ตอบให้ถึงซึ่งอาริยะ (ตอน ๒)
โดยพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๓๖ ณ พุทธสถานศาลีอโศก

คำถาม เรื่อง....นั้นดิฉันเห็นมากับตา เขาเป็นถึงหัวหน้าฝึก....ด้วย และเขาได้ถึงประกาศนียบัตรด้วย แต่ทำไมเขาไม่มีศีลธรรมเลยคะ ฉันเห็นเขาทะเลาะกับผัวเขาทุกวัน ทะเลาะด่าผัวเขา ไอ้เห้.. ไอ้สั-ว์ (คนฟังหัวเราะ) และเขาจะทะเลาะกับคนอื่นประจำ เพื่อนฝูงของผัวเขา เขาจะว่าเสียหายเรื่อย จนเพื่อนฝูง ของผัวเขา ไม่มาหาสู่เลย การพนันเขาก็เล่น และเขาจะซื้อเนื้อควายเนื้อวัว มากินทุกวัน เนื้อทุกชนิดเขากิน เขาเคยไปนั่ง หลับตาสมาธิด้วย แต่ศีลไม่มีเลยในตัวเขา ดิฉันขอเตือนญาติธรรมทุกคน อย่าเดินทางนี้ ขอให้ตั้งมั่น ในธรรมของพ่อสอนดีกว่าค่ะ

พ่อท่าน อาตมาไม่นึกคิดว่านะ พูดกันจริงๆ ในใจอาตมานี่ว่าพวกเราที่ไป....ก็ตาม ไปโน่นไปนี่ อาตมา ไม่คิดว่า พวกเราคิดว่าอยากจะไปอยู่ทางโน้นหรอก แต่ว่ามันอยากจะไปลองนั่น อย่างหนึ่ง อยากไป ศึกษาดูบ้าง เขาว่าดีแล้วก็ไปโน่นอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งไปรักษาตัว รักษาความเจ็บป่วย ซึ่งอาตมา ไม่รักษาใช่มั้ย แล้วพวกเราก็รักษาทางแผนปัจจุบัน รักษาทางพวกนี้ พวกเราก็ไม่ค่อยหาย เพราะมันเป็น ทางจิต มีโรคทางจิต บอกแล้วว่ามันเป็น psychosis หรือว่า neurosis อยู่ในตัว แล้วอาตมาก็ไม่ทำ เพราะว่า มันเป็นเดรัจฉานวิชา อาตมาขอย้ำอีกทีนะว่า รักษา.... หรือรักษาอะไรต่ออะไร ที่เขารักษาพวกนี้นี่ มันอันเดียวกัน ทั้งหมด มันรักษาทางจิตวิทยา เป็นโรค neurosis หรือ psychosis เหมือนกันหมด อาตมารักษาได้ และ อาตมาเชื่อว่า อาตมารักษาไม่ได้แพ้เขาหรอก ไม่ได้ด้อยกว่าเขาดอก แต่อาตมาไม่ทำ เพราะมัน ไม่ใช่พุทธ มันเดรัจฉานวิชา มันนอกทาง อาตมาไม่ทำ เพราะฉะนั้นอาตมาจึงไม่มีปัญหาอะไร จะไปรักษา อะไรแล้วแต่ ตัวใครตัวใครนะ บอกแล้วเมื่อเช้าก็พูดแล้วว่ามันเป็นเรื่องของส่วนบุคคล ถ้าบุญบารมี เขามีแค่นั้น เขาก็เอาแค่นั้น ถ้าบุญบารมีอย่างจะอยู่กับเราด้วย เขาอยู่ได้เขาก็เอากับเรา ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาบอกแล้วว่า อาตมาไม่หวงแหน ไม่หวงแหนบริวาร ไม่หวงแหนลูกศิษย์ ไม่หวงแหนใครหรอก ใครจะไปยังไง มันก็ส่วนตัว บังคับกันไม่ได้ แล้วคนเรามันก็มีวิบาก มีบารมี มีบุญ มีฐานะ มันเป็นเรื่อง ธรรมดา ธรรมชาติ ของใครของใคร เพราะฉะนั้น จะไปบ้างก็ไป แต่แนวโน้มของอาตมาที่พูด ก็คงจะรู้ว่ าอาตมาเอง อาตมาไม่ได้ส่งเสริม

แนวโน้มอาตมาสรุปให้ฟังอีกทีว่า อาตมาไม่ได้ส่งเสิรมหรอก แต่อาตมาก็ไม่หักห้าม อาตมาไม่ยินดี ที่จะไปบังคับใคร หรือว่าไป แหม หวงแหนเกาะเกี่ยวไว้ อาตมาไม่ทำหรอก อาตมาถือว่าเสีย อาตมาไม่ดี ที่จะไปไหน ดึงเอาไว้ หวงเอาไว้ ไปปิดไปกั้น เรื่องอะไรจะไปปิดไปกั้น คุณจะไปก็ไป อาตมาไม่กลัวนะ ถ้าที่นี่ไม่ดีจริง เขาก็ต้องไปหาที่ดีกว่า ถ้าเมื่อเขาเชื่อว่า อะไรดีกว่าเขาก็ต้องเอา คนเราน่ะ เราจะไปปิดกั้นเขา ทำไม เมื่อเราไม่ดีกว่าก็ต้องให้เขาไปเอาที่ดีกว่า เพราะเขาเชื่อว่า อันนั้นดีกว่า ใช่มั้ย เขาเชื่อว่า อันนั้นดีกว่า ก็ต้องเอา ทางนี้เราดีกว่าก็ทำให้เขาเชื่อว่า อันนี้ดีกว่าซิ เมื่อทำไอ้นี่ให้เขาเชื่อว่าดีกว่า เขาก็อยู่เอง แล้วก็ ไม่ต้อง ไปบังคับกัน อาตมาเชื่อว่า ความเชื่อบังคับกันไม่ได้ ความเชื่อบังคับกันไม่ได้ มันเป็นไปตามนั้น

คนฟัง ...(ไม่ชัด)

เพราะฉะนั้น เรื่องนี้นี่ พวกเรานี่ อาตมารู้อยู่ว่า จิตใจของพวกเรานี่นะ มันหวงแหนกัน มันไม่อยากจะให้ไป อย่างนั้นๆ อะไร แล้วลึกๆ ก็คิดว่า คือจริงๆแล้ว ผู้ที่เชื่อว่าที่นี่ดี ก็ไม่อยากให้ออกไปที่ที่รู้ว่า มันไม่ดีเท่า ตัวผู้นั้นแหละ ที่เขาหวงแหน เขาก็ไม่อยากจะให้ไปที่ที่ไม่ดีเท่า มันเป็นความปรารถนาดีของผู้นั้น เหมือนกัน ใช่มั้ย จะไปโทษกันก็ไม่ได้ คนนี้เขาพูดเขาอะไรๆ เขาไม่อยากให้ไปหลงทาง หรือเขาไม่อยาก ให้ไปเสียเวลา หรือ เขาไม่อยากให้ไป เพราะว่าเผลอๆ ไปหลงติด ไปอะไรต่ออะไรเข้า เขาก็กลัว ไม่อยากให้อะไรนี่ มันก็เป็น ปรารถนาดี ของเขาเหมือนกัน ซึ่งอาตมาเอง อาตมาก็ต้องพูดกลางๆ สำหรับผู้อื่น ก็พูดตามประสา ของผู้ที่ หวงแหน มันยังมีความหวงแหน มากกว่าอาตมา จริงๆ อาตมาเคยพูดว่า อาตมาเคยพูด ด้วยภาษาว่า ถ้าอาตมา จะใช้ภาษาว่า อาตมาเสียดาย อาตมาก็เสียดาย สิ่งที่มันร่วงหลุดไป หรือว่า มันอยู่ด้วยกันไม่ได้ หรือ มันพรากจากกันไป อะไรนี่ สมณะต้องสึก จะบอกว่าโดยภาษาโลกก็เสียดาย แต่ว่าทำไงได้ล่ะ มันต้องเป็น อย่างนั้น หรือว่าพวกเราอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่สมณะสึก แต่ว่าพวกเราอยู่ในอโศก แต่ก็ตกร่วงไป ไปที่อื่นเสีย อะไรนี้ จะพูดโดยภาษา มันก็ว่าเสียดาย มันก็น่าเสียดาย จะทำยังไงล่ะ มันเป็นอย่างนั้น

คนฟัง ที่พ่อท่านบอกว่า มีเกี่ยวกับเรื่องทางโรค โรคที่ไปรักษานี่ ขณะนี้สถาบันโรคจิตทุกที่ ทุกแห่งใน ประเทศไทย เขาเปิดคลินิก ที่รับรักษาโรคจิต ที่เกี่ยวกับทางกาย สมมุติว่า เราป่วยกายแล้วป่วยจิตด้วย เขารับ ให้คำปรึกษา เขาเปิดคลินิกขึ้นมาใหม่

พ่อท่าน มี คือเดี๋ยวนี้ทางโลกนี่ เขากำลังศึกษาเพื่อที่จะลึกซึ้งขึ้น ในแนวทางของทางจิต เพราะว่าทางโลก นี่นะ การแพทย์ทางโลกนี่ เขายังไม่เก่งทางจิตเท่าไหร่ และก็ผู้ที่รักษาทางจิตแบบนี้ มันเป็นไสยะ มันเป็น ศาสตร์ ของคนหลับ ศาสตร์ที่ไม่ชัดเจน และการรักษาไข้นี่เท่านี้นะ หายเจ็บป่วยเจ็บปวดอะไร พวกนี้นะ มันไม่ใช่ ทางที่จะไปพาพ้นทุกข์ ถึงแม้มันจะเกี่ยวทางจิตวิญญาณ แต่มันไม่พาที่จะบรรลุ นิพพานหรอก อันนี้นี่แน่ๆ โดยภาษาพระพุทธเจ้าแล้ว ว่าไม่ใช่ทางที่จะพาบรรลุนิพพาน แต่ก็เอาละ อาตมาก็ไม่สงสัย บางคนเขาก็ไม่คิดว่า เป็นทางนิพพาน แต่ว่าเขาจะไปรักษา การเจ็บป่วย อาตมาก็บอก แล้วว่า มันก็เป็น การรักษา การเจ็บป่วย ด้วยวิธีนั้น อย่างนั้น แต่ถ้าให้อาตมาอยู่ทางนี้ อาตมาไม่ทำ ทำไม่ได้ มันผิดแนวทาง ของพระพุทธเจ้า แต่ผู้นั้นก็อยากจะหายน่ะ

คนฟัง พวกชาวอโศกนะ ที่ต้องการจะแก้ทางด้านนี้ ไม่ต้องไปทางสายอื่นก็ได้ ไปหาเจ้าหน้าที่ของรัฐ

พ่อท่าน ทางนี้แนะนำว่า พวกเราชาวอโศกนี่ ถ้าเผื่อว่าจะรักษาทางนี้เกี่ยวกับทางจิตโดยตรง เขาก็มีคลินิก ที่เกี่ยวกับ ทางจิตด้วย ว่างั้นนะ แต่มันต่างกันนะ ทางวิทยาศาสตร์นี่นะ ทางจิตนี่ไม่ค่อยลึก แต่ชะงัด เหมือนกัน ไม่ค่อยลึก ทางวิทยาศาสตร์นี่ แต่ว่าทางไสยศาสตร์นี่ลึกเหมือนกันนะ บางทีนี่น่างง น่าทึ่งด้วย แต่ไม่กระจะ กระจ่าง คลุมเครือ ลึกลับ มันจึงเป็นศาสตร์ไม่ได้ไง ทีนี้ที่จริงอาตมาเอง อาตมารู้ว่า ศาสตร์นี้ มันเรื่อง อุปาทาน ไสยศาสตร์ หรือศาสตร์นี้ เป็นอุปาทาน ซึ่งอาตมารู้ อาตมาเข้าใจ มันเป็นเรื่องของจิต ที่ตัวเองเชื่อถือ แล้วก็เป็นสภาพที่ซับซ้อน หลายชั้นน่ะ เรื่องของอุปาทานนี่ แล้วเขาก็ไปทำ ไปอะไร ต่ออะไรขึ้นมา มันก็เป็นผล เป็นอะไรขึ้นมาบ้าง อย่างนั้นๆ อาตมาก็รู้ดี ถ้าหายก็หายได้นะ หายขาดเลยก็ได้ บางครั้ง บางคราว บางครั้งบางคราวมันก็ไม่หายขาดหรอก เพราะว่า มันก็เวียนวนกลับ เหมือนกัน นั่นแหละนะ แต่จริงๆแล้ว จะให้หายขาด มันก็เป็นสภาพที่เรียกว่า โรคมันไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ ถ้าโรคซับซ้อน จริงๆน่ะ มันไม่หายขาดหรอก ทางจิตนี่

คนถาม โรคจิตนี่ ถ้าไปที่คลินิกจิตแพทย์นี่ มันก็เป็นเครดิตอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้คนอื่นเขาว่า เราเป็นโรค เสียความรู้สึกน่ะครับ

พ่อท่าน เออ เดี๋ยวก็ไปเสียหายทางอโศกอีกแหละ (คนฟังหัวเราะ)

คนถาม กลัวสถาบัน ก็เลยอยากไปทางอื่น เลี่ยงไปที่อื่น นี้เป็นเหตุผลหนึ่ง เคยได้ยินเขามาพูดให้ฟัง นะครับ อย่างพอ ไปหาหมอ เขาบอกโรคเครียด แล้วเรารู้สึกว่า มันเสียเครดิตที่เราเป็นนักปฏิบัติธรรม แล้วเที่ยวไป ให้หมอเขาบอก เป็นโรคเครียด มันขายหน้า ไป....นี่เขาไม่ได้บอกว่า คุณเป็นโรคเครียด เขาก็ใช้พลังจิต เขาชักจูง ไปทางอื่น มันก็เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง

พ่อท่าน เอ้า เอาละ ก็ปล่อยไป มันจะมีอะไรมันก็ต้องมีบ้างละ แหม จะเป็นปัญหาอะไรนะ อาตมาไม่เห็นว่า มันเป็นปัญหาอะไรมากมาย

คำถาม ตอนนี้ดิฉันอายุ ๒๗ ปี กะอีก ๒ ปีจะมาอยู่วัด แล้วใช้ระยะเวลานานอีกประมาณกี่ปี ถึงจะได้ เครื่องแบบ เป็นสิกขมาต (คนฟังหัวเราะ) อยากจะตาย ในผ้ากาสาวพัสตร์ค่ะ

พ่อท่าน แหม รับรองไม่ได้นะ ปัญหานี้ถามสั้นๆ แล้วก็ตอบไม่ยาวหรอก อาตมา รับรองไม่ได้ คุณอายุ ๒๗ ปี กะอีก ๒ ปีจะมาอยู่วัด เอาน่า ไปถึง ๒ ปีแล้วมาอยู่วัด แล้วคุณจะรู้เองว่าอีกกี่ปี จะได้เป็นสิกขมาต ขณะนี้ นี่นะ เล่าให้ฟังนิดหนึ่ง กรักนะ ตอนนี้มีอยู่ ๓ ปะหญิงมีอยู่ ๖ เขาก็นับกันอยู่ว่า ขณะนี้ เท่าที่ดู การก้าวหน้า เพราะว่าจะต้องมี สมณะสี่ต่อสิกขมาตหนึ่ง ขณะนี้นี่ยังมีสมณะอยู่แปดสิบขณะนี้ นี่โชคดีนะนี่ เขานัด วันบวชแล้ว จะบวชกันวันที่ ๑๗ เมษานี่ วันเสาร์นะ บวชที่สันติ จะบวชอีก ๖ รูปนะ จะได้สมณะ ก็มี ๖ รูป ขณะนี้สิกขมาตมีอยู่ ๒๑ นี่มันเกินอยู่แล้วนะ เพราะตามธรรมดานี่ สิกขมาต ๒๑ นี่จะต้องมีสมณะ ๘๔ เพราะฉะนั้น บวชขึ้นมาอีก ๖ มันก็เท่ากับได้สิกขมาต ๒๑ กับเศษอีก ๒ เท่านั้น ยังไม่ได้อีก ๒ เผื่อจะได้ สิกขมาตอีก ๑ เลย กรักก็ต้องรอ และรอไปก่อน จนกว่าจะมีสมณะ เพิ่มเข้าเป็น ๘๘ ถึงจะได้ขึ้นมาอีก ๑ แล้วทีนี้เขาก็กะกันว่า ถ้ามันอัตราการก้าวหน้าขนาดนี้นะ เขาลองไล่ดู ปะที่เป็นปะอยู่ เดี๋ยวนี้ ปะหญิงขณะนี้ จะได้ขึ้นมาเป็นสิกขมาตนี่ จะใช้เวลาอีกเท่าไหร่ไม่รู้ ปะพรพรรณเค้าคำนวณว่า จะต้อง มีสมณะนี่ ๑๐๔ รูป เขาถึงจะได้ขึ้นมาเป็นสิกขมาต ปะพรพรรณนี่ ยังไม่ใช่ปะคนสุดท้ายนะ สำหรับตัวเขานี่ เพราะฉะนั้น อย่างทุกวันนี้นี่ สมณะสมมุติว่า ๘๖ แล้วนะ กว่าจะถึงอีก ๑๐๔ นี่นะ (คนฟังและพ่อท่านหัวเราะ) ก็ลองนับๆ ไปดูก่อน ก็แล้วกันว่า มันจะอีกกี่ปี (พ่อท่านหัวเราะ)

คนฟัง ตลอดชีวิตนั่นแหละ รอคิว

พ่อท่าน รอคิวอยู่ขณะนี้ก็จะเกือบ ๓๐๐ คน (คนฟังหัวเราะ) ๓๐๐ คนนี่บางคนก็มาใส่ชื่อไว้เฉยๆ ผู้ที่สมัคร ชื่อไว้นี่ ลงชื่อไว้นี่นะ ที่จริงแล้วละก็ยังไม่หรอก ยังไม่ได้จะมาได้เป็นปะ สมัครชื่อไว้ บางทีไปไหนแล้วก็ไม่รู้ บางคน มาสมัครบวช เสร็จแล้วก็ไปไหนๆๆๆ ก็ไม่รู้ ไปมีลูก ๒ คนแล้วก็มี แล้วก็ชื่อยังมีอยู่นะนี่ ชื่อยังบอกว่า ขอสมัครบวช แล้วเมื่อไหร่ มันจะได้บวช ไอ้อย่างนั้นน่ะ (คนฟังและพ่อท่านหัวเราะ) เอ้า จริงๆ จริงๆ เพราะฉะนั้น ก็ลงชื่อก็ลงไปอย่างนั้นน่ะ คนที่ไม่มาเอาจริง คนลงชื่อแล้ว มาปฏิบัติมาอยู่วัด จนกระทั่ง สุดท้าย ผู้ที่เราจะเลือกขึ้นมาเป็นปะนี่ จะต้องเอาจากอารามิกา หรือต้องมาโหวต มาเลือกดู อีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น คนลงชื่อบวชก็มีส่วนที่จะพิจารณาเหมือนกัน ว่า เออ นี่ตั้งใจมาลงชื่อบวชไว้ เมื่อนั่นเมื่อนี่ อย่างนั้น อย่างนี้ เราก็คิดในลำดับด้วยบ้างเหมือนกัน ซึ่งเป็นข้อมูลหนึ่ง ในการพิจารณา แต่จริงๆแล้ว น้ำหนักมันอยู่ที่ว่า จะต้องมาจริงๆ มาเป็นตัวปฏิบัติประพฤติ มีพฤตินัย ที่เห็นเด่นชัด แล้วจนกระทั่ง มาเป็น อารามิกาแล้วก็ค่อยเข้ามา ก็นานๆพูดถึงทีบ้างก็ดี สำหรับคนใหม่ๆ จะได้รู้บ้าง สำหรับคนเก่า ไม่ต้อง พูดหรอก ซึ้งดีอยู่แล้ว (คนฟังหัวเราะ) คนเก่าๆน่ะ ไม่มีปัญหา อยู่นานๆ ไปก็รู้เอง

คำถาม หนู่ยังเป็นเด็กอยู่ ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร จึงกราบเรียนมาเพื่อขอให้พ่อตอบให้ทราบด้วย จะเป็น พระคุณ ต่อชีวิตหนูมาก เรื่องมีอยู่ว่า หนูเรียนจบชั้นประถมต้น จะเรียนต่อชั้นมัธยมต้น ตัดสินใจ จะเข้าสอบ โรงเรียนสตรีวิทยา แต่พ่อกับแม่จะให้มาเรียนที่โรงเรียนสัมมาสิกขาของพ่อท่าน หนูไม่รู้ จะตัดสินอย่างไรดี ขอพ่อท่านตอบ เพื่อประกอบการตัดสินใจในครั้งนี้ด้วย จากหนู..ที่พ่อแม่เป็นชาวอโศก (คนฟังหัวเราะ)

พ่อท่าน จากหนู่..ที่พ่อแม่เป็นชาวอโศก แหม คำหลังนี่มันหนักกว่าคำอื่นเลยเนาะ (คนฟังหัวเราะ) นี่เขา ก็บอกแล้ว ในเนื้อหาว่าพ่อแม่อยากให้มา แต่ตัวเองนี่ยังไม่รู้จะตัดสินใจยังไง แสดงว่าตัวเอง ยังไม่แน่ใจ ยังไม่อยากจะมา ยังไม่อยากจะมาเรียนที่นี่ แต่พ่อแม่อยากให้มา พ่อกับแม่จะให้มาเรียนที่ โรงเรียน สัมมาสิกขา ของพ่อท่าน โธ่ อาตมาไม่ได้เป็นเจ้าของ (คนฟังหัวเราะ) แหม ไม่ใช่ของอาตมาหรอก อาตมา ไม่ได้ร่ำรวย ขนาดเป็นเจ้าของโรงเรียน ไม่ใช่ โรงเรียนนี้เป็นของส่วนกลาง ของพวกเราเองนี่แหละ ช่วยกันดู ช่วยกันรังสรรค์ ช่วยกันให้มันเป็นโรงเรียน ให้เป็นสิ่งที่ให้การศึกษาแก่เยาวชนกันขึ้นมา

ถ้าเผื่อว่าเราเองยังไม่เต็มใจ เราก็ยังไม่สมัครใจ แม้พ่อแม่เต็มใจ อาตมาก็บอกแล้วว่า ต้องให้เต็มใจ ทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้ปกครองและตัวเด็กเอง ถ้าเด็กก็เต็มใจด้วยพ่อแม่ก็เต็มใจด้วย ก็มา แต่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แม้ว่า เราเต็มใจอยากมา แต่พ่อแม่ยังไม่ยอมก็ไม่ดี อย่าเพิ่งมา หรือเราไม่เต็มใจ พ่อแม่เองจะให้มา อย่างนี้ ก็อย่าเพิ่ง นี่บอกเป็นโดยหลักเกณฑ์เลย บอกพ่อแม่เลยว่า เรายังไม่เต็มใจ ทางนี้ก็บอกว่า อย่าเพิ่งมา ก็แล้วกัน ก็บอกอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ถ้าเราเต็มใจด้วย พ่อแม่ก็เต็มใจด้วย ก็ตกลง ไม่มีปัญหาอะไร

คำถาม ทำอย่างไรจึงจะหายเกลียดคนพูดเสียงดัง (คนฟังหัวเราะ) ให้พ่อท่านช่วยชี้อุบายให้ด้วยค่ะ

พ่อท่าน มันไปติดยึดอุปาทานเอาไว้ยังไงว่า โกรธเสียงดัง ไม่ชอบเสียงดัง คนพูดเสียงดัง คนพูดเสียงดังนี่ก็ดี ได้ยินชัดดี พูดเสียงดัง แม้ติเราก็ติชัดดี เข้าถึงดี เสียงดังๆ ติดังๆ ติง้อมแง้มๆ ไม่มีน้ำหนักหรอกนะ เราก็คิดเสียว่า เออ จะดังหรือจะเบา ก็มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น เขาจะพูดเสียงดัง มันก็พูดของเขา เขาจะพูดเสียงดังก็พูดไป แต่ทีนี้ผู้ที่เขารู้ว่าตอนไหน ควรพูดเสียงดัง ตอนไหน ควรพูด เสียงเบาน่ะ มันก็มีสามัญอยู่แล้ว สามัญสำนึกของคนเรา เขาก็ทำอยู่ตามพอควร อย่างนี้ นั่งอยู่กัน ตั้งเป็นพัน ปีนี้น่ะ มันแปลกเลยนะ ไม่มีมื้อใดต่ำกว่า ๑,๒๐๐ เลย ตั้งแต่วันงานวันแรก มื้อแรกมานี่ แรกเลย งานพุทธาภิเษกฯปีนี้ นี่รวมอยู่นี่พันกว่า ไม่ต่ำกว่าพันสองเลย จนกระทั่งถึงขณะนี้นี่ ยังไม่มีต่ำกว่าพันสอง ๑,๒๐๐ ๑,๔๐๐ ๑,๕๐๐ ๑,๖๐๐ ขึ้นถึง ๑,๖๐๐ ซึ่งทำลายสถิติด้วย

ปีนี้นี่พุทธาภิเษกนี่ บอกแล้วว่า เป็นรอบปีนี้น่าแปลก มีนิมิต มีอะไรๆที่แปลก คนมากันเยอะนะ ขนาดนี้ ยังเสียง ไม่ค่อยดังอะไรเลย เงียบๆ ไม่ส่งเสียงจุ๊บจิบๆ มันก็มีสัมมาควรวะ มีธรรมดา ส่วนถึงเวลาจะพูด เขาก็พูดเสียงดัง เหมือนอย่างอาตมานี่พูดเสียงดัง ก็ให้รู้ว่า เออ นี่เป็นเสียงดังของเขา เป็นธรรมชาติของเขา เราต่างหาก ไปยึดไปติด คนเขาพูดเสียงเบาก็พูดเสียงเบา คนเขาพูดเสียงกลางๆ คนเขาพูดเสียงดังๆ มันก็เป็น เรื่องของธรรมชาติของเขา เราจะไปรัก ไปโกรธ ไปชอบ ได้ยังไง ซึ่งมันเป็นความยึดของเรา เพราะฉะนั้น ก็ให้เข้าใจธรรมชาตินี้แล้วก็ เออ วางเสีย ปล่อยเสีย หัดคิดอย่างนี้ แล้วหัดทำจริงๆ หัดทำ ความรู้สึกอย่างนี้ จะหายนะ


คำถาม ขอให้พ่อท่านอธิบายว่า ผู้ที่ได้โลกุตระ แต่ไม่ได้เจโตสมถะก็มี ผู้ที่ได้เจโตสมถะแต่ไม่ได้โลกุตระ ก็มี นั้นอย่างไร

พ่อท่าน เอ้า ก็ฟังดู บุคคลผู้ได้โลกุตระแต่ไม่ได้เจโตสมถะ ก็หมายความว่า คนที่ได้มรรคได้ผล โลกุตรธรรม นี่ ก็คือ มรรคผลทางธรรมของพระพุทธเจ้า คือเป็นธรรมที่เหนือโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข นี่แหละ แล้วมันก็มีมรรคผล ได้ลดละ หรือว่าได้โลกุตรจิต หรือโลกุตรธรรม ผู้ที่ได้อย่างนั้นจริงๆ ได้สูงสุด ก็เป็น พระอรหันต์เลย ได้ธรรมดาก็เป็นอริยบุคคลไปเรื่อยๆ ได้โลกุตรธรรมสูงสุด ก็เป็นพระอรหันต์ แต่ไม่ได้ เจโตสมถะ หมายความว่า จิตสงบแบบที่ไปนั่งสะกดจิตเป็นเจโต เอาแต่สมถะทางจิต เจโตก็คือ จิตนั่นเอง สมถะก็คือ การสงบทางจิต นั่งสะกดจิตทางจิตสงบนี่ ซึ่งในสมัยพระพุทธเจ้าก็มี ลัทธิอย่างนี้ มีเยอะ เดี๋ยวนี้ ก็ยังมี ยังมีอยู่อีกไปอีกเท่าไหร่ ศาสนาที่นั่งสะกดจิตสมาธิอย่างนี้ จะยังมีอยู่ตลอด มีอยู่ ไปเสมอแหละ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ธรรมะของพระพุทธเจ้า แนวทางของพระพุทธเจ้านี่ เรียกว่าได้แต่โลกุตระ แต่ไม่ได้ นั่งสงบสมาธิ อย่างเขาทั้งหลาย ฤาษีทั้งหลายนี่ ไม่ได้ คนอย่างนี้ก็มีอยู่ ได้แต่เจโตสมถะ ไม่ได้โลกุตระ มีเยอะด้วย คือได้แต่นั่งเจโตสมถะนี่ แม้แต่ในสายพุทธเดี๋ยวนี้ ก็ได้แต่เจโตสมถะ นั่งหลับหู หลับตามอย่าง อาจารย์ ฤาษีชีไพร อาจารย์ทางพระกรรมฐาน เดี๋ยวนี้ที่ว่าพระกรรมฐาน สายนั่งหลับตา สายสมาธิ ได้แต่ เจโตสมถะ โลกุตระไม่ได้หรอก แล้วก็หลงนึกว่าเป็น พระอริยะ หลงว่าเป็น พระอรหันต์ กันด้วย มี ได้แต่เจโตสมถะ ไม่ได้โลกุตระแท้ๆ เพราะไม่รู้จริงเลย ไม่มีญาณรู้ว่า มีญาณทัสนะ หรือมีปัญญา ที่เห็น ความจริง ตามความเป็นจริง เห็นอะไร เห็นปรมัตถสัจจะ หรือ ปรมัตถธรรม

ปรมัตถธรรมคืออะไร จิต เจตสิก รูป นิพพาน เห็นและรู้ว่า จิตคืออย่างนี้ เจตสิกคืออย่างนี้ รูปสิ่งที่ถูกรู้ คืออย่างนี้ สิ่งที่ถูกรู้ที่มันไม่ใช่จิต มันเป็นอาคันตุกะ มันเป็นแขก มันเป็นสิ่งที่มาทำตัวเอง เหมือนซ้อน เหมือนอยู่ในจิต เหมือนเป็นจิต แต่แท้จริงไม่ใช่ เป็นกิเลส อาคันตุกะนี่ หมายถึงกิเลส แล้วก็มีวิธี ลดละกิเลส ลงไปจริงๆ เข้าสู่นิพพาน ถ้าผู้นั้นไม่เห็นจริงอย่างแท้จริง เข้าใจจริงอย่างชัด ผู้นั้นก็คือ ไม่ได้อริยคุณ ไม่ได้ โลกุตรธรรม เมื่อไม่ได้โลกุตรธรรม ก็ได้แต่เจโตสมถะ จิตสงบอย่างนั้นน่ะ แล้วหลงว่าเป็นนิพพาน หลงว่า เป็นอะไรเยอะ ศาสนาอื่น ที่เค้านั่งหลับตาสะกดจิตนี่ ไม่ได้เดินอย่างพระพุทธเจ้าเลย เขาก็เชื่อว่า เขานิพพาน เหมือนกัน เยอะเหมือนกัน มีศาสนาหลายศาสนาในอินเดีย ที่เรียกผลสุดยอดทางธรรมว่า นิพพาน มีเหมือนกันนะ คนสองชนิดนี้มี ได้แต่เจโตสมถะนั้น ไม่ได้โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า มีเยอะด้วย บอกแล้ว ส่วนโลกุตรธรรมนั้นมีได้ยาก แม้ไม่ได้เจโตสมถะด้วยก็ได้ ส่วนคนจะได้ทั้งสองอย่างก็ทำเอา ศึกษาเอา นั่งสมาธิสะกดจิตอะไรนี่ ก็ได้ด้วย แล้วใช้ให้เป็นอุปการะ ในการปฏิบัติธรรมด้วยก็ได้ แล้วก็ได้ โลกุตระด้วย ส่วนผู้ไม่ได้ทั้งสองอย่างนั่น ก็มากมายก่ายกอง ไม่ได้ศึกษาอะไรเลย ไม่ได้ทั้งเจโตสมถะ ไม่ได้ทั้ง โลกุตระ

คำถาม เมื่อเช้านี้พ่อท่านได้อธิบายเวทนา ๓, ๖, ๑๘, ๓๖, ๑๐๘ นั้น ฟังแล้ว พ่อท่านผู้อธิบาย ก็อธิบายยาก ผู้ฟังโดยเฉพาะ กระผมปวดประสาท (คนฟังหัวเราะ) ความจริงเวทนาในสติปัฏฐานนั้น พระพุทธเจ้า แสดงไว้เพียง ๙ ประการ คือ ๑)สุขเวทนา ๒)ทุกขเวทนา ๓)อทุกขมสุขเวทนา ๔)สุขที่มีอามิส คือกามคุณ ๕)สุขที่ไม่มีอามิส ๖)ทุกข์ที่มีอามิส ๗)ทุกข์ที่ไม่มีอามิส ๘)อทุกขมสุขที่มีอามิส ๙)อทุกขมสุขเวทนา ที่ไม่มี อามิส ก่อนที่พ่อท่านจะอธิบายเวทนา ๙ นี้ กรุณาให้พ่อท่านได้ขยาย คำว่าเวทนา มาเป็นภาษาคน จะได้ ปฏิบัติอย่างไร ต่อ เวทนานุปัสสนา จึงจะจัดว่า ได้บรรลุในเวทนา ในเวลาที่มันเกิด

พ่อท่าน ไปหาเทปไปฟังอีกใหม่ ถ้าขืนมาอธิบายเวทนาอีก ขนาดอาตมาอธิบาย ขนาดขยายความ ขนาดนั้น ยกตัวอย่าง ประกอบขนาดนั้น คุณก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง แล้วจะมาอธิบาย ตอนตอบปัญหาเท่านี้ ไม่เพียงพอ หรอกคุณ แล้วก็ไปกินเวลาของคนอื่น เพราะไม่ใช่เวลาโดยเฉพาะของมันด้วย ในเวลาที่อาตมาอธิบาย ตอนเช้า นั่นเวลาของมันโดยตรงเลย อธิบายอย่างละเอียดแล้ว คุณก็ยังฟังไม่รู้ แล้วจะมาให้อธิบายตอนนี้ มันจะไปรู้ได้ยังไง มันไม่รู้หรอก มันไม่ทันหรอก เพราะฉะนั้น ต้องไปหาเท็ปนั่นละ ไปฟังอีกหลายๆ เที่ยว ซึ่งมันไม่ง่ายนะ เวทนาหมายความว่าอย่างไร ก็อธิบายไปแล้ว ว่ามันความรู้สึก อะไรต่ออะไร ก็อธิบายไปแล้ว เป็นความรับรู้อะไร มันปรุงยังไง มีสังขารมายังไง มีสัญญายังไงประกอบ ก็อธิบายไปแล้ว ต้องไปตั้งใจฟัง นี่ต้องมีพื้นฐานบ้าง อาตมาบอกแล้วว่า การบรรยายนี่ ๔ ๕ ๗ ๘ นี่ ไม่ใช่การบรรยายฐานธรรมดา เป็นการ บรรยายชั้นสูง ในโลกุตรธรรม ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น มันก็ยากบ้างละนะ

ที่บอกมาว่าเวทนา ๙ นี้ก็มีจริงในพระไตรปิฎก แต่ว่ามันก็อีกอันหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เอามารวมไว้ในนี้ แต่ถ้าจะว่า จริงๆแล้ว ครบเหมือนกัน ในนี้ครบเหมือนกันนะ สังเกตดูนะ ถ้าเราเข้าใจว่าเวทนานี่คือ ตัวที่จะต้องพยายาม วิจัยอยู่ในเวทนานี่ให้ชัด วิจัยเวทนาในเวทนา มันก็มีสุข ทุกข์ อุเบกขา สามฐานนี่ เวทนา ๓ ถ้าเวทนา ๒ มันมีกายใจ มันมีนอกกับใน และอาตมาสอนพวกเรา ก็เอาหลักสามนี้สอนเสมอ สุข ทุกข์ แล้วก็อทุกขมสุข สามเส้า จากนั้นนอกในก็มาประกอบอีก มีอินทรีย์ ๕ มีเวทนา ๖ ซึ่งเอาเวทนาของสัมผัสชา สัมผัสชาคือ สัมผัส มีการสัมผัสเป็นปัจจัย กับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ ทวาร แล้วก็ไปมีเวทนาอีก พอ ๖ แล้วก็ ๑๘ เวทนา ๑๘ ก็เอาสัมผัสทั้งหกทวาร สัมผัสชา กับอีกสามคือ ทุกข์ สุข และอุเบกขานี่มาสัมผัส สัมผัสแล้ว ก็ต้องวิจัย วิเคราะห์ถึงทุกข์สุข ทุกข์สุข พอไปถึง ๓๖ ก็แบ่งชัดเลยทีนี้ แม้ใน ๖ นี่คือ เคหสิตะ หรือ อเนกขัมมะ เข้ามาอีกสอง เพราะฉะนั้นจาก ๑๖ ที่เราไล่ได้นี่ ก็มาแบ่งให้ชัดเจนว่า มันเป็นอย่างโลกียะ หรือที่เรียกว่า เคหสิตะ หรือมันเป็นอย่างเนกขัมม ที่มันออกจากโลก ออกจากโลกียะมาได้เรื่อยๆ รวมแล้ว ก็เป็น ๓๖ ทีนี้จาก ๓๖ แล้วก็มาเอาอดีต ปัจจุบัน อนาคต เข้าไปประกอบกับ ๓๖ มันก็เป็น ๑๐๘ ง่าย จะตายไป ภาษาอาตมา ก็พยายามเน้นเข้าไปสู่สภาวะ ใครมีสภาวะจะฟังสบาย อาตมาเป็นคน ที่จำ ภาษา หรือว่าจำพยัญชนะพวกนี้ยากเลยนะ แต่อาตมามีสภาวะ แล้วก็พยายามจำภาษานี่แปะ อาตมานี่ มีเนื้อยา แต่พยายามหาสลากมาแปะเรื่อยๆๆๆ บางทีก็จำชื่อสลากก็ไม่ค่อยได้ (พ่อท่านหัวเราะ) ก็หลุดบ้าง บางที สับบ้าง บางทีพูดไปแล้ว พวกเรายังฟังบอก... อะไรกันแน่ แต่สัญญามันอย่างหนึ่ง แปะสลาก อีกอย่างหนึ่ง บางทีมันก็เป็นไปได้นะ รวมแล้วเหมือนกันแหละ ในนี้ก็บอกเวทนา ๙ บอกว่าสุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุข เป็นหลัก สามแล้ว สุขที่มีอามิสก็คือเคหะสิต สุขที่ไม่มีอามิสก็คือ อเนกขัมมะ ทุกข์ที่มีอามิส ทุกข์ที่ไม่มีอามิส ก็เหมือนกัน ทุกข์ก็โทมนัส เคหะสิตโสมนัส เคหะสิตโทมนัส หรือว่า เนกขัมมะสิตโสมนัส เคหสิตโทมนัส ก็เหมือนกัน หรืออุเบกขา เคหสิตอุเบกขา แล้วก็เนกขัมมะอุเบกขา ก็ไล่กัน ออกมาอย่างนี้ นี่มีอามิส หรือไม่มีอามิส ใช้ภาษานี้เท่านั้นเอง ถ้าจะว่าจริงๆแล้ว มันแจงละเอียด โดยภาษา แล้วก็ให้เข้าใจ พวกนี้ไปได้ นี่มันได้ ได้ อาตมาบอกแล้วว่า อาตมาบรรยายกับพวกเราอยู่แค่ เวทนา ๓ มันก็ลึกไปถึงกระทั่ง ๑๐๘ นี่ก็ได้ หรือ ๙ นี่ก็ได้ หรือจะเป็น ๓๖ หรือ ๑๘ ก็ได้เหมือนกัน ถ้าเข้าใจ เนื้อหาแล้วนะ เอ้า ไว้พรุ่งนี้ คงจะต้อง อธิบายพาดพิงอยู่ แม้อาตมาจะอธิบายถึงจิตแล้ว จิตกับธรรมแล้ว แล้วก็ต้องตาม พรุ่งนี้เช้า ก็ต้องอธิบาย จิตกับธรรมะให้มันครบ มันก็คงจะต้องแวะเวียนพูดผ่าน อธิบายถึง เวทนาและกาย ผสมอยู่ อีกบ้าง อยู่นั่นเอง ตั้งใจฟังพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะ


คำถาม จิตที่ฝึกดีแล้วมีพลังจิต สามารถเอาพลังจิตมารักษาโรคได้หรือไม่

พ่อท่าน พลังจิตมี รักษาโรคได้ นี่ตอบให้ชัดๆ พลังจิตมี มีจริงๆ อาตมาเล่นมาจริงๆ เล่นให้มีสิ่งประหลาดๆ ก็ได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธอาเทสนาปาฏิหาริย์ ไม่ได้ปฏิเสธอิทธิปาฏิหาริย์ ไม่ได้ปฏิเสธพลังจิต แต่มัน ไม่เป็นไป เพื่อความละ หน่าย คลาย มันเป็นไปเพื่อความเพิ่มกิเลสอัตตามานะด้วยซ้ำ ไม่เป็นทาง ที่จะไปสู่ ความหลุดพ้นอย่างแท้จริง พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสไว้หมด อาตมาอธิบายในแสงสูญเล่มนี้ ก็ขยายไว้ พอสมควร เอาหลักฐานหลายอย่าง มาอธิบายให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมด้วย เรื่องนี้ ไม่ส่งเสริม แล้วยังมีแนวตรัสเอาไว้เลย ปิดประตูไม่ให้ไปวุ่นวายกับเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ มันจะมีก็มี มันก็มีของมันอยู่ในโลก แต่ว่าเราอย่าไปยุ่งเกี่ยวเลย ไอ้ทางที่ไม่ประเสริฐ ทางที่จะเสียเวลา มีชีวิต มีเวลา เอามาทำสิ่งที่ประเสริฐดีกว่า ขนาดนี้มันยังจะไม่ทัน ไม่พอเพียงเลย ไปวุ่นวาย นี่แหละ เรื่องกิเลสของคน มันก็หลงใหล อย่าว่าแต่แค่นี้เลย ไปหลงลาภ ยศ สรร เสริญ โลกียสุข ไอ้โลกๆ แม้แต่อบายมุข แม้แต่ กามารมณ์อะไรอยู่นะ อู๊ วุ่นวายอยู่นั่นแน่ะ ไอ้นี่ก็อย่างเดียวกัน มันยังหลงใหล มันยัง แหม มันไม่ดีหรือไง มันไม่ดีหรือไง มันไม่มันหรือไง มัน ตอบให้ก็ได้ มัน แต่มันก็กิเลส ถ้าไปวุ่นวายมาก มันก็จะเป็นกิเลส หนักหน้า อยู่นั่นแหละ มันไม่ได้เจริญอะไรนะ ตอบอย่างนี้ ไม่รู้จะพอละหน่ายคลายรึเปล่า ไม่รู้นะ


คำถาม สมัยพ่อท่านเป็นฆราวาสเคยใช้พลังจิตรักษาโรค พ่อท่านเหนื่อยหรือไม่

พ่อท่าน เหนื่อยจะตายเลย เหนื่อยๆ อาตมาเหนื่อย เพราะมันเหนื่อยนั่นแหละ และอาตมาก็ทำงานมากนะ แล้วอาตมา เอาเวลาหลังจากงานนี่ บางทีเสร็จจากงานโทรทัศน์ไป บางทีทุ่มหนึ่ง บางทีสองทุ่ม บางที สามทุ่ม บางทีสี่ทุ่ม บางทีสองยาม แล้วก็ไปช่วยเขา กว่าจะเลิก บางทีตีหนึ่งตีสอง ค่อยกลับบ้าน ไปนอน บางทีมันหนักนัก ก็ไปตื่นเอาเจ็ดโมงแปดโมงโน่น กว่าจะก้วยก้ายๆ ไปทำงานที่สถานีโทรทัศน์ หรือ บางที ก็ไปสอนหนังสือ อะไรก็แล้วแต่ มันก็อย่างนั้นน่ะ หนักเข้าอาตมาก็เห็น คืออาตมาไม่ติดใจ ในสรรเสริญนะ คือเงินไม่เอา อาตมาเล่นไสยศาสตร์ไม่เคยเอาเงิน ไม่เคยเลย ไม่เคยรับเงิน ในด้าน ไสยศาสตร์ เราถือว่า เราเสียสละ เป็นบุญ เราไม่เคยเอาเงิน ไม่เคยแลกเอาเงินเอาทอง เอาข้าว เอาของอะไร ไม่เคยเลย อย่างดี ให้เขาเลี้ยงข้าวมื้อหนึ่ง ให้เขาเลี้ยงอาหารมื้อหนึ่ง จบ นั่นน่ะอย่างสูงสุด นอกนั้น ไม่เคยเอาเงิน เอาทอง ของใคร เสร็จแล้วก็เข้าใจนะ ก็รู้อยู่ แต่ว่ามันเหนื่อย แล้วก็เห็นว่า เอ๊ มันก็พอช่วยได้นะ แต่ว่ามันในๆลึกๆ คือที่จริง อาตมามีเชื้อแล้ว มีปัญญาญาณลึกๆแล้ว แต่มันยังไม่ได้ควักออกมา มันก็ไม่ติดใจ เพื่อนฝูง เขายินดี เขาภาคภูมิ ได้เป็นอาจารย์ใหญ่โน่นนี่อะไรขึ้นมา มีคนกรูเกรียว นับหน้า ถือตา มากราบไหว้เคารพ อย่างโน้นอย่างนี้อะไร ไอ้เราก็บอก เอ๊ มันไม่ใช่นะ แล้วมันก็ไม่ได้เป็นทาง ที่เจริญ อะไรมากมาย ก็เลยไม่เอา ก็หยุด ค่อยๆหยุดนะ ตอนแรกนี่บอกกับหมู่เขาไว้ว่า เอาละนะ มันไม่ไหวแล้ว เราขอหยุดเถอะ แต่ถ้าเผื่อว่า หมู่มีงานที่จำเป็น จะต้องให้เราเป็นคนมาช่วยด้วย ถ้ามันขาดมือ เพราะบางที มันใช้หลายคน อย่างนี้เป็นต้น ก็ทำช่วยกัน ถ้าเมื่อนั้นก็ตามได้ ตอนแรกว่างั้น พอตอนหลังๆมา ก็บอกว่า อย่ามาตามเลยนะ แม้จะขาดมือ ยังไง ก็ไม่ต้องมาตาม ไม่เอาแล้ว จากนั้นก็เลิกราเลย เลิกรา ยิ่งอาตมา มาปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้า มาปฏิบัติ หันหน้าเข้ามา เอ๊ ต้องใส่ใจศาสนาซะแล้ว ก็มาปฏิบัติ ยิ่งมาปฏิบัติ เหมือนกับตัดขาดเลย แล้วก็ เข้าใจแล้วว่าเรื่องนี้ เดรัจฉานวิชา แล้วเราก็รู้แจ้งแล้ว ไม่เอา ไม่วุ่นวาย ตั้งแต่เป็นฆราวาส อาตมา ก็วางมือ มาแล้ว มาตั้งแต่เป็นฆราวาส ไอ้เรื่องพลังจิตก็พลังจิต อาตมาบอกแล้ว แม้ไม่มาทำงานศาสนา มาเป็นพระ อาตมาวางถึงเรื่องทางด้านพลังจิต หรือว่าด้าน อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนา ปาฏิหาริย์พวกนี้ พยายามปิด เอาอนุศาสนีปาฏิหาริย์มาใช้อย่างเดียว แล้วพยายามเปิดเผย สอนให้ตรง ตามที่พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าเรา อัตยามิ หรายามิ ชิคุจฉามิ ท่านบอกว่า ท่านเกลียด เบื่อระอา ไม่ชอบใจ ในอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนา ปาฏิหาริย์ จะให้เก่งยังไงก็แล้วแต่ บอกท่านเกลียด ท่านไม่ชอบใจ ท่านเบื่อระอา ท่านไม่เอา ท่านเก่งกว่า อาตมาด้วยซ้ำ ท่านก็ต้องทิ้ง อาตมาก็ต้องทิ้ง มันไม่มีเลย ยิ่งพวกเรานี่ จริงหรือไม่จริง ก็ยังไม่แน่ด้วยซ้ำไป ไปเอา มาทำอะไร บาปเปล่าๆ ต่อ

จริงอย่างขนาดพระพุทธเจ้า ยังต้องทิ้งเลย อาตมาก็ว่าอาตมาก็มีจริงอยู่พอสมควร อาตมาก็ยังต้องทิ้งเลย แล้วคุณน่ะ ยังงามอยู่เลย ยังไม่ค่อยได้เลยจะเอา เก็บเศษเก็บกากอะไรกันนัก เสียเวลา


คำถาม มิติในอนาคตมีจริงหรือไม่ (โลกอนาคต)

พ่อท่าน (พ่อท่านหัวเราะ) ตราบใดที่ยังมีสังสารวัฏ ยังมีความหมุนเวียน โลกก็หมุน สังสารวัฏก็ยังหมุนอยู่ ก็อนาคต มันไม่หมดไปได้หรอก มีแน่นอน

คำถาม สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ในกรณีที่เรือและเครื่องบินสูญหายและหาไม่เจอ อาจเป็นมิติ (มิติในอนาคต) เครื่องบิน และเรือ อาจหลบห้วงไปสู่มิติอนาคตได้หรือไม่

พ่อท่าน ไม่รู้ ตอบจริงๆไม่รู้ อยากจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันเถอะ (คนฟังหัวเราะ) อาตมามาพยายาม ที่จะทำ ให้คนนี่ เป็นอยู่สุข ละลดกิเลสตัณหาอุปาทาน ทำให้สังคมสบายๆดีกว่า ดีกว่าจะไปวุ่นวาย กับไอ้เรื่อง เบอร์มิวด้ง เบอร์มิวด้าอะไรนี่ ป่วยการ อาตมาไม่เอาเวลาไปเสีย ในเรื่องที่ป่วยการ จริง มันอาจจะลึกลับ มันอาจ จะน่ารู้ น่าเก่ง แหม รู้ได้ เก่งอะไร ไปเก่งเหอะ อาตมาไม่เอา ไอ้เรื่องอย่างนั้น ทิ้ง

คำถาม พลังงานโลกนี้มีวันสูญสลายหรือไม่ ในกรณีอนาคต ถ้าเกิดโลกระเบิด และพลังงาน (จิตวิญญาณ) จะไปอยู่ที่ไหน และถ้าหากมีดวงดาวดวงอื่น มีบรรยากาศคล้ายโลก (จิตวิญญาณ) สามารถไปจุติอีกโลก อีกได้หรือไม่

พ่อท่าน ถามเรื่องที่มันไกลเหลือเกินนะ นอกโลกไปนู่น ถามอะไรต่ออะไร เอา มันอยากรู้เนอะ เอา ก็ตอบให้รู้ พลังงานในโลกนี้ ไม่มีวันสูญสลายหรอก มันก็หมุนเวียนเปลี่ยนไป แปรตัว พลังงานก็แปรตัว พลังงาน แปรได้ เปลี่ยนได้ จากมากเป็นน้อย จากพลังงานบางลักษณะ ไปสู่พลังงานบางลักษณะ อย่างวิทยาศาสตร์ นี่ง่ายๆ พลังงานแปรเปลี่ยนไป ที่จริงนี่พลังงานความร้อน แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้า อะไรพวกนี้นี่นะ มันแปรตัวไปตลอดเวลา มันไม่เที่ยงแท้หรอก มันมาถึงรอบของมัน ที่เรียกมันว่า ความร้อน คือ ความร้อน มันไม่... พอแปรตัวไปเป็นแสง มันคือแสง แปรตัวไปเป็นเสียง มันคือเสียง แปรตัวไปเป็นไฟฟ้า คือไฟฟ้า แปรตัวไปเป็นแม่เหล็ก แม่เหล็ก มันมีเกี่ยวเนื่องกัน และแปรตัว มีค่าที่ทำให้เกิดกันได้ ถึงเอามาใช้ วนเวียน กันอยู่ ทุกวันนี้ไง พลังงานมันก็เปลี่ยนไปอย่างนั้น นี่พลังงานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งค้นคว้า เอามาใช้ได้ มากมาย จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เกือบจะพอเพียงกันเลยกับทางโลก ทางธรรมนะ

ทีนี้พลังงานพิเศษอีกอันหนึ่ง คือพลังงานทางจิตวิญญาณ ละเอียดยิ่งกว่านั้น ในจิตวิญญาณนี้ มีประสิทธิภาพ ของพลังงานฟิสิกส์ทั้งหมดนี่ มีครบครันอยู่ในนั้น ละเอียดยิ่งกว่าด้วย แต่เราไม่สามารถ ที่จะไป เอามาได้ พลังงานไฟฟ้าในระดับนิวเคลียร์ แต่ก่อนก็ยังไม่มีความรู้ จะไปเอามาใช้ได้ อย่างนี้เป็นต้น ตอนนี้ ไปเอามาใช้ได้ พลังงานทางด้านจิต มันยิ่งกว่านี้อีก ยังเอาไม่ถึง วิทยาศาสตร์ยังไม่ถึงเลย แต่ทีนี้ ทางไสยศาสตร์ ก็ฟลุ้คๆ ไม่เป็นศาสตร์ เป็นศาสตร์เหมือนกัน แต่เป็นศาสตร์ที่ลับ ไสยะ แปลว่า นอนหลับ ศาสตร์ของ คนนอนหลับ มันก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ของพุทธนี้ใช้ได้ แต่ไม่ส่งเสริม ศาสตร์ของคน นอนหลับ อย่างนั้น เพราะว่า มันเสียเวลา เอาแค่นี้ก็พอ เอาแค่ที่เอาพลังงานของจิตมาใช้ประโยชน์ แม้ใช้ได้แล้ว จะไปใช้ในเรื่อง ที่ดูประหลาดๆ เป็นฤทธิ์เดช ไอ้ทางโลกๆ อย่างนั้นน่ะ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่เอา เสียเวลา เอามาใช้ ให้มันเกิดประโยชน์ แค่สัตวโลก ในสังคมนี่ก็ดีกว่า

พลังงานเมื่อเป็นวิญญาณแล้วนี่ เป็นพลังงานที่วิจิต เป็นพลังงานที่สูงส่งชนิดหนึ่ง เป็นพลังงานที่เกิด ชีวะ ชีวิต ซึ่งเป็นพลังงานที่พิเศษ พลังงานที่เกิดชีวะแล้วนี่ เราเรียกว่าอัตตา มันมีการเกาะตัว ตั้งแต่เซลส์เดียวนี่ เกาะตัว แล้วพัฒนาไปเรื่อยๆ หลายเซลส์ จนกระทั่งแตกตัว จนกระทั่งเจริญมากลาย มาเป็นจิตวิญญาณ ของสัตวโลก ชนิดระดับสัตว์หลายล้านเซลส์ จนกระทั่งเป็นมนุษย์ที่เป็นหลายล้านเซลส์ แล้วก็มี ประสิทธิภาพ ถึงขั้นสูงส่ง มีความเข้าใจ มีความเฉลียวฉลาด ขนาดสอนให้รู้จักโลกุตระได้ แล้วก็ละ เลิก จากโลกทุกข์หมดนี้ได้ เปลี่ยนจากชีวะ ที่จะต้องอวิชชาอยู่ตลอดไม่เปลี่ยนแปลง หรือยังวนเวียน อยู่ใน อวิชชานี้ จนหมดอวิชชา จนกระทั่งแตกกลับไปสู่พลังงานแบบปกติในโลกนี้ เป็นพลังงานธรรมดา เป็น พลังงาน ความร้อน แสง เสียง แล้วชีวะหายไป อัตภาพอันนั้นหายไปได้ พระพุทธเจ้าทำได้อันนี้ ก็เท่านี้เอง พลังงานก็คือพลังงาน ก็เท่านั้นเอง ก็มีสสารพลังงานอยู่ในโลกไป ทีนี้เรื่องดวงดาว ถ้ามีดวงดาว ดวงอื่น มีบรรยากาศ คล้ายโลก วิญญาณสามารถไปจุติอีกโลกหนึ่งได้มั้ย ไปได้ มีมากมาย

คำถาม ให้พ่อท่านอธิบายคำว่า เราไม่พัก เราไม่เพียร จึงข้ามโอฆสงสารได้

พ่อท่าน โอ้โฮ จุ๊ย์ๆๆ เอาวิเศษเลยนะ ประโยคนี้นี่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก อาตมา อ่านเจอ ในพระไตรปิฎกปั๊บ ก็สัมผัสติดเลยว่า โอ้โฮ ประโยคนี้เป็นประโยคสูงสุด คำว่าจึงข้ามโอฆสงสารได้ ได้แล้วด้วยนะ เรียกว่าเป็นภาษาประโยคที่บอกถึง สภาพที่ เป็นสภาพ ถ้าเรียกภาษาไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษ ก็ว่า Past Perfect tense แต่ภาษาไทยว่าอะไร มันเป็นประโยคที่ผ่านปัจจุบันไปเป็นอดีต ที่สำเร็จผลแล้วด้วย ข้ามโอฆสงสารได้ ก็คือ พ้นฝั่งโลกียะถึงนิพพาน

เพราะฉะนั้น เราไม่พักเราไม่เพียร ก็เป็นเงื่อนไขของคำว่า ผู้ไปถึงนิพพาน ผู้ไปถึงพระนิพพาน คือผู้ไม่พัก ไม่เพียร และผู้ที่ไม่พักไม่เพียรนั่นแหละ มันมีความหมายลึกซึ้งเหลือเกิน นี่ของพุทธ มันเป็นอย่างนี้ อาตมา อธิบาย คำว่าไม่พัก โดยความหมายไทยๆ ง่ายๆให้ฟังด้วยซ้ำไปว่า เราไม่พักก็คือเราเพียร เราไม่เพียรก็คือ รู้จักพัก จริงๆก็จบแล้ว อธิบาย นั่นละคนที่บรรลุถึงนิพพานแล้ว เป็นคนอย่างนั้น ไม่พักก็หมายความว่าเพียร สอดคล้องกัน ที่เราบอกว่าสมณะ พระพุทธเจ้านี่ คือเป็นผู้มีความเพียร เป็นผู้มีอิทธิบาท อะไรที่อธิบายกัน มากมายแล้ว ผู้มีอายุก็คือเห็นอิทธิบาท หรือไปเห็นความเพียรนั่นแหละ เป็นตัวแสดงความเป็นสมณะอยู่ ยิ่งเป็นสมณะสูงสุดเป็นอรหันต์ ก็คือผู้ถึงนิพพาน ผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว เมื่อข้ามโอฆสงสารได้ จะเห็น ชัดเจนเลยว่า ตัวความเพียรนี่ เป็นเครื่องแสดง เห็นเลยว่า คนนี้มีความเพียร มันแสดงออก คนโง่ๆ ก็พอ ดูออก เอ๊อ คนนี้เพียร ขยัน มีอิทธิบาท มีความเจริญ เบิกบานร่าเริง มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา นะ นี่ก็เป็น ผู้ไม่พัก หรือผู้เพียร ส่วนผู้ไม่เพียร ไม่ใช่ว่าผู้พักตะพึด ไม่ใช่ เป็นผู้รู้ว่า สมควรจะพักเมื่อไหร่ ก็ต้องพัก เจ็บป่วย เป็นต้น หรือว่ามันเมื่อยแล้ว มันสมควรจะพัก มันเมื่อยแล้ว ถ้าไปอีกมัน overload หรือมันไม่ควรแล้ว มันทรมาน หรือว่า มันอัตกิลมถานุโยค มันเป็นการทรมานตน ทำให้สุขภาพเสีย หรือเสื่อม หรือว่า ควรพัก เวลานี้ มันควรนอนหลับ พักผ่อนได้แล้วละ มันเป็นเวลาพักผ่อนแล้ว อย่างนี้เป็นต้น ก็ควรจะพัก ไม่เพียร ก็ควรจะพัก เพราะฉะนั้น ผู้ที่จัดชีวิตของตนเองได้ ถึงเวลาก็เพียร นั่นแหละเป็นหลัก สิ่งที่ควรพัก ก็พัก เท่านั้นเอง ให้ได้สมเหมาะสมควร คำความหมาย มันดูมันง่ายนะ แต่ที่จริง มันลึกซึ้งมากเลย สูงส่งมาก เงื่อนไข ของคำว่านิพพาน หรือผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้วด้วย โอ วิเศษ เอ้า อธิบายได้ขนาดนี้


คำถาม พ่อท่านครับ ช่วยอธิบายลักษณะของรูปราคะกับอรูปราคะ ด้วยครับ

พ่อท่าน แหม พวกเรานี่ที่จริงก็ดีนะ ถามหลักวิชาลึกซึ้ง รูปราคะกับอรูปราคะ ก็คือราคะนั่นแหละ เป็นความหมายนะ ทีนี้ราคะอย่างรูป ราคะอย่างอรูป ถ้าพูดเป็นภาษาไทยๆง่ายๆ มันมีกามราคะ รูปราคะ อรูปราคะ สังโยชน์ ๕ เบื้องต่ำ ก็คือกามราคะ มีอยู่ในสังโยชน์ข้อที่ ๔ ผู้ที่ละกามราคะได้หมด หมด ก็หมายความว่า นี่สายราคะนะ ปฏิฆะก็ต่างหาก ถ้าด้วยทั้งราคะทั้งปฏิฆะ พ้นสังโยชน์ ๕ เบื้องต่ำ ก็เป็นผู้เหลือ รูปราคะ อรูปราคะในสังโยชน์เบื้องสูง ก็คือราคะที่มันมีสิ่งที่ถูกรู้ได้ แต่ว่ามันก็ต้องต่ำกว่า ที่เราเรียกว่า กามราคะ มันจะมีลักษณะคล้ายๆกามก็ตาม แต่มันไม่ออกมาสู่กามภพ กามภพ คือ ทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ออกมาในลีลาของกาย เพราะฉะนั้นจะไม่เสพ เสพทางหยาบทางทวาร ๕ ข้างนอกนี่ ไม่แล้ว พระอนาคามี นี่มีหิริ มีโอตตัปปะ มีสัจจะ มีความจริง มีความจริง จริงๆ เลย ที่จะไม่ละเมิด เรื่องโลกีย์ ในระดับโลกียะ ระดับกามภพแล้ว พ้นกามภพแล้ว เพราะฉะนั้น พระอนาคามีขึ้นไป เหลือ สังโยชน์ เบื้องสูง จึงถือว่าไม่มาเกิดในภามภพอีก ไม่มาเกิดในภามภพอีก คือ ไม่เกิดบทบาทของลีลา ส่อแสดงถึงกิเลส ทางทวาร ๕ หยาบข้างนอก ส่วนข้างในนั้นไม่เกิด แต่มันยังเหลือ รู้ได้กับรู้ยาก อรูปนี่รู้ยาก รูปรู้ได้สำหรับเรา มันมีบทบาทลีลาของมันอยู่ แต่มันไม่โต มันไม่เกิดแรง จนกระทั่ง ข้ามเขตออกมาทางกาม ได้อย่างแน่ชัด อย่างมั่นใจ อย่างจริงจัง แต่ถ้ามันยังออกมาอยู่ ก็แสดงว่ามันไม่จริง มันลวงเรา หรือเราหลง ว่าเราได้ แต่ที่จริง มันยังไม่ใช่ แต่ถ้าเราใช่แล้ว เราก็ไม่ลวงเรา และความเป็นจริงของมัน ก็ไม่ออกมา มันไม่มา แสดงบทบาท หรือมันไม่ออกมาทางบทบาทนี้ มันไม่เอาหรอก มันสบายแล้วจริงๆ มันไม่ต้องหรอก ในรูปหยาบ ลักษณะหยาบ รสหยาบพวกนี้ มันไม่แล้ว นี่คือรูปราคะ อรูปราคะ จะเกี่ยวเนื่องด้วยทวารตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ตาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสก็ตาม หรือในนั้น มันก็รวมไปด้วยทั้งราคะ ในลักษณะอะไร ก็ตาม เป็นเศษเสี้ยวส่วนราคะ ที่จริงมันก็เชื่อมโยงอันนี้ ต่อจากนั้น มันจะเป็นอัตตา หรือแกนมานะ มีมานสังโยชน์ มีอุทธัจจะสังโยชน์ อวิชชาสังโยชน์สูงขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้น รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชานี่ เป็นสังโยชน์เบื้องสูง นี่ลักษณะของรูปราคะ กับอรูปราคะ ศึกษาไปแล้ว เราจะวัดได้ จะประมาณได้ จะรู้ชัด บางทีมันใหม่ๆ มันยังไม่จริง มันก็จะหลอกเราบ้าง แต่ถ้ามันจริง มันชัดแล้ว มันไม่หลอก มันความจริงเลย เหลือรูปราคะ อรูปราคะ แล้วเราจะไม่เดือดร้อน ทุกข์ร้อนเลยนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสกับเหตุปัจจัย ที่มันจะทำให้เราต้องมีราคะอะไรขึ้นมา ก็ไม่ออกมาจริงๆ ไม่มีละเมิด ต่อให้เกิด โอกาส ต่อให้ถูกยั่วยุยังไงก็ไม่ขึ้น นั่นเรียกว่า มันความจริง มันไม่โตกว่านั้นอีกแล้ว นี่คือ เรื่องของความจริง ของเชื้อกิเลส ถ้าเราสามารถเป็นจริง เราจะรู้นะ มันไม่ทุกข์หรอก มันสบายๆ ต่อให้มีราคะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ข้างนอกนี่ ยังไงๆ สัมผัสแล้ว อาจจะเกิด มีอาการนิดๆ หน่อยๆ ก็อยู่ขนาดนั้น เราห้ามกั้นมันได้ หรือไม่ต้องห้ามอะไรมันมาก แต่เราจะ ไม่ปล่อยมันไว้ ไม่ดี ต้องให้ลดลงๆๆอีก ต้องพยายามพากเพียรให้มันหมด ให้มันจาง ให้มันคลาย ให้มันเกลี้ยง อย่าให้เหลือ แม้รูปราคะอรูปราคะ ให้มันดับสนิท ให้มันตายสนิท หมดราคะ อย่างไม่เหลือ ซากเลย ให้ได้


คำถาม พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า ถ้าหากตามหลักสติปัฏฐาน ๔ หรืออาจจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างนี้ ๗ ปี ยกไว้ หรือไม่ก็ ๖ ปี ๕ ปี หรือไม่ก็วันเดียว ทุกวันนี้ไม่ทราบว่า จะพอเป็นไปได้มั้ย ที่ว่า ๗ ปียกไว้ (คนฟัง และ พ่อท่านหัวเราะ) ทำไมปฏิบัติหลายปีแล้วยัง (คนฟังหัวเราะ) คือถ้าไม่ได้อรหันต์ อย่างน้อยก็ อนาคามี ทุกวันนี้ ยังคาๆ มีๆอยู่ (คนถามและคนฟังหัวเราะ) ไม่ทราบว่า มันผิดพลาด หรือว่ามันไม่ตรง

พ่อท่าน ไม่ผิดพลาดหรอก คำตรัสของท่าน ท่านตรัสกับยุคสมัยของท่านนะ คนในสมัยยุคของท่านน่ะ มีสุข ต้องบรรลุหมดทุกคน เป็นนานสุดเท่าที่ท่านตรัสไว้นะ ก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นทีเดียว ยุคพุทธกาล โน่นเลยก็ตาม มันไม่ได้อย่างนั้นหรอกนะ แต่ส่วนมาก แล้วอยู่กับพระพุทธองค์ มีอะไรต่ออะไร พรักพร้อม เป็นผู้นำ แล้วมีองค์ประกอบขององค์พระสาวก มหาสาวก อิสิติมหาสาวก อยู่ตั้งเยอะตั้งแยะ องค์ประกอบ ของมัน พรักพร้อม พูดมาแค่นี้ คุณน่าจะนึกออกแล้วว่า มันจะเป็นไปได้ยังไง เจ็ดปีที่นี่

คำถาม อโศกนี่คิดว่าประมาณกี่ปียกไว้ (คนฟังหัวเราะ)

พ่อท่าน ไม่อยากจะพูดว่าแค่เจ็ดชาติด้วยนะ (คนฟังหัวเราะ)

คำถาม เจ็ดชาติยกไว้แล้ว (คนถามหัวเราะ)
พ่อท่าน เออ ไม่อยากจะพูดว่าแค่เจ็ดชาติยกไว้ด้วย เพราะว่ามันตอบไม่ได้หรอก เราจะไปเอาสูตรนั้น ของพระพุทธเจ้า มาพูดล้อเลียน มาพูดว่า แหม เราจะอาจหาญ เหิมหาญ บังอาจมาพูดให้มัน

คนฟัง ฟังแล้วหมดกำลังใจ

พ่อท่าน เป็นคนโง่ ถ้าพูดฟังแล้วหมดกำลังใจเป็นคนโง่ (คนฟังหัวเราะ) เพราะว่าถ้าเผื่อว่า เราเองยิ่งเห็นว่า มันจะไม่ได้ มันควรจะต้องเอาใจใส่ยิ่งขึ้น คุณเชื่อว่าดีจริงมั้ยล่ะ เชื่อว่าดีจริง เมื่อเชื่อว่าดีจริงแล้ว โอ้โฮ มันไม่ได้หรอก ไม่ได้ต้องอุสาหะมากขึ้นซิ เพราะฉะนั้น ผู้ที่บอกว่าฟังแล้วหมดกำลังใจ นั่นแสดงว่าโง่ ความจริง มันควรยังไง อย่างที่อาตมาพูดใช่มั้ย ว่า เออ เมื่อรู้สึกว่า เอ๊ มันควรจะต้องพากเพียรขึ้นอีกนี่ ไม่งั้น มันจะยิ่ง แย่ใหญ่เลยนี่ ต้องเอาให้มันเข้าไปใกล้ๆ จนกระทั่งกำหนดได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าสิ่งใดที่มั่นใจ จนถึงขั้นว่า โอ๊ เรากำหนดได้เลย ฉะนั้นทำไมพระพุทธเจ้าถึงพยากรณ์ องค์นี้จะได้เป็น พระพุทธเจ้าปางนั้น เมื่อนั่น อย่างนั้น อย่างนี้ได้ เพราะมันมีข้อมูล มันมีหลักฐาน มันมีสิ่งจริงรองรับพอเพียง ที่จะกำหนดได้เลย ว่า อ๊อ มันออกมาหมดเลย นี่หลักฐานอย่างนี้ครบ ก็บอกได้เลยว่า เมื่อนั่นเมื่อนี่ จะเป็นพระพุทธเจ้า เราเอง อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย เราเองนี่ ยังบอกได้เลย โอ๊ย เนี่ยชัวร์ ชัวร์เลยนี่ ไม่กี่ปี ไม่กี่นานหรอก เท่านั้นเท่านี้ จริงๆเลย ถ้ามันมีเนื้อแท้ของมันน่ะ มันพอจะบอกได้เลย เมื่อนั่นเมื่อนี่ อันนี้มันเป็นสัจจะจริงๆเลย เมื่อนั่น เมื่อนี่ ได้นะ

คำถาม พระพุทธเจ้าเคยตรัสก่อนปรินิพพานนะว่า ถ้าตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โลกจะไม่ว่างจาก พระอรหันต์ แต่ทุกวันนี้ รู้สึกว่าหายากเหลือเกินนะ

พ่อท่าน มันมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือยังล่ะ มี มันก็ต้องไม่ว่างจากพระอรหันต์น่ะ เอาน่า ไปลองดู แล้วคุณจะรู้ว่า อ๋อ ไม่ว่างจากพระอรหันต์จริงๆแหละ เพราะเราเป็นพระอรหันต์ซะแล้ว (คนฟังหัวเราะ) จริงด้วย เอ้า จริงๆ คุณจะมั่นใจเมื่อนั้นเลยว่า อ๋อ นี่ทางนี้ถูก ถูกแน่ๆ ถูกจริงๆ เพราะว่า เราก็เป็น พระอรหันต์แล้ว นี่ถ้าปฏิบัติจริงๆ แล้วโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์จริงๆ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริงๆ แล้ว พากเพียร เออ จริงๆ แต่ตราบใดที่คุณก็ยังไม่ คุณก็ยังข้องใจอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้น อยากจะรู้จริงๆ แล้วพากเพียรเข้า แล้วทีนี้จะได้ ไม่ต้องมาถามผมอยู่ เมื่อยๆ (คนฟังหัวเราะ)

คำถาม ถามว่า พระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ใหม่ๆ ...

พ่อท่าน ที่บอกว่าให้สมณะถามก่อนนี่ ไม่ได้หมายความว่า สมณะถามคนเดียวนะ (คนฟังหัวเราะ) จงทำ ความเข้าใจ ความหมายนี้ด้วย (คนฟังและพ่อท่านหัวเราะ)

คำถาม อีกคำถามเดียวครับ ที่ว่าศาสนาพุทธนี่ พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า จะมีพุทธบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แต่ก็สงสัยว่า เอ๊อ ทำไมพระพุทธเจ้าพยายามที่จะไม่ให้ผู้หญิงบวชน่ะ คือรู้สึกว่า มันค้าน แย้งกัน ที่ตอนตรัสรู้ใหม่ๆว่า จะต้องมีพุทธบริษัท ๔ แต่ภายหลัง ทำไมพระพุทธเจ้า ไม่ให้ผู้หญิงบวช

พ่อท่าน แหม มันก็ต้องมีกลวิธีบ้างซี กุศโลบายบ้างซิ ต้องใช้หลักจิตวิทยาบ้างซิ ยิ่งผู้หญิงนี่ยิ่ง แหม ยากนัก ถ้าไม่ใช้หลักจิตวิทยา ไม่ใช้กุศโลบายอย่างสำคัญ ใช้วรยุทธชั้นหนึ่ง มันจะไปได้เรื่องอะไร พระพุทธเจ้า ใช้วรยุทธ ไม่เป็นเหรอ ท่านก็ต้องใช้จิตวิทยา ใช้วรยุทธของท่านบ้างซี


คำถาม อยากฟังคำอธิบายพ่อท่าน อธิบายคำว่า E = MC2 (พ่อท่าน: โอ้โฮ!) เมื่อจะเอามาใช้ตอนเดินมรรค

พ่อท่าน เดินมรรค โอ๋ย ไม่ต้องไปใช้คำว่า E = MC2 ก็ได้ ก็ที่อธิบายไปหมดแล้วนั่นแหละ E คือกำลัง หรือ ผลอินทรีย์พละ กำลัง E นี่คือพลังงานใช่มั้ย E ก็คือกำลัง คืออินทรีย์ คือพละ เราจะได้อินทรีย์ เราจะได้ พลังงาน ก็เท่ากับ MC2 ของพุทธนี่ต้องบวก A ด้วย ก็หมายถึง สติปัฏฐาน หมายถึง สัมมัปธาน หมายถึง สภาพพวกนั้นทั้งหมดนั่นแหละ หมายถึงกายกับใจ M กับ C นี่คือ กายกับใจ M ก็คือกาย C ก็คือใจ แล้วใจนี่ มีพลังงานซับซ้อนเยอะ เพราะใช้กำลังสอง ก็คือสภาพที่ซับซ้อนเยอะ ที่จะต้องทำให้มันเกิด พลังสังเคราะห์ พลังที่ปฏิสังเคราะห์ พลังที่จะ solve ออกมาได้ มีเหตุปัจจัยที่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น เป็นแต่เพียงกาย อย่างเดียว ไม่พอ ยังมีองค์ประกอบอื่นคือ A, A คือสิ่งที่ลึกซึ้ง ที่เราจะต้องเอามาใช้ กับอันนี้ ให้ได้ เมื่อเราเป็น นักวิทยาศาสตร์ ที่เราจะสังเคราะห์อะไรออกมานี่ นักวิทยาศาสตร์นี่ จะสังเคราะห์อะไร ออกมา เราจะต้อง ฉลาด เพื่อที่จะสังเคราะห์ ไม่ใช่เอาธาตุตัวเก่ามาสังเคราะห์เท่านั้น มันไม่เจริญอะไรหรอก อย่างน้อย ก็ต้องแตกตัว ในธาตุตัวเก่า ก็คือต้องรู้ธาตุตัวใหม่ ก็คือ A ค่าที่วิเศษ ที่เสริมเข้ามาเรื่อยๆๆ เข้ามา เรื่อยๆๆ เสริมมาเรื่อยๆๆ จนกระทั่ง มันจะสังเคราะห์เข้ามาหา E ได้ผลของ E ได้ผลของอินทรีย์พละ อินทรีย์ พละๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ สูงสุด นี่อธิบายโดยง่ายๆ ภาษาง่ายๆ เออ ถามดีเหมือนกันนะ แต่ถาม ให้ตอบยาก


คำถาม โยมคนหนึ่งเขาว่า เขาได้สภาวะว่าง คือความว่างเบา เป็นเวลา ๓ วัน แล้วก็เป็นจิตใจที่ดีมาก ก็รู้ตัว ทั่วพร้อม อยู่เสมอ พอ ๓ วันไปแล้ว คนคนนั้นเขาป่วย พอเขาเล่าให้คนนี้ฟัง คนนี้ก็อยากจะได้บ้าง รู้สึกว่า กังวลใจมากเลย อยากจะได้แบบนั้น อันนี้พ่อท่านจะให้คำตอบยังไง

พ่อท่าน ลักษณะที่ว่านั้นน่ะ เป็นการกำหนดเอา ว่าว่างเป็นอย่างนี้ และเราก็เลยมาได้สภาพนี้ ซึ่งส่วนมากเลย มันก็เป็นสมถจิต เป็นปฏิบัติการสะกดจิต แล้วก็รู้สึกว่า เออ อาการอย่างนี้นะ สมมุติว่า อย่างนี้คือว่าง ว่างคืออาการอย่างนี้ มันปราศจากอะไรไปมากน้อยเท่าไหร่ ก็เท่าที่ผู้นั้นรู้สึก แล้วก็ทำได้ พอทำแล้ว จิตมันเกิดไม่ว่าง อย่างที่เรากำหนดไว้นั้น เปลี่ยนแปลงไปแล้ว มันไม่แน่ไม่เที่ยง สมถจิต จะเป็น อย่างนี้เสมอ ซึ่งต่างกับสมถะของพุทธ

สมถะของพุทธมันจะรู้เลยว่า จิตของเราเวลาไปปฏิบัติของพุทธแล้วเสร็จ สมมุติว่า เราติดอบายมุข ชนิดนี้ เราจับ อาการ ลิงคะ นิมิต ของกิเลส อบายมุขเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ที่เราติด แล้วมันก็เป็นรสเป็นชาติ อยู่แต่ก่อน พอเรามาปฏิบัติจริงแล้ว ลดกิเลสนี้ได้จริง เหตุปัจจัย มันก็จะได้สัมผัส เพราะว่าการปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้านี่ มันจะมีเหตุปัจจัย สัมผัสจริงอยู่เรื่อย มันก็ทำให้ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดสังเคราะห์ ไม่เกิดปรุง ไม่เกิดสังขาร ขึ้นมาเป็นรส บางจางไปๆ จริงๆ แม้ในเรื่องเดียว เหตุปัจจัยเดียว มันก็จะเจาะเข้าไป ในเหตุ ปัจจัยนั้น แล้วมันก็จะรู้ว่า อ้อ กิเลสมันเป็นใช่มั้ย กิเลสมันว่างๆๆ จนกระทั่งมันว่าง นั่นคือจิตนั้น ว่างจาก กิเลสอันนั้น จิตมันก็ยิ่งจะคิดได้ดี แหม รู้เท่ารู้ทัน อยู่เหนือ ทำงานอื่น

เพราะฉะนั้น ว่างอย่างนี้ จะไม่เหมือนสมถะ ที่ไปนั่งสะกดจิต ยิ่งเป็นสภาพรวมๆเลยว่าจิตว่าง โอย ว่างโล่ง มันใส มันโปร่งเฉยๆนะ เขาก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่ อันนั้นแหละส่วนมากเป็นความหลง แทบทั้งนั้นเลย หลงมีเยอะ ขนาดอาตมาเคยเล่า ฝรั่งที่ตามหาจิตว่างนี่ มาจากต่างประเทศ ตามมานี่ สิกขมาตุจินดา กับ อาตมา นี่อยู่เจอ โอ้โห คุยกับแก แกไม่ฟังเสียงอะไรทั้งนั้นเลย แกจะเอาอันนั้นให้ได้อย่างเดียว เราก็บอกว่า อย่างนั้นมันไม่ใช่พุทธหรอก มันเป็นจิตทางฌาณ จิตแบบนี้เราบอกว่า เราก็เคยได้ เราก็ได้ เราก็ทำนี่ทำเอาซิ อยากได้อีก ทำ หัดฝึกเอาใหม่ แกก็ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วเราบอกด้วยว่า อันนั้นมันไม่ใช่ ทางนิพพาน อย่าไป หลงว่า นิพพานนะ ไม่ใช่นิพพาน แกฟังไม่ได้ แกบอกนี่แหละนิพพาน นี่แหละนิพพาน แกไม่มีกะจิตกะใจ ฟังเลย สุดท้ายรุ่งเช้าขึ้นมา เดินมาเอา แกถอดรองเท้าฟองน้ำ ไว้ที่เราสวดมนต์กันนี่ ที่ศาลาข้างล่าง แต่ก่อน มันยังมีโรงเรือนอยู่ ยังไม่ได้ต่อเติมอะไรมากมาย มาหยิบเอา เดินลงมา นอนข้างบนน่ะ นอนบนศาลา ลงมาหยิบ เอารองเท้าได้ ไปเลย ไม่บอกไม่กล่าวสักคำ จะบอกกับเราหน่อย ว่าบ๊ายบายอะไร ก็ไม่เลย ไม่ฟัง ไม่แลอะไรเลย จับรองเท้าได้ก็เดินไปเลย ออกไปเลย หายไปจนกระทั่งบัดนี้ เป็นตายร้ายดี ยังไงไม่ทราบ (พ่อท่านหัวเราะ) มันหลงใหลกัน สมถจิตแบบนั้นน่ะ ศึกษาดีๆ

ถ้าเผื่ออย่างที่อาตมาอธิบายเมื่อกี้นี้แล้ว เมื่ออบายมุข ด้วยกิเลสของเหตุปัจจัยอันนี้ มันหมดจริงๆ มันจะรู้ แล้วมันว่าง แต่จิตว่างของพระพุทธเจ้า มันไม่ใช่จิตว่างแล้วก็ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีการรู้อะไรแล้ว ก็ว่าง เด๋อๆ ว่างเด๋อๆ ว่างโล่งๆ อย่างนี้เฉยๆ ไม่ มันมีการงาน มันมีความเฉลียวฉลาด แล้วโล่ง เบิกบาน แจ่มใส รู้เลยว่า อันนี้ว่างแล้ว เป็นวูปสโมสุข เป็นสัปปัทธิ สงบอย่างวิเศษ เห็นแล้วว่าว่าง ว่างจากอันนี้ แล้วมันก็ ไม่เกิดกิเลสจริงๆ มันว่างจากกิเลสนั้นจริงๆ ยิ่งหลายกิเลส หลายเหตุหลายปัจจัย มันก็ยิ่ง จะชัดขึ้น มันก็ยิ่ง จะเป็น สภาพที่ว่าง ที่ดีขึ้นๆ ไปตามลำดับ ลำดับเรื่อยๆๆๆ


คนถาม ขอโอกาสพ่อท่านครับ อยากจะให้พ่อท่านช่วยบอกว่าสิ่งก่อสร้าง ที่มีจุดประสงค์ หรือว่า (ผม สมณะ นมวังโสครับ) คือสิ่งก่อสร้างที่มีองค์ประกอบในการก่อสร้างที่เหมือนกับศาลาวิหารนี่ มีที่ไหน บ้างครับ ที่ว่ามีประโยชน์ในเรื่องของธรรมชาติ เข้าไปมีส่วนในการก่อสร้าง แล้วก็ในการใช้สอย แล้วก็ในแง่ ของด้าน จิตวิญญาณ คืออยากจะให้พ่อท่านยกตัวอย่างว่า มีที่ไหนบ้าง เท่าที่พ่อท่านรู้ครับ

พ่อท่าน ไม่รู้สิ ไม่ได้นึกถึงเท่าไหร่นะ นึกถึงแต่ว่า เอ๊ มันควรจะเป็นอย่างนี้ สำหรับผมคิด แต่ก็ไม่รู้ว่า เขามีที่ไหน ของใครที่ทำสมบูรณ์ ทั้งด้านจิตวิญญาณ ทั้งประโยชน์ใช้สอย ประโยชน์ใช้สอย ก็คงมีกันทั้งนั้น และ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ก็คงจะมีมั้ง และเขาก็ได้ระลึกและเจตนาด้วยว่า ให้มันเกี่ยว ให้มันมีผนวก ทางด้าน จิตวิญญาณอย่างสูงส่งที่สุด เท่าที่จะทำได้ด้วย ที่ไหนเขามี ก็ยังไม่รู้ซิ ยังๆ ไม่รู้

คนถาม ยังไม่รู้ว่าไม่เห็นที่ไหน จะมีนะครับ แบบนี้

พ่อท่าน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ไหนจะมี (คนฟังหัวเราะ) แต่ถ้าเผื่อว่า มันจะมีนี่ มันจะเลวมั้ย

คนถาม ผมว่ามันก็คงจะดีที่สุดในโลกครับ

พ่อท่าน เอา ก็หวังว่าเช่นนั้น (คนฟังและพ่อท่านหัวเราะ) จริงๆ อาตมาก็ไม่ได้นึกถึงว่าที่ไหนมีนะ แต่ก็ นึกถึงแต่ว่า คล้ายๆอย่างนี้มันมี พูดก็ได้ว่า ที่อาตมา ยกตัวอย่างว่า เช่นว่า วิหารของทางอิสลามเขา เขาก็สร้างวิหาร มีหินดำอยู่ อะไรอย่างนี้ เป็นต้นนะ ที่เมกกะอะไรนี้นะ มีกาบะห์อยู่ อาตมาก็ไม่รู้ว่า เขาสร้างนั่น เขาได้คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยขนาดไหน เอาละ เขามีประโยชน์ใช้สอย ในการที่จะมาทำกิจ เรื่องอะไรนะ เขาเรียกอะไรกันน่ะ ก็เอาละเป็นประโยชน์ใช้สอยทั้งนั้น ส่วนประโยชน์ใช้สอย ที่เป็นประโยชน์ ในการทำงานอื่น อีกด้วยบ้าง เขาคงจะมีบ้าง แต่ก็คงจะไม่เหมือนกับศาลาวิหาร ที่เราจะทำนี่นะ แล้วก็ ธรรมชาติล่ะ เขาได้คำนึงแต่ต้นมั้ย แต่วิญญาณเขามีแน่ แล้ววิญญาณเขา ก็ดูสูงสุดด้วยนะ อย่างที่ วิหารดำ ที่มีกาบะห์อยู่นี่ วิญญาณเขาก็สูงมากๆ แต่ในเรื่องประโยชน์ใช้สอยกับธรรมชาตินี่ เขาได้คำนึงถึง แต่ต้นหรือไม่ อาตมาไม่รู้ แต่ก็เท่าที่นึกออกได้ว่ากรณีนี้ ที่ยกตัวอย่างอันนั้น เพื่อให้เห็นทางด้านวิญญาณ หรือแม้แต่ อาตมายกในทางด้านของพระพุทธเจ้า ที่มันมีเหลืออยู่แล้ว ก็ไปกราบกันอยู่อะไรพวกนี้ มันมีวิญญาณให้เห็น ยกตัวอย่างมาเพื่อให้เห็นว่า นี่มันเป็นเรื่องลักษณะของวิญญาณ ที่มันสืบทอด แล้วมัน เป็นหลักฐาน เป็นสิ่งที่ยังศรัทธา เคารพบูชา คนไปกราบ แม้แต่กุฏิพระพุทธเจ้า แล้วก็น้ำตาไหลนี่ เยอะไปนะ อะไรต่างๆ พวกนี้นี่ มันมีพวกนี้ ซึ่งเราเองอธิบายยังยากอยู่ แต่มันก็เป็นจริง ของจิตมนุษยชาติ มันศรัทธา เลื่อมใส แล้วมันก็ ประทับใจ ซาบซึ้ง สิ่งเหล่านี้ มันต้องมีนะในชีวิต ถ้าไม่เช่นนั้น เราทำอะไรนี่ มันเฉื่อยๆ แล้วมัน ก็เรื่อยๆ มันจะไปได้เกิดผลอะไรกัน สร้างสรรอะไรกัน เกิดคุณค่าอะไรกันนักหนาล่ะ มันไม่มี แล้วยิ่งเลยๆ เด๋อๆ ด๋าๆ พาซื่อ ศาสนาพุทธก็ไม่มีอะไร เป็นอะไร ไม่มีอะไร

....ฯลฯ...

เพราะฉะนั้น เรื่องของวิญญาณ มันมีอยู่เยอะในวิหาร แต่ว่าจะครบสมบูรณ์ทั้งสามความหมาย ที่อาตมาว่า สัมพันธ์ ทั้งธรรมชาติ ประโยชน์ใช้สอย และก็มีจิตวิญญาณอันสมบูรณ์ ในสิ่งก่อสร้างอันนี้ มีได้หรือไม่ อย่างที่ท่าน นมวังโส ถามนี่ อาตมาคิดไม่ออกเหมือนกัน แต่อันนี้มันเป็นความคิดของอาตมา ครบสมบูรณ์ อย่างนี้ ไม่รู้ที่ไหนมี


คนถาม ที่พ่อท่านพูดถึงรูปราคะ และอรูปราคะนะครับ ผมก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ครับ กรณีที่ใครคนใด คนหนึ่ง ก็ตาม นะครับ เขาไม่กล้านะครับ คือมีความละอายใจที่จะไปเสพกามหยาบๆนะครับ แต่ว่าเขา

(อ่านต่อ หน้า ๒)
file: ANSWER2A.TAP