เป็นอินทรีย์พละ เป็นวัฒนธรรม
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๔
ณ ศาลาเมตตาธรรม อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา


อาตมาว่า มันยังเป็นเรื่องราว หรือว่ายังเป็นเหตุการณ์ที่มันประกอบขึ้น โดยองค์ประกอบหลายๆ อย่าง หลายๆข้อมูลรวมกัน แล้วมาเกิดสภาพนี้ขึ้น มันยังเป็นสิ่งดีที่เกิดทั้งตัวพวกเราเอง และเกิดสะท้อนไปถึงสังคม ไปถึงพระศาสนาด้วย มันมีรูปร่าง มันมีองค์ประกอบ มันมีอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา แล้วมันก็เกิดมาเป็นอย่างนี้ มันเกิดเป็นอย่างที่มันเกิดนี่แหละ และมันก็จะดำเนินไป เรื่อยๆ มันก็ดำเนินออกไป ดำเนินตามไป

อาตมาก็เห็นว่ามันดี เพราะว่าประโยชน์มันเกิด เห็นอยู่ว่า ประโยชน์อะไรบ้าง ประโยชน์ทั้งตัวพวกเรา ที่จะได้ ฝึกเพียร จะได้มีบทบาทเรื่องราวอย่างที่มันเกิด นี่แหละ อย่างที่มันเป็นนี่แหละด้วย มันเป็นอะไรกันขึ้นมาอย่างนี้ๆ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ได้หรือ ไม่ได้อะไร พวกคุณก็รู้ตัวว่า พวกคุณได้บำเพ็ญอบรมฝึกฝน เพราะว่ามันเป็นการฝึกฝนอยู่ในตัวด้วย แล้วก็ยังมีรูปร่าง ยังมีกระแส ยังมีอะไร การกระทบยังมีผลไปถึงผู้ที่ได้สัมผัส เขาได้เห็น เขาได้ยิน เขาได้สัมผัส มันมีรายละเอียดเยอะนะ ไม่ได้หมายความว่า มันมีแต่รูปตื้นๆ รูปง่ายๆ แต่มันมี รายละเอียด มันมีอะไรต่ออะไรต่างๆนานาว่า คนพวกนี้เป็นอย่างไร แล้วเดี๋ยวนี้พวกเรา ไม่ใช่น้อยๆ ด้วย ไม่เหมือนเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ๑๐ ปีกว่าที่แล้ว อาตมาเคยมาศาลานี้ เคยมาเทศน์ คนไม่กี่คนหรอก กระหยอมกระแหยม มากัน เทศน์ก็แสดงธรรม ก็พยายามที่จะเผยแพร่ หรือทำงานอย่างตอนนั้น ที่มีองค์ประกอบเท่านั้น

ทีนี้ มาถึงวันนี้ องค์ประกอบของเราเท่านี้ แล้วแต่ละคนก็ได้ฝึกฝน มีกำลังอินทรีย์พละ ของแต่ละคนๆ ที่เจริญขึ้นมา มีความเจริญอยู่ในตัวเหมือนกัน โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้ใฝ่เพียร ฝึกฝนกันมา ตั้งแต่เดิมมา เรื่อยๆๆๆ ไล่ขึ้นมา ไล่ขึ้นมา ไล่ขึ้นมานี่ มันเนียนใน แล้วก็มีปริมาณ ของทั้งคน มีพฤติกรรม กาย วาจา ใจ มีพฤติกรรมทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจนี่ผสมกัน แต่ละคนๆ ก็มีของเรา แต่ละคน ก็เห็นว่า อธิศีลของเรา ที่จะไปขัดเกลากาย วาจา ใจ ของเรา เราก็ได้ฝึกฝน อันไหนสมควร สังกัปปะอย่างไร ที่มันเป็นสัมมา สัมมาอย่างไรวาจา สัมมาอย่างไรในกาย ทั้งความนึกคิด ทั้งการพูดการจา ทั้งกายกรรม การกระทำต่างๆ เกี่ยวไปจนกระทั่งถึงงานการ อะไรต่างๆ นานา

ถ้าเรานึกคิดถึงชีวิตให้ดีๆแล้ว ชีวิตของคนเรา มันไม่ได้แตกต่างไปจากการงานเลย หรือกรรม หรือ การกระทำ พฤติกรรมของคนนี่แหละ แล้วมันก็ ไปประกอบกับจิตต่างๆ จิต หรือการ หรืองานต่างๆ พฤติกรรมของคน กาย วาจา ใจของคนนี่ มันไปประกอบกันเข้างานต่างๆ กับกิจต่างๆ เราทำอยู่เดี๋ยวนี้ นี่เป็นกิจ คุณมานั่งรวมกัน ก็เป็นกิจ ที่เราเรียกว่าทำวัตร แล้วเราก็มานั่งฟัง มาพบกัน มาสังสรรค์กัน เป็นรูปแบบวิธีกรรมอันหนึ่ง หรือเป็นงานของพวกเรานี่ เราถือว่า กิจกรรมอย่างนี้ พิธีกรรมอย่างนี้ พฤติกรรมอย่างที่เรามานั่งอย่างนี้ คนที่มานั่งฟังอย่างนี้ แล้วก็นั่งอยู่อย่างนี้ มีกายกรรมขนาดนี้ จะดุ๊กดิ๊ก ยุกยิก หรือ จะมีสมาธิ มีความเรียบร้อย โดยเฉพาะมีจิตวิญญาณ เอาใจใส่ จิตวิญญาณรับฟัง จิตวิญญาณตั้งใจศึกษาไปด้วย ได้ประโยชน์จากการฟังนี้ จริงๆด้วย มันไม่เหมือนกันหรอก เอาคนกลุ่มอื่น จำนวนปริมาณเท่านี้มานั่ง ยิ่งไม่เคยรู้จักหน้าตากันเลยนี่ เขาก็จะมาฟังอย่างหนึ่ง อาจจะสนใจนะ แต่เขาจะรับได้แค่ไหน บางทีอาจจะฟังได้หรอก ๓๐ นาที จาก ๓๐ นาทีไปแล้ว เบื่อแล้ว แต่พวกเราฟังได้เป็นชั่วโมง หลายชั่วโมงก็เคยฟังแล้ว หลายชั่วโมง หลายคนฟังได้ เป็นเรื่องธรรมดา อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันมีรายละเอียดที่เกิดจากชีวิต ที่เราได้ อบรม จากที่เราได้สร้างอะไรเข้าไปในจิต จิตใจของเราเกิดการรับ เกิดการตอบ เกิดความศรัทธา เกิดสัทธินทรีย์ เกิดวิริยินทรีย์ เกิดสตินทรีย์ สมาธินทรีย์ เกิดปัญญินทรีย์ หรือเกิดอินทรีย์๕ พละ ๕ ขึ้นมา มันไม่ใช่วันเดียว มันไม่ใช่ปีเดียว แต่ละคนได้สั่งสมอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ขึ้นมานี่ ลักษณะ ศรัทธาที่ว่า เป็นความเชื่อ มีความเชื่อมั่นขนาดไหน

คนในปริมาณเท่านี้ ถ้าเป็นคนอื่น จำนวนปริมาณเท่านี้ ห้าร้อย หกร้อยคนอย่างนี้ แต่ว่าเป็นคนอื่น รู้จักอาตมาอย่างหนึ่ง เกิดศรัทธาในอาตมาอย่างหนึ่ง มารับฟัง มันก็คนละอย่าง คนละเรื่อง คนละแบบ อาตมาพูดแบบเดียวกันนี่ ใช้แรงงาน ใช้ความปรุงเพื่อที่จะพูดออกไป เท่าๆกันนี่ ลงทุนลงแรงเท่ากัน ก็จะรับตอบกันไม่เท่ากัน อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันมีอะไรต่ออะไรต่างๆนานา ที่ละเอียด ลออมากมาย ทุกอย่างมันสังเคราะห์ตัวของมันเอง โดยธรรมชาติ โดยสิ่งที่เกิดไป ตามธรรม ที่เราใช้ภาษาเสมอๆว่า ตามธรรมนี่ มันเป็นไปตามธรรม โดยเฉพาะเรื่องของคน เรื่องของสังคมมนุษย์ ที่เราพยายามอบรมฝึกฝนตน แล้ว ก็สังเคราะห์ตัวเอง สังเคราะห์กลุ่มหมู่ เป็นสังคมกลุ่มหมู่ จะมีบทบาท ลีลา จะมีจารีตประเพณี โดยเฉพาะคำว่าวัฒนธรรม มีวัฒนธรรมนี่ มันเกิดวัฒนธรรมของมนุษย์ เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ เกิดไปเรื่อยๆ วัฒนธรรมของพวกเรา เป็นวัฒนธรรมที่ ถ้าของเราทำอย่างนี้ เป็นอย่างนี้กันนี่นะ มีความเข้าใจเลยว่า เราจะถึงเวลาเป็นอย่างนี้ จะทำยังไง จะนั่ง จะยืน จะเดิน จะนอน จะมารับฟัง จะมาทำอะไรก็แล้วแต่

อย่างนี้นี่นะ ถ้าเกิดเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว หรือ ๑๕ ปีที่แล้วโน่น มีความพร้อมพรั่ง มีอะไรต่ออะไร อย่างนี้ นี่นะ จะเป็นความประหลาดมากเลย ในสังคมมนุษย์ ในประเทศไทยนี่แหละ แต่ทุกวันนี้ เขาเห็นพวกเราอย่างนี้ อะไรต่ออะไร เขาไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่ เพราะว่า พวกเรา ได้แสดงสภาพ พวกนี้ไปเรื่อยๆ คนรับรู้รับข่าวคราว เอกสารพิมพ์ออกไป มีรูป มีแบบ มีอะไรต่ออะไรออกไป กระจายออกไป รับรู้กันไปแล้วตั้งหลายปี เขาก็เห็นว่า ไม่มีปัญหาอะไรนี่ แต่งตัวอย่างนี้ เดินอย่างนี้ เป็นคนอย่างนี้ มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อย่างนี้ มีความรู้สึกอย่างนี้ๆ ถ้าเป็นเมื่อ ๑๕ ปีก่อน แล้วพวกคุณ ก็มามีปริมาณเท่านี้ พอมาถึง สมมุติว่าเมื่อวานนี้ พอมาแล้วก็มาออกไปเดิน มีพวกเรา ไปเดินแถวๆ ตลาดอะไรต่ออะไรต่างๆนานา ตรงโน้นน่ะ เขาก็จะมอง เอ๊! นี่มาจากไหน มีคน แปลกหน้าแปลกถิ่น มีรูปแบบ รองเท้าก็ไม่ใส่ เสื้อผ้าหน้าแพรก็แต่งยังไง ผมเผ้า ตัดอย่างนี้อะไรนี่ สมมุติว่า ๑๕ ปีที่แล้วนะ จะเป็นที่แปลกหูแปลกตามากกว่านี้แยะ แต่วันนี้ หรือเมื่อวานนี้ ที่คุณไปเดิน มันจะไม่ถึงอย่างนั้น เขาจะรู้มามากแล้ว นี่ เหรอ ก็รู้แล้ว พวกอโศเกี้ยน แต่เขาก็อาจ จะไม่เรียกอโศเกี้ยนนะ เพรา ภาษานี่ เราพึ่งมีกันในกลุ่มเรา คนข้างนอกก็อาจจะยังไม่รู้ว่า อโศเกี้ยนคืออะไร แต่เขารู้แล้วว่า พวกชาวอโศก พวกสันติอโศก รู้แล้ว ไม่แปลกประหลาด ไม่ตื่นเต้นอะไรหรอก เขาก็อย่างนี้ แต่ก่อนนี้ อาจจะบอกว่า พอเจอแล้วก็ เอ๊! บ้าหรือเปล่าพวกนี้ แต่เดี๋ยวนี้ บอกว่าก็เขาบ้าๆอย่างนี้แหละ อย่างคุณไปเดิน เมื่อวานนี้ เขาเห็นแล้ว เขาบอก เฮ้ย! มันเป็นธรรมดา ก็คนกลุ่มหนึ่ง มันก็บ้าๆ อย่างนี้แหละ ไม่ค่อยเหมือนพวกเราเท่าไหร่หรอก กินอยู่หลับนอน ก็ไม่ค่อยเหมือนกับพวกเราหรอก คนพวกนี้ แต่เขาก็อยู่ของเขาอย่างนี้ แต่เขาก็ไม่อาละวาด อะไรนะ อาจจะนึกอย่างนั้น เขาก็ไม่อาละวาดอะไรหรอก อยู่ได้ คบหาได้ พูดกันรู้เรื่อง รู้เรื่องเท่าที่เขาจะรู้กับเรา เราจะรู้กับเขาน่ะนะ ก็แล้วแต่ใคร เราจะอยู่อย่างเรา เราก็เป็นสุขอย่างเรา เขาจะอยู่อย่างเขา เขาก็เป็นสุขอย่างเขา คนข้างนอก เขาก็จะรู้สึกอย่างนั้น

ที่อาตมากำลังพูด กำลังบรรยาย กำลังเอาสิ่งเหล่านี้มาวิเคราะห์ ให้พวกเราฟัง ก็เพื่อจะกระจาย หรือ อธิบายอะไรต่ออะไรให้เห็นว่า อำนาจของอินทรีย์พละของคน แล้วก็มีได้ เกิดขึ้นได้มา ติดตัวมา ใช้กาลเวลาสร้างอินทรีย์พละแก่คน จนกระทั่ง เกิดปริมาณ เกิดทั้งปริมาณและคุณภาพของคน ขึ้นมาแล้ว แล้วกระแสที่มันสัมพันธ์กับสังคม มันก็ไม่ใช่ว่า เราจะพูดขึ้นมาเล่นๆ มันมีการเนียนใน มันมีการตอบรับ มันมีการรู้ มันเป็นการเผยแพร่ หรือมีการกระจายตัวขึ้นไปด้วย แล้วมันก็เกิด เป็นสิ่งหนึ่ง ขึ้นมาอย่างจริงๆ ชาวอโศกเรามีลักษณะจริง มีของจริง มีความเป็นไปขึ้นมา อย่างค่อยๆ เป็นขึ้นมา แต่ละวัน แต่ละเวลา แต่ละนาที ค่อยๆเป็นขึ้นมา เป็นขึ้นมาเรื่อยๆๆๆๆ แล้วมันก็จะ จัดสรรวัฒนธรรม เป็นวัฒนธรรมของชาวอโศกขึ้นไปเรื่อยๆๆ จะมีอะไรก็แล้วแต่ กินอยู่ หลับนอน ก็มีพฤติกรรมอย่างคนอย่างพวกเรา จะเดินจะเหิน จะไปจะมา จะมีลักษณะความอ่อนน้อม ความแข็งแรง สภาพสง่าผ่าเผย คุณอย่านึกว่ามันน้อยนะ มันละเอียดลออนะ แต่ก่อนนี้ คนไม่เคยเป็นอย่างนี้ คุณรู้สึกซิ หลายๆคนลองนึก ลองทำความเข้าใจตัวเอง รู้สึกตัวเองดูว่า แต่ก่อนนี้ เราก็จะเดิน จะค้อมหัวจะก้ม จะอะไรต่ออะไรอย่างนี้ เราไม่อย่างนี้เลยนะ เมื่อ ๑๐ ปีก่อน เราไม่เป็นอย่างนี้หรอก แต่เดี๋ยวนี้ จะต้องเป็นอย่างนี้ จะให้มันแข็ง เราจะทำลักษณะแข็งแรง แข็งอย่างไร ลักษณะอ่อน อ่อนอย่างไร เอาละ พูดอย่างนี้มันอาจจะยาก มันกว้าง เอาผู้หญิงดีกว่า ผู้หญิงนี่ ๑๐ ปีก่อน จริตจะก้านมากกว่านี้แยะ

ฟังดีๆนะ ถ้าเผื่อว่าไม่ได้มาพบอโศกรับรอง และรับรองว่า ๑๐ ปีที่ผ่านมานี้ จริตมากกว่านี้ อีกแยะ ฟังดีๆ จริตอะไรบ้าง นึกออกไหม จริตโลกีย์ ถ้าไม่ได้มาพบอโศกนี่ ๑๐ ปีที่แล้ว คุณมีจริตมาเท่านั้น แล้ว ๑๐ ปีที่แล้ว มาถึงวันนี้ จริตโลกีย์ที่คุณมีเปลี่ยนไปแล้ว ฟังดีๆนะ จริตโลกีย์มีอะไรบ้าง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม บางคนอาจจะยังไม่ถึง ๑๐ ปีหรอก แต่รู้ได้ ขนาดไม่ถึง ๑๐ ปี ยังรู้ได้ว่า จริตโลกีย์อย่างผู้หญิง คุณเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนนี้ มาถึงวันนี้เปลี่ยนไป ถ้าคุณไม่พบอโศกนะ ๑๐ ปีก่อนนี้ จริต ๑๐ ปีก่อนกับวันนี้ ก็เปลี่ยนไป เหมือนกันนะ แต่ไม่ได้เปลี่ยนอย่างนี้ มันจะกลับกัน บวก บวกจริตโลกีย์ลงไปอีก

สมมุติว่าคุณอายุ ๒๐ วันนี้อายุ ๓๐ จริตโลกีย์ตั้งแต่ ๒๐ นั่น กับมาวันนี้ ๓๐ นี่ต่างกัน ถ้าไม่ได้พบ อโศกนะ ต่างกัน และเมื่อ ๒๐ ปีแต่ก่อนนี้ คุณพบอโศก จริตโลกีย์คุณมีเท่าไหร่ วันนี้อายุ ๓๐ จริตโลกีย์ เหล่านั้นหายไป หายไปจาก ๒๐ ปีตอนโน้นด้วยนะ จริตโลกีย์ตั้งแต่ก่อนโน้นอายุ ๒๐ ตอนโน้น มันก็หายไป มันไม่เป็นจริตโลกีย์อย่างนั้น มาเดี๋ยวนี้ มาถึงวันนี้ ๑๐ ปีวันนี้ มันก็เปลี่ยนไป เพราะมาคบคุ้น มาคบหากับอโศกไปตั้ง ๑๐ ปี คุณก็ป็นผู้หญิงอีกแบบหนึ่ง จริตโลกีย์ ต่างกันไปเลย อาตมาหยิบมาพูดขึ้นนี่ รู้สึกตัวบ้างไหม บางคนยังไม่ถึง ๑๐ ปี ยังรู้สึกตัวได้เลย ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เรื่องเยอะนะ เรื่องมากนะ มันไม่ใช่เรื่องน้อยๆหรอก อย่างนี้ ที่ยกตัวอย่างให้ฟัง อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ก็ตาม ลักษณะพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์พวกนี้ ถูกอบรม แล้วถูกฝึกปรือ เปลี่ยนแปลงจากความรู้สึก จากความเห็นเป็นทิฏฐิ แล้วก็ก่อให้เราเข้าใจ เข้าใจแล้วเราก็ฝึกฝนอบรม เมื่อได้รับอบรมแล้ว เราก็จะได้รู้สึกว่า มันเป็นผลดีหรือผลไม่ดี เราก็จะเปลี่ยนแปลงไปตาม ถ้าเห็นผลดี เราก็เอาต่อไป เจริญต่อไป เป็นอธิ อธิศีล หลักเกณฑ์ที่เรามาปฏิบัติประพฤตินี่

ศีล ไม่ได้หมายความว่า จะตั้งเป็นข้อๆ ไว้เท่านั้น ศีลคือหลักที่มันจะเอามาอบรมตน เปลี่ยนแปลง กาย วาจา ใจ เปลี่ยนๆ จากกาย วาจา ใจ จากแต่เดิมที่เข้าใจอย่างหนึ่ง ลีลากระแสของมัน หรือว่า พฤติกรรมของมัน มันจะไปแบบโลกๆ โลกีย์ มันก็ลด ก็เปลี่ยนมา เปลี่ยนมา จากทิฐิความเห็น แล้วก็ แปรรูปมาเรื่อยๆ ทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นลำดับๆ ไม่ใช่ว่าพรวดพราด แล้วมันก็แข็งแรง เป็นฐานรองรับ ถ้าเราไม่ได้ฐานหนึ่งแล้ว จะไปเปลี่ยนแปลงเป็นอีกฐานหนึ่งที่สูงขึ้น ที่มันยากขึ้น ที่มันเนียน มันเรียบร้อย หรือว่ามันดี ตามที่เราจะมีปัญญา หรือมีทิฐิ มีความเข้าใจ หรือมีปัญญา ที่เราจะรู้ของเราเอง อย่างนี้นี่ คนเราจะรู้ จะรู้ของตนเอง พอใจอย่างนี้ เห็นอย่างนี้โดยปัญญาว่า อ๋อ! ไปทางโลกุตระ หรือว่าเป็นคนลักษณะอย่างนี้ อย่างที่มาถึงวันนี้ หรือว่าในช่วงนี้ ยุคนี้นี่ เราพูดถึง อิตถีภาวะกันเยอะ อธิบาย พยายามขยายความเรื่องอิตถีภาวะ ตั้งมากตั้งมาย ผู้หญิงก็ลดอิตถีภาวะ ผู้ชายก็ลดอิตถีภาวะ แต่ก่อน ถ้าไม่ใช่ถึงวันนี้ กับพวกคุณนี่นะ พูดถึงอิตถีภาวะ คุณก็จะเข้าใจง่ายๆ ตื้นๆ แต่ว่าผู้หญิง ผู้ชายเท่านั้น อิตถีภาวะ ก็คือลักษณะผู้หญิง แล้วหยาบๆ ไม่มีความหมายลึกซึ้ง อย่างที่เราพูดกัน อย่างทุกวันนี้หรอก อิตถีภาวะก็จะบอกว่า เรื่องผู้หญิง แบบผู้หญิงน่ะ ผู้ชายก็คือ ผู้ชาย ง่ายๆ มิติเดียวตื้นๆ แต่ทุกวันนี้ เราพูดถึงคำว่า อิตถีภาวะ มันไม่ได้ง่ายๆ มันไม่ได้ตื้นๆ เท่านั้นน่ะ คำว่าอิตถีภาวะ คือลักษณะผู้หญิงตื้นๆ มันหลายชั้น คำว่าอิตถีภาวะนี่ จริงเราแปล อิตถีว่าผู้หญิง ในภาษาไทย แต่ลักษณะอย่างนี้ ลักษณะเพศ เพศหญิง เพศชาย หลายชั้นมาก

เพราะฉะนั้น เราพูดกันว่า อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ เพศหญิงหรือเพศชาย แต่ละภูมิ แต่ละฐานะ ของบุคคล มีความเจริญแต่ละระดับ แต่ละขั้น ก็คงจะเข้าใจเอาของแต่ละคน แล้วก็เอามาอบรมตน พวกคุณผู้หญิง ก็อบรมตน พวกคุณผู้ชายก็อบรมตน อบรมในอิตถีภาวะ ในปุริสภาวะด้วย บอกแล้ว ผู้หญิงผู้ชาย ก็มีอิตถีภาวะ ไม่ใช่ผู้ชายไม่มีอิตถีภาวะเมื่อไหร่ อย่างนี้เป็นต้น

นี่เราก็จะปฏิบัติอบรมฝึกฝนมาเรื่อยๆๆ แต่ละวัน แต่ละปี แต่ละเดือนไปเรื่อยๆ นานวันเข้า กาย วาจา ใจนั่นแหละเป็นวัฒนธรรม จะมีการงาน จะมีความเข้าใจกับการงาน ซึ่งการงานก็กลายเป็น อาชีพ กุหนา ลปนา เนมิตตกตา นิปเปสิกตา ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา อาชีพหรืองานที่เรากระทำ จนประกอบ เป็นงานประจำวัน เป็นงานประจำชีวิต มันก็จะเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ นอกจาก เปลี่ยนรูปแบบ หลายแล้วนะ จากงานแต่ก่อนนี้จับงานอยู่ เป็นข้าราชการ เป็นครู เป็นพ่อค้าแม่ค้า หลายคน บอกว่า โอ๊! เราเบื่องานครูเหลือเกิน ลาออกจากงานครูมา โอ้โฮ! โล่งอก เสร็จแล้วก็มา ปฏิบัติประพฤติ วันนี้พอรู้สึกตัว ตาย นี่เราเป็นครูอย่างเก่าว่ะ พอรู้สึกตัว อุตส่าห์หนีงานครูมาแล้วนี่ เบื่อชะมัดเลยนะ โอ้โฮ! แต่ก่อนนี้ เบื่อน่าดูเลยนะ เบื่องานครู แหม! มาปฏิบัติธรรมะแล้ว เบื่องานครู แล้วออกจากงานครูมา มาถึงวันนี้ อ้าว! มาเป็นครูอย่างเก่า แต่ไม่อย่างเก่าแล้ว เป็นครูอย่างเก่า แต่ไม่ใช่เก่าแล้ว เรากลับเป็นครูที่มีลักษณะองค์ประกอบของมัน ต่างกันไปแล้ว เป็นครูที่มีคุณค่า เป็นครูที่มีประโยชน์ เป็นครูที่มีสาระ แม้แต่ลักษณะที่จะสอนกัน จะบอกกันแนะนำกัน วิชาเดียวกัน ก็สอน ไม่ใช่แก่นสาร เป้าหมายหลักเหมือนกันเสียแล้ว เช่น สอนในเรื่องคณิตศาสตร์ก็ตาม สอนวิทยาศาสตร์ก็ตาม สอนเกษตรศาสตร์ก็ตาม สอนสังคมศาสตร์ยิ่งชัด ยิ่งสอนสังคมศาสตร์ ยิ่งชัดใหญ่ เลยว่า โอ้! แต่ก่อนเราสอนไม่เป็นอย่างนี้น่ะ เนื้อหา เราเน้นหนักเป้าหมาย สารัตถะ ต่างกันไกล อย่างนี้เป็นต้น

อาตมาเอง อาตมาแต่ก่อนนี้ อาชีพโฆษก ใช่ไหม พูด เดี๋ยวนี้ ก็อาชีพโฆษก อยู่อย่างเก่านั่นแหละ ไม่เห็นจะออกเป็นอาชีพอื่นตรงไหน แต่ก่อนนี้อาตมาก็เป็นครู ็เคยเป็นครู มีรายได้ พิเศษการสอน ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน เขาให้ราคาดีเสียด้วยนะ แต่ก่อนนี้ อาตมา เป็นครูสอนชั่วโมงหนึ่ง อัตราครู เขาสอนชั่วโมงละ ๒๐ บาท อาตมาได้ ๓๐ นะ เขาสอนกัน เขาได้ ๒๐ บาท ๒๐ บาทนี่ อัตราครู ระดับปริญญานะ ๒๐ บาท ชั่วโมงละ ๒๐ บาท ครูพิเศษ สอนชั่วโมงหนึ่ง ๒๐ บาท ได้ ๒๐ บาท อาตมาก็เป็นครูพิเศษ ก็อาตมา ไม่ได้มีปริญญา แต่อาตมา ได้ชั่วโมงละ ๓๐ ทุกโรงเรียนเลย อาตมาสอนหลายโรงเรียน แหม! ขับรถ วิ่งรอกสอน อาทิตย์หนึ่ง ถึง ๑๙ ชั่วโมง แน่ะบางที อาตมายังจำได้ อาทิตย์หนึ่ง ๑๙ ชั่วโมง สอนพิเศษนี่นะ อาทิตย์หนึ่ง ๑๙ ชั่วโมง หลายโรงเรียน ๓ โรงเรียน คราวที่ ควบมากที่สุด ๓ โรงเรียน อาทิตย์หนึ่ง ๑๙ ชั่วโมง โอ้โฮ ! หาเวลากินข้าวกลางวัน แทบไม่มีเวลาจะกินเลย เพราะว่ามัน ต่อๆๆกัน ต้องวิ่งระยะทาง รถยังไม่ติด เท่าทุกวันนี้ พอเป็นได้ แต่มันก็ติดพอสมควร แต่มันไม่ติดเท่ากับทุกวันนี้ ถ้าติดเท่าทุกวันนี้ตาย วิ่งรอกสอนแบบนี้ไม่ได้ ไม่ทัน เป็นครู เป็นโฆษก สุดท้ายก็ไม่ได้ห่างจากไอ้ไมโครโฟนนี่เลย ไม่ได้ห่างจากพูดเลย สอน พูด แนะนำ พูดโฆษกหรือครูก็ไอ้เท่านั้น แต่ต่างกันแล้ว เนื้อหาสาระที่ สอนต่างกัน

คนที่เบื่องานเกษตรจากนาจากไร่ แหม! เลิก โอ้โฮ! มาปฏิบัติธรรมแล้ว ดีแล้ว เราได้เลิกทำนาทำไร่ เดี๋ยวนี้กลับต้องมาทำนาทำไร่ อีกอย่างเก่าแล้ว แต่ไม่อย่างเก่าแล้ว ช่าง นี่ ช่างหลายช่าง ไม่ต้องพูดเลย ช่างเดี๋ยวนี้ก็ยิ่งหายาก เข้ามาก็ต้องมาทำงานช่าง พ่อค้าแม่ขายต่างๆ แหม! หนีจากพ่อค้า แม่ขายมาอย่างดีนะ เดี๋ยวนี้ตาย ถูกผลักเข้าไปเป็นแม่ค้าแม่ขายอยู่อย่างเก่า แต่ไม่อย่างเก่าแล้ว ไม่เป็นไปอย่างเก่าแล้ว ลักษณะแต่ก่อนนี้ เราเบื่อ เบื่อทำอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้ เรากลับมาทำอย่างนี้อีก ไอ้ความเบื่อมันยังมีบางคน บางคน เออ ! เข้าใจแล้ว ไม่เบื่อแล้ว แล้วรู้สึกว่าดีแล้ว รู้สึกว่า เออ! อย่างนี้เราเป็นคุณค่า เป็นประโยชน์ เป็นลักษณะการงาน เป็นกิจกรรม เป็นการงานที่ อาชีพของมนุษย์ สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะของมนุษย์ นี่เรากำลังพูดอย่างพุทธ ฟังดีๆนะ ว่าพุทธ ไม่ได้ออกไปไหน ปฏิบัติธรรมตามหลักมรรคองค์ ๘ คุณก็พัฒนา สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ เท่านั้นแหละ แล้วก็อยู่ในนี้หมด ไม่ใช่เป็นคนที่ไม่มีอาชีพ ไม่ใช่เป็นคนที่ ไม่มีการกระทำ ไม่มีกัมมันตะ ไม่มีการคิด ไม่มีการพูด ไม่ใช่ ยิ่งคิดดี คิดเจริญ คิดเก่ง ยิ่งพูดดี พูดเจริญ พูดเก่ง ยิ่งกระทำดี กระทำความเจริญ กระทำสิ่งที่ดี สิ่งที่เก่ง มีอาชีพที่ดี มีอาชีพที่เจริญ มี อาชีพที่เก่ง มันเจริญขึ้นจริงๆ เหมาะสมตามฐานะของแต่ละบุคคล พัฒนาสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะนั่นเอง สัมมายิ่งขึ้น สัมมาบอกแล้วว่า ไม่ได้ตายตัว สัมมาตามฐานะ คุณมีศีล ๕ ในขนาดหนึ่ง ความหมายของศีล ๕ ก็มีหลายระดับ ศีล ๕ ก็มีความเข้มความจางต่างกัน

เพราะฉะนั้น ในศีล ๕ ที่มีความจางอยู่ คุณก็จะเอามาอบรม สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ของคุณขนาดหนึ่ง จนกระทั่งมันได้ดี เนียนและเป็นฐาน คุณก็อบรมตน โดยเพิ่มอธิศีลของศีล ๕ นั่นแหละสูงขึ้น แล้วก็ได้มาอบรมสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะของคุณสูงขึ้น เมื่อได้ขึ้นมา แข็งแรง เป็นสมาธิ จนกระทั่งเป็นญาณ เป็นวิมุติขึ้นมาอีกเป็นกำลัง ยิ่งถึงวิมุติ ยิ่งเป็นกำลัง เพราะพละกำลังคือวิมุติ มีวิมุติก็เกิดพละกำลัง กำลังของศรัทธา เชื่อมั่นว่า ไอ้ อย่างนี้ดี มีปัญญา เป็นปัญญินทรีย์ หรือปัญญาผล ขยาย ทำให้เราเข้าใจวิริยะ หรือความเพียรในตัวงานทั้งหลาย ซึ่งเป็นอิทธิบาท เป็นฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อิทธิบาทนี่คือวิริยะ เป็นตัวหลัก

เพราะฉะนั้น ความเพียรของเรานี่ เพียรที่มีความยินดีที่เรียกว่าฉันทะ ความเพียรที่มีความยินดี มันต่างกันกับ ความเพียรที่ยังไม่เกิดฉันทะ ยังไม่เกิดความยินดี ใช่ไหม ผลักดันความเพียร ความวิริยะ อุตสาหะ โดยที่ไม่ค่อยยินดี ไม่มีฉันทะนี่ โอ้โฮ! ยาก จะเอาใจใส่ จิตตะ โอ้! มันไม่ค่อยใส่เลย ตัดใจมันใส่ มันก็ออก ตัดใจมันใส่ มันก็ออกใช่ไหม แต่ถ้ามีฉันทะ วิริยะ จิตตะ ก็เอาได้ เอาใจใส่ได้ไว ได้มาก ได้เต็ม เอาใจใส่ได้เต็มๆ การงานที่เกิดอิทธิบาท วิมังสามันก็ลึกซึ้งขึ้น วิมังสานี่ คือตัวพินิจ ตัวพินิจมันก็ละเอียดขึ้น เจริญขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือเกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ซ้อนเข้ามาให้เราได้ปฏิบัติ ประพฤติกระทำ การกระทำ กัมมันตะก็กระทำ อาชีวะก็กระทำ กระทำไปเรื่อยๆ การกระทำ หรือกรรมต่างๆ กิริยาต่างๆ เกิดขึ้นเรื่อยๆๆๆๆ มันก็ทำให้เกิดอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ขึ้นมาอย่างเนียนใน ขึ้นมาอย่างสอดซ้อนขึ้นไปทุกทีๆๆ เป็นกำลังๆ

เพราะฉะนั้น เมื่อปัญญามันทำให้เราเกิดเชื่อ ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล มันทำให้เราเกิดเชื่อ ศรัทธาของเขาเกิด ไม่มีใครบังคับ คนเรา บังคับศรัทธากันไม่ได้ ศรัทธาของใครก็ศรัทธาของใคร มันเชื่อ เราเชื่อถือ แล้ว เราก็ไปทำตามอย่างเชื่อฟัง ที่อาตมาพยายามใช้ภาษาไทย ๓ ระดับ เชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น พอมันฝึกฝนอบรมกระทำไป มันก็จะเกิดผลให้เราซับซาบทั้งหมด ทั้งในผล ที่มีกระทบออก กระทบเข้า ตั้งเยอะตั้งแยะ แหม! ได้ผลที่ว่านี่ อาตมาไม่รู้จะ หยิบอะไรมา พูดประกอบ ให้เห็นได้ชัดๆว่า มันมีผลทางคนอื่นเขารู้สึกอย่างไร แล้วผลออกมานี่ มันประกอบ ไปเรื่อยๆ ลักษณะที่เกิดคุณค่า เกิดประโยชน์ เกิดลักษณะดี ลักษณะไม่ดีอะไรต่างๆพวกนี้ เกิดแล้ว ทำให้คุณ ใช้วิจารณญาณ วิเคราะห์ วิจัย มีพินิจ ตัวพินิจจากอิทธิบาท ตัววิมังสานี่ มันก็จะ วิจัยแล้วพินิจ แล้วตัดสิน วิจัยแล้วพินิจ แล้วตัดสิน วิจัยแล้วก็พินิจ แล้วก็ตัดสิน สั่งสมลง ให้เราเกิด ความเชื่อมั่น จากผลการกระทำ ไม่ใช่นั่งเดา

เพราะฉะนั้น อบรมฝึกฝนปฏิบัติไปเรื่อยๆ ตามอินทรีย์พละ ตามศีล ศีลที่เรามีแต่ระดับ อย่างที่ อธิบายไปแล้วเมื่อกี้ มันจะเกิดการสั่งสมขัดเกลา เกิดบทบาท เกิดลีลา เกิดผล สร้างผลผลิต จากการกระทำ จากการงาน แรงงาน ของเราไปทำอะไร มันก็จะเกิดสิ่งนั้นขึ้นด้วย ยิ่งมีตัวตน ของวัตถุ ของอะไรที่เป็นแรงผลิต ผลผลิตเกิดขึ้นมา มันก็จะบอกเรา รายงานแก่เรา ให้เรารับรู้ รู้สึกว่า มันดี มันเจริญ ยิ่งใครเป็นคนเฉลียวฉลาด มีการสังเกตสังกา มีการพินิจพิจารณา แล้วก็เลือกเฟ้น วิเคราะห์ วิจัยในตัวเอง แล้วก็รับรู้ แล้วก็รับ มันก็จะเกิดผลตอบ เราเองน่ะ มันจะได้คำตอบของเรา เรื่อยๆๆๆ ความเชื่อมั่นก็จะเกิด คำตอบอันนั้น ไม่ใช่คนบอก แต่คำตอบจากผลของการงาน ผลของ การอบรมฝึกฝน ผลของสิ่งที่มันเกิด เสร็จแล้ว เราก็จะเกิดความขยัน เรียกว่า วิริยินทรีย์ จะเกิดสติ สติความรู้สึกตัว ความมีสติสัมปชัญญะ ปัญญา ที่จะตามรู้ตามเห็น ตามผลงาน ตามพฤติกรรม ตามสิ่งที่เรากระทำ กาย วาจา ใจ ของเรา กระทำกับสิ่งที่มันมีพฤติกรรมร่วมไปด้วย เป็นกิจการ เป็นกิจกรรม เป็นพิธีกรรมก็ตาม ตลอดชีวิตมันมีกรรม มันมีพฤติกรรม มันมีกิริยาต่างๆ มันก็จะค่อยๆ สังเคราะห์ มันก็จะค่อยๆเลือกเฟ้น มันก็จะค่อยๆ เอามารับรู้ เมื่อรับรู้เข้าไป รับรู้เข้าไปๆ เกิดญาณ การรับรู้ จากของจริงเหล่านี้ เกิดญาณ ไม่ใช่เรารู้เพราะอ่านหนังสือ เพราะฟังจากเขาอธิบาย ความหมายเฉยๆ ไม่ใช่ เป็นการเกิดญาณ เพราะรู้ของจริงตามความเป็นจริง รู้ผลจริงที่เกิดจริง จากประสบการณ์ จากกรรม กิริยาที่เราทำเสมอ

เพราะฉะนั้น คนไหนที่เอาแต่เดินเหิน เฉยๆ เฉื่อยๆ หลบๆ นั่ง หลับๆลี้ๆ ไม่ค่อยมีกิจกรรม ไม่ค่อยมี บทปฏิบัติ ไม่ค่อยมีประสบการณ์ เหตุการณ์ อะไรที่มันเกี่ยวข้องกับมนุษย์ เกี่ยวข้องกับการสร้างสรร ในการงานที่ผลิตอะไร ต่ออะไรต่างๆนานา คนนั้นก็จะไม่ค่อยเกิดอินทรีย์พละ ฟังดีๆนะ อินทรีย์พละ จะเกิดจากกรรม การงาน ที่มีการงาน มีบทบาทลีลามาก อินทรีย์พละก็จะเกิดมาก เกิดจากสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ

คนใดที่ไม่ค่อยมีลีลาอะไร สังกัปปะก็ไม่ค่อยคิด แบบฤาษีนี่นะ ได้แต่นั่งจม หรือจะคิด ก็ตาม คิดมาก แต่ไม่มีวาจา ไม่มีการงาน ไม่มีกัมมันตะ อาชีวะ งานประจำชีวิตก็ได้แต่อยู่หลบๆ อยู่เฉยๆ เงียบๆ อยู่อย่าง ไม่มีพฤติกรรมอะไรมาก เมื่อไม่มีพฤติกรรมอะไรมาก องค์ประกอบเหล่านั้น มันก็น้อย เมื่อน้อย คุณก็ไม่มีอะไรที่จะมาให้รู้ ไม่มีอะไรที่จะมาก่อให้เกิดผล ที่คุณจะเอามาวินิจฉัย เอามาวิจัย เอามาวิเคราะห์ เอามาเปรียบเทียบ คุณก็เฉื่อย คุณก็ช้า เพราะฉะนั้น ความฉลาดก็ช้า ญาณก็ไม่เกิดดี ไม่เป็นคนขวนขวาย ไม่เป็นคนกระปรี้กระเปร่า เป็นคนช้าๆ เฉื่อยๆ เฉยๆ เงียบๆ แล้วก็รักอยู่กับเรื่องของตัวๆ สิ่งที่จะเกิดผล จากกรรมกิริยาน้อย สังกัปปะน้อย วาจาน้อย กัมมันตะ ก็น้อย อาชีวะของตน การงานประจำชีวิตของตนก็น้อย

เพราะฉะนั้น คุณค่าในการสร้างสรรก็น้อย การศึกษาที่เป็นสิกขา เป็นศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา เป็นการศึกษา ๓ ของพระพุทธเจ้าที่เป็นหลักแกน ของชีวิตก็น้อย เพราะฉะนั้น จะเป็นการงานธรรมดา เป็นกัมมันตะ เป็นอาชีวะ วาจา หรือ สังกัปปะก็ตาม ก็เจริญช้าไปหมด เจริญช้า ยกตัวอย่างให้เห็นได้ ง่ายๆ พวกปฏิบัติธรรมในสายนั่งหลับตา สายที่ออกป่าออกเขาออกถ้ำ สร้างสังคมไม่ได้ ฟังความนี้ไว้เลย ถ้าเอาไปประกาศในโลก ใครเชื่อว่าศาสนาพุทธนั้น ที่ไปนั่ง หลับหูหลับตา ออกป่าออกเขาออกถ้ำ แล้วก็นั่งสมาธิกลายเป็นผู้ที่สงบเงียบ แบบฤาษีไปอย่างนั้นนะ คนธรรมดาสามัญ เขารู้แล้วว่า มาสร้างสังคมไม่ได้ คนพวกนี้สงบ นอกจากสงบแล้ว ไม่รู้เท่าทัน สังคม จะเรียกว่าโง่ก็ได้ โง่ต่อภาวะการณ์ ของสังคมไปเรื่อย

เพราะฉะนั้น จะสร้างสังคม จะอะไรไม่รู้เท่า ไม่รู้ท้น ทำอะไรที่จะให้รู้องค์ประกอบต่างๆ แบบวิทยาศาสตร์ ที่เขารู้ว่าจะต้องอะไรขาด จะรู้จักเศรษฐศาสตร์ จะรู้ตรงวิทยาศาสตร์ ไม่รู้ทั้งนั้น มีแต่อุปาทาน ไปในเรื่องทางนามธรรมทาง ลึกลับๆๆเข้าไปเรื่อยๆๆๆ เพราะทางนามธรรม ทางจิตวิญญาณลึกลับ แล้วก็อุปาทาน ได้นานาสารพัด ง่ายดายด้วย ก็จะไปทางโน้นหมดเลย จะพูดกัน ไม่ค่อยรู้เรื่องกับ คนธรรมดาสามัญ คนในโลกนี้ ห้าพันกว่าล้านคนนี่ คนเหล่านี้ ยิ่งนับวัน จะพูดกับคน ห้าพันล้านนี่ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ของศาสนาพุทธนั้น รู้เรื่องยิ่งขึ้น จะพูดกับคนรู้เรื่อง มากขึ้น ๆ แม้แต่จะพูดกับคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็รู้เรื่องด้วย พุทธนะ พุทธจะพูด กับคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง นี่พวกเรา เอาแต่นั่งหลับหูหลับตานี่ พูดรู้เรื่องกับเขาได้ด้วย พูดกับคนในสังคม คนปกติธรรมดา ปุถุชนนี่ ก็จะพูดกันรู้เรื่องกับเขาได้ได้ด้วย ได้ทั้งสองด้าน คนของพุทธ เพราะเราศึกษาสังกัปปะ ศึกษาแนวคิด ความคิดของคน ศึกษาวาจา ฟังโวหารภาษาของมนุษย์ ศึกษาการกระทำ การคิด การพูด การกระทำ นี้คือกิริยาของมนุษย์ในโลก แล้วเกิดวัฒนธรรม ความคิด การพูด และกายกรรม การกระทำทั้งหมดนี่แหละ มันเกิดวัฒนธรรม

เมื่อเราเอง เราศึกษาทฤษฏีหลักของพระพุทธเจ้าอย่าง ถูกทางจริงๆแล้ว มันจึงจะเกิดสภาพ ของคนที่ลึกซึ้ง คนที่รู้รอบ รู้ทั้งโลก ประเภท ที่เขาอย่างที่ว่าเมื่อกี้นี่เป็นฤาษีไปเลย ออกไปหา ป่า เขาถ้ำ หรือเข้าไปหา วิทยาศาสตร์ เข้าไปหาสังคมสมัยใหม่ ก็รู้เรื่องกับเขาหมด รู้เรื่อง ไม่ได้ปิดหู ปิดตา ยิ่งปฏิบัติถูกทางแล้ว จะเกิดโลกุตรจิต โลกุตรจิตนั้นคือ จิตที่อยู่เหนือบทบาท วัฒนธรรมนั่นแหละของสังคม เพราะฉะนั้น คนที่บรรลุธรรมนั้น ได้ฝึกฝนกับวัฒนธรรมของสังคม ในระดับไหนก็แล้วแต่ ก็จะอยู่เหนือ วัฒนธรรมของสังคมระดับนั้น สูงขึ้นไปเรื่อยๆ เช่น วัฒนธรรม อย่างตะวันตก ถ้าเราได้ศึกษา แล้วก็ได้อบรมฝึกฝนเข้าไปเรื่อยๆ เราก็จะอยู่เหนือวัฒนธรรมตะวันตก ทุกวันนี้ เราศึกษา อยู่ในวัฒนธรรมของไทย โดยเฉพาะอยู่ในเมือง อยู่ในกรุงเทพฯ วัฒนธรรมตะวันตก หรือวัฒนธรรมอะไร ที่เข้ามาปนอยู่ในกรุงเทพฯเยอะ เราก็สามารถมีพละอินทรีย์ อยู่เหนือวัฒนธรรม เหล่านั้นได้ ก็เป็นภูมิคุ้มกันเป็นฐาน

ทีนี้ เราจะไปอยู่ในวัฒนธรรมที่เป็นตะวันตกจัดจ้านกว่านั้น เมื่อเรามีฐานอันนี้แข็งแรง อยู่เหนืออันนี้ได้ เราก็จะไปอยู่ในวัฒนธรรมตะวันตกอย่าจัดจ้าน ได้ง่ายดายกว่า ถ้าจะให้คนชนบท ที่ไม่ได้ต่อสู้กับวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งค่อยๆเป็นกระแสเข้ามาอย่างไม่เต็มที่ แล้วเราก็ได้เรียนรู้ ได้อยู่เหนือมัน ไปตามลำดับๆๆๆๆ อย่างคนตะวันตก หรือคนอยู่บ้านนอกอย่างนี้ จะให้จากบ้านนอก แล้วไปพบ กับวัฒนธรรมทางตะวันตกทันทีนะ จิตที่ว่าจะอยู่เหนือโลกุตรจิตทันที ยังไม่ได้เหมือนกัน ยิ่งไปเอาพวก หลับหูหลับตานั้นน่ะ เสร็จเลย รับรองวิ่งจู๊ด หนีกลับมาเลย ไม่รู้เรื่อง แล้วก็นอกจาก ไม่รู้เรื่องแล้ว จะผลักไสเอาด้วย ไม่เอา รับไม่ได้ นอกจากรับไม่ได้แล้ว ก็ทนไม่ได้ด้วย

แต่ของพุทธนั้น จะรับหรือไม่รับ มันเรื่องของเรา เราจะรับก็รู้จักแบ่งรับ รับที่อาศัย พออาศัยได้ หรือบางทีมันรับ เพราะกิเลสของเราด้วย เรามีกิเลส เราก็เลยรับบ้าง ไอ้นั่นก็กิเลสละ กิเลสก็ได้อาหารละ ตามแต่เถอะ คุณเอากิเลสไปรับ มันก็เป็นอาหารน่ะ แต่เรารับมาอาศัย ไม่ได้เป็นกิเลส เหมือนกับ เรากินอาหาร กินข้าว กินกับนี่ เราเอาธาตุแต่ในอาหารที่เขาปรุง สมมุติว่า เป็นอาหารของระดับ อาหารปรุงอร่อยๆ ของคนเมืองในกรุง ปรุงอย่างเอร็ดอร่อยอะไรขึ้นมาแล้ว แล้วเราก็รับอร่อย ถ้าคุณยังมีกิเลสอยู่ คุณก็เติมกิเลสใส่เข้าไป จากที่คุณเอง คุณยังติดยังชอบ แต่ถ้าคุณมีโลกุตรจิต คุณก็เอาธาตุ จากสิ่งที่เขาปรุงแต่งอร่อยนั่นน่ะ เอาธาตุตัวอร่อยนั้น คุณมีโลกุตรจิตแล้ว คุณอยู่เหนือมัน คุณไม่ติดยึดจริงๆ คุณก็กินเข้าไปซิ อาหารอย่างนั้นน่ะ อร่อยตัวนั้น มันก็ไม่ ได้ไปเป็นพิษอะไรกับเรา กิเลสเราก็ไม่ได้ฟูอะไร เพราะว่า เราอยู่เหนือมันจริงๆ โลกุตรจิตมีจริงๆ อาหารชนิดนั้นมา เรามีอินทรีย์พละเหนือกว่า เราก็กินเอาอาหาร คุณจะปรุงแต่ง โลกียะใส่เข้ามา ฉ่ำเยิ้มมาขนาดไหน เรามีโลกุตรจิตจริง จะพรั่งพร้อมไปด้วยเบญจกามคุณ ขนาดไหน เราก็ไม่มี เมถุนสังโยคกับมันเลย ในอาหารนั้น เราก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไร อยู่เหนือมัน จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะไหน ไม่ได้หลงติด ไม่ได้หลงรับ อยู่เหนือ

เมื่อเราอยู่เหนือ เราก็จะช่วยคนที่เขาหลงใหลในสิ่งที่จัดจ้าน โลกียะจัดจ้านอย่างนี้ได้ เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของโลกุตรบุคคล จึงจะเป็นประโยชน์ได้ทุกด้าน คนที่จะไปในทางภพ อย่างพวกฤาษี หลับตา เราก็รู้เท่าทัน ในสิ่งเหล่านั้น ก็ไปช่วยเขา คนที่จะอยู่ในกามอย่างโลกๆ คนในเมืองนี่ กามภพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญเยอะ ถ้าอยู่พวกฤาษี พวกชนบท พวกไม่ค่อยมีพวกนี้ เขาก็อยู่ในภพทางจิต ภวตัณหา ไม่ใช่กามตัณหา เขาเยอะ ศาสนาพุทธ ก็รู้จักภวตัณหา แล้วก็ช่วย คนเหล่านั้น ออกมาได้ ช่วยออกมาได้ แล้วก็ออกมาทำประโยชน์คุณค่าได้ แต่พวกภวตัณหานี่ มันรู้ยากกว่า กามตัณหา รู้ยากกว่า เพราะมันเป็นนามธรรมเยอะ ภวตัณหานี่

เพราะฉะนั้น สอนพวกนี้ยากกว่า สอนให้รู้เท่าทันนี่ยาก แล้วคนพวกนี้ ก็ออกจากภพได้ยากกว่าด้วย ออกจากกามง่ายกว่า แล้วเป็นเบื้องต้นก่อนภวด้วย ภวตัณหามันเป็นฐานสอง กามตัณหาเป็น ฐานต้น ที่อาตมาอธิบายไป ก็จะเห็นในวิชาการ หรือว่าหลักการของพระพุทธเจ้าว่า เราปฏิบัติ ประพฤติแล้วนี่ว่าเปลี่ยนแปลงชีวิต เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม เปลี่ยนแปลงกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เปลี่ยนแปลงโดยจิต จิตที่มันเห็นเปลี่ยนไปเลย เห็นเปลี่ยนกัน เปลี่ยนแล้วก็เป็นสุข ไม่ได้เป็นทุกข์เป็นร้อน ไม่ได้ไปไม่รู้ รู้ รู้เท่าทัน เข้าใจ ไม่เป็นทาส ไม่หลงผิด ไม่เมา ไม่สับสน

เพราะฉะนั้น จึงเป็นประโยชน์แก่ตน และเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ไม่เป็นทาสนี่ ก็เป็นประโยชน์ มากแล้ว ตนเองไม่ต้องไปเสียแรงงาน ไม่เสียเวลา ไม่ต้องไปเสียทุนรอน ไม่ต้องไปบำเรอตน ในสิ่งนั้นเลย สันโดษ เป็นผู้ที่พอแล้ว เข้าใจแล้ว ชีวิตยิ่งเต็ม กินอาหารอย่างนี้ ก็ได้ธาตุ มารักษา เลี้ยงร่างกาย สังเคราะห์ ร่างกายไว้เต็ม นุ่งห่มอย่างนี้ก็พอ ได้ประโยชน์ดีแล้ว ถ้าอะไรมันดีกว่านี้ หน่อย ถ้ามันสมควรตามผู้อื่น ถ้าอาตมาไม่อยู่กับสังคมคนที่มีอุปาทาน หรือคนที่ติดยึดสมมุติ อาตมาไม่ต้อง มาแต่งผ้าชุดอย่างนี้ๆ ยังไงก็ได้ มีอะไรก็ใส่ไป มีอะไรก็ใช้ไปได้ แต่คนมันมีอุปาทาน มันมีสมมุติ

เพราะฉะนั้น เรามาสมมุติว่าอย่างนี้นะเป็นนักบวช อย่างนี้นะเป็นฐานะสมณะ ก็จึงจะต้องมามีชุด มามีแบบ ตามสมมุติ เพื่อผู้ที่ยังยึดสมมุตินั่นแหละ ไม่ใช่เพื่อเรา ทำเพื่อยึดสมมุตินั่นแหละ ในที่นี้ เราสมมุติไหนที่รู้กันมาก แล้วก็ถือกันว่าอันนี้ มีค่ากว่าอันนี้ ถ้าเผื่อว่าเราจำเป็น หรือว่าเราทำแล้ว มันก็ไม่มีปัญหาอะไร เราก็ทำ แต่ถ้าเมื่อว่ามันจำเป็นว่า มันทำไม่ได้ มันก็ไม่มีปัญหา อีกนั่นแหละ อย่างที่มันค่อยๆปรับแปรไปนี่ พวกเรานี่ หลายผู้หลายคน แต่ก่อนนี้ก็ยึดสมมุติว่า จะต้องใส่ จะต้องนุ่งห่มจีวรสีกรัก พอเขามาบังคับให้เปลี่ยน แหม ! มันโกรธ มันแค้น มันเจ็บ เพราะติดสมมุติ หลายคนก็แทบไม่อยากเปลี่ยนเลยแหละ จะบู๊เลย แต่สุดท้าย พอเวลาจำนนเข้า มันก็ค่อยๆ เอ้า! ยอม ยอมนะ ทั้งๆที่ใจยังไม่ยอม ยอมๆๆ เสร็จแล้ว ก็มีประสบการณ์ มาเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆ เอ๊! มันก็ไม่เท่าไหร่นะ เปลี่ยนมาจนกระทั่ง อย่าว่าแต่เปลี่ยน มาจากชุดนั้น มาใช้สีกรัก จนกระทั่ง เอากรักเอาขาวมาห่ม เอ๊! ถ้าพรวดเดียวมาห่มขาว คงจะชัก น่ะนะตอนนั้น พรวดเดียวมาใช้ ผ้าขาวคลุมนี่ คงชักกันแน่เลย นี่ค่อยๆเป็นขั้น เป็นตอนมา จนกระทั่ง มาเป็นอย่างนี้ ทุกวันนี้ มันก็ไม่เท่าไหร่ มันไม่แปลกอะไรละ

สิ่งเหล่านี้ พูดไป พูดไป เหมือนเรื่องละเอียด เหมือนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่จริงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องนี่กำลังดำเนินไป แล้วกำลังเป็นจริงเป็นจังไปเรื่อยๆ แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปีนี่ เป็นจริง เป็นจังไปเรื่อยๆ เรามานี่ มาเพื่อที่จะขึ้นศาลเท่านั้นนะ แล้วไม่มีละ วัฒนธรรมขึ้นศาลนี่ จะต้องมีคนมาเป็นหมู่ เป็นกลุ่ม ลงทุนกันมานี่เป็นหมื่นๆ เราจ่ายเงินกันเป็นหมื่นๆ เลยนี่ มาขึ้น ศาลที่นี่ แป๊ปเดียว ประเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว ไม่กี่ชั่วโมงหรอก เสร็จ เสร็จแล้วก็ต้อง เดินทางกลับถิ่น แต่ละคนก็มา จ่ายเงิน จ่ายทอง จ่ายเวลา จ่ายแรงงาน แล้วมันเกิดอะไรขึ้น มันก็เกิดอันนี้แหละขึ้น เกิดมันมีไอ้นี่ ไม่รู้จะพูดยังไง ก็พูดแต่ต้นแล้ว มันก็จะเกิดสภาวะอย่างนี้ๆ เหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น คนก็ได้รับสัมผัส ถ้ายิ่งหนังสือพิมพ์มาทำข่าว ยิ่งดีใหญ่เลย กระจายไปทั่ว แต่เราก็ไม่รู้ได้ยังไง เราก็แค่นี้ก็แค่นี้น่ะ เป็นข่าวแค่นี้ก็ได้แค่นี้ กระจายแค่นี้ก็แค่นี้ คนก็ได้รับสัมผัส ได้รับรู้ไป เกิดอะไร ต่ออะไรขึ้นมา ยิ่งเป็นรูปแบบ เป็นกลุ่มหมู่ที่มีรูปแบบ มีพฤติกรรม ที่มันสอดคล้อง ที่มันเนียน มันอะไร มันมีน้ำหนักเยอะ

อย่างบุรีรัมย์ คนที่ในวิทยาลัยครู เขาไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่หรอก เขาไม่ได้คิดว่า มีคุณค่าอะไร เท่าไหร่หรอก แต่พอเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ในวิทยาลัยครู ได้อะไรขึ้นมานี่ คนที่เขารับสัมผัส เพราะเขาอยู่ที่นั่น ไปถึงศาล ศาลก็ได้รับสัมผัส ชาวบ้าน ชาวตลาด ก็ได้รับสัมผัส แม้จะเกิดบทบาท แม้จะเกิดผลกระทบ เกิดกระแสที่อะไรเกิดขึ้น ในสังคม มีบทบาทแค่นั้น เหมือนอะไรขยับตัว เหมือนแผ่นดินไหว เหมือนลมสลาตันก่อรูป ก่อนิดหนึ่ง เหมือนน้ำ ก่อคลื่นก่อนิดหนึ่ง ก็ช่างมันเถอะ มันก็เป็นคลื่นลูกน้อยๆ มันก็เป็นแผ่นดินไหวนิดๆ มันก็เป็นสลาตันจ้อยๆ แต่ก็มีผลเคลื่อน มีผลต่อสิ่งแวดล้อม มีผลต่ออะไรที่ในโลก เกิดมีผล มันจะมีผลสูง ก็ต่อเมื่อเนื้อสลาตัน เป็นแรงของสลาตันไหม คลื่นเป็นลูกของคลื่นที่มีรูปร่าง ในตัวของมันเอง แผ่นดินจะไหว การจะไหว การจะเคลื่อน บทบาทความแรง ความระเบิด อะไรก็แล้วแต่เถอะ มันมีขนาดไหนในเนื้อมัน พวกเรา กลุ่มหมู่ของพวกเรา มีทั้งกิริยากาย วาจา ใจ ที่เป็นวัฒนธรรม วัฒนธรรมอันนี้แหละ มันมีเนื้อใน ที่แน่นเนียน มีฤทธิ์ มีแรง มีคุณภาพ มีคุณสมบัติ ขนาดไหน ถ้ามีคุณสมบัติ มีคุณภาพจริงๆ มันก็จะปรากฏตัว หรือแสดงตัว ตามกาลเวลา ที่มันจะเป็นไป เกิดอยู่ในโลก เกิดอยู่ในโลก อยู่ในเมืองไทย ก็เกิดอยู่ในเมืองไทย แล้วมันก็จะเกิด ตามครรลองของมัน เหมือนเวลานี้ ดาวหาง ก็โคจรไปถึงตรงนี้ จุดนี้จุดนี้ ก็ไปมีฤทธิ์เดชกับจุดนี้ เขาว่าดาวหาง มาผ่านตรงๆนี้ จะเกิดไอ้โน่นไอ้นี่ อะไรต่ออะไร แม้แต่หมอดู แม้แต่โหราศาสตร์ แม้แต่ทาง วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ จะเกิดโน่นนี่ เอาไปคำนวณกันหัวปวด หัวบวมไปเลย เราก็เช่นเดียวกัน เหมือนดาวหางดวงหนึ่ง ถ้าเขาละเอียด ลออ เขาก็จะต้องเอาไปคำนวณเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้คำนวณกันหรอก แต่อะไรเกิด เกิดนะ ประสบการณ์เกิด อะไรๆ อะไรนะ เขาไม่ได้ คำนวณหรอก

เพราะฉะนั้น พวกนี้ไม่รู้ว่าอะไรเกิด เพราะมันใหม่ มันยังไม่มีอยู่ในตำรานะ ไม่มีอยู่ในตำรา เพราะฉะนั้น เขาคำนวณไม่ถูกหรอก แต่มันเกิด ถ้ามันมีผล ผลอันนี้มันก็จะเกิดก่อตัวไป เรื่อยๆๆๆ นานไป พอนานไปก็เกิดผลจริงขึ้นมา สิ่งจริงอันนั้น เป็นความดีหรือความไม่ดี เป็นสิ่งดี หรือไม่ได้ ในวัฒนธรรมมนุษย์ ในความเป็นมนุษย์ ความเป็นสังคมดีหรือไม่ดีล่ะ เราแน่ใจว่า เราทำสิ่งที่ดี ดีมันก็เกิดไปเรื่อยๆๆๆ เป็นผลต่อสังคมไปเอง และยิ่งเขาไม่รู้ตัว เขาคำนวณไม่ถูก เอาไประมัดระวัง ป้องกันแก้ไขไม่ได้ อันนี้มันก็ยิ่งสะดวก มันยิ่งจะเดินบทของมัน อาตมาบอกให้พวกคุณ เห็นความสำคัญ แต่คนอื่นเขาไม่เห็นความสำคัญหรอก เขาไม่เห็นความสำคัญ เพราะฉะนั้น เขาเอาไปคำนวณไม่ถูก นี่ อาตมาพูดได้น่ะ อาตมาพูดได้ และ อาตมาไม่กลัวเขาเห็นความสำคัญ ด้วย อาตมาไม่กลัวเขาจะหยิบจับอันนี้เข้าไป ไปคำนวณอะไรออกด้วย เหมือนดาวหางมา นักดาราศาสตร์ ก็เอาไปคำนวณ โหราศาสตร์ก็เอาไปคำนวณ อย่างนี้เป็นต้น นี่ เราดาวหาง เดินทางมานี่ โหราศาสตร์ก็มืดหน้า เอ๊ ! มันดาวหางเหรอ ไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่ดาวหางหรอก เขาดูไม่ออกหรอกว่า เป็นดาวหาง แต่ดาวหางนี่ โคจรมาแล้ว เขาดูไม่ออกหรอก เพราะฉะนั้น เขาก็ไม่คำนวณ ไม่ระวัง

ทีนี้ ผลของดาวหางมาตรงไหน แล้วมันเกิดผลอะไรไหม กระทบอะไรไหม ในหลักของโหราศาสตร์ ก็ตาม ในหลักของดาราศาสตร์ก็ตาม มีผลกระทบเกิดจริงๆด้วย เมื่อเขาไม่คำนวณ เขาก็ไม่รู้เรื่อง เมื่อเขาไม่รู้เรื่อง ผลเกิดมันก็ง่าย ผลเกิดมันก็ไม่มีอะไรมาป้องกัน ไม่มีอะไรมาต้าน ไม่มีอะไร มาระแวง มาระวัง ผลก็ไปเต็มที่ นี่ ขณะนี้ เราบทบาทลีลานี้ มันเกิดอย่างผลของมัน ยังไม่เต็มที่ เขาไม่ค่อยรู้ตัวหรอก ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เพราะฉะนั้น ผลมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ

อาตมาพูดอย่างนี้ หลายคนอาจจะงงๆ พูดอะไรนี่ ไม่เห็นเข้าใจเลย อาตมาอาจจะอยู่ในภพ

อ่านต่อ หน้าถัดไป

FILE:1463A