รัตนตรัย กับบุญนิยม
ธรรมก่อนฉัน
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๔
ณ พุทธสถาน สันติอโศก


ที่จริงวันนี้ อาตมาตั้งใจจะเทศน์ในเรื่องบุญนิยมให้มากขึ้น จะพยายามขยายความเท่าที่ ควรจะ ขยาย แล้วเราในฐานหรือฐานะของพวกเราในกาลขณะนี้ มาถึงเขตวันนี้ อาตมาคิดว่า พวกเรา จะมีความรู้ จะมีความเข้าใจ แล้ว ก็มีฐานรองรับ มีสิ่งจริง มีสภาพจริงรองรับ ที่เราจะหยิบ จับขึ้นมาใช้ประกอบ ในการอธิบายนี้ได้ เพราะว่าเรื่องของบุญนิยม เป็นเรื่องของทฤษฏี อาตมา มั่นใจที่สุดว่า อาตมาใช้ภาษาถูกแล้ว เป็นทฤษฏีที่เหนือชั้นของระบบโลกเขา โลกเขาในโลกนี่ มันลักษณะ ทุนนิยมทั้งนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในระบบระบอบอะไรต่ออะไรต่างๆนานา เผด็จการก็ตาม ประชาธิปไตยก็ตาม คอมมูนิสต์ก็ตาม มันก็ทุนนิยมทั้งนั้น เพราะมัน ไปหลงเอาสภาพของวัตถุ สภาพของ สิ่งข้างนอก ไปเอาที่พึ่งข้างนอกตัวนอกตน มาเป็นที่พึ่งอันเกษม หลงติด หลงยึดอยู่มาก จะมีทางศาสนา ที่ไม่พึ่งวัตถุหรือไม่ไปหลงวัตถุ ก็สุดโต่งไปในทางนามธรรม จนกระทั่งไปเอา อรูปธรรมต่างๆ เป็นภพ เป็นภวตัณหา เป็นภพเป็นชาติ อย่างฤาษีที่เอาความสงบ แล้วก็ด่ำดิ่งไป ไม่เอาตาดูหูแล ส่วนที่เป็นจริงอย่างหนึ่ง คือสมมุติสัจจะ หรือมนุษยชาติ หรือธรรมชาติทั้ง หลายแหล่ ธรรมชาติทั้งหลายแหล่คือ สมมุติสัจจะทั้งนั้น แล้วเราก็ไม่รู้จักต่อสมมุติสัจจะ เหล่านั้น ให้เพียงพอ หรือว่าเราจะอยู่กับสมมุติสัจจะนั้น ได้อย่างไรดีที่สุด เขาไม่เอาเลย ทิ้งไปเลย โยนทิ้งไปเลย สุดโต่งไปในทางภวตัณหา สร้างภพ ของตัวเองอยู่ในภพ สิ่งแวดล้อมที่แคบที่สุด ๆ แคบที่สุด หนักเข้าปิดหูปิด อยู่ในภพของตัวเอง สงบ สบายไม่ทุกข์

อาตมาเห็นความไม่ทุกข์ของเขาในการปฏิบัติธรรมแบบฤาษี ที่เอาแต่ ภพภวตัณหา อยู่ในความสงบ ที่ไม่ยุ่ง ไม่เกี่ยวกับอะไรเลย สุดโต่งไปในทางภพ เป็นอัตตกิลมถานุโยค เป็นอัตตาชนิดหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้า ท่านใช้ว่าเป็นอัตตกิลมถานุโยค คือ เหน็ดเหนื่อย กิลมถะ ลำบากลำบนเปล่าๆ แต่เสร็จแล้ว ไม่ได้ทำลายอัตตาเลย ยิ่งเป็นอัตตาอย่างยิ่ง อัตตกิลมถานุโยค เป็นคนปฏิบัติแล้ว แล้วไม่ทิ้งอัตตา อาตมาแปล อัตตกิลมถานุโยคอย่างนี้ อาตมาถือว่า ไม่ได้ผิดไวยากรณ์ ภาษาบาลีด้วย แต่เขาก็ไม่เข้าใจ เขาหาว่า อาตมาพูดเอาเอง ไม่พูดเหมือนเขา จริง เขาพูด อัตตกิลมถานุโยค คือการทรมานตน หรือการใช้กิลมถะ การทำตนเองให้ลำบาก การทำตนเอง ให้ลำบาก คือ เอาอัตตานี่แปลว่าตนเอง ที่จริง การทำความลำบากนี่แหละ แต่ไม่เกิดสภาพสูญ ทำความลำบากแล้ว ก็ยังมีอัตตา หรืออัตตานี่แหละมากขึ้น ทำความลำบากแล้ว ให้ก่อเกิดตัวตน ที่จริงน่ะ แต่เขาก็ แปลกันว่า ทรมานตนแค่นั้นเอง อาตมาก็ว่า มันทรมานตนก็ถูก ในความหมาย คำแปล ระดับมิติที่หนึ่ง แต่ระดับมิติที่สูงขึ้นไปกว่านั้น ที่อาตมา ขยายความอยู่นี้ เขาฟังไม่ขึ้น แล้วเขาก็ไม่เชื่อว่าจะจริง ก็ไม่เป็นไร ใครเชื่อก็ฟังเอา เมื่อกี้อาตมาพา เราไหว้พระ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็เปล่ง กล่าว เราขอเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริงๆ คำว่า เราขอเข้าถึงพระพุทธ ขอเข้าถึงพุทธะ ไม่เรียกคำว่าพระก็ได้ เราขอเข้าถึงพุทธะ นั่นหมายถึงอะไร พระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านยืนยันชัดเจนว่า ขอเข้าถึง พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่า ขอเข้าไปให้ถึงตัวพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เนื้อไม่ใช่เรา หนังไม่ใช่เรา พุทธะ คือตถาคต

พระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงเนื้อหนังมังสา ไม่ได้หมายถึงตัวตน หมายถึง สภาพสิ่งหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้า พระองค์ไหนก็ตาม ตรัสรู้สิ่งนี้ เป็นของกลางๆ ใครประพฤติเอาได้ ใครปฏิบัติเอาได้ อันนั้นละคือพุทธะ อันที่ว่านั้นก็คือ สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์พึงได้ พึงเป็น พึงมี ซึ่งศาสนาพุทธถือว่า ได้ตรัสรู้อันนี้มานานแสนนานแล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตามแต่ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเกิดมาแล้ว นับไม่ถ้วน อย่างมหายานยืนยันว่า มีพระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วมากมายเท่ากับเม็ดทราย ในมหานที นับเอาสิ มีกี่พระองค์ล่ะ พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วเท่ากับจำนวนเม็ดทรายในมหานที เมล็ดทราย ในแม่น้ำ คุณไปนับเอาสิ พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ในเมล็ดทรายนั่นน่ะ เกิดมาแล้ว ไม่มีที่ต้น และไม่มีที่สุด... เกิดมาเมื่อไหร่ไม่รู้ นับไม่หวาดไม่ไหว ขนาดไม่รู้ก็ตาม ก็ไม่มีความจำเป็น ที่เราจะต้องไปรู้ เพราะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เหมือนกัน องค์ที่ล้านๆๆๆๆๆๆๆ มาแล้ว ก็นับเม็ดทรายนี่ มันต้องนับล้านๆ อย่างนี้ล่ะนะ องค์ที่ล้านๆล้านๆๆๆมาแล้วนั่น ก็เหมือนกันกับ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน องค์หลังสุดล่าสุดเหมือนกัน พระพุทธเจ้าพระองค์ไหน ก็ตรัสรู้สิ่งเดียวกัน และพาคนไปสู่คุณค่าความดี ที่เรียกว่าพุทธะ อันเดียวกันหมด

เพราะฉะนั้น เราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องไปค้นคว้าว่า พระพุทธเจ้า พระองค์ไหน ๆ มีคุณธรรม หรือมีพุทธคุณ แตกต่างกันยังไง ไม่ต้องไปค้นคว้า เพราะว่าไม่แตกต่างกัน พุทธคุณของพระพุทธเจ้า เหมือนกันหมดทุกพระองค์ นี่คือพุทธะ ความหมายอันเดียวกันนี่แหละ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มีพุทธคุณอันนี้ ถ้าจะเป็นคน แล้วจะสั่งสมบารมีไป จนกระทั่งได้บรรลุ พระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ในกาลใดกาลหนึ่งเหมือนกัน ก็เป็นมนุษย์ สุดประเสริฐเหมือนกัน ทุกพระองค์ไป เหมือน ถ้าเราเป็นพระพุทธเจ้าได้ เราก็เหมือน พระพุทธเจ้า องค์ก่อนๆ ที่กี่ล้านองค์ก็ตาม นั่นเป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่มนุษย์จะพึงมีพึงได้ นี่เราเรียกว่าพุทธะ

ทีนี้ ธรรมะก็คือ เราเอาพุทธะอันนั้นแหละ พุทธคุณ หรือพุทธธรรม ความประเสริฐของมนุษย์ ที่ควรจะพึงมี พึงเป็น พึงได้นั่นแหละ มาให้แก่ตัวเรา ให้เราเป็นมีจริงๆ เรียกว่าธรรมะทรงขึ้น ให้ทรงไว้ในตัวเรา ให้ทรงขึ้นในตัวเรา ให้มีในตัวเราทุกคน ใครก็ตาม ในความเป็นคน อะไรเรียกว่า พุทธคุณในเบื้องต้น นิดหนึ่งน้อยหนึ่ง กระจิ๊ดหนึ่งก็ตาม พุทธคุณอย่างนี้ พระพุทธเจ้าสรรเสริญว่า ต้องมีควรมี ละชั่ว ประพฤติดี ทำให้จิตบริสุทธิ์ผ่องใสขึ้นไปเรื่อยๆ ล้างกิเลสนั่นเอง ไปเรื่อยๆ แล้วก็เป็นความดี อย่างนี้ทำสิ พระพุทธเจ้าบอกวิธีอะไรเอาไว้ จะมากจะน้อยยังไง ก็ศึกษาเอา แล้วเอามาทำ เมื่อมันมีในตัวเรา ทรงไว้ในตัวเรา ทรงขึ้นในตัวเรา จนกระทั่งแข็งแรงมั่นคง ก็เรียกว่า สมาธิ ทรงขึ้นมา แข็งแรงตั้งมั่นขึ้นเรื่อยๆ ก็เรียกว่าสมาธิ จากทรงไว้ธรรมดา ตัว ธ นี่ ธะ ธิ ฐีนี่ตั้งขึ้น ทรงขึ้น จนกระทั่งแข็งแรงตั้งมั่น ฐิตะ ให้มันได้ ให้มันแข็งแรงขึ้นมา นั่น เรียกว่าธรรมะ คนผู้หนึ่ง ผู้ใด ได้พุทธธรรม ทรงขึ้นมา ทรงขึ้นมาได้ขอบเขตหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสเอาไว้บอก บอกขีด ที่ตัดเคิร์ฟ ตัดส่วนไว้นะว่า ผู้ที่จะถือว่า เป็นพุทธศาสนิกชน เป็นสาวกของพระพุทธเจ้านั้นคือ ผู้ที่มีอริยมรรค อริยผล ผู้ที่ยังไม่มีอริยมรรค อริยผลนั่นน่ะ มาขอเข้าบัญชีเท่านั้น เรียกว่าสมมุติ เป็นพุทธโดยสมมุติ รับรู้กันว่าเป็นพุทธเท่านั้นเอง โดยบัญญัติ ถ้ายังไม่มีตัวธร หรือธรรมะทรงขึ้น จริงๆ ในตัวเราแล้ว ยังไม่ใช่พุทธจริง ให้มีพุทธคุณนั้นๆ จริงๆ พระพุทธเจ้าท่าน สอนว่า ต้องเลิกอย่างนี้ ละอย่างนี้ กาย วาจา ใจ เลิกแต่กาย แต่วาจาก็ได้มาส่วนหนึ่ง แต่ยังไม่แข็งแรง ต้องให้ใจนี่ เลิกละได้จริงๆ แข็งแรง มีปัญญา เห็นความละได้ เลิกได้จริงๆ จิตเราเปลี่ยนแปลงไป จิตเราจะเจริญขึ้นจริงๆ เห็นด้วยญาณ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เห็นด้วยญาณของเราจริงๆ เจริญขึ้น เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนโลกใหม่ เป็นโลกุตระขึ้นมาจริงๆ

คนผู้ใดที่ได้คุณภาพ มีพุทธคุณได้คุณภาพเพียงพอ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า เป็นผู้ที่ พ้นสังโยชน์ ๓ เป็นต้น มีศีล ๕ สมบูรณ์ ที่อาตมาเอามายืนยัน ศีล ๕ นี้เป็นมรรคเป็นผลนะ ไม่ใช่ศีล ๕ มีศีลแต่กาย วาจา มีใจด้วย มีจิตด้วย มีอธิจิตด้วย มีใจที่ได้ขัดเกลา กาย วาจาก็ได้ขัดเกลา ขัดเกลาถึงขนาด ได้เป็นอธิจิตขนาดหนึ่ง เรียกว่าสมาธิ ตั้งมั่นแข็งแรง แล้วก็มีปัญญา มีอธิปัญญา มีตัวญาณปัญญา อ่านออก มองเห็นความจริงที่เราได้ เราเป็น เรามีนั้น ตามศีลข้อที่เรากำหนด ให้ตัวเราปฏิบัติ แล้วเราก็ได้ขัดเกลากาย วาจา ใจของเราจริงๆ อริยบุคคลโสดาบันก็ดี สกิทาคามี ก็ตาม แม้แต่โสดาบัน ก็จะต้องรู้ ความจริงของตนที่เจริญขึ้น เป็นได้ มีนั้นๆ ไม่ใช่ทำแล้ว ก็ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ทำไปตามประสาเขาจูง ไม่เกิดอธิปัญญา ไม่เกิดปัญญา ไม่มีอธิปัญญาสิกขา ไม่มีการศึกษา ในด้านปัญญา ว่าต้องรู้ของจริงตามความเป็นจริง ไม่ใช่ศึกษาแต่ปริยัติ ศึกษา แต่บัญญัติ ศึกษาแต่ตำรา ศึกษาแต่เหตุผล ศึกษาแต่ตรรกศาสตร์ จะรู้ลึก รู้ซึ้งยังไงก็ตามแต่ ไม่ได้มารู้ที่ตัวเราเองเกิดเป็น มี ที่เรียกว่าธรรมะ มีธรรมะ เราได้เกิด ได้เป็นได้มี จริงหรือไม่ แล้วเกิดสภาพ จนกระทั่งถึงอริยคุณ คือได้ขัดเกลาเป็นสมาธิตั้งมั่นแข็งแรง จนไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แปรปรวน เข้ากระแสของความแข็งแรง ที่ไม่เปลี่ยนแปลง มันเกิดญาณ มันเห็นจริงเลยว่า เราไม่เปลี่ยน อย่างนี้แหละแน่นอนเลย ทิศทางนี้ต้องไปสู่นิพพาน หรือสู่ทิศทางนี้ ไม่เปลี่ยนแปลง คุณอาจจะหลงตัวเองได้บ้าง แต่ถ้าญาณที่มันเกิดจริงๆแล้ว มันมีจิตที่แข็งแรงจริงๆ จิตที่เป็นได้ แล้วก็แข็งแรง ไม่โน้มเอน ไม่เปลี่ยนทิศ ไม่เปลี่ยนทิศกลับ มีอย่างนั้นจริงๆ อย่างมั่นใจจริงๆ ของตนๆ บอกแล้ว อาจจะหลงก็ได้ แต่หลง ก็ถือว่าหลง พระพุทธเจ้าไม่ปรับอาบัติด้วยซ้ำ คนหลง แต่ว่าเราแน่ใจ ของเรานะ เราไม่ได้หลอกตัวเองว่า เอ๊ะ! เราเชื่อเลย ถ้าเกิดเราไม่เปลี่ยนแปลง เราจะไปทางทิศนี้เป็นได้ แต่จริงๆแล้ว พอเอาเข้าไป เอาเข้าไป ไอ้หยา! เราเปลี่ยนแปลงแฮะ นั่นแสดงว่าคุณหลง แต่ถ้าคุณหลงจริงๆอย่างนั้น มั่นใจ แล้วมันก็มั่นจริงๆ ไปจริงๆ แล้วจะเห็น ความเจริญของมัน แน่แน่น แนบแน่น เป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา ยิ่งมีจิตที่แข็งแรง ปักมั่นยิ่งขึ้นเลย บทบาทของอัปปนา พยับปนา เจตโส อภินิโรปนา คือตัวลักษณะของจิต มันแนบแน่น แน่วแน่ ปักมั่นขึ้นเรื่อยๆ แข็งแรง จริง คุณจะอ่านจิตของตัวเองออก

อย่างอาตมานี่ อย่าให้อะไรมาถอนยากเลย ยิ่งนับวันยิ่งโอ้โห ! แน่นๆๆๆๆๆ ยิ่งมั่นคงแข็งแรงขึ้น ยิ่งดิ่งเดี่ยวเลย อาตมาเคยพูดกับพวกเราไม่รู้กี่ที ไม่มีใครเอาเลยสักคน อาตมามาเผยแพร่นี่แล้ว อาตมาก็ยังแน่ใจ ว่าอาตมาจะไปทางนี้ แม้จะหนีจากอาตมาไปหมดแล้วทุกคน เหลืออาตมา คนเดียว อาตมาก็ขอไปคนเดียว ขอไปคนเดียวจริงๆ แต่เหตุการณ์มันยังไม่เกิดนะ ขณะนี้ยังมีคน ที่จะไปด้วยอยู่เยอะ เหตุการณ์นั้นยังไม่เกิด มันมั่นใจอย่างนี้จริงๆ อาตมาเคยพูดตั้งหลายทีแล้ว ใช่ไหม อันนี้ว่า ถึงแม้ว่าอาตมาสอน มาแนะนำแล้ว อาตมาก็ประสพผลล้มเหลว โอ๊ย ! ตาย พวกคุณไม่ไปกับอาตมาเลย สุดท้าย หนีจากอาตมาไปหมดเลย เหลืออาตมาคนเดียว อาตมาก็ยังเชื่อ พูดขณะนี้ก็ยังเชื่อมั่นอยู่ว่า อาตมาจะไปคนเดียว แล้วอาตมาจะไม่เห็นว่า อาตมาล้มเหลว ตรงที่ว่า ตัวเองไม่ล้มเหลว แต่อาตมาจะลงโทษตัวเองได้ ก็ตรงที่ว่า อาตมาไม่เก่ง ที่สื่อให้เขารู้ความจริงนี้ไม่ได้ จนคนเอาไปปฏิบัติพิสูจน์ตามไม่ได้ เราจะไม่เก่งอย่างนั้น เท่านั่นแหละ เป็นความไม่เก่งของเรา

แต่ทุกวันนี้เหตุที่พูดนี่ เรื่องที่พูดนี่กรณีที่พูดนี่ มันยังไม่เกิดหรอกแต่พูดให้ฟัง ว่ามีแต่จะเติม เพิ่มมาๆ เพิ่มมา ซึ่งเป็นที่อัศจรรย์เพิ่มขึ้นด้วย อาตมาอัศจรรย์นะพวกเรานี่ รักสวยรักงาม ผู้หญิงทุกวันนี้ ถูกปลุกเร้า ถูกมอมเมาขนาดหนักๆ เด็กหนุ่ม เด็กสาว โอ้โห ! อย่าว่าแต่ถึงสาวเลย พึ่งจะเริ่มสาวๆ กระดิ๊กกระดี๊แล้ว มันถูกมอมเมาน่ะ อาตมาก็เห็นใจนะ เริ่มต้นจะแตกเนื้อสาว มันก็กระดิ๊กกระดี๊ตามเขา หมดแล้ว ไปแล้วนั่นน่ะ มันมอมเมา โฆษณา โอ้โฮ ! ขนาดหนักๆ แล้วมันมาได้ คนก็แปลกใจเหมือนกันว่า ที่พวกเรานี่ มีเด็กหนุ่มเด็กสาวมาได้ เขาก็แปลกใจ มาแล้วไม่มาธรรมดา มาถึงขั้นมั่นอกมั่นใจ จะไม่แต่งงงแต่งงาน โอ้โห ! ล้างสมองได้ยังไง จะไม่แต่งงงแต่งงานอะไรต่างๆนานา นะนี่นะ มาถึงขั้นอย่างนั้นด้วย ขนาดมีคู่หมั้นก็ทิ้งคู่หมั้น อะไรก็ได้ ก็มี แต่เอาเถอะ บางคนก็ไปแต่งงานบ้างก็แล้วไป แต่ก็ยังแต่งงาน แล้วก็ยังยอมรับ ตัวเองว่า ฉันก็แต่งงาน ไม่รู้จะทำยังไงล่ะ แต่สิ่งดีฉันก็รู้อยู่ แต่อันนี้ก็จะว่าก็ยอมให้ว่า จะทำยังไงได้ล่ะ มีฐานแค่ ก็ยอม แต่งงานก็มีอยู่ พวกเราบางคนนี่เจิ่นไปเลย แหม! ได้เปรยไว้ ด้วยนะ ว่าฉันจะไม่แต่งงาน เสร็จแล้วตาย ตกหลุมตกบ่อไปแต่ง เลยเจิ่นไปเลย ไม่กล้าเข้าหน้า เอาเถอะน่ะ ถ้าเผื่อว่าเราเห็นว่า ทางนี้ดีอยู่ เอาเถอะ แต่งงานก็ผัวเดียวเมียเดียว ให้สำคัญนะ เพราะว่าขีดที่พระพุทธเจ้า ท่านตัดเกรดเอาไว้ ท่านก็ไม่ได้ดูถูกดูแคลนจนเกินไป คนจะไม่ให้ มีคู่เสียเลย มันก็ไม่ได้หรอกในโลก มันเป็นสัตวโลก มันก็จะต้องแตกเผ่าแตกพันธุ์ มันจะไปห้าม ไม่ให้คนเกิดได้เรอะ มันก็ต้องมีเกิดบ้างแหละ มันก็ต้องมีผสมพันธุ์บ้างแหละ กิเลสมันก็มีบ้าง สำหรับ ขนาดหนึ่ง

แต่ผัวเดียวเมียเดียวนี่ก็แสนที่จะทุกข์แล้ว ผัวเดียวเมียเดียว พระพุทธเจ้าถึงตัดเกรดที่ว่า ผัวเดียว เมียเดียว ก็อย่าไปนอกอกนอกใจกัน ให้สังวรระวัง นี่ล่ะเป็นการตัดเกรดอยู่แค่นี้ ผัวเดียวเมียเดียว แต่ถ้าใคร ให้ดียิ่งกว่านั้น ไม่ต้องแต่งงานเลย บริสุทธิ์ยิ่งกว่านั้นได้ ก็ไม่ต้องไปแต่งงงแต่งงาน หรือจะบอกนี่ ไม่ใช่ไปยุแหย่นะ แต่งแล้วก็เลิกกันได้ก็ดี บอกไว้ก่อนแล้วนะว่า ไม่ได้ยุแหย่นะ นี่มีวงเล็บ ไว้ก่อนนำหน้าแล้วนะ ไม่ใช่ว่าบอกอย่างไปยุแหย่อะไรต่ออะไร ก็พูดกัน อย่างระมัดระวัง แล้วนะ แต่งงานกันแล้ว มันไม่รู้นี่ มันแต่งไปแล้ว จะแต่งใหม่แต่งเก่า แต่งก่อนจะพบอาตมา หรือว่า หลังพบอาตมาแล้ว ก็ไปผิดพลาดไป ต้องไปตกไปแต่งก็ตาม จะทำให้เราไม่ต้องไปเป็นสภาพนี้ได้ ก็ยิ่งดี แต่ให้มันดีนะ แยกกันให้มันดีๆ ไม่ใช่ แหม ! ทะเลาะเบาะแว้ง ขัดแย้งกัน ตีรัน ฟันแทงกัน ไม่เข้าเรื่อง ไม่เอา จะแยกก็แยกด้วยดี แม้ว่าจะแยกกันด้วยดีในขนาด ที่เรียกว่า เอาละ แยกก็แยกกัน แต่ฉันไม่มากับเธอนะ เธอมาคนเดียว ก็ยังไม่เป็นไร ถ้ายิ่งแยกกัน แล้วก็มาด้วยกันทั้งคู่ เข้าใจด้วยกัน อย่างดีเลย มาทั้งคู่เลย แต่แยกกันแล้ว จะโดยนิตินัย พฤตินัยก็ตาม เฉพาะพฤตินัยเท่านั้น โดยนิตินัย ก็ยังไม่ได้แยกกันหรอก ไม่ต้องไปถอนใบหย่าอะไร แต่พฤตินัยแยกกันแหละดี อาตมาว่า ยิ่งดีใหญ่เลย เหนือชั้นเลย อาตมาว่า เหนือชั้นนะ คนที่แยกกันได้โดยที่เรียกว่า โดยพฤตินัย แยกกัน ก็เป็นพี่เป็นน้องกันไปเลย เป็นญาติธรรม แต่นิตินัยไม่ได้ไปถอนหรอก ใบหย่งใบหย่าอะไร ก็ไม่ต้องไปถอน ก็ไม่เป็นไรนี่ ไม่มีปัญหา ดีกว่าประเภทแยกโดยนิตินัย แต่พฤตินัยเจ๊ง พฤตินัย ไม่ได้แยกกันได้เลย เจ๊งอย่างนั้นน่ะ... ไม่ดีเท่าแยกกันได้โดยพฤตินัย แต่นิตินัย แม้ไม่แยก ก็ไม่เป็นไร ถ้าทำได้เลยทั้ง ๒ ด้าน ทั้งพฤตินัยนิตินัย ก็ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ไอ้อย่างนั้นน่ะ มันมีความจำเป็น บางคน บางทีมันก็ไม่ต้องแยกนิตินัยก็ไม่เสียหายอะไร ข้อสำคัญ มันอยู่ที่จริง ตรงพฤตินัยนี่แหละ จริงกว่า นี่ก็ขยายความ อะไรมาบ้าง

ทีนี้ สรุปเข้าหาตัวธรรมะและตัวสังฆะ ผู้ใดเอาคุณธรรมที่พระพุทธเจ้า ท่านสอนเราไว้ว่า เป็นอย่างนี้ เจริญขึ้นอย่างนี้ๆ เป็นอธิๆนะ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เป็นอย่างนี้ เกิดญาณ เกิดวิมุติอย่างนี้ เรายิ่งทำได้ในตัวเรามากขึ้นๆ เรานั่นแหละ เป็นสงฆ์ ไม่ว่าจะมาบวชได้รูปได้ร่าง ได้เครื่องแบบ หรือไม่ได้ เครื่องแบบก็ตาม เป็นอริยสงฆ์ สาวกสังโฆ ผู้ที่เป็นอริยสงฆ์ เป็นอาหุเนยโยบุคคล ปาหุเนยโยบุคคล ทักขิเนยโยบุคคล นี่ก็เอาภาษาพระนั่น มาพูดหน่อย สำหรับคนที่เข้าใจก็ฟังไว้ ตามที่บทสวด เราก็เคยสวด บทสังฆคุณ เป็นผู้ที่เป็นอริยบุคคล ๔ หรือ ๘ ถ้าแยกอย่างย่อยก็เป็น ๘ มีมรรค มีผลที่แท้จริง จึงเรียกว่า สาวกของพระพุทธเจ้าที่แท้ สาวกะสังโฆ นี่เรียกว่า พระสงฆ์ เข้าใจพระสงฆ์ให้ชัด ตราบใดยังมีพระอริยสงฆ์ที่แท้จริงอย่างนี้ ตราบนั้นยังมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์คือผู้ยืนยันว่า มีพุทธทรงไว้ที่ตัวบุคคลในปัจจุบันธรรมนี้ บุคคลในปัจจุบันธรรมนี้ เป็นคน แล้วก็ทรงไว้ ซึ่งคุณธรรมที่เรียกว่า พุทธคุณของพระพุทธเจ้า ที่ท่านสอนมา ซึ่งมีพระพุทธเจ้า เกิดมาสอนความหมายเดียวกันนี้มา มีมากมาย เท่าเมล็ดทรายในมหานที พระพุทธเจ้าตรัส ทุกพระองค์สอนอันเดียวกัน ทฤษฏีหลักก็คือ มรรคองค์ ๘ โพชฌงค์ ๗ พระพุทธเจ้า องค์ไหนก็สอนมรรคองค์ ๘ โพชฌงค์ ๗ ทั้งนั้น แล้วกินความลึกซึ้งมาก เป็นทฤษฏี เป็นสูตรที่ ถ้ามันสูญหายไปในโลกแล้ว ก็จะมี พระพุทธเจ้านั่นล่ะ ขึ้นมาปรากฏ อุบัติขึ้นมา มาดึงเอาทฤษฏีนี้ มาเปิดเผยกับโลกใหม่ มันหมดสูญหายไปแล้ว ถึงยุคถึงกาล ที่จะต้องเอาทฤษฏีนี้ มาให้มนุษย์แก้ไขปัญหาทุกข์ พระพุทธเจ้าก็จะอุบัติขึ้นมา แล้วก็จะมาเปิดเผยสูตรนี้ สูตรโพธิปักขิยธรรม นี่แหละ สรุปรวมให้เต็มๆ ก็โพธิปักขิยธรรมนี่แหละน่ะ ๔,๕,๗,๘ แน่ะ สูตรเรียกเป็นเลข เป็นตัวเลข ๔,๕,๗,๘ ลืมกันบ้างหรือยัง ลืมหรือยัง ๔,๕,๗,๘ สูตร ๔,๕,๗,๘

๔ ก็คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ ตัวหลักใหญ่ ปฏิบัติ ๓ ตัวนี่แหละ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ นี่ตัวหลัก

๕ ก็คือ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ นี่เอาเลข ๔ เลข ๕ มาเป็นตัวภาษาสมมุติ ที่จะมาบัญญัติ เพื่อที่จะให้เรา เข้าใจอะไร ให้ได้ง่ายๆ ระลึกอะไรออก บอก ๔ อะไร อ๋อ! สูตรสำคัญ...๔,๕,๗,๘ คืออะไร สูตรสำคัญ ๔,
๔ หมายถึงอะไร สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔,
๕ คืออะไร อินทรีย์ ๕ พละ ๕

๗,๘ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ น่ะ ๔, ๕ ๗,๘ สูตร ๔,๕,๗,๘ แล้วเราก็ ต้องเข้าใจความหมาย ของสิ่งเหล่านี้ ทั้งหมด ในหัวข้อของสติปัฏฐาน ๔ มีอะไร สัมมัปปธาน ๔ มีอะไร อิทธิบาท ๔ มีอะไร แล้วเราได้ปฏิบัติตัว ๔ นี้ ๓ หลักนี้ อย่างสมบูรณ์ไหม สมบูรณ์ก็จะเกิดอินทรีย์ ๕ พละ ๕ แน่นอนๆ แน่นอน และ แน่นอน และการปฏิบัติที่เกิดอินทรีย์ ๕ พละ ๕ นี่ก็ใช้สูตรสำคัญคือ ๗ และ ๘ นี่แหละ คือโพชฌงค์ ๗ กับมรรค ๘ นี่แหละ มรรค ๘ คือการปฏิบัติ การคิด การพูด การกระทำ ประจำชีวิต สัมมาอาชีวะได้จริงๆ โดยการมีสติ มีความพยายาม ปฏิบัติเท่านี้ ให้รู้เป็นสัมมา มีสัมมาเป็นประธาน สัมมาทิฐิ มีความเห็น ความเข้าใจ ที่ถูกต้อง

เมื่อมีความเห็นความเข้าใจถูกต้องแล้ว ก็พยายามปฏิบัติ มีสติปฏิบัติ มีสติก็คือ สติปัฏฐาน ปฏิบัติไปด้วยความพากเพียร ด้วยความพยายามด้วยอิทธิบาท หรือด้วยสัมมาวายามะ ปฏิบัติไป โพชฌงค์ ๗ ก็คือโพชฌงค์ ๗ นั่นแหละ สติปัฏฐาน สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ก็สอดคล้องกัน ทฤษฎีหลักเดียวกัน โพธิปักขิยธรรม ๓ หลัก สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ ก็เหมือน... สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ เหมือนกัน ถ้าเราเข้าใจสภาวะ ถ้าเราเข้าใจลักษณะแล้ว ก็ปฏิบัติด้วยอันนี้ จึงจะเกิดคุณค่าขึ้น เป็นปีติ เป็นปัสสัทธิ หรือเป็นอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆๆๆ ปฏิบัติ ด้วยทฤษฏีหลักโพชฌงค์ และมรรค ๘ เรียกว่า โพธิปักขิยธรรม ๓๗ เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ใดปฏิบัติแล้ว ก็มีญาณ มีปัญญาญาณ ของตัวเอง เห็นของจริงของตัวเองได้ จริงๆ ไม่ใช่ไปเรียนแต่ตัวหนังสือ แล้วก็มาเก่ง บัญญัติภาษา มากมายก่ายกอง แล้วก็สร้างลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขให้แก่ตัวเอง ระเริงอยู่ในสังคม ไม่ใช่ เอามาปฏิบัติให้ได้ ตามฐานะแต่ละฐานะ ของแต่ละบุคคล ไม่เท่ากัน มีบุญบารมีไม่เท่ากัน สั่งสมบุญบารมีมาน้อยมากกว่ากัน เพราะฉะนั้น ใครมีฐานะไหน รู้ตัวเอง ให้จริง แล้วปฏิบัติตามศีล ตามระดับให้ไปให้ได้ได้ๆ ผู้ใดที่เขาได้มากกว่าเรา เราก็นับถือบูชา ยกย่องเป็นพี่ ผู้ใดเป็นพี่ ผู้ใดเป็น...ชั้นสูงขึ้นไป จนกระทั่งเป็นพ่อ เป็นแม่อะไร ก็ไล่กันไปซิ นับถือเป็นญาติธรรมที่แท้จริง ญาติทางธรรมนะ แล้วเราก็ เกิดญาติทางธรรม อย่าว่าแต่ว่า อาตมา พาให้พวกเรามาพิสูจน์ เกิดการพิสูจน์ จนกระทั่งเห็นได้ชัด มีศีล มีสมาธิ มีการปฏิบัติได้ เรียกว่า จิตแข็ง สมาธินี่จิตแข็ง จิตแข็งอะไร แข็งทนทานต่อกิเลสโลกที่มอมเมายั่วยุโลกียะ ตั้งแต่ลักษณะ ที่เรียก หยาบๆ ตั้งแต่อบายมุข เราก็ทนได้ เราก็เคยติด ก็เลิกมา ไม่เคยติดก็ไม่เป็นทาส รู้ด้วยปัญญา อันแจ้งชัด แข็งแรง กามคุณ โลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขต่างๆ ก็เรียนรู้ แล้วลดๆๆ ลดมาได้จริงๆ ลดอัตตาตัวตน อัตตามานะ ซึ่งเป็นการถือดี ได้ดีแล้วถือดี หลงดี ได้ดีแค่บัญญัติ ก็ถือดี หรือว่าได้ดีปฏิบัติได้ จริงๆ แล้วก็ถือดีตัวเอง อยู่ไม่เป็นสุข แม้ได้ดีแล้ว ยังไม่เป็นสุข เที่ยวได้ ทะเลาะเบาะแว้ง ข่มเหงคนนั้นคนนี้ เบียดบังคนนั้นคนนี้ อวดเบ่งกับคนนั้นคนนี้ อะไรก็แล้วแต่ มันก็ไม่เจริญ เราก็ได้แล้ว ก็อ่อนน้อมถ่อมตน ใครเขาว่าไม่ได้ แต่เราได้ เราก็มั่นใจของเรา ใครจะมา ดูถูกแคลน มาข่มขี่ มาทำเป็นเบ่งทับ ยังไงก็เชิญ เราไม่มีปัญหา ถ้าเรารู้ว่าเราเป็น เรามีอะไรแล้ว มันก็เรื่องของเรา คนอื่นเขามี อยากแบ่งทับ ก็ช่างเขาปะไร เขามีเหมือนเรา แต่เขาก็เบ่งทับเรา ยิ่งคนไม่มีเหมือนเราด้วยซ้ำไป เบ่งทับเรา เบ่งไปให้เหมือนกะอึ่งอ่าง ไปเบ่ง แข่งกับไอ้วัว เคยฟังนิทานอิสปไหมล่ะ อึ่งอ่างไปเบ่งแข่งกับวัว เบ่งไปเดี๋ยวก็แตกตาย เบ่งให้มันเท่าวัว อึ่งอ่าง เชิญเบ่งไปเลย ไม่มีปัญหาอะไรหรอก

ถ้าเรามั่นใจ มีญาณ มั่นใจในความจริงของเราแล้ว รู้ว่ามานะคืออะไร อัตตาคืออะไร ถือดีถือตัว ถือตนอย่างโน้นอย่างนี้อะไรต่างๆ ไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่รู้จักยอม เรามาลดละจริงๆ ตัวอัตตามานะ ตัวสักกายะตัวแรกนี่ อัตตามานะของคนในโลกของธรรมะนี่นะ พระพุทธเจ้า ท่านสอน อาตมาเห็นมากเลยว่า สักกายะของคนที่เรียนมามาก เรียนแล้วก็ยึดดีของตัวเองว่า ตัวเองรู้ดี ฉันเรียนมา โพธิรักษ์มีอะไร ไม่เคยเรียน จริงไม่เคยเรียน แล้วแถมมา พูดซะอย่างผยอง เสียด้วยว่า เกิดมาชาตินี้ไม่มีครูบาอาจารย์ โอ้โฮ ! น่าอ้วก จริงๆอาตมาก็เข้าใจ ก็เห็นใจเขาเหมือนกัน มันน่าอ้วกจริงๆนะ แหม! มันอวดดีจริงๆ แล้วภาษานี้ เขาถือว่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นใช้ เกิดมานี่ ตรัสรู้เอง ไม่มีครูบาอาจารย์ โอ้โห ! มันบังอาจ บังอาจมาก กล่าวคำที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าว อาตมาพูดความจริงนะ ไม่ใช่อาตมากล่าวโดยประเภทที่ว่าบังอาจไปยกตน เทียบเท่าพระพุทธเจ้า แต่มันมีความจริงอันนั้น มันครรลองเดียวกันกับพระพุทธเจ้า แม้จะไม่เท่า ครรลองเดียวกันน่ะ คลองเดียวกัน มันไปเหมือนกัน ทางเดียวกันกับพระพุทธเจ้า แต่มันไม่เท่าพระพุทธเจ้าหรอก พระพุทธเจ้าท่านกล่าวอาจหาญ กว่าอาตมา สูงกว่าอาตมา อาตมาก็กล่าวครรลองเดียวกัน แต่ไม่ได้อาจหาญเท่า พระพุทธเจ้า ไม่ได้เทียบเท่าพระพุทธเจ้า ที่เป็นนัยละเอียด แต่เขาไม่ฟัง พวกที่ เขาอยากจะหาเรื่อง เขาไม่ฟังหรอก เขาก็หาเรื่องหาว่าหนอย! อวดดีเป็น พระพุทธเจ้า ทำอย่างกับ พระพุทธเจ้า มันทำอย่างกับพระพุทธเจ้าได้จริงๆ มันก็ดีน่ะซี มันจะทำไม่ได้น่ะสิ ก็พูดอยู่นี่ มันยังไม่ได้ แหม! จริงหรือเปล่า ทำได้อย่างพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือว่ามาประชดกันเล่น ทำได้อย่างพระพุทธเจ้า มันก็ดีน่ะซี ก็อยากได้จะตายอยู่แล้ว โธ่! มันยังไม่ได้ แต่เราทำอย่างนี้แหละ อันไหนที่ได้บ้าง ก็ฟังบ้างซี...ว่านี่ได้นะ

อาตมาไม่ได้แกล้งพูดหรอกว่า อาตมาไม่มีครูบาอาจารย์ อาตมาไม่มี ครูบาอาจารย์ทางธรรมะ ก็ใครมี ก็พูดอยู่อย่างนี้ ก็มาปรากฏตัวซี มาแสดงตัวสักทีซี ประกาศอยู่นี่ตั้งนานแล้ว ใครล่ะเป็นครูบาอาจารย์ที่สอนอาตมามา แล้วอาตมาก็เข้าใจ ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสอน แล้วก็ได้ทรงไว้ ซึ่งธรรมะ ตามตรงตามที่ครูบาอาจารย์นั้นสอน ใครล่ะ สอนอาตมาอย่างนั้น

แล้วอาตมาก็ได้ปฏิบัติตาม ได้มรรค ได้ผลตามครูบาอาจารย์คนนั้น คนไหนล่ะ มาประกาศตัว หน่อยซีเล่า แล้วหาว่าอาตมาไปลบหลู่ครูบาอาจารย์ แม้แต่อุปัชฌาย์ อาตมาบอก โถ! พูดก็พูดเถอะ อุปัชฌาย์ก็ไม่ได้สอนอาตมาสักคำ เอาละ สอนก็สอนทั่วไป เอาอาตมาไปสอนตรงๆ ก็ไม่ได้สอน สักทีหรอก อุปัชฌาย์ บอกตรงๆด้วย อุปัชฌาย์อาตมาเกรงใจอาตมาทุกรูปไป

อุปัชฌาย์รูปหนึ่ง ก็สิ้นชีวิตไปแล้ว อีกรูปหนึ่งก็ยังอยู่ ก็ไม่ได้เอาอาตมาไปอบรมหรอก ถามท่านก็ได้ สอน อาตมารู้ตามท่านหรือ ท่านกลับไม่เห็นด้วยกับอาตมาด้วยซ้ำไป ทุกวันนี้จะเป็นปฏิปักษ์กัน เข้าหนักกันได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย อาตมาก็ยังไม่ได้ไปลองกราบดูสักที ไม่รู้ว่าจะยอมรับอาตมา เคยเป็นอุปัชฌาย์ ให้อาตมาแล้ว ไม่รู้จะยอมรับอาตมาหรือเปล่า ไปแล้วบอกว่า รีบๆออกไป รีบๆออกไปจากวัด จะอย่างนั้นหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ท่านก็ต้องรักษาฐานะ ตำแหน่งของท่านไว้ เพราะตอนนี้ ท่านเป็นถึงเจ้าคุณระดับเทพ เจ้าคุณชั้นเทพน่ะ อุปัชฌาย์องค์แรก

อาตมาไม่มีจริงๆ อาตมาก็พูดความจริงให้ฟัง แล้วมันน่าฉงน ไม่มี แล้วทำไมเอาธรรมะของ พระพุทธเจ้า มาพูดมาสอน แล้วก็ปรากฏได้อย่างนี้ มันค้านแย้งนะ มันบอก เอ๊ะ! ไม่มี แต่ทำไม มันทำอะไรได้ มันทำได้ น่างงๆ เหมือนกันนะ มันไปล้างสมองเขาได้ยังไง มันทำได้ยังไง แล้วไอ้ลักษณะล้างสมอง ก็ลักษณะเป็นไปด้วยความมักน้อยลดละด้วยนะ ใช่ไหม อย่างพวกคุณนี่ พวกคุณ หรือ ว่าพวกคุณไม่ได้ลด ไม่ได้ละมานี่ มาอย่างฟุ้งเฟ้อ ลับหลังอาตมาต่างหากล่ะ ไปทำ เป็นเขื่องๆ อยู่ข้างนอกน่ะ ไปเฟ้อๆอยู่ข้างนอก มาต่อหน้าต่อตานี่ จะกล้าอะไร นักหนาล่ะ ก็มาลดมาละ บางคนลดได้แล้ว แม้ต่อหน้าหรือลับหลังก็ดีไป ต่อหน้าก็ลดก็ละ ลับหลังก็ลดก็ละ แต่ถ้ามาต่อหน้า ก็มาลดมาละล่ะ แต่พอลับหลังไปหน่อย แล้วก็เลอะ ไม่ใช่ลด กันเขาดูถูก... ให้เขาดูถูกๆซี ไปอย่างนั้นก็ไปลวงเขา เขาก็ดูผิดหมด เราลดละได้จริงใช่มั้ย แล้วก็...เออ อยากลดละไปให้เขาเห็น เขาบอก อ๋อ! ไอ้นี่มันลดละแฮะ แต่นี่คุณลดละได้ แล้วคุณไปแต่งตัวเฟ้อๆ ให้เขาดู เขาบอก อ๋อ ! ไอ้นี่ยังลดละไม่ได้ เขาก็เข้าใจผิดน่ะซี เขาก็เข้าใจไม่ถูกน่ะซี ไปกันได้ยังไง ยิ่งไปทำให้เขาเข้าใจผิด เอ้า ! ลองเถียงดูซิเอ้า ! เข้าใจ ใช่ไหม ที่พูดนี่ ตัวเองแก้ตัว เห็นไหม จับได้ไล่ทัน นึกว่าตัวเองพูดแก้ตัวได้แล้ว เปล่า ไม่จริง พูดยังไม่จริงเห็นไหมล่ะ มันไม่ตรง คุณกันไม่ให้เขาดูถูก ไม่ให้เขาดูถูก ก็คือไม่ให้เขามองผิดใช่ไหม ไม่ให้เขาดูถูก ไม่ให้เขามองผิด คุณก็ ต้องทำให้ถูก ซ้อนๆกันซิ นี่คุณไปพรางอย่างนี้ เขาก็มองผิด มองผิดตอนนี้ ไม่ใช่ กันไม่ให้เขาดูถูก เขาดูผิดแล้ว ไม่ใช่กันแล้ว ทำให้เขาเลย ทำให้เขาเข้าใจเราผิดเลย เพราะเราจะมาเป็นผู้ลดละ ยิ่งคุณส่วนมาก คุณลดละได้แล้ว แต่คุณก็เกรงใจเขา คุณก็ไปทำให้เขาเข้าใจผิด แล้วไปแต่ง ไปหลอกให้เขาเห็นว่า คุณไม่ได้ลดได้ละ จริงๆส่วนมากคุณก็ลดละได้ แล้วคุณก็ไม่อยาก จะแต่งอย่างนั้น คุณก็ยิ่งไปหลอกเขาใหญ่ ใช่ไหม ทำไมไม่ทำให้จริง มันมีซ้อนลึก ซ้อนลึกตรงที่ว่า เรายังอยู่กับเขา เราก็แคร์เดี๋ยวเขาก็ไม่รับเราเข้าหมู่ เดี๋ยวเขาก็ไม่ให้ลาภเรา เขาไม่ให้ยศเรา เขาไม่ให้อะไรเรา เพราะเรายังมอบตัวอยู่กับเขา เพราะฉะนั้น อย่ากระนั้นเลย เราก็ต้องยอมเขาหน่อย เขาจะต้องเอาอย่างแต่ง อย่างนี้ เราก็ต้องแต่งอย่างนั้นไปให้เขาบ้าง ทั้งๆที่เราไม่อยากแต่งแล้ว ก็ตาม ก็คุณก็ยังเป็นทาสอยู่ส่วนหนึ่งนั่นแหละ ทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอย่างนี้แหละ มันซ้อนอยู่ในตัว แต่ถ้าคุณไม่แคร์แล้วนะ เอ๊อ ! จะไล่ออกก็ไล่ไปเถอะ ฉันไม่เอา ลาภ ยศ ไม่ต้องมาประเดประดังให้ฉัน ฉันจะทำอย่างนี้ตามที่ฉันเห็นว่าควรว่าถูก ถ้าคุณแน่จริงอย่างนี้ แล้วคุณก็ดีจริง เขาก็ไม่กล้าไล่คุณ เขาก็ไม่กล้ามาบังคับคุณ เพราะว่าคุณไม่ได้ไปทำอะไรเสื่อมเสีย ไม่ได้ไปโป๊ไปเปลือย ไม่ได้ไปทำอะไรอุจาดอะไรนี่ใช่ไหม คุณก็สะอาดสะอ้านก็ดี เป็นแต่เพียงว่า ไม่หวือหวา ไม่เป็นไปตามนั่นน่ะ

เอาละ อธิบายไปมากๆ มันก็ยาวความน่ะ อาตมาอยากจะเน้นตรงที่ว่า เรามาปฏิบัติธรรมะของ พระพุทธเจ้า โดยเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พุทธะคืออะไร แล้วเราก็เรียนรู้พุทธะนั้น ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วก็มาปฏิบัติให้มันทรงขึ้น ทรงไว้ที่ตัวเรา เรียกว่าธรรมะ ในตัวคนคนหนึ่งนี่ละ เป็นพุทธะ ธรรมะ สังฆะอยู่ในนี้ เพราะฉะนั้น ได้แต่เปล่งพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ขอเข้าถึง พระพุทธเจ้า ขอเข้าถึงพระพุทธคุณ ขอเข้าถึงพุทธะ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ขอเข้าถึงพระธรรม ขอเข้าถึงพระสงฆ์ ท่องกันไปจนแก่จนตาย ตายแล้วให้ลูกหลาน ท่องต่อ ไม่มีใครเข้าถึงสักที จะไปได้เรื่องอะไร นี่เขาท่องกันมานานหลายชั่วคนแล้ว ท่องกันไป ขอเข้าถึงขอเข้าถึง เลยไม่เข้าสักที ขออยู่นั่นแหละ ขอใครเขาจะให้ ถ้าเราไม่ปฏิบัติเอง ของพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติเอง แล้วก็จะเข้าถึง เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้ได้ดังกล่าวนี้ น้อยหนึ่งก็ได้ เข้าน้อยหนึ่ง หลายน้อย มากขึ้นๆ ก็เข้าถึงความเป็นพุทธ เป็นผู้ที่ทรงไว้ ซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วเราก็เป็น ตัวสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเอง เป็นสาวกสังโฆที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า สิ่งนี้มีจริง พระพุทธศาสนา ยังมีจริง ถ้าสิ่งนี้ไม่มีจริง พระพุทธศาสนา มีแต่ศาสนาสมมุติ ศาสนาบัญญัติ ดีไม่ดีบัญญัติเหล่านั้น เพี้ยนแล้วด้วย

เพราะฉะนั้น ใครยังมาพูดถูก ใครยังมาปฏิบัติพิสูจน์ได้อยู่ ศาสนายังอยู่ อาตมายิ่งพูด อาตมายิ่ง มั่นใจ อาตมาไม่เชื่อว่าคุณทุกๆคน มานั่งอยู่ในที่นี้มาหลอกอาตมา อาตมาไม่เชื่อๆ ไม่เชื่อ แม้ว่าคุณจะมาที่นี่ คุณมาแต่งตัวอย่างนี้มาให้อาตมาเห็น มาวัดต้องแต่งอย่างนี้ กลับไปบ้าน ไปแต่งอีกอย่างหนึ่ง อาตมาก็ไม่เชื่อว่าคุณมาหลอก ไม่เชื่อ ยังไม่เชื่อ ส่วนคนที่มานี่ ก็แต่งอย่างนี้ กลับไปบ้านก็แต่งอย่างนี้ จำเป็นที่ยังยอมแพ้มอบตนในทางผิด ยังต้องอาศัยลาภยศ สรรเสริญ เขาอยู่ มันจะต้องจำเป็นจะต้องแต่งตัวอย่างนั้นไป ก็แต่งไปกับเขาอย่างนั้น ไอ้ ยิ่งอย่างนั้น ยิ่งจะไม่หลอกอาตมาแน่นอนเลย จะไปกลัวอะไร ลาภก็ดี ยศก็ดี สรรเสริญก็ดี โลกียสุข คุณก็ทิ้งมาจริง คุณก็ไม่ต้องไปติดมัน เอร็ดอร่อยอยู่ กับโลกียสุขทำไม สิ่งเหล่านี้อาตมาว่า มันมีในคน ในพวกเรานี่ มาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า เป็นมนุษย์ได้ขนาดนี้ มีของจริงขนาดนี้ อาตมายิ่งมั่นใจขึ้นทุกวันๆ

ทีนี้ อาตมาก็อยากจะขยายความถึงเรื่องบุญนิยม บุญนิยมนี่เป็นเรื่องลึกซึ้ง อาตมาเอาคำว่าบุญนิยม มาตั้งขึ้นแล้ว ก็เอาใช้เพื่อที่จะให้เราได้เรียนรู้ ทุนนิยมเป็นภาษาของมนุษย์ โดยเฉพาะ ภาษาไทย เป็นภาษาในสังคมมนุษย์ จะในระดับวิชาการ ในระดับคนธรรมดาก็ตาม ถ้าเข้าใจแล้ว ก็จะรู้ว่า ทุนนิยมนั้น มันมีบทบาทจริง มันมีพฤติกรรมจริง มันมีเครือข่าย มันมีองค์ประกอบ มันมีจักรกล ของทุนนิยม อยู่จริงในสังคมมนุษย์ และอาตมาก็ขอยืนยัน ว่า ระบบทุนนิยมมันไปไม่รอด มันไม่พ้นทุกข์จริง มันไม่ทำให้เกิดสันติภาพได้จริง เป็นสันติภาพลวง เป็นสันติภาพที่อาศัยแฝง กดข่ม แล้วมันไม่เป็นภราดรภาพที่แท้ มันเป็นเรื่องหลอกลวง มันเป็นเรื่องฟ่าม เป็นเรื่องทุกข์

ระบบบุญนิยมของพระพุทธเจ้า เป็นระบบที่พ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวถึงคำว่าบุญนิยม ก็ตาม แต่คุณฟังเอาเถอะ ทฤษฏีหลักของพระพุทธเจ้านั้น ทำให้คนพ้นทุกข์ อาตมาก็พยายามขยาย ความพ้นทุกข์นี่อย่างไร และพาให้พ้นมาตั้งแต่ก่อนนี่มันหลง มันหลงอบายมุขเป็นสุข อาตมาก็ชี้ว่า ไอ้สุขนั่นแหละคือทุกข์ ไอ้ ไปหลงว่าเป็นสุขโลกียสุขนั่นแหละคือทุกข์ เพราะต้องล้างกิเลสที่ไปอร่อย มีอัสสาทะกับรสอร่อย ได้เสพอบายมุขอย่างนั้น ด้วยกาย วาจา ใจอย่างไรก็ตาม คุณก็ยังมีกิเลส ที่มันเป็นอร่อย จนคุณไปลดเลิก แล้วก็ล้างกิเลส จนกระทั่งมันมีใจแข็งแรง ล้างออกกิเลสมันตาย เห็นด้วยปัญญาเลยว่า โถ ! เรานี่งมงาย โง่หลงไปกับเขา จนถอนอาสวะได้ยิ่งดี แม้ไม่ถอนอาสวะ ก็ยังแข็งแรง ที่จะไม่ไปละเมิดอีกแล้ว ไม่ไปเล่นอีกแล้ว ไม่ไปมีพฤติกรรมของอบายมุขนั้นอีกแล้ว แล้วใจก็ ไม่ได้ทุกข์ร้อน ใจก็ไม่ได้เอร็ดอร่อย ใจก็ไม่ได้หนักหนาสากรรจ์ แม้จะยังไม่ถึงขั้น ถอนอาสวะ แต่ยังมีอาการนิดๆหน่อยๆ พอมีเชื้ออยู่ก็ตาม มันก็แข็งแรงขนาดหนึ่ง แล้ว ยิ่งถอนอาสวะสิ้นเลย หมดสังโยชน์ ๑๐ พ้นสังโยชน์ ๑๐ ไปเลยจริงๆ เลย เกิดวิชชาอย่างเป็น ญาณทัสสนวิเศษ เห็นชัดเจน แจ้งชัดเลย ทะลุรอบ ไม่มีสงสัย หมดวิจิกิจฉาอย่างเด็ดขาด โอ๊ ! ไอ้สิ่งนี้ มันเป็นความลวง เป็นความลวงจริงๆ เป็นสุขขัลลิกะ เป็นสุขลวงจริงๆเลย เหตุสุขของโลกคือสุขขัลลิกะ จะเรียกโลกียสุขก็ได้ เรียกสุขขัลลิกะก็ได้ แล้วเราก็พ้นโลกียะสุข หรือพ้น สุขขัลลิกะ อันนั้นมาได้จริงๆเลย มาเป็นผู้ที่ไม่สุขและไม่ทุกข์ ไม่ทุกข์เพราะ ไม่มีเหตุแห่งทุกข์ ไม่มีกิเลสตัณหาอุปาทานกับมันอีกเลย วางเฉย มันมีอยู่ในโลก ในสังคม เขาสุขอยู่ คนเขาไปหลงว่าสุข เขาเสพ เราก็เห็นว่า เราหลุดพ้นมาจากวัฏจักรอันนั้นแล้วจริง กิเลสไม่เกิด หมดวัฏจักรของจิตวิญญาณ หมดวัฏฏจักรของตัวที่จะเกิดกิเลส อัตตาตัวตนของกิเลส ตายสูญ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนของกิเลสอันนั้น เรื่องไหนก็แล้วแต่ ที่คุณได้ฆ่าตายแล้ว

อาตมาก็พยายามเอามาอธิบายให้พวกเราได้พิสูจน์ จับให้ได้นะ อาการอย่างนั้น ลักษณะอย่างนั้น เมื่อได้แล้วเสร็จ คุณก็จะรู้จักโลก ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า สัมปรายิกภูมิเป็นโลกใหม่ ที่พระพุทธเจ้า ท่านค้นพบ เป็นปรโลก โลกที่พระพุทธเจ้าค้นพบโลกุตระนั่นเอง โลกที่เรียกว่า โลกุตระ อยู่เหนือมัน มันเป็นยังไง คุณได้มาวัฏจักรน้อยหนึ่ง คุณก็ได้แล้ว คุณพ้นวัฏจักรของโลก มาแล้ว สังสารวัฏของโลกอันนั้นมาแล้ว โลกอบายมุข โลกเหล้า โลกบุหรี่ โลกสิ่งเสพติด โลกหลงแต่งตัวแต่งตน ระดับนั้น ระดับนี้ ของใครแต่ละขนาด แต่งตัวนี่ ขนาดย่อย ขนาดยักษ์ ขนาดกลาง ขนาดบรรจุซอง มีทุกขนาดแหละ ใครจะพ้นได้ ขนาดไหน ก็มีไปทุกขนาดแหละ อย่างนี้เป็นต้น เราก็เลิกละ หลุดพ้นมาได้ จริงๆเลย เราต้องรู้ว่า ความหลุดพ้นมันคืออะไร วิมุติ หลุดพ้น มันหลุดพ้นวัฏจักรนั้นมาจริงๆเลยนะ และเราไม่ได้หนี ในโลกยังมีวัฏจักรนั้นให้เราเห็นอยู่ แต่ละคน คนข้างนอกนี่ เขาติดอยู่ วนเวียนอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่รู้จักจบ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ขึ้นสวรรค์ เดี๋ยวก็ลงนรก เดี๋ยวก็ขึ้นสวรรค์ เดี๋ยวก็ลงนรก เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็สุข หมุนอยู่อย่างนั้นแหละ เป็นวัฏจักร เราก็เห็นแล้วว่า วัฏจักรอย่างนั้น เราตัดวัฏจักรแล้ว เลิกละหมดธรรมชาตินั้น ไม่มีธรรมชาตินั้น ไม่มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ไม่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปอันนั้นอีกแล้ว กิเลสไม่เกิด กิเลสไม่ตั้งอยู่ เพราะกิเลสมันดับสนิท มันตายสนิทแล้ว ตายไม่เกิดอีก จึงเรียกว่าสูญ จึงเรียกว่าตายสนิท หรือเรียกว่าดับสนิท

เราจะเข้าใจความดับสนิทอันนี้อย่างแท้จริงได้ ต้องอ่านอาการ ลิงค นิมิตของกิเลสที่อยู่ในใจของเรา มันไม่เกิดที่อื่น เรียกว่าปรมัตถสัจจะ ปรมัตถสัจจะคือจิต เจตสิก รูป นิพพาน รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ รู้เลยว่า อ้อ! นี่รู้แล้ว ถูกรู้ สุญญตาก็ถูกเรารู้ นิพพานเป็นอย่างนี้ เราอยู่เหนือโลกุตรจิตเป็นอย่างนี้ โลกานุกัมปายะเป็นอย่างนี้ ผู้มีโลกุตรจิตแล้ว ผู้นั้นจะมีโลกวิทู จะรู้โลกนั้น แล้วก็จะเกื้อกูลคน ที่มันตก อย่างที่เราเคยตกโลก จะจมอยู่ในทุกข์ในสุขนั้นได้ด้วย มากน้อยก็แล้วแต่สมรรถภาพ ของผู้มีความสามารถ

ทีนี้สังคมของพุทธ บุญนิยมที่ว่านี่ มันก็เป็นระบบที่ทุกวันนี้แล้ว มันจะมีรูปร่างที่ชัดเจน

อ่านต่อ หน้าถัดไป

FILE:1450A