เล่ห์กล...กามเทพ
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ณ พุทธสถาน สันติอโศก เมื่อ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๓๒
"เนื่องในโอกาส อบรมชาวชมร." (ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย)


ขณะนี้พวกเราชาวชมร. น่าที่จะระมัดระวังเสขิยวัตรอยู่อย่างหนึ่ง เราระมัดระวังกันหลายอย่างอยู่ แม้กระทั่ง เรื่องผู้หญิงผู้ชาย เราระมัดระวัง เพราะเราเป็นนักปฏิบัติธรรม เราก็ควรระมัดระวังกัน ให้มากกว่าปกติธรรมดาสามัญ ธรรมดาสามัญ ผู้หญิงผู้ชายเขาจะเล่นจะหัว เขาจะอย่างโน้น อย่างนี้ อะไรกันต่างๆนานา ด้วยกิริยา มันก็เรื่องของคนโลกเขา ทีนี้ของพวกเรา ชาววัดหรือว่า ชาวนักปฏิบัติธรรม หรือผู้ที่มีศีลมีธรรมนี่ มันก็ควรจะต้องสังวรระวังให้มากขึ้น ไม่มีความจำเป็น อะไรมากมาย ที่จะต้องไปละเมิด ในเรื่องศีลธรรม สมัยโบราณ ศีลธรรมเรื่องผู้หญิง ผู้ชาย ผู้หญิง เป็นผู้ทรงไว้ ซึ่งวัฒนธรรม และศีลธรรมอันดีนี่ไว้ คุณเคยได้ยินกันบ้างไหม ผู้หญิงบอกว่า ไม่ให้ผู้ชายแตะ แม้ปลายก้อย ผู้หญิงที่เขารักนวลสงวนตัว ไม่ให้ผู้ชายแตะแม้ปลายก้อย อะไรอย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งเราฟังแล้ว ก็รู้สึกว่า เขาเป็นผู้รักษาเนื้อ สงวนตัวดี เป็นกิริยา เป็นมารยาท หรือเป็นอะไร มีความระมัดระวังสังวร ก็เป็นสิ่งดีนะ

ไม่เคร่งเครียดอะไร
แต่อาตมาก็ว่า มันไม่ต้องไปเคร่งเครียดถึงขนาดปานนี้นะ แหม ! ไม่ให้ถูกแม้แต่ปลายก้อย ถ้าขืน ถูกปลายก้อยแล้ว จะทำอย่างไร ต้องชำระล้างด้วยอะไร ด้วยน้ำกรดเหรอ มันก็ไม่ต้องไปเครียด ถึงขนาดนั้นหรอก ที่กล่าวนี่ เพื่อที่จะให้เราได้รับรู้ ขณะนี้ได้ข่าวได้คราวไปถึงขนาดเล่นหัวกัน มันไม่งาม ในฐานะที่เราเป็นนักปฏิบัติธรรม อาตมาไม่ได้กำหนดตายตัวว่า เราจะต้องระมัดระวัง ถึงขนาดไหน

แม้แต่เราจะต้องถูกเนื้อต้องตัวอะไรกันบ้าง ก็ไม่ได้ไปเคร่งเครียดถึงขนาดนั้น ถ้าเป็นไปได้ มันก็ดี ถ้าเป็นไม่ได้ถึงขนาดอย่างนั้น เป็นการปฏิบัติธรรมเหมือนพระ เพราะพระต้องระมัดระวัง ไม่ให้แตะเนื้อ ต้องตัวผู้หญิงเลย ก็เป็นกิริยามารยาท เสขิยวัตรที่ดี ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร เพราะไม่มีความจำเป็น แล้วก็ไม่ต้องไปประมาท ไม่ต้องไประเริงอะไรถึงปานฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า มันจะมีความเป็นไป จะต้องแตะถูกต้องกันไปตามภาษาธรรมชาติ มันเป็นไป เพราะทำงานร่วมกัน ก็ต้องชนกันบ้าง แตะกันบ้าง อะไรต่ออะไรต่างๆนานา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติก็แล้วไป ไม่ได้มีเจตนาว่า จะต้องแตะต้องเขา ด้วยความกำหนัดใคร่ จะต้องถูกเนื้อต้องตัว

จับด้วยอารมณ์ชอบ
อารมณ์รัก อารมณ์ก็คือ มีกิเลสนั่นแหละ อย่างนี้เข้าลักษณะสังฆาทิเสสของพระ จับต้องกายหญิง ด้วยการมีอารมณ์กำหนัด ภาษาที่ว่า แตะต้องกายหญิงด้วยมีอารมณ์กำหนัดนี่ ถ้าอ่านไม่ออก จะไม่รู้ตัว แต่ต้องอ่านให้ดีๆ ลึกๆ แล้วจะเห็นเลยว่า ทำไมเราจะต้องไปถูกต้อง ไปอยากจะแตะเนื้อ ต้องตัวเขา ถ้าเราจะไปแตะเนื้อต้องตัวเขา โดยที่เรียกว่าเดินไปชนกัน โดยไม่มีเจตนา มันมีงานโน่น มีงานนี่ มันก็ไม่มีปัญหา แต่อยู่ดีๆ ไปถูกเนื้อต้องตัวอะไรอย่างนี้ มันมีกิเลสแล้ว เพราะไม่มี ความจำเป็นอะไร จะต้องไปจับเนื้อต้องตัวกัน แม้ผู้หญิงกับผู้หญิงก็ตาม เราจะจูงกันข้ามถนน แล้วไป จะต้องช่วยดึงขึ้นนั่นขึ้นนี่ จับดึงมือถือไม้ จะช่วยยกช่วยจับอะไร เป็นเรื่องเป็นราว อย่างนี้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร หรือบางครั้ง จะต้องจับตรงนั้น ทำตรงนี้ จะต้องตรวจร่างกาย ต้องฉีดยา ต้องถู ต้องทำโน่นทำนี่ ก็เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมชาติ เป็นเรื่องกิจการงาน เป็นต้น แต่ไม่มีเรื่องอะไร ก็กระซิกกระซี้ กิเลสนั่นแหละ หาเรื่องแล้ว มันหาเรื่องอย่างโน้น อย่างนี้ มันกิเลสทั้งนั้น

เล่ห์อำพรางของราคะกำหนัด
อีกอันหนึ่ง ก็คือเล่ห์ มันใช้เล่ห์หาเรื่องว่าเป็นงาน เป็นกิจ ที่ฉันจะต้องช่วยอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วก็ไปหาเรื่องจับ เรื่องแตะต้องเขาอีก มีการพราง ด้วยกรรมกิริยา ด้วยการงาน ด้วยกิจอะไร ที่ว่ามันเป็นกิจ ทำเหมือนกับไปทำกิจนั่นให้ เช่น ฉันเช็ดให้ไหม ฉันถูให้ไหม อะไรก็แล้วแต่ เสร็จแล้ว ก็เพื่อจะได้ไปแตะเนื้อต้องตัว จับสัมผัสเขา นี่ก็เป็นเล่ห์ของกิเลส เป็นเล่ห์ของราคะกำหนัด เราก็จะต้องศึกษา ต่อไป

เล่ห์กามเทพไม่แยกหญิง-ชาย
ใครก็ตาม ผู้หญิงก็ไม่ใช่หมายความว่า ไม่อยากต้องตัวผู้ชาย ที่กล่าวนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นแต่ผู้ชาย ผู้หญิง ก็อยากแตะต้องผู้ชายเช่นกัน ที่จริงกิเลสในเรื่องเมถุน ก็คือเรื่องของกาม สัมผัสแตะต้องทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ การสัมผัสแตะต้องไปจนกระทั่งเลยเถิด สมมติกันจนจะเกินเลย ไม่รู้ท่าอะไรมั่ง ที่จะสัมผัส แตะต้องกัน ประเล้าประโลมกันทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็กลายเป็นกิเลสบำเรออารมณ์ เสียดสีสัมผัส ทั่วตัว ตั้งแต่หัวถึงเท้า ไม่พูดละ ลามกเยอะแยะ อนาจารมากมาย แล้วกลายเป็นเรื่องบำเรอกาม ทั้งนั้น เป็นเรื่องของการสัมผัสกันจริงๆ เพราะฉะนั้น เรื่องสัมผัสนี่ ต้องเรียนรู้ให้ลึกซึ้งทีเดียว เรื่องสัมผัสนี่ ไม่ใช่เรื่องตื้นเรื่องเขิน ต้องเข้าใจให้ดีๆ เป็นสิ่งที่เราจะได้ศึกษาเล่าเรียน ให้รู้ในเรื่องเหล่านี้ ลึกซึ้งขึ้นไป

สัมผัสนั้นเป็นไฉน
การเรียนรู้สัมผัสนี่ สัมผัสด้วยกาย สัมผัสด้วยมือ ด้วยเนื้อ ด้วยตัว ด้วยอวัยวะส่วนนั้นส่วนนี้ อะไรแก่กันและกันก็ตาม ตากระทบรูป ก็เรียกว่า สัมผัส หูกระทบเสียง ก็เรียกว่าสัมผัส จมูกกระทบกลิ่น ก็เรียกว่าสัมผัส ลิ้นกระทบรส อะไรต่างๆ ก็เรียกว่าสัมผัสเหมือนกัน กายสัมผัส แน่นอน ทุกส่วนสัดของกายสัมผัสกัน สัมผัสเสียดสี สัมผัสมาแตะต้อง สัมผัสนั่นแหละ จะด้วยลักษณะหยาบ-กลาง- ละเอียด อะไรอย่างไรก็ตามใจเถอะ นั่นก็เป็นเรื่องของการสัมผัส เมื่อสัมผัสแล้ว ก็เกิดกิเลสมาร่วมผสม ถ้าสัมผัสแล้ว ไม่มีกิเลสร่วมผสมด้วย มันไม่มีปัญหาอะไร ทั้งนั้น ตาสัมผัสรูป ไม่มีกิเลส มันก็ไม่มีปัญหาอะไร คุณจะสัมผัสอย่างไร แค่ไหน ก็ต้องสัมผัส เป็นพระอริยเจ้า พระอรหันต์ ก็สัมผัส ตาก็ต้องสัมผัสรูป จะเป็นรูป ที่ยั่วยวน จะเป็นรูปที่อนาจาร จะเป็นรูปที่มันประกอบด้วยกิเลสขนาดไหน ท่านเป็นพระอรหันต์เจ้า ท่านก็สัมผัส ท่านก็เฉยๆ ท่านก็ไม่เกิดกิเลสใดๆ ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ ก็อาจจะเกิดกิเลสมากน้อย ตามลำดับของภูมิธรรม

หนทางสู่สัมผัสเหนือโลก
เพราะฉะนั้น เมื่อเราอ่านกิเลสออก ละล้างกิเลสนั้นได้จริง จะเหลือน้อย เหลือมาก หรือหมด ก็เป็นจริง ตามที่เราเป็นจริง และทำได้ การสัมผัสก็เป็นสัมผัสอยู่ พระพุทธเจ้าถึงเรียกว่า โลกุตตระ สัมผัสอยู่ อยู่กับโลก อยู่กับมนุษย์ อยู่กับอะไรนี่แหละ มีสิ่งกระทบตา มีสิ่งกระทบหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็กระทบอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ได้ระวัง สังวรอินทรีย์ทั้ง ๖ ทวารทั้ง ๖ เราไม่สังวร ทวารทั้ง ๖ นี่ ก็ไม่ได้ศึกษา หลักการปฏิบัติ อปัณณกธรรม ๓ สำรวม สังวรอินทรีย์ ๖ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ เป็นหลักที่ปฏิบัติไม่ผิด สำคัญๆ อปัณณกธรรม ๓ ถือเป็น แก่นหลัก ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ที่จะสำรวม สังวร ที่จะปฏิบัติทั้งสิ่งประกอบ เช่น โภชเนมัตตัญญุตา ก็ปฏิบัติรวมทั้งสิ่งที่มาประกอบกับชีวิตที่อาศัยใช้ ซึ่งเราจะต้องมักน้อย สันโดษ รู้จักสิ่งที่เฟ้อ ไม่เฟ้อ ที่เกิน ไม่เกิน โภชเนมัตตัญญุตา เป็นอุปโภค เครื่องอุปโภคบริโภค ทั้งหลายแหล่ ต้องสังวร ระวัง ต้องประมาณๆ กำหนด ละ ลด เลิก หรือว่าจะเอา จะมี ก็ให้ใช้โดยที่รู้จัก สัมผัส รู้จักเกี่ยวข้อง ว่าไม่เพ้อแล้ว จำเป็นต้องใช้ก็ใช้ ใช้แล้วก็ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดอนุพยัญชนะ ไม่เกิดสิ่งที่มันเป็นองค์ประกอบ แล้วก่อให้กิเลส ผสมผสานขึ้นมา จริงๆ ต้องเรียนรู้จริงๆ ส่วนชาคริยานุโยคะ ให้เป็นผู้ตื่น ตื่นมาจากโลกีย์ ตื่นจนหลุดพ้นจนเป็นคน โลกุตตระ เป็นผู้ตื่นเต็ม ชาคริยานุโยคะ เป็นผู้ตื่นเต็ม ก็คือ ผู้ที่เป็น พระอรหันต์ ตื่นเสมอ ตื่นเต็มเสมอ กระทบโลกียะ ก็ไม่ได้หลงใหลอะไร ในโลกียะเลย โลกียะทำร้ายทำลาย หรือว่าทำ ให้เกิดกิเลสใดๆ ไม่ได้เลย คือผู้ตื่นเต็มสูงสุด แข็งแรง ถ้าเราไม่พยายาม เห็นความสำคัญ ในเรื่องของสัมผัสแล้ว ละก็ มันก็ไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม

อ่านออก เจตนาสัมผัสหรือไม่
ดังนั้น อย่าประมาทในเรื่องของเสขิยวัตรต่างๆ ในเรื่องของการ กระทบสัมผัส โดยเฉพาะ การสัมผัส ที่เป็นรูปลักษณะที่หยาบทางกาย มือไม้ เนื้อตัวอะไร สัมผัสทางกายนี่ เป็นรูปหยาบ คนอื่นเห็นได้ รู้ได้ ดูแล้ว เขาก็เข้าใจโดยปริยาย โลกๆเขาก็เข้าใจ น่าเกลียด น่าชัง ส่วนที่สัมผัส โดยไม่มีเจตนา ไม่มีอะไรนี่ คนเขาก็รู้ มันไม่มีเจตนา แล้วก็ไม่เป็นไปเพื่อที่จะประกอบไปด้วย กิเลส ผสมผสาน คนเราดูออก ดูธรรมดาๆ ดูออก ไม่มีปัญหาอะไร

แหม ! น่าเอ็นดู
แม้แต่จะสัมผัสด้วยกาม กามมีหลายชั้น ในลักษณะที่ก่อเป็นเรื่องของ เพศจัดๆ เป็นเมถุนธรรม มันเป็นกามชนิดหนึ่ง ที่เรียกตรงๆว่า เป็น "ราคะ" ระหว่างเมถุนผู้ชายกับผู้ชาย ผู้หญิงกับผู้หญิง ก็ตาม อย่าว่าแต่ผู้หญิงกับผู้ชายเลย ก็เป็นลักษณะนั้นได้ ทีนี้ กามที่เป็นความรักความเอ็นดู เราจะบอกว่า เป็นกามทีเดียว มันก็ไม่ตรงนัก มันเป็นความเมตตา เป็นความเกื้อกูล เป็นกุศลด้วยซ้ำ แต่มันแฝงกามได้ รู้ยากๆ บางรูปลักษณะ ก็เป็นรูปลักษณะคล้ายๆกันกับกามราคะ เช่น เราจูบเด็ก หอมเด็ก จูบเด็ก เป็นกรรมกิริยาซ้ำกันแล้วกับผู้หญิงผู้ชายสัมผัส อย่างนี้ เป็นต้น มันมีส่วนซ้อน ส่วนที่แฝง ส่วนที่ปน จึงต้องลึกซึ้งจริงๆ ต่ออารมณ์ ต่อสภาพกิเลสโดยเฉพาะ อ่านกิเลส ออกเลยว่า นี่มันเจือไปด้วยความเมตตา เอ็นดู ปรารถนาดีต่อเขาไหม แต่แท้จริง ก็เป็นรสเหมือนกัน จูบเด็ก หอมเด็ก อะไรพวกนี้ มันรัก มันก็มีความชื่นใจอะไร มีรสชื่นใจเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ถึงขั้นเป็นผู้ที่เอ็นดูเด็ก ไม่จำเป็นต้องไปจูบเด็ก หอมเด็กหรอก ไปจูบอยู่นั่น มันแฝงไปด้วยกาม จูบเด็ก หอมเด็กนี่ แสดงถึงอาการ เมตตา เอ็นดู รักเมตตาเอ็นดู แต่ปนลงไปด้วยกาม พฤติกรรมนั่น เป็นพฤติกรรม ของผู้ที่อยู่ในขีดขั้นของราคะ กามที่แปรรสแล้ว ผู้ที่เมตตาเอ็นดู จึงไม่มีความจำเป็น อะไร ที่จะต้องไปทำกรรมกิริยาจูบเด็ก หอมเด็ก แม้จะเอ็นดูเด็กก็ตาม

พระไปจูบเด็ก หอมเด็ก เอ็นดู ทำไม่ได้ ไม่ใช่กริยาที่พึงกระทำ เป็นกริยาส่อกาม แล้วมันแฝงกาม ด้วย ถ้าจะเอ็นดูเด็ก จับๆ ลูบหัว ลูบตัว เอ็นดูอะไร ก็พอแล้ว เป็นความสัมพันธ์อันสนิท หรือเป็น ความสัมพันธ์อันพอเหมาะ พอขนาดนั้น จะลูบหัว ลูกหาง อย่างโน้นอย่างนี้ จับเนื้อต้องตัว เล่นอะไร พอเป็นลักษณะเอ็นดู ซึ่งเป็นกริยาเมตตาเกื้อกูล แสดงออก เพื่อให้เขาเข้าใจบ้าง บางที ไม่แสดงอะไรเสียเลย ดูแข็งๆ กระด้างๆ บางคน ต้องอาศัยพฤติกรรมหยาบ ถึงจะเข้าใจ ถ้าพฤติกรรม ละเอียด ไม่แสดงอาการเลย จะเมตตาเรา หรือไม่เมตตาเรา จะเอ็นดูเรา หรือ ไม่เอ็นดูเรา ก็ไม่รู้ เลย เหมือนท่อนไม้ พูดจาก็ตาม กริยาก็ตาม มันอย่างไรกัน แม้จะใกล้จะชิด ก็ไม่ต้องนั่งห่างๆ อยู่ห่างๆแข็งๆอย่างนี้ ก็ดูไม่ออกเลย ยิ่งคนที่ไม่มีปัญญา จะอ่านไม่ออก โดยกริยา ลึกๆ กริยาจนเป็นนามธรรม หรือเป็นอรูป จะดูไม่ออก เขาก็ไม่รู้ และไม่แน่ใจได้ เพื่อความแน่ใจ จึงแสดงออก ให้เขาซับซาบได้บ้าง มีการตอบรับกันและกัน (คนปัญญาน้อย ก็จะมีพฤติกรรม ที่แสดงออก ให้เห็น ได้รู้บ้าง)

เอ็นดูได้เหมือนกัน
มีกริยาหลายลักษณะ ที่แสดงออกถึงความเมตตา เอ็นดู เกื้อกูลได้ ไม่ใช่แต่แค่สัมผัส อย่างโน้น อย่างนี้เท่านั้น โดยเฉพาะการที่จะไปแตะเนื้อต้องตัวอะไร พวกนี้ ซึ่งไม่มีความจำเป็นอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะมีอากัป กิริยาอาการที่เอ็นดูเมตตาแสดงสื่อไม่ได้ ! ไม่ใช่ ! ได้ ! โดยไม่ต้อง แตะเนื้อต้องตัว ไม่ต้องโอบกอด แล้วเอ็นดู นี่รัก ไม่ต้องแสดง ก็รู้ได้ว่าเอ็นดู เป็นกริยา อาการลีลาเมตตาไม่น้อย เป็นความเอ็นดู เป็นความเมตตา ไม่ใช่แต่จะต้องใกล้ชิดกัน หรือจะต้อง แตะต้องกัน หรือจะต้องมี กรรมกริยาที่หยาบ ก็สามารถแสดงออกได้เช่นกัน แสดงออกได้ด้วยวาจา ด้วยสายตา ด้วยกริยาคำพูด ด้วยลีลาน้ำเสียง ด้วยลีลาของการเกื้อกูล เชิงนั้นเชิงนี้ ช่วยเหลือ เฟือฟาย เอื้ออนุเคราะห์นั่นนี่ อะไรต่างๆ นานา ช่วยนั่น ช่วยนี่ ทำอันนั้นให้ เป็นต้น เกื้อกูลอยู่ อย่างนี้ ก็เป็นกริยาเมตตา เป็นกริยาที่เอ็นดู เกื้อกูล สัมพันธ์อันสนิทได้เหมือนกัน เราจะต้องรู้ ความหยาบ ความละเอียด กริยาหยาบ กับกริยาที่ไม่หยาบเหล่านี้ด้วย เพื่อที่จะได้ปฏิบัติถูก

เรามาเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้ว แม้จะเป็นฆราวาสก็ตาม เราก็ต้องเรียนรู้ และฝึกฝน มันจะช่วย ลดกิเลสเราด้วย ตัดกิเลส ลดกิเลสของเรา ไม่เช่นนั้น ตัวเราก็ยังเป็นสื่อกันอยู่ ยังเป็นเหมือนกับ ชนวน ไม่ใช่ฉนวน ชนวนนี่ มันเป็นสื่อ ส่วนฉนวนนั่น เป็นสิ่งที่ตัดสื่อ ถ้ายังมีลักษณะที่ยัง เป็นชนวน ต่อสื่อ ต่อเนื่องอะไรกันอยู่พวกนี้ เราก็จะต้องตัด เราจะต้อง พยายามลัดให้ห่าง

เรื่องผู้หญิง-ผู้ชาย "อย่าพบกันเลย"
พระพุทธเจ้าไม่ให้ประมาทในเรื่องผู้หญิงผู้ชายนี้อย่างมากมาย ดังพระอานนท์ ทูลถาม พระพุทธเจ้า เรื่องผู้หญิง-ผู้ชาย นี่จะทำอย่างไร พระองค์บอกว่า อย่าพบกันเลย ท่านพูดกับ พระอานนท์นะ พระอานนท์นี่ มีภูมิธรรมขนาดไหน อินทรีย์พละขนาดไหนแล้ว ขนาดพระอานนท์ เราถือว่าเป็นมหาสาวก พระอานนท์ที่จะต้องมีบารมีขนาดไหน ตั้งจิตที่จะพบกับ ศาสนามามาก ขนาดไหน จะได้มาเป็น อุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า ต้องอธิษฐาน ต้องประพฤติมา กี่ชาติ ต่อกี่ชาติๆนะ ท่านยังสอนอย่างนี้เลย บอกอย่าพบกันเลย อย่าประมาท แล้วพวกคุณละ เก่งขนาดไหน มีภูมิแค่ไหน พระอานนท์ทูลถามต่อว่า ถ้าพบกันละ จะทำอย่างไร พระอานนท์ ยอดปัญญาจริงๆ ถามให้ละเอียด ถามให้ซอกแซกให้หมดจด แล้วถ้าพบกันละ ไม่ต้องพูดด้วย
ถ้าพูดด้วย จำเป็นต้องพูดละ อย่าพูดกันหลายคำ ต้องมีสติ ต้องรู้จักตัด อย่าพูดกันหลายคำ ต้องมีสติ ต้องตัด ไม่ใช่ว่าไปต่อเนื่อง ประเดี๋ยวก็เลยเถิด แล้วอย่าพูดเกินหกคำ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น อย่างอาบัติของพระ ตั้งเข้าไปเลย อย่าพูดเกินหกคำ

หกคำนี่ หมายความว่า คำความ ไม่หมายความว่า เป็นคำๆ พูด เป็นคำๆ หกคำพอดี พูดประโยคเดียว เลยไม่รู้เรื่องกันคือ หกคำความ ความที่โต้ตอบกัน เหมือนกับอย่างคำของกลอน อะไรอย่างนี้ เขามีเป็นคำ เป็นคำตอบ มี ประโยคตอบ ประโยคถาม เรียกว่า คำหนึ่ง อย่างนี้ ต้องเข้าใจ ไม่เช่นนั้น พาซื่อ เป็นคำๆ พูดกันลำบาก ต้องนับกันเสียก่อน เกินหกคำหรือเปล่า ประโยคนี้ เลยไม่ต้องพูดกันให้รู้เรื่องเลย ฉะนั้น ประโยคถามเป็นประโยคตอบ นี่นับเป็น คำหนึ่ง ถ้าจะเอากันเคร่งๆ อย่างนี้เท่านั้น แต่ถ้าไม่เคร่ง คำตอบคำถามอะไรก็ ประมาณเอา

ผู้ประมาท คือผู้ตายแล้ว
สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ท่านสอนไม่ให้ประมาท แม้แต่ในเรื่องของกาม ในเรื่องของราคะ ในเรื่องขอ งผู้หญิง -ผู้ชาย ก็ขอให้พวกเราระมัดระวัง ผู้ที่มีภูมิจริง ก็มีภูมิจริง มีส่วนได้ ก็เป็นส่วนได้ เพราะฉะนั้น ผู้ใดประมาท ผู้ใดอวดดี ก็ตายมามากแล้ว ผู้ประมาท ผู้อวดดี กิเลสมานะนี่มันใหญ่ มันแรง มันเอาอวดดี ถือว่าตัวฉันจะเก่ง จะกล้า อะไรต่างๆ นานา พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน ให้ประมาทเลย

เดินตามรอยพระพุทธองค์ มีแต่เจริญถ่ายเดียว
ผู้ใดทำได้ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้ได้ ก็มีหวังเจริญ แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตามคำสอน ของพระพุทธเจ้า ก็มีหวังเสื่อม มีหวังตกนรก มีหวังไม่ผุดไม่เกิด หรือว่าไม่เจริญไปได้แน่ๆ นี่เป็น เรื่องจริง ฉะนั้น เราก็ต้องศึกษาดีๆ พยายามหัดสังวรระวัง แล้วหัดเรียนรู้ รายละเอียด ตามที่ อาตมา พยายามอธิบายชอนไชให้ฟัง แม้แต่ในเรื่องของการเอ็นดู การจะก่อสภาพด้วยวาจา ก็ตาม วาจานี่ ร้ายกาจนัก เราบอกว่า เรามาปฏิบัติธรรม แล้วเราก็บอกว่า ไม่มีอะไรหรอก มาคุยกับ พระท่าน มาคุยเรื่องธรรมะ ที่ไหนได้สึกไปแล้ว ไปแต่งงานกันแล้ว คุยธรรมะกัน จนแต่งงานกัน ธรรมะนะ ฟังภาษานี่ ภาษาธรรมะนะ

สื่อราคะแสนกล
คุยภาษาธรรมะกัน ไม่รู้ที่นั่งฟังอยู่นิ่งๆ นี่ จะรู้กันแค่ไหนไม่ทราบได้ คุยธรรมะนี่แหละ แต่เราแฝง ปนเนื้อหา ของลักษณะกาม ลักษณะราคะ ลักษณะที่สื่อ เป็นนัย เป็นเชิง นัยเชิง ก็คนเราพูดอะไร แทนอะไรก็ได้ มันอยู่ในนั้นแหละ ซ้อนแล้วก็รู้กันๆ ยิ่งรู้กัน ยิ่งพูดกันมาก ยิ่งคุยกันเยอะ ยิ่งใช้ภาษา สื่อพวกนี้กัน มากๆ คนอื่นไม่รู้หรอก เป็นโค้ตหมด เป็นโค้ตโดยอัตโนมัติ ไม่ได้ไปกำหนดกันหรอก คนเรามันรู้กัน มันฉลาด ยิ่งผู้ที่มีปฏิภาณฉลาด พูดเป็นเชิง พูดธรรมะกันทั้งนั้นแหละ พูดอะไร ก็มีเนื้อหาภาษา เอามาอ้างได้ด้วย ประโยคนั้นประโยคนี้ อ่าน พูดกัน คุยกันเรื่องเนื้อหา เรื่องนั้น เรื่องนี้ แต่แฝงปน กิเลสราคะ แล้วก็เติมวันๆ เติมกิเลสราคะ ในแต่ละครั้งที่พูดที่คุย เป็นการสัมผัส ทางวาจา หรือสัมผัสทางเสียง หรือสัมผัสทางหูนั่นเอง แม้อยู่ห่างกัน แต่ถ้าเห็นหน้าเห็นตากัน ไม่ใช่แต่สัมผัส แต่เสียง แต่หูเท่านั้น ได้สัมผัส ทางตาด้วย คุยกันก็เห็นกัน ดูกันไป กริยาอาการ อย่างนั้น อย่างนี้อะไรต่างๆ นานาสารพัด ทั้งรูปและเสียง สัมผัสไปแล้ว ก็ก่อกามไปด้วย การสัมผัส เหล่านั้น ไม่เคยถอด ไม่เคยถอน ไม่เคยชักสะพาน ไม่เคยห่าง จึงได้แต่เติม ได้แต่เติม กิเลส ผู้ใดประมาทอย่างนี้ มีแต่ตายกับตาย

ในพวกเราที่ต้องคลุกคลีเกี่ยวข้อง ทำงานร่วมกันอยู่นี่ ต้องระวังให้มาก พอเกิดกามมากบ้าง น้อยบ้าง คุณจะรู้เลย กิเลสมันแหละ มันมี มันหาโอกาส ให้ภาษานิดๆหน่อยๆ มันรู้แล้ว ภาษา ประโยคนี้ กระทบกันไปมา มันไม่ใช่ภาษาที่เราพูด เช่น ไหนยกน้ำมาให้หน่อยซิ มันไม่ใช่แค่อันนี้ เท่านั้น มันมีอะไรกับคำที่ว่า ไหนยกน้ำให้หน่อยซิ มันมีอะไรไปด้วย ผสมอยู่ในนั้น มันเป็นอรูป เป็นนามธรรม ลงไปในนั้น ยิ่งมีหู มีตา มีอะไรด้วย ได้น้ำมาขันหนึ่ง มันมีกามมาด้วยตั้งกว่าขัน แน่ะ จะเป็นเชิง ภาษาธรรมะอะไรก็เช่นกัน กามอยู่ในนั้นมหาศาล พวกเรานักปฏิบัติธรรม ต้องรู้ นามธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน เรียนรู้สิ่งยาก ซึ่งไม่ใช่วัตถุธรรม เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เป็นนามธรรม เป็นเนื้อเป็นตัวที่ดูยาก แต่เราสัมผัสได้ ถ้าเผื่อว่า เราญาณปัญญาที่สัมผัส ของตนเอง หรือของผู้อื่น ก็พอรู้ได้ โดยเฉพาะ ของตนเองนั่นแหละสำคัญ ของตนเอง มันแท้ จะต้องอ่านให้ชัด มันออกไปอย่างนั้น อย่างนี้ มันก่อมาจากจิตวิญญาณ มันเป็นประธานสิ่งทั้งปวง จิตวิญญาณ มีผีร่วมหรือเปล่า มีผีเข้ามาบงการ มีอำนาจ กิเลสเข้ามาจัดการหรือเปล่า แค่ไหน จะต้องอ่านรู้ ให้เห็นจริง

ประเภทซื่อบื้อ หรือพวกหนูไม่รู้
ยิ่งผู้ใด ยิ่งอยู่ในอารมณ์จริง เรายังมีกามราคะอยู่นี่ มีคู่กรณีอยู่ด้วย สังเกตให้ดีๆ จะรู้เลย พอพูดกับ คนที่ไม่ใช่คู่กรณี ก็พูดบริสุทธิ์ดี ให้เปรียบเทียบให้ดี แต่พอพูดกับคู่กรณี คำพูดเดียวกัน ประโยคเดียวกันแท้ๆ มันชักมีอะไรต่ออะไรแล้ว ไม่บริสุทธิ์เหมือนกัน เพราะในคำพูดนั้น ได้เหยาะ น้ำตาล หรือเหยาะอะไรแฝงปน หรือเหยาะมนต์ขลังอะไรลงไปด้วย พวกเราต้องรู้เอง ต้องอ่าน เอาเอง ถึงจะปราบมันได้ แล้วมันไม่อยู่ที่ใคร อยู่ที่เรานี่แหละตัวร้าย คนอื่น เขาโยนมายืนมานี่ ถ้าจริงๆ มันก็รู้ คนนี้เขาพูดกับเรามานี่ เขาไม่ได้มีภาษาสดๆ บริสุทธิ์ เขาพูดมามีอะไรผสมมาด้วย เราก็รู้ คนเราก็พอฟังออกได้ พอเข้าใจ อ่านออกกันนะ นอกจากพวกซื่อบื้อ เป็นพวกหนูไม่รู้เฉยๆ นั่นก็เป็น อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถึงอย่างไร คนเราก็ต้องมีจนได้ ต้องรู้จนได้ อย่างผู้หญิง ผู้ชาย บางคน บอกเลย เตือนกันนะ เขาจีบ ผู้ชายเขาจีบอีกคนหนึ่ง ก็ไม่ได้ไหวตัวว่า เขาจีบซื่อๆ เขาก็จีบอย่างโน้น อย่างนี้ ส่วนเพื่อนอีกคนหนึ่งเห็นแล้ว เขาจีบเธอ ไม่รู้เหรอ เอ้ ! ไม่เห็นมีอะไร เพราะซื่อบื้อ โอ้โฮ ! เขาอุตส่าห์ ใส่น้ำตาลมา ใส่น้ำผึ้งหวานมา หรือมีอะไรเหยาะมา ก็อาจประมาณไม่พอดี หวานเกินไป มันเลี่ยน เขาก็รู้ทัน เขาก็ไม่กล้าเพราะอาย เขาก็ใส่มาอย่างนี้ เป็นต้น คนที่ไม่ใช่ เจ้าตัวแท้ๆ หรือ ไม่ใช่คู่กรณี ก็เห็นและรู้แล้วว่า เขาเหยาะกามเทพ ผสมลงไปในนั้น ไม่รู้เกสรผสม ลูกศร เกสรดอกไม้ หรือว่าน้ำผึ้งผสมลูกศรมาแล้ว ยิง พรวดๆ มาตั้งหลายทีแล้วนะ เจ้าตัว ไม่รู้หรอก เจ้าตัวจำพวก พุ่มพวง ดวงจันทร์ พวกหนูไม่รู้ ไม่รู้ตัว แต่ว่าคนอื่น เขามองอ่านนี่เห็น ลักษณะพวกนี้อ่านออก รู้ได้ ไม่ใช่ของตัว ก็พอดูได้นะ เราก็เรียนรู้ เป็นโลกวิทู ปรโตโฆสะ หรือ ศึกษาจากอื่น

ระวัง ศรกามเทพเสียบอกตัวเอง
แต่ระวังตัวเอง เวลาผงเข้าตาแล้ว ไม่รู้ตัวแท้ๆ ดีไม่ดีตัวเอง เป็นนักปรุงเสียด้วยซ้ำไป แล้วก็ไม่รู้ว่า ตัวเองปรุงให้เขาไป เพราะมันเกิดกิเลส รากเหง้าของตนเองนี่ ปรุงไปก็เป็นกามเทพทั้งนั้น ลูกศร แต่ละดอก ยิงออกไป พูดวาจาประโยคนั้นประโยคนี้ เยิ้มย้ามไม่รู้ตัวเลย เต็มไปด้วย เกสรดอกไม้ เต็มไปด้วยหยาดน้ำผึ้งของความรัก ของราคะ ไม่รู้ตัวเลย อย่างนี้ เป็นต้น ก็แย่กันพอดี หรือแม้ว่า รับจากเขาก็ไม่รู้ว่า เขายิงลูกศรกามเทพมาตั้งไม่รู้กี่ดอก เสียบอก เอาๆ พอจะรู้ตัว ก็สายเสียแล้ว ดึงไม่ออกหรอก ขืนดึงออกตาย เลยต้องยอมให้ลูกศร มันจุ้มอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องถอด ไม่ต้องถอนกัน พอดี จะไปเหลืออะไร

อาตมาเมื่อยกับมานะของคน
อาตมากลัวกับคนที่มีมานะมากๆ ทำเป็นผยอง ข้าเก่ง ข้าจะต้องปราบได้ ข้าจะจัดการเอง ระวัง กิเลสได้ อาตมาละเมื่อย อาตมายอมแพ้ คนที่มีความดื้อด้าน มีมานะสูงนี่ ยอมแพ้จริงๆ มันไม่ไหวนะ จึงขอเตือนพวกเรา อย่าให้อาตมาต้องเบื่อ ต้องเมื่อย อย่าให้อาตมาต้องยอมแพ้เลย เพราะอาตมาเอง ก็มีกำลังที่จะทำงานกับคนประมาณหนึ่ง ไม่มีกำลังทำงานกับคนๆเดียว อย่าให้อาตมา ต้องเสียพลังงานไปมากเกินไปนัก อาตมาไม่ไหว เบื่อไม่ไหว ก็ต้องวางมือ ต้องปล่อย ไม่ใช่ใจดำ จึงช่วยได้แต่น้อย ช่วยได้ลดลง ถ้าอาตมายังช่วยได้อยู่ ยังพอฟังกัน ยังพอเชื่อกัน ยังตั้งอก ตั้งใจอะไร กันดี ก็เต็มใจช่วย ถ้าไม่ไหวแล้ว พลังนี้ เอามาช่วยอันอื่นที่เขารับได้ดี หรือว่า มันไม่มีแรงต้านมาก ไม่เช่นนั้น มันสูญเปล่ามาก อาตมาจะทำอย่างไร อาตมาก็ไม่มีเวลา ไม่มีแรงงาน ไม่มีอะไรมากเกินไปนะ มันก็มีเท่าที่อาตมามี ก็ช่วยกันได้ เท่าที่จะช่วยได้

ไม่ล่วงละเมิดสิทธิส่วนตัว
อาตมาเชื่อว่า พวกเราจะมาหวังดีต่อกัน ปรารถนาจะมาตั้งหน้าตั้งตา ประพฤติปฏิบัติ ไปสู่ความเจริญ ในเรื่องของกาม เราก็ยังไม่ได้ไว้ใจกันได้ อย่างที่เห็นแหละ หลายคน หลายๆคู่ ก็ว่ากันไปแล้ว ก็เลอะๆ เทอะๆ กันไปแล้ว อาตมาจะทำอย่างไร จะไปบีบบังคับก็ไม่ได้ ตัวใครๆ หวังดีต่อกันเท่านั้น ช่วยกันได้ เท่าที่ช่วยกันได้เท่านั้น ไม่ใช่จะไปช่วยกันเลยเถิด ไปละเมิดสิทธิ ส่วนตัวเขา เกินไปนัก มันไม่ไหว อาตมาก็ต้องเกรงใจนะ เพราะว่าไปละเมิดสิทธิส่วนตัวเกินไป แม้แต่จะเป็น ลูกแท้ๆของเรา เราจะไปละเมิดสิทธิส่วนตัวก็ไม่ได้ ตัวอย่างหนึ่ง ก็มีให้เราดูมา ไม่รู้กี่เรื่องแล้ว พ่อแม่ลูกพอถึงขีดหนึ่งแล้ว ก็ว่าไม่ได้ ลูกก็ซัดให้เท่านั้นเอง ไม่ฟังเสียงแล้ว พ่อก็ตาม แม่ก็ตาม ลูกไม่ฟังอะไร เพราะกิเลสมันขึ้นหน้าบดบังไปหมด ขนาดพ่อแม่ลูก จะช่วยกัน ถือสิทธิ กันออกมาก ก็ยังมาช่วยกันได้แค่นั้น แล้วอาตมาไม่ใช่พ่อแม่จริง จะไปถือสิทธิ เท่าพ่อแม่ จริงเขายังไม่ได้ ก็ต้องรู้ขอบเขต เขาก็ตัวเขา ช่วยได้ก็ช่วยกันได้เท่านั้น อาตมาก็ต้องเกรงใจ อาตมามีหิริ มีโอตตัปปะ จะไปละเมิดส่วนเกิน อะไรเกิน ไปมากมายนัก ทำไม่ได้ แม้พวกคุณ จะมอบสิทธิ์นั้น ให้มากบ้างก็ตาม อาตมาก็ย่อมต้องรู้ตัว ต้องรู้ประมาณ รู้จักการตัด การหยุด การลด ละลาบละล้วงมากเกินไป

ระวัง ! พาหะแห่งราคะ
อาตมาได้เตือนไปแล้วในเรื่องของวาจา ให้ระวังวาจานะ เพราะเราซ่อนแฝงกามไปตามวาจา แม้เป็นกริยาสายตาก็แล้วแต่ กริยากายพวกนี้ ของแต่ละคน ก็ต้องสำรวม สังวรตา สังวรวาจา วาจากรรมนี่ มันซุกซ่อน หรือมันเป็นพาหะๆ แห่งราคะ อย่าว่าแต่ ราคะเลย วาจานี่ มันจะส่อให้เกิด อำนาจอะไร ต่ออะไรไว้ แม้แต่อำนาจให้ขัดเกลากิเลส ในวาจานี่ มีอำนาจ มีลีลาน้ำเสียง สำเนียง มีคารมคมความคำที่ มีฤทธิ์ มันมีแรง มีอารมณ์ มีอะไรต่างๆ ผสมไปด้วยในวาจานี้ เพราะฉะนั้น เราจะปนพิษปนภัยลงไปในวาจาก็ได้ ปนกิเลสลงไป ในนั้นก็ได้ หรือปนคุณค่าของธรรมะ ลงไป ในวาจานั้นก็ได้ วาจาจึงสำคัญ ขอให้ศึกษาสำรวมสังวรวาจากันให้มาก ให้ศึกษาธรรมะจากวาจา ให้ศึกษากิเลส จากวาจา ศึกษากิเลส ไม่ใช่จากคำพูดอย่างเดียว ไม่ใช่คำพูดโดดๆ ตรงๆ เท่านั้น มันเป็นลีลา เป็นเชิง มันมีอะไรต่างๆ ทั้งเสียง ทั้งสำเนียง โวหาร ปนๆซ่อนๆ แฝงๆอยู่ ในนั้นอีกมาก ให้เรียนรู้ ซึ่งได้กล่าวมาข้างต้นไว้แล้ว ถ้าไม่เรียนรู้ เราก็เลยยังไม่รู้ตัว ไม่มีความเฉลียวฉลาด แล้วก็ใช้ เป็นสื่อโดย เป็นพวกหนูไม่รู้ ซื่อบื้อ แท้จริงใช้มันอยู่ แล้วตัวเองก็โง่ ไม่รู้ตัว ใช้ดำเนิน กันทางภาษา ดำเนินกันทางวาจาอยู่นี่แหละ เลยกลายเป็น การบำเรอกามอยู่ใน ทางวาจา

หนึ่งในเมถุนเจ็ด
พระพุทธเจ้าได้สอนเมถุน ๗ กระซิกระซี้ ระริกระรี้ อะไรต่างๆ นานา ไม่ใช่แค่นวดฟั้น นวดฟั้นก็เป็น เมถุน ที่ชัด ที่หยาบอยู่แล้ว

แม้แต่สายตา พระพุทธเจ้า ก็ว่าไว้ในเมถุนเจ็ดนี่ พูดเสียง กระซิกระซี้ หัวเราะเสียงกระซิกกระซี้ ก็เป็น กามเมถุน ในเมถุนทางวาจา ทางสัมผัส นวดฟั้น ทางสายตา ทางสำเนียง เสียงกระซิกระซี้ อย่างไรก็แล้วแต่ เป็นลีลาของทางเสียง สร้างกาม สร้างราคะ ทางคำพูด ทางสำเนีนยง เสียงอะไร ต่างๆนานา ลอดผนัง ลอดฝา ลอดกำแพงไปได้ สมัยนี้ ไม่ใช่ลอดฝา ลอดกำแพงเท่านั้น โทรศัพท์ ข้ามประเทศเลย เสียงพูดถึงกันถึงข้ามประเทศกันได้ ก่อกามกัน บำเรอกามกัน ระหว่างคนหนึ่งอยู่ อเมริกา คนหนึ่งอยู่เมืองไทย ก็ยังบำเรอกาม ด้วยทางเสียงโทรศัพท์กันได้เลยนะ ก็บำเรอกัน ไปได้เรื่อยๆ ยิ่งบำเรอกัน ก็ยิ่งสั่งสมกิเลสมากขึ้น อาตมาคิดว่า ได้เสริม ได้หนุน ได้แนะนำอะไร ชอนไช ขยายความ ในเรื่องเหล่านี้มา กายกริยาหยาบ ก็ให้รู้ หรือไม่หยาบ มันเกิดตามธรรมชาติ หรือมีความจงใจ มีเจตนารมณ์ ก่อเกิดโดยกรรมกริยาที่มีความกำหนัดผสมในกาย กริยา ก็ให้ระวัง สังวร วาจายิ่งสำคัญ วาจานี่ เป็นไปได้โดยที่เรียกว่า ไม่หยาบเหมือนกายกรรม กายกรรมทำ เราเห็นง่าย เพราะรูปหยาบ ส่วนวจีกรรม ดูเหมือนไม่หยาบ แต่ก็มีลักษณะหยาบในตัวของมันเอง คำว่าหยาบ คำนี้คือ ผสมราคะ ผสมโทสะก็ตาม ที่อธิบายมาแล้ว เป็นสายราคะ ก็ให้ระมัดระวัง ภาษาสำเนียง น้ำเสียงวาจาที่เป็นราคะ จะต้องสังวรลดละจริงๆ จนให้เป็นวาจาบริสุทธิ์ เมื่อเป็น วาจาบริสุทธิ์ เราก็จะเป็นนักธรรมะ ที่มีความบริสุทธิ์นั้น

สำหรับวันนี้ เอาแค่นี้ก็พอ

สาธุ


เรียบเรียง โดย คุณชมัยพร จารุชัยมนตรี
พิมพ์โดย สม. นัยนา ๑๗ พ.ย.๓๒
ตรวจทาน ๒ โดย โครงงานถอดเท็ป ๑๘ พ.ย.๓๒
FILE:0360.TAP / เล่ห์กล...กามเทพ