ความไม่เที่ยง...ที่เที่ยงคืออะไร
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๓๖ ณ พุทธสถานปฐมอโศก

อาตมาได้อธิบายถึงเรื่องสัจจะ อยู่ที่สันติอโศกพอดีอาตมาอยากจะรู้เรื่อง ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึง เรื่องของ การกำหนดเที่ยง ที่อาตมาเคยพบ แต่ไม่รู้ว่า มันอยู่ในพระไตรปิฎก เล่มไหน เขาก็เลยไปตรวจสอบ ในพระไตรปิฎก มาให้ดู มีอยู่ที่เดียว ในพระไตรปิฎกทั้งหมด ๔๕ เล่ม กดคอมพิวเตอร์ออกมาดู มีสัญญายะ นิจจานิ นั้นมีอยู่ที่เดียว ครึ่งเดียว สูตรเดียว ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสประโยคนี้ ทั้งหมดในพระไตรปิฎกทั้ง ๔๕ เล่ม ของเถรวาท คำว่าสัญญายะ นิจจานิ แล้วก็มาดู แล้วก็เป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุด เพราะว่าแม้แต่คำตอบ คำถาม พระพุทธเจ้า ตอบพระพุทธนิมิต ก็คือเทวดานั่นเอง ที่พระพุทธเจ้า ท่านสอนเทวดา ก็คือสอนตัวเอง พระพุทธนิมิตเป็นผู้ถาม พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตอบ คิดดูก็แล้วกันว่า นั่นเป็นอะไร คือเป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุด ถามเรื่องสัจจะ ถามเรื่องความเห็น ความเห็น ที่เลื่อน เลื่อนไปเรื่อย ความเห็นของทุกคน ก็จะยึดความเห็นเป็นอัตตา ยึดความเห็น เป็นตัวอุปาทาน เสร็จแล้วก็อธิบาย พระพุทธเจ้าท่านอธิบายความเห็นมาก่อน พออธิบายความเห็นมาแล้ว ก็บอกได้ว่า ทำไมความเห็นของเจ้าลัทธิ ซึ่งถือว่า ปราชญ์เหมือนกัน จึงเป็นความเห็นที่ต่างกันได้ ทำไมสัจจะ จึงไม่เป็นสิ่งเดียวกัน ทำไมปราชญ์เหมือนกัน ถึงกำหนดสัจจะคนละอย่าง ทำไมสัจจะ ไม่เป็นอันเดียวกัน ก็เป็นปราชญ์ด้วยกันทั้งนั้น มันก็น่าจะมีสัจจะ อยู่หนึ่งเดียวเท่านั้น ทำไมสัจจะจึงมี ๒ อย่างได้

สุดท้าย พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสตอบว่า สัจจะทั้งหลายแหล่ ต่างๆนานา เว้นสัญญา ที่เห็นว่าเที่ยงเสีย ไม่มีในโลก หมายความว่า สัจจะไม่มีดอกในโลกนี้ มีจริงๆก็คือ สัญญายะ นิจจานิ จะจริงที่สุดก็มีอยู่ที่ตัวนี้ ตัวสัญญายะ นิจจานิ คือตัวการกำหนด รู้ว่าเที่ยง เที่ยงจริงๆ นิจจา นิจจานิ เพราะฉะนั้น ใครกำหนดรู้ว่าเที่ยง ตัวที่เที่ยงนี้ได้ ตัวนั้นแหละคือสัจจะ เพราะฉะนั้น ต่างคนต่างก็ไปกำหนด เที่ยงว่าของตัว เพราะฉะนั้น จะไปเอาสัจจะ ไม่มีในโลก มีการกำหนดเที่ยงเท่านั้น

อาตมาเคยบรรยายมาแล้ว ในเรื่องเที่ยง คือเรื่องของ เป็นสิ่งนั้นสิ่งหนึ่ง แล้วไม่เป็นอื่นอีก มันอันหนึ่งอันเดียว เราจะเห็นจริงเห็นจัง ในตัวเราเลยว่า อันนี้เที่ยง และความเที่ยงคืออะไร ความเที่ยงก็คือ ความแข็งแรง คือ ความตั้งมั่น คือ ความไม่แปรปรวน คือความไม่เป็นอื่น เมื่อไรๆ ก็ไม่เป็นอื่นอีก ทีนี้รูปนี่ก็เป็นอื่นไปได้ เวทนาก็เป็นอื่นไปได้ สัญญาก็เป็นอื่นไปได้ สัญญาก็คือการกำหนดรู้ หรือ ความจำ เอาละถ้าแปลว่า ความจำนี่ เราจำอะไรได้แม่นมั่น จำอะไรได้ก็ถ้าเผื่อว่า เราจะรู้จักนิพพาน เราก็ต้องกำหนดรู้นิพพาน แล้วก็จำนิพพานให้แม่น อาการของนิพพาน เป็นอย่างไร สภาวะของนิพพาน เป็นอย่างไร เรียนให้ดี เรียนให้ถึงจุด

ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ที่ปฏิบัติเป็นขีณาสพ หรือเป็นพระอรหันต์แล้วนี่ เป็นผู้ที่จบกิจ เป็นผู้ที่ไม่ต้องศึกษาอีก ไม่ต้องอบรมอีก หมายความว่า ไม่ต้องปฏิบัติอีกแล้ว ปฏิบัติจบแล้ว เสร็จแล้ว จบแล้วจบเลย จบแล้วที่เที่ยงแล้ว หมายความว่า ไม่แปรปรวน ไม่เป็นอื่นอีก ไม่ต้องกลับมาศึกษาใหม่ ไม่ต้องมีความรู้ใหม่อีกแล้ว สำหรับตัวนิพพานนะ แต่สัพพัญญุตานั้น มีเพิ่มได้ มีใหม่เพิ่มไปอีกได้ แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ยังมีความรู้ลึกซึ้งใหม่ขึ้นไปอีก ไม่มีจบดอก ในเรื่องของการรู้ในโลก เพราะว่า โลกที่ตัวเอง ไม่เกี่ยวข้อง มันมีอยู่เยอะ เพราะฉะนั้น รู้ใหม่พวกนี้ได้ แต่รู้จักกิเลสแล้วก็ดับ กิเลสได้สนิทในผู้ใด ในตัวตนของใคร ในอัตภาพ หรืออัตตาของใคร สามารถทำลายอัตตา จบอัตตา ตัวตนของตน ไม่มีตัวตน จบกิจของตัวตน ได้อย่างแน่ชัดแล้ว จบจริงๆ เที่ยงจริงๆ

ไม่ต้องไปศึกษาอีก ไม่ว่าจะอีกชาติใด ปฏิญาณตน หมุนเวียนอยู่ เป็นพระโพธิสัตว์ เกิดอีกกี่ชาติ กี่ชาติๆ ก็ตาม ก็ไม่ต้องไปทำแบบฝึกหัด อันนั้นซ้ำซากอีก ถึงทำก็ทำ มันมีซ้อนอยู่ ที่อาตมาเคยพูดว่า เหมือนลิงลมอมข้าวพอง เป็นแค่เพียงคำสมมติ นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น โดยปรมัตถ์ ไม่ต้องไปทำอีก เพราะปรมัตถ์นั้น พอทำสมมติที่มันถูกหุ้ม ถูกพอก ตามเขาข้างนอก ของคนอื่น เขามาพอกเราหน่อย เราก็ล้างนิดหน่อย แล้ว จุดนั้นจะเป็นจริง โดยไม่ต้องมีใครบอก ไม่ต้องไปเรียน ไม่ต้องไปศึกษา ไม่ต้องมีใครมาบอก มาสอน เป็นปัจเจกของตนเอง แล้วอันนั้นก็ยังคงเป็นของเดิม ไม่เป็นอื่นไปอีก ก็คือ วิมุติหลุดพ้น ดับสนิท มีความเที่ยงแท้ของนิพพาน ของความสูญกิเลส สูญตัวตน มีอันนั้น ไม่เป็นอื่นอีกเลย ไม่แปรปรวนเลย

อาตมาก็ได้ขยายความ เอามิจฉาทิฐิสูตร สักกายทิฐิสูตร อัตตานุทิฐิสูตร มาขยายให้ฟัง ก่อนที่จะเจอ จูฬวิยูหสูตร สูตรว่าด้วย สัจจะ ผู้ยึดมั่นในทิฐิของตน

อาตมาอธิบายมิจฉาทิฐิสูตร สักกายทิฐิสูตร อัตตานุทิฐิสูตร อธิบายมาก่อน เคยเจอสูตรนี้ ก่อนที่จะเขียนทางเอกด้วยซ้ำ แล้วก็เคยบรรจุสามสูตรนี้ ไว้ในทางเอกด้วย แต่อันนี้ไม่เคยเจอดอก อันนี้มาเจอทีหลัง ซึ่งก็สอดคล้องกับ ที่อาตมารู้แล้ว เห็นแล้ว เข้าใจแล้ว เอามาพูดแล้วด้วยตรงกัน นั่นคล้ายๆกับว่า ศาสนาพุทธนี่ สอนความไม่เที่ยง แต่ทำไมต้องเป็นความเที่ยง มันคล้ายๆกับกลับ นี่แหละ คล้ายๆ กับพูดตลบตะแลง พูดไม่อยู่กับร่องกับรอย ความจริงไม่ใช่ พวกเราศึกษาดีๆ แล้วเราจะรู้ว่าไม่ใช่ ความหมายของความจริงแท้ หรือสัจจะนั่นแหละ ความจริงความเที่ยงนั้น เกิดจาก สัญญา และสัญญาที่เที่ยงนั้น คือสัจจะ โดยเฉพาะที่เที่ยงก็คือ อาการที่กิเลสสูญ เที่ยง นอกกว่านั้น ไม่มีอะไรเที่ยง เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นเวทนา สัญญาเอง ที่ท่านกำหนดรู้ เพราะฉะนั้น การกำหนดรู้ ความเสื่อมเป็นที่สุด ความดับเป็นที่สุด ความไม่มี เป็นที่สุดที่สูญ ฉะนั้น ที่สูญอะไรก็ไม่จริง ถ้าเกิดภาวะที่ปฏิเสธ อย่างที่ได้อธิบาย สุดโต่งไปด้านข้างปฏิเสธ ไม่ ไม่ ไม่ แล้วไม่ได้ศึกษารายละเอียด ของอะไร ดับมัน กดมันไว้เฉยๆ แล้วก็ไม่ เหมือนไม่มีเฉยๆ ที่จริงนะกดภพ กดภวตัณหา กดภวภพ กด กดมัน ปิดมัน บังมัน โดยตนเอง ไม่ได้เข้าไปกระทุ้งกระแทก ให้มันออกมา ให้มัน จนกระทั่ง มันเห็นหน้า เห็นตามัน แล้วก็ดับกิเลส ตัณหา อุปาทานนั้นๆ ให้หมดจริงๆ

ไม่รู้รายละเอียด ของคำว่ากิเลส ตัณหา อุปาทาน อาการมันเป็นอย่างไรไม่รู้ เมื่อไม่รู้ มันได้แค่กดๆ มันก็เลยกลายเป็น ภพอีกภพหนึ่ง ซึ่งเป็นภพที่ปฏิเสธได้วิธีหนึ่ง เป็นการปฏิเสธ เพราะฉะนั้น เราจะไม่ปิดจิต แต่เราจะเปิดจิตตลอดเวลา แต่นั่นแหละ คนที่ยังไม่แข็งแรง ก็แบ่งไว้ ปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ทำครึ่งหนึ่ง เพราะตัวเราเองเราไม่เก่ง ก็ต้องสร้าง สร้างสัจจะความจริง สร้างบุญบารมี สร้างภูมิ สร้างสภาวะ อินทรีย์พละ ของตนก่อน แบ่งมาทำทีละส่วนๆ บางทีนี่ แบ่งครึ่งหนึ่ง ยังสู้ไม่ได้เลย ต้องแบ่ง เอามาทำสัก ๑๐ % คนอ่อนแอ ทำ ๒๐ % เพิ่มขึ้น ทำ ๓๐ % ไป ไปตามลำดับได้ ก็ต้อง แบ่งทำ แต่ต้องทำอย่างเปิดจิต ไม่ใช่กลบ เสร็จแล้วทำเปิดจิต จะเป็นฐานจริงให้แก่เรา เมื่อทำได้ ทำได้แล้ว มีฐานรอง เป็นสั่งสมวิมุติ สั่งสมวิราคะ สั่งสมวิมุติไปได้จริง เพราะการดับ การละ การทำลาย ของพระพุทธเจ้านั้น เมื่อได้แล้วเป็นทรัพย์ เมื่อได้แล้วเป็นอินทรีย์ เมื่อได้แล้วเป็นพละ เมื่อได้แล้วเป็นทุนที่แท้ อย่างลืมตา อย่างอยู่เหนือโลก อย่างไม่หลบไม่ลี้ไม่หนี ผจญประจัน สัมผัส แต่อันนั้น ไม่มีฤทธิ์เลย ปริสุทธา ปโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นฐานอาศัยเฉย แต่ไม่ใช่หน้าด้าน

มีปัญญา มีความรู้ แล้วก็ได้รับความรู้ซ้อนเติมขึ้นไป เพิ่มเติมขึ้นไป เสริมเติมขึ้นไป ได้ละเอียดๆ ขึ้น จึงเกิดเป็นดวงตา เกิดเป็นแสงสว่าง เกิดเป็นความรู้ มาเป็นตัวแข็งแรงแทน เพราะฉะนั้น ตัวความรู้ กับตัวแข็งแรงกับตัวเจโต ปัญญาก็เจโต จึงเป็นหนึ่งเดียวกัน เจโตที่วิมุติ ด้วยเหตุปัจจัยใด มันสงบ สนิท แข็งแรงสนิท ตั้งมั่นสนิทแล้ว อาเนญชาได้แล้ว กับปัญญามันอยู่ร่วมกัน อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา เป็นเจตโส อภินิโรปนา นั่นแหละ เป็นจิตที่ตั้งมั่น แข็งแรง เป็นฐาน ไม่หนี ฐานนี้ไม่กลบ เป็นฐานที่ตื้น ฐานที่อยู่ปัจจุบัน ฐานที่ไม่มีอะไรฝัง ไม่มีอะไรหลบ อะไรแฝงเลย เป็นฐานอยู่ในปัจจุบันนี่เทียว ดับสนิทแล้ว เจโตที่ดับสนิทไปแล้ว อกุปปาเจโตวิมุติ ไม่เป็นอื่น วิมุติโดยไม่อกุปปา ไม่กำเริบอีกเลย แล้วปัญญา ก็เป็นตัวปัญญา ที่อยู่ร่วมกับเจโตวิมุติ นี้ด้วยกันชัดๆเลย เพราะฉะนั้น มันจะเป็นอำนาจ แสงสว่าง อำนาจที่แข็งแรงมาก ไม่เหมือนกับเจโตที่กลบ ไม่มีปัญญา เข้ามาเรืองแสงช่วย ปัญญาที่ไม่มีเจโตวิมุติ ปัญญาก็วน ไม่เที่ยง แปรปรวน ไม่ชัดเจน ไม่ยืนหยัด เพราะมันวน มันไม่เที่ยงนั่นแหละ ปัญญามันไม่ใช่ตัวปัญญานี่ มันคิดมาตั้งแต่เหตุ แต่ผลอะไร มันไม่มีตัวเจโตวิมุติที่แท้

อาตมาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร มันยากที่จะอธิบาย แต่ว่าฟังดีๆ คุณแม้แต่คิดตาม อาตมาคิดว่า ปฏิภาณของคุณ พอเข้าใจได้ ถ้ายิ่งคุณมีภาวะรองรับแล้ว จะเห็นจริงเลยว่า เจโตวิมุติ กับ ปัญญาวิมุติ มันตัวเดียวกัน อยู่ในปัจจุบันนี้เทียว ไม่หลบ ไม่หลีก ไม่ลี้ แล้วเป็นตัวที่ดึงชัดขึ้นมา ใช้กันหมด ไม่ได้กลบ ได้ฝัง ได้พราง ได้ซ่อนอะไรเลย

คุณคิดให้ดีซิ สภาพอย่างนี้นี่ นี่แหละ จิตที่เป็นอุภโตภาควิมุติ มันวิเศษสุด มันแข็งแรง มันยอดเยี่ยมอย่างนี้ จึงทำงานได้อย่างยิ่ง เป็นฐานได้ไปส่วนหนึ่ง ได้ไปเหตุปัจจัยหนึ่ง หรือ ๕ เหตุปัจจัย ๑๐ เหตุปัจจัย มันก็ยิ่งเป็นอินทรีย์ เป็นพละ เป็นกำลังวิเศษ ทั้งแข็งแรง และรู้จริงรู้แจ้ง รู้แจ้ง รู้จริง สูงส่งขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับ เพราะฉะนั้น จิตวิมุติของพระพุทธเจ้านี้ จึงไม่เหมือนฤาษี ไม่ว่าจะเป็นฤาษีป่า หรือฤาษีกรุง ฤาษีเมือง ไม่ว่าจะเป็นฤาษีชนิดไหน ไม่เหมือน มีความเที่ยง ความมั่นคง แน่นอน ชัด ยืนหยัดยืนยัน ไม่ให้ผู้รู้ เจ้าของเจ้าตัวผู้รู้ ได้เห็นของจริงอันนี้

การกำหนดรู้เมื่อใดๆ ก็เห็นจริงเลยว่ากิเลสไม่มี กิเลสไม่มี ไม่เป็นอื่นเลย แข็งแรง และไม่แปรปรวน เพราะฉะนั้น ตรวจสอบจิตเจโตปริยญาณ มันก็จะตรวจไปเรื่อยๆ เลย เห็นจิตว่า โอ๊ วิเศษเยี่ยม นี่เป็น สอุตรจิตอย่างไร อนุตรจิตอย่างไร และอนุตรจิตที่มีสภาพ เป็นประโยชน์คุณค่า ต่อผู้อื่นอยู่จริง เป็นสมาธิแบบ สมาหิตะ แล้วก็ไม่มีอวิมุติจร เจโตปริยญาณ ตัวหลักสุดท้าย ที่อาตมาอธิบายแล้วว่า อนุตรจิต ก็จะประกอบไปด้วย สมาหิตะ ประกอบไปด้วยวิมุติจิต สมาหิตจิต วิมุติจิตอยู่ในเจโตปริยญาณ ๑๖ ด้วย สามตัวสุดท้ายนี่ จะเป็นตัวยืนหยัด ยืนยัน อย่างแท้จริงเลย ลักษณะของ อนุตรจิตนั้น สมาหิตจิต จะเป็นอย่างไร มันเป็นความแข็งแรง ตั้งมั่น ที่อะไรมากระทบสัมผัส อะไร ที่มาโดยเฉพาะ เหตุปัจจัย ที่เราทำได้เป็นลำดับๆ มันมากระทบสัมผัสอย่างไรๆ มันก็แข็งแรงๆ มันเป็นตัวพิสูจน์ ยืนยันอยู่ ไม่หนี นี่แหละ พิสูจน์เมื่อไรก็ประจำ เมื่อไรก็ประสบ เมื่อไรก็กระทบกระแทก สัมผัสอยู่ แรง จัดจ้าน มีเหลี่ยมมีมุม มีเล่ห์มีเลสอะไร มากอีกเท่าใด ๆ มันก็ยิ่งจะพิสูจน์ตัวเราว่า เรารู้ทันไหม รู้เท่าทันโลกียะ อันนี้ไหม เพลี่ยงพล้ำไหม นอกจากรู้ทันแล้ว มันยังแวบวาบ มันยังเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น มันยังมีอารมณ์กิเลส จะเป็นอารมณ์กามภพ หรือ ภวภพก็ตาม มีไหม

ผู้ที่ศึกษาจริงๆ ก็ผ่าน ก็จะอ่านของตัวเองอยู่ตลอด ตรวจสอบของตัวเอง ยิ่งสภาวะปัจจุบันเลย กระทบเดี๋ยวนี้ กระแทกเดี๋ยวนี้ จะเกิดหรือไม่ อาการ อารมณ์ อาการลิงคะ นิมิต อ่านออกเดี๋ยวนี้ ไม่มี ไม่มี สัญญากำหนด รู้ว่าไม่มี ไม่เกิด ไม่มี ไม่เกิด ไม่มี ไม่เกิด ไม่มี ไม่เกิด เที่ยง ตรง ไม่แวบไม่วาบ ไม่หวั่นไม่ไหว ๑ ครั้ง ล้านครั้ง แล้วที่มีสภาพจริง กระทบสัมผัสนี่ มันไม่ใช่ว่ากระทบ ๑ ที แล้วก็ผ่านไป ถ้ามันมีอยู่จริงๆ แล้วก็จิต เกิดรับรู้อยู่นี่ มันเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ รับรู้ๆ แล้วก็รับรู้ รับรู้มัน นับครั้งไม่ถ้วนดอก และวาระที่เราจะมีเหตุการณ์ตรงนี้ อีกมากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นหลักฐานยืนยันเรา มากครั้ง มากวาระ เท่านั้นๆ ว่า สัญญาย นิจจานิ สัญญาย นิจจานะ สัญญาย นิจจานิ กำหนดรู้ว่า แข็งแรง เที่ยง ตรง ไม่มีเป็นอื่น ชัดๆ ปัญญาก็ยิ่งจะชัด เจโตก็ยิ่งจะบอก โอ๋ย มันเก่ง มันแข็ง เจตโส อภินิโรปนา ปักมั่น แข็ง เที่ยงแท้ ไม่แปรไม่ปรวน ไม่หวั่นไม่ไหว ไม่โอน ไม่เอน ไม่แวบ ไม่วาบ ไม่วูบ ไม่มีธุลีละออง

ญาณ คุณต้องรู้ด้วยตน ชัด ยิ่งชัดจริงของตน ไม่มีใครมารู้ ให้แทนเราได้ ย่อมเกิดญาณตัวนั้นเอง เพราะฉะนั้น อย่าไปหลบเลย ยิ่งหลบก็ยิ่งนาน ยิ่งช้า ยิ่งเนิ่นช้า ยิ่งไม่ประสบผล คุณลักษณะพวกนี้ เป็นคุณลักษณะ ที่อาตมายึดมาอธิบาย สู่พวกคุณฟัง ฟังไว้ดีๆ บันทึกภาษา อาตมาพยายาม ที่จะใช้การบรรยายนี่ โดยตั้งใจที่จะอ่าน สภาวะอันลึกๆ นี่มาเป็นครั้งคราวที่จะบรรยาย บางทีมันพูดแล้ว มันไม่ใช่ง่าย

อาตมาจะอ่านสูตรหลายๆ สูตร ซึ่งเป็นสูตรที่ อาตมาบรรยายมาบ้างแล้ว คล้ายกัน แต่ก็มีนัยต่างกัน แล้วก็ละเอียด บางแง่บางมุม อธิบายถึงความไม่เที่ยง ถึงความกำหนดลงไป แล้วที่สุด ภพก็คือภพ ท่านใช้ภาษาว่า ภวะ เรียกว่าภพ เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วก็เราก็ดับภพ คือดับภวตัณหาเท่านั้น กามตัณหา ก็เป็นภวตัณหา กามตัณหาเป็นภวตัณหาก็คือ มันก็เป็นภพ กามมันก็เป็นภพ วิภวตัณหา ก็เป็นภวตัณหา เพราะวิภวตัณหาก็เป็นภพ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ถึงตรัสตัวกลาง ตรัสจริงๆ ว่าดับสนิทก็คือ เป็นผู้ดับภวตัณหา หรือดับภพ ผู้ดับภพหรือดับภวตัณหาได้สิ้น ผู้นั้นก็สูงสุด ส่วน วิภวตัณหานั้น เป็นสมมติสัจจะได้ เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็มีวิภวตัณหาเป็นเครื่องใช้สอย เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นไป เท่านั้นเอง สำหรับตนนั้น เมื่อเที่ยงแท้แน่นอนแล้ว หมดภวตัณหาครบแล้ว วิภวตัณหา ท่านก็ปฏินิสสัคคะ แม้แต่ท่านจะอนุโลมกับคนอื่น เหมือนกับท่านไปสัมผัสกาม แล้วก็ แสดงความยินดี เหมือนกับอย่างเล่นกับเด็กๆ เด็กๆที่เขาจะต้องสนุก หรือเขาจะต้องอร่อย เราไปเล่นกับเด็กๆ เราก็แสดงอาการ ให้มันเหมือนเลยนะ เล่นกับเด็กๆ ก็จะต้องสนิทสนมเหมือนกัน เด็กบอก เอ๊ะ สนุกจริง เราก็ เอ้อ สนุก อร่อย เออ อร่อยด้วย แต่ที่จริงก็เป็น สมมติสัจจะเหมือนมีกาม แต่ความจริง ท่านไม่ได้มีดอก ท่านไม่ได้เสพดอก แม้ท่านจะสามารถที่จะปฏินิสสัคคะ สลัดคืน กลับไปปรุงร่วมด้วย รู้ด้วย เหมือนเขารู้

เหมือนอาตมานี่ พยายามอยู่ทุกวันนี้ พยายามที่จะฟัง เพลงสมัยใหม่เขาให้เพราะ ปรุงตามเขา พยายามปรุง เพื่อที่อาตมาจะได้รับรสนี้ แล้วก็จะได้รู้รสนี้ จะได้มาแต่งรสนี้ ตามเขาด้วย เพื่อจะได้แต่ง ทันสมัยเขาบ้าง มันยังไม่ขึ้นเลย แต่ก็ขึ้นมาจิ๊ดหนึ่งแล้ว พยายามฟังเพลงสมัยใหม่ที่มัน แหมเขาร้อง สมัยใหม่ ที่ขายดีๆ ไม่ว่าใครร้องนี่ ชิดจ๊ายแล้ว มันร้องเป็นชิดจ๊ายแล้ว มันไม่จิตใจ มันร้องไม่เป็น จิตใจแล้ว มันร้องชิดซ้ายแล้ว พวกนี้ นักร้องสมัยใหม่มันเพราะ แล้วก็จังหวะลีลาอย่างนั้น พยายามปรุงตาม ทั้งๆที่อาตมานี่ ติดเสียง ติดลีลา ศิลปะเพลง หรือเสียงนี่ นานช้ากว่าเพื่อน ละล้างทีหลังเพื่อน ล้างออก สุดเพื่อนนี่นะ ซึ่งคุณก็คง ก็เคยได้ยินอาตมาบอกแล้ว มันก็ยังไม่มัน แล้วก็ไปเกิดรสชาติจำได้ กับรส ลีลาศิลปะ สมัยเก่าๆ เพลงทำนอง ลีลาแต่งออกมาทีไร มันก็ยังไม่ออก เขาก็ว่ามันเชยอยู่นั่นแหละ ซึ่งอาตมาก็ต้องยอมรับนะว่าจริงด้วย เราก็ยังลีลา ไพเราะแบบเก่าๆอยู่ มันไม่ไพเราะ แบบสมัยใหม่เขาเลย ก็พยายามปรุงตามอยู่นี่ พยายามปฏินิสสัคคะ มันก็ยังไม่ออก ยังไม่ได้ ยังไม่ค่อยเจ๋ง ยังไม่ค่อยเต็มรูปเลย แต่มันก็ได้น่ะ มันก็พอได้ มันจะได้ เหมือนกัน นั่นแหละ คอยๆ ดูก่อน มันจะเมื่อไรจะได้ ยังไม่รู้

แต่แน่นอน อาตมารู้แล้ว แม้ที่สุด อาตมากลับมาฟื้นฟู ปรุงเป็นเพลงเก่าโบราณ หรือว่าเคยไพเราะ อย่างนี้ อาตมาก็ทำมาไพเราะอย่างนี้ ซึ่งผู้ที่รู้ร่วมกัน เขาพอเข้าใจได้ว่า เออ ก็ไพเราะอย่างนี้ได้ แต่อาตมาก็ดูที่ใจ อาตมาติดใจไพเราะ อันนี้หรือเปล่า ยึดติดปัญญาเป็นของเราหรือไม่ เมื่อเราแน่ใจ ว่าเราไม่มี มันก็คือไม่มี ถ้ามีเราก็ต้องรู้ว่ามันมีอยู่ มันเหลือรสเหลือชาติ เหลืออะไรอยู่ เรามีญาณรู้จริง แล้วเราโกหกตัวเอง ตัวเองก็ต้องซวยละ มันก็ยิ่งเท่ากับ ตัวเองหลอกตัวเอง แล้วก็หลอกผู้อื่นต่อ แต่ถ้าเผื่อว่า เรารู้จริงรู้ชัด แล้วไม่ปฏิเสธ เออ อันนี้เรามีจริงๆ แม้นิดแม้น้อยเรามี เราก็ต้องรับรอง ตัวเรา โกหกตัวเราเอง เราก็ซวยไปต่อ เพราะฉะนั้น อย่าไปโกหกตัวเองเลย แล้วอย่าผ่าไปโกหกคนอื่น ต่ออีกละ โกหกตัวเองก็บาปแล้ว ดันผ่าไปโกหกคนอื่นต่อด้วย โดยเฉพาะ อุตริมนุสธรรมพวกนี้นี่ สภาวจิต เจตสิก รูป นิพพาน หรือ กิเลสพวกนี้แล้ว ก็อย่าเทียวนะ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า เรื่องนี้เป็น เรื่องสำคัญ โกหกอันนี้ อุตริมนุสธรรมพวกนี้นี่ ถ้าเป็นสมณะ ก็ถึงกับตัดขาดจากศาสนา ไปชาติหนึ่งเลย พรหมทัณฑ์อย่างแรง ไม่เอาภาระด้วยเลย ทั้งชาติ ๑ ชาติตัดทิ้งไป หมายความว่า ฆ่าทิ้ง ๑ ชาติ จำคุกตลอดชีวิต หรือฆ่าทิ้งไป ๑ ชาติ เป็นการลงโทษ ทางธรรมแรงมาก เมื่อได้รับรู้อาการของโทษ อย่าไปทำผิด ในเรื่องอย่างนี้ อย่าไปทำผิด ขั้นประหารชีวิต

ถึงแม้ว่าเราเองทำผิด แล้วเราโกหก ก็ไม่ใช่ว่า จะไม่เป็นคุณค่าของสัจจะ เป็นคุณค่าของสัจจะ เป็นบาป ไม่ใช่ค่าของบุญนะ เป็นคุณค่าของบาปที่ว่าร้ายแรง

มีอยู่สูตรหนึ่ง อาตมาไปเจอ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัด ถึงเรื่องภวตัณหา มีพระบาลี รองรับเลยว่า ชีวิตย่อมไม่ทำให้ผู้ใดเดือดร้อน ผู้นั้นย่อมไม่เศร้าโศกในที่สุดแห่งมรณะ ถ้าว่าผู้นั้น มีบทอันเห็นแล้วไซร้ มีบทนี่ คือมีตัวที่เป็นพฤติกรรม เป็นพฤติกรรม เป็นบท เป็นปริบท เป็นความประพฤติ หรือ เป็นลีลาอาการ โดยเฉพาะ ลีลาอาการของ ปรมัตถธรรม จิต เจตสิก อาการของอยู่ในจิต ถ้าเผื่อว่า ผู้นั้นมีบทอันเห็น นี่แปลจากบาลี อย่างภาษาตรงตัว ซึ่งมาจากภาษาบาลีว่า ทิฏฺฐปโท ปทะก็บท นั่นแหละ ทิฏฐิ ก็เห็น ปทะ ก็บท ก็แปลทับศัพท์ว่า บทอันเห็น นี่คือเปรียญหรือปราชญ์ ภาษาท่าน แปล ก็ไม่มีภาษาจะแปลแล้ว ท่านก็ทับศัพท์ บทอันเห็น ทิฏฐปโท หรือทิฏฐบท นั่นแหละ ถ้าว่าผู้นั้น มีบทอันเห็นแล้วไซร้ นับเป็นนักปราชญ์ธีโร เป็นนักปราชญ์ ย่อมไม่เศร้าโศก ในท่ามกลางแห่งสัตว์ ผู้มีความโศก สำนวนนี้ ก็คงพอเข้าใจ ผู้ใดถึงที่สุด อย่างนี้แล้ว เป็นนักปราชญ์ ย่อมไม่เศร้าโศก ในท่ามกลางแห่งสัตว์ ผู้มีความโศก ฉะนั้น ผู้ใดยังเศร้า ยังโศกอยู่ ผู้นี้ไม่โศก

ภิกษุผู้มีภวตัณหาอันตัดขาดแล้ว ภวะนะ ไม่ใช่วิภวะ ฟังดีๆ ภิกษุผู้มีภวตัณหา อันตัดขาดแล้ว มีจิตสงบ มีชาติสงสารสิ้นแล้ว นี่หมายถึง คุณลักษณะของพระอรหันต์ มีจิตสงบ มีชาติสงสาร หมายความว่า มีความเวียนวนสังสาระ ไม่มีการเวียนวนอีกแล้ว ไม่มีการเกิดเวียนวน ชาติสังสาระ มีชาติสงสารสิ้น ก็หมายความว่า ดับของวัฏสงสาร หรือชาติสงสารดับการเกิด เราต้องรู้ว่า อะไรเกิด หรือดับ กิเลสอนุสัยอาสวะดับสนิท ไม่เกิดอีก ธุลีละอองพวกนี้ ไม่เกิดอีก ดับชาติ สิ้นชาติสงสาร หมดแล้ว ย่อมไม่มีภพใหม่ เป็นผู้ไม่มีภพใหม่ แน่นอน เพราะฉะนั้น ผู้นี้ดับภพหมด มีแต่ภพที่อาศัย เท่านั้น เรียกว่า วิภวภพ หรือ วิภวตัณหา ตัณหาอันยิ่ง หรือ วิภวภพอันยิ่ง ภพอันยังไม่หมดรูปนาม ขันธ์ ๕ ภพยังจะศึกษาเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่ภพเพื่อตนเอง หมดอัตตาตัวตน หมดตัวตนของคนจริง แม้จะมีอีกต่อไป ก็เป็นแค่เพียงอาศัยเพื่อผู้อื่น จิตสุจริตว่าไม่ได้เสพ ไม่ได้บำเรอ ไม่ได้มาหลงสุขหลงทุกข์ ไม่หลงเอร็ดอร่อย ไม่ได้มีอัสสาทะ ให้แก่ตนอีกต่อ

พระพุทธเจ้าใช้คำจบ ก็ใช้ภวตัณหา ไม่ได้ไปดับวิภวตัณหาเลย พระบาลีบอกว่า ยัง ชีวิตัง น ตปติ มรณันเต น โสจติ ที่บอกว่า ชีวิตย่อมไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ผู้นั้นย่อมไม่เศร้าโศกในที่สุด ในที่สุดย่อมไม่เศร้าโศก ในที่สุดแห่งมรณะ มรณันเต น โสจติ

ถ้าว่าผู้นั้นมีบทอันเห็นแล้วไซร้ ที่อ่านไปแล้วเมื่อกี้นี้ สเจ ทิฏฐปโท ธีโร เป็นนักปราชญ์ ถ้าผู้นั้นมีบท อันเห็นแล้วไซร้ เป็นนักปราชญ์ ย่อมไม่เศร้าโศก ในท่ามกลางแห่งสัตว์ ผู้มีความเศร้าโศก โสกมัชเฌ ท่ามกลางความโศก เศร้าโศกในท่ามกลางความโศกนี่ น นี่ก็คือไม่ ย่อมไม่เศร้าโศก ในท่ามกลางแห่งสัตว์ ผู้ความโศก โสกมัชเฌ สัตว์ผู้มีความโศก โสกมัชเฌ น โสจติ,

อุจฉินนภวตัณหัสสะ อุจฉินนะ ก็คือ ดับแล้ว สงบ ดับสนิทแล้ว ตัดขาดแล้ว อุจฉินนะ ตัด อุจเฉท แปลว่าขาด แปลว่าไม่มี ตัดขาด อุจฉินนภวตัณหัสสะ ภิกษุผู้มีภวตัณหา อันตัดขาดแล้ว สันตจิตตัสสะ สันตะก็สงบ มีจิตสงบแล้ว ภิกขุโน ภิกษุผู้มีจิตสงบ มีภวตัณหา อันตัดขาดแล้ว วิกขีโน ชาติสังสาโร มีชาติอันสงบสิ้นแล้ว นัตถิ ตัสสะ ปุนัพภโวติ ภโว คือภพ นัตถิ ตัสสะ ปุนัพภโวติ ย่อมไม่มีภพใหม่ (พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ข้อ ๑๐๘)

อาตมาเอาอันนี้มาเพราะว่า อาตมาเขียนเติมลง ในหนังสือ คนคืออะไรอยู่ แล้วก็ เรากำลังอธิบาย ให้เห็นว่า จิตตัว อาสวักขยญาณ ตัวจบกิจ ของพระอรหันต์นั้น คือตัวที่ไม่มีอาสวะ ดับอาสวะสิ้น แต่ไม่ได้ดับที่ ภวตัณหา แล้วอาตมาก็อธิบาย ที่ได้เคย เอามาอ่านให้ฟังแล้วว่า วิภวตัณหานั้น เป็นเหมือน อากังขาวจร หรือ อิจฉาวจร เป็นอาการของจิต ที่เก่งด้วยเยี่ยมยอด มีความอยากได้ มีความปรารถนา มีความต้องการ มุ่งมาด ที่แข็งแรงด้วย แต่ไม่เพื่อตน ไม่ได้เสพแก่ตน เป็นกำลัง อันวิเศษ ของพระอรหันต์ด้วย ที่ใช้ในการสร้าง กอบก่อคุณค่าประโยชน์ ให้แก่มนุษยชาติ เป็นความวิเศษของมนุษย์ เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้ดับ วิภวตัณหา หรือ วิภวภพ ดับภพเรียกมันว่าภพ เรียกมันว่า ภวะ อาตมามาเจออันนี้ก็เลย นี่ยังไม่ได้ใส่เข้าไปใน คนคืออะไร เขียนไปแล้วส่งไปแล้ว มาเจออันนี้อีก แหม นี่เอามาอ้างอิงประกอบด้วย ก็จะลึกซึ้ง มีหลักฐานยืนยัน ชัดขึ้นไปอีกว่า พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้กล่าวว่า พระอรหันต์นั้นดับที่ภวตัณหา แต่ดับอาสวะ ดังกล่าวแน่นอน พระอรหันต์นี่ดับอาสวะ ดังกล่าวแน่นอน แต่ไม่ได้กล่าวว่า ดับที่ภวตัณหา จริง วางวิภวตัณหาได้ ไม่ได้ติดใจ ในวิภวตัณหา ได้จริง แต่บอกแล้วว่า วิภวตัณหามันก็คือ ภวตัณหา นั่นแหละ คือ ตัณหาในภพ เป็นภพอันยิ่ง เป็นภพอันวิเศษ เป็นภพอันที่ท่าน ไม่ติดเป็นตัวตนแล้ว นั่นแหละ

แม้ภพที่ท่าน ไม่ติดเป็นตัวตนแล้ว ท่านก็ไม่ได้หมายว่า จะเอาภพนี้ไปด้วย พระอรหันต์ต้องรู้ว่า เอาภพนี้ ไปด้วยไม่ได้ ถ้าจะดับภพสนิท อย่างปรินิพพาน แต่ถ้าพระอรหันต์ จะไม่ดับภพนี้สนิท จะไม่ปรินิพพาน ก็สัญญาย นิจจานิ กำหนดอันนี้ เที่ยงไว้ก่อน อันนี้ต่อไว้ก่อน อย่าเพิ่งสูญ ก็เป็นเรื่องของท่าน อย่ามายุ่งกับกู เป็นเรื่องของท่าน นี่เป็นภาวะพิเศษ ดีที่สุดหรือสมบูรณ์ที่สุด ก็อยู่ที่จิต ต้องละเอียด อย่าโกหกตัวเอง ตัวนี้แหละสำคัญ

ผู้ใดที่ชัดเจนแล้ว สัญญากำหนดรู้ อย่างชัดหมดทุกอย่างจริงแล้ว เห็นจริงว่าดับสนิท จึงจะปฏิญาณตน ว่าดับสนิท ถ้าไม่ดับสนิท อย่าไปปฏิญาณตนพล่อยๆ อวดอุตริมนุสธรรม อันเป็นความชั่วร้าย ที่สูงสุด อวดอุตริมนุสธรรม โดยเฉพาะ ไปปฏิญาณตนว่าบรรลุ ปฏิญาณตนว่าดับสนิท ปฏิญาณตนว่า หมดกิเลส ถ้ารู้อยู่จริงๆ จะรู้โดยญาณรอบไหน ที่รู้ตัวเองเล็กน้อยเท่าไหร่ ไม่แน่ใจอย่ากล่าว เว้นแต่เป็นความหลง ที่แท้จริงว่า เรารู้สึกว่าเราดับจริงๆ นะ แล้วเป็นความหลง มันซุกซ่อนได้ นั่นก็แล้วไป พระพุทธเจ้าก็ไม่เอาผิด แม้แต่อาบัติ ท่านก็ไม่เอาผิดดอก ไอ้อย่างนั้นมันหลงจริงๆ น่ะ มันรู้ตัวจริงๆ เลยนะว่า เราดับสนิทจริงๆเลย ไม่ใช่ไม่เคยรู้แว็บๆ วาบๆ เรายังไม่หมดน่ะ ยังมีแวบๆ วาบๆ อยู่ อย่าอุตริ ปฏิญาณออกมา ต้องเอาให้มันชัดแน่ เที่ยงแท้ ร้อยครั้ง พันครั้ง โอ้น่ะ ดับแน่แล้ว ไม่เหลือจริงๆ อย่างนี้นี่ หลายทีแล้ว มันไม่เกิด อย่างนี้ไม่เกิด เอาให้จริง หยั่งญาณให้รู้ตนให้จริง

ทีนี้ลองฟังสูตรต่างๆ ที่จะสัมพันธ์กันไป ว่าด้วยทรงแสดงส่วน ๒ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณเกิดขึ้น เพราะอาศัยส่วน ๒

วิญญาณเกิดเพราะอาศัยส่วน ๒ เป็นอย่างไร จักษุวิญญาณเกิดขึ้น หมายความว่า วิญญาณทางตา เพราะอาศัย จักษุและรูป นั่นคือส่วน ๒ อาศัยตากับรูป ซึ่งเป็นอายตนะนอก อายตนะใน เราก็เรียนมาแล้วใน ทุกขสูตร อาตมาเอามา อธิบายไปแล้ว เกิดผัสสะก็ต้องมีสภาพ ผัสสะก็ต้องเกิดสาม คือมี อายตนะนอก อายตนะใน กับวิญญาณ ถ้าวิญญาณทางตา ก็เรียกจักษุวิญญาณ วิญญาณทางหู ก็เรียก โสตวิญญาณ อะไรอย่างนี้เป็นต้น สรุปแล้วเกิดสามก็คือเกิดตา เกิดทวารนอก อายตนะนอก กับอายตนะใน รูปเป็นอายตนะนอก ตาเป็นอายตนะใน เสียงเป็นอายตนะนอก หูเป็นอายตนะใน กลิ่น ก็เหมือนกัน จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะนอก อายตนะใน แล้วก็เกิดเป็นมามีวิญญาณ วิญญาณจากรูป ก็เรียกวิญญาณตา วิญญาณจากเสียง ก็เป็นวิญญาณหู อะไรอย่างนี้เป็นต้น จนกระทั่ง ครบ ๖ รอบสามนี้ เป็นผัสสะ

ตรงนี้ต้องอธิบาย ซ้อนลงไปอีกว่า แล้ววิญญาณ มันเกิดจากอะไร เกิดจาก ๒ วิญญาณ เกิดขึ้น เพราะอาศัยส่วน ๒ เป็นอย่างไร จักษุวิญญาณเกิดขึ้น เพราะอาศัยจักษุและรูป จักษุไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นอย่างอื่น รูปไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นอย่างอื่น ส่วน ๒ อย่างนี้ หวั่นไหว และอาพาธ ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้น เอาตา เอารูป เอาอะไรพวกนี้ เป็นที่พัก เป็นที่อาศัยไม่ได้ มันไม่เที่ยงดอก มันทุกข์ จักษุวิญญาณไม่เที่ยง แม้มาเป็น จักษุวิญญาณ อาศัยตา อาศัยรูป แล้วมีจักษุวิญญาณได้ มีความแปรปรวน มีความเป็น อย่างอื่นเหมือนกัน แม้เหตุปัจจัย เพื่อความเกิดขึ้นแห่งจักษุ เหตุปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้น แห่งจักษุ วิญญาณก็ไม่เที่ยง เหตุปัจจัยอะไรก็แล้วแต่ รวมแล้ว ก็อธิบายไปหมดแล้ว ที่มันจะก่อให้เกิดรูป ก่อให้เกิดมีอายตนะใน คือตา ทวารอื่นก็ละไว้ ในฐานที่เข้าใจ ก็เหมือนกัน มีความแปรปรวน มีความเป็นอย่างอื่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็จักษุวิญญาณ ที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัยปัจจัย อาศัยปัจจัย อย่างนี้เป็นปัจจัย จักษุวิญญาณสัมผัส สัมผัสรูปข้างนอก ก็มาเกิดจากตา มีตาก็มีรูปนอกกับใน เกิดเป็นวิญญาณ จักษุวิญญาณ ที่เกิดนั้นน่ะ เราเกิดรับรู้สึก แล้วเป็นในอีกทีหนึ่ง เป็นในภายใน เป็นรูปภายในอีกทีหนึ่ง ด้วยสภาวะ นึกออกไหม ไอ้นี่รูปนอก ตัววัตถุนอก ตาเป็นอายตนะใน เข้าไปข้างใน รับภาพนี้แล้ว รับรู้แล้ว เป็นภาพอยู่ข้างใน เป็นรูปข้างในอีกทีหนึ่ง เป็นจักษุวิญญาณ วิญญาณรู้รูป เวทนา สัญญา สังขาร แล้วก็มาเป็นวิญญาณ ถ้ามันไม่ได้เรียนอะไร มันก็เป็นรูป ชอบหรือไม่ชอบ มันก็ไว สังขารปรุงแล้ว เวทนาไปกำหนดอุปาทานเอาไว้ว่า ชอบก็สุข ไม่ชอบก็เคืองในตา ที่จริงไม่มีฝุ่นมีอะไร เข้าไปในตาสักหน่อย ไม่ชอบก็ แหม เคืองนัยตา หมั่นไส้ ชัง เกลียด อะไรก็แล้วแต่ มันก็จะเกิดภาวะ กิเลสทันที ไวนะ แต่ก่อนนี้ ใช่ไหม เดี๋ยวนี้ก็ยังไวอยู่ แต่ก่อนนี้ไว รู้เลย เดี๋ยวนี้ละ ก็ยังไวอยู่ แต่ถ้าเราได้ฝึก มันจะไม่ไวดอก มันก็จะเข้าใจได้ว่า อ๋อ เรานี้ยังมีเบรก ยังมีแตะ ยังมีห้ามอยู่ ยังมีรู้ทัน มีญาณเข้าไปแทรกตัวรู้ได้ ถ้าได้สังวร ระวัง หัดฝึก ก็ยิ่งจะชัดเจนว่า เรารับทัน เราไม่ไปพรวดปรุง มาเป็นชัง หรือแม้ชังก็ยังไปกำหนดชัง เฮ้ย ชัง อย่าไปทำงานไวนัก กิเลสอย่าไปทำงาน เกลียดเร็วนัก ใช่ไหม เราจะมีการชำนาญ หรือว่ามีภาวะ ที่รู้จักห้าม รู้จักหยุด รู้จักอ่าน อาการภาวะของกิเลส ของตัวเลว ของตัวไม่ดีอะไรบ้าง

หรือแม้แต่ตัวอร่อย ตัวที่เรานึกว่า เป็นของดี แต่ก่อนนี้หลงมัน อร่อยปั๊บเป็นสุข โอ๊ยดีหมด เอ๊ มันสุขแท้หรือเปล่า มันสุขปรุง หรือว่า มันสุขอย่างไร มันจะรู้ชัดขึ้น ยิ่งเข้าใจเคหสิตะ เนกขัมมสิตะ แล้วยิ่งจะรู้ ไอ้สุขปรุง มันไม่ใช่สุขแท้ดอก สุขอร่อยโลกียะ ถ้ายิ่งคุณกำหนดโลกียสุขได้ชัด เคหสิต โสมนัสได้ชัด โอ มันไม่มีดอก ที่จริงสุขมันไม่มี ให้มันดับสนิท ไอ้ตัวเคหสิตโสมนัส หรือโลกียสุข นี่แหละ เป็นตัวซ้อน ที่ตัวพรางทุกข์ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็มีแต่ทุกข์เท่านั้นแหละ ต้านมันไว้ก่อน แล้วก็หัดลด อย่าไปติดมันนะ เป็นสุข หรือ เป็นอะไร คุณก็ทำออกได้ เนกขัมมะได้ คุณก็หัดฝึก ปลดปล่อยได้

จักษุวิญญาณที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัยปัจจัยอันไม่เที่ยง จักษุวิญญาณก็คือ ตัวรูปในเกิดแล้ว เพราะอาศัย ปัจจัยอันไม่เที่ยง ไม่ว่าจะปัจจัยตา ปัจจัยรูป ก็บอกแล้ว ล้วนแต่ไม่เที่ยง แปรปรวนทั้งนั้น อาศัยมาก่อเกิด ผสมอยู่ในใจ เป็นจักษุวิญญาณก็ตาม มันก็ไม่เที่ยง ก็อาศัยปัจจัยอันไม่เที่ยง จะเป็นของเที่ยงแต่ไหน แล้วมันจะเอาอะไร มาเที่ยงเล่าพวกนี้ นอกก็ไม่เที่ยง ในก็ไม่เที่ยง มาก่อเกิดเป็นใน เข้าไปอีก เป็นจักษุวิญญาณอีก มันก็ไม่เที่ยงอยู่นั่นแหละ รูปนั้นไม่ได้น่ารักน่าใคร่ ไม่ได้น่ายินดี แล้วไม่ต้องไปหลงว่า มันจะปรุงเป็นรส ก็เมื่อคุณไม่ปรุงเสียอย่าง คุณก็รู้ความจริงได้ว่า ขวดรูปอย่างนี้ คนเขาเรียกว่าขวด โอ๊ รูปสวยดี เออ เอ็งสมมติว่าสวย และรสชาติสวย และเราก็จะชื่นอก ชื่นใจ ปรุง คุณก็หัดดูอาการของคุณต่อ ถ้ามันปรุง แก้ตรงปรุง แต่เขาบอกว่าสวยตามสมมติโลก เออ รู้ตามเขา คุณก็กำหนดรู้โลก เข้าใจสมมติสัจจะ แต่ปรมัตถสัจจะ คุณฆ่าให้ถูกนะ ฆ่าให้ตัวที่คุณชื่นชอบ คุณไปเสพรสอัสสาทะนั้น รู้สังขารนั้น อย่าให้มันปรุงเป็นรส ดับรสก็ได้ ดับสังขารของจิต ที่จะไปเป็นรสยิ่งดี ยิ่งถูกตัว ว่าดับสังขารถูกแล้ว เพราะฉะนั้น ก็ดับรสไว้ก่อน ก็หมายความว่า เราค่อยๆ ก้าวเข้าไปแล้วนี่ ใกล้เข้าไปอีกนิด ชิดเข้าไปอีกหน่อย สวรรค์น้อยๆ อยู่ที่วงนิพพาน ไม่ใช่วงฟ้อนรำนะ ใกล้แล้ว ๆ ทีนี้ก็ต้องอ่านชัดลงไป ที่อัสสาทะนี่ ต้องมีสังขารนำหน้า เพราะปรุง จึงเกิดรสอัสสาทะ ตามฆ่าสังขารให้ได้อีกทีหนึ่ง ให้มันทัน เอ๊ อธิบายเป็น slow motion นี่เป็นหนัง ถ่ายช้า ถ้าอย่างนี้ ยังไม่รู้อยู่ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว อาตมาก็ไม่รู้ จะอธิบายอย่างไรแล้ว

เขาถามว่า ถ้าจับสังขารได้นี่ นี่มันฆ่าสังขารอันนี้นะ สังขารกายนี่ จะมาฆ่ามัน อันนี้อาศัย อาศัยไว้ปฏิบัติ เป็น สูรา สติมันโต อิธ พฺรหฺมจริยวาโส เป็นตัวที่จะปฏิบัติพรหมจรรย์ ให้สิ้นได้ อย่าเพิ่งไปฆ่ามัน ไม่ต้องไปทำลายมัน ทำลายสังขารในจิต สังขารจิต กิเลสมันเป็นอย่างไร ตัวกิเลสตัวนี้แหละ เป็นตัวไปสังขาร จับอาการตัวที่ไปหลง เป็นตัณหา เป็นความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ฆ่าตัวนี้ได้จริงแล้ว ไม่มีสังขารก็ดี ก็จบ

เพราะอาศัยปัจจัยอันไม่เที่ยง จะเป็นของเที่ยงแต่ไหน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความประจวบ ความประชุม ประจวบก็คือประจันแล้ว ชนแล้ว สัมผัสแล้ว ความประจวบ มันมาพร้อมกัน พร้อมพรั่งแล้ว ความประจวบ หรือความประชุม มันมาครบครันแล้ว ความพร้อมกันแห่งธรรมะ ทั้งสามนี้แล เรียกว่า จักษุสัมผัส เพราะฉะนั้น เราเรียกสัมผัส โดยภาษาตื้นๆ เราบอกว่า เราไปกระทบนี่ เรียกว่าสัมผัส แต่นัยที่ละเอียดของอภิธรรมแล้ว สัมผัสหมายความว่า กระแทก เท่านั้นเองแหละ แต่ความจริง ต้องอ่านปรมัตถ์ มีอายตนะนอก อายตนะใน มีจักษุวิญญาณ รวมองค์สามนี้ ปรุงเป็นรูปเรื่องขึ้นมา อย่างนี้จึงเรียกว่า เนื้อหาของสัมผัส เพราะฉะนั้น สัมผัสด้วยภาษาโวหารตื้นๆ หยาบๆ ของประถมหนึ่ง การกระทบกระแทก เรียกว่า สัมผัสใน เนื้อในของรายละเอียด จะเกิด เรียกว่า ทางตาเห็นรูป เรียกว่า จักษุสัมผัสแล้วไซร้ ก็คือมีรูป มีตา มีจักษุวิญญาณ นั่นรวม ๓ นี้ เรียกว่าสัมผัส ถ้าตาก็เรียกว่า จักษุสัมผัส หรือรูปเรียกว่า กายสัมผัส

ทีนี้ในภาษาที่เคยอ่าน เคยผ่านมา ดับผัสสะ ไม่มีสัมผัสก็ดับสนิททุกอย่าง ไอ้นั่นก็เป็นภาษา อธิบายผ่านๆ อธิบายหยาบๆ ถ้าใครพาซื่อแบบนั้นนะ ไปดับผัสสะ ก็คือ ไม่ต้องมีผัสสะ ก็เป็นฤาษีไพร ฝ่ายมุนีไพร เป็นฤาษีป่า หนีผัสสะอย่างพาซื่อ หนีผัสสะอย่างตื้นๆ ประถม ๑ แล้วก็ไม่มีทาง ที่จะบรรลุอรหันต์ ของพุทธดอก คนพวกนี้ เพราะยาก อธิบายไปแล้วมันจะวน นี่อธิบาย ที่จริงแล้ว อย่างนี้ ต้องอธิบาย ต่ออุปสัมบัน จะอธิบายกับอนุปสัมบัน ไม่รู้เรื่องดอก มันลึก แม้แต่พวกเราบางคน ฟังแล้วก็พยายามฟัง เอ้อ ไม่ค่อยจะเข้าใจ มันลึก มันหลุดๆ ร่องๆ มันละเอียดเกินไป แต่ผู้ใดมีญาณ รับได้ทัน ได้ดี เข้าใจความหมาย ที่อาตมาขยายความหมด ผู้นั้นอย่างน้อย ก็มีความฉลาดพอ ที่จะรับรู้ แม้ไม่มีสภาวะจริง

ยิ่งมีสภาวะจริงรองรับแล้ว โอ้โฮ ฟังดี ฟังดีนะ แหม มันชัด มันอร่อย มันรู้เรื่องรู้ราว แล้วเราก็สนใจ ในเรื่องจะไปนิพพานจริงๆ นะ โอ๊ แล้วท่านก็อธิบาย อ่านต่อไป ก็ชิวหาวิญญาณเหมือนกัน แล้วก็ต่อไป ก็วิญญาณ อื่นๆ นั่นแหละทั้งหมด อธิบายมาถึงสัมผัส ทุกอย่างก็ไม่เที่ยง ไม่เที่ยง จนกระทั่งถึงมโน มโนสัมผัสก็ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นอย่างอื่น เหตุปัจจัยเพื่อความเกิด แห่งมโนสัมผัส ก็ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นอย่างอื่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มโนสัมผัสที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัยปัจจัยอันไม่เที่ยง จะเป็นของเที่ยงแต่ไหน ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลอันผัสสะกระทบแล้ว ย่อมรู้สึก อันผัสสะกระทบแล้วย่อมคิด อันผัสสะกระทบแล้ว ย่อมจำ แม้ธรรมเหล่านี้ ก็หวั่นไหว และอาพาธ ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นอย่างอื่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มโนวิญญาณย่อมเกิด เพราะอาศัยส่วน ๒ อย่าง ด้วยประการฉะนี้ เอาละ รู้แล้วว่า มันไม่เที่ยงแล้วนะ

( อ่านต่อหน้า ๒ )

ADD5A.TAP