ความเป็นคนมีอะไร...เป็นอะไร ตอนที่ ๑
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อ วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔
ณ พุทธสถาน ปฐมอโศก


ในความเป็นคนนี่ มีอะไร เป็นอะไร เกิดมาเป็นคนที่ มันไม่มีอะไรหรอก แล้วมันก็ไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าเราได้ทั้งปรัชญาของศาสนาพุทธเราแล้วว่า ไม่มีอะไรเป็น ไม่มีอะไรมีหรอก แต่เราก็ต้องยอม รับความจริงนะว่า มันเป็นมันมี อย่างน้อยมันก็มีทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ว่า โอ! อะไรมันเกิดมานี่ มันเป็นเรื่องของทุกข์ การเกิดใดๆ เป็นทุกข์ การมีอยู่เป็นทุกข์ การเป็นอยู่นี่เป็นทุกข์ และตัวร้ายที่สุด ที่มันทำให้ทุกข์ ก็คือตัวกิเลส โดยเฉพาะเกิดมาเป็นคน จะต้องรู้จักเจ้าตัวกิเลสนี่แหละ เป็นตัวร้าย

พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ลึกซึ้งแล้วว่า โอ ! เกิดมาป็นคนนี่เป็นอะไร มีอะไร ได้อะไร เกิดมาเป็นคนแล้ว มันมีวิบาก มีกรรมเป็นวิบาก นี่เป็นสัจจะ เป็นความจริง

สัจจะนี่มีสมมุติสัจจะ กับปรมัตถสัจจะ สมมุติสัจจะ ก็คือสิ่งที่มันเป็น มันมี นี่แหละเรียกว่า สมมุติสัจจะ โดยเฉพาะกิเลสมันมีจริงๆ กิเลสเป็นสมมุติสัจจะ มันเป็นมันมีอยู่ ทีนี้ปรมัตถสัจจะ ของพระพุทธเจ้า ท่านค้นพบสัจจะที่ลึกซึ้งที่สูงเรียกว่า ปรมัตถสัจจะ ท่านก็เห็นว่า ตรงกิเลสนี่แหละ มันมีอยู่ที่จิต มันอาศัยจิตมาทำการ แล้วก็พาให้ทุกข์ พาให้เลว ท่านศึกษาจนกระทั่ง ท่านเห็นแจ้ง เห็นจริงแล้วว่า เราจะทำอย่างไรกับกิเลสที่มันอยู่ที่จิต มันอาศัยจิต มันทำให้ดีก็ได้ ทำให้เลวก็ได้ โดยเฉพาะ มันทำให้เลวนี่แหละ มันเป็นทุกข์อันร้ายกาจ ทั้งตนและผู้อื่น เป็นตัวร้ายกาจ ตรงนี้ ตรงที่ทำให้ทุกข์ ทั้งตัวและผู้อื่น ยุ่งยากมาก จนกระทั่ง ท่านตรัสรู้ถึงทฤษฎีได้ สูตรสำเร็จมรรคองค์ ๘ หรือ โพธิปักขิยธรรม มีโพชฌงค์ กับมรรคองค์ ๘ เป็นตัวหลักเลย แล้วก็เอามาให้ศึกษากัน เพื่อพิสูจน์ เพื่อปฏิบัติ เมื่อเราได้เรียนรู้ทฤษฎี ของพระพุทธเจ้า เอามาพิสูจน์ เอามาปฏิบัติ ก็จึงสามารถ ที่จะทำสัจจะอันสูง คือจับตัวกิเลส แล้วก็ล้าง ก็ละกิเลสลงไปได้จริงๆ จึงเห็นว่า คนเราควรมีอะไร ควรเป็นอะไร อย่างพวกเราเรียนรู้กันไปบ้าง ก็รู้ว่า อ้อ ! เราเป็นคน เราควร จะอยู่อย่างไร ควรจะมีอะไร ควรจะเป็นอะไร แต่ก่อนมันไม่รู้ ก็เลยมาเลิก มาละ สิ่งที่ไม่ควรเป็น ไม่ควรมี แต่ก่อนนี้เราว่าเราเป็นคนนี่ เราถูกหลอก สมมุติสัจจะ คนเราร่ำรวย ควรจะเป็นคนที่มี ความร่ำรวย ควรจะเป็นคนที่มีความสุข แบบโลกียสุข แบบโลกๆ ที่เขาพยายามสะสมความสุข อย่างที่เขาเป็น เราก็ดำเนินชีวิตอย่างเขาพาเป็น แข่งขันแย่งชิงสะสมกอบโกย เอาเปรียบเอารัด จะทุจริตอย่างไร ก็ไม่ว่า ขอให้เราเป็น ขอให้เรามี ขอให้เราได้ เราก็ไปเอา พยายามจริงๆ อุตสาหะ วิริยะ เหน็ดเหนื่อย เรียกว่า เกิดมาเป็นคน มันต้องได้สิ่งนี้แหละยอด สิ่งนี้แหละประเสริฐ สิ่งนี้แหละ ดีแน่ๆแหละ

เกิดมาเป็นคน ไม่ว่าชาติไหนๆ ถ้าไม่ได้ศึกษาสัจจะที่ลึกซึ้ง ทั้งสมมุติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ ของ พระพุทธเจ้า อย่างที่กล่าวนี่ มันก็จะทำยังงั้นล่ะ ถึงแม้ว่าจะมีศาสนาหลายศาสนา ที่พยายาม สอนคน ให้เป็นคนดี ให้เป็นคนที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูล มีเมตตาเสียสละช่วยเหลือ พยายามที่จะให้คน เขาสละออก ลดความโลภบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้สอนให้เห็นชัดเจนอย่างของพุทธ ให้ชัดเลยว่า นี่แหละ การแบ่งการแยก การเป็นคน ๒ ชนิด เป็นคนโลกุตระกับเป็นคนโลกียะ ให้เห็นชัดเจนเลยว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข โลกธรรม ที่เป็นของโลกๆ กับคนอีกโลกหนึ่ง ที่มันแปลกไปจากโลกนี้ เป็นโลกใหม่ เป็นปรโลก หรือว่าเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง เป็นมนุษย์อีกชนิดหนึ่ง ที่กลับกัน ทวนกระแสกัน แล้วก็เกิดญาณ เกิดปัญญา เกิดศรัทธา เกิดเห็นจริงๆนะ มีญาณ มีปัญญาเข้าใจ แล้วก็มีความเห็น เชื่อมั่นจริงๆเลย ว่า อ้อ ! เกิดมาเป็นคนนี่ มันหลงผิดนะ มันไปหลงมีหลงเป็น อย่างที่เขามีเขาเป็น กันในโลกทั้งหมด มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เขาเข้าใจความสุขที่เป็นโลกียสุข ในโลกนี้ เขาเข้าใจความสุข ที่เป็นโลกียสุขกัน แต่เขาจะเข้าใจว่า ความสุขที่ไม่มีโลกียสุข ที่ไม่ต้องเสพสม สุขสมอย่างลึกซึ้ง อย่างของฤาษี หรือศาสนาบางศาสนา ลัทธิบางลัทธิ เขาพยายามกดข่ม พยายามเลิก เหมือนกันว่า ไม่เสพ ไม่ไปให้มัน เกิดอาการปรุงแต่ง เกิดอาการเสพอย่างที่เขาเสพกัน กดข่มๆ แต่เขาไม่รู้เท่าทันกิเลส ไม่รู้เท่าทันความจริง ที่ซ้อนลึกลงไปว่า จิตที่มีกิเลสเป็นเจ้าเรือน นี่แหละ เป็นตัวบงการ แล้วก็เป็นตัวไม่หยุด ไม่หย่อน แล้วมันมีบทบาท มีลีลา มีความเกิด อย่างไม่มีปัญญา ไม่รู้ชัดรู้แจ้ง ไม่รู้แทงทะลุ ไม่รู้อย่างรอบถ้วนว่า กิเลสมันเป็นอาการอย่างไร มันเป็นเครื่องหมายอย่างไร แล้วมันจะล้างกิเลสนี้ออกไป จนกระทั่ง อย่างหยาบ กลาง ละเอียด จนกระทั่ง หมดเกลี้ยงสิ้นได้อย่างไร มันต้องล้างออกได้ด้วยปัญญา ที่เห็นชัดเจนเลย มีศรัทธินทรีย์ มีศรัทธาพละ มีความเชื่อจริงๆ มีความเห็นจริงๆ ด้วยปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล ปัญญาพละ มีกำลังของปัญญาที่เห็น อย่างลึกจริงๆเลยว่า โอ ! มันไม่ใช่ตัวจริง มันไม่ใช่ตัวตน มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดมาอยู่กับตัวกับตนของเรา ฆ่ามันให้ตายได้ พิสูจน์ว่า เมื่อมันตาย จากตัวเราแล้ว มันตายสูญแล้ว เราไม่ได้ทำให้สิ่งที่เป็นที่มี คือชีวิตหรือชีวะ ไม่ได้ทำให้ชีวิตนี้ ลดหย่อนลงไปเลย ไม่ได้ทำให้ชีวิตเลวต่ำลงเลย มีแต่ประเสริฐขึ้น ยิ่งฆ่ากิเลสตายๆๆ จนกระทั่ง ถึงขั้นสูงสุด เรียกว่า พระอรหันต์

พระอรหันต์ ฆ่ากิเลสตาย อย่างหยาบ กลาง ละเอียด ตายหมดไปในตัวเลย ตายสิ้นเกลี้ยงไปจากตัว ได้จริงๆเลย กิเลสตายหมดเกลี้ยงไปแล้ว ชีวิตยิ่งประเสริฐ ชีวิตยิ่งมี ยิ่งเป็น ฟังให้ดีนะ พระอรหันต์ ยังมีความมี ความเป็น ชีวิตยิ่งมี ยิ่งเป็นอย่างประเสริฐ ยิ่งเป็นพระอรหันต์ แล้วยิ่งมียิ่งเป็น มีสมมุติสัจจะ อย่างประเสริฐ แล้วมีปรมัตถสัจจะ อย่างสูงสุดอีกด้วย พระอรหันต์ มีปรมัตถสัจจะ อย่างสูงสุด คือความมีความเป็นจริงเลยว่า มีจิต เจตสิก รูป มีนิพพาน จิตก็มี เจตสิกก็มี รูปต่างๆมี คือมีรูป มีนาม และมีนิพพานแถมด้วย พระอรหันต์เจ้ายังมี ในขณะที่พระอรหันต์เจ้าที่เป็นๆ ได้พิสูจน์แล้วว่า ตัวร้ายกาจที่สุด คือกิเลส มันเป็นรูปร่างอย่างไร มันเป็นวิติกกมกิเลส เป็น ปริยุฏฐานกิเลส เป็น อนุสัยกิเลส กิเลสหยาบ กิเลสกลาง กิเลสละเอียด ลึกซึ้ง ซับซ้อน เล่นเล่ห์ เล่นเลศ อย่างธุลีละอองขนาดไหน ตามรู้ด้วยญาณปัญญาของตนๆ อย่างชัดแจ้ง และถอดถอน ล้างกิเลสสิ้น จึงเรียกว่า พระอรหันต์ ล้างได้หมดเกลี้ยงจริงๆ ก็ยิ่งเห็นได้ว่า คนนี่ โอ ! ควรมีอะไร ควรเป็นอะไร

เกิดเป็นคน ควรมีอะไร ควรเป็นอะไร โอ ! มีคุณค่าอย่างนี้เอง มีความสุขยิ่งกว่าสุข ยิ่งกว่าสุข สุขอย่างโลกียสุขนั้น พระอรหันต์รู้ทุกรูปแหละ เคยผ่านมา เป็นปุถุชนมาก่อนทั้งนั้น เสร็จแล้ว ก็มาละ ล้างกิเลสออก ไม่ได้เป็ ความสุขอย่างโลกียะ อย่างเล็กอย่างน้อย อย่างมากขึ้น จนกระทั่ง สมบูรณ์ จนเป็นโลกุตระที่แท้ จึงรู้ว่าคนควรมีอะไร ควรเป็นอะไร ไม่ได้ควรมีกิเลส ไม่ได้ควรเป็น อย่างโลกๆ เขาคิดเลย ควรเสียสละ ควรเสีย ไม่ควรได้ ไม่ควรเอา ไม่ควรยึด ไม่ควรติดว่าเป็นเรา เป็นของเราโน่น ใช้ภาษาอันสูงสุด เพราะอะไร เห็นชัดเจนแล้วก็ทำตน จนเป็นคนอย่างที่กล่าวนี้ได้ ไม่ติดไม่ยึดอะไร เป็นเราเป็นของเรา แต่เป็นคนขยันหมั่นเพียร สร้างสรร นี่สอน ศาสนาไหนเขาก็สอน สอนว่าเป็นคนขยัน เป็นคนอดทน เป็นคนมีเมตตาเกื้อกูล ศาสนาไหนเขาก็สอน เพราะว่าเป็น ความรู้ ของคนในโลก แต่ว่าที่ลึกซึ้งลงไป ไปจับกิเลสตัวร้าย ที่มันทำให้เราไม่อดทน ทำให้เราไม่ขยันจริง ทำให้เรา ไม่เป็นคนเมตตาจริง ทำให้คนไม่เสียสละจริงๆสูงสุด ทำให้คนยังติดยังยึด อยู่นั่นแหละ จึงไม่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ประเสริฐสูงสุดได้

อย่างพระพุทธเจ้าท่านพามาเป็นได้ ท่านพิสูจน์ของท่านก่อน แล้วก็พาลองพิสูจน์กับผู้อื่นๆ ที่จริง ในเรื่องของพุทธ สอนแล้วก็จับสัจจะได้ จนกระทั่งเห็นวิบาก เห็นกรรมวิบาก เห็นความเวียนว่าย ตายเกิด เห็นวัฏสงสาร ชาติแล้วชาติเล่า สั่งสมวิบากมันไม่ง่าย มันมีการสืบสาน มันมีการต่อเนื่อง มีสันตติ มีการเวียนตายเวียนเกิด มากมายนับไม่ถ้วน รู้ว่าวิบากเป็นตัวที่ต่อเนื่อง เป็นตัวที่สืบต่อ เป็นตัวที่จะไป เป็นบทบาท เป็นกรรม เป็นวิบากที่จะได้อาศัย ที่จะได้เป็นการสืบต่อ เรียกกรรมพันธุ หรือ กรรมพันธุ์ แล้วก็ได้อาศัยวิบากนี่แหละ ที่สั่งสมโดยเรากระทำ ไม่ได้มีพระเจ้าที่ไหน มาบันดาล พระเจ้าโกรธ แล้วเลยบันดาลให้เราอย่างนั้น อย่างนี้ พระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ล้มล้างทฤษฏี ที่เขาเชื่อ กันมาก ทุกวันนี้ก็ยังมีศาสนาที่เชื่อพระเจ้าอยู่ เชื่อว่ามีกำลังบันดาล กำลังนั้นเป็นกำลังของพระเจ้า ที่ผู้เป็นใหญ่

ความจริงแล้ว ถูกต้องอยู่เหมือนกัน ฟังดีๆ ความจริงแล้ว พระเจ้า มี พระเจ้าบันดาลสิ่งที่ได้สะสม วิบากไว้ จะชั่วหรือดีก็ตาม เป็นของตนที่จะได้รับ เราเชื่อของศาสนาพุทธนะ แล้วก็กรรมวิบาก ของเรานั่นเอง ที่ได้สั่งสมไว้ ชั่วหรือดีก็ตาม แล้วก็มีฤทธิ์มีแรง เหมือนมันบันดลบันดาล มันไม่น่าเชื่อเอา สารพัดเลย เป็นไปได้ว่า เมื่อมันมีมาก มันก็จะบันดลบันดาล มันก็จะมีฤทธิ์มีแรง จนเราคิดไม่ถึง คิดไม่ทัน มันมากเกิน หรือว่ามันร้ายเกิน มันดีเกิน มีทั้งร้ายเกินและดีเกินด้วย จนเราไม่เชื่อว่า ทำไมมันเป็นไปได้อย่างนี้ ก็เพราะเราทั้งนั้นแหละ มีกรรม มีวิบาก ของเรา ทั้งนั้นแหละ ที่สั่งสมไว้ แล้วมันก็ออกฤทธิ์ออกแรงให้เราได้รับ เป็นกัมมปฏิสรโณ เป็นเครื่องอาศัย เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับ ได้อาศัย เราทำเอง ความจริงแล้วเราทำเอง ฟังดีๆนะ มันไม่ได้ค้านแย้ง กับทฤษฎีของ ศาสนาอื่นๆ ที่มีพระเจ้า และก็ไม่ได้ค้านแย้งกับทฤษฎีพระพุทธเจ้าด้วย ฟังดีๆ มีแรงดลบันดาล แต่แรงดลบันดาลนั่น ไม่ใช่มีพระเจ้ามาบันดาล แรงดลบันดาลนั้น เพราะแรงของ กรรม แรงของวิบากของเราเอง ไม่ใช่มีเจ้ากรรมนายเวร เรานี่แหละเป็นกรรม เป็นเวร เป็นวิบาก เราเป็นเจ้า เราเป็นของเรา เราสั่งสมของเราเองทั้งนั้น แล้วมันก็มีมากจนออกฤทธิ์ออกแรง อย่างไม่น่าเชื่อ มีความร้าย มีความเลว มีเป็นทุกข์ มีความไม่ดีไม่งาม ก็เพราะเราสั่งสมไว้ แล้วก็ถึงเวลา วิบากเป็นคราวๆ เป็นชุดๆ วิบากไม่ได้มาทั้งหมด วิบากไม่ได้เอามาใช้แต่ละกาละ แต่ละยุค แต่ละชีวิต แต่ละชาติ ไม่ได้เอามาใช้ทั้งหมด ไม่ได้เอามาใช้ทั้งหมด เอามาใช้ ส่วนหนึ่งๆ แต่ละปาง แต่ละชาติ

อย่างอาตมาบอกว่า อาตมาปางนี้เป็นปางราม อาตมาไม่ได้หมายความว่า อาตมามีกุศลหรือมีอกุศล เท่าที่อาตมามี เอามาใช้ทั้งหมดในปางนี้ ไม่ใช่ เอามาใช้ส่วนหนึ่ง เอามาใช้วิบากชุดหนึ่ง อันนี้ทำให้ พวกเราเข้าใจมากขึ้น อาตมาพอบรรยายถึงวิบากเป็นชุดๆ ออกมานี่ ทำให้คนเข้าใจว่า เอ๊ ! เราเอง ทำดี

อย่างอาตมาเคยยกตัวอย่าง หมอดวงใจก็คิด เพราะว่าหมอดวงใจ ไม่สบาย มีโรคภัยที่ลำบากลำบน เป็นลูคีเมีย เป็นมะเร็งในเม็ดเลือด ก็จะต้องพยายามรักษา ไม่ให้มันมาทำร้าย ทำลายเม็ดเลือด ไม่งั้นมันก็หมดกำลัง หมดภาวะที่จะเป็นชีวิตอยู่อย่างทรมาน ก็เลยอยากตาย ก็มาศึกษาธรรมะ แล้วปี สองปี ก็ได้ทำดี ทำบุญทำกุศล สร้างกุศลไว้พอเพียง พอสมควรตามชีวิต เสร็จแล้ว ก็เห็นว่า เราควรตาย เพราะอยู่ไปก็ทรมานหลายๆอย่าง ก็เลยไม่มีกะจิตกะใจจะอยู่ อยากจะตาย เพราะคิดว่า ก็เราทำดีแล้ว มีวิบากเป็นกุศล เราเกิดมาชาติหน้าจะได้ดีกว่าเก่า ก็เปลี่ยนร่างเปลี่ยนขันธ์ซะ คิดอย่างนี้ ฟังอย่างนี้ อาตมาไม่รู้ ก็เลยว่า เอ๊! ทำไมคนอื่นเขาช่วยเหลือเฟือฟาย ก็ไม่ค่อยจะเอาถ่าน พยายามเลิก ไม่อยากจะให้ใครรักษา อยากจะปล่อยตัวให้ตายๆไป คนที่รักษา คนที่ช่วยเหลือ เฟือฟาย ก็ลำบาก ใช่ไหม ก็เลย อาตมาเพิ่งไปรู้ ไปคุยด้วย ก็เห็นจุดนี้ อ้อ! เข้าใจผิด มันเป็น ความเข้าใจผิด ตรงที่ว่า คิดว่าชาติหน้า เอาละตายชาตินี้ เพราะเราก็มีกุศลพอสมควรแล้ว เกิดชาติหน้า เราก็จะได้เกิดมาจะได้ดี อาตมาว่า โอ ! คิดผิด ที่ผิดก็เพราะว่า คุณอย่านึกว่า วิบากคุณ มีเท่านั้นน่ะ อ๋อ ! แล้วคุณก็มาสร้างชาตินี้ชาติเดียว คุณมาบอกว่า หมอดวงใจแกบอกว่า ดิฉันมาพบอโศก ก็ได้พากเพียรมาตั้งปี สองปี สามปีแล้ว มีวิบาก มีกุศล ก็ตั้งใจทำกุศล พอสมควรแล้ว เชื่อว่าชาติหน้ามีดีกว่า แต่ชาตินี้มันทุกข์เหลือเกิน เกิดชาติหน้าชาติใหม่ มันจะได้ กุศลนี้ จะได้มาเกิดดีขึ้นแน่ๆ

อาตมาก็บอก คุณแน่ใจหรือว่า คุณมีวิบากเท่านี้ วิบากของคุณยังไม่ได้เกิด เพิ่งเกิดชาตินี้หรอกนะ วิบากของคุณมีมากมาย แล้วก็อาตมาก็ใช้คำว่า ภาษานี้อาตมาคิดว่าใช้แล้วเข้าใจ บอกว่า ที่มาเกิด แต่ละชาติๆ มันมีวิบากมาชุดหนึ่ง เท่านั้นแหละมาเกิด มันไม่ได้มาทั้งหมดหรอก ไม่ได้เอาวิบาก ทั้งหมดมารวม แล้วก็มาใช้ทั้งหมด แต่มันก็สังเคราะห์มา แต่ว่าก็ไม่ได้หมายความว่า มันไม่ดีขึ้นหรือ ไม่เลวลง มันก็ดีขึ้น มันก็เลวลง มีค่ารวมเหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้มาใช้ทั้งหมด วิบากที่เหลืออยู่นี่ มันเหมือนกับหมาไล่เนื้อ ที่เราเคยได้พบในพระไตรปิฎกว่า มันคอยจ้อง และวิบากชั่วนี้แหละ ร้ายกาจ วิบากดีไม่ค่อยมีความเหี้ยนกระหือรือเท่าไหร่หรอก คนโกรธ คนพยาบาท มันจ้อง มันแรง มันจะงับ มันจะคอยโอกาส แต่คนดีไม่จ้องเท่าคนชั่ว ไม่เท่า คนดีไม่จ้องเท่าคนพยาบาท ใช่ไหม เหมือนกันแหละ ไอ้ตัวร้ายมันจ้อง แล้วมันก็คอย เพราะฉะนั้น วิบากบาป มันจ้องมากกว่าวิบากบุญ เพราะฉะนั้น เวลาจะเฉือนกัน เวลาจะตัดหน้ากันมาทำงาน วิบากบุญไม่ค่อยจะทันวิบากบาป เท่าไหร่หรอก ถ้าวิบากบุญนั้น ไม่มีฤทธิ์มีแรงมาก จนวิบากบาปมันชิงตัดหน้าไม่ได้ ถ้าแย่งกันแล้ว พวกที่แย่ง เป็นคนดี หรือคนไม่ดี? คนไม่ดี เราก็รู้แล้วนี่ เหตุผลของมันชัดเจนทุกอย่าง ไอ้ตัวที่แย่ง ตัดหน้า ตัวที่แย่งจะเอาเปรียบเอารัด ที่จะมาก่อนนี่ มันตัววิบากบาป

เพราะฉะนั้น คุณอย่าเข้าใจผิดว่าเกิดมาเรามีวิบากอยู่ชุดเดียวเล็กๆน้อยเท่านี้ มันมีวิบากอีก ตั้งเยอะ ตั้งแยะ เพราะฉะนั้น คุณตายจากชาตินี้แล้ว ชาติหน้าคุณจะได้วิบากบุญมาเท่าที่คุณได้สร้างไว้ แค่นี้ มันจะพอหรือ วิบากบาปคุณมีอีกเท่าไร คุณไม่รู้ ดีไม่ดี ชาติหน้าเกิดเป็นหมาซะอีก แล้วก็เลย ไม่ได้มาทำอะไรต่อเลย มันหนักกว่าเก่า ชาตินี้เป็นคนมานี่ก็บุญแล้ว พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า เกิดมา ชาติหนึ่ง ได้เป็นคนนี่ เป็นบุญแล้ว แล้วยิ่งได้พบพระพุทธศาสนา ยิ่งบุญยิ่งขึ้น ยิ่งมีสัตบุรุษ ได้สอนสัจจะ ได้รับฟังสัจจะในศาสนาพุทธ พบพระพุทธศาสนา แต่ไม่ได้เจอสัตบุรุษ ยิ่งเข้าใจผิด เห็นสัตบุรุษ เป็นคนที่ไม่น่าเคารพด้วย มิจฉาทิฏฐิด้วย ยิ่งไม่ได้เรื่องเลย อย่างนี้เป็นต้น

พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า คนมีบุญ หรือว่าคนที่ได้รับกุศลอันดี เกิดมาเป็นคนก็ดีแล้ว แล้วแถม เป็นคนแล้ว พบพระพุทธศาสนาก็ดีอีก พบพุทธศาสนา พบสัตบุรุษอีก ได้ฟังธรรมะ ได้ฟังสัทธรรม ยิ่งดีอีก เอาไปประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจัง ได้เกิดรับผลของศาสนา ก็ยิ่งมีบุญใหญ่

ทีนี้ ชาตินี้คุณก็เกิดมาแล้ว พบศาสนาแล้ว พบพุทธแล้ว มีสัตบุรุษ มีใครต่อใครช่วยเหลือเฟือฟาย มีชีวิตที่ทำไปต่อ ชาติหน้าเกิดมา มันจะได้บุญอย่างนี้หรือ มันจะไม่ได้กับไอ้ตัวแรก ที่ว่าเกิดเป็นคน ก็บุญแล้ว มันจะไม่ได้อย่างนั้นน่ะนา แน่ใจหรือว่าวิบากของคุณ คุณรู้ดีว่คุณชาติหน้า จะได้เกิด เป็นคนอีก ระวังจะเกิดมา เป็นหมานะ

โอ้โฮ! เพิ่งเข้าใจบอก ตาย! ตกใจ หยุดแล้ว ไม่เอาแล้วทีนี้ ไม่ขอตายก่อนแล้ว ยังไม่ตายหรอก ยังงั้นละก็จะพากเพียร เลยยอมให้รักษา โอ้! รักษา นี่ ทรมานนะต้องใช้สามคอร์ส รักษาเข้าไป แล้วก็ออกมาพักผ่อน เดี๋ยวเขาจะเข้าไปอีกรักษาอีก เขาทำด้วยวิธีการทางแพทย์ ซึ่งที่จริง ก็รักษา ก็ดีขึ้นบ้าง แต่มันก็ไม่ได้หายง่ายๆ แล้วมันไม่แน่ใจด้วยว่าจะรักษานี่ แล้วเขาก็ตั้งใจว่า คิดว่าดี ก็พยายาม พากเพียรกันอยู่ จะรักษาให้หาย ให้ดีให้ได้ ก็ไม่รุ้จะหายหรือไม่หาย แต่ว่าก็มีความหวัง แล้วกำลังใจของคน มันก็สำคัญ ตอนนั้นก็ไม่มีกำลังใจเลย แล้วมันจะไปหวังอะไรได้คน ตอนนี้ ก็มีกำลังใจรักษา

เอาละ สรุปเรื่องของหมอดวงใจนี่เอามาเป็นตัวอย่างให้ฟังว่า เมื่อเข้าใจผิดว่าคนเราเกิดมา แต่ละชาติๆ มีวิบากเป็นชุดๆ ขึ้นมาทำ อย่าเข้าใจว่า ชาตินี้ชาติหน้าเรามีวิบาก แล้วเอามาใช้ทั้งหมด ยังไม่ใช้ทั้งหมดหรอกนะ เอามาใช้ เป็นชุดๆไปนะ แล้วเราก็ยังไม่รู้ว่า วิบากที่เรามี จะออกมา ออกฤทธิ์ออกแรง อะไรขนาดไหน ทั้งกรรมวิบาก จึงเป็นอจินไตยที่คิดยาก อาตมาก็พยายามอธิบาย เท่าที่อาตมาอธิบายให้พวกเราฟังได้ แล้วเราจะเข้าใจได้ว่า วิบากหรือกรรมวิบาก เป็นตัวที่สำคัญมาก เราเรียนไป เราจะเชื่อกรรม เรียกว่ากัมมสัทธา ซึ่งก็ฟังไปแล้ว จะเชื่อวิบาก วิปากสัทธา จะเชื่อ กัมมัสกตาสัทธา เชื่อว่า กรรมเป็นของของตน ไม่ใช่มีใครมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรเรา ไม่มีใคร มาบันดลบันดาลเรา เราจะอยู่สุข เราจะเป็นทุกข์ เราจะเป็นอาศัยได้สุข ได้อาศัยกรรม ได้อาศัยวิบาก เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นของของเราทั้งนั้น มันจะเป็นปาฏิหาริย์ มันจะเป็นไม่น่าเชื่อ

ยกตัวอย่างอาตมาง่ายๆ จะฟัง ฟังแล้วก็ไปหมั่นไส้ ฟังแล้วก็ไปว่า อาตมายกตัวยกตน นี่อาตมา มาทำงานศาสนา หรือมาทำงานกับสังคม มาทำงานกับมนุษยชาติอยู่ทุกวันนี้ อาตมามีความเฉลียวฉลาด อย่าหาว่าอาตมาคุยตัวนะ อาตมามีความเฉลียวฉลาด ที่มีที่เห็นอยู่ ในสังคม ที่เอามาพูดกับพวกคุณรู้เรื่อง พวกคุณเข้าใจ แล้วพวกคุณก็รับสิ่งที่ควรรับ เลี่ยงสิ่งที่ ควรเลี่ยง เลิกสิ่งที่ควรเลิก เอาใจใส่อุตสาหะวิริยะในสิ่งที่ควรอุตสาหะวิริยะ มาจนกระทั่งได้ขนาดนี้ คุณก็คงพิสูจน์ตัวเอง และคุณก็คงเชื่อในตัวเองว่า เราได้เจริญขึ้นจริง จะมาในรูปร่าง ที่มันดูแล้ว ต่างกันกับทางโลกเขา ทวนกระแสกันก็จริง แต่คุณจะมีญาณปัญญา ลึกๆ รู้ว่าไม่มีปัญหา เราเข้าใจ เราเต็มใจ ยกตัวอย่างง่ายๆว่า คุณเองคุณมาทำงาน ไม่ได้เงินเลย มาเป็นทาสแรงงาน นะนี่ ทางโลกเขาว่า มันโง่ดักดานเลย เขาว่า โอ้โฮ! โพธิรักษ์นี่ฉลาดจริงๆ ฉลาดหลอก ไม่ได้ฉลาดชมเชย อะไรหรอกนะ ฉลาดหลอกเอาคนมาเป็นทาสแรงงานได้อย่าง โอ้โฮ ! เก่ง และไล่ไม่ไปเสียด้วย บอกพยายาม จะล้างสมองคืนให้กลับไป ไม่กลับไปเลยนี่ เหนียว ดูซิ มันเอาอะไรเลี้ยง มันเอาอะไรหลอก หลอกได้เก่ง พวกคุณก็ฟังเอา นี้เป็นต้น และเราก็อยู่ได้ อาตมามีความฉลาด เป็นต้น อาตมาทำอะไรต่ออะไรเหมือนกับมีบุญมีอะไร ได้มามันไม่น่าเชื่อ พวกคุณก็อยากได้ อย่างอาตมาบ้าง หลายๆอย่างน่ะนะ แม้แต่วัตถุเงินทอง ลาภยศไม่มากเท่าไร อาตมาได้ ไม่น่าทึ่งเท่าไร ไม่น่าปาฏิหาริย์เหมือนพระพุทธเจ้า นี่อาตมาก็พูด พูดให้ฟังโดยความหมายที่ อาตมา เชื่อว่า จริง แล้วก็เตือนคุณ ไม่ให้มานั่งหลงลมอาตมา ตลอดเวลา อาตมาไม่ต้องการคนโง่ ไม่ต้องการคนหลงลม ถ้าคุณไม่เห็นจริง ไม่เชื่อจริง อย่ามานั่งทำให้ง่ายๆ นา

คนเรา เมื่อเวลามีวิบาก มีบุญ หรือมีบาป มันก็จะเป็นของเราที่ออกมาให้เรารับ เพราะแต่ละคน แต่ละชาติ มีวิบาก ถ้าเราได้สั่งสมกุศลวิบากมาก มีกุศลวิบากเป็นกัมมัสสกตา เป็นของของตนมาก เราจะเชื่อ เราจะเห็นจริงเข้าไปทุกชาติๆๆๆ ทุกปางเลย จะเห็นไปเรื่อยๆ มันไม่ได้น้อยนะคนเรา สังสารวัฏ มันมากมายมหาศาลเหลือเกิน วนเวียนๆ วนตายวนเกิด สั่งสมบุญ สั่งสมบาป สั่งสม วิบากเป็นกุศล เป็นอกุศลอะไรนี่ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราไม่ประมาท แต่ละชาติ แต่ละปาง เข้าใจขึ้น ลึกซึ้งแล้วก็มีกำลังด้วย เข็นตัวเอง คุณเห็นไหมว่ามันเข็นยาก เข็นตัวเอง มันเข็นยากๆๆ ไม่มีใครมาดลบันดาลคุณนะ ไม่มีใครมาช่วยคุณหรอก คุณเข็นคุณไม่ได้เอง ก็เพราะว่า คุณไม่ฝึกเพียร ที่จะเข็นเองตัวเองให้มัน จนกระทั่งมันคล่อง จนกระทั่ง มันง่ายจะต่อสู้กิเลส

แหม ! กิเลสมันชวนให้เราไม่อยากลุกนะ ระฆังเง้งๆแล้ว ก็ อื้อ! เราไม่ค่อยจะสบาย เราอื้อ! มันควร จะพักผ่อน ประเดี๋ยวสุขภาพจะเสีย อะไรก็แล้วแต่เถอะ มันก็หาเรื่องมา กิเลสนี่มันชวนทั้งนั้นแหละ มันจริงหรือเปล่า แม้มันจริง ถ้าเผื่อเราฝืนนี่นา มันจะเกิดกำลังหลายๆ อย่างเหมือนกัน นี่ยกตัวอย่าง ง่ายๆ จะนอน จะตื่น จะไปจะมา จะทำงานทำการ จะโน่นจะนี่ รู้นะว่าดี รู้ว่าขึ้นมา นำหน้าเสมอ คือศาสนาพุทธ จะเกิดญาณปัญญา เกิดปฏิภาณก่อนเสมอ รู้ดีแล้วมา เข็นตัวร้ายกาจสุดท้าย นี่คือ ตัวที่มันอัตตา เห็นแก่ตัว จะเสพตามตัวชอบ อาตมาบอกทุกทีเลยว่า มันชอบที่จะอยู่เฉยๆ หรือ มันชอบที่จะทำ ในสิ่งที่ตัวชอบ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ตัวชอบ อย่าไปทำเลยไอ้นี่ ไปทำไอ้นี่เถอะ เราชอบ มันก็เป็นภพของตัว หรือที่สุด ไม่ใช่จะไปชอบไปทำ สิ่งที่เราจะทำก็คือ อยู่เฉยๆ อย่างที่กล่าวนั่น มันก็จะอยู่เฉยๆ มันเบาๆ อยู่เฉยๆ อาตมาไม่ได้เถียงเลย แต่ไหนๆ แต่ไรไม่เคยเถียงเลย อยู่เฉยๆ มันเบา มันว่าง แหม ! มันซ้อนกับคำสุดยอดเสียด้วยนะ ก็ ว่างๆ อยู่ว่างๆ ก็มันว่าง เฉยมันก็เบา มันก็ง่าย ใครจะไปเถียงคุณล่ะ แต่ถ้าเผื่อว่า เราอุตสาหะวิริยะ ถ้าเผื่อว่าเราขยันหมั่นเพียร มันก็ไม่ถึงตาย มันก็ไม่ถึงทรมาน มันก็ไม่ถึงลำบากอะไรเลย ถ้าผู้ใดมีกำลังของวิริยะ มีกำลังของ ตัวเพียร มีจริงๆ มีตัวขวนขวาย มีตัวเพียรมีตัวไม่เสพภาพตรงนี้นะ ไม่เห็นแก่ตัวที่จะต้องมา อยู่เฉยๆ อยู่ว่างๆ ก็รู้แล้ว่า มันว่างมันก็เบา แต่มันก็ไม่ถึงขนาดว่า เราเองไม่มีแรงจะทำ ไม่มีโอกาสจะทำ ฝีมือก็มี สิ่งจำเป็นเขาก็ต้องการอยู่เสียด้วยซ้ำไป แต่เราจะอยู่เฉยๆ หรือจะเลี่ยงไปทำสิ่งที่ตนชอบ ทั้งๆที่บางที ไม่มีความสำคัญ ไม่มีความจำเป็นเท่าใดเลย ดีไม่ดีไม่มีคุณค่าด้วยซ้ำ ถ้ายิ่งมีกิเลส ที่หยาบ ที่หนาอยู่ ก็ไปเสพ หรือไปทำสิ่งที่ตัวเองชอบ แล้วไม่ได้เรื่อง ไปทำอะไรก็ตามแต่เถอะ คุณคิดเอาก็แล้วกัน ของใครของมัน ไปทำสิ่งที่ไม่ได้เรื่องตามกิริยานั้น ไม่เป็นประโยชน์ มอมเมาตัวเอง เป็นกิเลสเสริมซ้ำด้วยซ้ำ เสร็จแล้วเราก็ไปทำให้แก่ตัวเอง ถ้ายิ่งหยาบ มันก็ยิ่งมีกิเลส หยาบๆ มากๆ ไปทำสิ่งที่ตัวเองชอบนั่นแหละ เลี่ยงไปทำในสิ่งที่ตัวเองชอบนั่นแหละ มันก็ต้องต่ำ เรื่อยไป เพราะฉะนั้น เราจะต้องลึกซึ้ง ต้องอ่าน ต้องเห็นจริงๆ แล้วต้องฝืนมัน เรียกว่าทวนกระแสใจ ทวนกระแสโลก แล้วทวนกระแสใจด้วย

ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ จนสูงสุดแล้ว พระอรหันต์เจ้าท่านไม่ได้ทำตามที่ชอบ ท่านตามผู้อื่น ดูองค์ประกอบ ดูสิ่งแวดล้อม ดูอะไร อ๋อ! อันนี้ควร ทำอันนี้แฮะ! อันนี้ควรเป็นประโยชน์มาก กับสังคม ในรอบกว้าง หรือรอบแคบก็ตาม ถ้าผู้ใดยิ่งมีปัญญา ก็จะรู้ว่า ควรจะทำในสังคม รอบแคบ รอบใกล้นี่ก่อน หรือว่าควรจะทำในรอบที่ไกลไกลออกไปบ้าง หรือไกลออกไปได้ โอกาสนี้ ควรทำไกลบ้าง ใกล้บ้างอะไร จะมีปฏิภาณรู้ว่า ควรทำอะไรต่ออะไรอย่างไรแค่ไหน มีปฏิภาณรู้ รอบใกล้ รอบไกล รอบกว้าง รอบสั้น รอบอะไร เป็นผู้ที่มีจักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่ ซับซ้อนที่มากชั้น ที่มีญาณปัญญามากขั้น ก็จะทำได้ถูกต้องมากขึ้น ที่จริงอย่างพวกคุณ ขนาดพวกคุณนี่ อาตมาเชื่อ เชื่อได้เลยว่า ถ้าคุณมาทำอย่างอาตมา คุณจะอ้วก ขนาดที่พวกคุณชอบนี่ อาตมารู้ว่ากิเลสนี่นะ บางทีมันมากเกินไป ก็จะอ้วก ที่จริงมันก็ไม่มากเกินไปหรอก ถ้าเผื่อว่า เราหมุนเวียน แต่อาตมา ก็ต้องหมุนเวียน อาตมาไม่รู้จะอธิบายยังไง มันเยอะ มันหลายอย่าง จนคนงงๆ ว่าอาตมาทำอะไร ยังไงบ้าง มีอะไรต่ออะไร ก็ดูรับผิดชอบไปหมด ทำไอ้โน่นไอ้นี่ไปเยอะแยะ มันก็ทำได้ เท่าที่อาตมา มีอินทรีย์พละ และได้ฝึกฝนมา

นี่แหละมันเป็น เรื่องที่คุณจะต้องงง หลายคนงง ข้างนอกเขายิ่งงง ว่า โอ้! ทำยังไงนี่บริหารด้วย สอนด้วย เขียนหนังสือด้วย มีผลงาน มีอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา ทำไอ้โน่นไอ้นี่ไป ทำงานอะไรๆด้วย ก็ทำลง ลงมือทำด้วย ไม่ต้องสั่งเฉยๆ บางทีก็ไป ลงมือทำด้วย อะไรหลายๆอย่าง ที่มันดูเหมือน อาตมาทำได้เกินนี่ คุณก็จะแปลกใจ ว่ามันเป็นจริง มันทำได้ ประหลาด ตัวเองก็ไม่รู้ว่า ตัวเอง ทำได้ยังไง ถึงไม่วุ่นในหัว นี่ง่ายๆ ทำไมไม่วุ่นในหัว เรื่องไม่ใช่น้อยๆ อาตมาว่า อาตมารับไว้ไม่น้อยนะ ใครว่าน้อยมั่ง ใครว่าน้อยมั่ง ไม่ใช่น้อยๆนาเรื่อง ไม่ใช่น้อยๆเลย รับเรื่องไว้นี่ ไม่ใช่น้อยเลย เรื่องอะไรต่ออะไร อย่าว่าแต่เรื่องที่เป็นหลักๆเลย แม้แต่เรื่องพวกคุณ แต่ละคน บางทีต้องดู ต้องไอ้คนนี้คนนี้เรียงเอาไว้ คนนี้ว่าเดี๋ยว คนนี้ต้องได้เวลา ได้โอกาส ต้องเอามาอัดหน่อย คนนี้ต้องคอยเทศน์ให้หน่อย หลายๆคนก็บอก เอ! หลายๆคนแล้วนี่ คล้ายๆกัน เราก็เทศน์ เทศน์เรียงหัวไปหน่อยก็ หลายๆคน มันมีแนวเดียวกัน ก็เทศน์เรียงหัวไปหน่อย ไม่บอกชื่อ บอกเสียงหรอก คนไหนฉลาดก็รับเอา อ้อ! วันนี้ท่านอัดเราแฮะ วันนี้โดนเราเต็มอั้กเลย วันนี้อะไรก็ว่าไป เพราะว่าจะไปจับมาเรียงตัวมาพูดทีละคนๆๆจริงๆ มันไม่ได้หรอก ทำไม่ได้ อาตมาทำไม่ได้ ต้องใช้โอกาสใช้เวลา ใช้อะไรยังงี้

ถ้าใครรู้ดีว่า ตอนนี้อาตมาเทศน์ให้แล้ว อาตมาอัดให้แล้ว ก็ควรรู้ตัว แล้วก็ต้องรู้ประโยชน์ อาตมาเอาใจใส่อยู่ ก็พยายามจะให้ทุกคน จะใช้ว่าอาตมาเอาใจใส่ ทุกคนน่ะ มันพูดไม่ได้หรอก ก็พยายามจะเอาใจใส่อยู่ทุกคนนั่นแหละ หวังจะมีอะไรยังไง จะดูแล จะทำยังไง คนนั้นคนนี้ขาดอันนั้น ควรแก้อันนี้อะไรได้ ก็ต้องใช้ ตัวเอง มีปฏิภาณ รับเอาด้วย รู้เอาด้วยว่า เออ ! ตอนนี้นี่แหละคือคุณประโยชน์ หรือว่าทรัพย์ หรือว่าสิ่งที่เราควรได้ ได้จากที่อาตมาเทศน์ให้ บอกให้ เออ ! มันตรงนะนี่ เรา... ตรง อันยังงี้น่ะ ถึงแม้ว่า อาตมาไม่ได้นึกถึงใครบางคน แต่ก็ มันก็เก็บ เก็บว่า เออ! คนนี้มีอันนี้นะ มีอุปนิสัยอันนี้ มีกิเลสอันนี้ มีลักษณะยังงี้ อันนี้ควรแก้ อันนี้ควรเติมให้ ดีแล้วหละ ควรจะยิ่งขึ้น อันนี้ไม่ดี ควรจะจัดการ ควรจะเข่น ควรจะอะไรก็ใช้ลีลาลักษณะ ว่าอะไรที่ไม่ดีควรเข่น ว่าให้รู้สึก ว่าให้กระทบ ว่าให้แรง ว่าให้รังเกียจ ว่าให้ร้อนตัว ให้ไปแก้ไข หรืออันนี้ดี ดีแล้วรักษาไว้ อันนี้ควรจะต่อไป อย่างนี้ พากเพียรเพิ่มเติมอย่างนี้ ก็ใช้วิธีเท่านี้แหละ เป็นอภิสมาจาร บาปสมาจาร อภิสมาจารก็หมายถึง สิ่งที่ยิ่งทำให้ยิ่ง บาปสมาจารก็คือสิ่งที่มันไม่ดี ก็ต้องละ ต้องเลิก ต้องลด ต้องเว้น ต้องขาดออก ก็มีอยู่สองนัยนี่ ทำอยู่เสมอๆ ตลอดเวลา ก็เอาใจใส่ก็ทำงาน และอาตมาถือว่า เป็นงานของโพธิสัตว์ งานของมนุษย์ เป็นคนคนหนึ่ง

นี่ อาตมาก็บอกกับคุณตรงๆอยู่ตลอดเวลาว่า เป็นโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่ได้ทำงานนี้มานานชาติ แม้เดี๋ยวนี้ ก็จะต้องทำ ทำอย่างพอใจ เหนื่อยก็ไม่ว่า มากอย่าง มากเรื่อง ก็พยายามที่จะรับเข้ามา อย่าให้มันวุ่น ตัวเราไม่ทุกข์ ก็เป็นความสามารถของอาตมา เรื่องมากแต่ไม่ทุกข์ เรียบเรียง หลายอย่างมันจำไม่ไหว เพราะฉะนั้น สัญญาที่จำจึงหลุดๆร่วงๆบ้าง เพราะมันเยอะจริงๆ เยอะมากเรื่อง อาตมาไม่ได้มองแค่ ในพวกเรา มองผลกระทบต่อเนื่องไปถึง สังคมข้างนอก ต้องระมัดระวังด้วย ถ้าไม่ระมัดระวัง พวกเรานี่ มันอยู่ไม่รอดตั้งนานแล้ว ระมัดระวังไว้ขนาดนี้ ก็ยังโดนขึ้นโรง ขึ้นศาลขนาดนี้ พยายามใช้ ความสามารถที่จะอยู่ได้ด้วยขนาดนี้ อาตมาก็ว่าดีแล้ว แต่หลายคนมองว่า ไอ้นี่ยังไม่เก่งจริงหรอก ยังไม่เก่งหรอก ถ้าจริงดีกว่านี้ เก่งกว่านี้ ให้เขารับได้ดีกว่านี้ คนเขายอมรับเราดีกว่านี้ แล้วก็ไม่กล้า ที่จะมาทำอะไรกับเราหรอก ไม่ต้องมาเอาขึ้นโรงขึ้นศาล มาตู่ท้วงได้ขนาดนี้ จริง เก่งกว่านี้ ควรจะเป็นอย่างนี้ ควรจะเป็นอย่างที่กล่าวนั่น แต่ว่ามันได้เท่านี้ จริงๆอาตมาได้เท่านี้ แล้วอาตมา ก็มองเห็นมุมดีกว่า มันดีขนาดนี้ มันดียังไง ไอ้ที่ไม่ดีก็จริงแหละ ไม่ต้องทรมานที่จะต้อง แหม ไปขึ้นศาลโน้น ศาลนี้ ตอนนี้ก็ตะลอนๆอยู่ แต่อาตมาก็มองมุมดีว่าดีนะ ไปขึ้นศาลตะลอนๆ ที่โน่นที่นี่ เอาประโยชน์ตรงนี้ให้ได้นะ ก็ว่ากันไป บอกเราควรจะทำยังโง้นยังงี้อะไร ก็บอกแนะว่า ควรทำยังงี้มั่ง ใครเห็นด้วยก็เอา ก็ไม่ได้บังคับทีเดียว ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องทำ นี่เราก็ไปเรื่อยๆ ว่าเรื่อยๆ เหตุการณ์มันจนกระทั่ง มาถึงวันนี้ มีอะไรต่ออะไร ก็บอกว่า มีผลกระทบไหมต่อศาล ก็บอกว่า เออ ! เรายังดำเนินการอยู่ ทางด้านโน้นเขาก็ไม่ว่าอะไร เราก็ยังไปอยู่ มันก็เหนื่อยแหละ แต่เหนื่อยก็ควรทำ เพราะว่ามันเป็นผลดีในรูปอย่างนั้น ในรูปอย่างนี้ เป็นลักษณะที่เราจะต้อง เข้าใจว่า อย่างนี้ จะมีผลดีอย่างไรหรือไม่ ถ้ามันเป็นผลดี เราก็ทำสิ่งที่ดี แม้จะต้องเสียสละ จะต้องอุตสาหะ วิริยะ เราก็ต้องเสียสละ เราก็ต้องอุตสาหะวิริยะ เพราะมันเป็นผลดีใช่ไหม

เพราะเกิดมาเป็นคน ควรมีอะไร ควรเป็นอะไรก็เป็น ควรทำอะไรก็ทำ สิ่งที่เป็นกุศลกรรม สิ่งที่เป็นสิ่งดี จะกระทำ มีกรรมเท่านั้นแหละเป็นกำเนิด มีกรรมเท่านั้นแหละเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเท่านั้นแหละเป็นสิ่งที่สั่งสมเป็นวิบาก มีกรรมเท่านั้นแหละที่เราจะต้องใช้ปัญญาไตร่ตรอง แล้วก็เลือกเฟ้นทำ เกิดมาต้องทำ คุณอยู่เฉยๆก็ทำ คุณนั่งอยู่เฉยๆ คุณเฉยๆ คุณก็ทำเป็นกรรม ชนิดหนึ่ง นะ คุณกำลังขยันหมั่นเพียรสร้างสรรก็ทำ คุณกำลังทำความลำบากนะ ทำสิ่งที่ ลำบาก เป็น "ทุกขายะ อัตตานัง ปทหะติ" ตั้งตนไว้ในความลำบาก แล้วคุณก็มีปัญญารู้ว่า เอาละ ทำความลำบากอันนี้ มันเป็นการสร้างสรร เป็นอภิสมาจาร ไม่ใช่ไปทำสิ่งที่เป็นบาปสมาจาร เป็นอภิสมาจาร เราทำอันนี้ดีขึ้นนะ เป็นความต่อสู้ เป็นความลดละ เป็นความเว้นขาด ในสิ่งที่ ควรเว้นขาด ทำแล้วด้วยวิธีการที่ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ แล้วเราก็มาฝึกอย่างนี้ อุตสาหะตรงนี้ มันก็เป็นสิ่งที่สั่งสม เป็นสิ่งที่เป็นจริง เป็นกรรมที่สั่งสม ไม่ไปไหน ไม่มีอะไรมากกว่ากรรมเลย เป็นคน มีอิริยาบถ หายใจเข้า หายใจออก กระดิกมือ กระดิกขา กระดิกแขน กะพริบตา กระทำสิ่งโน้น กระทำสิ่งนี้ คิด แม้แต่คิด แม้แต่ในใจมีอารมณ์ คุณสั่งสมอารมณ์อย่างไร มันก็เป็นการสั่งสม อารมณ์อย่างนั้น สั่งสมอารมณ์อย่างนี้ เราชอบอารมณ์ยังงี้ เราก็ทำอารมณ์ยังงี้ คนสั่งสม อารมณ์โกรธ รู้สึกว่าสั่งสมอารมณ์โกรธได้คล่อง ได้ไวได้เร็ว เสร็จแล้วก็ยิ่งไปชอบมันด้วย มันด้วย มันมันดี หลงผิดเลยว่ามีอารมณ์โกรธน่ะมันดี หลงผิด เขามีจริงๆ แล้วเขาก็ทำ เขาก็ชำนาญ เราเห็นว่ามันเป็นทุกข์ เราเห็นว่าเป็นเลว เป็นร้าย เราก็ไม่เอาอารมณ์โกรธ อารมณ์โลภ สั่งสมอารมณ์โลภ อารมณ์ราคะ ก็สั่งสม พอได้คิด มีราคะก็อร่อยพอ ยิ่งไม่ได้สมราคะ ยิ่งอร่อยใหญ่ มีมาก่อนทุกคน เคยมาก่อนทุกคน เสร็จแล้วมาเห็นจริงว่า เลิกเถอะอารมณ์ราคะ ไม่ต้องไปมีอารมณ์ ราคะ ยิ่งว่างจากราคะยิ่งดี ว่างเบาสบาย ไม่เป็นภาระ คุณก็มาล้างๆๆให้มันชิน ให้มันเป็น ให้มันได้ เห็นด้วยญาณปัญญาว่า มันดียิ่งกว่า มันว่าง มันสูญ มันไม่มี มันดับไป มันไม่ได้ทำให้เราตกต่ำเลย หมดราคะ ไม่ได้เป็นความตกต่ำ หมดความโลภเห็นแก่ตัว ไม่ได้เป็นความตกต่ำ หมดความโกรธ โดยเฉพาะความโกรธ สายโทสะ อาตมาสอน ว่ามันไม่มีคุณค่าอะไรเลย ไม่ต้องอาศัย

แต่สายโลภะ หรือว่า พยายามมีความปรารถนาโลภะ มันปรารถนา แต่ไม่ปรารถนามาให้แก่ตัว ไม่ถือว่ากิเลส ถ้าปรารถนา หรือต้องการเพื่อผู้อื่น มีปัญญารู้ด้วยว่า ต้องการเพื่อผู้อื่นอย่างไรแน่ แล้วก็ต้องการ เพื่อผู้อื่นนั่น มันเป็นคุณค่าไหม บางทีต้องการเพื่อผู้อื่น มันไม่เป็นคุณค่าก็ได้ ต้องการ แต่ไม่ได้ต้องการมาบำเรอตน มาเพื่อตัวเลย อันนี้เรื่องของความต้องการปรารถนา เรียกว่าตัณหา หรือจะเรียกว่า ความที่จริง ความโลภมันคือมาให้แก่ตัว แต่ถ้าความต้องการนี่เรียกว่าตัณหา ตัวตัณหา หมดความโลภ โกรธ หลง นี่ก็คือหมดความต้องการมาให้แก่ตัว แต่คำว่าตัณหานี่กลางๆ แปลว่า ความต้องการ เราต้องการ เป็นวิภวตัณหา ไม่ได้ต้องการมาให้แก่ตัวเลย วิภวตัณหา

อาตมาก็บอกแล้วว่า แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ใช้ ความต้องการอันนี้เป็นความต้องการ หรือ ความปรารถนาดี เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัว เพื่อตนเลยจริงๆ ต้องอาศัย แต่ตัวสายโกรธ สายโทสะนั้น ไม่ต้องมีเลย เกลี้ยง ไม่ต้องเหลือเลยได้ ไม่ต้องใช้ ในชีวิตไม่ต้องใช้ แต่ดูโลกมันเหมือนต้องการ แต่บอกแล้วว่า ถ้าโลก ต้องการมาบำเรอตน แต่ตัณหามันเป็นความต้องการคล้ายๆโลก แต่ไม่ได้มาเพื่อตน แต่ตนก็ต้องทำ มันเป็นความต้องการที่ตน ลักษณะแสดงออกเป็นความต้องการ อยากทำดี อยากสร้างสรร เขาก็หาว่า อยากดัง อยากทำให้คนอื่นเห็นว่าเราทำดี แหม ! นี่อยากทำดี ใช่ไหม อยากเสียสละ อยากเอาดัง อยากขยันอดทน อยากเอาดัง แล้วมันก็จริงด้วย ถ้ายิ่งอดทนเก่ง มีความดีมาก มีความ เสียสละมาก สร้างสรร มีฝีมือสามารถมาก มันก็เด่น มันก็ดัง ห้ามไม่ได้เลย ที่มันจะเด่น จะดัง ลึกซึ้งอยู่ที่เรานี่ เรายังเสพสรรเสริญไหม เรายังเอาดัง เอาเด่น เอาดีนั่น เป็นของตนของตัวไหม ซ้อนลึกไปตรงนี้ ถ้าเราพยายามรู้ความจริง แล้วเราก็ไม่เอา มันจะเด่น มันจะดัง มันก็เป็นตัว แบบฝึกหัด ซ้อนให้เราได้ฝึกด้วย เรายิ่งเด่น เรายิ่งดัง แล้วเราก็ยิ่งติด ยิ่งหลงหรือไม่ หรือว่าเราล้าง กิเลสซ้อน เอาเด่นก็เด่น ดังก็ดัง แล้วเราก็ไม่ได้ มันมีอาการของเรา เรารับรู้ในจิตวิญญาณ อาการ ลิงค นิมิต เป็นรูปนามที่เราอ่านของเราให้ออกว่า เราไม่ได้ติดเด่น เราไม่ได้ติดดัง ไม่ได้ติดดีอะไร หรอก เราละวาง วางยังไง ปล่อยวางยังไงไม่ยึดติด เป็นตัวเป็นตน ยังไง อันนี้เป็นความลึกซึ้ง เป็นธรรมะ เป็นปรมัตถธรรมชั้นสูง ที่เราจะต้องรู้ของเราเอง ถ้าเรารู้แล้ว เราโกหกตัวเอง เราก็โกหก ตัวเอง หลอกตัวเอง ถ้าเราไม่โกหกตัวเอง ไม่หลอกตัวเอง ละจริง ล้างจริง วางจริง คุณก็ได้สัจจะ อันนั้นจริง

เพราะฉะนั้น ความเป็นพระอรหันต์ มันลึกซึ้งจนกระทั่งว่า คนอื่นรู้กับเราไม่ได้หรอก แล้วว่า เราซื่อสัตย์ ต่อตัวเองหรือไม่ซื่อสัตย์ มีปัญญาที่รู้ยิ่งรู้จริงหรือไม่ ถ้าไม่รู้ยิ่ง ไม่รู้จริง ก็ไม่ได้เป็นหรอก อรหันต์ ก็อยู่แค่นั้น หลงไปยังงั้นแหละ ก็กลายเป็นสรรเสริญเยินยอ หลงภพหลงชาติพวกนี้อยู่ ศาสนาหลายศาสนา เขาไม่เคยล้างความดี ไม่เคยล้างว่า มีความดีแล้ว อย่าหลงความดี อย่ายึดดีเป็นเรา เป็นของเรา เขาไม่เคย เขาไม่ได้สอนอย่างนี้ ดีนั้นแหละจงทำดี ดีนี้ก็ถวายพระเจ้า หรือว่า เราก็จะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า มันก็เท่ากับให้เรายึดดีเอาไว้ เพราะฉะนั้น ศาสนาอื่น เขาจึงได้ทำดีเก่งกว่าพวกพุทธ เพราะพุทธยังมาล้างดีของตนออกไปอีก มันก็เลย ย้อนแย้ง มันก็เลยไม่เหนียวแน่น ไม่จัดจ้านเหมือนกับของศาสนาอื่น ศาสนาอื่นเขาให้ทำดี เสียสละให้มาก ถวายพระเจ้า แล้วเราก็จะได้ไปอยู่กับพระเจ้า แล้วก็จะได้สุขสบายกับพระเจ้า เขายังมีอัตตา มีภพ มีชาติอยู่ เขาก็มีที่หวัง มีที่ไป มีที่เป็น มีสองมีสิ่งสอง ส่วนพุทธนั้น จบในตัว มีสิ่งหนึ่ง และก็สิ่งไม่มีนั่นแหละ คือสิ่งหนึ่งที่สุด ทำแล้วก็สูญๆ ไม่มีเรา ไม่มีของเรา ไม่มีของใคร พระเจ้าก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี แต่มันก็เป็นดีของโลกนะ ของใครๆก็ได้ สาธารณะนะ แต่ก็ไม่ได้หว่าน โดยไม่รู้จักว่า ควรให้ใครก็ไม่ใช่ มีปัญญาญาณรู้เหมือนกันว่า ควรให้ใครสมเหมาะสมควร ตามกาละ เทสะ ตามฐานะ แล้วก็ทำดีนั้นจริงๆ

นี่พูดถึงแนวลึก อาตมาก็ขยายแนวลึกไปจนกระทั่งสูงแล้วนะ ใครฟัง ไม่ไหวก็ฟังไปก่อน ถ้าใครฟังไหวแล้ว ก็จะเข้าใจลึกขึ้น

ทีนี้ กลับมาหาว่าความเป็นคน คนมีอะไร เป็นอะไร ก็อย่างที่อาตมากล่าวแล้ว เราจะมาเรียนรู้ว่า สิ่งที่มี ที่เป็นนั้น ยิงเป้าเข้าหากิเลส ไม่ควรมี ไม่ควรเป็น เมื่อตัดกิเลสหรือความเห็นแก่ตัว มีตัวมีตน ความเห็นแก่ตัว ตั้งแต่หยาบ จนกระทั่งถึงละเอียดออกได้จริงๆ คุณจะได้พิสูจน์ เพราะฉะนั้น พวกเรามา ละลดความสุขที่เราควรได้ ควรมี ควรเป็น แต่ก่อนเราหลงนะ เราหลงว่าเรามีสุข ได้สัมผัสในอบายมุข โอ้!มันสุขอร่อย อบายมุขน่ะสุข สุขอร่อย อบายมุขอะไร ก็แล้วแต่ ขี้โลภ ต้องเล่นหวย เล่นเบอร์ เล่นการพนัน มันมันดีอร่อยดี คุณเป็นความสุข มีการพนัน ต้องมีสิ่งเสพติด สิ่งเสพติดตั้งแต่ ของหยาบๆต่ำๆ มารู้ชัดๆว่า มันมัน มันอร่อย จนกระทั่งคุณเลิก คุณล้างมา ละมา ก็ไม่เห็นมันเป็นอะไร ล้างมา แล้วคุณบอกว่าชีวิตคุณด้อยลงหรือ ต่ำลงหรือ เปล่าเลย เราจะชัดเจน มั่นใจ มีศรัทธาความเชื่อมั่น มีปัญญารู้แจ้ง ถอนอาสวะได้

แต่อบายมุขต่างๆนี่ หยาบๆ ชัดๆขึ้นมาเรื่อยๆ ชีวิตมันก็เข้าหลักเข้ารอย ชีวิตมันก็เป็นคนที่ควรมี ควรเป็น ในสิ่งที่ควรมีควรเป็น ขึ้นไปเรื่อยๆ

ถ้าสัจจะอันนี้มันจริง คุณไม่ถอดไม่ถอน คุณมีชีวิตนี้ไปจนตลอดตาย คุณยิ่งจะรู้สึกเลยว่า ถ้าคุณไม่หยุด ในการพัฒนาตนเอง ไม่ติดแป้น จนกลายเป็นความหลงภพ ถ้าหลงภพเท่าไหร่แล้ว มันก็ไม่ได้สมใจ มากเข้าๆๆ จิตมันจะตื้อ พอจิตมันตื้อแล้ว มันก็จะรู้สึกว่า เราไม่ได้อะไร คุณจะเกิด ความชินชา เซ็ง เบื่อในฐานที่คุณไม่เจริญ เพราะไม่มีอะไรใหม่ ในโลกเขาต้องการ อะไรใหม่ ในธรรมะก็ต้องการอะไรใหม่ เป็นความเจริญใหม่ เป็นความเจริญทางด้านโลกุตระ ใหม่ๆ ๆๆ มันจึงจะน่าชุ่มชื่นใจ มันจึงจะน่าภาคภูมิใจ แต่ถ้าคุณไม่มี คุณเซ็งๆ คุณอยู่ในฐานพื้นเดิม คุณไม่เจริญขึ้น เท่ากับตกต่ำ ติดแป้นไม่เจริญขึ้น บอกแล้วว่ามันชินชา แล้วมันก็เซ็งๆ ในอารมณ์ลึกๆ ที่ซ้อนในคน ถ้าไม่มีอะไรเจริญใหม่ ไม่เจริญยิ่งๆขึ้นไป คุณก็ไม่มีอะไรใหม่ ในโลก คุณก็เท่าโลกนี่แหละ คุณก็รู้กับโลกมาแล้ว คุณจะไปทางโลก คุณก็ไม่เอาอีกแล้ว คุณจะเอาก็คือ คุณจะเอาธรรมะ ถ้าเป็นโลกุตรบุคคล แต่คุณไม่มีธรรมะใหม่ขึ้นมา ไม่เจริญขึ้นมาเลย คุณติดแป้น คุณเซ็ง ต่อไปก็เบื่อ ก็หน่าย จิตมันก็อ่อนแรง เบื่อเซ็ง แล้วจิตจะอ่อนแรง คนเซ็งนี่ไม่ค่อยอยากทำ อะไรหรอก มันเบื่อ มันหน่าย มันล้า มันท้อแท้ คนเซ็งเป็นลักษณะอย่างนั้น ก็เกิดความไม่เจริญขึ้นได้ เพราะฉะนั้น อย่าให้มันหยุดยั้ง อย่าให้มันติดที่ พระพุทธเจ้าถึงสอน เพราะท่านไม่ส่งเสริมฐิติ ท่านส่งเสริมการพัฒนา วุฒิๆๆ การเสื่อมนั้นแน่นอน นี่อาตมาไม่สมมุติเสื่อมนะ นี่เกิดแล้ว ไม่ต้องพูดใช่ไหม ถ้าเสื่อม แม้จะติดที่ติดแป้นอยู่เท่าเดิม มันก็จะเกิดความเสื่อมซ้อนอยู่ในตัว พระพุทธเจ้า จึงไม่สรรเสริญ ในความหยุดอยู่ หรือการติดอยู่ เพราะฉะนั้น เราต้องขวนขวาย ต้องอุตสาหะ วิริยะ เรารู้ตัวเราดีว่า เรายังมีความเจริญ เรารู้ตัวเราดีว่าเรายังมีอะไร ที่เราควรจะพัฒนา ให้แก่ตัวเองทุกคนใช่ไหม แม้แต่อาตมาก็ยังมีความเจริญที่จะเจริญ ต่อไปอีก

อาตมาเคยพูดไม่รู้กี่ทีว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยหยุดเจริญ ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้า ก็ยังเจริญอยู่ๆ ท่านไม่ได้หยุดยั้ง ท่านยังพัฒนา ท่านยังก้าวหน้า ท่านไม่เคยติดที่ ท่านยังสอนเทวดา ก็บอกแล้ว ท่านสอนเทวดานั่น คือท่านเองนะ อย่างที่เคยอธิบายแล้ว สหัมบดีพรหม ก็ท่านเอง นั่นแหละ อะไรก็ท่านเอง แต่คนข้างนอกเขาไม่รู้เรื่องหรอก เทวดาของท่านถามโน่นถามนี่ ก็ท่าน ถามตัวเอง ตอบตัวเอง นั่นแหละ แต่แยกเสีย ให้ไปเป็นเหมือน ๒ สิ่ง แล้วเข้าใจง่าย ท่านพัฒนา ขึ้นไปเรื่อยๆ เทวดาของท่าน มาถามเทวดาองค์นั้นองค์นี้มาถาม มันเป็นคำตอบ คำถาม มันเป็นนัยที่ทำให้คน ได้รับรู้อะไรต่ออะไรลึกซึ้งขึ้น แม้แต่คำว่ามาร มารที่มาอาราธนาพระพุทธเจ้า ก็คือจิตของพระพุทธเจ้าเองนั่นแหละ เข้าใจไหมว่า มันไปปริวิตกในทางไม่ดี แล้วท่านก็รู้สึกตัว หรือ ท่านก็เอาเชิงนั้น แต่ที่จริงท่านไม่ได้ถึงเป็นหรอก เป็นแต่เพียงว่าคิดได้ คิดอย่างนี้ก็ได้ ปริวิตกนี่ คิดอย่างนี้ก็ได้ มันไม่ดี แล้วก็เอาสิ่งไม่ดีมาเป็นตัวอย่าง

ถ้าจะบอกว่า พระพุทธเจ้าคิดไม่ดี มันไม่ควร พระพุทธเจ้าไม่ควรจะเป็นคนที่คิดไม่ดี ปริวิตก ใช่ไหม แต่ในนัยของความไม่ดีนั้น แง่ไม่ดีนั้น เราจะนำมาคิดก็ได้ ที่จริงท่านสอนว่า ไม่ใช่ของของตน ถ้ามันจะบอกว่า นี่มันของพระพุทธเจ้า ท่านปริวิตก ในความไม่ดีนั้น เป็นของพระพุทธเจ้า มันก็เสียพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น คำซ้อนๆๆนี้ มันก็ไม่ต้องบอกว่า นี่เป็นของพระพุทธเจ้า แต่ก็เป็นความคิดได้ อาตมาคิดไปในแง่ชั่วก็คิดได้ อาตมาคิดในแง่ดีก็ได้ พระพุทธเจ้า คิดไปในแง่ชั่ว ก็ได้ คิดไปในแง่ดีก็ได้ ท่านก็ต้องหาดีหาชั่ว มาเป็นคำสอน ทั้งๆที่ไม่ใช่ของท่าน เพราะฉะนั้น ท่านก็ถึงทำให้มันเป็นคำสอน ที่ฟังแล้วก็ดูดี มันเข้าใจง่าย เท่านั้นเองนา เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็น ปริวิตกไปในด้านที่ไม่ดี ที่จริงก็ไม่ใช่ท่านจะเป็น แต่ท่านคิดว่า มันเป็นยังงี้ ก็ได้ในตัวท่านเอง นั่นแหละ แต่ความคิดนึกที่สูงส่งที่เรา เป็นได้ อย่างมีกำลัง อย่างเด็ดขาด นั่นแหละเป็นสิ่งที่ต้อง ให้เอาให้ได้ ความเลว นั้นน่ะ แม้มันจะรู้ แล้วมันก็ไม่มีกำลัง จะมาทำความเลวนั้น มันดีแล้ว แต่ความดีน่ะ แม้เราจะรู้ แล้วไม่มีกำลังจะทำดี เลยนั้นน่ะ มันแย่ แย่ไหม รู้ดี แต่ไม่มีกำลัง จะทำดีเลย มันแย่ นั่นแหละ รู้ความอ่อนแอของเราให้ได้ ความอ่อนแอของเรา อยู่ตรงนี้แหละ ตรงที่รู้ว่า มันดีแล้ว มันไม่มีกำลังไปทำดีนี่แหละ มันสำคัญ

เพราะฉะนั้น ปัญญาพละกับวิริยะพละสองตัวนี่ มันเป็นตัวหลักที่คนจะเจริญหรือไม่ เจริญตรงนี้ เอาให้สำคัญนะ ฉะนั้น ผู้ใดที่จะพากเพียรเจริญอยู่ต่อ ต้องพยายาม เข็นตัวเองให้เกิดวิริยินทรีย์ ให้เกิดวิริยะพละ ให้เกิดความเพียร พวกเราพากันพากเพียรดีอยู่นะ พากันอยู่นะ แม้เราไม่ต้องใช้ ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละเลย พวกเราก็มีพอนี่ พวกเรามันบอกกันอยู่ สอนกันอยู่ แนะกันอยู่ จนกระทั่ง ออกจะหมั่นไส้กันด้วยซ้ำไป ถ้าเชื่อว่า เราหวังดีต่อกัน ทำตามกันเท่านี้ ก็เจริญแล้ว ในพวกเรานี่ ใช่ไหม มันบอกกันอยู่ มันอัตตามานะ มาบอกข้า ข้าก็หนึ่ง เหมือนกัน ทั้งนั้นแหละ นั่งๆอยู่นี่ หนึ่งในตองอูทั้งนั้นแหละ มาทำเป็นรู้ว่าฉันหนึ่งนะ มันมานะอัตตาไม่ใช่เรื่องเล็กๆ มันใหญ่จริงๆ เราพยายามเถอะ พยายามรู้ตัวให้ได้ว่า เราอย่าไปมีอัตตามานะเล้ย พวกเราหวังดี ต่อกัน ยังงั้นยังงี้ ถ้ามันสงสัยไม่มีปัญญาไปวินิจฉัยว่า เอ!ไอ้นี่ไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ เราอย่าเพิ่ง ไปปฏิเสธ เอามาปรึกษาหารือกันดู ปรึกษาผู้ที่เราควรจะปรึกษา เอ๊! อันนี้ มันถูกไหมๆ มันดีจริงหรือ ปรึกษาหารือกัน ถ้าเราเองเราตัดสินยังไม่ได้หรือว่า เราเอ๊! อันนี้มันไม่ใช่มั้ง มันมีใจของเรา ปัญญาของเรา มันบอกว่า มันไม่ดี นี่จะทำดีด้วยหรือ ทำด้วยกันหรือมันไม่ดี ถ้าเกิดอย่างนี้ขึ้นมา ก็อย่าเพิ่งไปปฏิเสธ ยอมไว้ก่อน อย่าเพิ่งไปปฏิเสธ อย่าเพิ่งไปว๊ากๆๆ แล้วก็เถียงกัน ทะเลาะกัน ไม่เข้าเรื่อง เอาอัตตามานะมาชกกัน โอ้ ! ไม่ไหวนา แล้วก็ยอมถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ถ้อยทีถ้อยศึกษา แล้วก็ตัดสิน แล้วค่อยมาวินิจฉัยกัน มารู้กันว่า เออ! อันนี้ดี ก็ตกลง มีมติ อะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็นำพากันไป อาตมาว่าเดี๋ยวนี้ คนทำวัตรเช้าที่นี่ เอาไปเอามา มันมากกว่าสันตินะ ฯลฯ

นี่แหละ อาตมาจะต้องเน้นพิธีกรรมนี่ขึ้นมาอีกว่า พวกเราต้องเห็นความสำคัญในพิธีกรรม เราได้ดีมา เพราะทำวัตร ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นอะไรนะ สมภารรูปนี้ก็ดีเหมือนกัน ท่านสุขฌาโน คือเอาภาระ เรื่องทำวัตร เรื่องอื่นท่านก็ไม่ค่อยถนัด พาทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ก็ดีเหมือนกันน่ะเออ !ท่านก็เป็นไป ท่านก็ดูถนัดเหมือนกันนะ ดูพอไปได้ ท่านก็ว่าไป เดี๋ยวนี้ทำวัตร ท่านก็พูดเก่ง เดี๋ยวนี้ พูดโอ้โฮ! แต่ก่อนนี้ โอ้ย ! เมื่อไหร่มันจะหมดเวลา ท่านสุขฌาโณ เดี๋ยวนี้พูด เวลาหมดแล้ว ก็ยังไม่ยอมหยุดนะ ชักจะเหมือนอาตมาขึ้นทุกทีๆ เวลา เลยเวลาแล้ว ก็ไม่ค่อยจะยอมหยุดนะ พอไปได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ขึ้น มันก็เป็นกาละของมันตามธรรม เป็นไปก็พอเหมาะพอสม พอเป็นไป

เราอยู่ได้ด้วยวิธีการ เราอยู่ได้ด้วยองค์ประกอบโลกเขาก็เหมือนกัน โลกเขาก็ปรุงก็แต่งก็สร้าง มีองค์ประกอบ มีพฤติกรรม มีเหมือนๆ เกมส์เหมือนๆ กับเรากระทำกันไป เป็นกิริยา กิริยาเราทำ ยังโง้น ยังงี้ มีสังขารธรรมที่เป็น ปุญญาภิสังขาร เป็นการสังขารอย่างเป็นบุญอย่างยิ่ง ปุญญาภิสังขาร เป็นการขัดเกลา เป็นการชำระ เลิกล้างสิ่งที่ไม่ดี แล้วก็ให้มันเกิดสิ่งที่ดีขึ้นมา ได้เรื่อยๆๆๆๆ

เพราะฉะนั้น คนเรานี้จะอยู่อย่างเป็นคนธรรมดาก็ตาม เป็นคนต้องมี ต้องเป็น ก็คือสังขารทั้งนั้น พระพุทธเจ้าถึงสอน ให้รู้เท่าทันสังขาร มันไม่เที่ยง มันต้องปรับอยู่เสมอ แล้วก็มีก็เป็นสังขาร ที่เป็นบุญ อย่างพระพุทธเจ้าเราเรียก ท่านว่าท่านมีอิทธาภิสังขาร เรียกอิทธาภิสังขาร เป็นสังขาร ยิ่งใหญ่ อย่างของ พระพุทธเจ้า อิทธาภิสังขาร เป็นสังขารที่มีฤทธิ์ ท่านปรุงแต่ง สิ่งที่มีฤทธิ์มีเดช มีอำนาจ มีพลังอย่างยิ่ง ทำแล้วเป็นประโยชน์อย่างเด็ดขาด ยิ่งใหญ่ เขามีศัพท์เฉพาะใช้กับท่าน ท่านก็ปรุงก็แต่งสิ่งที่เป็นอิทธาภิสังขาร หลายอย่างนักเหลือเชื่อ อย่างอาตมานี่ บางอย่างก็พอ งงๆ แต่ก็ไม่ถึงกับ ขนาดพิสดารมหัศจรรย์ เหมือนของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้าท่านยิ่งใหญ่ เพราะทำอะไรเกิน มันเหมือนกับ ดลบันดลบันดาล มันเหมือนกับเป็นอภินิหาร อะไรต่างๆนานา อย่างนั้นจริงๆ การทำให้พวกคุณมากินมื้อเดียว มาอยู่อย่างนี้ มาเป็นผู้ที่ไม่เอาไม่โลภโมโทสัน ลดละ อาตมาว่า เป็นความน่าประหลาดจริงๆนะ พาคุณไปร่ำไปรวย อาตมาว่าไม่น่าประหลาดหรอก เพราะคนช่วยกันอยู่ สอนกันอยู่ แนะนำกันอยู่ รวยอย่างโน้น รวยอย่างนี้ แทงหวยเล่นม้าอะไรจะรวย ก็แนะกันไป เอารดน้ำมูก น้ำมนต์จะรวยไป ทำอะไรจะรวย ก็สอนกันไปทุกอย่าง หรือให้อุตสาหะ เพียรสร้างสรร ขยัน เสร็จแล้วก็สอนกันให้เป็นโลกๆ แล้วก็รวย เขาทำได้ ไม่น่ากลัว ไม่น่างง ไม่น่ามหัศจรรย์หรอก ทำให้คนมาจน ทำให้คนมาหมดเนื้อหมดตัว ทำให้คนมามีสุขสบาย แม้จน เบิกบาน ร่าเริงอย่างนี้น่ามหัศจรรย์กว่า

อาตมาพูดซ้ำ พูดซากพวกนี้ ก็ไม่รู้ว่า เท่าไหร่ แต่คนเขาก็มองไม่ออก ฟังไม่ออก น่ามหัศจรรย์กว่า จริงๆ ทำได้อย่างนี้ มันน่าอัศจรรย์ แต่เขาได้แต่มองมาว่า เอ๊ะ! มันสอนยังไงเท่านั้นเอง มันทำยังไง มันล้างสมองคนได้ยังไง เขาก็ทึ่งอยู่เท่านั้นเอง มันน่าทึ่ง ยิ่งกว่าจริงๆนา ล้างสมอง หรือเสริมสมอง ให้ไปเที่ยวได้ล่าลาภ ยศ สรรเสริญ แข่งกัน เก่ง เท่าไหร่ๆ นั่นน่ะ อาตมาว่าไม่น่ามหัศจรรย์ เท่าไหร่หรอก เสริมสมอง แต่ล้างสมองมาให้เป็นอย่างนี้นี่แหละ ยากกว่า แล้วเราจะได้อนุโมทนา ปัตตานุโมทนามัย มันจะได้อันเป็นเรา ที่เราจะได้อนุโมทนา กับตัวเราเอง นี่แหละ เออ ! เราได้อะไร เจริญขึ้นๆๆๆ อยู่เรื่อยๆ ไม่งั้น คุณไม่มีปัตตานุโมทนามัย เราก็เท่าเดิม นอกจากไม่เท่าเดิมแล้ว กระเตื้องขึ้นไม่เท่าไหร่เลย คุณก็ยังห่อเหี่ยวได้ ดีไม่ดี ทรุดกว่าเก่าด้วย แล้วคุณจะยังไง ไม่มีปัตตานุโมทนามัย มันต้องได้ อนุโมทนากับตัวเอง ยินดีกับตัวเอง ที่ได้เจริญขึ้นๆๆๆ เจริญขึ้นได้ จึงเรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ถ้าไม่มีตัวสำคัญ บอกแล้วว่า ตัวหลักของ บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ นั้น มีทานมัย สีลมัย ภาวนามัย เป็นตัวหลัก บุญกิริยาวัตถุ ๓ อปจายนมัย กับ เวยยาวัจจมัย เป็นตัวหลัก ที่จะทำความเจริญ จากฐานเดิมเสมอ ต้องอ่อนน้อม ถ่อมตนไป แล้วต้องขวนขวาย ขวนขวาย พอเข้าใจภาษาไทย ตัวเราเองเร่งตัวเอง ขวนขวาย อย่าดูดาย อย่าปล่อยปละละเลย อย่าเลี่ยง อย่าขี้เกียจ อย่าแช่ อย่าเสพ ขวนขวาย

วันเวลากำลัง ล่วงไปๆ เรากำลังทำอะไรอยู่ กาย วาจาที่ดีกว่านี้ยังมีอีก ขวนขวาย อย่าขี้เกียจ ต้องพยายามจริงๆ แล้วเราจึงจะเกิด ปัตติทานมัย ปัตตานุโมทนามัย แล้วเราจึงจะเป็นผู้ที่ต่อจากนั้น มีธัมมัสสวนมัย มีธัมมเทสนามัย ตัวเราเองจะเป็นผู้เทศน์ ตัวเราเองฟังธรรม ธัมมัสสวนมัย คือมีการฟังธรรม เราก็จะฟังธรรม แม้มาทำวัตร ก็จะได้ฟังธรรม ที่ฟังได้ ฟังดี ฟังเจริญ ฟังแล้ว ก็เอาไปแก้ไข ปรับปรุง ต่อไป ไม่ใช่ฟังแล้วก็ฟังทิ้ง ไม่เข้าใจแล้วก็เฉย แล้วก็ไม่ไปขวนขวาย ไม่ไปน้อมถ่อมตน ไม่ไปเกิด อปจายนมัย ไม่ไปเกิดเวยยาวัจจมัย ไม่เกิดปัตติทานมัย ไม่เกิดปัตตานุโมทนามัย คุณฟังธรรม ให้ตายไป เท่านั้นแหละ ธัมมัสสวนมัยก็ไม่เกิดผลอะไร ฟังได้แต่ฟัง แล้วก็เกิดอัตตา แทนที่ จะอปจายนมัย จะถ่อมตน ยิ่งหยิ่งยิ่งผยอง ยิ่งหลง หลงในการได้ฟังธรรม มีปริยัติ เอาไปอวด ไปอ้าง เอาไปหาแลกลาภ แลกยศ แลกสรรเสริญ ยิ่งไม่ได้เรื่อง

เพราะฉะนั้น คุณจะฟังธัมมัสสวนมัย จะดีก็เพราะว่า เราเองเรายิ่งฟัง มันก็ยิ่งเจริญ ยิ่งฟังก็ยิ่ง อ่อนน้อมถ่อมตน ยิ่งฟังก็ยิ่งได้ขวนขวาย ยิ่งฟังก็ยิ่งเกิด ปัตติทานมัย ยิ่งฟังก็ยิ่งเกิด ปัตตานุโมทนามัย เห็นไหม มันซับซ้อนๆๆๆ กันขึ้นไป จนคุณก็เป็นผู้แสดงธรรมเอง เป็นธัมมเทศนามัยเอง ได้ช่วยผู้อื่น ช่วยตน ช่วยผู้อื่น ช่วยตน การเทศน์เอง ก็บรรลุธรรมได้ ในการเทศน์นี่ บรรลุธรรมได้ สิ่งที่เป็นที่ได้แล้ว เป็นเจโตวิมุติ เราเทศน์ เราจะเกิดปัญญาวิมุติ ซ้อนขึ้นไป หลายอย่างจะเกิดจาก การควักออกมาๆๆ อ้อ ! ของเรามีนี่ เรามันเห็นแต่ของจริงนา มันจะเป็นอย่างนั้น บางทีเรามีแล้ว เราไม่รู้ตัว การเทศน์เหมือนการควัก ออกมาๆๆ ให้คนอื่น เหมือนกัน เมื่อควักเอาอีกๆ อ้อ ! ควักของตัวเองมี เราเทศน์ให้เขา ได้รู้ตัว อ้อ! ที่จริง เรามีของของอันนี้นะ เพราะฉะนั้น การเทศน์ ผู้เทศน์สามารถบรรลุธรรมได้ด้วย ฟังเทศน์ก็ สามารถบรรลุธรรมได้ด้วย การบรรลุธรรมที่ฟังเทศน์ หรือเทศน์ก็ตาม อย่างนี้ก็เคยอธิบายมาแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ไม่ใช่คำพูดของอาตมานะ เพราะฉะนั้น ทุกๆอย่าง จะเกิดทิฎฐุชุกรรม จะเกิด การกระทำโดยตรง ทิฏฐิตรง การกระทำตรง เป็นทิฏฐุชุกรรมจริงๆ ก็เพราะเรามีบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ จริงๆนะ เอาละ วันนี้ อาตมาได้เทศน์มานะ
เอ้า! พอ


ถอดโดย จอม ศรีสวัสดิ์ ๘ มีนาคม ๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๒๐ มีนาคม ๒๕๓๔
พิมพ์โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒ โดย สม.จินดา ๒๙ เม.ย.๒๕๓๔
เข้าปกโดย นายสุริยา รุ่งเรือง พ.ค. ๒๕๓๔
เขียนปกโดย พุทธศิลป์
/ FILE:1410