ทำงานเพื่อจัดการอัตตา
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๐ ก.ค. ๓๓ ณ พุทธสถานสันติอโศก

เราทำงานศาสนากันมา โดยเฉพาะอาตมาทำงานศาสนามาก็ ๒๐ ปี ถึงเดือนพฤศจิกายนเมื่อไหร่ ก็ครบ ๒๐ ปี ขึ้นปีที่ ๒๑ ก็เกิดสภาพของศาสนา เกิดอะไร ต่ออะไรขึ้นมา ดีนะ แต่นั่นแหละ อะไรๆมันดีขึ้นมาแล้ว มันก็จะทำให้เรานี่เข้าใจผิด ที่เรียกว่าอุปกิเลส คือตัวกิเลส ที่มันจะทำให้เราเข้าใจผิด หลงดีเกิน ไม่มัชฌิมา และก็ไม่รู้ ความสำคัญในความสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องอัตตา เรื่องตัวตน เรื่องเอาแต่ใจตัว ใจเราประมาณไม่ดี ไม่เป็นสัปปุริสธรรม เอาแต่ใจตัว บำบัดความชอบ บำบัดความอยากของตัวเอง โดยเอาความอยากของตัวเอง เป็นตัวตัดสิน ที่จะทำอะไร ก็ทำตามอำเภอใจ ที่จริง ตามอำเภอกิเลส ทำตามใจตัวเองมันก็เสียหาย

อาตมาก็รู้สึกอบอุ่น ที่พวกเราแม้แต่ฆราวาสนี่ จริงจังในเรื่องศาสนาขึ้นมา มีการถือศีลฟังธรรม ลดละ ลดความโลภ โกรธ หลง ลดลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นฆราวาสแท้ๆ ทำได้ถึงขนาดนี้ มันหมายถึงศาสนาจริงๆ มีเนื้อหาของศาสนา

ทีนี้สำหรับสมณะ สำหรับผู้ปฏิบัติฐานะที่สูงขึ้นๆ เราก็มีความจริงจังขึ้นมา อาตมาเคยได้เน้น กับพวกสมณะเรา ว่าเราจะเห็นเหตุการณ์ของวงการศาสนา มันย่ำแย่ลงไปมากๆ เรื่องที่ร้ายกาจที่สุด คือเรื่องของเงินทอง สมณะที่มีเงินทอง รับเงินทอง ซึ่งมันผิดศีล ผิดธรรม ผิดวินัยนิสสัคคียปาจิตตีย์ ซึ่งแปลกันโดยพระบาลี เขาแปลเบี้ยวบาลีมาด้วยซ้ำไป ในพระบาลี นิสสัคคียปาจิตตีย์ ตามธรรมดาแล้วมี พระบาลีที่ชัดเจนเลยว่า รับเงินรับทองมาเป็นสมบัติส่วนตัวไม่ได้เลย แต่เขาก็แปลเลี่ยงกันมาเรื่อย จนทุกวันนี้ มามุบมิบๆกันยังนี้ จนกระทั่ง มันก็ยังแปลไม่ได้อยู่นั่นเอง ว่าจะรับเงินทองได้ แต่เขาก็รับเงินทองมาเป็นของส่วนตัวได้อยู่อย่างนั้น ก็เลี่ยงกันอยู่ทุกวันนี้ เลี่ยงกัน จะเห็นได้ว่า มันเป็นภัย เป็นอสรพิษ เป็นวัตถุอนามาส

วัตถุอนามาสเป็นของไม่ควรสำหรับสมณะ ของไม่ควรสำหรับสมณะนี่ อาตมาจำแม่น ในนักธรรม เขาก็เรียนกัน เรื่องเงินทองเป็นวัตถุอนามาส ผู้หญิง เป็นวัตถุอนามาส รับไว้ในครอบครองไม่ได้ ดอกไม้เป็นวัตถุอนามาส อย่างนี้เป็นต้น เขาเรียนกันนะ แต่ เสร็จแล้วก็เผินๆ เรื่องผู้หญิง กับเรื่องเงินทอง สองเรื่องนี้ อาตมาเคยสำทับกับสมณะชาวอโศกเราว่า ระวังให้ดีๆเรื่องนี้ สองเรื่องนี้เป็นสำคัญมากๆ ที่โลกเขาเข้าใจง่าย โลกวัชชะก็ง่าย เรื่องราวอะไรที่มันจะเกิดนะ เสี่ยงต่อปาราชิก เสี่ยงต่อการตกร่วง ในธรรมได้ง่าย ขอให้สังวรระวังให้ดีๆเถิดเรื่องนี้ เราว่าเราก็พยายามช่วยกัน อย่ามาเอื้อ อย่ามาทำอะไร ให้สมณะนี่มันพลาดพลั้งลงไปในเรื่องเหล่านี้

เรื่องเงินทอง อย่าไปมีในครอบครอง เราพิสูจน์ได้ว่า เราไม่มีเงินในครอบครอง หรือแม้แต่ จะพยายามเบี้ยวเบี่ยงไปว่า แล้วไปมีเงินอยู่ในคนนั้นคนนี้ เป็นธนาคาร เคลื่อนที่ ที่อาตมาเคยใช้ ภาษานี้ว่าพวกเรา โดยมีฆราวาสบางคนเก็บไว้ให้แก่เรา แล้วก็ ว่าเราไม่มีหรอก แต่ก็ให้ฆราวาสเก็บไว้ เป็นธนาคารเคลื่อนที่ ตกลงกัน มีอะไรก็ไปให้ ธนาคาร หรือให้ฆราวาสนั้นจับจ่ายใช้สอยแทน เราก็บอกซื้อบอกขาย บอกเก็บ บอกเป็นส่วนสัดส่วนตัว ยินดีเป็นของของตัวอยู่ แบบนี้ปลงอาบัติ ก็ไม่ตก นิสสัคคียปาจิตตีย์มันไม่ตกหรอก เราต้องเข้าใจ ต้องพยายามละเอียดลออ ถึงธรรมะ เนื้อหาสาระของมันให้ดี

เรื่องผู้หญิงก็สำคัญมาก นี่เราจะเห็นได้ เรื่องที่เกิดทุกวันนี้ เรื่องที่มันเกิด อื้อฉาว ที่มันฉาวโฉ่ เรื่องฆ่าแกงกันด้วยเงินด้วยทอง แย่งชิงทรัพย์ศฤงคารกัน เรื่องผู้หญิง เรื่องเงินเรื่องทอง นัวนังๆอยู่นี่แหละ เละเทะไปหมดเลย น่าอับอายขายหน้า ถ้าเราไม่มี ศาสนาเป็นที่หวัง ไม่มีศาสนาเป็นที่พึ่ง เราก็จะต้องไปไม่รอด สังคมมนุษย์นะ เพราะฉะนั้น ก็ใคร่จะขอให้สมณะ ทั้งหลายได้สังวรสำรวม ให้เห็นธรรมะเป็นใหญ่ให้มาก

ขณะนี้พวกเรามีส่วนเกินในเรื่องของอัตตา ซึ่งจะต้องกำชับกำชาสมณะท่าน ทั้งหลายขณะนี้ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่พวกเราชักจะไม่ค่อยดี ก็คือเรื่องจำพรรษา เราก็เลย มองเผินว่า การจำพรรษา ่ก็ไม่เอาจริงเอาจังกัน จอบแจบไปไหนก็ถือเลี่ยงสัตตาหะไป เดี๋ยวก็จะสัตตาหะไปนั่นไปนี่ มันไม่ใช่กิจ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านกำหนดไว้ ไม่ใช่กิจสงฆ์ ไม่ใช่ไปพยาบาลพ่อแม่ป่วย อะไรต่างๆนานา ไม่ใช่เรื่องที่จะ หรือว่าไปบำบัดภิกษุที่ กระสันจะสึก อะไรอย่างนี้ ต่างๆนานาพวกนี้ ไม่ใช่กิจเหล่านี้เลย ไม่ใช่กิจสำคัญเลย ไปดูต้นหมากรากไม้บ้าง มาทำเครื่องนั่นเครื่องนี่ สัตตาหะมาทำรับใช้ฆราวาสด้วยซ้ำไป สัตตาหะมาทำนั่นทำนี่ อะไรต่ออะไรให้เขา อะไรต่ออะไร มันยังไม่เสร็จโน่นนี่อะไร มันไม่ใช่เรื่องเลยนะ

ผมอยากจะให้พวกเราได้อธิษฐานจริงๆ ได้ตั้งใจนะ ผมกำชับกำชาแล้วว่า คำว่าอธิษฐาน เป็นเรื่องตั้งใจ เราอย่าเห็นประโยชน์ที่มันไม่สำคัญ มาเป็นความสำคัญ ทุกวันนี้ ศาสนามันแย่แล้ว มีชาวแม่ค้า ขนาดแม่ค้าที่ไม่ได้สนิทสนมกับเราเลย เรื่องฉาวโฉ่ขึ้นนี่ จนกระทั่งเขาอุทานนะ มีพวกเราไปได้ยินได้ฟังมาจากปากของเขาโดยตรงเลย เขาอุทาน เขาบอก โอ้โฮ! เดี๋ยวนี้ศาสนา พระเจ้าเสื่อมศรัทธา เขาบอกเขาไม่มีที่เคารพอีกแล้ว เป็นพุทธศาสนิกชน ไม่มีพระที่ไหนเคารพแล้ว มีพระสันติอโศกเท่านั้นแหละ ที่ยังพอเคารพได้ เขาอุทานยังงี้จริงๆ แม่ค้าในตลาดนี่อยู่ในตลาด ซึ่งเขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่เคย มาวัดมาวาอะไรเราหรอก เขาก็รับกระแสเหล่านี้ เป็นที่น่าชื่นชม สำหรับเรา ทุกอย่าง มันกระจายออกไป มันอะไรต่ออะไรออกไป ข้างนอกเขาก็รับรู้ทุกอย่างแหละ ชาวบ้าน ร้านตลาด แม่ค้าแม่ขาย ใครๆเขาก็รับรู้ สิ่งเหล่านี้เราควรจะเห็นใจเขาให้มาก ว่าเขา เองเขาก็ศรัทธาเลื่อมใสเรา เพราะเราเป็นสมณะ เพราะเรายังอยู่ในศีลในธรรมในวินัย อยู่ในกรอบในข่าย

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ เรายังมีอะไรอยู่ เรายังพยายามทำ อะไรตามธรรม ที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติ วินัยก็ลงปาติโมกข์ พยายามกระทำอะไรให้มันตรง ให้มันลึกซึ้งนะ จำพรรษานี่ พระไม่จำพรรษาแล้วมันก็เลอะเท่านั้นเอง อยู่มานานนักหนาแล้วนะ เรื่องเหล่านี้ เป็นสัจจะ แม้จะเป็นวินัย วินัยเราถือว่าสมมุติสัจจะก็ตาม ความดี ความชั่วก็เป็นสมมุติสัจจะ แต่เราต้องอยู่ด้วยสัจจะ อย่างนี้ที่สำคัญ และมันก็เนื่องมาจาก ปรมัตถสัจจะนั่นเอง เนื่องมาจากอัตตา เนื่องมาจากใจเราเอง และเราก็เห็นความสำคัญในความสำคัญตามใจเรา ไอ้นี่สำคัญนี่หว่า เราก็จะเอาบำเรอใจ ตามใจของเรา ว่านี่สำคัญ เราก็สำคัญตามใจเรา แต่เราไม่ได้คำนึงถึงความสำคัญอันนี้ มันอยู่ในขอบข่าย ของจารีตประเพณีวัฒนธรรม จะเกิดความไม่เลื่อมใส จะเกิดความเสื่อมโทรม เสื่อมทรุด ในศาสนาหรือไม่ เราก็ไม่ได้เข้าใจ

หลายคน หลายท่าน บางทีก็เอางาน เอาภาระนอก เราต้องสำคัญ อย่าให้ งานภาระนอก หรือว่าประโยชน์ท่าน มาพร่าประโยชน์ตน เราอย่าให้ประโยชน์ท่านมาพร่าประโยชน์ตน

ประโยชน์ตนนั้น เรื่องอัตตา หรือเรื่องฐานะของเรา เรื่องกิเลสตัณหาต่างๆ เราต้องให้สำคัญ มากพอสมควร เราอย่าไปเห็นความสำคัญในเรื่องพวกนี้ แม้แต่ฆราวาส เขาก็จะมอง เขาก็เห็น ความสำคัญ เขาก็ยิ่งไม่เหมือนเรา เรามองเรื่องจิตให้สำคัญ เรื่องข้างนอก เราก็ต้องมองฆราวาสเขา เขาก็จะมองหยาบ มองเรื่องจารีตประเพณี วัฒนธรรม แม้แต่แค่เรื่องราวอะไร ที่เขาเอามา เล่นงานเรา เรื่องไม่กราบพระพุทธรูป เรื่องไม่ไอ้โน่นไอ้นี่อะไรต่ออะไรต่างๆนานา อะไรอย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้นสมณะเราต้องพยายามหน่อย แล้วอยากจะกำชับกำชา เรื่องจำพรรษานี่ เป็นเรื่องสำคัญ เรื่องหนึ่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราอย่าไปตีความเอาเข้าใจ ง่ายๆตามอำเภอใจ หรือเป็นอัตตา ตามที่เรานึกเราคิดนี่ง่ายๆตื้นๆ

งานก็ดีนะ ทุกวันนี้งานเรามาก นั่นนะเป็นข้อพิสูจน์ว่าเราจะหลงงาน เป็น กัมมารามตา เป็นการหลงงาน จนกระทั่งไม่มองถึงกิเลสอุปกิเลสของพวกเราเอง ของตัวเราเอง แล้วเราก็เลยปล่อยปละละเลย พร่าประโยชน์ตน โดยเห็นประโยชน์ผู้อื่นแม้ มากแม้มาย แม้อะไรต่อมิอะไร แล้วก็ไม่ถูกกาละ ไม่ถูกเทศะ ไม่มีกาลัญญุตา ไม่มี มัตตัญญุตาอะไรอย่างดี ก็เพราะเราไม่รู้จักธัมมัญญุตา อัตถัญญุตา ไม่รู้จักแก่นสารสาระ ไม่รู้จักชั้น จักระดับ ไม่รู้จักส่วนสัดที่จะได้ประมาณ ควรจะได้กำหนดให้ดีๆนะ เพราะฉะนั้น ควรจะให้ตั้งอยู่กับที่ ควรจะจำพรรษา ๓ เดือน

การกำหนดเข้าพรรษานะ ผมเองผมคำนึงถึงเหมือนกัน คำนึงถึงหลายคนว่า จะต้องให้ได้รับ บทปฏิบัติ บทฝึกหัด บทเล่าเรียนบ้าง เพราะฉะนั้น จึงโยกย้ายผู้คนไปอยู่ จำพรรษาโน่นนี่ ก็คำนึงถึงอะไรต่ออะไรพวกนี้ เป็นการสอน เป็นการกระทำอะไร ต่ออะไร เพื่อที่จะให้เกิดสภาพ ที่มันจะขัดเกลาในตัวเองด้วย ไม่ได้หมายความว่าสุ่มสี่สุ่มห้า ทำอะไรไปจนกระทั่ง ไม่เห็นความสำคัญในความสำคัญ ทั้งรอบลึกรอบกว้าง ก็คำนึงถึงรอบ ลึกรอบกว้าง คุณก็คงคำนึง ผมก็คำนึง ผมก็กำหนดไปตามที่คิดว่า ควรจะได้ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน คุณมีฐานะได้ขนาดนั้นขนาดนี้ กิเลสส่วนนั้นส่วนนี้มากน้อยอะไร ผมคิดว่าผม พอมองกิเลสออก สำหรับของแต่ละคนๆ ได้กำหนดอะไรต่ออะไรลงไป แม้จะทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้ โดยเฉพาะ จำพรรษาอะไร ก็ไม่ได้หมายความว่าแกล้ง ไม่ได้หมายความว่า จะกระทำให้มันเกิดคุณค่าประโยชน์ หรือว่ามันจะเสื่อมไหม มันจะพังไหม กิจนอกกิจใน หรือว่าส่วนสัดที่เราทำงานกันอยู่ มันจะเสียหายไหม ก็ได้คำนึงว่าควรไม่ควรแค่ไหน

เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราได้มีอธิษฐานจิต อธิษฐานพรรษาแล้วก็จำพรรษา แล้วก็อย่าเลี่ยง สัตตาหะกันมากนัก มิฉะนั้นมันก็จะไม่เป็นโล้เป็นพาย มันจะกลายเป็นเรื่อง ที่เห็นความสำคัญผิดไปนะ สำคัญในความไม่สำคัญ แล้วก็กลายเป็นพร่าประโยชน์ตนอะไร ต่างๆนานาพวกนั้นมากขึ้นนะ มันก็จะไม่ดีนะ

เราทำงานนี่นะ ฆราวาสก็ดี ทุกวันนี้เราทำงานกันโดยเดินตามมรรคองค์ ๘ และก็มีหลายเรื่อง หลายราวที่เราเผลอๆไผลๆ ไม่รู้ตัว ทำงานไปแล้วก็กิเลสขึ้นเรื่อยๆ ความโลภมากขึ้น ความโกรธ เพ่งโทษ มีความอาฆาต เคียดแค้น มีความไม่ชอบใจ โทสมูลนี่ ละเอียดๆไปจนกระทั่งถึงอรติ มีความไม่ชอบใจ ไม่ชอบใจเพราะมันไม่สมใจตน มันก็ไม่ชอบใจ แข่งขันกันอย่างโน้นอย่างนี้ กระแนะกระแหน หรือว่าประชดประชัน หรือว่า แย่งชิง เอาชนะคะคานกัน มันเป็นกิเลสรากเหง้า มาทั้งนั้นแหละ และมันก็ให้มาก่อเกิด อะไรต่างๆพวกนี้ ซึ่งมันเป็นความสูญเสีย เป็นความเสื่อมเสีย

ก็ขอให้หลักในการปฏิบัติธรรมปฏิบัติงาน ทำงานนี่ ให้หลักว่า เราจะตัดสิน อย่างไรหนอ บางที บางเรื่องบางอย่าง มันทำให้เราเองตกต่ำโดยไม่รู้ตัว ก็ขอให้หลักไว้ ยังงี้

งานใดก็ตามที่เราทำงานแล้ว งานมันจะเจริญมากเจริญมายอย่างไรก็ตาม แต่ถ้างานนั้นมันทำ ยิ่งทำก็ยิ่งเกิดความโลภ ยิ่งทำก็ยิ่งเกิดความโกรธ เคียดแค้นชิงชัง ไม่ชอบใจ อึดอัด ขัดเคือง ทำให้เรามีอารมณ์แย่ลงทุกที งานดีนะ งานเจริญ ได้เงิน ได้ทอง ได้งาน ได้ผลผลิตอะไรขึ้นมา เสร็จแล้วมันทำให้เราลืม ลืมตรวจจิตของเราว่า โอ! เรานี่ยิ่งหงุดหงิดเร็วนะ เรายิ่งไม่เป็นคนที่สงบ เรายิ่งกลายเป็นคนที่อะไรก็ไม่ ชอบใจ อะไรก็ รู้สึกว่าคนนั้นไม่ทันใจ คนนี้ทำไม่ถูกใจ คนนั้นทำงาน รู้สึกว่าไม่ดีเหมือน เราทำ เรานี่แหละทำถูกต้อง เรานี่ทำดี คนอื่นทำไม่ดี แล้วเราก็ยึดตัวตน อัตตามานะก็ขึ้น กลายเป็นโทสมูล อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด เข้ากินตัวมากมาย เท่าไหร่ๆ เราก็ไม่รู้ตัว ไม่รู้สึกตัว ระวัง งานอย่างนี้ นั่นแหละ วินาศสันตะโรแล้ว เรานั่นแหละวินาศ สันตะโร เราเสื่อมแล้ว โทสมูลมากขึ้น หงุดหงิดเร็ว ใจไม่สงบ ใจไม่หนักแน่น ความโลภ เกิดมาเป็นเหตุใหญ่ โลภในงานเป็นกัมมารามตา ต้องการให้งานมันเร็ว ต้องการให้งาน มันเจริญ ต้องการให้งานมันกว้าง ต้องการให้งานมันงอกงาม เราก็ไปเพ่งที่งานกันไปหมด เลยเป็น กัมมารามตา เสร็จแล้วความโลภเราเจริญรุ่งเรืองงอกงามไพบูลย์ ความโกรธ โทสมูล เราก็เจริญงอกงามไพบูลย์ ถ้าทำงานใด ความโลภเกิดมากขึ้น ทะเลาะเบาะแว้ง แย่งชิง อยู่ด้วยกันไม่สงบไม่สนิท แทนที่จะเห็นใจกัน เอื้อเฟื้อเจือจานกัน เกื้อกูลกัน ยอมกันบ้าง บันยะบันยังกันบ้าง เราก็กลายเป็นถือตัวถือตน มีของตัวของตน ข้าถูก ข้าดี ข้าใหญ่ ข้านี่แหละทำงานเก่ง ข้านี่แหละเลิศยอด อะไรไปเรื่อยๆ อย่างนี้ไม่เจริญ ไม่เจริญ

เราเป็นอยู่สุขทุกวันนี้เพราะหมู่ของเรามีธรรมะ เพราะความเป็นพี่น้อง เพราะความสงบ เพราะความยอม เพราะความลดมานะอัตตา เราก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน บางคนมีจริต มีวาสนา มันแน่น มันหนา กิเลสมันมาก มันติด มันยึดมาเยอะ แต่ก็ไม่ได้ เป็นคนต่ำกว่ามาตรฐาน เราก็อยู่ด้วยกันได้ ยอมกันบ้าง แม้มันจะไม่เจริญ งานนี้ แม้จะ กิจนี้มันจะก้าวหน้าไปช้าหน่อย เราก็ เอาละ ไปด้วยกัน ยืดหยุ่นกันบ้างนะ มีการบันยะ บันยังกัน ยอมบ้าง มันจะไม่ดีนัก แต่ก็เพื่อความอยู่กันอบอุ่น เพื่อความไม่แตกไม่แยก สมาน ประสานกันดี เป็นมวลเป็นหมู่ ถ้อยทีถ้อยไปด้วยกัน ไม่ให้เกิดช่องว่าง ไม่ให้เกิดบาดหมาง อย่างนี้เราต้องการ

แต่ถ้าอยู่กันแล้ว เอ็งเก่งก็เก่งใหญ่ งานการเป็นใหญ่ได้ แต่กิเลสมากขึ้น อยู่กันก็ไม่สงบ ทะเลาะเบาะแว้ง แย่งชิง ช่องว่างระหว่างโทสมูล ช่องว่างระหว่างโลภะ ราคะอะไรก็มากขึ้นๆ อย่างงี้ไม่เกิดเจริญ ไม่เกิดเจริญ เราเองก็มองอุปกิเลสที่ซ้อนเชิง ลึก ซ้อนชั้นซ่อนเชิงขึ้นมาไม่เป็น มองไม่ออก อ่านไม่เป็น เสร็จแล้วเราก็เอาชนะคะคาน ต้องรู้ฐานะตนของตนให้ดี เมื่อเราเอง เรามีฐานะอย่างไร เจริญขึ้นด้วยธรรมหรือไม่ สิ่งที่มันเกิดด้วยบทบาทความเป็นอยู่ มันมีสันติภาพจริงๆ มันมีภราดรภาพจริงๆ เรื่องของธรรมะนี่

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าไม่เป็นไปเพื่อภราดรภาพ ไม่อบอุ่น ไม่เป็นพี่เป็นน้อง ทุกวันนี้ แม้แต่พี่น้องคลานตามกันออกมา มันก็ไม่เป็นพี่เป็นน้องกัน มันก็เห็นแก่ตัว แย่งชิง เอาเด่นเอาดัง เอาใหญ่เอาโต เอาเปรียบอะไรกัน แทนที่จะเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันช่วยเหลือ เฟือฟายกัน มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น มันก็ไปไม่รอด มันก็ เขาจะเอาเปรียบก็เอาละ จะเอาเปรียบก็รู้ว่าเอาเปรียบ ก็เอาละ เราอยู่ในฐานะที่พยายามเห็นใจกันบ้าง อะไร ต่อมิอะไรบ้าง เราก็ต้องพยายามปรับปรุง พยายามที่จะยืดหยุ่น มีความฉลาดในตัวเองที่จะ ทำอย่างไร ที่จะไม่ให้มันแตกระแหง ให้มันสมาน ทุกวันนี้สังคมนี่มันแตกระแหง มันไม่เป็น เพื่อนเป็นมิตรอะไรกัน ไม่เป็นญาติ โดยเฉพาะไม่มีภราดรภาพ มันแตก แล้วมันก็มีมารยา หรือมีมารยาทข้างนอกนี่ ซับซ้อน มีมารยาข้างนอกมาก แต่ข้างในนี่ โอ้โฮ! วินาศสันตะโร เลย กัดกันซ้อนเชิง มีเล่ห์มีเหลี่ยม มีความไม่จริงใจ มีความที่จะเอาเปรียบเจ้า จะเอา กำไรจากเจ้า แม้แต่เรื่องของความรัก แม้แต่เรื่องของกิเลสราคะ ในเรื่องของความ โลภ ในเรื่องของอะไรก็แล้วแต่ มันซับซ้อนซ่อนเชิง ในเรื่องของเพื่อนฝูง ในเรื่องของ การอยู่ด้วยกัน

อาตมากำลังเซ็นเซอร์หนังเรื่องหนึ่ง ขณะนี้ แต่ชื่อน่าเกลียดที่สุดเลย เขาจะขายหนังไอ้พวกนี้ แต่ผู้สร้างรู้สึกเขาจะเจตนา ให้เห็นความเป็นเพื่อนคู่หูกันระหว่างเพื่อน ระหว่างผู้หญิงต่อผู้หญิง ผู้ชายต่อผู้ชาย กิเลสเข้าแล้ว มันไม่เป็นเพื่อนกันเลย มันซ่อนเชิง กัน ชิงรักหักสวาทกันในที ทั้งๆที่เป็นเพื่อนสนิทกัน ผู้หญิงต่อผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายต่อผู้หญิงก็ตาม ที่อยู่ทำงานกัน พี่กับน้องก็ตาม พ่อกับลูก ลูกกับพ่อ เมียกับผัวก็ตาม เขาซ้อนซ่อนๆๆเชิงเอา ไว้ให้เห็นว่า มันไม่ได้มีความจริงใจ มันเป็นไปด้วยกิเลสทั้งนั้นเลยนะ อาตมาก็เซ็นเซอร์ หนังมา ตอนหลังๆมา หนังจีนนี่หลายๆมากมาย มันก็ไม่ค่อยจะมีอะไร มีเรื่องนี้ดูแล้ว เออ! มีเชิงซ้อน เรื่องนี้เหมาะกับพวกเรามากทีเดียว เรื่องพ่อไฮเทค ชื่อมันฟังแล้ว น่าเกลียด คุณพ่อไฮเทค แต่อาตมาดูแล้วว่า เออ! มันมีเชิงซ้อน เขาฝังเรื่องเอาไว้ให้ เห็นว่า มันมีลักษณะต่างๆนานาพวกนี้ มันซ่อนเชิงให้เห็นว่า คนที่อยู่ในสังคมทุกวันนี้ อยู่ด้วย มารยาทั้งนั้นเลย มีความจริงใจน้อย น้อยที่สุด ความจริงใจ ความรู้ ความสำคัญในความ สำคัญนี่ มันน้อย แทนที่มันจะรู้ความสำคัญ ของมนุษย์ ความประเสริฐของมนุษย์ มันก็กลับไม่ค่อยมี มันก็มีละ มีตัวที่เด่นๆ ชัดๆ ว่ามีความประเสริฐ มีความสำคัญ รู้ความสำคัญในความสำคัญ ของความเป็นมนุษย์ ควรจะมีลดหลั่น อาศัยอะไรๆสำคัญกว่ากัน ก็มีตัวเด่น หรือมีตัวเอก ที่ยืนหลักบ้าง เพื่อที่จะให้เห็นขัดเกลากัน ดูดี นี่ดูจวนจะหมดละ อาตมาก็ว่าจะ เซ็นเซอร์ให้หมดก่อนจะไป

วันนี้ตกลงว่า ตอนแรกตั้งใจว่าจะไป กลับไปปฐมอโศก ไม่ใช่วันนี้ เอาไป เอามาก็คงต้องกลับวันนี้ เพราะว่างานทางด้านเด็กที่ไปอบรมกัน ที่ไปเข้าค่ายกันนี่ ก็คง จะต้องช่วยเขานะ นี่ยังเหลือนิดหน่อย เร่งจะให้มันเสร็จ จะต้องเอาไปคืนเขา อาตมา หอบไปโน่น และคนที่จะหอบไปทางร้านเขาก็อยู่ที่นี่ ไม่ค่อยได้ไปปฐมฯอะไรนี่ มันจะยุ่งกัน ในเรื่องอย่างนี้ มันเป็นเรื่องจิตวิญญาณ ที่เรา ถ้าเราดูวิดีโอก็ตาม ดูอะไรก็ตาม ถ้าเรา ดูเจาะลึกเป็นนะ เราจะเห็นว่า สังคมโลกมันเป็นอย่างนี้ มารยา หรือมารยาทโลก ซับซ้อนมากทุกวันนี้ ซับซ้อนจริงๆเลย ฉากหน้านี่ดูเป็นอย่างงั้น ดูจริงจังกัน จริงจังน่ะกับ มารยาท หรือมารยา แต่ในแนวลึกของจิตแล้ว ตัวกิเลสเป็นตัวบงการ แนวลึกของจิตแล้ว เราเรียนจิต เราเรียนกิเลส เราเรียนธรรมะ จงพยายามใช้ปัญญา ใช้ความรู้ในธรรมะ อ่านสภาพพวกนี้ให้ออก เราจะเห็นความจริงของสังคม

ทุกวันนี้ สังคมที่เป็นจริงๆอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในระดับบริหารประเทศ จนกระทั่ง ถึงล่างลงมา จนกระทั่งถึงสังคมปกติ สังคมปกติก็คือ ความเป็นอยู่ของคนต่างๆนานาเขานี่ เขาอยู่กันยังไง อยู่ด้วยมารยาทที่มีมารยา หรือมีตัวกิเลสซับซ้อนนี่ เป็นตัวบทบาทสำคัญที่สุด และเขาไม่ได้เรียนรู้กิเลสกัน เมื่อไม่เรียนรู้กิเลสกันแล้ว เราจะเห็นความน่าเกลียดของ มารยาท หรือความน่าเกลียดของตัวมารยา ที่มันซับซ้อนเพื่อเอาผลประโยชน์แก่ตน เพื่อ สมโลภ สมแค้น สมโกรธ สมความไม่ชอบใจของตน ความไม่ชอบใจนี่เราจะไปมุ่งเพ่ง ให้คนอื่นนี่วินาศสันตะโร ให้คนอื่นตกต่ำ เรื่องนี้เป็นเรื่องเลวร้ายนะ

อาตมาเคยยกตัวอย่าง และพยายามเตือนกันมากเลย ในเรื่องของ เราอย่า ไปหมายใจให้ใครตกต่ำ แม้จะเป็นศัตรูของเรา จงมีเมตตาแผ่ไปทั่วทุกทิศ ทุกสรรพสัตว์ อย่าไปมีจิตที่ปรารถนาให้ใครตกต่ำ

ยกตัวอย่างเช่น เราอ่านจิตของเราดูซิ ว่าขณะนี้เรามองสมณะ หรือว่าเรามองพระ พระที่กำลังได้รับโทษ ได้รับภัยขณะนี้ พระที่กำลังตกต่ำอยู่ขณะนี้ ในสังคมขณะนี้ เสร็จแล้ว เราก็หนำใจ สะใจ นั่นเราตกต่ำแล้ว เราไปหนำใจกะพระที่ปฏิบัติไม่ดี เออ! เอ็งยิ่งเลวลงยิ่งดี เพราะเราเองเป็นเหมือนคู่แข่ง แข่งดีกันมันเป็นมานะซ้อนนะ มันเป็นอุปกิเลสมานะ เป็นสังโยชน์เบื้องสูง เป็นอัตตามานะ เสร็จแล้วเราก็ไปหนำใจ เออ! เอ็งนี่ดี ยิ่งมีคนมาทำ ให้เอ็งต่ำไปได้ เอ็งจะได้ฉิบหาย ฉิบหายข้าก็ยิ่งชอบใจ อาการสะใจ อาการหนำใจ อาการที่ชอบใจ ที่เขาตกต่ำ อย่างนี้มันเลว อย่างนี้มันเป็นอุปกิเลส

พระพุทธเจ้าสอนเราให้มีความเมตตาแผ่ไปทั่วทุกทิศ ทุกสรรพสัตว์ สัตว์ใด ตกต่ำ สัตว์ใดเจ็บปวด ทุกข์ร้อน สัตว์ใดที่ทารุณโหดร้าย ต้องมีเมตตา เราต้องรู้ความจริงว่า ความไม่ดีไม่งามนั้น คือความไม่ดีไม่งาม มันมีอยู่ในผู้ใด เราจงเพ่งเพื่อที่จะให้ความไม่ดีไม่งามของเขานั้น ออกไป จากตัวเขา มีวิธีใด มีความฉลาดใด ที่เราจะทำให้ความ ไม่ดีไม่งามนั้นออกไปจากตัวเขาได้ จงใช้ความรู้ จงสำคัญในความสำคัญให้ชัด อย่าไป หนำใจที่เขาตกต่ำ เขายิ่งมีกิเลสมากขึ้น เราก็เลยยิ่งชอบใจ อย่างนี้ไม่ถูกเลย เขายิ่ง จะเป็นจะตาย เขายิ่งจะทุกข์ร้อนหนักขึ้นๆ เราก็ยิ่งหนำใจ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เราอย่าไป ปรารถนาร้ายกับใครต่อใคร เราต้องปรารถนาดีด้วยกัน

สูงขึ้นมา พวกเราอยู่ด้วยกัน พวกเรานี่อยู่ด้วยกันแล้ว พวกเราหลายผู้หลายคน อยู่ด้วยกันแล้ว มีฐานะไม่ได้ต่ำกว่าเกรด อาตมาพยายามพูดแต่เรื่องนี้ คุณจะเข้าใจ แค่ไหน ไม่ได้ต่ำกว่ามาตรฐาน อยู่ด้วยกันกะพวกเรานี่ เขาไม่ได้ต่ำกว่ามาตรฐานขีดต่ำที่ เรากะไว้นี่ เขาไม่ได้ต่ำกว่านั้น ไม่ได้ต่ำกว่ามาตรฐานนั้น แต่เสร็จแล้วเราก็เกิดชัง เกิดโทสมูล เกิดแค้น เกิดไม่ชอบ เกิดโกรธ เสร็จแล้วเราก็หาทางหาเรื่อง จนกระทั่ง ขจัดเพื่อนเรานี่ ที่ไม่ได้ต่ำกว่ามาตรฐานออกไปจากหมู่กลุ่ม ออกไปจากแวดวง ออกไปจาก ความเจริญ นี่เป็นใจอำมหิตนะ มีใจอำมหิต ที่จริงพวกเรา กว่าจะหาหมู่มวลได้ขนาดนี้ แม้เขายังไม่เจริญเร็วดังใจเราคิด เขายังช้าหรือเขายังไม่ดีไม่งาม อยู่ในขนาดใดขนาดหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้ต่ำกว่าเกรด ไม่ได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ฟังให้ดีนะ เกรดต่ำสุด ของมาตรฐาน เราขนาดไหน สมณะก็ขนาดหนึ่ง สิกขมาตก็ขนาดหนึ่ง กรัก นาค ก็ขนาดหนึ่ง ปะก็ขนาดหนึ่ง อารามิก อารามิกาก็ขนาดหนึ่ง ฆราวาสก็ขนาดหนึ่ง แม้เราจะอนุโลมเอาว่าศีล ๘ ก็ต้องรู้จักอธิศีล มันไม่ใช่ง่ายๆ มันซับซ้อน

เพราะฉะนั้น คนในระดับฐานะแต่ละฐานะ ฐานานุฐานะของเขา ฐานานุฐานะ หมายความว่า ฐานะตามฐานะ ฐานาอนุฐานะ ตามฐานะ ก็มีฐานะตามฐานะของเขา เราจะต้องรู้เกรด รู้มาตรฐาน รู้ขอบขีดขอบเขตของแต่ละบุคคล สมณะไม่ได้มีฐานะเท่า ฆราวาส เราอย่าทำตนเหมือนฆราวาส หรือว่าแม้แต่ สิกขมาตุ ก็ไม่เท่าฆราวาส แม้แต่ สมณุทเทส ไม่ได้เท่าฆราวาส หรือ กรัก นาค ก็ไม่ได้เท่ากับฆราวาสทีเดียว มีอธิศีลอยู่ ในฐานะ ปะก็ตาม อารามิก อารามิกาก็เช่นกันนะ มันก็จะละเอียดลออขึ้นไป เราจะต้องพยายามทำความเข้าใจให้ดี ให้สมสัดสมส่วน

เพราะฉะนั้น ในคนฐานะกรัก ฐานะนาค ไม่เหมาะสม เราก็ลดหลั่นลงไป เมื่อมีมาตรฐาน ไม่เหมาะสม เท่ากรักเท่านาค เราก็ลดลงไปเป็นปะ ไม่เหมาะสมเท่ากับปะ เราก็ลดไปเป็นอารามิก ไม่เหมาะสมเท่าสมณะ เราก็ลดลงไปเป็นสมณุทเทส ไม่เหมาะสมเท่าสิกขมาต ลดลงไปลงเป็นกรัก อะไรอย่างนี้ เราก็เคยทำ ไม่ใช่ว่าพรวดพราดเลย เป็นสมณะก็ให้สึกไปเป็นฆราวาสซะ สิกขมาตก็ไล่ให้สึก บีบคั้นให้สึกออกไปเป็นฆราวาสซะ ออกไปเลย กรัก นาค บีบคั้นให้ตกออกไป เป็นฆราวาสไปเลย ออกนอกหมู่นอกกลุ่มยิ่งดี นั่น ใจอำมหิต เอาความโกรธแค้นเป็นที่ตั้ง เอาความไม่ชอบใจเป็นที่ตั้ง ไม่ถูก ใจดำอำมหิต แบบนั้น

พวกเรา กว่าจะได้หมู่กลุ่มขนาดนี้นี่นะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องที่ โอ้โฮ! ที่ความเข้าใจ และอดทนฝึกฝน กว่าจะมีภูมิมีฐานไล่เข้ามารวมได้กลุ่มหมู่หลายฐานะ มีฐานะต่างๆ แม้แต่ในฆราวาสเองนี่ก็ โอ้โฮ! หลายฐานะ ที่จะมีอธิศีลที่ต่างกัน ไม่ใช่น้อยๆ เราก็ต้องเข้าใจ เราพยายามศึกษาให้ละเอียดลออ อย่าไปมีความเผิน มีความไม่เข้าใจอะไรๆ พวกนี้ได้ ต้องพยายามศึกษาให้เข้าใจ จะบังคับความเข้าใจก็บังคับไม่ได้ แต่ว่าชี้นำชี้แนะให้ศึกษาดีๆ

มีอยู่อย่างหนึ่ง อาตมาเคยเตือนพวกเราหลายทีแล้ว ชอบที่จะไปคิดถึงคนที่เขาตกต่ำ และก็ว่า เรามีฤทธิ์ นี่เพราะมาว่าพ่อท่านเทียว เขาจึงตายโหงแล้ว แหม! ไฟไหม้บ้านแล้ว อาตมาบอก ทำไมคุณถึงโง่ขนาดนั้น อาตมาไม่ต้องการที่จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ อาตมาจะมีฤทธิ์มาก ขนาดไหน ก็แล้วแต่ อาตมาไม่อยากมีฤทธิ์ไปทำให้คนเขาตกทุกข์ได้ยากนะ ถ้าอาตมามีฤทธิ์ แล้วไปทำให้คน เขาตกทุกข์ได้ยาก อาตมาไม่อยากมีฤทธิ์เหล่านั้น

ถ้าจะมีฤทธิ์ อาตมาอยากจะมีฤทธิ์ นี้เพราะพ่อท่านเชียว เขาจึงเป็นพระโสดา เพราะพ่อท่านเชียวนี่ เขาจึงได้เป็นพระอรหันต์ เออ! อย่างนี้อาตมาอยากมีฤทธิ์ ถ้ามีฤทธิ์อย่างนี้ เพราะพ่อท่านเชียว นี่เขาแต่ก่อนนี้ สำมะเลเทเมา เดี๋ยวนี้เขาก็หายจากสำมะเลเทเมาแล้ว นี่เพราะพ่อท่านเชียว เขาขับรถประมาท แหม! เกือบจะตายโหงแล้ว แต่เขาไม่ตาย เออ! อย่างนี้เพราะฤทธิ์ เพราะเดชพ่อท่านเชียว เขาจึงไม่ตายโหง เขาจึงขับสุขุม ละเอียดเรียบร้อย เออ! อย่างนี้แล้วก็เอา อาตมาเอา ถ้ามีฤทธิ์อย่างนี้ แต่ถ้ามีฤทธิ์ เห็นไหม เพราะพ่อท่านเชียว รถคว่ำเลย ตายโหงเลย นี่เพราะอยากมาว่าพ่อท่านเชียว มาด่าพ่อท่านนะ นี่จะมาว่าพ่อท่าน ตายโหงเลย นี่เพราะพ่อท่านเชียว ถึงได้ล่มจม ขาดทุนฉิบหายวายป่วงเลย นี่ที่มาด่าพ่อท่าน แต่ก่อนก็ร่ำรวย เดี๋ยวนี้จนไปเลย ถึงแม้จะเป็นในเรื่องของสมมุติสัจจะ ตกต่ำด้วยอะไร ด้วยทุกข์ด้วยยาก อย่างนั้นก็ตาม อย่าเอา อาตมาไปมีฤทธิ์มีเดชให้เขาวินาศสันตะโรตกต่ำอะไรอย่างนั้น อาตมาไม่เคยชื่นชมเลย เพราะพ่อท่านเชียว นี่เห็นไหม ไฟไหม้บ้านเขาแล้ว เฮ้! ทำไมนะ เราไปมีฤทธิ์มีเดช เราและเดชฤทธิ์ของเรามันแตะไม่ได้ เขาก็เลยฉิบหาย วินาศสันตะโร ตกต่ำลำบาก

ถ้าเราจะมีฤทธิ์ ก็ไม่ใช่ว่ามีฤทธิ์ไปทำให้คนอื่นเขาลำบาก จริง เขาอาจจะมีวิบากของเขา และเขาก็อาจ จะมาทำอะไรไม่ดีกับเราก็ตามเถอะ ก็อาจจะมีส่วน มีความจริงอยู่บ้าง แต่ทำไม ถึงไปยินดีกับเขาด้วยตกต่ำ สะใจกับที่เขาตก ฟังให้ดี ฟังธรรมะ ทำไม ศึกษาให้ละเอียดในใจ ตั้งใจในใจให้ดี คิดนึกให้ดีนะ มันลึกซึ้งนะ ธรรมะพระพุทธเจ้านี่ ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ไม่ได้ และเราจะเป็นคนมีเมตตาได้ยังไงในโลก มันอำมหิตโหดร้ายนี่แบบนี้ ไปหนำใจกับคนตกต่ำ ไปหนำใจกับคนทุกข์ร้อน เขายิ่งได้ทุกข์ยิ่งขึ้น เรายิ่งหนำใจอย่างนั้น โอ้! สมน้ำหน้า สมน้ำหน้า ว้า! มันไม่ถูกนะๆ ฟังดีๆ

อย่าไปมีความคิดนึกอย่างคนโลกๆที่คิดอย่างนั้น จริง มันมองเผินๆ มันมองในแนวหนึ่ง มุมหนึ่ง ก็รู้สึกว่า เขาควรจะได้ เห็นไหม อยากมาแตะต้องพระอริยะ ได้รับโทษ ได้รับภัย มันอาจจะมีจริง มันอาจจะเป็นจริงในสัจจะได้ นี่มาแตะต้อง หรือว่ามาทำกับพระอริยะชั้นสูง เขาก็ได้รับโทษรับภัย เป็นวิบากอะไรผสมผเส แต่มันไม่ใช่วิบากอันนั้นอันเดียว มันเป็นอจินไตยนะคุณ อย่าเพิ่งไปนั่งเหมา เรื่องอะไรๆไปนัก เขาจะได้รับก็ตามเถอะ เราน่าจะเวทนา เราน่าจะสงสาร เราน่าจะสมเพช เราน่าจะเมตตา เราน่าจะเห็นใจขึ้น แทนที่จะไปหนำใจ แทนที่จะไปสะใจ แทนที่จะไปยิ่งข่ม ยิ่งเพ่งโทษ ยิ่งอะไรต่อมิอะไรลงไป ยิ่งไปตีกระหน่ำเขาลงไป นั่นมันไม่ถูก อย่าทำใจในใจอย่างนั้น จงมีสติ มีสติ สัมปชัญญะดีๆ ธรรมะพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา ทุททสา ทุรนุโพธา ลึกซึ้ง ประณีต สุขุมยิ่งนัก ลึกซึ้งจริงๆ ไม่ใช่เห็นได้ง่ายๆ ตามได้ง่ายๆ ต้องเรียนรู้ ถ้าเราเผลอๆไผลๆ อุปกิเลส ต่างๆนี่แหละ เป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่เรารู้ตัวรู้ตนไม่ได้ง่ายๆ มันลึกซ้อน

เพราะฉะนั้นศึกษาดีๆ พยายามฝึกฝนศึกษา แล้วอย่าเผลอไผล มีสติสัมปชัญญะ อย่าเอาแต่อำนาจ อำเภอใจ อัตตามานะกิเลสสูงๆขึ้นไปแล้ว อัตตามานะกิเลสนี่ ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไป เรียนรู้เอาต่อเมื่อ เป็นพระอนาคามี ไม่ใช่นะ อย่าเข้าใจผิด มานะสังโยชน์ นี่ จะต้องไปเรียนรู้เอาตอนเป็นอนาคามี มันไม่ได้เป็นอนาคามีเลยเชียวแหละ ถ้าอัตตามานะมันหยาบอยู่ ตั้งแต่เป็นโสดา มันก็ไม่ได้ขึ้น เป็นอนาคา โสดาก็จะต้องเรียนรู้สังโยชน์ทั้ง ๑๐ ไม่ได้หมายความว่า โสดานั้นพ้นสังโยชน์ ๓ แต่ไม่เรียนสังโยชน์ ๑๐ ไม่ใช่นะ ถ้าคุณเอง มีอวิชชาสังโยชน์ตั้งแต่ตัวต้น คุณอวิชชาตั้งแต่ตัวต้น โสดาคุณก็ไม่ได้เป็น

ฟังใหม่ สังโยชน์ ๑๐ ข้อ สังโยชน์ตัวสูงสุดคืออวิชชา และคุณก็บอกว่า ฉันจะไปตัดอวิชชาอยู่โน่น เมื่อสังโยชน์ ๕ เบื้องสูงเป็นพระอนาคา ถึงจะไปตัดอวิชชา ไม่ใช่ คุณเรียนรู้อวิชชา ตั้งแต่เป็นปุถุชน แล้วก็รู้ด้วยว่า อันนี้เป็นอวิชชาขั้นต้นเลย อวิชชาสังโยชน์ขั้นต้นเลย เราก็เรียนรู้ตั้งแต่ขั้นต้น แล้วจนกระทั่ง เราละกิเลสระดับต้น โดยมีตัวจักร คือตัวสักกายะ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เป็นตัวจักร สังโยชน์จักร เป็นตัวจักรที่ จะละลดกิเลส เมื่อละลดกิเลสได้ ก็คือพ้นสักกายะ คือกิเลสหยาบ ขนาดนั้นได้จริงๆเลย มีศีล มีพรตปฏิบัติ จนกระทั่งลดละได้จริงๆ เห็นจริงๆ มีญาณปัญญา มีญาณรู้ คุณต้องมีญาณ คุณต้องมีอุภโตภาควิมุติ แม้มันไม่ถึงขั้นอุภโตภาควิมุติ ต้องรู้วิราคานุปัสสี และก็รู้ นิโรธานุปัสสี ตามขั้น ตามลำดับ เกิดญาณ โสดาก็ต้องมีญาณรู้เอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาสอบญาณเรา เพราะฉะนั้น เราลดอวิชชาสังโยชน์มาได้ระดับหนึ่ง ไม่ใช่ไม่ลดอวิชชา พระโสดาก็ต้องลดอวิชชา ลดมานะอัตตา ลดอุทธัจจกุกกุจจะ ลดนะ อุทธัจจะสังโยชน์ก็เรียนรู้จริงๆ แล้วเราก็ลด แม้แต่รูปราคะ อรูปราคะ ซึ่งมันจะยากหน่อย มันซ้อนเชิง เราก็ลดเหมือนกัน พระโสดาจะตัดอนุสัย พ้นอาสวะมาได้ ก็ต้องพ้น ในความจริงของความต่ำ เรื่องของโลกียะ ในระดับอบายภูมิต่ำๆ คุณก็ต้องถอนอนุสัยอาสวะ ขึ้นมาจริงๆเหมือนกัน ไม่เช่นนั้น จะเป็นโสดาบันได้ยังไง มันมีอรหัตผลในโสดาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น สังโยชน์ ๑๐ ใช้หมด ฟังให้ดีนะ อย่าไปเผลอไผล เราจะไปตัดมานะอัตตา ต่อเมื่อเป็นพระอนาคา ถ้าคุณหลงผิดอย่างนี้ มิจฉาทิฐิแบบนี้ คุณไม่ได้เป็นแม้แต่โสดา สกิทาก็ไม่ขึ้น

สมมุติว่าคุณได้โสดามาบ้าง สกิทาคุณก็ขึ้นไม่ได้ เพราะคุณเข้าใจผิด อัตตามานะมีตลอดมา ตั้งแต่ปุถุชนไปโสดา สกิทาก็ต้องลดมาตามลำดับ ไม่ใช่ไปลดอัตตามานะ อยู่ที่อนาคามีภูมิ ไม่ถูก ไม่ใช่ อย่าไปเข้าใจแหว่งๆเว้าๆ เหมือนกับอย่าง ศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้ เรียนกันเป็นตัวตน เป็นตัวๆ ไม่มีสัมพัทธภาพ ไม่มีตัวที่ซับซ้อน สภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่เรียกว่า ปริวัฏเชิงซ้อน ปริวัฏซ้อน มีสัจญาณ กิจญาณ กตญาณซ้อนอยู่ในอริยสัจ ๔ อันนี้อาตมาไม่ได้เอามาพูดกันนานแล้ว อริยสัจ ๔ นี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค และก็จะต้องรู้สัจจะ ตั้งแต่สักกายะ แล้วก็รู้ว่า เราจะต้องกระทำ กิจญาณ มีญาณรู้ว่า เราได้ปฏิบัติถูกตรงกับสักกายะแต่ละฐานะ จนกระทั่งเสร็จสำเร็จ เรียกว่า กตญาณ มีญาณรู้ว่า ปฏิบัติได้แล้ว เสร็จกิจแล้ว จบกิจแล้ว ก็ต้องรู้ว่าเราได้เราเป็น ในทุกข์อะไร ในเหตุแห่งทุกข์อะไร นิโรธอะไร ได้อริยสัจ ๔ ที่มีญาณ ๓ เป็น ปริวัฏ ๑๒ นี่เรียกว่าปริวัฏเชิงซ้อน ปริวัฏ ๑๒ อันนี้แหละ ที่อาตมาเรียกว่า สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน สังโยชน์ ๑๐ อยู่ในนี้ด้วย ไม่ได้หมายความว่า โสดาบันไม่ได้ปฏิบัติสังโยชน์ ๑๐ ไม่ใช่ แต่ปฏิบัติสังโยชน์ ๑๐ นั้น พ้นสังโยชน์ ๓ ในขนาดของกิเลสระดับหนึ่ง สักกายะระดับหนึ่ง พ้น โดยเฉพาะเขาบอกว่า ปิดอบาย โสดาปิดอบาย อบายภูมิอย่างหยาบ ซึ่งก็แบ่งมาให้เรียนแล้ว ตั้งแต่อบายมุข ซึ่งเป็นเหตุปัจจัย ตัวเป็นรูปธรรม และเราก็ต้องเรียนรู้ปรมัตถ์ โสดาบันก็ต้องมีญาณในปรมัตถ์ ไม่ใช่ไม่เรียนรู้ปรมัตถ์ ถ้าไม่งั้นไม่ได้หรอก มันลึกซึ้ง ธรรมะพระพุทธเจ้าลึกซึ้งจริงๆ ทุกวันนี้โสดาก็ไม่รู้ สกิทาก็ไม่รู้ อนาคาก็ไม่รู้ ศาสนามันมี ๒ ฐานเท่านั้น ปุถุชนกับอริยะ เพราะฉะนั้น เขาจะพูดกันแต่แค่ พอเป็นปุถุชน ปั๊บ มาเป็นพระปั๊บ เป็นพระอรหันต์เลย

เดี๋ยวนี้ เขามีพระอรหันต์กับพระธรรมดาเท่านั้น เขามีสองฐานเท่านั้น โสดา สกิทา อนาคา ถึงซับซ้อน ไม่รู้กี่ชั้นๆ เขาไม่รู้เรื่องหรอก ไม่เข้าใจกันได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปเผิน ถ้าไม่เช่นนั้น เราทำงานศาสนา หรือว่าเราทำตนเรานี่ ให้เป็นอริยะที่เจริญเข้าไปสู่ฐานะที่สูงขึ้นๆ โดยสัจจะไม่ได้ เราทำไม่ได้ จะทำได้ก็ต้องศึกษาจริงๆ เพราะฉะนั้นต้องสังวรระวังบ้าง แม้แต่สมณะเราก็ขอเตือน อย่าไปเที่ยวพร่าประโยชน์ตน เพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก

ทุกวันนี้งานของเรามันมาก และงานในมันก็เยอะ ในระยะนี้เราต้องกำหนดรู้ ตอนนี้เราเข้าพรรษา ก็คือเข้าพรรษา ตอนออกพรรษาก็ออกพรรษา และจะต้องคำนึง ถึงกัมมารามตาด้วย ต้องคำนึงถึง ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน อย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก จริงๆ ต้องทำนะ การพร่าประโยชน์ตนนี่ อาตมาบอกทั้ง ๒ ทิศ ที่ไปทำแต่ประโยชน์ท่านที่ไม่ถูกเรื่อง เกิน หรือทิศที่หลงว่า เราทำประโยชน์ตน กลายเป็นสร้างอัตตา สร้างรู สร้างภพภวตัณหาให้ตนเอง โดยหนีไม่เอาประโยชน์ท่านเลย ไม่เกื้อกูล ไม่เอางานเอาการ ไม่เอาสิ่งที่จะต้องเกื้อกูลผู้อื่น โดยมีผัสสะ โดยมีการงาน มีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา กัมมันตะ อาชีวะ อะไรที่สัมพันธ์ กับหมู่กลุ่ม กับคนอื่นๆ ไม่! เอาแต่อยู่ในภพ อยู่ในเรี่ยวในรูของตัวเองอยู่อย่างนั้น ได้แต่ฟุ้งได้แต่ฝอย ได้อุทธัจจะ ฟุ้งซ่าน ปรุงแต่ง หรือไม่ก็หาทางสงบแบบภพ แบบภวตัณหา สะกดจิตแบบฤาษี เอาแต่อยู่นิ่ง สงบๆๆๆ และเราก็นึกว่า เราทำประโยชน์ตน แท้จริงนั่นบำเรอตน นั่นเป็นอัตตา เสร็จแล้ว เราก็ไปมองเพ่งคนอื่น มันทำแต่งาน ดูซินั่น มันไม่รู้ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน แล้ว ตัวเองนั่น พร่าประโยชน์ตนหมด แล้วไปทำงานให้คนอื่น ตัวเองไม่เอาประโยชน์ตน ทุกข์ร้อน วิ่งวุ่นอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่รู้ ไม่เหมือนเรา เรานี่สงบแล้ว เลิกแล้วซึ่งโลก ไม่เอาแล้ว งานการอะไรนั่น เป็นความอยากได้ เป็นความตะกละตะกลาม ติดงานกัน ไม่เหมือนเราหรอก อยู่ว่างๆ สบาย เบา ง่าย ไม่ใช่ง่ายน่ะ จะรู้ความจริงไม่ใช่ง่ายนะ จะเกิดญาณ คมฺภีรา ทุทฺทสา ทุรนุโพธา

เพราะฉะนั้น คำว่ามัชฌิมา คำว่าสมดุล คำว่าลงตัว คำว่าได้ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน อันได้สัดส่วน ที่พอเหมาะพอดีข้างนอกข้างในอะไรต่างๆ ไม่ใช่ง่าย เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าผู้ใด มีเลือดฤาษี มองไปในแง่ที่ประเภทที่ไม่เข้าใจภวตัณหา ไม่เข้าใจอัตตามานะแล้ว มันจะออกไปในทิศทางนี้แหละ เข้าป่าเข้าเขาเข้าถ้ำ อยู่คนเดียวเงียบๆ และยิ่งเข้าใจว่า อยู่คนเดียว แล้วแปล เอโก เอกี อย่างที่ว่าในพระไตรปิฎก แปลเป็น อยู่คนเดียวๆๆๆไปหมดเลย ทั้งๆที่เอกะ เอกี เอกา เอก นี่ มันแปลว่าเลิศ แปลว่า ยอด แปลว่าสำเร็จเลยนะ แปลว่าสูงสุดเลย เอก เป็นเอก เป็นหนึ่ง บิณฑบาตเป็นหนึ่ง อยู่เดินเป็นหนึ่ง เดินก็ไปมา มีอิริยาบถอะไรเป็นหนึ่ง เป็นเลิศเป็นยอด จบ และเขาบอกว่าเดินผู้เดียว กินผู้เดียว อยู่ผู้เดียว หมดเลย เออ! มันเป็นศาสนาโดดเดี่ยวผู้เดียว เอาเสียจริงๆเลยนะ นี่ความเอนเอียงของภูมิธรรมของคน มันไม่รู้จักมัชฌิมา และมันไม่สมบูรณ์ มันไม่รอบถ้วน มันก็เลยกลายเป็นอัตตามานะ เอาแต่ตัวของกู เห็นแก่ตัวของกู กูนี่แหละถูก

อาตมาถึงได้ยกตัวอย่างพระกัสสปะ พระกัสสปะเป็นผู้ที่เป็นยอดฤาษีที่อยู่เขต ถ้าใครเกินกว่า พระกัสสปะไปแล้ว ตกขอบศาสนาพุทธเลย เพราะมองแต่ตนเป็นหลัก อัตตาใหญ่ที่สุดเลย กัสสปะนี่ อัตตาใหญ่มากนะ ในภพ ภวตัณหามาก เป็นขีดเขต พระกัสสปะ เป็นขีดเขตของอัตตา เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดที่เอาแต่ตามอำเภอใจตัว แล้วก็มักน้อย จนเกินขีดของพระกัสสปะไปแล้ว บรรลัยแล้ว ไม่มีหมู่ ไม่มีกลุ่ม ไม่มีฝูง พระกัสสปะมีหมู่กลุ่มนะ มีพระมีอะไรต่อมิอะไรอยู่ เป็นหมู่ เป็นฝูงอยู่ ไม่ได้อยู่เดี่ยวๆ ไปไหนเดินตะลอนๆ จาริกอะไรนี่ โอ้โฮ! คนที่เดินตะลอนๆชั่วชีวิตนี่นะ หอบหิ้วกันไป ตะเร็ดเตร็ดเตร่อยู่ คุณไปทำดูหน่อยเถอะนะ บอกตรงๆเถอะ ผมเองผมก็ยังไม่ไหวเลย หอบกันไป มีพระ ๕๐๐ รูปไป โอย! ไม่เบื่อแล้วคุณเอ๋ย และผู้ที่จะมีอินทรีย์พละอย่างเดียวกัน คุณพากันไปจาริกดูหน่อยซิ ไม่ต้องพา ๕๐๐ รูปหรอก ๕ รูปเท่านั้นแหละ คุณไปเถอะ พากันจาริกหน่อยซิ ไปตะเร็ดเตร็ดเตร่ ไม่ต้องนานเท่าไหร่หรอก ขอสักปีเท่านั้นแหละคุณ ขอสักปี อยู่ให้เป็นสุขเถอะ

คนนี่มันเจ็บปวดมันก็ แหม! กิเลสขึ้นเร็ว เมื่อยกิเลสมันก็ขึ้นเร็ว หิวก็กิเลสขึ้นเร็ว ไปจาริกอยู่อย่างนั้น บางทีอดอยากนะ หิวก็กิเลสขึ้นเร็ว วันนั้นก็รวบรวมกันแล้ว หนึ่ง หิว สอง เมื่อย สาม ป่วย สี่ อัตตาจัด เราใช้คำนี้ซะให้ชัด อัตตาจัดนี่คือ มีความเพ่งแรง ปรารถนาจัดในเรื่องนั้นเรื่องนี้ อะไรก็แล้วแต่ เสร็จแล้ว มันก็โกรธง่าย โลภง่าย จิตใจอ่อนแอ พวกนี้จะอ่อนแอ คนป่วยจิตอ่อนแอ กิเลสเข้าง่าย หิวก็อ่อนแอ กิเลสเข้าง่าย เมื่อยมาก็เดี๋ยวเถอะ กิเลสมันอ่อนแอ กิเลสเข้าง่าย อัตตาจัดนี่กินความหมดแล้ว ในเรื่องที่บอกว่าเครียดมาก อะไรอย่างนี้ ง่วงนอน นอนไม่ได้พัก เต็มที่อะไร โกรธง่ายอะไร โลภง่ายอะไร ใช่ มันเป็นเรื่องจริงนะ มันเป็นเหตุปัจจัยมาจาก การบำเรอตน ปรารถนาตนเอง จะสมใจตนเองได้ไว มันบำเรอมานะอัตตา อัตตาจัด ก็เคยกำชับกันแล้ว เพราะฉะนั้น ไอ้จาริกอยู่นี่ มันเมื่อยนะ มันเมื่อยง่าย หิวง่าย มันไม่ค่อยได้บำเรอ เท่าไหร่หรอก ดีไม่ดีก็เจ็บตีน เจ็บขา เจ็บปวดตรงนั้นตรงนี้ เดี๋ยวเถอะ ได้เรื่องนะ ได้เรื่อง เดี๋ยวก็ไปไว เพราะฉะนั้น อ่านให้ดีๆ ธรรมะของพระพุทธเจ้าลึกซึ้ง จริงๆ พยายามศึกษาดีๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

ทีนี้อาตมาได้ยินข่าว สมณะของเรา ไปบอกฆราวาส ไปบอกเด็ก ไปบอกใคร ว่า ทำงานถ้าเมื่อยแล้ว ก็ผิดนะ ไม่ได้นะ อย่างนี้วินาศสันตะโรแน่ ไปสอนเขาบอกว่า เมื่อยน่ะผิดนะ ทำงานเมื่อยไม่ได้ ไปว่าเมื่อยไม่ได้ ถือว่าผิด เมื่อยซิ เมื่อยได้ ต้องเมื่อย นะ คนนะ โดยสุขภาพโลกๆเขา โลกียะธรรมดา ก็ยังต้องเมื่อย ออกกำลังกายต้องเมื่อย เมื่อยมันไม่มีปัญหา อย่าให้เมื่อยจนเกินขีด ที่จะสุขภาพเสื่อม ออกกำลังกาย เป็นต้น เมื่อยเกินขีด สุขภาพก็เสื่อม ไอ้ทำงานจนกระทั่งเมื่อย จนสุขภาพเสียนี่หาได้ยาก หาได้ยาก ความขี้เกียจมันจะมาเข้าก่อนละ กว่าจะเมื่อย จนกระทั่ง เราจะเลิกงาน โอ๊ย! หาได้ยาก เพราะฉะนั้น สอนคน แนะนำคนต้องให้สำคัญ ไม่เช่นนั้นแล้ว แย่เลย อย่าไปให้เขามิจฉาทิฐิ อย่าให้เขาไปแนะไปพูดอะไรต่ออะไรเขา

ได้ข่าวมาว่า สมณะของเราไปแนะนำ ฆราวาสไปแนะนำเด็กทำงานนี่ เป็นไง ถ้าเมื่อยแล้ว ยังฝืนทำไป เสียนะ ผิดแล้วนะ ไม่ได้นะ พูดอย่างนี้ผิดนะ เขาเมื่อย ให้เขาเมื่อย เด็กให้เขาเมื่อย ได้มากยิ่งดี เพราะเด็กออกกำลังแล้วจะต้องการพลังงาน ที่จะต้อง เซลล์ประสาท กล้ามเนื้อให้โต

เพราะฉะนั้น เด็กมันจะวิ่ง มันจะออกกำลังเมื่อยมากหน่อยได้ทีเดียว เด็กไม่เสื่อม เด็กเมื่อยมากๆ ไม่เสื่อม อย่าไปยุแหย่เด็กเป็นอันขาด ถ้าไปให้ความคิดที่ผิดยังงี้ ตั้งจิตในจิต หรือความเข้าใจผิดยังงี้ บรรลัยหมดเลย บรรลัยตั้งแต่ฐานะความขยันหมั่นเพียรของเด็ก และความโต สุขภาพเด็กนี่ มันจะต้องวิ่ง เหน็ดเหนื่อยหอบแฮ็กๆ เหงื่อไหล ไคลย้อยเสมอๆ เพราะเด็กจะต้องอยู่ในวัยนั้น เซลล์ประสาทกำลังสด กำลังใหม่ ต้องการที่จะต้องให้มีสะพัด แรงๆมากๆ เพราะฉะนั้น เด็กให้ออกกำลังกายมากๆ ถูกแล้ว ผู้ใหญ่ออกกำลังกายเหมือนเด็กไม่ได้หรอก เซลล์ประสาท ความสด อะไรต่างๆนานา มันทรุด มันเสื่อมแล้ว ไม่ได้ นี่เราเข้าใจไม่พอ และเราเข้าใจอะไร ผิดๆพลาดๆแล้ว มันจะเสียหาย เราไปบอกไปแนะอะไร ไม่ถูกต้องถูกทางอะไรนี่ ไม่ได้นะ ต้องพยายามระวังน่ะ ขยันหมั่นเพียรน่ะดี อย่าไปเที่ยวได้ แหม! เราต้องดูจิตใจเรา เอ๋! เราไปบอกเขา เพราะอะไรกันแน่ ทำไมเขาทำงานดีแล้ว แล้วก็อยู่ในวัยในฐานะที่ดีด้วย ให้แกเมื่อยมากๆหน่อย ก็ยังดี เด็กมันไม่เป็นไรหรอก แกเมื่อยๆเพลียๆ ประเดี๋ยวแกก็นอนหลับปุ๋ยไปเลย แล้วแกก็ มันก็สะพัดหมุนเวียน แกไม่มีเรื่องในหัวแกมากเท่าไหร่ เด็กๆแกไม่วุ่น ไม่ปวดหัวอะไรมากมายนัก เพราะฉะนั้น หลายๆอย่าง มันจะต้องเข้าใจฐานะของคน เด็กก็ขนาดหนึ่ง จะโตมาพอสมควร ขนาดหนึ่ง อะไรขนาดหนึ่ง เราจะต้องรู้ ต้องให้มันสอดคล้อง แนะนำอะไรก็ตาม ให้มันสอดคล้อง ให้มันลงตัว ไม่เช่นนั้นแล้วเสียหาย พังไปหมดละ หลายๆอย่างก็พังไป แม้แต่กิเลสก็พังไป กิเลสก็เสียด้วย อะไรที่เรายังไม่เข้าใจ ก็ควรจะต้องถามผู้ใหญ่บ้าง อย่างโน้นอย่างนี้ ทำไมนะ ให้ทำอย่างนี้กัน ทำไมไม่ห้าม ทำไมถึงปล่อยปละละเลย ระวัง อะไรมันถูกแล้ว ผู้ใหญ่ก็เห็นอยู่ รู้ข้อมูลอยู่ เพราะฉะนั้น พวกเราระลึกว่า เราเอง เรารู้มากรู้มายอะไรนี่ ระวัง ฐานะแต่ละฐานะ มันมีอะไรๆ ซ้อนเชิงอยู่มาก ต้องระวัง นี่ก็นึกอะไรได้บ้าง หลายๆอย่าง หลายๆข้อมูล บางทีนึกไม่ออก ได้รับข้อมูล ได้รับรายงาน พวกเรานี่ เสร็จแล้วก็มันไม่สมบูรณ์ มันไม่อะไรอยู่ ก็พยายามบอก พยายามทำความเข้าใจให้ เสร็จแล้วเราก็เอาไปแก้ไขปรับปรุง

พวกเรากำลังเรียนรู้ในแนวลึกขึ้นเยอะ ในแนวที่ละเอียดลออ รู้ยากขึ้น เพราะฉะนั้น จะต้องพยายาม ใช้ปัญญา อย่าวู่วามเอาแต่อำเภอใจ เรานึกว่าเรารู้ เรานึกว่าเราเข้าใจถูกต้องแล้ว อย่าเพิ่งแน่ใจนัก ในแนวลึก ในความละเอียดลออสูงขึ้น มันไม่ได้เหมือนกัน มันมีภาวะตีกลับ มันมีภาวะซับซ้อน ต้องเรียนให้ดี มันลึกซึ้งจริงๆ ไม่ใช่ว่าเราเรียนลึกซึ้งภาษาพระพุทธเจ้าว่าเท่านั้น เสร็จแล้วไม่ได้รู้ว่า ลึกซึ้งคืออะไร ผิดถูกคืออะไร ไม่ใช่ว่าอะไรๆจะตัดสินกันง่ายๆได้ ตัดสินไม่ง่าย ค่อยๆมอง ค่อยๆดูหมู่ฝูง ว่ายังไง สงสัยก็ปรึกษาหมู่ฝูง ถ้าหมู่ฝูงมีมติแล้วผิด ก็ผิดด้วยกัน จะมาโทษกันไม่ได้ ยังไงๆ ก็เอาหมู่ฝูงเป็นหลักนี่มันดี อย่าไปเอาอำนาจอำเภอใจตนเองเป็นอันขาด

อย่างน้อยที่สุดหมู่ฝูงไป ถ้าบอกว่าปรึกษาหมู่แล้ว ถ้ามันผิด เออ! ไปด้วยกัน มันไม่เป็นไร ถ้าเผื่อว่าเราเอง เรานึกว่าเราแน่ เสร็จแล้วเราก็ทำไปตามอำเภอใจเรา หมู่ฝูงเขาว่ายังไง ก็ขวางๆ รีๆอยู่ อย่างน้อยมันก็บาดหมาง อย่างน้อยมันก็ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างน้อยมันก็ไม่เป็น ประสานหรือสมาน ซึ่งมันผิดไปจากแต่ต้นแล้ว มันไม่ประสานสมาน มันก็ไม่งามไม่ดีแล้ว เพราะถ้าแม้ว่าที่สุด มันจะผิดจะพลาด หมู่ก็ว่าไปแล้ว ใช้คน ใช้ความคิด เราก็ต้อง แหม! มันมีอะไร ใหญ่โตนักหนา หมู่มีความคิดโง่กว่าเราไปทั้งหมดอย่างนั้นหรือ มันจะไม่มีคนฉลาดกว่าเรา เชียวหรือในหมู่ เพราะฉะนั้นหลายหัว มันมีประโยชน์ พระพุทธเจ้าถึงให้ประชุมกัน หมั่นประชุม หมั่นมีอะไร ก็ว่ากันมา มีอะไรก็พูดกันไป ตกลงปรึกษาหารือกันตัดสินแล้ว

แม้แต่ในวินัยเคยบอกว่า ถ้าหมู่สงฆ์ที่ได้ปฏิบัติอะไรไว้ดีแล้ว ตกลงตัดสินเราดีแล้ว เสร็จแล้ว เรามารื้อใหม่ มานำ สงฆ์เขาตัดสินความ แล้วก็มีมติไว้ดีแล้ว แล้วก็มารื้ออันนี้ใหม่ขึ้นมา ท่านปรับอาบัติ ในวินัยก็มีอยู่ข้อหนึ่ง เห็นไหม ท่านปรับอาบัติว่า สงฆ์ทำไว้ดีแล้ว เสร็จแล้ว เราก็มาตะแบง รื้อสิ่งนั้นมานี่ ไม่เช่นนั้น มันไม่รู้แล้วหรอก ไม่รู้แล้ว ไม่รู้จบ แม้จะตัดสิน มีมติอะไรแล้ว เอ้า! รื้อขึ้นมาใหม่ๆ มันจะไปจบได้ยังไง ก็ตายกันพอดี มันไม่มีภาวะ ถึงเป็นยังไง เราต้องเชื่อว่า ในที่ประชุมนั่น ย่อมมีปราชญ์ ย่อมมีผู้รู้ ถ้ามีปราชญ์ มีผู้รู้ พรักพร้อมพอสมควรแล้ว แล้วก็น่าจะต้องมีความเชื่อถือ ในหมู่กลุ่มของสงฆ์ ศาสนาของพระพุทธเจ้า สงฆ์ไม่ได้ตายตัว ท่านตั้งวินัยเอาไว้ บอกวิธีการเอาไว้ สงฆ์นะ สงฆ์ในอุปโลกกรรม สงฆ์ในญัตติทุติยกรรม สงฆ์ในญัตติจตุตถกรรม อย่างนี้เป็นต้น มีกี่คนๆๆนะ มีจตุรวรรค มีปัญจวรรค มีอะไรวรรค มีสงฆ์ ๔ มีสงฆ์ ๕ มีสงฆ์ ๑๐ มีสงฆ์ ๒๐ อะไรขึ้นไป อะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็ทำกิจนั้นๆได้ ท่านกำหนดไว้ เป็นสูตร เป็นวินัยโดยไม่ได้ไปกำหนดระบุเจาะจง แต่ท่านก็เห็นความสำคัญในความสำคัญ ควรจะมีสงฆ์มากขึ้นหน่อย ขนาดนั้นขนาดนี้ เพื่อจะได้มีปราชญ์เข้ามามากคน มีผู้รู้ แล้วทุกคน ก็ต้องเอื้อในธรรม เอื้อในวินัย พอมีกิจสงฆ์ จะทำสังฆกรรม ข้าก็ติดงาน เอ็งก็ติดงาน เห็นไปตาม บำเรออัตตาตัวตน ไม่เห็นความสำคัญในกิจสงฆ์ สงฆ์จะทำอธิกรณ์ จะต้องมีโน่นมีนี่ เออ! คนนั้นคนนี้ เขาก็ไปได้หรอก คนนั้นคนนี้ก็ไปได้หรอก เรามันเก่ง คนเก่งนี่ แม้ทำงานมันก็เก่ง เพราะฉะนั้น เราต้องรู้บ้างว่า กิจสงฆ์อันนี้ มันคงจะต้องอาศัยหัวเรานะ เสร็จแล้วเราก็ไม่เอาภาระ ไม่เอื้อธรรม ไม่เอื้อวินัย ไม่เห็นแก่ธรรม ไม่เห็นแก่วินัย จะลงสังฆกรรม ทำโน่นทำนี่ ไม่เป็นไรหรอก คนนั้นคนนี้เขาก็ทำได้ คนนี้เขาก็ทำได้ เราอย่าไปเลย มันดูถูกตัวเอง หรือมันไม่เห็นแก่ธรรมเห็นแก่วินัย ไม่เห็นความสำคัญในความสำคัญ จะอัพภาณกันบ้าง จะต้องใช้สงฆ์ตั้ง ๒๐ เรียกแล้วเรียกอีก ทั้งๆที่หลายคน มีคนที่ทำงานนี่นะ ทำงานก็เจริญ มีปัญญาดี มันก็ควรจะเป็นปราชญ์ เป็นผู้รู้ เสร็จแล้ว เราก็ไม่ชอบ ไปนั่งทำไม นี่คือไม่รู้ความสำคัญ ในความสำคัญ ถ้าสังฆกรรม หรืออธิกรณ์ หรือกิจสงฆ์ กิจจาธิกรณ์ต่างๆนานาก็ตาม หรือจะเป็น อธิกรณ์อื่นก็ตาม เป็นวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ อะไรก็ตาม หรือกิจจาธิกรณ์ หมายความว่า อธิกรณ์สำหรับงานแต่ละงาน กิจจาธิกรณ์ ก็คือ กิจ + อธิกรณ์ อธิกรณ์ ก็คือทำกิจ ให้มันดีนั่นแหละ ทำกิจให้มันดี แล้วก็กิจจาธิกรณ์ กรณะ หรือ กิจนี่มันอันเดียวกัน คือการงาน กรณะ อธิกรณะ ทำให้งานนี้ดียิ่ง กิจจะ กิจจาธิกรณ์ ก็เอางานมาผสมเท่านั้น คืองานนี้เป็นงานสงฆ์ งานนี้เป็นงานแห่งศาสนา งานของธรรมของวินัย เราไม่เห็นงานของธรรมของวินัยสำคัญ กิจจาธิกรณ์บางอย่าง หลายอัน เราควรจะมาร่วมประชุม เราควรจะต้องมาพยายามพิจารณากัน ใช้การพิจารณาตัดสิน เข้าร่วมหมู่ ร่วมประชุม เสร็จแล้วก็ไม่เอาภาระ ไม่เห็นความสำคัญ ในความสำคัญ ไปเห็นความสำคัญในงานที่มันไม่ใช่งานธรรมะ ไม่ใช่งานสังฆกรรม งานนอกเกินไป เกินขอบเขต แบบนี้ไปไม่รอดหรอก ไปไม่ได้นาน เพราะว่าเราไม่รู้จักความสำคัญ ต้น กลาง ปลาย ได้สัด ได้ส่วน สิ่งนี้ก็ขอให้พวกเรา จงได้สังวรสำนึกกันบ้าง ในสมณะนะ

เรื่องนี้ก็ไม่ค่อยได้พูดนัก เราก็พูดขึ้นมา ก็คิดว่าเราผู้ใหญ่แล้ว พูดครั้งเดียวก็ คงจะเข้าใจไปอีกนาน ถ้าเราเห็นความสำคัญในความสำคัญพวกนี้ถูกต้อง ช่วยกันเป็นไปด้วยดีนะ ความเจริญรุ่งเรือง ของศาสนา ความเจริญรุ่งเรืองของมนุษยชาติ สังคมหมู่กลุ่ม อะไรพวกนี้ มันก็เจริญ เรากำลังไปดี ดังที่ยกตัวอย่าง หรือว่าเอาเหตุปัจจัยข้อมูลมาเล่า ให้ฟังแล้วว่า ทุกวันนี้ศาสนามันไปกันใหญ่ จะว่าเสื่อม มันก็เสื่อมกันไปมากมาย

ก็ได้กำชับกำชาอะไรกันมามากมายพอสมควร และวันนี้ก็ได้บอกกล่าวในเรื่องราว ที่ควรจะได้ทำ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ให้มันเจริญงอกงามขึ้น อะไรๆก็เจริญดีอยู่ ก็อย่าประมาทโทษภัย อันมีประมาณน้อย หลายคนที่อาตมาเทศน์เผื่อ ที่ไม่ลงศาลา สมณะก็ดี ฆราวาสก็ตาม ก็พยายาม ฟังธรรมฟังเทศน์ มีเทศน์มีอะไรอยู่พวกนี้ ก็ไปเปิดเท็ปไปฟัง นานๆพูดที พูดทั่วๆรอบๆ อะไรพวกนี้ ก็ต้องพยายามศึกษา เอาใจใส่ในการศึกษา พากเพียร ปฏิบัติประพฤติ เพื่อที่จะให้ได้เกิดความเจริญ งอกงามไพบูลย์ขึ้นไป เป็นประโยชน์ต่อตน เป็นที่พึ่งของโลก ศาสนาเป็นที่พึ่งของโลก พระพุทธเจ้า เป็นพระโลกนาถ เราเป็นลูกศิษย์ เป็นลูกของท่าน เราก็ทำสิ่งที่จะต้องเป็นโลกนาถ หรือเป็นที่พึ่งของ มนุษยชาติกันให้ดีๆ ไม่งั้น โลกไม่มีที่หวังจริงๆ มันน่าสงสาร มันน่าเมตตา น่าสมเพช เพราะฉะนั้น ก็ต้องอย่าให้เขาพลาดหวัง หรือเราก็ไม่ได้ทำประโยชน์ของเขาผู้เดียว เราทำประโยชน์ของตนด้วย จริงๆ

เอาละ สำหรับวันนี้ก็พอแค่นี้

สาธุ


ถอดโดย นายยงยุทธ ใจคุณ ๒๕ ก.ค. ๓๓
ตรวจทาน ๑ โดย สิกขมาต ปราณี ๓๑ ก.ค. ๓๓
พิมพ์และตรวจทาน ๒ โดย นางวนิดา วงศ์พิวัฒน์ ๒๒ ก.ย. ๓๓
File 0857.TAP