ที่นี่ตอบทุกปัญหา
พิฆาตรัก ตอน ๒

ปัญหารักร่วมเพศ
ถาม : เพื่อนผมมีจิตใจเป็นเกย์คิง จะทำอย่างไรให้เพื่อนคนนี้หายจากจิตใจที่ผิดปกติ

ตอบ: ไอ้เป็นเกย์ เป็นกะเทย เป็นอะไรไปทุกวันนี้ เป็นตุ๊ด เป็นดี้ เป็นอะไรก็แล้วแต่ มันเป็นเรื่องของ กิเลสกาม และมันเลอะเทอะเปรอะเปื้อน มันลามกกันทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะเราไม่เรียนรู้จักกิเลส ไม่เรียนรู้ เรื่องกาม เสร็จแล้วเราก็เลยเฟ้อ และก็เลยอุตริวิตถารอะไรเลอะๆเทอะๆ

อาตมาจะเล่าให้ฟังนิดหนึ่งก่อน อย่าว่าเป็นเรื่องลามกน่ะ เป็นเรื่องความรู้ที่เราต้องเข้าใจ ธรรมดา ธรรมชาตินี่ เพศผู้เพศเมียต้องสมสู่ เพื่อที่จะยังคนหรือยังสัตว์ หรือว่ายังตระกูล ยังพืชพันธุ์ เขาจึงเรียกว่า สืบพันธุ์ เขาจึงจะยังพืชพันธุ์ต่อไว้เรื่อยๆ สัตวโลกทำ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ทำ แม้แต่ต้นหมากรากไม้ เขาก็ยังสืบพันธุ์ ยังมีตัวผู้ตัวเมีย เกสรตัวผู้ตัวเมียสืบพันธุ์ การสืบพันธุ์หรือผสมพันธุ์นั้น มันไม่ใช่รส ไม่ใช่ชาติ คุณไปถามต้นไม้ดูได้ เกสรตัวผู้ผสมกับเกสรตัวเมีย นั่นมันมันส์ มันอร่อย มันอะไรหรือเปล่า? ไม่มี

แต่คนหรือสัตว์เริ่มมีกิเลส เริ่มเห็นเป็นเรื่องรสชาติ เริ่มเห็นเป็นเรื่องที่เขาจะต้องอยากได้ ก็เลยเรียกว่า ความใคร่ หรือเรียกว่ากาม สัตว์หลายประเภทสมสู่กันทุกข์ มีนะคุณเคยเห็นไหมสัตว์หลายประเภท โอ้โฮ! กว่าจะสมสู่กันได้นี่ แหม! ตัวผู้ต้องบังคับขนาดหนัก ตัวเมียโกรธฆ่าตัวผู้ตาย เยอะ ทรมานน่ะ สมสู่กันนี่ ทรมาน สัตว์หลายประเภทยังทะเลาะ ยังฆ่าแกงกันอยู่ แต่มันก็บังคับกันจนได้ บังคับกันสมสู่จนได้ กิเลส เกิดแต่ตัวผู้ ตัวเมียนี่ไม่เกิด ตัวเมียจึงทรมาน และตัวเมียทรมานกว่านะ

เหมือนกัน แม้แต่เป็นมนุษย์นี่ เพศหญิงที่จริงนี่นะ มีกิเลสกาม รู้สึกสุขนี่น้อยกว่าชาย เพราะชาย มีอารมณ์ กิเลส ไปปรุงเป็นอุปาทาน แหม! มันส์ๆ กิเลสชายมากกว่ากิเลสหญิง ในเรื่องของรสอร่อย แต่หญิงนี่ มีกิเลสสงสัยเยอะ ส่วนชายนั้น มีกิเลสที่มั่นใจว่าอร่อย และได้อุปาทานไว้แล้วว่า อร่อยมาก แต่ทุกวันนี้ เนื่องจาก การครอบงำถ่ายทอดอุปาทาน ว่าเกมสืบพันธุ์นั้นเป็นการมี "รสอร่อย" ผู้หญิงทุกวันนี้ ก็หลงเชื่อ ตาม และเกิดอุปาทานแล้ว ผู้หญิงก็มีรสอร่อยเหมือนชาย บ้างมีมากกว่าชายเอาด้วย ดังนั้น ทุกวันนี้ จึงงมงาย ด้วยรสอร่อยของกามเหมือนกัน ทั้งหญิงทั้งชาย เสร็จแล้ว ก็จะต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องอะไรเลย

ถ้าเพื่อจะสืบพันธุ์ พอสืบพันธุ์ติดเขาก็หยุด แต่ก่อนคนตั้งแต่สมัยโบราณก็เหมือนกัน สืบพันธุ์ติดแล้ว ก็หยุด และก็ไม่ได้สืบพันธุ์เพราะความใคร่อะไรหนักหนา โดยธรรมชาติเหมือนสัตว์ ถึงฤดูกาลก็สืบพันธุ์ เท่านั้นเอง แต่ต่อมา ก็มามีอุปาทานดังกล่าว กิเลสกันมากขึ้น ก็เลยไม่ใช่เป็นสืบพันธุ์ แต่มาติดรส พอติดรส ก็เลยเลอะกันใหญ่สิทีนี้ สัมผัสเสียดสีไป ไม่ใช่เรื่องสืบพันธุ์ จนสุดท้ายไม่ใช่สืบพันธุ์ ไม่ต้องการ ให้มีลูกด้วยซ้ำ แต่เป็น"เกมกาม" พอเป็นเกมกาม ก็ถือว่าเป็นความสุข ถือว่าเป็นรสอร่อย ก็เลยทำเกมนี้กัน ทำเกมสัมผัส เสียดสีเท่านั้น

หนักเข้าก็บอกว่า โอ้โฮ! มันทุกข์นะนี่ ผู้ชาย ผู้หญิงก็ตาม เอ๊! ซอกๆหา จะต้องหาคู่สมสู่เสพรส ผู้ชาย ก็ต้องไปหาผู้หญิง เขาก็หวงแหนของเขา เขาก็กลัวจะมีลูก เขาก็กลัวจะทุกข์ เพราะมีลูกทีก็ทุกข์ จะคลอดลูกที มันก็ทุกข์ ก็เลยยุ่งยากมากมาย ก็เลยวิตถารผู้ชายกับผู้ชาย ไม่ต้องทุกข์กันมาก ถ้ามันเป็น เกมมันๆด้วยกัน ผู้ชายมันเอาด้วยกันไหมล่ะ มันก็เลยมาสัมผัสเสียดสีด้วยกัน ผู้หญิงกับผู้หญิง ก็ไปสัมผัส เสียดสีด้วยกันเท่านั้น มันไม่ใช่คู่ มันไม่ใช่ตัวที่จะมีเชื้อไปผสมพันธุ์ใช่ไหม? มันก็ไม่เกิดลูก มันก็บอกว่า ตัดเรื่องทุกข์ ไปเรื่องหนึ่ง คือมันไม่เกิดลูกก็เลยเป็น "เกมกาม" ที่สัมผัสเสียดสีกันเท่านั้น เลยเป็นเรื่อง วิตถาร เป็นกิเลส ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ บาปมากกว่าผู้หญิงกับผู้ชายสมสู่กันหลายเท่าตัว เพราะเป็นกิเลส เสพรส สดๆ แท้ๆ ที่สร้างอุปาทานซ้อน อสัจจะ

เพราะฉะนั้น ผู้ใดเป็นเกย์ ผู้ใดเป็นวิตถาร เป็นเลสเบี้ยน เป็นตุ๊ด เป็นทอม เป็นดี้ อะไรก็แล้วแต่ พวกนี้ กิเลสแรง กิเลสร้าย กิเลสวิตถาร บาป กิเลสหยาบ กิเลสหนากว่าคนธรรมดา ถ้าบอกว่า ถามว่า ทำอย่างไร จะให้หาย ต้องเรียนรู้สัจจะความจริง แล้วลดกิเลสลงมา เลิกลงมา เราต้องยอมรับว่าเป็นกิเลส แล้วเรา จะต้องตั้งใจ ฝึกฝนเลิก

ถ้าคุณยังจะไปหยิ่งผยองเหมือนคนบางคนในสังคมทำปมด้อยมาเป็นปมเด่นน่ะ บ้าเลือดเลย บอกได้เลย ว่า นรกตลอดกาลนาน ศาสนาพุทธไม่ให้พวกกะเทยพวกนี้มาบวช เพราะมันเป็นวิบากของเขา สั่งสมมา ซับซ้อน พวกนี้พูดกันไม่รู้เรื่อง กิเลสมันหนา พระพุทธเจ้าถึงไม่ยอมสู้ ที่นี่ก็ไม่รับ กะเทยอย่างนั้น ไม่รับบวชที่นี่ เพราะพระพุทธเจ้าท่านตราไว้แล้วเป็นวินัย ไม่รับบวช แม้มารู้ภายหลังที่บวชแล้ว ก็ให้สึก เพราะว่า กิเลสมันมากๆ กิเลสมันหนา มันวิตถาร

เพราะฉะนั้น ถ้าอยากหายจากเป็นเกย์ ต้องศึกษาสัจธรรม อบรมฝึกฝนกันเป็นชาติๆ จริงๆ จังๆ จะต้อง ไปพากเพียร ของตนเอง ฝึกปรือไป ลดละให้ได้ มีทางหาย มีทางเลิกได้ ถ้ารับความจริง และ พากเพียร จริงๆ มีทาง ถ้าอดทนฝึกฝนละล้างจริงไม่ได้หมด ก็ได้ลด ได้จางไปได้บ้างแน่ๆ แต่ก็ทำไปเอาเองละนะ อยากไปมี กิเลสมาก มันก็เป็นของตัวเอง เอ้า! ก็ต้องพยายามน่ะ ถ้าเผื่อว่า อยากจะให้เพื่อนหาย เราก็จะต้อง อย่าไปส่งเสริม ต้องพยายามให้เพื่อนเขาฝืน หัดอด หัดลด หัดทน หัดศึกษาสัจจะความจริง


ปัญหา"ร่วมใจกันไปทำแท้ง"
ถาม:
หากชายและหญิงร่วมกันไป..ไปให้หมอทำแท้งจะบาปมากแค่ไหน? จะปฏิบัติอย่างไร? จึงจะให้ บาปนี้น้อยลง ชาติหน้าจะเสวยกรรมอย่างไร? ขอให้พ่อท่านให้ความสว่างไสว แก่ดวงจิตอันมืดมน ของข้าน้อย ด้วยเถิด

ตอบ : แหม...จะว่ายังไง..คนนี่นะ ถ้าเผื่อว่ามาบวชเป็นพระนี่ ผู้ใดที่แม้แต่ตัวเองนี่ ไปแจ้งไปบอก แนะให้ คนอื่น เขาทำแท้งแล้ว เขาก็ทำแท้งนั้นสำเร็จ พระรูปนี้ปาราชิกเลย ถือว่าเป็นคนหัวขาด ลงโทษ ประหาร ถูกลงโทษประหารชีวิต จะบาปมากแค่ไหนล่ะ...คิดประมาณดู

นี่ร่วมกันเลยนี่ทั้งผู้หญิงผู้ชายร่วมกันไปให้หมอทำแท้ง จะบาปมากแค่ไหน ก็บาปมากอย่างนั้นแหละ ขนาดพระนี่ ถือว่าถูกประหารชีวิตเลย ปาราชิก นี่คือ ประหารชีวิต

จะปฏิบัติอย่างไร? ถึงจะห้ามบาปนี้ให้น้อยลงได้ ไม่ทำเลย ต้องไม่ทำเลย ไม่ทำ ไม่ทำแท้งเลย ถึงจะบาป น้อยลงได้ ถ้าทำไปแล้ว ก็จำใส่ใจนิรันดร์ว่า อย่าได้ทำอีกเป็นอันขาด กี่ชาติก็จำให้ได้ แล้วพากเพียร สั่งสม กุศล ลดละราคะ-โทสะ-โมหะ ลงไปให้ได้จริงๆ

ชาติหน้าจะเสวยกรรมอย่างไร เรื่อง"วิบากกรรม"เป็นอจินไตย อาตมาพยากรณ์ไม่ได้น่ะ เพราะบาป หรือ อกุศลวิบาก ไม่ใช่มีกรณีเดียวแต่ละคน จึงบอกตายตัวไม่ได้ และมีทั้งวิบากกุศลที่มีฤทธิ์อีกด้วย ตอบไม่ได้ ...ชาติหน้าจะเป็นอย่างไร ตอบไม่ได้น่ะ มันก็บาปก็แล้วกัน จะไปถามทำไมว่าเป็นอะไร มันบาปแน่ มันซวยแน่ มันไม่เข้าเรื่องแน่ มันไม่เป็นสุขเป็นดีอะไรหรอก อย่าไปทำเลยนะ


ปัญหาเรื่องสามีนอกใจ
ถาม: แบบว่าเรารักสามีมากอะไรอย่างนี้นะคะ ทีนี้พอเรารู้ว่าสามีเขาไปมีอีกบ้านหนึ่งน่ะ เราก็บอกสอน ให้เขาเลิก เขาไม่เลิกเราก็โมโห ก็ลุกขึ้นเตะเขาเลยอย่างนี้

ตอบ: เอ้า...แล้วกัน แหม ก็สอนเขาแล้ว บอกเขาแล้ว แนะนำเขาแล้ว เขาไม่เลิกราก็เลิกไปซี เราก็อย่า ไปบอกเขาอีก ก็รู้แล้วว่าเขายึด เขาติด เขาพูดไม่รู้เรื่อง แถมไปเตะเขาอีก แหม เขาเตะเอาเข้าบ้าง แล้วจะ ว่าอย่างไร ดีไม่ดีก็เอามีดจวกกันตายไปเลย

ผู้ถาม : เขาไม่กล้าหรอกค่ะ เพราะว่าเรารู้นิสัยเขา คือเราจะเตรียมมีดไว้ให้เขาเลย คือเราไม่เอาเปรียบเขา นะคะ เอามีดคนละเล่มให้สิทธิเขาเลือกก่อนด้วยนะคะ จริงๆค่ะพ่อท่าน เพราะช่วงนั้น มันโมโหมากน่ะค่ะ จะหาเรื่อง ตีเขาอยู่เรื่อยเลยค่ะ รักเขามากค่ะ

ตอบ: โอ้โฮ ! นั่นแน่ะ อย่าไปถึงขั้นบีบคั้นบังคับคนเขาถึงขนาดนั้น พูดกันด้วยเหตุด้วยผล รุนแรงกัน ถึงขนาดนั้น ก็ไม่ดี ไปบีบคั้นคนนี่น่ะ ถ้าเขาไม่เกิดปัญญา บังคับได้ชั่วคราวเท่านั้นแหละ เขาจะทำอะไร ก็ทำได้ชั่วคราว เสร็จแล้วกลายเป็นฝืนด้วย กลายเป็นเก็บกดด้วย เพราะเขาไม่ได้เห็นดีเห็นด้วย ไม่ได้ความ อะไรหรอก ที่จะแก้ไข มีแต่อาฆาตมาดร้าย ถ้าเขายิ่งชิง ยิ่งชัง ก็ยิ่งอาฆาตมาดร้ายกันต่อไปอีก มันยิ่ง ไม่ได้ความ

ถาม: แบบว่าทุกวันนี้น่ะ พอตัวเองหมดเงิน ผู้หญิงก็หนีหมดเลยค่ะ ทีนี้พอเรารู้ว่าผู้หญิงหนีหมด เราก็สงสารเขา พอเห็นเขาไม่มีอะไร แล้วเราก็อดไม่ได้ สงสาร แล้วเราก็ให้ลูก เอาข้าวกับน้ำไปให้เขากิน แต่เราก็ ไม่อยากดูเขานาน สงสารเขา ทั้งๆที่ก็รู้ว่า เขาไม่รักเราหรอก แต่เราก็อดไม่ได้น่ะค่ะ

ตอบ : (หัวเราะ) เอาเถอะ เมตตาสงสารเขาบ้างก็ดี ก็ไม่เป็นไร ก็ดี ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่คิดร้ายก็ดี คิดสงสาร เกื้อกูลกัน ก็ดีแล้ว


ต้องพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำ...
ถาม: เมื่อพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกมาจากน้ำแล้ว ก็ต้องมารีดเอายางออก ก็คือมาตรวจเช็คว่า มีกามในจิต มากน้อยแค่ไหน มีความกระเพื่อมมากแค่ไหน แต่ฐานหนึ่งที่จะหลบพักอาศัยจากกามภายนอกได้นั้น เราต้อง มาอยู่กับตนเอง ตรวจตนเองอยู่กับความสงบ เสพธรรมชาติแทน ใช่ไหมครับ?

ตอบ : คนที่ยังสัมผัสแตะต้องกับสิ่งนั้นแรงๆ ขนาดนั้นไม่ได้แล้วก็ไม่สัมผัสกับสิ่งนั้นเรียกว่า เราพราก จากสิ่งนั้น ห่างออกมาจริง แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปอยู่กับที่สงบทีเดียว ในสังคมนี้เราเลือกได้ว่า จะอยู่กับ กลุ่มหมู่ไหน อย่างขณะนี้นี่คุณเอง ถ้าคุณอยู่ในโลกเขานี่ คุณสัมผัสกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กิริยาของ ปุถุชนในโลก มันก็จัดจ้านไป คุณสัมผัสแล้ว คุณก็แพ้มัน แพ้มัน คุณหลบมาอยู่กับชาวอโศกก็ได้ หรือ กลุ่มที่สัมมาทิฐิอื่น ที่ไม่เคร่งเท่าอโศกก็ได้ ไม่ใช่จะต้องไปหนีเข้าถ้ำ เข้าป่า เข้าที่สงบ อย่างดังที่หลงผิดๆ กัน ต้องมีผู้รู้ช่วยเหลือ เป็นมิตรดี สหายดี องค์ประกอบของเครื่องเจริญคือ "วุฑฒิ ๔" นั้น ต้องมีสัตบุรุษ คบคุ้น และต้องฟังคำสอนท่านเสมอ หรือแม้แต่ "จักร ๔" ที่ดุจล้อนำไปสู่ความเจริญ ก็ยังย้ำยืนยันว่า ต้องคบคุ้น สัตบุรุษ ต้องอยู่ในสถานที่ที่เหมาะควรเป็นสิ่งแวดล้อม เป็นสังคมที่ดี ที่เป็นทั้งหมดทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์ เพราะมีทั้งสถานที่สิ่งแวดล้อม (เสนาสนะ) มีทั้งบุคคล มีทั้งอาหาร มีทั้งธรรมครบ "สัปปายะ ๔" คือ ครบ "คุณค่าประโยชน์ที่เจริญทั้ง ๔ อย่าง"

มาอยู่กับชาวอโศกพาทำงาน มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จะไม่เหมือนชาวโลกเขา แต่ไม่ได้อยู่นั่งซึม เซ่อ หรือ หาหลุม หารูอะไรอยู่ ไม่ใช่ อย่างนี้เป็นต้น นี่เราจะต้องรู้จักที่อยู่ เรียกว่า เสนาสนะ สัปปายะ จะรู้จัก เสนาสนะสัปปายะ คือสถานที่ ที่เราสมควรอยู่ มีองค์ประกอบของสิ่งแวดล้อมอีก ๓ สัปปายะพร้อม นี่ก็เรียกว่า เราพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำ มาหาบุคคลสัปปายะ มีสิ่งแวดล้อม เป็นบุคคล ที่พาเราเจริญ แม้สัมผัสแล้วไม่ดึงดูดเรา ไม่ชักชวนเราลงไปหากามจัด หาโทสะจัด อะไรอย่างนี้เป้นต้น นี่เรียกว่า เราจะต้องเลือกที่อยู่น่ะ เสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ อาหารก็คือ สิ่งที่อาศัย ทั้งอาหารการกิน ทั้งอาหารทางอื่น อาหารเป็นของกิน ภักษาหาร นามธรรม เป็นวิญญาณาหาร เป็น มโนสัญเจตนาหาร เป็นต้น อาตมาก็ใช้ภาษาธรรมะมาก่อนนะ พวกนี้ก็เป็นอาหาร ที่พาเราเจริญได้ บุคคลสัปปายะ ก็เป็นบุคคลที่พาเราเจริญ แม้แต่ธรรมะ ก็เป็นธรรมะสัปปายะ ธรรมะจะพาเราเจริญ เหมือนกัน นี้เรียกว่า เราพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำ ว่าจะต้องหาสิ่งแวดล้อมอยู่ด้วย

ไม่ใช่ว่าเราจะไปเสพธรรมชาติ ธรรมชาติของคุณก็ไปตามใจของคุณ มันก็พอได้นะ หนีไปหาธรรมชาติ แต่ไม่มีมิตรดี ไม่มีครูบาอาจารย์โดยไปนั่งฟุ้งซ่านอยู่ที่มันไม่มีอะไรช่วยได้ครบครันสมบูรณ์ บางที ก็สะกดจิต ตัวเองไม่อยู่ ไปที่อย่างนั้นก็อยู่ไม่ได้นาน ถึงแม้จะไปได้นาน ก็จะหลงทาง ออกไปเป็นฤาษี เดียรถีย์ ดังที่ได้เพี้ยนๆออกไปกันจริง แบบทุกวันนี้มีมากมาย แต่ถ้ามีเพื่อนดี มิตรดี มีอาจารย์ดี ซึ่งพระพุทธเจ้า ตรัสว่า เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของศาสนา ของพรหมจรรย์ของการประพฤติธรรมเลยทีเดียว มีสัตบุรุษไปด้วย จึงจะพาเจริญ

ถาม: การมาติดสงบเสพธรรมชาตินี้ ก็ไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์กับผู้คนมากนัก บางทีก็เพ่งเพียรอยู่คือ พุ่งความคิด มาฐานนี้ เพื่อตรวจให้ชัด (แม่น) กิเลสตัวอื่นก็ไม่ทิ้ง แต่ไม่ตัดมัน อย่างนี้จะถือว่า เป็น ถีนังมิทธัง ไหมครับพ่อ ?

ตอบ : เป็นถีนังมิทธัง หนีไปโดยไม่มีครูบาอาจารย์ดีดังที่คุณพูดมานี่แหละ เสพความสงบ ตามสิ่ง แวดล้อม ธรรมชาติที่ไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยว ไม่มีโจทย์หรือเหตุที่สมควรมากระทบสัมผัส นั่นแหละ มันจะติด อาการที่มันว่างอยู่กับภพความนึกคิดของตัวเอง ความรู้สึกของตัวเอง เงียบๆ จะไม่รู้จักการต่อสู้ ไม่รู้จัก ผัสสะ ไม่รู้จักสิ่งที่ชวนให้เกิดกิเลส แล้วเราจะต้องแก้ไขปัญหานั้นๆ การดับๆวางๆ ทำลืมๆ ทำห่างๆ มันทำให้ ไม่มีตัวการมาแตะมาต้อง เพื่อคุ้ยกิเลสไปเฉยๆ มันก็เลยไม่มีเหตุ ไม่ใช่ว่า เมื่อมันไม่มีเหตุนอก แล้ว กิเลสที่เป็นเหตุภายในของเรา จะดับไปง่ายๆนะ มันเป็นเพียงไม่มีเหตุภายนอก มาคุ้ยกิเลสในภายใน ของเราออกมา ให้เราเห็น เท่านั้นเอง เราก็เลยนึกว่า เราทนได้ ก็ทนได้ซิ มันไม่มีอะไรมายั่ว มันไม่มีอะไร มากระแทก กระทุ้ง มาคุ้ย หรือไม่มีอะไรมาทดสอบกัน เท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น ตา หู จมูก ลิ้น กายนี้จะต้องผัสสะ ในศาสนาพุทธ มีผัสสะอย่างน้อย อย่างอ่อนก็ตาม มันจะต้อง มีผัสสะ แล้วจะเกิดกิเลส หรือกิเลสไม่เกิด ก็จะได้รู้ความจริงกันแน่ๆ



แซวผู้หญิงบาปไหม ?
ถาม: แซวผู้หญิงในกลุ่มบาปไหมครับ?

ตอบ: บาป...ต้องตอบกันอย่างนี้เสียก่อน เพราะว่าเคยโกรธกันมามากแล้ว ถ้าคุณจะแซวอาตมานะ ที่จริง มันย้อนกลับนะ ยิ่งบาปมาก เพราะว่าไม่สัมมาคารวะ ไม่เคารพนับถือ ยิ่งบาป แต่แซวอาตมาได้ เพราะ อาตมาไม่โกรธ เหมือนกับคุณเองนี่นะ คุณไปด่าพระอรหันต์นี่ ด่าพระอรหันต์ ด่าได้ ท่านไม่โกรธ หรอก แล้วคุณก็ไม่เจ็บตัวด้วย ทว่าบาปมาก แต่ถ้าคุณไปด่าคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์นี่ เตรียมตัวนะ ด่าแล้ว เขาก็ จะเอาคุณเหมือนกัน

คุณถามว่า แซวผู้หญิงได้ไหม ? ผู้หญิงเขาจะเอาปืนยิงเข้าให้ก็ไม่รู้ด้วยนะ เขาโกรธเป็นเหมือนกัน แต่ถ้ามาแซวอาตมาก็แซวได้ อาตมาไม่โกรธ แต่มันก็ไม่ควรแซว เพราะบาปกว่าแซวผู้หญิง ที่มีคุณธรรม น้อยกว่าอาตมา คล้ายๆกับไปด่าพระอรหันต์นี่ มันไม่ควรด่า ไม่ควรแซว แต่คุณด่าพระอรหันต์ พระอรหันต์ ไม่ทำร้ายคุณหรอก อย่างที่กล่าวแล้วนะ นี่มันก็มีภาวะตีกลับซับซ้อนอยู่อย่างนี้

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรหรือไม่ควรนี่ จะต้องมีปัญญาดีๆนะ ทีนี้ผู้หญิงที่เรารู้กาลเทศะ แซวกันเล็กๆ น้อยๆ พอคลายเครียด พอมันเป็นการแซวกัน หรือ ทำให้เกิดการเบิกบานใจ สนิทสนมกันนี่ มันก็เป็นกรรมวิธีหนึ่ง ของมนุษย์เหมือนกัน ฉะนั้น ต้องพอเหมาะพอดี ก็ไม่เป็นไร แต่ระวังแซวกันหนักๆ ไม่ประมาณ บาป บาปคืออะไร มันไม่ดีนั่นเอง บาปมันไม่ดีนั่นเอง บาป นี่แปลว่าความไม่ดี ดังนั้น ประเดี๋ยวจะเกิดอาการ ไม่ดีขึ้นมา แล้วโดนหัวบู้ แล้วก็โดนเขาเอามีดเสียบเข้ามา อย่างน้อย ถ้าแซวแล้วเขาโกรธ เขาไม่มีอารมณ์ ร่วมสนุกด้วย ก็ไม่ดี แล้วอย่าหาว่า พระท่านบอกว่าแซวได้นี่นะ อาตมาก็จะซวยน่ะซี อาตมาไม่ยุ ให้คุณไปแซวใครนะ เพราะฉะนั้น จะแซวใครจะต้องประมาณให้ดีๆ ระวัง !


ถาม: ทำไมความรักจึงผิดหวังล่ะครับ ?

ตอบ: ก็คุณไปมีความรัก เคยได้ยินไหม? เคยได้ยินไหมคำพังเพย เมื่อใครจะรัก จะต้องไม่กลัวความผิดหวัง เพราะถ้า เมื่อมีความรัก ก็มีความหวังว่าจะต้องสมใจในรัก คุณจึงต้องมีโอกาสผิดหวังเมื่อไม่สมใจ แต่ถ้า ไม่มีความรัก ไม่มีความหวัง คุณก็ไม่ต้องผิดหวัง ไม่มีโอกาสจะผิดหวังเลย


ถาม: รักเขาข้างเดียวผิดไหมครับ ?

ตอบ: มันไม่ผิดหรอก แต่มันไม่ถูก รักเขาข้างเดียว มันก็เป็นได้นะ รักเขาข้างเดียว มันก็เป็นอย่างที่มันเป็น นั่นแหละ ก็แห้งเหี่ยวหัวโตอย่างที่เขาว่ากันล่ะนะ แล้วจะไปแห้งเหี่ยวหัวโตให้โง่อยู่ทำไม ถ้ารักก็มีโอกาส ผิดหวัง แม้จะสมหวัง ก็ยังจะเกิดภาระ และเกิดความไม่จบอีก นานาทุกข์ นักกว่านัก

ถาม: ฝันถึงผู้หญิงบาปไหมครับ ?

ตอบ: แหม! ฝันถึงผู้หญิงมันจะไปบาปอะไรเล่า นอกจากคุณฝันด้วยกิเลสฟุ้งซ่าน ฝันละเมอเพ้อพก ถึงเขา นั่นแหละบาป กิเลส ถ้ามีกิเลสล่ะบาป ฝันนี่เป็นเรื่องของความสังขาร เป็นเรื่องของจิตวิญญาณน่ะ จิตวิญญาณ มันมีความจำ มันมีความระลึกได้ มันมีความระลึกถึง เพราะฉะนั้น การระลึกได้ หรือ การระลึกถึง เฉยๆ ไม่มีกิเลสนั้น ฝันนี่มันเป็นการระลึกถึง มันจิตประหวัด จิตประหวัดถึงนั่นถึงนี่ จิตประหวัดถึงแม่ แม่ก็เป็นผู้หญิงนะ ไม่บาปหรอก ฝันถึงแม่ แม่ก็เป็นผู้หญิงใช่ไหม ? นี่จิตประหวัดถึงแม่ โดยไม่มี อกุศลจิตอะไรก็ไม่บาป แต่ถ้าจิตประหวัด หรือว่าฝันถึงอย่างมีกิเลส มีราคะ หรือมีโทสะ ฝันถึง แหม! อยากจะฆ่าจะแกงกันบางที หรืออยากจะรักเป็นราคะ ถ้าฝันถึงอย่างรัก อย่างใคร่ อย่างชัง อย่างโทสะ นั้นบาป

ถาม: ถ้ารักเขาด้วยบริสุทธิ์ใจ บาปไหมครับ?
ตอบ: ถ้ามีราคะ มีราคะก็ไม่บริสุทธิ์ใจ ถ้ารักเขาอย่างไม่มีราคะ เรียกว่า เออ ! ผู้หญิงคนนี้นี่นะ น่าจะได้ มาสร้างสรร สิ่งที่ดีด้วยกัน มาเรียนรู้สิ่งที่ดี อย่าปฏิบัติโดยกิเลส ถ้ามีกิเลสก็มาช่วยกันละกันล้างออก เออ ! ถ้าอย่างนี้ แล้วละก็ เป็นความรักบริสุทธิ์ เป็นความรักบริสุทธิ์อย่างนี้ไม่บาป แต่ถ้ารัก แหม! ผู้หญิงคนนี้นี่ น่าเจี๊ยะนะ บาป บาป


ปัญหาเรื่องกินกิน
ถาม : พ่อท่านเคยสอนว่าพืชเป็นสิ่งมีชีวิต ประเภทต่ำกว่าสัตว์ ฉะนั้นกินพืชจึงบาปน้อยกว่ากินสัตว์ แต่มีผู้รู้ บางท่านกล่าวว่า กินกระเทียมมีความร้ายกาจยิ่งกว่ากินเนื้อสัตว์เสียอีก ทำให้กระผมงงมาก ขอให้พ่อท่าน กรุณาให้ความกระจ่างด้วยครับ

ตอบ: ที่จริง จริงอยู่ส่วนหนึ่ง คือที่จริงมันมีธาตุ และมันก็มีอุปาทาน คนที่คิดว่าไปกินอันนี้นี่แหม ! เป็นยาโป๊ว ที่จริงไม่มีอะไรเลย กินเครื่องดื่มชูกำลัง โอ ! มันปลุกโป๊วอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่จริงหรอก มันบำรุง ร่างกาย เท่านั้นแหละ เสร็จแล้วก็เขาไปคิดเอา ฝันเอา เป็นอุปาทานจิตอย่างหนึ่งได้ เพราะฉะนั้น มันเป็นได้ เหมือนกัน กระเทียมมันมีธาตุอยู่บ้าง มันมีธาตุที่มันมีกลิ่นจัด มันมีธาตุอะไรตัวจัดๆ อะไรอยู่ พอสมควรในนั้น มันก็จริง เสร็จแล้วเราก็ไปเข้าใจเอาว่า จะเป็นเรื่องของทางกามอะไรมาก เอ้าก็กลิ่นจัด มันก็กามอยู่แล้ว ถ้าเข้าใจลึกซึ้งขึ้นไป และมีธาตุที่มันชูอะไรต่ออะไรขึ้นไปอีก มันเป็นตัวแรงๆ มันก็เป็นได้

เพราะฉะนั้น กระเทียมนั้นก็เป็นพืชชนิดหนึ่ง ตอนหลังๆ พระพุทธเจ้าท่านพบว่า การไปขนเอากระเทียม ของชาวบ้าน มากไป ท่านก็เลยห้าม ไม่ให้ฉันกระเทียม เพราะมีภิกษุณี ไปเอากระเทียม ที่เขาปวารณาไว้ มาใช้มากไป ท่านเลยเปรยๆ ห้ามบอกว่า อย่าไปฉันกระเทียม แต่ไม่ใช่วินัยหรือเป็น "บัญญัติ" ที่ถึงขั้นวินัย เพราะฉะนั้น ใครไม่ฉันกระเทียมได้ก็ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความถึงว่า มันเป็นพืชที่บาปกว่าสัตว์? ไม่ใช่ มันเป็นพืช ที่มีส่วนแรงส่วนเกิน ก่อให้เกิดกิเลสอย่างที่ว่านั้นได้ง่าย ถ้าไม่รู้เท่าทัน หรือไม่อยู่เหนือมัน ได้จริง ถ้าผู้ใดมีธาตุอื่นแล้ว พอที่จะอาศัยแล้ว ไม่กินก็ได้ มีพระหลายรูป ที่ท่านถือสมาทานศีล ไม่ฉันกระเทียม ก็หลายรูปนะ

ถาม: มีผู้รู้บางท่านกล่าวว่า การรับประทานผักสดที่ล้างสะอาด จนมั่นใจว่า ปราศจากเชื้อโรคแล้ว มีคุณค่า ทางอาหาร และช่วยต้านทานโรคได้ดีมากกว่าผักต้มสุก แต่มีผู้รู้บางท่านว่า ผักทุกชนิด ต้องทำให้สุก (ผ่านไฟเสียก่อนจึงจะดี) ท่านอ้างว่า พบจากในพระไตรปิฎกเสียด้วยครับ กระผมเลย ไม่ทราบว่า จะเชื่อใครดี จึงขอความเห็นจากพ่อท่านด้วยครับ

ตอบ: อาตมาเอง อาตมาก็แหม! ว่าจะ No comment แล้วนะ ที่จริงก็ทั้ง ๒ อย่างได้ตามควร ผักสดที่ล้าง สะอาด ก็ดี ผ่านไฟมาก็ดี อย่าจู้จี้จุกจิกเกินไปนักที่กินได้ บางอย่าง ก็น่าจะผ่านไฟมาให้ก่อน แหม... มันไม่ไหวจริงๆ เอามาให้เหลือกำลังวังชา วันนี้ก็เอายอดผักขี้เหล็กดิบ มาให้อาตมากิน อาตมาก็ไม่ว่า ที่จริง ก็ควรจะต้มมาเสียก่อน ขนาดต้มแล้ว กรองตั้งหลายเที่ยว เพราะเทน้ำน่ะ ยอดขี้เหล็กนี่ นี่แหม เล่นยอดสดมาเลย อ้าวเราก็ต้องกิน ประเดี๋ยวจะหาว่าไม่อนุเคราะห์ทาน หลายๆอย่างน่ะ สมควร จะผ่านไฟ ก็ผ่านไฟ สมควรจะกินสดก็เอามาสด ถ้าจะเอามาสดก็ล้างให้สะอาดๆ ดีมาเสีย เพื่อกัน ที่จะเกิดภัย เกิดโทษ ก็สมควรเท่านั้นล่ะ ไม่ต้องไปสงสัยมากนักหรอกนะ

ถาม: สมมุติว่า ให้พ่อท่านฉันน้ำตาลทรายทุกวัน จะมีผลกระทบต่อการเจริญอิทธิบาท ของพ่อท่าน อย่างไรครับ

ตอบ : กระทบ กระทบ ให้อาตมากินแต่น้ำตาลนี่ น้ำตาลมันเป็นพิษ น้ำตาลเป็นสารพิษ ทุกวันนี้ ยิ่งเป็นพิษมาก เพราะว่ามันต้องสังเคราะห์ ต้องใส่สาร ต้องใส่สารพอกสารเคมีอะไรเยอะแยะเลยนะ และ แม้แต่ตัวน้ำตาลเองนั้น มันก็ไม่เป็นธาตุที่พึงประสงค์ของร่างกายมากนักหรอก เราได้ธาตุน้ำตาลนี่นะ เรียกภาษาว่า ธาตุน้ำตาลนี่ ไม่ต้องเอามาจากตัวเม็ดน้ำตาลนี่นะ ธาตุน้ำตาลนี่ มันก็มีในข้าว ธาตุน้ำตาล ก็มีในผัก ในพืช ในผลไม้ก็มีธาตุน้ำตาลที่พอเพียง และบริสุทธิ์ดีด้วย เพราะฉะนั้น จึงไม่มีความจำเป็น อะไร ที่จะกินน้ำตาล ทุกวันนี้น้ำตาลนี้แหละ เป็นตัวการแห่งโรค เป็นตัวการทำลายสุขภาพของคนตัวร้าย สังคมบางสังคม เขาเลิกกินน้ำตาลกันแล้ว เพราะฉะนั้น เอามาทำขนมก็เอาน้ำตาลมาใส่ อาตมาก็เลย ไม่กินให้ เมื่อเช้านี้ เอาขนมมาให้ตั้งหลายอย่าง บอกให้ได้เลยว่า ไม่ได้ฉันให้สักคำ (คนฟังหัวเราะ) ที่จริง อาตมาก็ฉันได้ ฉันขนมก็ได้ แต่ว่าไม่ฉันก็ไม่ทุกข์อะไร แล้วเมื่ออาตมาไม่เห็นว่า มันจะต้องอนุเคราะห์ทาน อะไรกันนักหนา ก็ไม่ได้ฉัน จะไม่ฉันแหละเป็นส่วนมาก นานๆจะฉันที เพราะอาตมาเองนี่ ไม่ได้อยู่ในพรรค ขนมหวานวิรัตินี่นะ (คนฟังหัวเราะ) แต่อาตมาก็แน่ใจว่า อาตมาเอง อาตมาวิรัติขนมหวานได้ (พ่อท่าน และ คนฟังหัวเราะ) ละเว้นขนมหวานได้จริงๆนะ คือมันก็เท่านั้นน่ะ แล้วมันก็ติดใจอร่อย แหม บางคนนี่ กินแล้วชื่นใจ หากไม่ได้กินละก็ ทุกข์เพราะอยาก เพราะไม่ได้บำบัดที่ยังติด อาตมามีของเก่ามานาน แล้วนะ เคยอยู่กับขนมขะต้มมาเยอะ พ่อแม่ก็เคยทำขนมขาย แต่ว่าก็ไม่ได้ติดขนมอะไรนักหนา มันก็เป็นบุญ ของเก่า

File4141.ss # ที่นี่ตอบทุกปัญหา