ชีวิตนี้มีปัญหา ตอน ๑ หน้า ๒
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เนื่องในงานพุทธาภิเษก สุดยอดปาฏิหาริย์ของพุทธที่ ๑๔
เมื่อวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๓ ณ พุทธสถาน ศาลีอโศก
(ต่อจากหน้า ๑)


ถาม ถ้าบังเอิญโลกนี้ ถูกระเบิดนิวเคลียร์ แตกสลายหมด คนที่ยังมีบาปกรรม หรือคนที่ยัง ไม่หมดเวรกรรมนี่ เขาจะเกิดมาชดใช้กรรม ในชาติต่อๆไป เขาจะเกิดได้อย่างไรคะ

ตอบ รอจนกว่ามันจะมีสัตวโลกเกิดซิ ที่ถ้าเผื่อว่ามันล้างหมด จนกระทั่งไม่เหลือ จนกว่ามันจะหมด กัมมันตภาพรังสี หมดพิษ อะไรที่จะปล่อย ให้เซลล์ต่างๆ เกิดได้ เกิดมาเป็นคนหงิกๆ ง่อยๆ หรือ เป็นสัตว์หงิกๆ ง่อยๆ เกิดมาอย่างนั้นก่อน จนกว่าสัตว์หงิกๆ ง่อยๆ พัฒนามาเป็นสัตว์ดี แข็งแรง จนกระทั่งดี ค่อยๆ เกิดมา นี่ก็เดาไปอย่างนั้นล่ะนะ ถามอะไรมาเดาๆ ถามให้เดา ก็เดาไปอย่างนั้นแหละ

โดยความจริงแล้ว โลกนี้ มันไม่ใช่พึ่งเกิด มันจะเกิดนิวเคลียร์มาแล้ว หรือไม่ ไม่มีใครรับรู้ มันจะได้ล้างโลก ขึ้นมาด้วยวิธีอะไร ต่างๆ นานา เขาจะเรียกด้วยภาษาโบราณว่า ไฟบัลลัยกัลป์ จะอะไรต่ออะไรต่างหาก เราก็มาตีความ ที่ว่าไปไฟบัลลัยกัลป์ ก็คงจะเป็นภาษาสมัยเก่า ซึ่งภาษา สมัยเก่า โลกเมื่อหลายล้านปี มาแล้ว หรือโลกลูกก่อนๆแล้ว เขามีภาษาในคนในโลกนั้น มันก็คงไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาไทย ไม่ได้เรียกว่าไฟบัลลัยกัลป์ มันจะเรียกว่าทะบรึดบรื๋อ อะไร ก็แล้วแต่ของมันน่ะ มันแปลว่า ไฟบัลลัยกัลป์ ก็แล้ว กัน อะไรยังงี้ มันก็คงจะเป็นอย่างนี้ แหละนะ ไฟบัลลัยกัลป์ ก็คงจะเป็นอย่างนี้ สมัยใหม่ ก็คงจะเป็นจากไอ้นี่แหละ ดอกเห็ด ขึ้นมาได้ ระเบิดปรมาณู อะไรอย่างนี้แหละนะ เรียกว่าไฟบัลลัยกัลป์ ล้างโลกอะไรนี่ มันก็คงอย่างนี้ก็ได้ ไม่มีประวัติศาสตร์บอกเราไว้ เท่านั้นเอง แล้วหมุนๆ เวียนกันมา ไม่มีที่ต้น แล้วก็ยังไม่รู้จักที่ปลาย มันจะไปจบที่ตรงไหน โลกก็แตกแล้วแตกอีก โลกก็เกิดแล้วเกิดอีก มีสิ่งที่หมุนเวียนอยู่ ไม่รู้กี่ล้านๆๆ ๆๆๆปี มันก็ไปของมันอยู่อย่างนี้ โลกหรือว่าดวงดาว ที่อยู่ห่างจากเรานี่ เดินทางอีกไม่รู้กี่ล้านๆ ค่อยถึงโลกลูกโน้น ก็ยังมีอยู่เลย ก็เราก็รู้อยู่แล้วดาราศาสตร์เขาก็รู้นี่ โอ๊ะ กี่ล้านปีแสง ก่อนจะไปปีแสงนี่ มันหมายความว่าอะไร ยังไง เรียกมันน่ะ หมายความว่า แสงมันเดินทางนี่ เป็นปีๆ แล้วแสงมันเดินเร็วเท่าไหร่ มันยังเดินทางตั้งเป็นปีๆ แล้วตั้ง เป็นปีแสง ปีแสงนี่ คุณว่ามันเดินเท่าไหร่ มันกว่าจะถึงโลกลูกนั้น แล้วโลกลูกนั้น มันไกลขนาดไหนล่ะ เรายังไม่รู้จักมันเลย หยุดคิดเถอะ เดี๋ยวหัวจะแตกเปล่าๆ ก็นั่นแหละ ก็คิดดูซิ แสนแปดหมื่นหกพันไมล์ต่อวินาที แล้วนี่ มันเดินทางตั้งเป็น ปีๆ ถึงเรียกว่า หมื่นปีแสง เอ๊อ แล้วคิดดูซิว่า มันไกลขนาดไหน หนึ่งปีแสงนะ พันปีแสง หมื่นปีแสง ล้านปีแสง เมื่อย ไม่ต้องเดินทางหรอก...คุณเกิด คุณตาย อีกกี่ชาติแล้วไม่รู้ ยังไม่ทันถึงเลย ระยะเวลาน่ะ เกินจะคิดนะคุณ เกินจะคิด เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดในเรื่องไม่เข้าท่าเลย อย่าเดาดีกว่า แหม ตอบไม่ได้หรอก ตอบก็เดาๆ สนุกๆกันไปเล่นๆ เท่านั้นเองแหละ

ถาม ความอดทนของพ่อท่าน ขอเคล็ดลับวิธีง่ายๆ หน่อยค่ะ

ตอบ โน่นแน่ะ จะมาล้วงความอดทนของเรา...เอาไปเลย เอาไปเลยน่ะ เอาไปเลย ความอดทน ความอดทนก็คือ การเอาจริงนะ อาตมาว่าไม่ใช่มีเรื่องอะไรอื่น อดทน คือเอาจริง ก่อนอื่น คุณจะทำอะไร จะทำอะไรก็แล้วแต่ ใช่ไหม หรือว่ามีอะไร มากระทบสัมผัสกับเรา แล้วเราจะเอาจริง กับสิ่งนี้ไหม เราจะหลบไปทำไม เมื่อไม่หลบ เราก็เผชิญ เผชิญแล้ว ก็เรียนรู้ มันหนัก เราก็เอาทน มันหนักเราก็พยายาม พยายามเปลี่ยนแปลงให้มันเบา หรือ พยายามเปลี่ยนแปลง ให้มันไม่เป็นเรื่องหนัก ไม่เป็นเรื่องยาก ไม่เป็นเรื่องทำลาย แต่เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงให้ไปสู่ดี เพราะฉะนั้น ความอดทน ก็คือ เป็นความเอาจริงน่ะ เอาจริงกับสิ่งอะไร ก็แล้วแต่ ถ้าเห็นว่าสิ่งนี้ ไม่น่าเปลี่ยนแปลง สิ่งนี้ไม่น่าแก้ไข สิ่งนี้ไม่น่าเผชิญ เราก็เออ เอ้า ไม่ต้องเผชิญ แต่ไม่ใช่ว่า เราไม่อดทน แต่เห็นว่าสิ่งนี้ ๑.ไม่ใช่กาลเวลา ไม่สมควรจะทำ หรือว่า ๒.เราเองเห็นว่า ถึงจะทำ มันก็แพ้แหงๆ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องอดทนหรอก ไม่ต้องไปสู้ ไม่ต้องไปเอาจริงหรอก ถอยเสียก่อน อะไรอย่างนี้ เป็นต้น หรืออะไรเหตุอื่นก็ตาม เราเห็นว่า ไม่สมควรเราก็ไม่ต้องไปสู้ ไม่ต้องไปอด ไม่ต้องไปทนอะไรกับมัน แต่สิ่งใดที่เราจะเอาจริง อันนี้ เราต้องแล้ว ต้องเอาจริงๆอย่างที่ว่านี่ จนให้มันดี จนได้นั่นแหละ นี่ อาตมาอธิบายความหมายภาษาไทยง่ายๆ

เพราะฉะนั้น คุณแน่ชัดแล้วไหมว่า นี่ๆ จะต้องมาทำอย่างนี้นะ นี่ คุณมาปลุกเสกฯ นี่ หรือ มาพุทธาภิเษกนี่ มันร้อน มันจะต้องมานั่งอยู่นี่ โอ๊ บางคน ก็รู้สึกว่า เมื่อไหร่จะจบสักทีวะ จะออกไปเดินแล้ว จะออกไป มันชักเมื่อยแล้วนะ มันชักเบื่อแล้ว มันชักจะเต็มแล้ว มันชักจะไม่รับแล้ว ตอนนี้ แต่คุณก็จะต้องอด คุณก็ต้องทน เพราะมันมีตัวว่า เออ คุณจะเอาจริงยังไง ก็มาเอาแล้วนะ มันไม่มีใคร อะไรเราหรอก เรานี่แหละเป็นตัวเอา ตัวเรา เป็นตัวที่จะมาเอา เราก็มาเอา มันก็ทนไปๆ ทนไป มันก็เป็นความเอาจริง อันนี้ แต่ทีนี้ ถ้าคุณสำนึก ยิ่งกว่าอันนั้น รู้อย่างอาตมารู้ แล้วคุณก็บอก เออ เราต้องเอาจริงสิ คุณก็จะไม่ทรมานกว่า ที่อาตมาพูดไปเมื้อกี้ แต่คนไม่เข้าใจอย่างที่อาตมาพูดนี่ จะรู้สึกทรมานมากกว่า แต่ถ้าเข้าใจมาก อย่างอาตมาเข้าใจ ความทรมานก็น้อยลง ใช่ไหม ความทรมานก็น้อยลง นั่นคือ ความอดทน ทนได้ โดยไม่ต้องทรมาน หรือ ไม่ต้องอึดอัดขัดเคือง ไม่ต้องทนมาก ทนได้ง่าย ทนได้โดยไม่ยาก ทนได้โดยไม่ลำบากขึ้นน่ะ ก็คิดว่า ได้ขยายเป็นภาษาไทย พอสมควรแล้ว

ถาม ทำอย่างไร จึงจะฟังเรื่องเจโตสมถะได้โดยไม่ง่วง

ตอบ โอ อาตมาจะช่วยยังไง... ทำอย่างไร จึงจะฟังเจโตสมถะโดยไม่ง่วง เอ๊ะ ทำยังไง นั่งตัวตรง คอตั้ง (ผู้ฟังหัวเราะ) ลืมตา เหตุที่ง่วง ก็พูดกันถึง ถึงว่า เหตุที่ง่วง ที่มันง่วงนั่น อาตมาก็ว่า

๑.มันฟังไม่รู้เรื่องนะ มันฟังไม่รู้เรื่อง มันก็ โอ๊ย! ป่วยการหนอ นั่งฟังแล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลย มันไม่เกิดรสเกิดชาติ มันก็คงจะต้องง่วง ไอ้จะเดินออกไป ก็ไม่ได้เดิน มันก็นั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ ไปไหนไม่ได้ ก็ไปในภพก็แล้วกัน (ผู้ฟังหัวเราะ) ก็มันนั่งอยู่ตรงนี้ มันยังไปไม่ได้ จะเดินออกไปก็ แหม เพื่อนเขาก็ไม่เดินออกหนอ ก็ถูกมัดมัดนั่งอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น ฟังเจโตสมถะ มันก็แสนจะไม่รู้เรื่อง อาตมาว่า นี่เป็นเหตุใหญ่นะ ที่มันต้องง่วง มันไม่เบิกบาน มันไม่สนุก มันไม่เข้าใจ มันไม่มีรส ไม่มีธรรมรส มันก็เลยต้องง่วง

๒.มันขี้ง่วงจริงๆน่ะ แม้ฟังก็รู้เรื่องดีเหมือนกันนะ แต่ผีง่วงมาแล้ว (ผู้ฟังหัวเราะ) เออ มันก็ง่วง ช่วยไม่ได้แล้วนี่ คุณไปสะสมความขี้ง่วงไว้มากๆ นี่ ช่วยไม่ได้หรอก อาตมาว่า เหตุใหญ่ มันอยู่ ๒ อันนี่ เท่านั้นแหละ เหตุใหญ่อยู่ ๒ อันนี่ มันฟังไม่รู้เรื่อง ไอ้ฟังไม่รู้เรื่อง ก็ต้องพยายามศึกษา ทำให้ตัวเองมีภูมิ ขึ้นมาเรื่อยๆ มารู้ อย่างน้อย มีปริยัติ ฟังรู้เรื่องก็พอไป ยิ่งมีสภาวะรู้เรื่องด้วย แหม ตรงภูมิ ฟังแล้วเข้าใจ แหม ดีจริงๆ มันจะไปง่วงอะไร ขนาดเพลียๆมา ยังต้องเอาเลย คนเรา ขนาดเพลียๆ มันจะต้องง่วง ต้องพัก มันยัง แหม สดชื่น อย่าพึ่ง อย่าพึ่ง ยังไม่ไปนอน ยังจะเอา ยังจะเอานี่ต่อ เพราะมันยินดี มันพอใจที่จะรับ มันไม่ง่วง แต่ถ้ามันง่วง ก็อย่างที่ว่านี่ มันไม่เข้าใจ มันไม่เกิดรส หรือไม่ มันก็ขี้ง่วงจัด ทั้งๆที่มันฟังรู้เรื่อง แต่มันก็ขี้ง่วงจัด ก็อย่าไปสมความขี้ง่วงนั่น ๑..๒. ทำภูมิ ทำฐานของเราขึ้นมาให้สูงพอ ที่จะรับได้น่ะ

ถาม เวลาที่เราอยู่ในหมู่เพื่อนฝูงแล้วรู้สึกด้อยกว่า ทำให้ทุกข์ ทุกครั้งที่พบปะเพื่อนเป็นกลุ่ม จึงไม่อยากจะเจอหน้าใคร เราจะแก้ไขอย่างไร

ตอบ ดีดหัวมานะของเราเองเข้าไปให้มากๆ (ผู้ฟังหัวเราะ) ทำไม ถ้ามันด้อยกว่าเขาจริง ก็ดีแล้ว เราได้มีพี่ๆ เราได้มีผู้ที่จะได้ช่วยอุดหนุนจุนเจือเรา อะไรจะไปทำเป็นเก๊ก เป็นแอ๊ค ทำไม ก็เราด้อยกว่าจริงๆ ถ้าเราไม่ด้อยกว่าจริงๆแล้ว คุณจะไปกลัวเขาทำไม อยู่ในหมู่ไหนๆก็ตาม ถ้าเราไม่ด้อยกว่าเขาจริงๆ จะไปหลบเขาทำไม สงสัยมันจะด้อยกว่าเขาจริงๆล่ะซี แล้วมันอยากใหญ่ มันไม่ได้เชิดหน้าชูตา มันไม่ได้ แหม คู่เคียงกับเขา มันรู้สึกว่า เราด้อย เราน้อย ก็น้อยก่อนซี่ อยู่ดีๆ ก็จะไปใหญ่เลยได้ยังไง แม้น้ำหนักของคุณจะ ๑๐๕ กิโลกรัม (ผู้ฟังหัวเราะ) แต่ภูมิธรรมมันยังด้อยกว่าเขา เราต้องน้อยกว่าเขา ไปก่อนซี มานะ ความอยากใหญ่ ทั้งๆที่ยังไม่ใหญ่ แล้วอยากใหญ่ อยากจะเทียบเท่าเขา อยากจะเสมอเขา อยากจะเด่น เก่งยิ่งกว่าเขา มานะ ดีดหัวมัน ฮื้อ หือ เรื่องอะไร ทำไมมันถึงมานะ มันถือดี ถือเด่ ถือโด่อะไรนัก ทำไมน้อยมั่งไม่ได้ เล็กมั่งไม่ได้เหรอ ทำความเข้าใจพวกนี้ให้ชัดๆ จะทำยังไง ก็แก้ไขเข่นกิเลสมานะ เรานี่แหละ มันอยากเด่น อยากใหญ่ อยากโตอะไรกันนักหนา ด้อยก็ได้นี่นะ ไม่เป็นไรหรอกน่ะ ฯลฯ..

ถาม พ่อท่านครับ ผมอยากถามพ่อท่านว่า วิธีทำให้พ้นทุกข์ มีสุข ทำอย่างไรครับ

ตอบ แหม กำลังทำอยู่นี่ยังไง กำลังพาทำอยู่นี่ไง

ถาม แล้วเวลาพ่อท่านทุกข์ พ่อท่านทำอย่างไรครับ
Š
ตอบ ถ้าอาตมาทุกข์ ปวดส้วม อาตมาก็ไปเข้าส้วม (ผู้ฟังหัวเราะ) ถ้าอาตมาทุกข์ เพราะอากาศ มันร้อน อาตมาก็ไปดูที่เย็นๆหน่อยน่ะ ทุกข์อะไร ถ้าอาตมาทุกข์ เพราะมันปวดท้อง อาตมาก็หายา มากินให้มันบำบัดอาการปวดท้อง หรือแก้เหตุมัน ไปตรวจดูว่า มันเป็นอะไร ก็ถามเวลาพ่อท่านทุกข์ พ่อท่านทำอย่างไร ก็ทำอย่างที่ว่านี่แหละ เป็นต้น หา.. เวลาปวดหัว ก็กินยาแก้ปวดหัว วิธีทำให้พ้นทุกข์ มีสุข ทำอย่างไรครับ
วิธีทำให้พ้นทุกข์ ที่จริงนั้นน่ะ ทุกข์มันมีอยู่ ๒ อย่าง บอกแล้วว่าทุกข์ มันมีทุกข์อริยสัจ กับทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ เราก็เคยเรียนมา แต่ทีนี้ ผู้ถามนี่ คงไม่เคยจะได้เรียนมา ทุกข์ที่มันเลี่ยงไม่ได้นี่ อย่างที่อาตมาบอกแล้วว่า แม้แต่พระอรหันต์ ก็ยังมีทุกข์ ทุกข์ปวดขี้ ปวดเยี่ยว เป็นต้นน่ะ ท่าน เรียกว่า นิพัทธทุกข์ ทุกข์ที่มันเนื่องอยู่กับขันธ์ มันยังมีสภาพที่จะต้องเป็นอย่างนี้อยู่ หรือว่า ทุกข์เพราะอากาศร้อน ทุกข์เพราะร้อนเพราะหนาว มันเป็นนิพัทธทุกข์ มันเลี่ยงไม่ได้ ยังมีขันธ์ ๕ มันยังมีอยู่บ้างน่ะ เราก็แก้ไปตามควรน่ะ หรือ ทุกข์อื่นๆ มันมีหลายทุกข์ เอาละ ไม่อธิบายต่อนะ เราก็เลี่ยงไม่ได้ มันก็แก้ไปตามสภาวะ ที่พอรู้กันนั่นแหละ มันก็ไม่ยากอะไร แต่ที่พระพุทธเจ้า ท่านสอนนั้น ท่านสอนทุกข์อริยสัจ ทุกข์เพราะไปหลงเป็นกิเลส มันมีกิเลสจริงๆ ก็หัดฆ่ากิเลส ทุกข์เพราะโศกเศร้า รำพี้รำพัน อะไรต่างๆนานา ปกิณณกทุกข์ ทุกข์ต่างๆ เป็นต้น หรือทุกข์ สันตาปทุกข์ที่มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นไฟ เป็นเหตุ เป็นต้น น่ะทุกข์ เพราะอะไรอีกล่ะ หา ไม่ใช่วิปากทุกข์ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ที่จะต้องอริยสัจ ๔ นี่ ที่จะต้องปราบให้ได้ ชาตินี้หมดจริงๆ ไม่ใช่เลี่ยงไม่ได้ ได้เลย ชาตินี้ มีวิวาทมูลกทุกข์ มีปกิณณกทุกข์ สันตาปทุกข์ สหคตทุกข์ แล้วก็วิวาทมูลกทุกข์ ๔ แล้ว นอกนั้น สภาวทุกข์ นี่ เลี่ยงไม่ได้ นิพัทธทุกข์ เลี่ยงไม่ได้ พยาธิทุกข์ เลี่ยงไม่ได้ อาหารปริเยฏฐิทุกข์ เลี่ยงไม่ได้ วิปากทุกข์ เลี่ยงไม่ได้ ถ้ามันตามมาถึง แม้แต่พระพุทธเจ้า ยังวิปากทุกข์ วิบากนี่เอง ยังเลี่ยงไม่ได้ ทุกขขันธ์ ๖ นี่เลี่ยงไม่ได้ แต่ ๔ นี่ ทำให้มันหมดทุกข์ไปได้จริงๆเลย เรียกว่า ทุกขอริยสัจ ในชั้นในชาติที่มีชีวิตขันธ์ ๕ อยู่นี่ ทำให้หมดทุกข์ สิ้นทุกข์ นี้ โดยทุกข์เรียกว่า ทุกข์อริยสัจ ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน พ้นทุกข์นี้ได้ ส่วนทุกข์อีก ๖ อย่างนั้น แม้แต่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังพ้นไม่ได้เลย เพราะมันเป็น ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะมันยังเหลือขันธ์ ๕ มันยังมีขันธ์ ๕ นี้อยู่ มันยังมีทุกข์ สิ่งเหล่านี้อยู่นะ เพราะฉะนั้น ก็ปฏิบัติจะหมดได้ ก็ต้องตอบแค่นี้แหละ จะทำยังไง

ก็จะต้องศึกษา เรียนรู้ทุกข์ แล้วก็ดับทุกข์ที่มันดับได้ ในชาติที่มีร่างมีขันธ์อยู่นี่ ส่วนที่เลี่ยงไม่ได้นั้น ก็ไม่มีปัญหา ถ้าตาย ไม่มีขันธ์ ๕ นี้แล้ว พระอรหันต์ ปรินิพพานแล้ว มันก็ไม่มีทุกข์นี้อีกเลย ี เพราะมันมีขันธ์ ถ้า อนุปาทิเสสนิพพานไปแล้ว หมดขันธ์ พระอรหันต์นั้นก็หมดทุกข์ทุกอย่าง แต่ถ้าแม้ทุกข์ ๔ อย่างนี้น่ะ ปกิณณทุกข์ สันตาปทุกข์ สหคตทุกข์ วิวาทมูลกทุกข์ ๔ ทุกข์ นี้ ดับไม่ได้ ในชาตินี้ ตายแล้ว อนุปาทิเสส มันไม่ถึงขั้นอนุปาทิเสสหรอก มัน มันยังเหลืออยู่ อะไรอีก มันก็ยังจะเข้า หยั่งลงสู่ครรภ์ มันยังจะเวียนว่ายตายเกิด มันยังจะมีสังสารวัฏ มันก็ยังจะต้อง มีทุกข์อื่นๆ อยู่อีก แม้ทุกข์ที่จะกลับมามีขันธ์ มันก็จะต้องมีทุกข์อีก เพราะทุกข์....อริยสัจ ๔ อย่างนั้น มันยังดับไม่ได้หมด ยังล้างไม่ได้หมดน่ะ

ถาม การเพ่งจิต คิดถึงใครคนหนึ่ง ด้วยจิตจดจ่ออยู่อย่างเดียว ที่เรียกว่า ใช้กระแสจิตถึงเขา จะเรียกว่า เป็นวิธีการเจโตสมถะหรือไม่ จะมีฤทธิ์ มีแรงอะไรหรือไม่ อย่างไร คนที่เราคิดถึง เขาจะรู้ว่า เราคิดถึงเขาหรือไม่..

ตอบ ถามเอายังไงล่ะนี่ จะเอายังไงน่ะ จะเอาไปใช้ เอาจริงๆจังๆ หรือว่า ถามลองดูเป็นกสิณ หา แหม จะเล่นอย่างนี้เลยนะ หือ มันอยู่กันคนละประเทศหรือยังไง คิดถึงเขา กระแสจิต คิดถึงเขา เพ่งกสิณ อย่างนี้ มันยากนะ เอากสิณใกล้ๆนี้ เอาแค่ต้นเสานี่ก็ได้ เพ่งอะไรใกล้ๆนี่ดีกว่า ไปเพ่ง อะไรถึงปานฉะนั้น กิเลสมันเข้ามาก แบบนั้นน่ะ เพ่งแบบนั้น กิเลสมันเข้ามาก น่ะ จะมีประโยชน์ เขาจะระลึกถึงได้หรือไม่ อะไรต่างๆนานา อู๊ย อย่าไปสร้างเลยนะ มันยากแสนยาก แล้วมันก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่กิเลสจะเสริม ไม่มีบทคำสอนอย่างนี้ไว้ ในพระไตรปิฎกเลยให้คิดถึงเขา เป็นกสิณ นี่น่ะ พระพุทธโฆษาจารย์ ยังไม่นับเข้าไว้ในพุทธ ในวิธีกสิณ ๔๐ เลย ไม่มีเลย ในวิธีทำสมาธิ ๔๐ ยังไม่มีเลยน่ะ อย่าไปทำเลยนะ อาตมาไม่ตอบอะไรมากล่ะ...

ถาม ที่พ่อท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าสว่างโปร่ง และโล่ง ที่สุดสองครั้ง ครั้งแรกตอนตรัสรู้ และครั้งหลัง ตอนปลงอายุสังขารนั้น ถ้าดูการปฏิบัติตน ของพระพุทธองค์ จะเห็นว่าหลังการตรัสรู้ และการปลงอายุสังขาร พระองค์ก็ยังคงเผยแผ่ธรรมะ และโปรดสัตว์เหมือนกัน แสดงว่า สภาวจิต ในการทำงาน ๒ ครั้ง แตกต่างกัน ใช่หรือไม่

ตอบ พระองค์ยังคงเผยแผ่.. ท่านไม่ได้เผยแผ่แล้ว ท่านปลงอายุสังขารแล้ว ท่านไม่ได้เผยแผ่ อีกแล้ว ไม่ได้เผยแพร่ ไม่ได้ทำ ท่านวางแล้ว งาน มันก็ดำเนินการไปแล้ว มันมีวงสงฆ์ มีองค์การสงฆ์ มันมีศาสนา มันมีครบ พุทธบริษัท ๔ มันดำเนินไปแล้ว ท่านไม่แล้ว ท่านก็ปลดเกษียณแล้ว ท่านปลดเกษียณ ท่านเลิกงาน ท่านมอบงานหมดแล้ว ไม่ได้มอบเป็นพิธีนะ แต่ท่านวางงานแล้ว ที่มีสุภัททะหนุ่มมารบกวนท่าน ตอนที่ท่านจะปรินิพพานนั้นน่ะ เป็นเรื่องสุดวิสัย เป็นเรื่องของนิมิตอันหนึ่ง ที่เป็นนิมิตหมาย เป็นตัวแสดงถึงสภาวะสิ่งที่เป็นพระ มหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่จะแสดง เป็นนิมิตหมายอันหนึ่ง ไว้สำหรับเป็น ประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งหนึ่ง ของพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง ให้เห็นว่า ท่านมีพระมหากรุณา อันหาที่สุดมิได้ ทั้งๆที่ปลงอายุสังขาร เลิก วางมือทุกอย่างแล้ว แต่คนก็ ยังมาเซ้าซี้ ท่านก็ยังมีพระมหากรุณา ซึ่งท่านจะวาง ท่านจะไม่รับ ท่านจะไม่ทำ ก็ไม่มีความผิดอะไร แล้วมันก็ไม่เป็นความผิดด้วยซ้ำไป พระอานนท์ยังบอกว่า จะไปกวนท่านทำไม ท่านจะปรินิพพานแล้ว ท่านก็ยังอุตส่าห์ทำนั่นน่ะ ท่านไม่ได้มีความปรารถนาแล้ว ไม่มีความต้องการ ไม่อยาก ไม่ได้มีวิภวตัณหาอะไร เป็นแต่เพียง ยกจิตขึ้นอนุเคราะห์เขาเท่านั้นเอง ช่วงเดียว อันเดียว เป็นนิมิต เป็นประวัติศาสตร์ และเป็นสภาวะ ที่จะเกิดขึ้นมารองรับ สิ่งแสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณ ของพระพุทธเจ้าเท่านั้นเองน่ะ ท่านไม่ได้ไปเผยแผ่ เผยแพร่อะไร คุณเอาอะไร มาจากไหนมาถาม แสดงว่าสภาวจิตในการทำงาน ๒ ครั้ง ไม่ใช่การทำงาน ที่อาตมาพูด ไม่ได้พูดถึงการทำงาน อาตมาพูดถึงว่า ท่านตรัสว่า จิตของท่าน โปร่ง ว่าง ในขณะที่เสวยวิหารธรรม ที่ว่าโปร่งว่างที่สุด ที่ท่านตรัสบอกพระอานนท์ให้ทราบว่า จิตที่ว่าง จิตที่เราว่าง ปลง ปล่อย วาง ที่เป็นจิตที่สบายที่สุด นี่ โปร่ง สุข สบาย อาตมาจำไม่ได้ว่า เขาใช้คำสำนวนว่ายังไงนะ ถ้าใครอ่านพบ ก็ลองเอาสำนวนมาดู อันนั้นน่ะ มีอยู่ ๒ ครั้ง ครั้งที่ตรัสรู้ใหม่ๆ มันวาง มันไม่ได้ตั้งจิตอะไร ความเป็นจริงก็คือว่า มันไม่มีตัณหาอะไรเลย พอเริ่มต้น ตั้งจิตที่จะสร้างศาสนา จะทำงานศาสนาปึ๊บขึ้นมา พอพระพรหม พระสหัมบดีพรหม อาราธนา นี่ พูดเป็นบุคลาธิษฐาน อาราธนาแล้ว ท่านรับคำ ท่านตั้งใจจะทำ นั่นคือ ท่านตั้งวิภวตัณหาขึ้นแล้ว ตอนนั้น มันว่าง มันโปร่ง เพราะมันไม่มีตัณหาใดๆ เลย วิภวตัณหาใดๆ ก็ไม่มี ตอนนั้น ชั่วแว็บเท่าเหยียดแขนออก คู้แขนเข้า เสวยวิหารธรรมนิดเดียว ตอนนั้น เสร็จแล้ว ก็ตั้งใจขึ้น เอ้า ใช่แล้ว หน้าที่ของพระพุทธเจ้า ขืนไม่ทำให้โลก ฉิบหาย ท่านก็ตั้งวิภวตัณหา เจตนามุ่งหมายขึ้นมา แล้วตั้งศาสนา

พอตั้งขึ้นแล้ว ท่านก็มีนิมิตเป็นเครื่องหมายแสดงอีกล่ะ เหมือนพระสุภัททะ พระสุภัททะนั่น เป็นบุคลาธิษฐาน แต่อันนี้เป็นธรรมาธิษฐาน แต่เขาก็อธิบายเป็นบุคลาธิษฐานเหมือนกันนะ มีมารเข้ามาถึง ก็มาบอก นี่ท่านสมณโคดม รีบตายซะ น่ะ บอก อาราธนาให้ตาย ตรัสรู้แล้วนี่ ตายเสียซิ น่ะ พระพุทธเจ้าก็บอก ยังมาร เรายังไม่ตาย จนกว่าเราจะได้สร้างพุทธบริษัทให้มีภิกษุ ภิกษุณี และอุบาสก อุบาสิกา แต่ละฐานะนี้ จะต้องอาจหาญ แกล้วกล้า บอกแสดงบัญญัติอะไร จนข่มปรับปวาทะ อะไรต่างๆนานา ทั้ง ๔ ฐานะนี้ให้สมบูรณ์เสียก่อน เราถึงจะตาย บอกมาร มันก็เป็นนิมิตเท่านั้น ตั้งแต่บัดนั้นล่ะ เริ่มมีวิภวตัณหา มันไม่ว่าง ไม่โปร่ง ไม่เบา เท่าที่ตอนที่ ท่านไม่มีวิภวตัณหา เพราะฉะนั้น ตัณหานี่ เป็นความหนัก เป็นความทุกข์ชนิดหนึ่ง แต่เป็น อาหารปริเยฏฐิทุกข์ เป็นทุกข์ที่อาศัยอย่างรู้ๆ พระอริยเจ้า หรือพระพุทธเจ้า ก็รู้อยู่ว่า เราจะสร้าง คุณค่า จะทำอะไรที่ให้ประโยชน์ได้บ้าง เป็นความช่วยเหลือ โลกมนุษย์น่ะ เป็นพระโลกนาถ ท่านก็ทำหน้าที่พระโลกนาถ อย่างพระอริยเจ้า หรือพระอรหันต์เจ้า ก็ทำหน้าที่ของ โลกานุกัมปายะ เป็นการอนุเคราะห์โลก ก็ทำเป็นหน้าที่ เป็นความวิเศษของมนุษย์ ที่จะมี เป็นความประเสริฐ ของมนุษย์ ก็ทรงความประเสริฐ ทรงหน้าที่ ความประเสริฐนั้นของมนุษย์ให้จนกว่าจะดับขันธ์ ทรงหน้าที่นั้น ทำหน้าที่นั้น ให้เต็มที่ ไปจนจบชีวิตเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านเมื่อปลงอายุสังขารอีกครั้งหนึ่ง บอก เอ้า เสร็จแล้ว สมบูรณ์แล้ว มารมีนิมิตอีก มาอีกครั้งหนึ่ง ตายๆๆตายซิ มีแล้วนี่ พุทธบริษัทมีพร้อมแล้ว แล้วก็เป็นอย่างที่ว่าแล้ว เท่าที่ตอนที่บอกไว้ ตอนแรก น่ะ บอกว่า ให้ภิกษุนี่ ให้พรั่งพร้อม แกล้วกล้าอาจหาญอะไร จนกระทั่งสมบูรณ์ อย่างนี้ ภิกษุณีก็มี อุบาสกก็มีแล้ว อุบาสิกาก็มีแล้ว ตายได้แล้ว เอาตกลงมาร ตาย แล้วท่านก็รับคำมาร แล้วก็ปลงอายุสังขาร พอปลงอายุสังขารแล้ว ก็ปลงเลย หมดความปรารถนา หรือต้องการอีก ไม่มีตัณหา แม้จะเป็นตัณหาอุดมการณ์อะไรอีก ท่านก็ปลง

เพราะฉะนั้น จิตก็หมดอะไรลงไป หมดตัณหาลงไป มันก็ว่าง มันก็เบา มันก็โปร่ง นี่เป็นสัจจะ เถียงไม่ได้ โดยบัญญัติภาษา โดยเหตุผล อาตมาบอกได้ คุณก็เข้าใจ แล้วความจริงที่ท่านเป็นอย่างนั้น ก็ท่านเป็นอย่างนั้น ท่านทำอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร แต่ลึกซึ้งเท่านั้นเอง เห็นไหม ฟังดู ก็รู้น่ะ ท่านอยู่อย่างไร โอ้โห อยากรู้ ท่านอยู่อย่างไร ท่านจะอยู่อย่างไร ปรินิพพาน ท่านก็เดินไปกุสินาราเท่านั้นเอง หา... ก็ท่านไม่ได้ทำอะไร ท่านไปกับพระอานนท์ ท่านไปกุสินารา ท่านจะไปตายที่กุสินารา ท่านก็พากันเดินไป ถึงตรงนั้น ท่านก็บอก นี่นะ ท่านก็เล่าไอ้โน่น ไอ้นี่ ให้พระอานนท์ไปเรื่อยๆ ยังไง ในพระไตรปิฎกที่เขา เรียบเรียงไว้ ไอ้โน่น ไอ้นี่ ท่านก็ว่าไป จนกระทั่งไปถึงกุสินารา ถึงที่นี่แล้ว เอ้า เธอ ปูผ้าลง เราจะนอนเป็นครั้งสุดท้าย เราจะไม่ลุกขึ้นมาอีกแล้ว ท่านก็บอกพระอานนท์ พระอานนท์ก็ปูผ้าให้ ท่านก็ลงนอนเอง ตั้งแต่นั้นก็ไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย ปรินิพพาน ตรงนั้น...

ถาม ที่พ่อท่านบอกว่า อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ประสพเวทนา แต่ไม่เสวยเวทนาทางใจ แล้วกรณีของนางวิสาขา ซึ่งเป็นโสดาบัน ที่พ่อท่านบอกว่า หลานตายร้องไห้คร่ำครวญนั้น ทำให้ไม่ค่อยกระจ่างเท่าใดค่ะ

ตอบ ก็ โถ โสดาบันก็ยังมีทุกข์ ยังมีกิเลสอยู่ตั้งเป็นไหนๆ ยังมีตัวกูของกู ก็หลานของกู ก็ถึงร้องไห้ อยู่น่ะซี โสดาบัน ไม่ได้มีความหมดกิเลสอะไรพอ... นี่แหละ เข้าใจผิด นึกว่าพระโสดาบันนี่ ยิ่งใหญ่ โอ๊ จะไม่ทุกข์อะไร ไม่ทุกข์ได้ยังไง เสวยทุกข์ทางใจอยู่ด้วย พระโสดาบันแค่นั้น มีกิเลสอยู่ตั้ง ซึ่งไม่ใช่น้อยๆน่ะ ต้องเข้าใจให้ดีน่ะ เข้าใจพระโสดา สกิทา อนาคาให้ดี อย่าไปเข้าใจผิดว่า พระโสดาบัน ไม่มีทุกข์ทางใจเลย ไม่ใช่ ยังทุกข์ทางใจอยู่อีกตั้งเยอะ พระโสดาบันน่ะ เพราะว่า ยังมีกิเลสอยู่อีกตั้งหลายเยอะ ไม่ใช่น้อยๆน่ะ

ถาม ดิฉันทานมังสวิรัติ ปฏิบัติธรรมมา ๔ ปี สามีและลูกที่บ้านยังกินเนื้ออยู่ ดิฉันจำเป็นต้องซื้อเนื้อ มาประกอบอาหารให้เขา ตามหน้าที่ของภรรยา เพื่อไม่ให้บกพร่อง อยากจะเรียนถามพ่อท่านว่า บาปจากการที่ซื้อเนื้อสัตว์ (โดยจิตลึกๆ ไม่มีเจตนาจะสนับสนุน ให้มีการกิน การฆ่าเลย) จะบาปมากขนาดไหน วิบากจะเป็นอย่างไรค่ะ เราจำเป็นต้องทำตามหน้าที่ภรรยาที่ดี กุศลกรรม ส่วนนี้ จะมีผลทำให้วิบากกรรมเบาบางลงได้บ้างไหม ?

ตอบ เจตนาน่ะ มีเจตนาเป็นหลัก พระพุทธเจ้าถึงว่า จะเป็นกุศล หรือไม่เป็นอกุศลอะไรนี่ เจตนาเป็นหลัก ท่านถึงบอกให้ดูที่เจตนา กุศลและอกุศล ที่มีเจตนาจริงๆ ถ้าจะเป็นอกุศลมากๆ ก็เพราะว่า มีเจตนามากๆ เจตนานี่ ทำทั้งๆที่ มันไม่ดี มันไม่ดีแล้วก็ไปเจตนานี่ เราไม่เจตนาเลย แต่เลี่ยงไม่ได้ ไม่มีความประสงค์ มันจำเป็น มันสุดวิสัย เพราะคุณมีวิบากอย่างนั้น ก็ต้องรับวิบาก นั้นไป ก็มีบาป จะบอกว่าไม่บาปไม่ได้ มันก็มีวิบากของมันตามควร แต่มันก็ไม่แรงเท่าที่ มีเจตนาด้วยอารมณ์ของโลภ โกรธ หลง ที่รุนแรง หรือด้วยความหลงจริงๆ แล้วก็เลอะๆเทอะๆ แล้วก็ทำอย่างโง่ๆ งมๆงายๆจริงๆ นี่เราก็รู้อยู่ แต่เราเลี่ยงไม่ได้ มันสุดวิสัย ก็จำเป็นต้องทำ มันก็มีบ้าง แต่มันก็ไม่ได้มีน้ำหนักอะไร แต่คุณเอง ถ้าคุณไม่ทำให้ดี ถ้าจะบอกว่าบุญ เป็นกุศล ที่เป็นภรรยาที่ดี แล้วทำหน้าที่อย่างนั้น อาตมาก็ว่าบุญมี อาตมาว่าบุญมี มากกว่าบาปอยู่เหมือนกัน ล่ะนะ แต่นั่นแหละ คุณมายกตายตัว จะเอาคำตอบอาตมานี่ ไปเป็นตายตัว แล้วก็ไปอ้างอย่างนี้ ทีเดียว ก็ไม่ได้ เพราะว่า แค่ซื้อเนื้อสัตว์มาทำอาหารนี่ มันไม่ใช่กรรมมันหนักเกินไป อะไรนักน่ะ แต่ว่า บางทีนี่ คุณจำยอม แล้วคุณไปเห็นแก่ ลาภ ยศ เห็นแก่อะไร แล้วก็บอกว่านี่ รู้อยู่ แต่ว่าจำเป็น จะต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน เสร็จแล้ว คุณก็ต้องไปทำกรรมที่มันเป็นบาป อะไรที่มันมากกว่านี้ จัดจ้านกว่าที่อาตมาพูดนี่ ไม่ได้ เพราะว่าต่างกรรม ต่างน้ำหนัก ต่างเหตุปัจจัย มันไม่ได้

เพราะฉะนั้น การที่ยังไปซื้อมาอยู่นี่ คุณก็จำเป็น คุณก็ต้องทำอยู่ แต่ถ้าคุณฉลาด คุณก็ต้องพยายามซี พยายามทำอะไรที่มัน โถ ! แค่เป็นอาตมานี่ ทำมังสวิรัติให้กินกันทุกวันน่ะ แต่มันก็ปนๆ ปลอมๆ อะไรลงไปมั่ง อะไร เขาไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก ให้อร่อยเข้าไว้เท่านั้น จะไปรู้อะไร กันนักกันหนา ไม่ต้องไปบอกไปเบิกอะไรก็ได้นี่ เราก็ทำไป ค่อยๆทำไป คนที่ฉลาดๆในธรรม จนกระทั่งสุดท้าย ก็กินมังสวิรัติไปเลยจริงๆ มันมีอยู่ตั้งหลายเจ้า พยายามคบหากันดูซี ใครเคยมี กลเม็ดเด็ดพรายยังไงมั่ง แล้วก็ลองดูซี แล้วก็ถ้าฉลาด เราก็สามารถที่จะ ชนะได้นะ หรือเรามี คุณความดีหลายๆประการ ที่จะกระทำให้เขาจนกระทั่งเข้าใจ และเห็นใจ แล้วเราก็ทำได้ จนไม่ต้อง ไปมีส่วนที่เราจะต้องข้องใจสงสัยว่า เรายังเป็นส่วนแห่งบาป แม้จะเล็กจะน้อยก็ตามน่ะ ก็ทำได้

ถาม แม่ของสามีดิฉันเป็นคนชอบโกหกมากๆ ใส่ร้ายคนก็ชำนาญมาก จนคนในบ้านอยู่ไม่เป็นสุข ดิฉันเคยเอามาเลี้ยงดูอยู่ ๑ ปี ทำให้คนเดือดร้อนไปทั้งบ้าน

ตอบ มันก็น่าอยู่หรอก แล้วชอบโกหกด้วย แล้วก็ใส่ร้ายคนก็ชำนาญด้วย ก็คงเอามาเลี้ยงดู ก็คงเดือดร้อน ถ้าที่นี่ ถ้ามีคนอย่างนั้นบ้าง เดือดร้อนจริงๆนะ ไม่เลี้ยงน่ะ คนอย่างนี้ ไม่เอาน่ะ ชอบอะไรไม่ชอบ ชอบโกหก แล้วชำนาญอะไรไม่ชำนาญ ไปชำนาญการใส่ร้ายคนเสียอีก ชำนาญเข้าท่าหน่อยก็ไม่ได้ แบบนี้ เอามาเลี้ยงก็ทุกข์แน่ วุ่นวายแน่ ครอบครัวไหน ก็ครอบครัวนั้นแหละ วุ่นวายแน่

ถาม ดิฉันควรจะรับมาอยู่อีกหรือไม่ ?

ตอบ ไม่เข็ดก็เอาซิ ก็รู้ทั้งรู้ ไม่เข็ดก็เอาซิ

Šถาม (สามีอยากให้มาอยู่ค่ะ) ถ้ามาอยู่จริงๆ ลูกๆและคนใช้ บอกว่า จะไม่อยู่ด้วย

ตอบ ก็เลือกเอา จะเอาแม่สามี หรือเอาลูกแล้วก็หลายๆคนที่อยู่ด้วย จะเอา เลือกเอาหลายๆคน หรือจะเอาเลือกใคร ถ้าเอาแม่สามีมา คนเหล่านี้ บอกจะไม่อยู่ด้วย จะเอาคนเหล่านี้อยู่ หรือจะเอาแม่สามีอยู่ ก็เลือกเอาน่ะ แล้วแต่ท่านชอบ

ถาม พระโสดาบัน จะมีโอกาสทำอาบัติหนักขั้นปาราชิกได้หรือไม่

ตอบ พระโสดาบัน จะมีโอกาสอาบัติหนักขั้นปาราชิกไม่ได้น่ะ

ถาม ขอกรรมฐานในการล้างอุปาทาน ความกลัวต่อความเจ็บ และบาดแผลของตัวเองด้วยค่ะ ปูมหลัง
๑. ดิฉันมีดบาดลึกที่นิ้วด้วยความเจ็บปวด ใจหาย บอก ว่า แย่แล้ว ก็เลยเป็นลม หัวไปพาดขอบโต๊ะ
(พาดมั้ง นี่เขียนตัว พ.พาน) ได้หัวแตกอีก แผลหายช้ากว่าแผลที่นิ้วเสียอีก
๒.
มีดบาดอีก ๒ ครั้ง ก็มีอาการหน้ามืด จะเป็นลม เพราะใจมันหาย ยังไงชอบกล
(
ตอบ เพราะคุณไปตกใจ ไปสร้างสภาวภพ การผวา ฝากไว้ แต่ก่อน)
๓.ไปตรวจเลือด ถูกสูบเลือดไปหลอดใหญ่ ก็หน้ามืดเป็นลมไปอีก แหม ถ้าเป็นแผลอื่นๆ ก็ใจเสียอีกต่างหาก
(ตอบ แน่ะ มีใจเสียอีกต่างหากนะ)
เวลาโดนปุ๊บ ใจมันชอบแว่บขึ้นมาว่า แย่แน่ๆ ทุกที เป็นวส
(ตอบ หน็อย วสี แปลว่า อำนาจ วสีแปลว่า ความแคล่วคล่องชำนาญนะ วสีนี่ แปลโดยภาษา ภาษาอังกฤษว่า Skill ทักษะ วสี)
ถ้ามีสติ ก็จะบอกตนว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไกลหัวใจน่ะ
(
ตอบ ในหัวใจเขียนเป็นรูปหัวใจเสียด้วยนะ ไม่เขียนตัวหนังสือเสียด้วยนะ แหม)
แล้วนึกถึงคนที่เขาเป็นอะไรมากกว่านี้ เขายังไม่เป็นอะไรเลย แต่จิตใต้สำนึก มันก็กลัวอยู่ จะถามว่ากลัวตาย ก็ไม่เชิง แต่รู้สึกว่า มันกลัวที่จะเจ็บ และพิการมากกว่า เวลานึกถึงอุบัติเหตุอื่นๆ ก็เช่นกัน พ่อท่านคะ ช่วยให้คลี่คลายใจ แล้วให้กรรมฐานดิฉันด้วยค่ะ ดิฉันกลัวจะตายก่อนแก่ โดยเหตุผลอันไม่สมควร

ตอบ มันเป็นอุปาทานนะ อันนี้ ต้องพิจารณาความจริงนะ คุณจะต้องไปพยายามพิจารณาอสุภะ พยายามไปปรุงศพน่ะ ไปปรุงเลือด ไปปรุงความตาย ไปปรุงความ...ผู้เขาตาย ผู้อย่างโน้นอย่างนี้ ลองพยายามไปๆ ปลงๆอย่างนั้นแหละ ไปปลงสภาพพวกนั้นมากๆขึ้นหน่อย วิธีแก้ แล้วคุณจะรู้สึก วางใจได้ เหมือนหมอนี่นะ การเรียนหมอนี่ ใหม่ๆนี่นะ เขาเป็นนะบางคน หมอนี่ พยาบาลก็ตาม พอไปเห็นผ่าตัด ไปเห็นเลือด ไปเห็นอะไร เป็นหมอ และพยาบาล บางคนนะเป็น พอเรียนไป เรียนไป ก็พยายามชินชา ทำอะไรๆไป หนักเข้าก็หาย หาย ถ้าไม่หาย มันก็เรียนต่อไม่ได้ล่ะ หมอ หรือพยาบาลนี่ มันต้องเจอพวกนี้ ถ้าไม่หาย มันก็เรียนต่อไม่ได้ ต่อไปก็หาย อันนั้น เป็นวิธีที่ เขาไม่ได้เรียนทางจิตด้วยซ้ำไป เขาเรียนทางแพทย์ ทางอะไรพวกนี้ เขาก็ยังรักษาหายได้

เพราะฉะนั้น เราเรียนทางจิตด้วย ไปเลย ไปปลง ไปพยายามพิจารณาดีๆ มันช่วยไม่ได้ตอนแรก ช่างมัน เราปลงไว้ก่อน หรือว่าทำไปก่อน ทำอีก ต้องทำ ต้องวางใจ พิจารณาให้ได้ มันเป็นเรื่องธรรมดา เห็นเลือดก็ไม่ได้ แบบนี้นี่ มันเกินไป ถูกมีดบาด ก็บาดไปซี มันจะเกิดอย่างนี้ ก็พยายามอย่าให้มันบาด ถ้ามันบาด มันก็สุดวิสัย ก็เป็นไป มันจะต้องบาด ต้องเจ็บ ต้องอย่างโน้น อย่างนี้ก็เป็นไป แต่เสร็จแล้ว เราไปเห็นว่า เรากลัวมันว่า มันเป็นอย่างนี้ มันน่ากลัว มันไม่ใช่น่ากลัว ไอ้นั่น เท่านั้นหรอก มันกลัวไปถึงว่า ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว มันเป็นสภาพที่มันปรุงไว้ในใจแล้วว่า โอ เป็นอย่างนี้แล้วนี่ ประเดี๋ยวมันก็ตายหนอ เดี๋ยวมันก็ตายหนอ นั่นอย่างหนึ่ง อันนั้นล่ะ เป็นตัวหนัก ที่จริงนั่นนะ เขาสูบเลือดออก ที่บอกว่า สูบเลือดออกหลอดใหญ่ๆ มันไม่ได้เจ็บอะไรหรอกนะ ที่จริงน่ะ มันไม่ได้เจ็บ แต่มันก็เป็นลมได้อีกเหมือนกัน มันกลัวตายน่ะ มันไม่ได้เจ็บ ไม่ใช่กลัวเจ็บ ไม่ใช่กลัวเจ็บ ถึงแม้ว่า เป็นลมเมื่อมีดบาด มันบาดไอ้ตอนบาดนั่น มันเจ็บ แต่ที่เป็นลมนี่ มันหายจาก มันเลยเขตเจ็บมาแล้วนะ มันเลยไอ้ตอนบาดแล้วนะ แล้วมันก็มาเป็นลม เพราะมัน กลัวเลือด มันกลัวตาย มันไม่ใช่กลัวเจ็บ เพราะฉะนั้น จึงไปพิจารณาความตายนั้นให้มากว่า ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แล้วเลือดออกแค่นั้น ยังไม่ตายง่ายๆ หรอก

เขาเคยพิสูจน์ ใครเคยอ่านมามั่ง เขาเอาคนที่มาบอกว่านะ จะเอาเลือดออกจากตัวนะ แต่จริงๆ เขาทำสายต่อมา แล้วก็บอก เอาสายโยงออกไปให้หยด ให้ได้ยินเสียงดังติ๋งๆๆ แต่เปล่า เขาไม่ได้เอาเลือดออกเลย เขาเอาน้ำไปหลอกหยด เขาลองดู ไอ้คนนี้ตายแน่ะ (ผู้ฟังหัวเราะ) พอรุ่งขึ้นตาย เลือดไม่ได้ออกสักหยด น่ะ ตาย เขานึกว่าตาย เลือดเราหมดแล้ว โอย มันออกมานี่ ๑ ถัง ๒ ถัง ๓ ถัง ๔ ถัง (ผู้ฟังหัวเราะ) ตายดีกว่า ตาย เขาได้พิสูจน์แล้ว เขามี เขาพิสูจน์ แล้วตายได้น่ะ มันไม่ได้เลือดออกเลย นั่นมันตาย เพราะมันกลัวตาย แล้วมันก็เลยตาย ระวังจะตาย โดยที่ไม่สมควรจะตายนะ ถ้าไม่รีบปรับปรุง แก้ไขความรู้สึกเข้า ที่ถูกต้อง ประเดี๋ยวจะตายเอา อย่างคนนี้เอานะ ทั้งๆที่เลือด ไม่ออกสักหน่อยเลย ตายเลย มันไม่น่ากลัวหรอก ไปพิจารณาถึง ความตาย ไปปลง ไปปลงคนตายให้มากๆ เห็นคนตาย คนเจ็บ เข้าไปปลงเข้า เห็นคนที่ได้รับ อุบัติเหตุ ไอ้โน่น ไอ้นี่ ก็เข้าไป พยายามสังเกตดู พยายาม มันเป็นก็รีบรักษาก็แล้วกัน มันเป็นลม เป็นอะไร สู้ไม่ได้ ตอนแรกๆ ก็ปรับไป แล้วพิจารณาหาเหตุผล ให้ได้จริงๆ คนมันไม่ได้ตายง่าย นักหรอก แค่เลือดออกแค่นั้น จะไปกลัวอะไรนักหนาล่ะ ตาย ใช่ ตั้งจิตอุปาทาน อุปาทาน แล้วตายด้วยอุปาทานแท้ๆ มันเลือดออกหมดแล้ว ตาย เลยตายเลย จริงๆ มันไม่ได้ออกเสียหน่อย

ถาม พ่อท่านมีญาณกี่ชนิดครับ อะไรบ้าง ตอบให้ละเอียดหน่อยครับ (ตอบ โอ๋ย ละเอียดอะไร ๔ โมง ๑๐ กว่านาทีแล้ว)
๒.ทำอย่างไร จึงจะละตัวตนโดยสิ้นเชิง ผมยังมีมานะ และความ ฟุ้งซ่านอยู่มากครับ
๓.สัพพัญญุตญาณ ทศพลญาณ คืออะไรครับ

ตอบ โอ้โห ถามแต่ละหมัด แต่ละหมัดนี่ ต้องอธิบายกันคนละ ๓ วัน ๗ วัน นี่ โอ้ ตอบไม่ไหว หรอกนะ ต้องตอบตีหัวเข้าบ้านชัดๆ ไม่ใช่ชัดๆหรอก สั้นๆ อาตมามีญาณกี่ชนิด ไม่เคยนับ ไม่เคยไล่ ไม่เคยดูละเอียด ว่าญาณชนิดไหนบ้าง ญาณนี่ ท่านนับเอาไว้ ที่เราจะต้องใช้เป็นญาณ ญาณอื่นๆ มันไม่มีปัญหาอะไรหรอก ญาณอันอื่น ท่านไม่นับว่าเป็นวิชา หรือเป็นญาณทัสสนวิเศษ อาตมานับเอาญาณ ก็นับเอาญาณทัสสนวิเศษ ก็มีญาณชนิด ๙ ญาณ ของพระพุทธเจ้านี่ เท่านั้นแหละ จะกี่ชนิดก็ ๙ ญาณ นี่ ฌาน ฌาน ย่อมประกอบด้วยญาณ อาตมาจึงนับฌาน เป็นญาณด้วย ที่ใดมีฌาน ไม่มีญาณ ที่นั่นไม่ใช่ฌาน ที่ใดมีญาณ ที่มีฌานอันนั้นแหละ เป็นประโยชน์คุณค่า ญาณที่มีฌานนะ

เพราะฉะนั้น มันจะเป็นบาทฐาน ในญาณที่เป็นฌาน ที่ใดมีฌานที่นั่นมีญาณ น่ะจึงจะนับเป็นฌานที่แท้ ๒. ก็ญาณต่อๆไปเรื่อยๆ วิปัสสนาญาณ หรือญาณทัสสนะ อย่างสายของพระพุทธเจ้า วิปัสสนาญาณ ญาณอย่างวิปัสสนา นี่ญาณของพระพุทธเจ้า มีญาณ

๑.ฌาน
๒.ญาณ
๓.มโนมยิทธิ
๔.อิทธิวิธี
๕.โสตทิพย์
๖.เจโตปริยญาณ
๗.บุพเพนิวาสานุสติญาณ
๘.จุตูปปาตญาณ
๙.อาสวักขยญาณ

แล้วอย่าพึ่งคิดว่า อาตมาเป็นอรหันต์ล่ะน่ะ อาสวักขยญาณ มีได้ แม้ใน โสดา สกิทา อะไรก็มีได้น่ะ ญาณ ๙ ญาณนี่ อาตมามีน่ะ นี่ก็ตอบคุณได้อย่างนี้ ตอบละเอียดลออ อะไรมากมายกว่านี้ ไม่ไหวหรอกน่ะ ถ้าญาณ อย่างอื่นไม่เอาหรอก ญาณ(ยาน)โตงเตง ยังอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่เอา

ถาม ทำอย่างไร จึงจะละตัวตนโดยสิ้นเชิงได้ (ให้เกิดญาณทั้ง ๙ นี่แหละ จะละตัวตนได้) ผมยังมีมานะ และความฟุ้งซ่านอยู่มากครับ (ดีรีบปฏิบัติเข้าให้เกิด ญาณ)
สัพพัญญุตญาณ ทศพลญาณ คืออะไรครับ

ตอบ สัพพัญญุตญาณ ก็คือ ญาณที่พระพุทธเจ้าทรงมี เรียกว่า สัพพัญญุตญาณ คือ ญาณที่กว้างขวาง เป็นโลกวิทู เป็นญาณใหญ่ ทศพลญาณ ก็คือ ญาณที่มีกำลังทั้ง ๑๐ มีกำลังทั้ง ๑๐ ซึ่งมีหัวข้ออยู่ทั้ง ๑๐ ข้อ อาตมาไม่ค่อยได้เอามาอธิบาย เพราะว่า ไม่ใช่ภูมิของพวกเรา จะมานั่งพึงรู้อะไร มากมายนัก รู้พอประดับ ความรู้ แล้วก็ลืมไปบ้างก็ไม่เป็นไร ทศพลญาณ เพราะไม่ใช่ภูมิ ไม่ใช่ฐานะของเรา รู้แต่ว่า เป็นอลังการของ พระพุทธเจ้าเท่านั้นก็ได้ ถ้าคุณจะซาบซึ้งว่า มีทศพลญาณนี้ดี แล้วคุณจะทำเอา ก็เชิญน่ะ ไม่เป็นไร เป็นฌานที่เป็นกำลังอันยิ่งใหญ่นะ มี ๑๐ หัวข้อ ๑๐ หลัก ทศพลญาณ สัพพัญญุตญาณ เป็นญาณที่ยิ่งใหญ่ ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีน่ะ เอ้า ใบสุดท้าย

ถาม พ่อท่านคะ ดิฉันรู้จักอโศกมาตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ เพราะสามีเป็นคนพามาให้รู้จัก มีลูก ๑ คน เป็นผู้ชาย กินมังสวิรัติได้กันทุกคน ลูกก็มาเป็นเด็กนักเรียนพุทธธรรมที่สันติอโศกด้วย ความจริงๆ ดูๆ ก็ไม่น่าจะทุกข์ แล้วนะคะ ในฐานะฆราวาส ถือศีล ๕ ละอบายมุข แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นสิคะ ปัญหามันมีอยู่ว่า เกือบ ๖ ปีแล้ว สามีดิฉันไม่ลงตัวสักที เดี๋ยวจะถือศีล ๕ เดี๋ยวจะถือศีล ๘ (ผู้ฟังหัวเราะ)

ตอบ มันไม่ลงตัวไอ้ตรงนี้ล่ะมั้ง ปัญหาอย่างนี้มีเยอะนะ ผู้ที่แต่งงานมาแล้ว แล้วก็มาพากเพียร ที่จะมาปฏิบัติธรรมนี่ ว่าอยากจะให้มันสูงขึ้นน่ะ บางทีก็ขอปฏิบัติศีล ๘ กันมั่ง มันก็ไม่ลงตัวสักที ประเดี๋ยวศีล ๕ ประเดี๋ยวศีล ๘ นี่ อาตมาก็เจอมาหลายคู่เอาน่ะ วิบากของคุณ วิบากของใคร ของมัน จำไว้เชียว อย่าไปต่อ อย่าไปฆ่าด้วยเกสรดอกไม้กันมามากมายนัก น่ะ อย่างที่สิกขมาตุ เยาวลักษณ์ว่า นั่นน่ะ พยายามตัด แม้จะเป็นคู่บารมี บุพเพสันนิวาสมาขนาดไหนก็ตาม ต้องไม่มี ปัญหาอะไร ตัดลูกเดียว บุพเพฯ ใช่ไหม บุพเพสันนิวาสอย่างไรก็ตาม ต้องตัด ไม่ ใช่ อ๋อ มันเป็นบุพเพสันนิวาส มันมีมากันหลายชาติแล้ว เราก็ต้องจำยอม เราก็ต้องจำนน ก็ต้องแต่ง ก็ต้องเป็นคู่ อย่าเชียวนะ อย่าเชียวนะ นั่นแหละ ยิ่งต้องรีบๆทำตัวนั้นๆๆ ตัวนั้นล่ะ ตัวสำคัญล่ะ ไอ้บุพเพต่อกัน เนื่องกันมาตั้งหลายชาติ ยิ่งสำคัญล่ะ หักโค่นให้หายไปเลย อื่นๆ มันก็เรื่องเล็ก เรื่องน้อย เรื่องไม่ผูกไม่พันอะไรมากมายนัก เรื่องเท่านั้นเท่านี้เอง นั่นยังง่าย ไอ้อย่างงี้ล่ะ เอาเลย เพราะว่า เราไม่มีทางเลือก เราจะต้องจัดการแยก ถ้าเราจะไปทางนี้ที่แท้จริง ไม่มีข้อแก้ตัวน่ะ พูดอย่างนี้ เลยไปทะเลาะกันที่บ้านเสียล่ะ ยืดหยุ่นกันก่อนน่ะ ยืดหยุ่นกันดีๆ

ถาม เดี๋ยวจะถือศีล ๕ เดี๋ยวจะถือศีล ๘ ดิฉันทุกข์มาก ไม่รู้จะปรับตัวยังไงดี ปรับจิตไม่ทัน เพราะทุกวันนี้ ก็นอนกันคนละห้อง ดิฉันนอนกับลูกชาย ถึงเวลาต้องการ เขาก็บอกให้ไปหา (ฟังเป็นธรรมะนะ ฟังเป็นธรรมะ)
ถ้าไม่ไปหา ก็จะเกิดการเครียดในครอบครัว ขี้อ้อน ขี้เมื่อย เอาแต่ใจ พอเสร็จกิจกรรม ก็จะบ่นว่า เมื่อไหร่จะเลิกได้สักทีนะ ดิฉันก็ทุกข์ ที่เห็นเขาเป็นอย่างนั้น
ตอบ แสดงว่าผู้ชายใช่ไหมที่บ่นว่า เมื่อไหร่จะเลิกได้สักทีนะ พอเสร็จแล้วก็บ่นของตัวเองมั้ง อาตมาว่ายังงั้นนะ ก็ตัวเอง มันไม่เก่งหรือไง อาจจะเป็นได้นะ

ถาม อยากจะให้เขาเลิก ดิฉันก็ทุกข์ ก็เห็นเขาเป็นอย่างนั้น อยากจะให้เขาเลิกให้ได้ ตอนแยกนอน กันใหม่ๆ ดิฉันทุกข์มาก กว่าจะทำใจได้ เพราะสมเพชตัวเอง ผู้ชายช่างเห็นแก่ตัวจริงๆ สภาพดิฉัน ยิ่งกว่าโสเภณีเสียอีก เพราะถ้าผู้ชาย เวลาจะไปเที่ยวผู้หญิง จะต้องเป็นฝ่ายไปหาผู้หญิง ต้องเสียเงิน

ตอบ เออ มาคิดอย่างนี้ก็จริงแหละเนาะ เรายิ่งกว่าโสเภณีเสียอีก คือว่า ผู้ชายจะไปเที่ยวผู้หญิง ผู้ชายเขาจะต้องไปใช่ไหม แล้วยังแถมเสียเงินอีกนะ ไอ้นี่ เรียกให้มา หนอย เงินก็ไม่เสีย ว้า มันยิ่งกว่า โสเภณีเสียอีก เอ๊ะ ทำไมช่างคิด ให้ตัวเองทุกข์นักอะไรอย่างนี้ อย่างนี้ เออ เข้าใจคิดนะแง่มุม เออ จริงแหละเนาะ อะไรนะ ยิ่งกว่าโสเภณีเสียอีก ถ้าอย่างผู้ชาย เวลาจะไปเที่ยวผู้หญิง จะต้องเป็นฝ่ายไปหาผู้หญิง ต้องเสียเงิน นี่เรียกไปหา เสร็จแล้ว ห้องใครห้องมัน เช้าตื่นขึ้นมา ต้องมาทนทุกข์กับสภาวะที่ไม่ลงตัวของเขาอีก อ๋อ ยังมีสภาวะไม่ลงตัวของเขาอีก เขาก็คงจะเสียใจตัวเองบ้างเหมือนกัน เออ บางที มันก็น่าเห็นใจเหมือนกันนะ บางที มันก็อยากจะดีล่ะนะ แต่มันยัง กิเลสมันยังไม่ชนะนี่นะ

ถาม ทุกวันนี้ ดิฉันยอมรับว่า สภาพจิตของดิฉันยังไม่แข็งแรง ไม่กล้าเลิกกัน กลัวลูกมีปมด้อย สงสารลูก แกก็ชอบมาวัดด้วย ขอให้พ่อท่านช่วยโปรดครอบครัว ของดิฉันด้วยค่ะ

ตอบ เอ๊! ปัญหานี้ คงมีอยู่หลายคู่ล่ะเนาะ แหม คนอื่นเขามาฟัง เขาไม่รู้เจตนารมณ์ของพวกเรานี่ เขาก็บอก เอ๊ พวกนี้ มันอะไรวะ มันสอนกันยังไงนี่ จะให้เขาเลิกผัวเลิกเมียกัน อะไรกันนี่ ที่จริง มันก็เป็นเรื่องที่มันก็ ถ้าพูดกัน มองกันอย่างโลกๆ มันก็น่าคิดล่ะนะ แต่ถ้ามองอย่างธรรมะแล้ว มันก็จะต้องพูดกันน่ะ มันจะต้องศึกษา เราก็จะต้องมีอนุโลม ปฏิโลม แล้วก็พยายามทำความเข้าใจ กันให้ดีๆนะ ถ้าฟังว่า ตามที่อ่านนี่นะ ตามที่อาตมาเข้าใจ อย่างที่อ่าน ที่เขียนมานี่ ก็คงจะเป็นว่า สามีก็คง อยากจะช่วยกันเหมือนกัน ก็อยากจะสูงขึ้นด้วยกันล่ะนะ แต่ว่า กิเลสมันยังไม่พอ ก็แหม มันเกิดกิเลสขึ้นมาแล้ว มันก็อดไม่ได้ ทนไม่ได้ มันก็

ทีนี้ ทางผู้หญิงน่ะ วางได้ก่อน ก็เลยไม่อยากจะให้เกิดยังงั้น ก็ดีแล้วล่ะ น่ะ แต่มันเป็นอย่างนั้นแล้ว ก็เอ้า ก็อนุโลมกันไปก่อน หรือ ก็จะพยายามขัดขืนบ้าง บางครั้งบางคราว อย่าว่าถึงกับทุบตีกันล่ะ ก็ลองดูซิ บอกว่า เอาน่ะ ทำใจแข็งๆหน่อยน่ะ ทำไมแค่นี้ๆ ลองดูบ้าง อะไรต่ออะไรบ้าง นี่ไม่ใช่ยุแหย่ให้ตีกันนะ ก็พยายาม ถ้ามันสุดวิสัยก็พออนุโลมปฏิโลมไป ไหนๆ มันก็ไหนๆ แล้วน่ะ จะทำยังไงล่ะน่ะ ก็พยายามก็แล้วกัน อาตมาไม่มีทางจะแนะนำอะไรมากนักหรอก ก็หาวิธีการ ลดละทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสด้วย เพราะว่าไอ้เรื่องกาม ที่เกี่ยวกับเรื่องผู้หญิง ผู้ชายนี่ มันก็มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นองค์ประกอบด้วย ถ้ามันยังมีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส พวกนี้ก็ไม่ลดไม่ละ กามคุณ ๕ พวกนี้ นี่ ก็ไม่ลดด้วย ไอ้พวกนี้ ก็ยังจัดจ้านอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้น ต้องลดพวกนั้นด้วย ด้วยกัน ปฏิบัติ ปฏิบัติมาทุกๆแง่ทุกๆมุม ทุกๆมุมให้มีอปัณณกธรรม ๓ โภชเนมัตตัญญุตา น่ะ ตัวนี้ตัวสำคัญนะ สังวรระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจจริงๆ พยายามปฏิบัติ สังวรทวาร ๖ เห็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอะไร ก็ลดละๆ แม้แต่การอยู่การกิน เครื่องใช้อุปโภค บริโภค ก็ลด ไม่ต้องติดความสวยความงาม ความไพเราะ ความน่าได้ น่ามีน่าเป็น อะไรลงมา อีกด้วยๆๆๆ มันก็จะเกิดภาวะลดละหน่ายคลายลงมาได้ อันนี้ ก็จะลดละไปได้ตามน่ะ แม้คำว่า ปลงอสุภะ คำว่าปลงอสุภะ ก็คือ ปลงทั้งนั้นแหละ ปลงในสภาพรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสด้วย มันหลงว่า สวยดี เพราะดี คือ สุภะทั้งนั้น ไม่ใช่ในผู้หญิง ในผู้ชายเท่านั้น ในอะไรก็ด้วยทั้งนั้น ในเสื้อ ในผ้า ในเครื่องใช้ เครื่องอุปโภค บริโภค ในของกิน ในบริโภค ในอะไรๆ มัน ก็เหมือนกันหมด มันเป็นสุภะ มันเป็นของน่ากิน น่าได้ น่าฟัง น่ายินดีทั้งนั้น สุภะ ปลงให้เป็นอสุภะบ้าง

เอ้า เอาละ อาตมาว่า นี่ เอาไปเอามา มันเกือบ ๔ โมงครึ่งแล้ว นะ เอ้า พรุ่งนี้ ยังมีอีก

เอ้า สำหรับวันนี้ เอาแค่นี้ก่อน พอน่ะ

สาธุ


ประสิทธิ์ ฝ่ายทอง ผู้ถอด
ตรวจทาน ๑. โดย สม. ปราณี ๓ พ.ค.๒๕๓๓
พิมพ์โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒. โดย โครงงานถอดเท็ปฯ ๑๑ พ.ค.๒๕๓๓
(FILE:0639B.TAP / ชีวิตนี้มีปัญหา / ตอน ๑ หน้า ๒)