะ เขาก็บอกว่า ดีครับให้กำลังดีมากทีเดียว โอ๊ เราก็ดีใจว่าเขาเห็นแล้ว เห็นคุณค่า ของการกินข้าวกล้อง แล้วได้กำลัง บอกว่าไก่ผมนี่ ตีเก่งเลย เขาว่าอย่างนั้นนะ โอ้โห เลี้ยงทุกตัวเลย มีกำลังดีมากเลย บอก อ้อ คุณไม่ได้เอาไปกินเอง เปล่า ผมไม่ได้กินข้าวกล้อง ผมเอาไปให้ไก่ เราเลยเลิกขายเลยคนนี้ หยุด คุณไม่ต้องซื้อ ซื้อมากก็ไม่เอา ไม่ให้ เพราะเขาไม่ได้ประโยชน์เลย เขาเอากลับไปก่ออบายมุข ไปเอาไก่ ไปตีกันอีก ไปเลี้ยงไก่ เป็นไก่ตีโน่นแน่ะ เอาข้าวไปเลี้ยงไก่ นึกว่าคุณกิน แล้วได้คุณค่า ได้ประโยชน์ จากข้าวกล้องเรา ที่ไหนได้ ซื้อ ถูกดีครับบอก แหม ผมเลี้ยงไก่ผม กำลังก็ดีด้วย ถูกดีด้วย เขาก็เลยมาซื้อใหญ่เลย เราก็เลยบอก ไม่ขายแล้วข้าวกล้อง ไม่ขายให้คุณแล้ว ทั้งๆ ที่เราขายของได้มากด้วย อย่างนี้เป็นต้น เหมือนทาน ทำทานเหมือนกัน ทานแต่เขาเองเขาได้ ก็เขาได้รับขาย ซื้อราคาถูก เขาก็ได้เหมือนกัน กับทาน อยู่แล้ว ในตัวส่วนหนึ่งใช่ไหม แต่เสร็จแล้ว เขาไม่ได้ประโยชน์ เขาไปทำอบายมุข อย่างนี้เป็นต้น เราไม่ขาย หยุด ไม่เอา นี่นัยซ้อนอย่างนี้ เราจะทำทาน หรือว่าเราจะทำประโยชน์ เราจะทำกิจกรรม การอะไรนี่ เราก็ต้องเป็นไป เพื่อที่จะพัฒนาคน

บางสิ่งบางอย่างเราสู้ได้ เราก็ไม่เอาแล้ว อันนี้เราไม่ทำ อันไหนที่เรายังสู้ไม่ได้ เราต้องยอม อนุโลม อันนี้เราต้อง บางทีเราขายสินค้า บางอันนี่ เรารู้อยู่ รู้อยู่ว่า เราก็ต้องยอมขายอันนี้ เพื่อการอยู่รอดของเราบ้าง เราก็ขายไปบ้าง ที่จริงเราควรเลิกแล้ว แต่เรายังจำเป็นต้องขาย เช่นของพลาสติกเป็นต้น มันต้องมีอยู่บ้าง ยังจะหยุดทีเดียว ไม่ได้หรอก ขายพลาสติก สินค้าพลาสติกอย่างนี้เป็นต้น เราก็เลยจำยอม นัยละเอียดพวกนี้ อาตมาจะค่อยๆ อธิบายให้พวกเราฟังซ้อน ซ้อนไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น กิจกรรมกิจการอะไรต่ออะไร ของเราเดี๋ยวนี้ สรุปแล้วก็คือ พิสูจน์ได้เลยว่า ของดีและ ราคาถูก จริงใจ เป็นไป ไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรเลย เป็นไปเพื่อการอยู่รวมกัน เป็นมนุษยชาติ ที่จะเกื้อกูลแก่กันและกัน ไม่ใช่ว่าขายถูก เพื่อล่อให้คุณมาติดเรา แล้วทีหลังเราก็จะมีวิธีซุกซ่อน มีแอบแฝงเหมือนกับร้านค้า วิธีการของทุนนิยมเขา ไม่ใช่ ไม่ใช่เลยเด็ดขาด จะเป็นเรื่องที่เราทำ ด้วยความเสียสละ สร้างสรรที่จริงใจ สร้างสรร เสียสละที่จริงใจ เราจะเป็นคนอย่างนี้ให้ได้ เกิดกลุ่ม เกิดหมู่ เกิดความจริงของสังคม โตขึ้นๆ โตขึ้น คนอื่นเขาเข้าใจจริงยิ่งขึ้นแล้ว เขาจะรู้ดี ที่ศีรษะอโศกนี่ สรรพากร ถูกพวกที่ขายน้ำมันไปร้อง เพราะอะไร เขาบอกว่า พวกนี้มันขายถูกนี่ มันเสียภาษีหรือเปล่า ว่าอย่างนั้นนะ มาเลย พวกสรรพากรก็เลยถูกพวกนั้นจี้ มา

สรรพากรของเราที่นี่ ไม่มีปัญหา สรรพากรเกิดที่โน่นมีปัญหา แต่สรรพากร ของศีรษะอโศก เขาก็เข้าใจเรานะ ก็เลยหาทางออกกัน ถ้าเป็นสหกรณ์ มันก็จะมีเรื่องของกฎหมาย เขาอนุโลมเรื่องภาษี อะไรต่ออะไรอยู่แล้ว เขาสนับสนุนเลย บอกว่าคุณนี่แหละ ไปจดสหกรณ์ได้ ก็เลย ตอนนี้ศีรษะอโศก ก็เดินเรื่องสหกรณ์ อย่างสำคัญขึ้นมากแล้ว คงจะจดก่อนปฐม ปฐมเรานี่มันไม่มีอะไรมาจี้ เราก็เลย รอให้เขาเดินเรื่อง เขาเสร็จเมื่อไหร่ปั๊บ เราก็เอาอย่างนี้หรือ แล้วเราก็จะไปจดเหมือนกัน แต่เราไปจดตามเขา ให้เขาเดินเรื่องเถอะ เพราะเรามีบุญ ไม่ต้องเหนื่อย ให้เขาจัดการว่า จะทำยังไงๆ ให้เสร็จเสียก่อน แล้วเราก็ค่อยทำ อย่างนี้หรือ แล้วเราก็ให้เขา มานำพาสอนเรา แล้วเราก็ไปทำตามเขา จบเราไม่ต้องไปวิ่งเต้น ซ่อกแซ่ก อย่างโน้นอย่างนี้ๆ ขณะนี้นี่ อาตมาให้ราชธานีอโศก ซึ่งยังไม่เป็นหมู่ชุมชน แต่ต่อไป อาตมาว่า ราชธานีอโศก จะเป็นชุมชน โมเดลที่ ๒ ต่อจากปฐมอโศก ที่ปฐมอโศกนี่ เริ่มต้นสร้างชุมชน ตั้งแต่แผ่นดิน ถมดินขึ้นมา แล้วก็ปลูก ทำลำธาร ทำแม่น้ำ ทำภูเขา น้ำตก หาดอะไร ทำมาเองหมด จนกระทั่ง มีต้นไม้ขึ้นมา ปลูกต้นไม้ขึ้นมา มีบ้านมีเรือน เป็นหมู่บ้านขึ้นมา ประเภทที่เรียกว่า โอ้โห เรียกว่า เป็นพระเจ้าระดับที่หนึ่ง ต้องสร้างตั้งแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ มาเลย พระเจ้าเนรมิต ต้องบันดาล ต้องสร้างมาตั้งแต่ ระดับที่หนึ่งเลย จนมาเป็นชุมชนขึ้นมา โมเดลที่ ๑ ก็เป็นรูปขึ้นมาบ้างแล้ว ทีนี้ราชธานีอโศกมีที่ ก็ขณะนี้ประมาณ ๑๐๐ ไร่ มากกว่านี้อีก อาตมาก็ว่า ที่ประมาณ ๑๐๐ ไร่นี่ดีแล้ว เสร็จแล้วที่นั่น ไม่ต้องไปถมดิน ไม่ต้องไปขุดลำธาร เพราะมีลำธาร มีบึง มีอะไรแล้ว ติดกับแม่น้ำ แม่น้ำไม่ต้องทำเลย แม่น้ำมูล ของแท้ อาศัยแม่น้ำจริงๆ ที่สุดเลย เราก็จะได้ภูมิประเทศ อีกอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนปฐมอโศกทีเดียว

ไม่ต้องมีน้ำต่งน้ำตก อะไรมากมาย มันมีน้ำไหลอยู่แล้ว ที่จะให้เกิดน้ำตกนี่ เพราะเราต้องการ ให้มีน้ำไหลเวียนบ้าง เพราะที่นี่มันไม่มีเลย แต่ที่นั่น มีน้ำไหลเวียนอยู่แล้ว เราก็จะไปอะไรที่ ต่อนิดหน่อย เท่านั้น มันก็จะได้ ค่อยไปคิดอีกทีหนึ่ง ยิ่งต้นไม้ก็มีอยู่แล้วน่ะ มีป่าละเมาะ มีต้นไม้ใหญ่ อยู่พอสมควร อยู่ที่นั่น จะได้อะไรที่เป็นก่อน ทีนี้ก็จะได้คนถิ่นพอสมควร ที่อุบลฯน่ะ ศีรษะอโศก เขาก็เป็นชุมชนอโศก อยู่ที่ศีรษะอโศกบ้าง เป็นรูปอันหนึ่ง ที่ชาวศีรษะอโศก เขาไปร่วม บางคน ก็จะไปเป็นมวลสมาชิก บุกเบิกอยู่ที่ราชธานีด้วย ตอนนี้ก็เลยให้ราชธานีนี่ ลองเริ่มเป็นต้นแบบ สหกรณ์ดูซิ ก็ให้ราชธานีอโศกนี่ เริ่มจดเป็น สหกรณ์ก่อน ไอ้นี่สร้างขึ้นมา เป็นรูปหมู่ชุมชนแล้วค่อยจด ส่วนอันโน้นนี่ กำลังยังไม่สร้างทีเดียว กำลังเริ่มต้น จดมันก่อนเลย เป็นสหกรณ์เลย แล้วก็ดำเนินขึ้นมา ซึ่งเรารู้แล้วว่า เราจะทำอะไร อย่างไร ก็จะเกิดเป็น ชุมชนของชาวอโศกขึ้นอีกอันหนึ่ง ตอนนี้ก็เลย ทางศีรษะอโศก มันกลางๆ มันถูกจับมัดมือ ให้จดสหกรณ์ก่อน ศีรษะอโศกก่อนปฐม เพราะมีความจำเป็น เขาอย่างว่าแหละ ถูกบีบคั้นมา ทางปั๊มน้ำมัน มันเป็นไป ตามเหตุตามปัจจัย

ที่ราชธานีน่ะ เดินก่อนเลยนะ เดินเรื่องสหกรณ์นี่ก่อน ศึกษาก่อน มีผู้เดินเรื่องก่อนนะ เอาไปเอามา ศีรษะอโศก จะจดได้ก่อนก็ไม่รู้ ยังไม่รู้เลยตอนนี้ แต่อาตมาให้ร่วมมือกัน เพราะว่าทางนี้เดินเรื่องถามไถ่ ปรึกษาหารือมาก่อนแล้ว ทางราชธานีนี่ ก็มีหนึ่งดิน มีหนึ่งฟ้า หนึ่งฟ้านี่เขาก็เปลี่ยนทะเบียนแล้ว หนึ่งมาเป็นหนึ่งฟ้า นาวาบุญนิยม ทิพย์วิมลน่ะ ซึ่งเป็นต้นรากเรื่องที่ดินของเขา ที่มอบให้มูลนิธิ เพื่อที่จะทำตอนแรกน่ะ เป็นต้น ต้นราก ก็ของเขาละ ที่ดินของเขา ๒๐, ๓๐, ๔๐ ไร่อะไรของเขา ที่เขาซื้อเอาไว้ก่อน แล้วก็เริ่มต้นก่อน ก่อหวอด แล้วก็เป็นมา จนกระทั่งเดี๋ยวนี้นี่ แต่ที่จริงไม่ใช่ทีเดียวน่ะ มีสุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง มีหนึ่งดิน เป็นนักกฎหมาย ก็วิ่งเต้นเรื่องนี้อยู่ ก็ติดต่อ ติดตามเรื่องราวมา นั่นแน่ะ ไปโน่นเลย ตกลง รู้กว่าก็ดีแล้วละ เอาเลย นักกฎหมายนี่ แหมทำเป็นผมอ่านหมดแล้ว กฎหมายของสหกรณ์ ก็อ่านหมดแล้ว อะไรๆก็เอา ก็เดินเรื่องไม่ว่าอะไร แต่ทางโน้น ก็ดูจะขมีขมัน จะจดก่อน ก็ให้ตกลงกัน คุยกัน เพราะว่า เราก็มีข้อมูลกันดีแล้วให้ทำ

ต่อไปเราก็จะเข้ามาหาทางสหกรณ์ ซึ่งอาตมาเห็นว่า ยิ่งมานึกๆแล้ว เอ๊ สหกรณ์นี่ เขาสร้างไว้ เพื่อชาวเรานะ เพราะว่าทางโลกเขาทำไม่ได้ สหกรณ์นี่ มันทำไม่ได้เพราะคน คนไปร่วมมือ สหกรณ์นี่ ก็คือ ร่วมการกระทำ ของเขามี ณ เณร การันต์ แปลว่ากรณะ แปลว่าการกระทำ ของเราสหกร ของเรานี่ กร แปลว่ามือ ร่วมมือ เขา เขานี่ ร่วมการกระทำ ที่จริงการกระทำ ก็คือมือนั่นแหละ เขาเองเขาทำไม่ได้ เพราะคนมันทำไม่ดี เพราะมือมันไม่ดี มือมันเน่าเขา เรามือดี มือสะอาด ก็เราก็จะไปทำได้ดี เรามือสะอาด คำตอบ มันอยู่ที่คนจริงๆ พวกเรานี่ อาตมาว่าพวกเรามั่นใจนะว่า เราจะทำได้ เจตนาเขาจะทำอย่างนี้นั่นนี่

อาตมาว่า เอ๊ พวกเรานี่อยู่กับสังคมเขานี่นะ มันยาก เพราะมาตรการการค้าก็ดี ภาษีก็ดีอะไรนี่ เราดำเนินการยาก พอมาช่องสหกรณ์นี่ อาตมาเห็นแล้วว่าไปได้

ฯลฯ

เรามาจะลดราคาให้แก่ประชาชน มีขีดแล้ว ลดไม่ได้กว่านั้นแล้ว เพราะทุนนิยม มันเป็นตัวดึง ลดกว่านั้น เสียภาษีมาก แล้วเราก็อยู่ไม่ได้

เพราะฉะนั้น ต้องลดได้แค่นี้ ประชาชนก็เลยเหมือนถูกตีขีดเอาไว้ว่า ลดกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่การค้าของเรา ลดจนกระทั่ง แจกฟรี ตามระบบบุญนิยม ขายต่ำกว่าทุนก็ได้ เพราะฉะนั้น บริษัทนี้เป็นไปไม่ได้เลย จะมีสินค้า ที่จะขายต่ำกว่าทุนหรือฟรี ถ้าเผื่อว่าเป็นอย่างนี้ไม่ได้ เราก็ว่ามันไม่รอด แต่ถ้าเผื่อว่า มาทำแบบที่เรียกว่า ภาษีก็ไม่มีขีดขั้น หรือว่าภาษีนี่จะเสีย ไม่มีขีดขั้นของเขา ๕% ให้แก่สันนิบาต เสร็จแล้ว มีแมกซิมั่มชาร์จด้วย เกินหมื่น ไม่ต้อง ถ้าภาษีนี่เกินหมื่น จะมากแค่ไหน คุณจะกำไรแค่ไหน คุณจะมีส่วนเกินแค่ไหน คุณไปจ่ายคืนให้กับผู้ถือหุ้น กับสมาชิกเอง เกินนั้น รัฐบาลไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณแล้ว

ถ้าเผื่อว่าเรามีวิธีการที่ว่า แม้แต่พวกเราผู้ถือหุ้น หรือสมาชิก เราก็ไม่ต้องการปันผล อะไรมากมาย เงินเหล่านี้ไม่ต้องการ เมื่อเงินเหล่านี้ไม่ต้องการ เราก็ไปลดให้แก่ลูกค้าใช่ไหม ประโยชน์ ก็จะกระจายไปสู่ประชาชน สมาชิกหรือผู้ถือหุ้น ก็จะเป็นผู้ที่จะลงทุน เพื่อที่จะให้ประโยชน์ แก่ประชาชน ซ้อนลงไปอีก นี่คือหลักเศรษฐศาสตร์ธรรมดาน่ะ มันก็จะประโยชน์แก่ประชาชน ก็จะได้ของถูกลงไปอีก เพราะผู้เป็นผู้ถือหุ้น หรือสมาชิก ผู้ที่จะลงทุนนี้ ไม่ต้องการขูดรีด เท่านี้เขาก็พอแล้ว สันโดษแล้ว

เมื่อขายดี เมื่ออะไรดีขึ้นมา มันมีผลมากขึ้นเขาไม่เอา ก็ลดลง เมื่อลดลง เงินนั้นมันก็กลับมา ในวิธีการของเรานี้ การลดต้นทุนได้ เพราะว่าเงินเหล่านี้ เราเอาไปคืนให้แก่ผู้นั้น ผู้นี้ที่จะควรแก่ผู้ผลิต ควรแก่อะไรต่ออะไร มันจะลดต้นทุนอะไรลงไปได้หมด เอาเป็นเงินไปสนับสนุนผู้ผลิตก็ได้ เอาผู้ผลิต เอาเงินของบริษัทนี้ ไปสนับสนุน เงินของกองทุนของบริษัท เอาเงินของกองบุญนี่ เอาผู้ผลิตนี่ เอาเงินนี่ ไปเป็นต้นทุน เมื่อเอาเงินไปเป็นต้นทุนทางโน้น ก็ขายถูกลงมาได้อีก เพราะลดต้นทุน ในการทำ การผลิต ได้อีก ก็เอามาขายให้แก่บริษัท บริษัทก็ได้ผลผลิตในราคาถูกอีก พอราคาถูก ก็ขายให้ประชาชน ได้ถูกลงไปอีก เห็นไหมว่า การหมุนเวียนที่ซับซ้อนน่ะ มันจะเกิดอย่างนี้

ในเรื่องของสหกรณ์ ถ้าเราทำด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์อย่างที่ว่านี้นะ ไปได้เลย แต่ทางทุนนิยม ทางโลกๆ ไม่มีเสียละ มันได้เปรียบเท่าไหร่ มันก็ยิ่งยินดี ราคามันยังไม่ยอมลดเลย ขึ้นไปอีกขึ้นไป ถ้าขึ้นแล้ว ไม่มีทางลด ของโลกทุนนิยมไม่มีทางลด มีแต่ขึ้นๆๆ แม้จะขายได้ดีก็ตาม ไม่ลด ถ้าขายดี โก่งราคา เพิ่มราคา เสียอีกแน่ะ อย่างนี้เป็นต้น คือมันจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่เราจะไม่ทำความเดือดร้อน ให้แก่กันและกัน ทุนนิยมนี่ โดยนัยละเอียด อาตมาเห็นแล้วว่า ทุนนิยมไปไม่รอด ทุกวันนี้ เราถึงบีบคั้น ก้าวไปหากลียุค

มาแสดงก่อนที่กลียุคจะเกิด ให้คนได้ติดอันนี้กับวิญญาณไป อันนี้เป็นสัจจะลึก ที่อาตมาบอกพวกเรา ก่อนที่จะถึงกลียุคนี่ เราจะต้องตราสิ่งที่เป็นปัญญา หรือเป็นความรู้นี้ ฝังใส่จิตวิญญาณคนไป เพราะฉะนั้น คนจะตายนี่ โลกมันถึงจะไม่ล่มสลาย พอกลียุคแล้ว ตายไปแล้ว สิ่งเหล่านี้ ก็ติดจิตวิญญาณมนุษย์ไปว่า สิ่งที่ดีที่สุด คืออันนี้

พวกเรานี่ จะเป็นคนทิ้งเชื้อกุศล ทิ้งเชื้อสิ่งที่ดีที่สุดนี้ ไว้ให้แก่มนุษยชาติ ต่อให้โลกนี้แตก เผาโลกไปเลย สิ่งนี้ก็จะเหลือต่อทอดไป เกิดวนเวียนสิ่งดีจะไปเกิด เพราะยังไม่ขาดตอนในกุศล นี่เป็นอจินไตย อีกอันหนึ่ง ที่เล่าสู่ฟัง สิ่งที่เป็นกุศลก็จะไม่ขาด ด้วยนัยอย่างนี้ จะต้องมีสิ่งที่ดีที่สุด อันนี้เข้าไป ถ้าไม่เช่นนั้น เป็นแต่ทุนนิยม คนเลยไม่รู้เรื่องเลยว่า ถ้าสมมุติว่าอันนี้ไม่มี หายไปหมด พฤติกรรมที่ดีเป็นยังไง ของมนุษยชาติ เจตนารมณ์ที่ดี ความบริสุทธิ์ใจที่ดี มีหรือไม่ คนกลียุคจะไม่รู้เลยว่า คนจริงใจ คนบริสุทธิ์ใจ ไม่มีให้แล้ว มีแต่คนขี้โกงกันทั้งนั้น มันก็ได้แต่เชื้อวิญญาณอันนี้ไป ตายแล้วเกิดมา ก็มีแต่นรกเกิด เพราะคนไม่เห็นความจริงแล้ว ไม่มีความจริงใจ

การเกื้อกูลละก็ ยิ่งไม่มี มีแต่สภาวะมารยาที่ซับซ้อน ที่ซ่อนเชิงกันอีกมากเลย ร้าย เชื่อว่ามีแต่ ความเลวร้าย และในโลก ในอนาคตเป็นยังไง เกิดมาก็ร้อนทันที เพราะไม่มีความจริง ไม่มีความบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น เชื้อบริสุทธิ์นี้ อย่างน้อยที่สุด ก็ฝังไว้ลึกๆ ในจิตอันคอนเชียสเขา อนุสัยอาสวะเขา ก็ยังดีนะ

นี่เป็นบุญสุดท้าย ที่เราจะได้สร้างบุญสุดท้าย เชื่อมต่อเยื่อใยวิญญาณกุศลสุดท้าย ให้แก่กลียุค เขาบอกว่า อโศกเรานี่ เหมือนกับพวกศาสนาคริสต์ เขาเรียกว่า เป็นพวกมอร์มอลล์ เขาเรียกอะไร สิทธิชนหรือ สิทธิชนยุคสุดท้าย แหม เขาใช้คำว่าสิทธิชน ของเราจะเรียกอะไร ของเรานี่มนุษย์พิเศษนะ อาริยชนชุดสุดท้าย อาริยะจริงๆ อาริยะชนยุคสุดท้าย ชุดสุดท้าย ที่อาตมาบอกพวกเรา มาแต่ต้นว่า พวกเรานี่ รถด่วนขบวนสุดท้าย รถด่วนขบวนสุดท้าย ที่จะทำให้แก่โลกเขา

เราก็จะสร้างสัมมาอาชีพ สร้างสัมมากัมมันตะ สร้างอะไรต่ออะไร ที่อย่างที่เราจะมีปัญญาเข้าใจ อาตมาขยายความมามากขึ้นแล้ว เราก็จะเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นไป ซึ่งจะเป็นกิจกรรมของมนุษย์ โดยมีการอบรมพฤติกรรมของมนุษย์นี่ ไปก่อกิจกรรม ไปก่อพิธีกรรม ให้แก่มนุษย์ไว้ในโลก พิธีกรรม ก็เป็นเรื่องของจารีต ประเพณี วัฒนธรรม กิจกรรมก็เป็นเรื่องของการงาน ในมนุษย์ ๒ อันใหญ่ๆ พิธีกรรม กิจกรรม ๒ อันใหญ่ๆ ของมนุษย์ ก็จะเป็นไปในโลก จะมีรายละเอียดเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ พวกเราก็สังเกตสิ่งที่เกิด อาตมาก็ดูแลอยู่ มันมีอะไรเกิดก็ดู อาตมาก็หยิบเอาสิ่งพวกนี้แหละ เป็นรูปธรรม ของจริง รูปธรรมที่เกิดขึ้น เกิดจากนามธรรม ที่ได้ขัดเกลา นามธรรมที่ได้ศึกษา อบรม ฝึกฝน ยิ่งนามธรรม หรือจิตวิญญาณ ของเราบริสุทธิ์ สะอาด จากกิเลส มีจิตใจที่บริบูรณ์ เป็นพระอริยะของพุทธ มีจิตเสียสละ สร้างสรร เกื้อกูล หมดตัวหมดตน หมดความเห็นแก่ตัวจริงๆ หมดโลภ โกรธ หลง จริงๆ ได้เท่าใด ก็จะเป็นมนุษย์ ที่เป็นตัวอย่าง ประกอบกิจกรรม ประกอบพิธีกรรม ตามพฤติกรรมที่เราได้ขัดเกลา ของแต่ละบุคคลไป เป็นจริงขึ้นมาในโลกได้น่ะ

เพราะฉะนั้นเจริญ มีที่เจริญได้ไม่มีที่สุด เป็นพระพุทธเจ้ายังมีความเจริญต่อไปได้อีก เป็นพระอรหันต์ ก็มีความเจริญ อยู่ได้ตลอดไป คำตอบนั้น คำตรัสของพระพุทธเจ้าก็ว่า เราไม่สันโดษในกุศลนั่นเอง กุศล ก็แปลว่า ความเจริญ หรือแปลว่า ความดีงาม เป็นสมมุติสัจจะ กุศลเป็นสมมุติสัจจะ อกุศลเป็นสมมุติสัจจะ อกุศลไม่มี มีแต่กุศล ไม่มีที่จบ ขนาดพระพุทธเจ้า ยังไม่สันโดษในกุศล พระอรหันต์ ก็ไม่สันโดษในกุศล พระโพธิสัตว์ พระอาริยะต่างๆ ไม่สันโดษในกุศล คนก็ต้องไม่สันโดษในกุศล ทุกคนไป

เราก็ต้องพากเพียรอุตสาหะ มันเป็นเรื่องของมนุษย์ มันเป็นกำลังงาน มันเป็นพลังงาน มันเป็นพฤติกรม มันเป็นบทบาทของคน ก็สร้างก็ก่อ แล้วจะเอาแรงงานมาทำอะไรละ เกิดมามีแรงงาน มีฝีมือ มีความสามารถ มาทำอะไร มากอบโกย ก็ทำกันมากี่ชาติแล้วละ มีแรงงาน มีความสามารถ มากอบโกย สะสม เอาเปรียบ เอารัด สร้างบาป สร้างหนี้ สร้างเวรมากี่ชาติแล้วเรา เราเลิก เราก็มาก่อกุศล เสียสละไป สร้างสรรไป เราจะปรินิพพาน คุณได้เรียนรู้เป็นอรหันต์ จุดที่จะปรินิพพานได้ คุณทำ ทำได้แล้ว มีสิทธิ์แล้ว คุณจะไม่สร้างกุศลต่อ คุณจะปรินิพพานชาติใด คุณก็มีสิทธิ์ ก็ทำไว้ซี หรือคุณยังเห็นกุศล ยังจะอยากสนุก อยากจะมีโลกวิทูมากกว่านี้ อยากจะรู้โลกมากกว่านี้ อยากจะสร้างบุญมากกว่านี้ และ มีหลักประกันแล้วว่า คุณเองคุณมีอริยคุณ มีอรหัตคุณแล้ว คุณจะเกิดมาอีกกี่ชาติ นิมนต์ๆ นิมนต์ ไม่มีปัญหาหรอก

โลกนี้ไม่ได้เดือดร้อน ที่อารยบุคคลจะเกิด แต่โลกนี้มันเดือดร้อน เพราะว่า ผีห่าซาตานมาเกิดน่ะซี ใช่ไหม คุณใช่ไหม เป็นผีตัวหนึ่ง เราก็ต้องล้างผีออกไป ใช่ ยังเป็นผีอยู่ส่วนหนึ่ง บางทีก็ดูไม่เล็กนัก เอามันเล็กลง อยู่ได้บ้างเหมือนกัน แต่มันก็ยังมีตัว พอสมควรอยู่นะ ว่าจะโตทีเดียว เราก็ว่า เราก็เล็กกว่าตัวโลกๆ เขาโต เหมือนกันนะ เพราะผีที่โตๆ คุณตาดีไหม คุณว่าคุณมีตาเห็นไหม นี่ละคือมันมีญาณ มีดวงตา มีธรรมจักษุ เห็นจริงๆ ว่าอย่างนี้เป็นผี แต่อย่าไปชังเขา อย่าไปข่มเขา เวทนากัน สงสารสมเพชกันเถอะ เขาไม่รู้นะ เรารู้แล้ว เราก็มีดวงตา มีธรรมจักษุก็ดีแล้ว ช่วยเขาได้ช่วยกัน เขาเป็นอย่างนั้นแหละ ถ้าจะไปกระหน่ำย่ำยี ก็เท่านั้นเอง ทะเลาะเบาะแว้งกันเปล่าๆ เขาทำ ก็ถ้าช่วยเขาไม่ได้ ปล่อยเขา บาปก็เป็นของเขา เราช่วยเขาไม่ได้จริงๆ ถ้าเขาจะมาทำร้ายเรา เราก็ฉลาดที่จะหลบเลี่ยง อย่าให้เขามาทำบาป ก็เท่านั้นเอง การยังชีวิต อยู่น่ะ

พวกนั้นมา จบพอดี อาตมาว่าจะหยุด มารถก็มาถึง ก็ไม่ได้ฟังธรรม อาตมาก็อธิบาย เกี่ยวกับสิ่งที่เกิด สิ่งที่เป็น สิ่งที่มี ในสังคมของชาวอโศกเรา มันเกิด มันเป็น มันมีอะไรต่ออะไรกันมาบ้าง จนมาสรุป จบเอาที่ พฤติกรรมของที่เราได้ขัดเกลามา แล้วก็มาประกอบกิจกรรม มาประกอบพิธีกรรมกันขึ้นมา เป็นชีวิตอยู่ แล้วเราก็เป็นชุมชน หรือเป็นมนุษยชาติ ในสังคมอย่างชาวอโศก ซึ่งอาตมาขอยืนยันว่า จะเป็นอาริยชน ที่เขาเรียกว่า ศิวิไลซ์ มนุษย์นี่แหละ มนุษย์ศิวิไลซ์นี่ มนุษย์ศิวิไลซ์นี่แหละน่ะ มาเพี้ยนเป็นคำไทยๆ เขาอุตส่าห์ตั้ง ตั้งเป็นศรีวิไล มนุษย์ศรีวิไล ศรีก็แปลว่าดี ภาษาบาลี ศิริ วิไลก็แปลว่างาม มนุษย์ดีงาม มนุษย์ศรีวิไล มันคล้องจอง กับภาษาอังกฤษเขา ศิวิไลซ์ ศิวิไลซ์ บางทีเราเรียกภาษา สำเนียง ศิวิไลซ์ มันคล้องจองกัน ก็ไม่แปลกอะไร มันอาจจะไปจาก รากศัพท์อันเดียวกันก็ได้ แต่เอาเถอะ ช่างมัน มันก็เป็น ศรีวิไลของเรา เอา เราก็ใช้ภาษาทาง สันสกฤต ไม่ใช่ภาษาบาลีหรอก สันสกฤต ศรีวิไลซ์ ดี งาม มนุษย์ ดีงาม แล้วก็เป็นดีงามอย่างใด อาตมาก็ขยายความ แล้วนำพากันอยู่ ที่ดีกว่านี้ยังมีอีก ที่เราจะพัฒนาตัวเรา ก็ยังเหลือแต่อุตสาหะวิริยะ เมื่อเรารู้ทิศทางแล้ว เราก็ดำเนินกันไป จะได้เป็นคนดี คนดีงาม น่ะ จะได้เป็นคนดีงาม ที่จะเป็นประโยชน์ทั้งตน และผู้อื่นกันไปอีกต่อไป

เอ้า สำหรับวันนี้ พอแค่นี้ก็แล้วกัน

 


จัดทำโดย โครงงานถอดเท้ปฯ
ถอดโดย ประสิทธิ์ ฝ่ายทอง มิ.ย.๒๕๓๗
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ปึงเจริญ ๑๐ ก.ค. ๒๕๓๗
พิมพ์โดย ทองแก้ว นาวาบุญนิยม ๑๗ ส.ค. ๒๕๓๗
ตรวจทาน ๒ โดย ป.ป. ๓๑ ส.ค. ๒๕๓๗
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์