พูดเรื่องตายสู่กันฟัง
เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๓
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ณ พุทธสถาน ปฐมอโศก

เรามาฟังเรื่องเกี่ยวกับ การฆ่าตัวตาย ดูบ้าง วันนี้ การฆ่าตัวตายเป็นบาปนะ ถึงยังไงก็เป็นบาป จะฆ่าตัวตายในลักษณะไหนก็ตาม เป็นบาป

ทีนี้ ในการกระทบ ในการมีผลสะท้อนอะไรต่างๆ นานา อย่างขณะนี้ มีเหตุการณ์อยู่ในสังคมไทยเรา อย่างคุณสืบ นาคะเสถียร ฆ่าตัวตาย เพื่อที่จะให้เกิดการกระทบ เกิดการกระเทือน ในความสำนึกของคนนี้ว่า แหม มันอัดอั้นตันใจเหลือเกิน ทำอะไรก็... ไม่ได้ แก้ปัญหาอะไรก็ไม่ได้ ทั้งๆที่มันเป็นเจตนาที่ดี รู้กันอยู่ดี ไม่มีใครร่วมไม้ร่วมมือ หรือทำอะไรก็ขัดข้อง รู้สึกอึดอัดขัดเคือง ทำอะไรมันไม่ได้ ตายมันเสียเถอะ การตายคือการฆ่าตัวตายประท้วง หรือว่าให้มัน เกิดแรงกระเทือน กระทบอย่างนี้ขึ้นมา จะบอกว่ามันเป็นผลดีทางสังคม มันก็เป็นผลดี แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การฆ่าตัวตายนั่น ก็ยังบาปอยู่นั่นเอง มันเป็นความสิ้นทาง มันเป็นความไม่ใช่นักสู้ จะเป็นนักสู้ ที่สิ้นทางนั่นแหละ และมันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ตาย

ทีนี้ ผลกระทบ ก็ว่าคนเรานี่นะ มีอุดมการณ์ คนเราจะฆ่าตัวตาย เพื่อแลกกับสิ่งที่ตัวเอง ยึดมั่น ถือมั่น มันก็เป็นฤทธิ์แรงที่เป็นนักอุดมการณ์ที่ทางโลกหรือ ใครๆก็พอเข้าใจ มันเป็นเรื่องก็ยินดีกันอยู่ เหมือนกัน ว่าเขาลงทุนถึงชีวิต คนเรา รักชีวิตยิ่งกว่าอะไรนี่นะ มันเสียสละน่ะ ยิ่งกว่าเสียสละอะไร ทุกอย่าง มันเพื่อคุณค่าอะไรก็ตาม จะมีผลกระทบ หรือว่าตัวเองถึงขั้น ขนาดขั้นฆ่าตัวตาย เพื่อแลก กับไม่ได้ทำกับกิจกรรม หรือไม่ได้ทำกิจการอันนี้ให้มันเจริญขึ้นไปได้ ก็มีเหตุ มีปัจจัย มีเหตุมีผลอะไร ถึงขนาดนี่ ก็แสดงว่า เขาเสียสละอย่างแท้จริง

เจตนาเป็นกุศล ถ้าฆ่าตัวตาย เจตนาเป็นกุศล เพื่อให้เกิดคุณค่าอะไร และก็เป็นกุศลได้ดี เป็นกุศล ได้กุศลนั้น เกิดจากตัวเองนั้นแหละพยายามจะเสียสละชีวิต เสียสละเงินทอง เสียสละอะไร ก็ตามแต่

เพราะฉะนั้น เสียสละชีวิต เพื่อที่จะให้เกิดกุศลอันนั่นเป็นผลต่อเนื่องไป มันก็เป็นบุญ แต่การฆ่าตัวตายนั้น มันเป็นบาป บาปคือบาป บุญคือบุญ กรรมกิริยาเรื่องราวอะไรต่ออะไร มันมีผลต่อเนื่องกัน มีผลซับซ้อน มีผลที่จะกระเทือนอะไรต่ออะไร ไปตั้งหลายเรื่องหลายราว ต้องศึกษากันดีๆ เหมือนกับคน ถามว่า เอ๊ เราฆ่าสัตว์นี่นะ ฆ่าปู ฆ่าปลา ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ไปทำบุญนี่ ไม่ได้บุญเรอะ เอา ทำบุญก็ได้บุญ ส่วนทำบาป ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าหมู ฆ่าสัตว์อะไรต่างๆ นานา มันก็ได้บาป บาปมันก็ได้ด้วย บุญก็ได้ด้วย มันก็เป็นอย่างนั้นนะ

ทีนี้ บุญจะมากหรือน้อย ก็อยู่ที่เหตุปัจจัยอีกเหมือนกัน อยู่ที่ความเป็นจริงเหมือนกัน ไปทำบุญ อย่างนี้ เอาอาหารไปถวายพระเท่านั้น แล้วก็ฆ่าสัตว์ไปถวายพระ ให้พระได้รับประทานอาหารนี่ มันจะเป็นบุญขนาดนั้น ขนาดนี้

แม้แต่พูดละเอียดลงไปแล้วไปถวายพระอย่างไรล่ะ ถ้าไปถวายกับพระที่ไม่ใช่พระ คือพระที่เกเรเกตุง พระที่เลวร้าย ซึ่งจริงๆแล้ว เราไม่ควรจะนับว่าพระ หรือว่าเป็นพระปาราชิกแล้วก็ตาม แล้วก็ไปทำบุญกับผู้ไม่ใช่พระอย่างนี้ อุตส่าห์ลงทุนลงแรง ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่อย่างดี อย่างอะไรไปเลยนะ แล้วก็เหมือนไป เหมือนไปเลี้ยงโจรไว้ รักษาชีวิตโจรไว้ ได้บาป กับบาปๆๆ บวกบาป ไม่ได้บุญเลย ฟังออกไหม คือเลี้ยงโจรไว้ด้วยซ้ำไป แล้วโจรนั่นแหละ ทำลายศาสนาเสียอีกแน่ะ โจรนั่นทำลายศาสนาเสียอีกนา มันก็เลยไปกันใหญ่ อย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้ มีรายละเอียด อาตมายกตัวอย่างให้ฟัง คงจะอธิบายให้ละเอียดขึ้นไปทั้งหมด คงไม่ไหวหรอก มันซับซ้อนหลายชั้น หลายเชิง แล้วก็มีระดับความเป็นจริงด้วย อย่างเมื่อกี้นี้ บอกจากความเป็นจริง คือ ความเป็นจริงของ ผู้ที่ทำดี ทำชั่ว สนับสนุนคนดีหรือคนชั่วอย่างนี้ เป็นต้น นี่ มันซ่อนเชิงอยู่ในนั้นอีก อีกหลายอย่าง หลายอันนะ ฟังแล้วก็เอาไปคิดพิจารณาไปเองก็แล้วกันนะ เอาไปวิจัยวิเคราะห์เอาว่า มันมียังไง เหตุปัจจัย ที่มีความจริงของมันอยู่เยอะ

สรุปแล้วก็คือสิ่งที่เป็นบุญ เป็นคุณค่า ก็เป็นบุญ เป็นคุณค่า สิ่งที่ไม่ใช่บุญ ไม่ใช่คุณค่า เป็นบาป ก็คือบาปนะ

เพราะฉะนั้น บุญ บาป มันจะต้องศึกษากันจริงๆ คุณหรือประโยชน์ สิ่งผิดหรือสิ่งถูกพวกนี้แหละ และก็ต้องศึกษากันให้ดี และมันมีการต่อเนื่อง ต่อเนื่องผลกระทบ ที่เรียกว่าอิทัปปัจจยตา เป็นเหตุเป็นปัจจัยต่อเนื่องไปอีกยาว ยืดยาดเยอะแยะ เพราะฉะนั้นอาตมาจะตัดเรื่องนี้ จะมาวิเคราะห์เรื่อง การฆ่าตัวตาย มีกี่ลักษณะ แล้วก็มีลักษณะไหนอย่างไรๆ มีเยอะมีแยะ และยอมให้เขาฆ่าตัวตาย หรือแม้แต่ที่สุด พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารตนเอง จะถือว่าเป็นบาป หรือเปล่า อะไรอย่างนี้ เป็นต้น จะต้องเข้าใจอะไรพวกนี้ ผสมผสานลึกซึ้งเข้าไปบ้าง

การฆ่าตัวตาย บอกแล้วนะว่า เป็นบาป ในสมัยพระพุทธเจ้ามีพระ บวชกับพระพุทธเจ้าแล้ว เสร็จแล้ว ก็ฟังธรรม พระพุทธเจ้าสอนเรื่องให้พิจารณาว่า ร่างกายเรานี้ น่าเกลียดน่าชัง ให้พิจารณาว่า เป็นสิ่งน่าเกลียดสิ่งปฏิกูลน่าเกลียด น่าชัง เรื่องกาย อะไรต่างๆนี่ แหม พระสมัยนั้น ก็พิจารณากันเก่ง เห็นจริงเห็นจัง น่าเกลียด น่าชัง น่าเบื่อหน่าย เลยไม่อยากมีชีวิตอยู่ ก็เลยฆ่าตัวตาย บางคนไม่กล้าฆ่าตัวตาย ก็ไปจ้างให้โจรฆ่าตัวตาย บางคนไม่มีอะไรไปจ้าง มากหรอก มีบาตร มีจีวร ก็เอาจีวรเอาบาตรไปให้โจร อ้ายโจรก็เหลือเกินนะ แค่บาตร แค่จีวร ก็ยอมฆ่าคน ฆ่าพระเหล่านั้นให้ตาย พระตายไปเยอะเลย พระพุทธเจ้าเทศน์เอาไว้น่ะว่ากันจริงๆก็ อาตมาเคยหยิบกรณีนี้ มาให้คนพวกเราฟัง ว่า นี่เป็นจุดที่เรียกว่า มันผิดพลาดไปนิดหน่อย ของพระพุทธเจ้า ว่าประมาณไม่ดี ไปให้คนเหล่านี้พิจารณาเรื่องเบื่อหน่ายร่างกาย มากเกินไป แล้วก็เลย เกิดการต้องถึงเขาฆ่าตัวตายมาก และมีคนเข้าใจผิดด้วยนะ มีคนเข้าใจผิดว่า โอ๊ พระต่างๆ ที่ไปฆ่าตัวตาย แสดงว่าบรรลุธรรม เป็นอรหันต์โน่น ไม่มีพระอรหันต์ไปฆ่าตัวตาย พระอรหันต์ไม่มีการฆ่าตัวตายเป็นอันขาด ไม่ว่ายังไง เพราะว่าท่านไม่ได้ทุกข์อะไร และท่านก็ไม่ได้ เบื่อหน่ายแบบนั้น อ้ายการเบื่อหน่ายแบบไปชังร่างกาย ตนเองนั่นน่ะ เบื่อหน่ายร่างกายตนเอง จนกระทั่งชัง จนกระทั่งไม่อยากมี ไม่อยากอยู่ ไม่อยากจะรักษาไว้ อยากจะออกจากร่างกายนี้ไปเลย นั่นมันเกิน เกินความมัชฌิมา เกินความพอดี มันไม่ใช่ญาณปัญญา มันกลายเป็นความโง่ มันกลาย เป็นอวิชชาไปแล้ว

เพราะฉะนั้น ร่างกายคนนี่ รู้ความจริง ก็เพียงพอ มันเป็นของน่าเบื่อหน่าย มันเป็นเรื่องเหม็น ทั้งนั้นแหละ ตั้งแต่หัวจดท้าย มันเหม็นทั้งนั้นแหละ ขี้ทั้งนั้น ตั้งแต่ขี้หัวยันขี้เท้า ขี้ทั้งนั้น ทั้งตัว ขี้เหงื่อ ขี้ไคล ขี้อะไรต่างๆ นานาสารพัด อย่าว่าแต่ข้างนอก ข้างในก็ขี้ ข้างในก็ยังมีขี้พกเอาไว้ มันของ ไม่ใช่สิ่งที่น่ารัก น่าปฏิพัทธ์ น่ารักน่าใคร่ น่าหวงน่าแหนอะไรหรอก วันๆหนึ่ง รักษาดูแล มันเข้าไว้ ล้างขี้ล้างสิ่งที่สกปรกโสโครกมันไว้พอสมควร ก็ลำบากลำบนอยู่แล้วชีวิตน่ะ แค่ดูแล ให้มันสะอาดสะอ้านพอสมควร มันก็เท่านั้นแหละ

เพราะฉะนั้น จริงๆแล้ว คนเรารู้ความจริงว่า นี่มันเป็นสิ่งน่าเบื่อน่าหน่าย ไม่น่ารัก ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบ ไม่น่าชื่นอะไรนักหนา แล้วก็ใจวาง พอเห็นว่ามันน่าเบื่อ เราก็ไม่ผูกพันมันเกินไป ไม่ต้องไปรักไปหวงเกินไป ไม่ต้องไปประคบประหงม ต้องมาบำเรออะไรมันเกินการ มันก็ไม่ถูกต้อง เป็นภาระ อย่างนี้เป็นต้น พิจารณาให้รู้ว่า ไอ้นี่เป็นเครื่องอาศัยเท่านั้น มันไม่ใช่ของเรา และมันก็ไม่ใช่ สิ่งที่น่ารัก น่าหวงน่าแหน หรือว่าน่าไปประคบประหงมอะไรมันจนเกินการดังกล่าว พระพุทธเจ้ามีเหตุผล หรือว่ามีเขตให้พิจารณา ให้รู้จักความจริง อยู่ประมาณหนึ่งนั้น แค่นั้นแหละ แต่ตอนนั้น อย่างที่ว่า อาตมาว่าพระพุทธเจ้าคงให้ พิจารณาแล้วคงมันอาจจะไม่ถ้วนไปหน่อยหนึ่ง ตรงที่ว่า เป็นยังไงไปบอกให้คนทิ้ง คำสอนให้เข้าใจประมาณคน ประมาณคำสอน มันไม่ได้สมดุลยังไง มันถึงได้เป็นอย่างนั้น มันก็เกิดเหตุการณ์ไปแล้วนะ อย่างนี้ เป็นต้น

ผู้ที่มาพิจารณาร่างกายแล้วเบื่อหน่าย รู้จักขอบเขตอย่างที่อาตมาว่า ก็ไม่มีปัญหามาก แต่ถ้าเผื่อว่า เบื่อหน่าย จนกระทั่งถึงขั้น ต้องทิ้งร่างออกจากร่างกายนี้ คนนั้นก็แย่ไปหน่อยล่ะ อย่างว่ามันเลยเถิดไปแล้ว มันเป็นบาป ยิ่งไปเบื่อหน่ายขนาดหนัก ต้องฆ่าตัวตาย อย่างนั้นไม่ไหวนะ

ทีนี้ คนฆ่าตัวตาย อย่างประเภทที่มีความเห็นผิดจริงๆ นั่นก็คือ คนฆ่าตัวตายอย่างที่มีทุกข์ ทุกข์ชนิดที่เรียกว่า ไม่มีประโยชน์คุณค่าอะไรด้วย เป็นทุกข์เพราะว่า แย่งคู่รักกัน ถูกเขาหักอก เจ็บอกเจ็บใจ ก็เลยเสียใจ ฆ่าตัวตาย แบบนี้บาป ต่อบาป ไม่ได้บุญอะไรเลย บาปที่มันฆ่าตัวตาย ไม่พอ ยังไปโง่ๆเง่าๆ ไปวุ่นวายไปอ้ายแค่คู่รักหักอก แค่นั้น ก็ฆ่าตัวตาย มันไม่ใช่เรื่องยิ่งเรื่องใหญ่ อะไรหรอก คู่รักคู่เริ้กอะไรหรอก มาศึกษาธรรมะกับพวกอาตมานี่จะรู้กันดี มันเป็นเรื่องเล็กน้อยนะ

อาตมาเคยเห็นว่า มันยิ่งใหญ่เหมือนกันนะเรื่องความรัก สมัยที่มันยังไม่ได้มาศึกษาธรรมะ เขาพาหลง โอ๊ย ดูมันจริงจัง ดูมันยิ่งใหญ่ ดูมันวิเศษวิเสโส อะไรก็แล้วแต่ พยายามเข้าใจ ไปอย่างนั้นนะ จนเอาไปเอามา ไม่เห็นมีปัญหาอะไร เรื่องความรักความเริ้ก ก็รักกันมาก็ตั้งเยอะแยะ รักไปก็ตั้งหลายคน ก็ไม่เห็นมันจริงเลย ทุกวันนี้ ไม่เห็นมันเหลือสักหยดเลยความรกความรัก นี่ อาตมาก็ผ่านมา ก็ตั้งหลายคน รักคนโน้น รักคนนี้ คนนั้นคนนี้รักเราบ้าง เราก็ไม่รักตอบเขา ก็รู้สึกเศร้าสร้อยเสียใจ ก็ไม่เห็นมีอะไรนะ คนที่รักเรา ก็เห็นไปแต่งงานกับคนอื่น รักเรา เราไม่รักเขา ก็ไม่เห็นเป็นอะไร จะว่าอกหักอกหัก เห็นไปแต่งงานกับคนอื่น มีลูกมีเต้าไปก็ตั้งเยอะตั้งแยะ มาเจอหน้ากันทีหลังก็เฉยๆ ไม่เห็นมีอะไร คนที่เรารัก ก็ไปรักเขา ก็นึกว่า มันจะจริงจะจัง อะไรต่างๆนานา ก็ไม่เห็นจะเข้าท่าอะไร เดี๋ยวนี้ มันก็เห็นไม่เห็นเหลือรักอะไรสักรักหนึ่งนะ ยังงี้เป็นต้น มันไม่จริงหรอก มันไม่ใช่เรื่องเที่ยงแท้แน่นอนอะไรหรอก เป็นอารมณ์ เป็นความรู้สึก แล้วเราก็ไปหลงจริง หลงจังกับมัน หลงไปจนขนาดหนักๆ ตอนนี้อาตมาเอาหนัง เรื่องรักๆ เริ้กๆมาให้พวกเราดูกันเยอะขึ้น เพื่อให้รู้ว่า มันมีแต่ทุกข์ อ้ายเรื่องความรักน่ะ มันเป็นความหลง ชนิดหนึ่ง "ลีลาของโลก ลีลาของสังคม" แล้วเราจะอ่าน แล้วเราจะเข้าใจว่า โอ๊ โถ ทำเป็นเล่นๆ อย่างงั้นแหละ เรามามีเมตตา เกื้อกูล ปรารถนาดีต่อกัน ความรักคือความเอา ความเมตตาคือการให้ ความเมตตาคือให้ ความรักคือเอา จำไว้นะ

อ้ายรักนี่ ถ้าใช้คำว่ารักนี่นา ยิ่งเป็นความรักระหว่างหนุ่ม ระหว่างสาว เป็นเรื่องความเอา มันจะเอาจากเขา อย่างน้อยก็เอาความสุขจากเขา จะได้เสพสุขจากอะไรก็ตามใจเถอะ ได้เสพสุข จากการสัมผัสเสียดสี การเป็นของ ของตัวเอง ยิ่งรักจัดๆจ้านๆ แล้วหวงแหนขนาดหนัก ต้องเป็นของฉันคนเดียว ต้องอยู่กับฉันคนเดียว ต้องไม่ไปวุ่นวายกับคนอื่น อะไรก็แล้วแต่ พูดไปแล้ว คุณก็เข้าใจ ไม่ต้องขยายความมากมาย มันเป็นเรื่องซึ่งต้องการจากเขา แม้เราจะให้อะไรเขา ก็ให้เพื่อที่เขาจะได้มามีจิตใจ ต้องมารักฉันคนเดียว ต้องมาให้ฉันคนเดียว ต้องมาอะไรๆ ที่จะมีความสุขอะไรแค่ไหน ต้องเอามาให้ฉันหมด ความรักจึงเป็นเรื่องเอา ไม่ใช่เป็นเรื่องให้ เมตตานี่เป็นความสัมพันธ์ ปรารถนาดีต่อกัน ความรักนี่ดูเหมือน เหมือนกันนะ ปรารถนาดีต่อกัน แต่ว่าไม่ใช่หรอก ลึกๆซ้อนลงไป นั่นเป็นเรื่องความเห็นแก่ตัว ความรักเป็นเรื่องความเห็นแก่ตัว เป็นเรื่องที่ฉันจะต้องได้ ได้ตามที่ฉันต้องการ ไม่ใช่เสียสละนะความรัก ความเมตตา เป็นความ เสียสละ เป็นความให้ ต่างกัน อ้ายนี้ขยายความไปเรื่องความตาย ก็เลยกลายไปเป็นความรัก อะไรไม่รู้ เอ้า ตัดเรื่องความรัก

เพราะฉะนั้น ฆ่าตัวตาย ไปมีความรัก ฆ่าตัวตาย ไร้ค่า คนพวกนี้บาปบวกบาป และบวก บาปคูณกับบาป ไปคิดเอาก็แล้วกัน บาปไปเท่าไหร่ ไม่เข้าเรื่อง คิดว่าชาวอโศก คงจะไม่มีใคร ไปฆ่าตัวตาย เพราะความรักความเริ้กอะไรนะ ขนาดความรักยังน่าอายแล้ว ว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ แล้วเราเอง เราก็ยังไปมีอยู่ กิเลสมันมีมันเคยหลงเคยติด มันก็เป็นไปไปหลายชาติๆ มันก็เป็นไปได้ แต่ใครล้างแล้ว หัดเรียนรู้จริงจัง แล้วก็ไม่มี มีความเมตตาเกื้อกูลนี่ ดีกว่าเยอะแยะ นะ

ทีนี้ ฆ่าตัวตายชนิดต่อมา เป็น ฆ่าตัวตายเพื่ออุดมการณ์ อย่างคุณสืบ นาคะเสถียร มีคนฆ่าตัวตาย เพื่ออุดมการณ์นี่มี ไม่เยอะหรอก แต่ว่ามันก็มี พอสมควรนะ มันมีตัวอย่างก็เยอะ ฆ่าตัวตาย เพราะความรัก เพราะความโง่ ความเง่า มีมากกว่า มากกว่าฆ่าตัวตายด้วยอุดมการณ์ใช่ไหม ฆ่าตัวตายเพื่อ อ้ายสิ่งที่ไร้ค่านี่ มีเยอะ ฆ่าตัวตาย เพื่ออุดมการณ์นี่ดีกว่าหน่อยหนึ่ง แต่มันก็มี เท่านั้นแหละ ถ้าเผื่อว่าการฆ่าตัวตายนี่นะ ยังมีประโยชน์อะไรบ้าง ก็มีแค่ฆ่าตัวตายอย่างโง่ๆๆ จะเป็นความรัก จะเป็นความอื่น ความใดก็ตามแต่ แม้แต่ที่สุด อัดอั้น ตันใจในประเภทที่หากินไม่พอ เป็นหนี้เป็นสิน ไปทำบาปทำชั่ว ติดหนี้ติดสินเขา ไม่มีทางออกก็ฆ่าตัวตาย หรืออะไรๆต่างๆนานา สารพัด ที่มันไม่ได้ดิบได้ดีอะไรเลย มันไม่เป็นไปเพื่ออุดมการณ์สรุปง่ายๆ

ฆ่าตัวตายเพื่อที่จะมีผลกระทบ เพื่อให้เกิดคุณค่าบ้าง กับฆ่าตัวตายนี่ตายเปล่าๆ หนีๆสิ่งที่ตัวเอง แก้ไขไม่ได้ แก้ไขให้ตัวเองนะ ไม่ใช่แก้ไขให้ผู้อื่น อย่างอุดมการณ์นี่คือแก้ไขให้ผู้อื่นไม่ได้ แล้วตัวเอง ฆ่าตัวตาย ก็เรียกว่า อุดมการณ์บ้าง หรือว่า เจตนาเป็นอุดมการณ์ ตัวเราต้องตาย เพื่อสิ่งที่มันจะได้ มีผลกระทบสะท้อน ประเสริฐสูงสุดอะไรขึ้นมา ก็จริง อันนั้นก็จริงด้วย อย่างนี้ เป็นต้น ก็ยังมีคุณค่าบ้าง แต่บอกแล้วแต่ต้นว่า แม้อย่างนั้นก็ตาม ส่วนบาปฆ่าตัวตายก็คือบาป ส่วนที่เป็น ประโยชน์ยังเป็นบุญ เป็นกุศลบ้าง เป็นคุณงามความดีบ้าง ก็ได้บ้างนะ

ทีนี้ ความตาย ที่บางคนมองว่า พระพุทธเจ้า เหมือนกับเจตนาฆ่าตัวตาย เพราะประวัติว่า พระพุทธเจ้า ปลงอายุสังขารอีก ๓ เดือนข้างหน้า เราจะตาย ซึ่งท่านรู้วันตายอะไรต่ออะไร ของท่านเรียบร้อย เสร็จแล้ว ในวันที่จะตาย คือ วันวิสาขะสุดท้ายนั่นน่ะ ท่านไปฉันอาหารสุกรมัทวะ และในเรื่องราวบอกไว้หมดเลยว่า สุกรมัทวะ นี่มันเป็นพิษ มันเป็นอาหารที่เป็นพิษ ใครกินแล้ว มันก็จะต้องแย่แน่ ถึงตายได้ พระพุทธเจ้าที่จริงไม่ได้ตายด้วยสุกรมัทวะเสียทีเดียว พระพุทธเจ้า ประชวรมาแล้ว ประชวรมาแล้วด้วยปักขันธิกาพาธ คือเป็นโรคคอ คอนี่ พระสารีบุตรก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี เป็นโรคคอ เพราะต้องเทศน์มาก มันเสื่อม อวัยวะส่วนนี้มันบกพร่อง ก็เป็นโรค ทางคอ อาเจียนเป็นโลหิต ท่านก็อาพาธด้วยโรคอันนี้แหละหนัก พระสารีบุตรก็ตายด้วยโรค ปักขันธิกาพาธ คออาเจียน มันชำรุด ทรุดโทรมพูดง่ายๆ จนกระทั่งมันไม่ไหวแล้ว มันก็เป็นโรค ที่ทำให้ตัวเองตายได้ จะบวกกับด้วยกินสุกรมัทวะก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า พระพุทธเจ้าเจตนา จะกิน ยาพิษฆ่าตัวตาย ท่านรู้ว่าอันนี้เป็นพิษ และท่านก็ห้ามคนอื่นรับประทานคนอื่นฉัน ห้าม ไม่ให้ไปประเคนคนอื่น ประเคนแต่ท่านรูปเดียว แล้วท่านก็ฉันอันนี้ เหมือนกับท่าน เจตนาจะฆ่าตัวตาย แต่ที่จริงไม่ใช่ ถึงไม่ฉันอันนั้น ท่านก็จะต้องตายอยู่แล้ว เพราะเป็นวันที่ท่าน ปลงอายุสังขารว่า ท่านจะต้องตายไปภายใน ๓ เดือน คือ วันวิสาขะ ท่านปลงอายุสังขาร ก่อนที่จะถึงวิสาขะสุดท้าย เดือน ๖ นั่นน่ะ ท่านปลง ในเดือน ๓ วันเพ็ญเดือน ๓ เป็นวันปลงอายุ วันเพ็ญเดือน ๖ ก็เป็นวันครบ ๓ เดือนที่ท่านบอกอีก ๓ เดือนข้างหน้าท่านจะต้องตาย ท่านก็ตาย ปรินิพพานในวันเพ็ญ เดือน ๖ นั้นนะ

การตายนี้ เป็นวิสัยพระพุทธเจ้า วิสัยของพระพุทธเจ้านั้นใครคิดหัวแตก ตาย เป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่ไม่ควรคิด อย่าไปพิจารณาว่าเป็นบุญเป็นบาป เป็นโน่นเป็นนี่ เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า จะไปทำบาปเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าไม่ทำบาป เป็นเรื่องที่มันกลางๆ เรื่องที่พระพุทธเจ้าท่าน ปรินิพพาน เป็นเรื่องกลางๆ ให้เห็นเหตุปัจจัยด้วย ไม่ใช่ปรินิพพาน โดยไม่มีเหตุปัจจัย

มีเหตุปัจจัย และเหตุปัจจัยเหล่านั้น ก็เป็นไปอย่างที่คนเห็นแล้วก็รู้สึกว่า เอ๊ มันน่าสงสัย ทำไมถึงรู้ รู้ว่าของเป็นพิษเป็นภัย แล้วต้องกินเข้าไป แล้วตัวเองก็ต้องทำให้มันเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ทำให้ต้วเอง ถึงต้องตายด้วย อันนี้ อย่าไปคิด ไม่ใช่เรื่องบุญเรื่องบาปที่เราจะไปรู้ได้ เพราะเป็นความซับซ้อน ที่ลึกซึ้งชั้นสูง เราก็ต้องรู้นะ

ส่วนคนอื่นที่จะตาย พระโมคคัลลานะ รู้วันตายเหมือนกัน พระสารีบุตรก็รู้วันตาย อย่างพระสารีบุตร จะตาย ก็พิจารณาตัวเองแล้วเสร็จ ก็รู้ว่าจะตาย ว่าเราควรจะตายก่อนที่พระพุทธเจ้า คืออัครสาวก ของพระพุทธเจ้า ตามธรรมเนียมแล้ว จะต้องตายก่อนพระพุทธเจ้านะ จะต้องตายก่อน ถ้าไม่ตายก่อน แล้วมีเหตุผลอย่างหนึ่ง ที่อธิบายได้ง่ายคือ

ศาสนาพุทธจะไม่มีใครเป็นใหญ่ นอกจากพระพุทธเจ้าแล้ว จะไม่มีใครมาเป็นใหญ่ ในศาสนาพุทธ เหมือนกับเป็นหัวเรือใหญ่ของศาสนา โดยมีอำนาจ มีความยอมรับนับถือเป็นเลิศ เป็นยอดหนึ่งเดียว เด่นๆ ถ้าอัครสาวกอย่างพระพุทธเจ้า ก็มีพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ที่พระพุทธเจ้ายกว่า รองเรา สารีบุตรเป็นรองเรา รองจากพระพุทธเจ้า ก็มีพระสารีบุตร ถ้าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระสารีบุตรยังอยู่ ก็แน่นอน เขาก็ต้องยกพระสารีบุตร เป็นหนึ่งยอด ที่จะต้องเป็นผู้นำ หรือเป็นผู้ที่ เด็ดขาด ที่จะเป็นใหญ่ในศาสนาพุทธ จะกลายเป็นลัทธิที่เสียระบบ ระบบของศาสนาของ พระพุทธเจ้า เป็นระบบของธรรมะ เป็นระบบของสงฆ์ เป็นระบบของสภาสงฆ์ ไม่ใช่ระบบของผู้เด่น คนหนึ่งคนใด คนเดียว ไม่ใช่ ไม่ใช่ระบบอย่างนั้น

ทีนี้ ของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็มีรองพระพุทธเจ้า อย่างพระสารีบุตรอย่างนี้ มันเด่นชัด ถ้าเผื่อว่า พระสารีบุตร ยังรองอยู่ หรือพระโมคคัลลานะเป็นรองต่อลงมา ถ้าเผื่อว่าตายทีหลังพระพุทธเจ้าแล้ว สององค์นี่ จะต้องเป็นเหมือนกับเจ้าเป็น เป็นตัวอย่าง เอาแบบอย่างเป็นตัวเด่นๆ มีชูคนเด่นๆ เป็นเด็ดขาด เป็นใหญ่ เป็นเต้ยในศาสนา ศาสนาพุทธไม่ทำ ทุกวันนี้นี่ พลิกแพลง และเพี้ยนไปแล้ว คนที่ เป็นเต้ย ตั้งโดยเฉพาะแต่งตั้งขึ้นมาเลย ยิ่งผิดใหญ่เลย ถ้าพระสารีบุตรจะได้ยอม รับนับถือว่าเป็นยอด สมมุตินะว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระสารีบุตรยังไม่นิพพาน ไม่ปรินิพพาน ยังไม่ตาย แล้วพระสารีบุตรก็อยู่ต่อมา คนจะยกยอดให้ว่า เป็นหนึ่งในศาสนาพุทธ ต่อทอดมา โดยสืบทอดมานี่นะ เป็นผู้ที่มีฤทธิ์เดช เป็นใหญ่ เป็นเต้ย มีฤทธิ์จะสั่งการ จะทำอะไร คนก็จะต้องเชื่อถือ ศรัทธา ยอมรับทั้งหมด เขาก็ให้ท่านเอง ไม่เป็นการแต่งตั้ง สมมุตินะ นี่สมมุติ ที่จริงมันไม่เป็นหรอก เพราะว่า ไม่ได้เกิดสภาพพวกนี้ไว้ พระสารีบุตรก็ไม่ได้หมายความตัวเอง จะได้รับการแต่งตั้งจากสงฆ์ หรือจากอะไรต่ออะไร อย่างที่เป็นอย่างทุกวันนี้ ไม่ ไม่มีการแต่งอย่างนั้น

ธรรมวินัยเป็นศาสดา ธรรมวินัยเป็นใหญ่นำ ศาสดานี่ แปลว่าผู้นำหมู่ ศาสดาลัทธิอื่น ศาสนาอื่น ก็เป็นศาสดาเหมือนกัน เป็นผู้นำหมู่ เป็นผู้เป็นเต้ยในหมู่ ลักษณะเป็นเต้ย หรือลักษณะเป็นศาสดา ลักษณะเป็นผู้นำเด่นอย่างนี้ ในศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้า ล้ม พอพ้นพระพุทธเจ้าแล้วไม่ให้เกิด เพราะฉะนั้น ลัทธิธรรมเนียมของพระพุทธเจ้า นี่แหละเป็นเหตุผลใหญ่ ว่าพระสารีบุตร กับ พระโมคคัลลานะ ทำไมต้องตายก่อน เพราะเป็นธรรมเนียมของศาสนาพุทธ จะต้องเป็นเช่นนี้ไปเอง ตลอดนานับกัปกาล จะต้องเป็นอย่างนี้ ไม่เช่นนั้น คนมันไม่ยอมหรอก มันเป็นเองเลยนะ ถ้าพระสารีบุตร เขาก็ต้องยกให้ใช่ไหม มันเป็นเอง อาตมาบอกแล้วเมื่อกี้นี้ แม้ประชาชนยกให้ นั่นก็ยังไม่เสียหายเท่าไหร่ เพราะเขายกให้เป็นเต้ยเอง

แต่ทุกวันนี้ มันเสียหายตรงไปตั้งขึ้น เอาเถอะวิธีการอะไรก็แล้วแต่ ไปตั้งผู้นี้เป็นผู้นำหมู่ เป็นหัวหน้าหมู่ ใหญ่โดยการแต่งตั้ง อันนี้ผิดศาสนาพุทธ ผิดธรรมวินัย ทำให้ธรรมวินัยวิปริต อาตมาขอยืนยันด้วย มันเป็นการทำให้ธรรมวินัยวิปริต ศาสนาพุทธมันจึงเพี้ยนมาใหญ่โต เพราะมันลักษณะคล้ายๆกับว่า ลักษณะแบบนี้ มันเป็นลักษณะที่มันกลบเกลื่อน ลักษณะสภาสงฆ์ และวิธีการของสภาสงฆ์ ของพระพุทธเจ้า ก็เป็นสภาสงฆ์ที่ไม่แต่งตั้งคณะสงฆ์ เป็นสภาตายตัว อีกด้วย นี่ของพระพุทธเจ้า ลึกซึ้งมากนะเรื่องนี้ ประชาธิปไตยที่วิเศษ ซึ่งอาตมาไม่รู้จะพูดอย่างไร กับคนในทุกวันนี้ ให้เข้าใจ เขาเรียนประชาธิปไตย เขาเรียนการบริหาร การปกครองอะไรมา อาตมาว่า อาตมาเข้าใจสภาพสภา และสภาต้องมีปราชญ์ ต้องมีผู้รู้ แล้วก็จะต้องเป็นคณะ ที่จะต้องเป็นผู้รู้ อย่างจริงจังจริงใจ เข้าใจกัน และเป็นผู้ที่มีภูมิธรรมรับรองกัน เป็นผู้เข้าไปช่วยตัดสิน เข้าไปช่วยทำงาน ทำกิจอะไรที่จะเป็นสภาประชุมตัดสิน ทำโน่นทำนี่แล้ว ไม่ตายตัว เป็นไปด้วย ความสมัครใจ เอาภาระศาสนา รู้นี่เราสมควรเข้าแล้ว ก็จะต้องเป็นผู้ซื่อสัตย์สุจริตจริงๆ เพื่อเอาภาระกันอย่างนั้น ผู้ที่มีหน้าที่ ผู้ที่เอาภาระนั้น มันไม่ลำเอียง เพราะมีภูมิธรรม มีความสุจริต จะไม่ลำเอียง และจะตัดสินได้ถูกต้อง จะทำอะไรได้ถูกต้อง อันไหนที่ไม่เหมาะไม่สม ก็ไม่ทำ อย่างพระพุทธเจ้า ท่านไม่เข้าประชุม ไม่ลงองค์ประชุมกับสงฆ์ที่ด่างพร้อยแล้ว ก็เป็นเรื่องของท่าน

สรุปแล้ว พระพุทธเจ้านี้ เป็นเรื่องพิเศษอะไรอีกมากมาย

ทีนี้ มาพูดถึงพระสารีบุตรบ้าง พระโมคคัลลานะก็ตาม ท่านพระโมคคัลลานะตายอีกอย่างหนึ่ง อันนั้นตายโดย พระโมคคัลลานะเอง ก็รู้ว่าตัวจะตาย เมื่อได้ระลึกตอนถูกโจรฆ่าแล้วฆ่าอีก ท่านก็ไม่ยอมตายสักที เสร็จแล้วก็มาระลึกได้ ว่า เรานี่ สมควรจะตายแล้ว เพราะว่าเราเอง เป็นอัครสาวกด้วย เราก็มีอนันตริยกรรม มีวิบากฆ่าพ่อฆ่าแม่มาเก่าด้วย พระโมคคัลลานะก็เลยเลิก ยอมตาย เพราะว่ามันสมสัดสมส่วนแล้ว ตัวเองแม้ว่า จะมีฤทธิ์มีเดช ตายแล้วก็ชุบตัวเองฟื้น ตายแล้ว ก็ไม่ยอมตายๆ ได้ขนาดไหนก็ตาม พระโมคคัลลานะก็ยอมตาย

ส่วนพระสารีบุตรนั้น รู้จักวันตาย รู้จักควรตาย ว่าจะต้องตายก่อนพระพุทธเจ้า ก็เลยลาพระพุทธเจ้า ไปลา เขาลากันยังไง รู้มั้ย ใครเคยอ่านพระไตรปิฎกบ้าง เคยไหม ใครเคยอ่านพระไตรปิฎก พระสารีบุตรลาพระพุทธเจ้า บอกว่า พอกราบเคารพพระพุทธเจ้าแล้วก็บอก พระผู้มีพระภาค ข้าพระพุทธเจ้า จะต้องขอลาไปตาย ท่านว่ายังงี้ เออ สมควรแล้วสารีบุตร แล้วเธอจะไปตาย ที่ไหนละ แน่ะ เขาพูดกันอย่างนี้นะ พระอรหันต์เจ้าพูดกัน ถ้าเป็นคนธรรมดา เฮ้ย อะไรเว้ย มันพูดกันเหมือนคนบ้าแน่ บอกว่าจะลาไปตายก็เฉย เออ แล้วจะไปตายที่ไหนล่ะ แล้วถามกันเฉยๆ เสียด้วยน่ะ ถามกันไม่ตื่นเต้นอะไรด้วยนะ และจะไปตายที่ไหนล่ะ พระพุทธเจ้าตรัสถาม พระสารีบุตร พระสารีบุตรก็บอกว่า ข้าพระพุทธเจ้ายังไม่ได้โปรดมารดา มารดายังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ ยังไม่เข้าร่องเข้ารอย เพราะฉะนั้น จะไปโปรดมารดาเสียก่อน แล้วก็คงจะตายที่บ้าน ไปตายที่บ้าน นั่นแหละ

เออ เธอจงสำคัญกาลอันควร พระพุทธเจ้าก็บอกจบ เธอจงสำคัญกาลอันควร ทำสิ่งที่ควรทำ ทำสิ่งที่สำคัญตามสมควรก็แล้วกัน ว่าอย่างนั้น แล้วพระสารีบุตรก็ทูลลาไปบ้าน ไปโปรดแม่ โปรดแม่ จนกระทั่ง แม่บรรลุเป็นโสดาบัน บรรลุธรรม ดวงตาเห็นธรรม ได้เป็นโสดาบัน แล้วเสร็จ จึงตายในห้องที่ตัวเองเคยเกิด อันนี้ เป็นบุคลาธิษฐานด้วย เป็นธรรมาธิษฐานด้วยอย่างสูง

บุคลาธิษฐาน ก็ไปตายในห้องที่ตัวเองเกิด แสดงว่าพระสารีบุตร เกิดที่ตรงนี้ ตายที่ตรงนี้ เกิดที่ใด ตายที่นั่น เกิดที่อะไร ตายที่อันนั้น เป็นธรรมาธิษฐานลึกซึ้ง ก็สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นเอาให้ดับลงไป ในตัวนั่น นี่คือ แก่นสารสาระที่แท้

เพราะฉะนั้น กิเลสเกิดที่ไหน ดับกิเลสที่นั่น เข้าใจไหม กิเลสเกิดที่ไหน ดับกิเลสลงไปที่นั่น นี่เป็นธรรมาธิษฐานแท้ ลึกซึ้งละเอียด นี่พระสารีบุตรตาย ก็ไม่ได้ฆ่าตัวตาย ก็ป่วย เป็นปักขันธิกาพาธ เหมือนกันกับพระพุทธเจ้า นั่นก็ป่วยโรคคอมันอักเสบ คอมันเสีย ซึ่งเป็นธรรมดา ของผู้ที่ใช้ อวัยวะส่วนนี้มาก แม้แต่เป็นพระพุทธเจ้า แม้แต่พระพุทธเจ้าเองขนาดนั้น มีบารมีสูงส่ง ก็ยังต้องมีสิ่งนั้น ดั่งนั้นอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้น การตายของคนเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นการตาย ของบุคคล ที่เป็นบาปอะไร

ทีนี้ การตายที่ไม่ใช่ฆ่าตัวตาย อย่างอาตมาเคยยกตัวอย่าง การตาย อย่างพระเยซู อย่างนี้เป็นต้น โอ๊ เป็นบุญนะ การตายอย่างพระเยซูนี่เป็นผลกระทบ ท่านไม่ได้ฆ่าตัวเอง แต่ท่านก็รู้ตัวเอง และท่านก็บอกเองว่า ท่านจะไถ่ถอนบาปให้แก่ประชาชน ไม่จำเป็นจะต้องดิ้นรน ไม่จำเป็นจะต้อง ให้ใครมาช่วยเหลือ เหตุการณ์มันจะต้องเป็นอย่างนี้ แล้วก็เห็นกันอยู่ว่า เขาตรึงไม้กางเขนตายไปต่อ หน้าต่อตา แล้วก็เกิดผลกระทบ บีบคั้นกดดันเหมือนคุณสืบ นาคะเสถียร นี่ คล้ายกัน แต่ว่ามันยิ่งใหญ่ต่างกัน พระเยซูนั้น ยิ่งใหญ่ถึงขนาดว่า ทำให้เกิดการกดดัน ทำให้คนเอาจริงเอาจัง เพื่อจะเผยแพร่ศาสนา แพร่คุณธรรมอันนี้ไปให้เจริญรุ่งเรือง จนกระทั่งทุกวันนี้ กลายเป็นศาสนา ที่ใหญ่ ทั้งๆที่พระเยซูสอนศาสนาแค่ ๓ ปี งานมีฤทธิ์มีเดชมีแรง ที่ทำให้ทุกอย่าง เกิดสภาพที่ดี การตายเพื่อให้อะไรเกิดอย่างนี้ เป็นอุดมการณ์ แม้ฆ่าตัวตาย อาตมาก็บอกแล้วว่า เป็นส่วนที่ดี อยู่ด้วยเหมือนกัน แต่ในศาสนาพุทธ เราเข้าใจดีว่า ไม่ต้องถึงกับฆ่าตัวตายหรอก ศาสนาพุทธเรา ไม่ต้องถึงกับฆ่าตัวตาย ทุกคนมีวิบากของตนเอง เป็นไปเอง เป็นไปตามธรรม ตามจังหวะ

เพราะฉะนั้น การจะต้องตายอย่างนั้นๆ ตายอย่างโน้นอย่างนี้ มันก็เป็นไปตามธรรม ไม่ต้องไปประชดประชัน ถึงขนาดจะต้องฆ่าตัวตาย เพื่อให้สิ่งนั้นเกิด

ทีนี้ ในศาสนาพุทธเรา มีผู้ที่ฆ่าตัวตายอีก เคยมี เช่นพระญวน พระญวนเผาตัวเอง เพื่อประท้วง เหมือนกับคุณสืบ นาคะเสถียร นี่แหละ เพราะว่ามัน อัดอั้นตันใจ เรื่องการต่อสู้ระหว่างศาสนา ศาสนาคริสต์ กับศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธ พวกพระญวนของศาสนาพุทธเรา ก็อัดอั้นตันใจ เพราะว่า ผู้ที่เป็นผู้ปกครองดูแลบ้านเมืองตอนนั้น ก็ถือศาสนาคริสต์ ส่งเสริมศาสนาคริสต์ และก็ข่ม ลำเอียงต่อศาสนาพุทธ ต่างๆนานา ต่อสู้กันอย่างอัดอั้นตันใจ พระบางรูป อย่างที่พระญวนบางรูป ก็ฆ่าตัวตายไปหลายคน หลายรูป ไม่ใช่รูปเดียว ฆ่าตัวตายเพื่อประท้วง ก็มีผลเหมือนกัน ก็เกิดการสลดใจ แล้วก็เกิดการกดดัน ทำให้อุตสาหะวิริยะ เพื่อที่จะพากเพียร ทำให้ศาสนานี่ดีขึ้น ในประการใดๆ หรือทำให้มันเกิดการชนะ เอาชนะคะคาน กันขึ้นอย่างนี้เป็นต้น มันก็ปลุกเร้า เป็นการกระทำที่กดดัน หรือที่ทำอะไรๆให้เกิดสภาพที่มันมีแรงขึ้น เพื่อที่จะให้เกิดการพัฒนา อะไรๆ ขึ้นก็ได้นะ ก็เป็นผลเหมือนกันนะ นี่เป็นลักษณะการตายที่มันไม่เหมือนกัน และมันก็มีคุณค่า หรือไม่มีคุณ ไม่มีค่าต่างกันไปหมด เพราะฉะนั้น เราจะไปพาซื่อ เอาว่าการฆ่าตัวตายอย่างเดียว เป็นบาปไปทั้งหมด มันก็มีบุญบ้าง แต่สรุปแล้ว อย่างไรๆ ก็ตาม ฆ่าตัวตายเป็นบาป เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธเป็นไปตามวิบากกรรม ไม่สอนให้ใครฆ่าตัวตาย

พระถ้าไปบรรยายให้ยินดีในการที่จะเห็นว่าการตายเป็นเรื่องประเสริฐ จะไปสอนใครอย่างไร เห็นว่า การตายนี่ เป็นเรื่องประเสริฐ เป็นเรื่องดี แล้วก็เอาตัวเองจนตาย จะให้เขาฆ่า หรือว่าฆ่าตัวเองตาย ก็ตาม ผู้ที่เป็นพระ ไปสอนไปแนะนำเขาให้เกิดจิตอย่างนี้ขึ้นมา และคนๆที่เห็นดีว่า โอ๊ย ตายดีๆ แล้วเขาก็ไปทำตนเองจนตาย หรือไปให้คนอื่นเขาฆ่าตาย ด้วยเหตุอย่างนี้ ด้วยเหตุอย่างยินดี เชื่อถือเลยว่า โอ๊ ตายดีกว่า เหมือนลัทธิรวมอิสซึ่ม นะ แกบอกว่า อะไรก็ไม่มีทางออกหรอก ทางสูงสุดก็คือต้องตาย แกก็เลยกินยาตาย สุดท้ายแก กว่าจะตาย ก็นานเหมือนกันนะ นายรวม พยายามหว่านล้อมพยายามบอกเลยว่า การตายนี่เป็นทางออกที่สูงสุด อะไรอย่างนี้ ถ้าใครไปแนะนำ เป็นพระนะไปแนะนำคน จนกระทั่งคนเห็นดี เห็นชอบตามนะ ไปตายสำเร็จลง ผู้นั้นปาราชิก เป็นพระนี่ มีอาบัติปาราชิก ไปให้เขายินดีเห็นดีในการตาย จนกระทั่ง เขาไปตาย จนสำเร็จ ปาราชิก ถือว่าเป็นเหตุของพระนั่นเอง ไปทำให้เขาตาย หรือฆ่าตัวตาย เหตุจากพระนั่นเอง ถือว่าปาราชิก นี่พระพุทธเจ้าป้องกันเอาไว้ถึงขนาดนี้ อย่าไปให้ไปแสดงธรรม ไปทำอะไร ไปพูดให้คนอื่นเขาเห็นว่า การตายหรือการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องดี แต่ก็อย่าให้คนกลัวตาย อย่าให้ไปกลัวไปอะไรกัน การตายเป็นเรื่องเปลี่ยนภูมิ ถ้ารู้จักศาสนาพุทธดีแล้ว เป็นเรื่องเปลี่ยนภูมิ เปลี่ยนฐานะ เปลี่ยนรูปร่าง เปลี่ยนอะไรไปเท่านั้นเอง จะตายอายุน้อย จะตายอายุมาก เหมือนกันหมด เปลี่ยนภูมินะ ตายอายุน้อยก็ได้ ตามวิบากของคน บางคนก็อายุน้อยตาย บางคนอายุมากหน่อยตาย ก็เปลี่ยนภูมิไปสู่ภูมิที่เป็นไปตามธรรม คนที่ทำดีเอาไว้ และก็เรียนรู้ว่า โอ สังสารวัฏ มีต่อเนื่องไปด้วยเหตุปัจจัยเป็นกรรมและวิบาก เรื่องจริง สั่งสมแต่กุศลกรรม สั่งสมในสิ่งที่ดีที่งามไว้ ตายไป คนนั้นไม่กลัวตายหรอก เพราะเปลี่ยนภูมิ เปลี่ยนสภาพไปชาติหน้า มันก็จะสังเคราะห์รวมกันไปอีก เราก็จะได้ต้นทุนที่ดีกว่า

สมมุติว่า เรารวยเท่านี้ ปางนี้ ชาตินี้ เรารวยเท่านี้ และเราก็สร้างกุศล สร้างบุญไว้อีกตั้งเยอะ เอาไว้ในชาตินี้ ตายไปแล้วชาติหน้าก็สังเคราะห์ลงมาเลย เป็นภูมิธรรม ที่มันเหมือนกับ ขุมทรัพย์ของตน เป็นมรดกกรรมของเรา จะรวยกว่าเก่า จะได้มาทันที หรือจะเป็นขุมทรัพย์ ฝากไว้ที่ใครก็ตามแต่ มันเป็นสมบัติ เป็นบุญของเรา มันจะเป็นของเรา ที่มากมายกว่าเก่า จะเป็นอะไรอื่น ก็แล้วแต่ หน้าตารูปร่างจะสะสวยกว่าเก่าอะไรก็ ถ้าเราได้ทำกุศลไปจริงๆ ก็จะสะสวยกว่าเก่า แข็งแรงกว่าเก่า เจริญกว่าเก่า นานาสารพัด มันดีกว่าเก่า

เพราะฉะนั้น ถ้าแม้ถึงเราจะต้องตาย แต่อย่าไปฆ่าตัวตายนะ อาตมาไม่ได้ส่งเสริมให้คุณฆ่าตัวตาย แม้คุณจะทำสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลมากมายอย่างไรก็ตาม ไม่ต้องไปฆ่าตัวตาย บาป ไม่ต้องไปทำซ้ำซ้อน แต่ตายนั่นแหละ จะตายด้วยอะไรอื่นก็ช่าง ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ จะตายด้วย อุปัทวเหตุ จะตายด้วยอย่างโน้น ยังไงก็แล้วแต่ ตายแล้วมันก็จะสังเคราะห์ทุน เป็นมรดกธรรม มรดก กรรมของเราเจริญขึ้นกว่าเก่า ดีได้ดีกว่าเก่า ถ้าเรามีกุศลมาก คนตายที่ตายเพราะ เราแน่ใจว่า เราได้สร้างกุศลมามาก จึงไม่กลัวตาย

เพราะฉะนั้น พระอรหันต์เจ้า ยิ่งตายแล้วจะสูญด้วย พระอรหันต์เจ้า จะไปกลัวทำไม พระอนาคามีภูมิ ก็ไม่กลัว พระสกิทาคามี ถ้าเข้าใจดีก็ไม่กลัว โสดาบันถ้าเข้าใจดีแล้ว ในเรื่องอย่างนี้ ก็ไม่กลัว เพราะพระโสดาบันก็เลิกลดแล้ว เรื่องบาป เรื่องชั่ว ทำแต่ดีๆๆ เพิ่มขึ้น สกิทาก็เริ่มทำดี มากขึ้นเท่านั้นอีก ยิ่งเป็นอนาคามีก็ยิ่งทำดีมากขึ้นไปอีก ไม่มีทางจะกลัวตาย เพราะยิ่งเป็น ปัญญาญาณ ที่รู้ความจริงที่ลึกซึ้งขึ้นๆ จะไปกลัวตายทำไม มันไม่กลัวตาย เพราะมันมีญาณปัญญารู้จริง ไม่ใช่มันไม่กลัวตาย เพราะว่าเรามีห่ามๆนะ คนไม่กลัวตาย มีหลายๆอย่าง มี นะ เราปลุกเร้า เราแนะนำ บอก เฮ้ย ไม่ต้องกลัวตายหรอก ยังโน้นยังงี้ อะไร ต่างๆนานา ตายอย่างพวกกามิกาเซ่ อะไรของญี่ปุ่นนี่นะ โอย ตายแล้ว พวกกามิกาเซ่ อะไร พวกที่ยอมเสียสละชีวิต เพื่อจะตายเพื่อชาติ เพื่อเป็นอุดมการณ์นี่นะ และแล้วเขาก็ตาย ทั้งๆที่เขาไม่รู้เลยว่า ชาติหน้าของเขานี่ จะได้อะไรมาดี แต่เขาได้เสียสละอุดมการณ์เพื่อชาติ เขาได้เสียสละ และส่วนที่จะลึกซึ้งกว่านั่น เขาไม่รู้ก็ตาม แต่เขาใจกล้านะๆ ยอมตายเพื่อชาติ อย่างนั้นจริงๆ และตายอย่างนั้นน่ะนะ ก็เป็นคุณประโยชน์เหมือนกัน เสียสละ แต่เขาไม่ได้เข้าใจ หรอกว่า ถ้าตายเปลี่ยนภูมิอย่างนี้แล้ว เขากล้าตาย อย่างที่อาตมาว่า ไม่ใช่กล้า เขากล้าตาย แต่ไม่เหมือนกับที่อาตมาพูดว่า เขาตายโดยไม่เสียใจ ไม่กลัว ไอ้นั่นมันกล้าตาย เพราะว่าบางที มันห่ามด้วยซ้ำไป เออ ข้าจะได้ตาย ได้ติดเหรียญติดตรา ได้ยอมรับนับถือ คนจะได้ประกาศ อะไรต่ออะไรเอาไว้ มันตายแลกลาภ แลกยศ แลกสรรเสริญ ไม่ใช่ตายธรรมดา ไอ้อย่างนั้นน่ะ มันตาย มันมีอะไรต่ออะไรบ้าง มันก็ดีอยู่หรอก ว่ามีอุดมการณ์เพื่อชาติ เสียสละเพื่อชาติ เพื่อประชาชน อะไรๆ ต่ออะไรกันมันก็ดี แต่ว่า มันก็ซ้อนเชิงใช่ไหม มันไม่ได้เหมือนกันเท่าไหร่นะ

มีการตายต่างๆ นานา ที่อาตมาขยายความมาแล้วก็มีเสริมมาให้อาตมา อธิบายเสริม เป็นอีกอันหนึ่ง คือเรื่องของชาวพุทธ

พระพุทธเจ้าสอนให้ชาวพุทธ คิดถึงความตาย คือมรณัสติ ให้พิจารณา การตาย ถ้ามรณัสตินะ ถ้ามรณานุสติ นั่นน่า ที่จริงในพุทธานุสติ ๑๐ นั่นนะ ไม่ได้ มรณานุสตินะ มรณะๆ นี่อ่านอย่างไทยนี่ อ่านมอ อ่านอย่างบาลีก็อ่านมะระณะ มะระณัสสะติ มะระณัส ไม่ใช่ มะระณา นุสติ ไม่ใช่ มีอสติอยู่นี่ ไม่ใช่อยู่ในอนุสติ ๑๐ แต่ว่า มรณะนี่ไม่ใช่มรณานุสติ อนุสติที่ไปสนธิกับมรณะ ไม่ใช่ อันนี้ไม่ใช่ ต้องสังเกตให้ดี ในอนุสติ ๑๐ นั้น มีอยู่ ๓ อันที่ไม่ลงท้ายด้วยอนุสติ มีมรณัสติ มะระณัสสะติ อันหนึ่ง แล้วก็กายคตาสติ อันหนึ่ง แล้วก็อาณาปาณสติ อีกอันหนึ่ง ๓ อัน นะ มีกายคตาสติ มรณัสติ และอาณาปาณสติ ไม่ใช่อนุสติ อีก ๗ อันนั้น อนุสติหมดนะ อนุสติหมด มีพุทธานุสติ (พุทธ+อนุสติ)อย่างนี้เป็นต้น ธัมมานุสติ (ธัมม+อนุสติ) เพราะฉะนั้น มรณะ นี่ไม่ใช่มรณานุสติ ไม่ใช่นะ อนุสติแปลว่า มีสติตาม ตามรู้ความตาย แต่มรณัสติ นั่นหมายความว่า ต้องมีสติรู้ความตายอย่างชัดเจน จนเกิดญาณปัญญา มีสติสัมปชัญญะ มีพิจารณาเรื่อง ความตาย คืออะไร ไม่ใช่ตามดูความตาย มรณานุสตินะ ตามดูความตาย

ส่วนมรณัสตินั้น เรื่องนี้ อาตมาจะบอกให้ อาตมาเคยเห็นเขาเถียงกัน เปรียญเขาเถียงกัน เปรียญประสก เปรียญระพิน ที่ไทยรัฐ สยามรัฐ กับไทยรัฐ ตอนนั้น ถกกัน เรื่องมรณัสติ กับมรณานุสติ เถียงกันใหญ่เลย เถียงกันว่า อันไหนถูก อันไหนผิด เสร็จแล้ว ดูเหมือนนะ อาตมาไม่แน่ใจนะ คิดว่าใช่ ประสกเนี่ย พูด ว่ามะระณานุสติ ซึ่งทางระพินทางโน้นเขาเถียงว่าไม่ใช่ อนุสติ ๑๐ พระพุทธเจ้า ท่านไม่เคยใช้มรณานุสติ เขาใช้ว่ามรณัสติ ทางนี้เลี่ยงเลย ทั้งๆที่อยู่ในหนังสือนั้น มะระณัสติไม่ใช่มรณานุสติ แต่ตัวเอง ไปเขียนหนังสือ ของตัวเอง ลงในคอลัมน์ของตัวเอง ว่ามรณานุสติ ทางโน้นเขาก็ทัก ไม่ยอมรับๆ ว่าตัวเขียนผิด พูดผิด มรณานุสติ บอกว่าใช้ได้ๆ อย่างโน้น นี่อธิบายใหญ่เลยน่ะ ดำน้ำไปใหญ่เลย

อาตมาจะบอกให้ว่า อนุสติ แปลว่า ตาม มีสติตามรู้นะ เมื่อตามรู้ หรือ ตามดูอันนั้น อันนี้ก็ต้อง ตามดูความตาย อนุสติ ตามดูความตายนะ เรื่องอนุสติที่จะตามดูความตาย อนุสติ ที่จะติดตาม ดูความตายนี่ๆ มันไม่ได้ประโยชน์เท่าไหร่ แต่ เรียนรู้ความตายนี่สิ คือได้สติ มรณัสติ เรียนรู้ความตาย นี่สติสัมปชัญญะ ปัญญา เรียนรู้ความตาย เพราะฉะนั้น บอกพิจารณาให้ปลง ให้พิจารณาถึงความตายบ่อยๆๆๆ นั่นคือ การเรียนรู้ชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ตามดูความตาย ใช่ไหม พิจารณาถึงความตาย บ่อยๆ ตามดูความตายที่ไหน ให้เรียนรู้ความตาย อะไรตาย อะไรเกิด คนตาย อะไรตายต่างๆนานา แม้แต่ตัวเราก็จะตาย ให้นึกถึงความตาย

เพราะฉะนั้น เมื่อนึกถึงความตาย ก็คือ เรียนรู้ เรานึกถึงความตายว่า เราอาจจะตายวันตายพรุ่ง ตายในวินาทีข้างหน้าก็ได้ เราจะต้องพยายามนะ รู้ตัวเอง แล้วก็พยายามก็ศึกษาเรียนรู้ ไม่เช่นนั้น เราจะตายอย่างที่จะตายจริงๆ หมดลมหายใจแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะทำดีต่อไป ต่อไปกรรมวิบาก จะเป็นอย่างไร ต่อไป ก็ยังไม่รู้ ถึงแม้รู้ว่าจะดีขึ้น ก็อย่าประมาท แล้วเรียนรู้ถึงความตาย นี่มีลึกซึ้ง ยิ่งกว่านี้ อาตมาก็ไม่มีเวลาที่จะอธิบายให้มากนี่

ในนี้ถามมาว่า ทุกลมหายใจเข้าออกละครับ แล้วพระพุทธเจ้าสอนให้ ชาวพุทธคิดถึงความตาย ทุกลมหายใจเข้าออก ก็คือ เพื่อศึกษา แตกต่างกว่าการคิด ฆ่าตัวตายอย่างไร ระวังตรงไหน

จะต้องไปฆ่าตัวตายทำไมล่ะ บอกแล้ว แตกต่างกันกับคิดฆ่าตัวตาย ก็คือ มันไม่โง่ คนพิจารณา มรณัสติ จริงๆแล้ว จะไม่โง่ฆ่าตัวตาย เพราะเรียนรู้ความตายว่า ไม่ต้องฆ่าก็ตาย ใครบ้างที่จะไม่ตาย โดยไม่ต้องฆ่าตัวตายในนี้ ไม่ต้องฆ่าตัวตาย แล้วก็จะต้องตายนะ ใครมั่ง อ๋อ มีอยู่ไม่กี่คนเหรอ นอกนั้นไม่ตายหรือ ที่ไม่ยกมือนี่ ใครที่จะไม่ตาย ถ้าไม่ฆ่าตัวตาย จะไม่ตายมีไหม ไม่มีนะ จะไม่ฆ่า ตัวตาย จะไม่ตาย ไม่มี ตายมันทุกคนน่ะ ใช่ไหม

เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดฆ่าตัวตาย มันตายแหงๆ ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่อยู่ค้ำฟ้าไปได้สักคนเดียวหรอก เพราะฉะนั้น ใครจะไปคิดฆ่าตัวตาย ไม่ต้องฆ่าตัวตาย ไม่ต้องคิด เพราะมันแตกต่างกัน เพราะมันคิดฆ่าตัวตาย เพราะฉะนั้น คิดฆ่าตัวตายเลิก ไม่ต้องไปคิดอะไรทั้งสิ้น ในการคิดฆ่าตัวตาย เลิกไปหมดนะ เพราะเราตายแน่

เราเอาชีวิตที่ได้ร่างได้ขันธ์ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า คนเราได้ร่างได้ขันธ์ ได้รูปนามขันธ์ ๕ มานี่ เป็นบุญนักหนาแล้ว ยิ่งได้พบศาสนาพุทธ ยิ่งเป็นบุญมากขึ้น ยิ่งเอาศาสนาพุทธมาศึกษา พยายามปฏิบัติธรรม ของศาสนาพุทธให้ได้ ยิ่งมีบุญมากกว่านั้น นี่เรามาพบศาสนาแล้ว ยังมีชีวิต อยู่อีกกี่ปีกี่เดือน พากเพียรเข้า ยิ่งคนที่มาเจอะธรรมะยามค่ำ ก็รีบจ้ำเข้านะโยม ยิ่งมาเจอะไม้งาม เมื่อขวานบิ่น มาพบธรรมะ บอก โอ้ย! ธรรมะนี่ดี แต่เราก็แก่แล้ว ต้องพยายามของเราไป แล้วมันเป็นกาละ เป็นเวลาที่เราจะต้องทำให้แก่ตน เร่งแล้วเร่งเร่า เพียรพูด สอนแล้วสอนเล่า แนะนำแล้ว แนะนำเล่า จูงดึงกัน พากเพียรพากัน พยายามตั้งสติดีๆ พยายาม ใครเขาปรารถนาดีกับเรา ใครเขาจะติจะเตียนให้เราได้ดี เราเองก็เร่งตัวเราเอง ไม่เท่าไหร่ แล้วคนอื่นช่วยให้ ก็เป็นบุญแล้วนะ จะช่วยด้วยวิธีการ อย่างหยาบ กลาง ละเอียด ขนาดไหน ก็ตามใจเถอะ เป็นเรื่องดีนะ

เพราะฉะนั้น การคิดฆ่าตัวตายนั้น มันไม่เหมือนกันกับผู้ที่ อาตมาบอกแล้ว ผู้ที่พิจารณา หรือผู้ที่ ศึกษามรณัสติ ศึกษากายคตาสติ ศึกษาอาณาปาณสติอะไร แล้วก็ฝึกฝนปฏิบัติ แล้วพิจารณาความตาย เป็นการอธิบายความเท่านั้น พิจารณา เราศึกษาทั้งเรียนรู้ ทั้งพิจารณา ทั้งเห็นความตาย แล้วก็เรียนรู้ว่า คำว่าความตาย มีตายอะไรบ้าง ตายทางร่างกาย ตายทางด้านกิเลส มีตายกิเลส ตายกิเลสเขาเรียกว่าอรณะ ตายร่างทางกาย เรียกว่ามรณะ

และกิเลสตาย มันเป็นอย่างไร มันก็คือความตาย เรียกมะระณะ รวมๆก็ได้ แต่เราดับกิเลสให้ตาย ส่วนร่างกายจะตายนั่น เราไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้น คนที่พิจารณาอย่างนี้ จะเข้าใจมรณัสติ โดยที่ว่าไม่คิดฆ่าตัวตาย แตกต่างกันกับ คนที่คิดฆ่าตัวตายแน่ๆ มันแตกต่างกัน ตรงมันกระทำกัน คนละอย่างนะซิ อย่างไรก็คนคิดฆ่าตัวตาย ก็คือคนโง่ ได้แต่อวิชชา เสร็จแล้วก็ไปคิดตาย ด้วยวิธีฆ่าตัวตาย ต่างกับคนที่ตายโดยไม่ต้อง คิดฆ่าตัวตาย แต่ตายเพราะวิบากของตัวเอง

เพราะฉะนั้น ระวัง ตรงความเข้าใจผิด ระวังที่ความไม่รู้แจ้ง ไม่เข้าใจว่า ไอ้ความตายนี่ เราจะพิจารณาอะไร พิจารณาศึกษาความตาย ให้รู้เท่ารู้ทัน ความตายของคนไม่ใช่เรื่องน่าเสียใจ ไม่ใช่เรื่องน่า... แต่มันน่าเสียดาย ตรงที่ว่า ถ้าเผื่อว่าเราตายไม่สมควร ในกาลเวลา แต่ก็ต้องรู้ว่า ถึงแม้ว่าเราจะเสียดาย เราก็ไม่ต้องเสียใจ เรารู้ว่ามันเสียดาย รู้ว่าตัวเราเองนั่นแหละเราไม่ สมควรตาย ไม่น่าจะตาย ถ้าเรายิ่งจะทำประโยชน์คุณค่าได้ เราก็ยิ่งทำต่อไปนะ อย่าไป ผัดผ่อน อย่าไปผัดวันประกันพรุ่งนะ

มีตั้งข้อสังเกตมาอีกนิดหนึ่งว่า โสเครติส นี่เป็นปราชญ์คนหนึ่งเหมือนกัน ยุคไล่เลี่ยกันกับ พระพุทธเจ้า ถูกบีบให้ฆ่าตัวตาย โสเครตีส ถูกบีบให้ฆ่าตัวตาย คือได้รับการตัดสินว่า จะต้องฆ่าตัวตาย แล้วเขาก็ให้กินยาพิษ โสเครตีส ก็ฆ่าตัวตาย โดยการกินยาพิษนะ อันนี้ไม่เหมือนกันกับคุณสืบ สืบนั้นน่ะ ตัวเองคิดเอง ฆ่าตัวตายเอง ถูกความกดดัน ส่วนโสเครตีส นั้นน่ะแสดงสัจธรรม แสดงจนไปกระทบกับผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองเขา เสร็จแล้วเขามีอำนาจ เขาก็เอามาพิพากษาโดยลำเอียง นั่นแหละ หาว่าผิดโน่นนี่อะไรต่ออะไรต่างๆ นานา มีโทษถึงประหาร การประหารสมัยโน้น ให้กินยาพิษตาย

เสร็จแล้วเขาก็เอามาไว้ช่วงหนึ่งระยะหนึ่ง แล้วถึงเวลา เขาก็เอายาพิษให้กินตาย โสเครตีสก็กินตาย และยังเปล่งกล่าวคำอะไรต่อมิอะไร เป็นเรื่องฝากฝังเอาไว้ให้แก่มนุษยชาติ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ก็ได้ยกย่อง เป็นปราชญ์ ผู้ใดที่จะเรียนทางด้านปรัชญา ก็จะต้องเรียนปรัชญาของโสเครตีส เยอะแยะ เพราะว่าพูดเป็นปรัชญา เป็นเรื่องดี อะไรต่อมิอะไรเอาไว้แก่ผู้คน ได้ยอมรับนับถือว่า เป็นผู้ที่มีปัญญาที่แท้ มีปัญญาบริสุทธิ์ใจ และเรื่องปรัชญาถูกต้อง สัจจะที่ดีๆ และเอามาสอน และมันค้านแย้งกับเรื่องเหลวไหล ไปห้ามโสเครตีส อย่าสอนอย่างนี้ โสเครตีสแกไม่หยุด ห้ามแกยังไง แกก็ไม่ฟัง เมื่อห้ามไม่ฟัง เขาก็เอาอำนาจมาตัดสินให้ฆ่าตัวตาย โสเครตีส นี่ เป็นต้น เป็นเรื่องที่เสียสละชีวิต ทั้งๆที่รู้ว่าเขาจะฆ่าตัวเองตาย แต่ไม่ใช่โสเครตีสฆ่าตัวเองตาย ที่ฆ่าตัวตายนั่น เพราะเขาเอายาพิษมาให้กิน ก็กินก็ตาย ก็นั่นมันก็เรื่องธรรมดา มันไม่ใช่ตัวเอง ฆ่าตัวเอง แต่เขาบังคับให้ฆ่าตัวเอง แกไม่หวั่นหวาดอะไรอย่างนี้ เป็นต้น

สรุปแล้ว การตายด้วยการฆ่าตัวตาย ก็มีประโยชน์บ้าง ไม่มีประโยชน์บ้าง แต่มีประโยชน์มันน้อย จริงๆ แล้วบาปทั้งนั้น อย่างโสเครตีส ถือว่าไม่บาป เพราะว่าตัวเองไม่ได้ทำเอง โสเครตีสนี่ มันเป็นเรื่องของตัวเอง ที่ถูกบังคับ ถูกอะไรทุกอย่าง และก็ยืนหยัดอยู่ในข้างสัจธรรม เวลานานมาแล้ว มันมีเหตุปัจจัย มันมีการพิสูจน์ได้ เพราะนานมาแล้ว ตั้งหลายพันปี ก็พอจะรู้ได้ อย่างโสเครตีสอย่างนี้ เป็นต้น สัจจะมานาน ยิ่งนานวัน ก็ยิ่งจะประกาศความจริงขึ้นมา การตายของแต่ละคน แต่ละคน ก็มีบุญ มีบาปอย่างนั้นนะ

เอ้า พวกเราก็พยายามพิจารณามรณัสติ คือศึกษาเรื่องการตายให้ดีๆ อันนี้วันนี้ เป็นการอธิบาย เรื่องการตายเป็นอย่างนั้นๆ แหละนะ มีอะไรต่อมิอะไร แตกต่างกัน เพราะมีเหตุการณ์ เรื่องตายขึ้นมา จึงบอกให้รู้บุญรู้บาป แล้วก็พยายามพากเพียร ถ้าเราทำดี เราจะไม่กลัวตาย ถ้าเราทำชั่ว คนยิ่งทำชั่วมากเท่าไหร่ ยิ่งกลัวตายมากเท่านั้น เป็นเรื่องลึกๆ ของจิตวิญญาณมนุษย์จริงๆ

ถ้ายิ่งคุณเข้าใจสัจธรรมแล้วว่า เหมือนกับเราย้ายบ้าน ชาตินี้เรามี บ้านโกโรโกโรค มีบ้านน้อย เพราะเราจน เสร็จแล้วเราก็สร้างบุญ สร้างกุศลที่ดี ถ้าตายแล้ว เราจะได้เปลี่ยนบ้าน ไปบ้านหลังดีขึ้น ใหญ่ขึ้น สบายขึ้น เขาก็ไม่เสียดายบ้านเล็ก ใครจะทำลายบ้านหลังโกโรโกโสนี้ เขาไม่ได้เสียดายอะไร เออ ทำลายไป แล้วฉันก็ได้ไปขึ้นบ้านใหม่ของฉัน อยู่บ้านหลังใหม่ ที่ดีกว่าเก่า เจริญกว่าเก่า นัยอย่างนี้ ใครมันจะไปกลัวละตาย ตายแล้วได้เปลี่ยนบ้านใหม่ที่ดีกว่าเก่าด้วย ตามจริงที่เรามีบุญบารมี ที่เราได้สร้างสรรไว้จริงๆ มันไม่กลัว อย่างใด อย่างนั้น ถ้าคนศึกษาดีๆ แล้ว ส่วนคนที่รู้ว่า ไอ้บ้านที่หลังเราอยู่นี่ ตอนนี้ แหม ยิ่งไปโกงเขามาอะไร แหม วิเศษ บ้านฉันนี่วิเศษ วิเสวิโสเลย แต่เรารู้ว่า ตัวทุจริต โกงเขามา อะไรเขามา ปล้นจี้อะไรเขามา อะไรต่างๆนานา แม้จะหรูหรายังไง ตายแล้ว แน่ๆเลยกู ไปอยู่บ้านเกเรเกตุง หรือดีไม่ดีไปอยู่เป็นหมู เป็นหมา ยุ่งกันใหญ่ และมันก็ไม่อยากตายแน่นอน ลึกๆคนเรา แม้มันจะไม่รู้อย่างที่อาตมาว่า คนเราก็ติดสุข ติดไอ้สิ่งที่ตัวเองเป็น ตัวเองมี ไม่อยากตายหรอก ไม่ๆอยากตาย หรือเป็นคนชั่วก็ตาม ทำชั่วทำชั่วจริงๆเลยนะ แม้ไม่มีอะไรเลยก็ตาม มันก็รู้ว่า ตัวเองทำชั่ว อย่างน้อยที่สุด ศาสนาไหน หรือปราชญ์รุ่นไหน ก็ตาม ก็ต้องบอกว่า คนชั่วตกนรกทั้งนั้น ไม่มีใครบอกว่า ทำชั่วแล้ว จะขึ้นสวรรค์หรอก

เพราะฉะนั้น ใครมันอยากตายล่ะ ตายแล้วไปตกนรกน่ะ มันก็ไม่อยากตาย เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ หรือการรักชีวิต หวงแหนชีวิต มันก็ไม่อยากตายนะ อยากจะอยู่นานๆ

อย่างเมื่อวานนี้ ๗๕ แล้ว เดินก็ประคองปีกกันมา โอ๊ ดิฉันยังอยากอยู่อีกนาน จะนานไปเท่าไหร่ ก็ไม่รู้นะ ว่ายังไง ก็อยากอยู่นานก็ว่าทำดี เพราะโปรดได้เท่าที่โปรดได้ อย่างนี้เป็นต้นนะ อย่างนี้ จะแก่เท่าไหร่ บางทีแต่ก็ยังไม่อยากตาย แต่ก็มีนะ คนแก่บอก อยู่ไปก็ไร้ประโยชน์อะไรตายก็ดี ก็คิดอย่างนั้น ธรรมดาไม่ได้บีบคั้นอะไร อย่างคนแก่ ที่มันรู้สัจธรรมแล้วก็มี

เอาละ วันนี้ เลยเวลาไปเกือบ ๑๐ นาทีแล้ว อาตมาได้เทศน์ถึง เรื่องตาย ในเรื่องนี้ ก็ว่ากันถึง ในเรื่องตาย ชื่อเรื่องก็ไม่ต้องไปตั้งมากหรอกว่า เรื่องตาย พูดเรื่องตายสู่กันฟัง ว่าอย่างงั้นเถอะ เอ้า จบ

สาธุ


ถอดโดย ยงยุทธ ใจคุณ ๒๕ ก.ย.๒๕๓๓
ตรวจทาน ๑.โดย สม.ปราณี ๒๗ ก.ย.๒๕๓๓
พิมพ์โดย สม.นัยนา ๒๗ ก.ย.๒๕๓๓
ตรวจทาน ๒.โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๓๐ ก.ย.๒๕๓๓
FILE:1008.TAP)