ราคาบาป ราคาบุญ
โดย พ่อท่านโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๔
ณ พุทธสถาน สันติอโศก

วันนี้มีพวกญาติโยมเพื่อนที่เขาเกิดมีการตายกันขึ้นน่ะ ก็เลยอยากจะมาฟังธรรมที่นี่ ก็เลยให้อาตมา เทศน์เรื่อง การเกิดการตาย ให้ฟังเป็นสัมมาทิฏฐิกันบ้าง อาตมาก็รับปาก ก็จะเทศน์เรื่องนี้ สู่กันฟัง ผู้ใด เคยฟังมาแล้วก็ฟังซ้ำ ซึ่งอาตมาจะพยายามที่จะอธิบายเจาะลึก ให้เห็นถึงการเกิด การตาย จริงๆ ของมนุษย์ ให้ฟังกันพอสมควรนะ

เรื่องชีวิตของคนนี่นะ เกิดมาด้วยกรรม เกิดมาด้วยอวิชชา อวิชชานี่หมายความว่า มันยังไม่ตรัสรู้ สมบูรณ์ จนเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว เรายังเหลืออวิชชา เรายังเหลือส่วนที่ยังไม่รู้ ไม่รู้ว่าเราจะปลดปล่อยตัว ที่มันเป็นอำนาจ ที่ทำให้เรา ตกอยู่ใต้อำนาจนั้น ได้อย่างไร เราไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน มันก็ทำให้เราวนเวียน ยังเกิด เป็นสังสารวัฏอยู่ วนเวียนเกิด ในชีวิตที่เกิดจากท้องพ่อท้องแม่นี่ คลอดแล้วก็ออกมา เกิดอีกนั่นแหละ วนเวียนเกิดแล้ว เกิดเล่า นานับชาติ เกิดมานับชาติ คนเราเกิดมาป็นคน ที่มามานั่งฟังธรรมะอาตมาได้นี่ ถือว่า เป็นคน ที่มีบุญ เป็นคนที่ได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า มีบารมีพอสมควร ถ้าไม่อย่างนั้น ฟังไม่รู้เรื่องหรอก มันไม่สนุกครึกครื้น มันไม่เหมือนโลกียะ ที่ประเล้าประโลม เอาลาภ เอายศ เอาสรรเสริญ เอาโลกียสุข อะไรมาล่อ มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก มันยาก

เพราะฉะนั้น คนที่มาฟังได้ แล้วก็ซาบซึ้งประทับใจ แล้วฟังเข้าใจ ฟังแล้วเห็นจริง เกิดสัจจะ นั่นคือ ผู้ที่มีภูมิธรรม มีปัญญาพอจะฟังรู้เรื่อง และนอกจากรู้เรื่องแล้ว มีศรัทธา มีปัญญา มีศรัทธินทรีย์ มีปัญญินทรีย์ ที่จะรับแล้วซาบซึ้งประทับใจ เห็นจริง จนกระทั่ง เราจะไปประพฤติ ปฏิบัติตาม นั่นแหละ บางคนถึงขั้นไปประพฤติปฏิบัติตาม ปฏิบัติตามแล้ว แม้กิเลสเราจะมาก เราก็พยายาม อดทนสู้ฝืน ต้องตั้งตนอยู่ในความลำบาก การละกิเลส มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา มันไม่ใช่เรื่องทำเล่นๆ ต้องเอาจริงเอาจัง มีความเพียร ถึงจะได้

เพราะฉะนั้น คนกว่าจะได้มาฟังธรรมอย่างนี้ แล้วมารู้จักธรรมะของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นการทวน กระแส โอ๋ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆหรอก เรื่องช้านาน เรื่องใช้เวลา ไม่ใช่ธรรมดา คนเราเกิดมาไม่รู้กี่ชาติ ต่อกี่ชาติ นับไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ ให้เราระลึกดู นี่อาตมาพูดซ้ำซาก ถ้าเอากระดูก ของแต่ละคน เกิดแต่ละชาติ แต่ละชาติๆ ของคนใดคนหนึ่ง เอากระดูกมากองๆๆๆๆๆไว้ ของใครก็ของใครก็แล้วแต่ แต่ละคน ก็จะมีกองกระดูก โตสูงใหญ่เท่าภูเขาเวปุลลบรรพต คือ ภูเขาไม่ใช่สมัยนี้แล้ว สมัยไหนก็ไม่รู้ พูดต่อกันมา พระพุทธเจ้าไม่รู้กี่พระองค์ ภูเขาเวปุลลบรรพต มันใหญ่กว่าภูเขาสมัยนี้ด้วย ภูเขานี้มันใหญ่กว่าหิมาลัยอีก เวปุลลบรรพตนี่ใหญ่ กระดูกของแต่ละคน จะกองประมาณ อย่างนั้น หรือน้ำตาของแต่ละคนนี่ น้ำตาของแต่ละคน มากกว่า สี่มหาสมุทร นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสน่ะ ไม่ใช่อาตมาพูดเอาเอง ตรัสไว้ในพระไตรปิฎก ชัดเจนเลย คนเราเกิดมา เวียนตายเวียนเกิด มันมีชาติกันมากมายถึงขนาดนั้น ความทุกข์ ทำให้ร้องไห้

นี่ละ ลักษณะของคน คือเวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้ ศาสนาพุทธเรา ลึกซึ้งซับซ้อน แล้วศึกษา พระพุทธเจ้า กว่าจะได้รู้แจ้งอย่างนี้ ไม่รู้เกิดกี่ชาติ บำเพ็ญบารมี ตั้งเท่าไหร่

อาตมาก็มารู้ตาม อาตมาก็เวียนตายเวียนเกิด แล้วก็ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า มาจน ที่เอามาพูด กับคุณฟังนี่ อาตมาไม่พยายามเอาสิ่งที่ลึกลับ ฟังไม่ออก ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง รู้เรื่องอยู่แต่ อาตมาคนเดียว พวกคุณไม่มีญาณ ไม่มีอะไรไปรู้ด้วย อาตมาไม่พยายามเอาอย่างนั้นมาพูด พยายามเอาสิ่งที่มาพูดกับ พวกคุณแล้ว คุณก็จับติด พวกคุณก็เอาไปพิสูจน์เองได้ ยืนยัน สิ่งแวดล้อม นี่ยังพอมี พอรู้ พอเห็น พอพูดกันรู้เรื่อง เอาอย่างนี้ พยายามเอาอย่างนี้มาพูด ไม่เช่นนั้น มันกลายเป็นเหมือนไอ้ประเภทที่เอามาพูดแล้ว เหมือนลวงๆ เหมือนหลอกๆ ตีกิน อะไรอย่างนี้ อาตมาก็ถือว่า อาตมาไม่เก่ง ประเภทอย่างนี้ เหมือนอย่างกับมาหลอก มาลวงมนุษย์ ไม่เข้าท่า ต้องเอาสิ่งที่พิสูจน์กันได้เลย ยืนยันกันได้เลยว่า เป็นอย่างนี้ๆ

อย่างอาตมา เอาตัวมาพิสูจน์ ก็เอาตัวเองมาบอกกับพวกคุณว่า อาตมาเกิดมาชาตินี้ ไม่ได้เรียนธรรมะมา ไม่ได้เรียนจากสำนักไหนเลย ธรรมะนี่ แล้วอาตมามาเทศน์ธรรมะ ทุกวันนี้ อาตมาขอยืนยันว่า เป็นธรรมะ ซึ่งเป็นการขัดเกลา เป็นไปเพื่อการลดละกิเลสโลภ โกรธ หลง ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นหลักอย่างนี้ ใครๆก็รู้ และอาตมาเอาทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ที่อาตมา ยืนยันว่า ของพระพุทธเจ้า เอามาให้พวกคุณพิสูจน์ หรืออาตมาพิสูจน์ของอาตมาเอง คุณคบคุ้น อาตมาดูว่า อาตมาเอง อาตมาก็เหมือนคนโลกๆ แต่ยังไม่ได้ไปปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้า ก็เหมือนกับคนโลกๆ มีอบายมุข มีกาม มีอะไรต่ออะไร ที่โลกมันหลอกเรา มันเหมือนกับ ชาตินี้ เกิดมา ก็ถูกโลกอาบพอกเอาไว้แล้ว แม้อาตมาจะมี แกนของอาตมาลึกๆ มันก็ยังไม่ทำงาน มันเหมือนกับเด็ก เด็กเกิดมานี่ ฮอร์โมนยังไม่มีต่อมปมอะไร ก็ยังไม่เกิด มันก็หมักตัว อยู่อย่างนั้นก่อน จนกว่ามันจะโตมีฮอร์โมน มีต่อมมีปมขึ้นมา ทีนี้ละ กิเลสบานเบิก เห็นละทีนี้ ไอ้ตอนแรก มันก็ยังไม่ออก คล้ายๆกันน่ะ

อาตมานี่เกิดมา มันมีแกนข้างใน มันกลับกันหน่อยหนึ่ง ของคนที่มีต่อม มีปม มีฮอร์โมนอะไรเกิดนี่ มันต้องรอเวลาที่กิเลสจะเกิด แต่ของอาตมา พอเกิดมา กิเลสมันเกิดก่อน มันครอบงำเรา ตัวจริงของอาตมานี่ คือตัวจิตแท้ ที่ลึกๆ ยังไม่โตพอที่จะมีความแข็งแรง ก็เลยถูกโลกครอบงำ โลกีย์ครอบงำ โลกียสุขลาภ ยศ สรรเสริญอะไรต่างๆนานา มันก็ครอบงำก่อน เราก็นึกว่า เราเป็นคน โลกๆ เหมือนลิงลมอมข้าวพอง เหมือนเขาทำให้เราเมาไปชั่วคราวหรอก เราก็เมา ไปกับเขา พอเราชักตื่นๆ ของเราเอง ไม่มีใครมาทำให้ อาตมาตื่นนะ อาตมาบอกแล้วว่า อาตมาไม่เคย ไปเรียนธรรมะ ไม่มีใครมาปลุก ไม่มีใครมาเบิกเนตรอาตมาหรอก ของอาตมาเอง พอโตขึ้นมา คล้ายๆ กับต่อมฮอร์โมน หรืออะไรต่ออะไรของธรรมะ มันกลับกัน ฟังดีๆนะ อันนี้มันกลับกัน ทางโลกกับทางธรรม อาตมาเปรียบเทียบนี่ มากลับกัน พอต่อมพอปม พออะไร ของอาตมาโตขึ้นมา มันก็มีฤทธิ์ ไอ้นี่มันฤทธิ์ธรรมะ ไอ้ที่อาตมาสมมุติก่อน ปมของฮอร์โมน ของอะไรของอาตมา มันฤทธิ์ของโลกีย์ มันกลับกัน พอต่อมา ปมธรรมะของอาตมาโตขึ้น มันก็รู้ตัว มันชัก เอ๊ะ เรารู้ว่า เราเป็นใคร เราเป็นยังไง ก็เลยมาทางนี้ มาทางนี้ปั๊บ ก็ไม่ยากนัก เพราะอาตมา มีทุนเดิม

นี่ อาตมาเอาอันนี้มาพิสูจน์กับพวกเราอยู่ว่า อาตมานี่ มีกรรมเก่าอยู่ วิบากเก่า มีกุศลเก่า มีบารมีเก่า เพราะชาตินี้ อาตมาไม่ได้ศึกษา อาตมาไม่บอกคุณว่าชาติก่อนๆ อาตมาศึกษามายังไง เพราะไอ้พวกนั้น พวกคุณไม่รู้ พูดแล้ว คุณก็จับไม่ติด แต่อาตมาเอาอันนี้ หยิบอันนี้ มาพิสูจน์ กับพวกคุณ ว่านี่แหละ เป็ เรื่องที่พิสูจน์ตามนี้น่ะ ปัจจุบันนี้อาตมาไม่ได้เรียน แล้วเอาอะไรมามี อยู่ดีๆ ไม่ได้เรียน มันเอาอะไรมามี ถ้ามันไม่มีมาเก่าน่ะใช่ไหม อาตมาไม่ได้เรียนธรรมะ นักธรรมตรี ก็ไม่ได้เรียน ไม่เคยไปบวชไปเรียน ไปบวชเป็นเณร อาตมาเคยบวชเณร ตั้งแต่เด็กๆ บวชวัดสุปัตย์น่ะ ซนอย่างกับอะไรดี จนกระทั่งบวชกับเจ้าคุณ เจ้าคุณก็มอบให้มหาองค์หนึ่งดูแล อาตมาก็ไปนอน อยู่กุฏิมหา พออยู่กับมหา ไม่กี่วัน มหาก็ไปบอกกับเจ้าคุณบอกว่า ไม่ไหว เด็กคนนี้ขอส่งคืนเจ้าคุณ อาตมาก็ เลยต้องไปนอนหน้ากุฏิ หน้าห้องเจ้าคุณ เพราะว่าเจ้าคุณบอกว่า ถ้าอย่างนั้นมากุฏิฉัน มานอนหน้าห้อง ต้องไปอยู่กับเจ้าคุณ เพราะมันซน มันไม่ไหว เป็นกรดเลย ว่าอย่างนั้น เอาไปไว้โน่น อาตมาก็เลยอย่างนี้ แล้วก็ไม่ได้เรื่องอะไร อาตมาไปเก่งชงน้ำอัชบาน เราก็เป็นไอ้นั่นใหญ่เลยเอาล่ะ มาถึงเวลาเย็น มาชงน้ำอัชบาน มะนาวมีเท่าไหร่ พริกขี้หนูเอามาหั่น ไอ้โน่น ไอ้นี่เอาล่ะ ใครเคยกิน น้ำอัชบานก็รู้น้ำอัชบาน เอาน้ำตาลมาใส่ เอาอะไรมาใส่ มะนาวกับน้ำตาลเป็นพื้น ชงกันออกมา ใส่โน่นใส่นี่ ปรุงขึ้นมา ซดกันทั้งวัด พระเจ้าซดน้ำอัชบาล ก็เป็นเจ้ามือแบบนั้น เป็นคนทำ ไม่ใช่เจ้ามือหรอก มีญาติโยมเขาเอามาให้ เราก็เป็นคนปรุง เป็นคนทำ เป็นตัวไอ้นั่นใหญ่ ซนอย่างนั้น ก็ค่อยยังชั่ว แล้ว ไม่กี่วันก็สึกเณร ไม่รู้เรื่องหรอกธรรมะ คุณลุงจับไปอยู่วัด เอาละ ไม่ต้องบอกว่า วัดไหน จับเข้าวัด ตอนนั้นเราเรียนอยู่แล้ว แม่ก็เสียไปแล้ว แม่ก็ป่วยหนัก จนกระทั่ง หมดทุนรอน ส่งเสียอะไรไม่ไหว อาตมาก็เซซัง คุณลุงก็จับเข้าไปอยู่วัด ไปอยู่กับอาจารย์ วัดที่คุณลุงเอง ก็เคยอยู่วัดนั้น ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่กรุงเทพฯ เอาไปฝากเจ้าคุณไว้เหมือนกัน เสร็จแล้ว อาตมา โอ้โฮ อยู่ไม่ได้ เจ้าคุณลำเอียง ก่อนออกก็ไม่ต้องบอกลาหรอก ไปน่ะโว้ย มาจากวัดเลย ไม่ลา มันไม่ไหวอยู่ไม่ไหว ลำเอียงไม่ได้สนใจธรรมะ ไปก็ไปอาศัยอยู่ เพื่อไปเรียนหนังสือ

เพราะฉะนั้น อาตมาไม่ได้อะไรจากวัด ไม่ได้อะไรจากศาสนา นอกจากไม่ได้แล้ว ยังมีแง่ลบ มาด้วยนะ บอกว่า โอ้ ไม่เข้าเรื่องหรอก พระเจ้าวัดวานี่ ไม่ได้เป็นท่าอะไรเลย ไม่ได้ศรัทธา เลื่อมใสด้วย แต่สุดท้าย พออาตมาโตอย่างที่ว่านี่ บารมีเก่า พอโตพอตื่นขึ้นมาแล้วก็รู้ เอ้อ เราต้องไปอย่างนี้ มันก็เป็นทางของมันมา อาตมาเล่าไม่หมดหรอก ถ้าเล่าแล้ว โอ้ย นิยาย อาตมามันเรื่องยาวเหมือนกันน่ะ จนกระทั่งมาปฏิบัติธรรมจริงๆจังๆ ก็ปฏิบัติเอง ไม่ได้ไปสำนักโน้น สำนักนี้ ไปเหมือนกัน ไปดู ไปดูเขาทำก็ โอ้ ไม่น่าเลื่อมใส ไปดูสำนักนั้น สำนักนี้ ก็ไม่น่าเลื่อมใส ไปเสียเงินเสียทองมา หลายสตางค์เหมือนกันนะ ทำบุญ ไม่ใช่อะไร ไปดูของเขาแล้ว เราไม่ทำบุญเขา ก็ไม่ได้ เพราะส่วนมาก ที่ของเขานี่ส่วนมาก เขามีตู้ใส่บริจาค มีโน่น มีนี่ใช่ไหมล่ะ ไอ้เราไปแล้ว มันไม่ไอ้นั่น ประเดี๋ยวก็ออกมายาก ใช่ไหม ก็รู้ๆอยู่แล้ว เราออกมา มันก็ไม่สวย ออกมา ก็ต้องทำบุญ ตอนนั้นอาตมากำลังมีฐานะ มีเงินมีทอง ทำบุญได้ ไปที่โน่นที่นี่ ต้องใส่ให้เขาหน่อย แล้วค่อนข้างจะเอาหน้าด้วยเหมือนกันนะ ให้เขาพอสมควร เขาทำบุญกันที ๑๐ บาท อาตมาก็ทำ ๑๐๐ นะ แบงค์๑๐ ไม่มี มีแต่แบงค์ ๑๐๐ ทำร้อยเหมือนกัน ไม่ใช่เล่นๆ มันหน้าใหญ่ใจโต ไปที่ไหน ไปดูเขา ไปนั่งหลับตา ไปทำพิธีนั้น ยกไม้ยกมือ ไปโน่นไปนี่ เราก็บอกไอ้นี่ มันไม่เข้าท่า เราก็ปฏิบัติเอง จึงเป็นเรื่องของอาตมาเอง

เพราะฉะนั้น อาตมานี่รู้จักหลักมรรคองค์ ๘ เอง ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา แบบหลักมรรคองค์ ๘ เอง ทำมาเอง ตั้งแต่เป็นฆราวาส ไม่ได้มีครูบาอาจารย์ เขาถึงหาว่าไอ้นี่มันพูดอย่างกับ มันเป็น พระพุทธเจ้า แหม มันบรรลุเองนะ แล้วอาตมาบอกว่า อาตมาบรรลุธรรมด้วย อ้อ มันตรัสรู้เองนะ มันบรรลุเอง มันไม่มีครูบาอาจารย์ แหม มันพูดอย่างกับพระพุทธเจ้าเชียวนะ เขาว่าอย่างนี้เลย แล้วเขาหมั่นไส้ อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่ขอโทษ ขอโพยเขาว่า โอ้ หมั่นไส้อาตมา ก็ไม่ได้เจตนาหรอกนะ อาตมาเอาอันนี้ว่า อาตมามีบารมีเดิม มีของเก่า เอาของเก่ามาทำอยู่ ทุกวันนี้นี่ เอามาใช้งาน เอามาให้พวกคุณ อาตมาเผยแพร่ แต่พร้อมกันนั้น อาตมาก็ได้มี ประสบการณ์ อาตมาก็ประพฤติ ปฏิบัติธรรมของโพธิสัตว์ ของอาตมาไปในตัว ฝึกฝน จัดแจง ทำให้มันลงตัว ทำให้มันได้สมดุล ทำให้มันได้ว่า จะต้องไม่อ่อนเกินไป จะต้องไม่แก่เกินไป จะต้องไม่สุดโต่ง ไปในฝั่งใด ไอ้คำว่าสุดโต่ง ไม่ใช่ว่าฟากโน้นหรอก จะต้องไม่เอียง จะต้องได้อย่าง เหมาะสมที่สุด จะต้องได้ ไอ้เอียงไปทางโน้น ยาวไปอีก ๑๐๐ โยชน์ ท่านก็บอกว่า โน่นล่ะสุดโต่ง มันไม่แปลก เอ้า ไปทางนี้อีก ๑๐๐ โยชน์ สุดโต่งก็ไม่แปลก แต่มันเอียงแผ่ออกมานิดหนึ่ง จุดศูนย์หนึ่ง นี่มันก็โต่งมาทางนี้แล้ว มาทางนี้จุดศูนย์หนึ่ง ก็โต่งแล้ว มันจะต้องได้แวดวงที่พอดี และน้ำหนักของแวดวง ก็จะต้องรู้เนื้อในด้วยว่า กลางที่สุด แล้วก็ชั้นตอนของความที่จะ ขยายออกมา ถึงขอบเขตนี่เท่าไหร่ จะต้องรู้อาณาจักร จะต้องรู้วัฏฏะของมัน ไม่ใช่เรื่องเล่นน่ะ ทำแค่นี้นี่ มิติเดียวนะ ธรรมดาไม่ใช่มิติเดียวตื้นๆ ระนาบอย่างนี้นะ ยังมีซับซ้อน บน ล่าง ใน นอก ยิ่งเป็นนามธรรมแล้ว คุณเอ๋ย อาตมาไม่รู้จะพูดยังไง กับพวกคุณ ไม่มีภาษาจะพูด ไม่มีสื่ออะไร ที่จะมาอธิบาย ให้เห็นเป็นตัวตนที่ชัดเจน การคำนวณ การประมาณ ใช้หลักสัปปุริสธรรม ๗ ประการ โอ้โฮ เป็นเรื่องของสัตบุรุษจริงๆ เป็นเรื่องของพระโพธิสัตว์ หรือเป็นเรื่องของพระอริยะ ที่จะต้องใช้ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เราทำงานกับสังคม ทำงานกับโลกไม่ได้ เราจะต้องมีพหูสูต เราจะต้องมี โลกวิทูจริงๆ อาตมาทำงานของอาตมา อาตมาก็ศึกษาอันนี้ เพิ่มเติมพหูสูต เพิ่มเติมโลกวิทู ถ้าจะเรียกอย่างเขื่องๆหน่อย ก็เหมือนกับพระพุทธเจ้า ที่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วก็ศึกษา ประพฤติสั่งสม สัมมาสัมโพธิญาณ เหมือนกันนั่นแหละ อาตมาก็เดินรอยตามนั้น เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ที่เผยแพร่ที่เอาธรรมะของพระพุทธเจ้า มาให้พวกคุณได้ปฏิบัติ ประพฤติ พิสูจน์ ทั้งอาตมาก็ศึกษาในตัว แล้วก็รื้อขนสัตว์ไปในตัว นี่เป็นของอาตมา ใครให้คุณโพธิสัตว์ คุณธรรม ของอาตมาแก่อาตมา อาตมาไม่เคยไปเรียนญี่ปุ่น มหายาน พระโพธิสัตว์ ไม่ไปเรียนเมืองจีน ไต้หวัน เกาหลี ไม่ได้เคยไป ไม่รู้จักด้วย อาตมามีของอาตมาเอง นี่อาตมาถือว่านี่แหละ เป็นสิ่งพิสูจน์ยืนยัน ว่าของเก่าของมนุษย์มี เกิดมากับกรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าก็สอดคล้อง กรรมพาอาตมาเกิด กัมมโยนิ อาตมาเป็นเผ่าพันธุ์ที่อาตมา ถ้าอาตมาเป็นปุถุชน อาตมามีกรรมของปุถุชน อาตมาก็จะ มีวิบากของปุถุชนนั้นมา จะปุถุชนชั้นดี ชั้นต่ำ ชั้นกลาง ชั้นสูงขนาดไหน ก็นั่นแหละ หรือเป็น กัลยาณชน ระดับไหน หรือเป็น อริยชนระดับไหน อาตมาก็ต้องมีของอาตมามา ใครทุกคนก็ต้องมี ของตนเองมาทั้งสิ้น กรรมเป็นของๆตน กัมมัสสโกมหิ กรรมเป็นกำเนิด กรรมเป็นทายาท ใครมี มรดกอะไรแค่ไหน คุณก็มากับมรดกของคุณ แต่คนมาเกิดแต่ละชาติๆนี่ ไม่ได้เอามรดกมาใช้ ทั้งหมด ไม่ได้เอากรรมมาใช้ทั้งหมด กรรมมันจะต้อง ดำเนินบทบาท ที่จะมีวงโคจรซับซ้อน วิ่งไล่ทัน ยังไม่ทันอะไรต่ออะไรอยู่อีกเยอะ อาตมาถึงพูดถึงกรรมวิบากนี่ไม่ไหว มันเป็นอจินไตย มันซับซ้อนเยอะ

เพราะฉะนั้น คนเรามาเกิด มีกรรมมาชุดหนึ่ง ได้มาเกิดชุดนี่ ส่วนที่มันยังหนุนเนื่องมา ก็มีกรรมใหม่ มันก็กำลังสั่งสม ซ้อนลงไปซ้อนเข้าไป เพราะฉะนั้น คุณเกิดมาในกรรมชุดนี้นี่ คุณก็ต้องพยายาม ตามที่จะใช้มันเท่าที่คุณเอง เมื่อมันโซ้ล ออกมาให้คุณมาใช้ คุณได้ร่าง ได้ขันธ์นี้มา คุณมีกรรม ขนาดนี้ คุณก็ทำมันให้ดีที่สุด มันจะเป็นมรดกต่อไป ต่อไปๆๆ อีกจนกว่า จะปรินิพพาน ยังไม่ปรินิพพานเมื่อใด อันนี้ของคุณเป็นทรัพย์แท้ๆ เป็นมรดกแท้ๆ จากกรรมนี่จากกรรม

เพราะฉะนั้น คนเกิดมา ต้องรู้ให้ชัดในสัจธรรมของพระพุทธเจ้าว่า เกิดมาเราไม่ได้มาสั่งสมอะไร เรามาสั่งสมวิบากกรรม เรามาสั่งสมกรรม เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าสอนเราว่า ทำดีก็ได้ดีไป ทำชั่วก็ได้ชั่วไป นั่นแหละเป็นสมบัติ ชั่วดีนี่ มันจะต้องแจกแจงกันมากมาย อาตมาไม่มีเวลา แจกแจงหรอก ยกตัวอย่างบ้างนิดๆหน่อยๆ เช่น คุณไปปล้นเขามา คุณได้เงิน คุณไปโกงเขามา เอาเปรียบ เอารัดเขามา คุณได้เงิน พร้อมกันที่คุณไปปล้น พร้อมกันที่คุณไปโกง พร้อมกันที่คุณ ไปเอาเปรียบ เอารัดเขามา คุณก็ได้กรรมที่เป็นอกุศลด้วย ปล้นเขาก็เป็นอกุศล โกงเขาก็เป็นอกุศล เอาเปรียบเอารัดก็เป็นอกุศล คุณได้เงินจริง แต่คุณได้กรรมเป็นอกุศลด้วย แล้วจริงๆ คุณตายไป คุณเอาเงินไปด้วยได้ไหม เอาไปไหม ไม่ได้ คุณไม่ได้เงิน คุณตายแล้ว คุณไม่ได้เงิน และในภาวะ คุณได้เงินมานี่นะ อย่าว่าแต่โกงเลย คุณได้มาโดยค่าของมัน นี่ทุนร้อยหนึ่ง คุณสร้างเอง เป็นสิทธิของคุณ คุณเอาไปให้เขา คือขาย เสร็จแล้ว คุณก็เอาร้อยแลกกลับมา คุณมีร้อยกลับมา คุณไม่มีบุญสักตัวแล้วนะ คุณหมดบุญแล้วนะ แล้วร้อยหนึ่งนี่ คุณตายลง ร้อยหนึ่งนี่ คุณตายแล้ว คุณได้ไปด้วยไหม ได้ไหม แล้วบุญได้ไหม จงรู้ไว้เสียด้วย ค่าแรงงานก็ดี ค่าผลผลิตก็ดี คุณอย่านึกว่า คุณจะได้บุญง่ายๆนะ พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสเอาไว้ ในสังยุตนิกายว่า คนที่เกิดมาแล้ว ตายจากคน หรือตายจากเทวดาด้วย อย่าว่าแต่ตายจากคนเลย ตายจากเทวดา แล้วไปเกิด เป็นสัตว์นรกซะส่วนมาก มากกว่ามาก จะได้เกิดมาเป็นคนอีก หรือมาเป็นเทวดาอีกนั้น น้อยกว่าน้อยนัก เห็นไหมว่า มันไม่มีบุญ

เพราะฉะนั้น ไม่มีบุญแล้ว คุณจะได้เกิดมาเป็นคนอีกได้อย่างไร เกิดเป็นเทวดาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น คนทุกวันนี้ ที่อยู่ในสังคมทุนนิยมนี่นะ ร้อยหนึ่ง ทุนร้อยหนึ่ง ขายร้อยที่ไหน ขายมากกว่าร้อย ใช่ไหม ขายมากกว่าร้อย เอาเปรียบเขาไหม นอกจากไม่ได้บุญแล้ว ได้อะไร คุณตอบกันเองนะ ว่าบาป แล้วเป็นเรื่องจริงไหม อาตมาโมเมไหม ไม่ได้โมเม เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ถึงได้ตรัสว่า คนตายแล้ว จะได้เกิดมาเป็นคนอีก น้อยกว่าน้อยนัก จะได้เกิดเป็น เทวดาอีก น้อยกว่าน้อยนัก จริงไหม พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเล่นน่ะ พระพุทธเจ้าตรัสจากสัจธรรม เป็นเรื่องลึกซึ้ง ไม่ใช่อธิบายกันง่ายๆ ซึ่งอาตมา อธิบายให้คุณฟังได้นี่ มีหลักฐานยืนยัน อธิบาย แล้วฟังเข้าใจชัดนี่ เพราะอาตมามีธรรมะของอาตมามา แล้วเอามาอธิบายให้ฟัง ที่เรียนกันมา โอ้โฮ หัวผุหัวพัง จนกระทั่งอายุมากกว่าอาตมา บรรยายธรรมะอยู่นะ แหม พูดไปแล้ว ก็ยกยอตัวเอง น่ะนะ อธิบายละเอียดลออ หรืออธิบายชัดอย่างอาตมาบ้างไหม พวกคุณตั้งใจฟังนี่ มีศรัทธา เลื่อมใส คุณตั้งใจฟัง ฟังได้ดี คนข้างนอก แม้มีปัญญาดี มาฟังอาตมา ศรัทธาไม่มี ดีไม่ดี ผลักด้วย มีอุปาทาน อาตมาพูดอย่างนี้ มองไปในมุมอีกมุมหนึ่ง แทนที่จะมองให้มันสอดคล้อง มองให้มันดี ไม่ละ โต้ต้านเอาไว้ เถียงเอาไว้ ย้อนแย้งเอาไว้ แล้วม้นจะไปได้อะไร น้ำชาเต็มถ้วย ไม่ได้หรอก ไม่ได้หรอก จะได้แต่มุมแย้ง อันไหนแย้งได้ก็แย้ง อันไหนแย้งไม่ได้ ก็เอาไว้ก่อน โยนทิ้ง มันไม่ได้อะไรหรอก

เพราะฉะนั้น พวกคุณศรัทธา พวกคุณมาฟังดีๆ ขนาดฟังดีๆ นี่นะ อาตมายังพยายามอธิบาย ให้มันง่ายลง แล้วพวกคุณก็พยายามตั้งใจฟังให้ดีๆ มันยังเข้าใจได้ขนาดนี้ และแม้เข้าใจได้แล้ว ยังเอาไปทำตามนั้นไม่ได้ จริงไหมๆ เห็นไหม มันถึงไม่ได้ง่ายๆหรอก คนเราจะได้บุญอย่างที่ว่า นี่ไม่ง่ายนะ บุญ อย่านึกว่าหาได้ง่ายๆ แล้วยิ่งมาหลอกกัน บอกว่าไปทำบุญ ทำบุญเท่านั้นเท่านี้ แล้วความโลภ เป็นมโนกรรมนะ เป็นมโนกรรม ใส่บาตรทัพพีหนึ่ง สาธุขอให้ถูกหวยล้าน โอ้โฮ เจ้าประคุณเอ๋ย ถ้าเป็นการค้า เป็นการขายในโลกนี่ ค้ากำไรเกินควรอย่างนี้ ต้องเอาไปใช้ ม.๒๗ ใช่มั้ย ต้องสั่งประหารแล้วแบบนี้ ค้ากำไรเกินควร ข้าวทัพพีหนึ่งไม่กี่สตางค์ จะเอาล้านหนึ่ง โอ้โฮ มันไหวเหรอ ค้ากำไรเกินควร มันขี้โลภถึงขนาดหนักนั้นน่ะ มโนกรรมก็เป็นกรรม เป็นสิ่งจริงนะ คิดก็จริง พูดก็จริง ลงมือกันทำพร้อมสรรพ สมพร้อมทั้ง ๓ กรรมเลย ยิ่งสมบูรณ์เลย จริงนะ ไม่ใช่ไม่จริงน่ะ ไอ้ตัวจิตนี่แหละ มีน้ำหนักของมันในตัวมันเอง ยิ่งน้ำหนักยึดมั่นเอาให้แรง จะเอาให้ได้ๆ ไม่ได้หรอก ทำบุญข้าวทัพพีหนึ่ง ฉันจะต้องเอาล้านหนึ่งให้ได้ ไปลงทุนซื้อ หรืออะไร ก็แล้วแต่เถอะ คุณจำเป็นจะต้อง ไปให้ได้ล้านหนึ่ง ก็ แหม จะต้องให้ได้ล้านหนึ่งให้ได้ ทำบุญอย่างนี้ บุญจะต้องช่วยเหลือเรา ไปทำงานทำการทำอะไร มันจะได้ง่ายๆ เหรอ หนักเข้า ก็มันจะได้ ได้ล้าน ตั้งเป้าเอาไว้ด้วยนะ จะต้องได้ล้าน โกงเขาเท่านั้นเองน่ะซี้ ขี้โลภ เอาเปรียบ เอารัดอย่างไร ก็ต้องเอา ไม่อย่างนั้น มันจะไม่ได้ล้านหนึ่งนะ ที่ตั้งเป้า อย่างนี้เป็นต้น มันก็เลยพากัน เราแย่ใหญ่เลย จริงๆแล้ว บุญคือการชำระความโลภ โกรธ หลง

เพราะฉะนั้น เกิดมาเป็นคน ยังไม่ตายไป คุณต้องทำตั้งแต่เป็นๆ คุณจะต้องรู้จักบุญ จะต้องรู้จัก เทวดา เทวดาปลอม ท่านเรียกว่าสมมุติเทพ เกิดมาเป็นคนนี่แหละ จิตวิญญาณอยู่ในนี้ จิตวิญญาณในตัวเรา พอได้กินของอร่อย ได้ลาภมา โกงเขาได้มาดีใจ เกิดเป็นเทวดาปลอม เทวดาได้บาปด้วยนะ หลงว่าได้บุญ พอไปโกงเขามาได้เงิน โอ้ ดีอกดีใจ บางคนฉลองน่ะนะ ฉลองใหญ่เลย ฉลองไม่พอ กินเหล้าใส่เข้าไปอีก พอกินเหล้าเสร็จแล้ว สติเสียไปทำชั่ว ไปทำบาป เข้าไปอีก โอ้โฮ มันพาบาปกันมหาศาลเลย คนชั่วแบบนี้นี้น่ะ เยอะนะ เสร็จแล้ว ไม่ได้อะไรดีเลย โกงเขามา ตั้งแต่ต้นก็บาป ไปดีใจกับความชั่วก็บาป ซ้อนเข้าไปอีก กินเหล้าเมายา ฉลองกันไปแล้ว ก็ไปทำชั่วต่อ หลังจากสติ สัมปชัญญะไม่ดีไปอีก พูดแค่นี้ ก็เมื่อยแล้ว คนสร้างบาปให้แก่ตัวเอง อย่างอวิชชา น่ะ เห็นไหม เป็นอย่างนั้น แล้วเขาจะได้อะไร อาตมาได้บรรยายเป็นขั้น เป็นตอน หลายชั้น หลายเชิงให้ฟังแล้วว่า แม้แต่เราทำงานสร้างสรรอะไรขึ้นมา ถ้าอัตราของสังคม เขาประมาณนี้ ทุนขนาดนี้ ถ้าเราขายต่ำกว่าทุน จึงจะถือว่าได้บุญ ถ้าคุณไม่ต้องขายเลยล่ะ ให้ฟรีไปเลยล่ะ โอ้โฮ ได้เต็มค่าเลย ร้อยทั้งร้อย เป็นบุญเต็มเลย แล้วค่าของอันนั้น ม้นต้อง ประกอบไปด้วย ความลำบากยากเย็น ประกอบไปด้วยเศรษฐศาตร์ที่ถูกต้อง เป็นความจำเป็น ความสำคัญของสังคมด้วย แล้วก็บริสุทธิ์ สะอาดปราศจากกิเลสจริงๆด้วย เสียสละ โดยปราศจาก กิเลสจริงๆ ด้วย ค่าของบุญนั้น มันจึงจะแพงๆๆๆ ซับซ้อนมาตั้งเท่าไหร่ชั้น

นี่ อาตมาก็พยายามอธิบายเป็นโวหาร เป็นภาษาให้ฟัง คุณไปคำนวณดูเอาก็แล้วกัน ไม่ใช่เรื่อง ตื้นเขิน มันเรื่องลึกซึ้งจริงๆ ผู้ใดได้สั่งสมบุญจริงๆ คนอย่างนี้จริงๆ ก็จะมีสังคมคนอย่างนี้ มีศรัทธาจริง มีปัญญาจริง ก็มาปฏิบัติ ประพฤติอย่างนี้ ในขณะเป็นๆ ถ้าคุณมีบุญอย่างนี้ คุณตายไป ก็คือจิตวิญญาณของคุณ นี่ จิตวิญญาณของคุณนี่ จะมีบุญมีบาปเท่าไหร่ ตายไป ก็เป็นอย่างนั้น ได้บุญ ได้บาปก็เท่านั้น จะมาเที่ยวได้อุทิศส่วนกุศลไปให้ ไม่ได้ ก็พระพุทธเจ้า ท่านบอกแล้วว่า กรรมของใคร กรรมของมัน บุญก็คือกรรม ใช่ไหม กุศลกรรมเรียกบุญ บาปก็คือกรรม คืออกุศล อกุศลก็เรียกบาป กุศลก็เรียกบุญ

เพราะฉะนั้น บาปหรือบุญ ก็ของใครของมัน จะแบ่งบาปแบ่งบุญไม่ได้ ค้านแย้งกับคำสอนของ พระพุทธเจ้าที่ว่า กัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมัง สัตเต วิภชติ คนเกิดไปตามกรรม กัมมัง สัตเต วิภชติ กรรมจำแนกสัตว์ เพราะฉะนั้น คุณจะเกิดเจริญ คุณจะเกิดชั่ว ก็กรรมกุศล อกุศลของคุณเป็นตัวกำหนดให้เกิด ไม่ใช่มีใครมาบันดาล แบ่งไม่ได้ ซูเอี๋ยกันไม่ได้ เอ้า อาตมาจะพิสูจน์ให้ฟังว่า มันแบ่งไม่ได้ อย่าไปเอาตอนตายเลย ตายแล้ว ยังไม่รู้เลยว่า ตายแล้วจะไปอยู่บ้านเลขที่เท่าไหร่ ถ้าตกนรก ก็ไปอยู่ซอยนรกที่ ๕ หรือซอยนรกที่ ๘ ยังไม่รู้เลย ซอยก็ยังไม่รู้ แล้วอยู่บ้านเลขที่เท่าไหร่ของนรก ก็ยังไม่รู้เลย แล้วจะไปส่งบุญ ไปส่งบาป ให้กันได้ยังไง

เพราะฉะนั้น อย่าพูดถึงตายเลย เป็นๆเห็นหน้ากันอยู่หลัดๆ นี่น่ะ เอาละอาตมาก็คงจะมีบุญ ใครก็คงจะเชื่อ ใหม่ๆอาจจะเชื่อไปพลางๆก็ได้ อาตมามีบุญ เชื่อว่าอาตมามีบุญก็แล้วกันนะ ไม่มีบุญ ได้ยังไง เห็นไหมนี่ บุญทางการละกิเลสก็มีนะ อาตมาลดละกิเลส ก็เป็นบุญอย่างแท้ บุญอย่างปรมัตถ์ บุญอย่างสมมุติสัจจะ นี่มีบุญน่ะ เป็นบุญเนื่องหนุนมา ฯลฯ...

เอ้า ตอนนี้ อาตมาจะแบ่งให้ ไม่ต้องถึงตายหรอก เห็นหน้ากันอยู่หลัดๆนี่ ไม่ต้อง ไปหาว่า บ้านเลขที่เท่าไหร่เลย ลงนรก หรือขึ้นสวรรค์ ก็ยังไม่รู้เลย ตายไปแล้วนี่ บุรุษไปรษณีย์เป็นพระ คอยกรวดน้ำ ยถาวารีวหาส่งไปโน่น นี่ทำเป็นไปรษณีย์เป็นผู้ส่งไป จะรับแบ่งบุญแบ่งบาปไปน่ะ แหม อาตมาพูดอย่างนี้ เขาถึงจะเอาเข้าคุก รู้ไหม เพราะเขาเสียผลประโยชน์ อาตมาพูดมา นานแล้ว มาถึงวันนี้ ก็อย่างนี้ เขาก็จะเอาเข้าคุก เพราะตัดรายได้ของเขา อาตมาก็พูดอย่างนี้ ทำไมอาตมา มีบุญอย่างนี้มา ทำไมมีคนมาทำทานด้วยล่ะ มันจะตัดอะไร มันได้ของบริสุทธิ์ด้วย ไปเอาของคนโง่มา มาทำบุญทำไม ถ้าพวกคุณโง่ พวกคุณไม่มาทำบุญกับอาตมาหรอก คนฉลาดเชื่อว่า อาตมานี่ เอาของพวกนี้มา เอามาแล้วก็มาสร้างสรร ไม่ได้โลภเอามา ให้เป็นของตัว ของตนอะไรอย่างนี้ คุณจะเลื่อมใสศรัทธาอาตมา คุณจะมาทำบุญกับอาตมา เอาคนฉลาด ส่วนใครจะไปได้เบี้ย ได้บาทอะไรจากคนโง่ ไปเอาเถอะ อาตมาไม่แข่งละ ใครจะเอาก็เอา

เพราะฉะนั้น มันแบ่งไม่ได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ แบ่งเอาบุญ เอาบาปนี่ เอ้า อาตมาละกิเลสไปได้ สมมุติว่า ได้ ๒๐ หน่วย ละกิเลสโลภไปได้ ๒๐ หน่วยแล้ว เอ้า คุณเอาไป ๕ เอ้า เอาไปซิ อ้า ภัสสรเอาไป ๕ มันได้ไหมเล่า อาตมานี่ละกิเสได้สมมุติเป็น ๒๐ หน่วย เอ้า เอาไป ๕ เอาไป ๑๐ ก็แล้วกัน เอ้า เอาไป ๑๙ ก็แล้วกัน อาตมาเอาไว้ ๑ มันได้ไหมล่ะ ใครก็ต้องทำเอาของใคร จะละกิเลสเอา ก็ละของตน จะทำทาน เสียสละ เป็นบุญเป็นทานที่หนุนเนื่อง เป็นโลกียะ คุณก็เสียสละของคุณ เอาซิ จะเป็นเสียสละเงินทอง จะเสียสละข้าวน้ำ จะเสียสละหิน จะเสียสละทราย จะเสียสละ ต้นหมาก รากไม้ จะเสียสละข้าว จะเสียสละน้ำ จะเสียสละอะไรล่ะ หรือจะเสียสละแรงงาน จะเสียสละ คุณก็เสียสละของคุณซิ อาตมาเสียสละมา มันถึงมีบุญหนุนเนื่องมาเอง จะเป็นวัตถุทรัพย์ จะเป็นกิเลส จะเป็นอะไรนามธรรมรูปธรรม อาตมาก็ทำของอาตมา สั่งสมของอาตมามา สั่งสมมา แล้วอาตมา ที่ได้มานี่ ได้มาจากที่สั่งสม ถ้าอาตมาพูดหลอกล่อเอา คนเอามาทำทานกับอาตมา นี่ ไอ้หลอกล่อนี่อกุศล ได้มา บางทีที่ได้มานี่ไม่สุจริต แล้วเราได้บาป เป็นหนี้เข้าด้วยนะ

เพราะฉะนั้น อาตมาจะไม่เอาของใครง่ายๆ ถ้าของอาตมาเอง จริงๆแล้ว คุณจะต้องด้วยปัญญา ด้วยสิ่งที่คุณจะต้องหนุนเนื่องมาเอง ยิ่งดันเอาไว้เท่าไหร่ๆ ยิ่งบริสุทธิ์เท่านั้น ยิ่งกรองเอาไว้เท่าไหร่ จะเอาง่ายๆ ยัดเยียดมา ถ้าเป็นของเรา มันจะต้องยัดเยียดมาเอง แล้วมันจะมากัน โดยที่เรียกว่า มันไม่มีทางเลือก ต้องเอาจริงๆนะ บุญของเรา กุศลของเรา โดยที่เราไม่ต้องอยากได้เลย ต้านไว้ด้วยๆ ไม่ใช่ไปและเล็ม หลอกลวง เลียบเคียงเอามา นั่นแหละ ยิ่งได้บาปมาพร้อมกับของ ได้บาปมาพร้อมกับของ ฟังดีๆนะ บุญบาป วิบากพวกนี้ ถ้าเข้าใจไม่ชัดแล้ว เราก็ซับซ้อนอยู่ อย่างนั้น โดยไม่รู้ว่า เชิงกลของบุญบาป วิบากกรรม พวกนี้นี่มันเป็นยังไง เสร็จแล้ว เราก็เอาไปพูด และเล็ม เอาอะไร ได้มา นึกว่าตัวเองมีบุญ ... บุญที่ไหน ไปหลอกลวงเขามาจากคนโง่ ไอ้โน่น ไอ้นี่ แหม แม่ในชาติปางก่อนนะ แล้วแม่ก็คนรวยๆเสียด้วยนะ แม่คนจนๆ ก็ไม่ค่อยจะเป็นหรอก แม่แต่ชาติปางนั้นปางนี้ โอ้โฮ มีแม่ดะไปหมดเลย แล้วก็มาทำบุญ หลอก โอ้ พูดหวาน พูดประเล้า ประโลม ไอ้พรรค์นี้ วิบากพรรค์นี้น่ะ มันมีอะไรมากมายก่ายกองนะ อาตมาค่อยๆ พูด ค่อยๆเปิดเผย ให้พวกคุณจะได้ฟัง

เพราะฉะนั้น เรื่องบุญเรื่องบาป นี่มันแบ่งกันไม่ได้ ขอยืนยัน พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยสอนอย่างนั้น ค้านแย้งคำสอนด้วยซ้ำไป แบ่งไม่ได้ แต่เขาก็ยังทำกันอยู่ เขาบอกว่า แล้วพระพุทธเจ้าท่านสอนนี่ พ่อแม่ตายไปแล้ว ก็ควรจะต้องอุทิศส่วนกุศลไปให้พ่อแม่ที่ตายไป มีอยู่ในข้อพลี ๕ ประการ มันก็ค้านแย้ง คำสอนซิ ปัดโถ ในพระบาลีที่นั่นบอกว่า เปตานัง เขาแปล เปตานัง ว่าล่วงลับไปแล้ว ที่จริงน่ะ จิตมันได้ตายไปเป็นเปรต ก็เป็นๆนี่แหละ พ่อแม่เป็นเปรตเป็นๆ นี่ก็ได้ จิตตกลงไปเป็นเปรต จิตจะต้องตกต่ำ ไปเป็นเปรตนั่นแหละ ให้ช่วยพ่อแม่ ช่วยโดยที่เราจะต้องทำอย่างไร จะยกจิต พ่อแม่ หรือว่าช่วยให้พ่อแม่ ได้บุญได้กุศล ได้เจริญขึ้นมา ได้ความรู้ ได้ทรัพย์ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ขึ้นมาเป็นๆ นี่ต้องทำนะ พ่อแม่เป็นผู้ที่มีบุญคุณอยู่ ถ้าช่วยได้อันนี้แหละ เป็นตัวที่ช่วยได้ชัดเจน

เพราะฉะนั้น จะไปหาเงินหาทอง หาทรัพย์ศฤงคารอะไรให้นี่ ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นนี้หรอก ไม่ได้เป็นการ ช่วยพ่อแม่ ส่วนกุศลนี้อย่างที่ว่านี่ เปรตพลีอันนี้น่ะ ไม่ได้ถึงขนาดนี้หรอก พระพุทธเจ้า อธิบายไว้ ในสูตรหนึ่งว่า ขนาดหาบ้านหาเมืองให้ เอาพ่อแม่มาใส่บ่าซ้ายบ่าขวา ขี้รดเยี่ยวรด ก็ยังไม่ถือว่า เป็นบุญที่สมบูรณ์ เหมือนกับให้พ่อแม่ได้ทรัพย์ ๔ ได้ศรัทธา ได้ศีล ได้จาคะ ได้ปัญญา นั่น จึงจะถือว่า ทดแทนบุญคุณพ่อแม่ เป็นการได้ส่วนบุญ เห็นไหมว่า เข้าใจบุญกันตื้นเขิน ขนาดไหน แล้วก็ไม่ได้เจริญ งอกงามอะไรลึกซึ้งนะ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมะกเฬวราก อะไรเลย

เพราะฉะนั้น สอนธรรมะทุกวันนี้ นี่ตื้นเขิน ก็เลยทำให้ศาสนาก็เสื่อม แล้วไม่มีฤทธิ์ต่อคน เพราะคน ไม่รู้บาป ไม่รู้บุญที่แท้ ไม่เชื่อบาปเชื่อบุญแท้ ก็กลายเป็นเล่น บุญเล่นๆ บาปเล่นๆ บาปฉันก็ไม่ค่อย กลัวเท่าไหร่หรอก คอร์รัปชั่นก็เอา ขี้โกงก็เอา ฆ่าสัตว์ก็ไม่ฆ่าตรงหรอก มีอิทธิพลในที เสร็จแล้ว เขาก็ไปฆ่าให้ ขอให้บอกเถอะว่า ท่ารู้กันน่ะ สมัยนี้เขาไม่ค่อยจะบอกหรอก ไม่ต้องกะพริบตาอะไร มากมายหรอก เอ๊ ไอ้คนนี้ มันไม่ควรจะอยู่แล้วนะ เดี๋ยวลูกน้องจัดการ ให้เสร็จ แล้วตาย บางที ก็เล่นกันหลายนัด บางทีก็ไม่ต้องเล่นกันหลายนัดหรอก ตาย บางทีตาย ไม่รู้เรื่องหรอก ว่าตายเพราะเหตุใด โลภโมโทสันศีลข้อ ๑ ข้อ ๒ ข้อ ๓ ละเมิด ราคะจัดจ้าน เป็นเจ้าใหญ่นายโต เป็นอะไรต่ออะไร ใช้อำนาจอะไร ต่างๆนานา โอ้โฮ อ่านข่าวซัดดัมไหม ซัดดัม ต้องมีอีหนูมาให้ วันละเท่าไหร่ล่ะ อ่านไหม นี่อย่างนี้ ราคะจัดจ้านอย่างนี้ เป็นอำนาจจนะ ลูกเต้าเหล่าใครไม่รู้ แต่ไม่มีข่าวออก ข้างนอกเหมือนกับคนดี คนโอ้โฮ วิเศษ นี่ดีแต่ว่าซัดดัม อยู่ต่างประเทศไกลน่ะ ในนี้อาตมาไม่รู้จะยกตัวอย่างใคร แล้วก็คงไม่กล้าที่จะยกหรอก นะ เพราะยกไปแล้ว มันไม่งาม มันไม่ค่อยดี อย่างนี้น่ะ ศีลข้อ ๑ ข้อ ๒ ข้อ ๓ ข้อ ๔ ข้อ ๕ อะไรเองนี่แหละ ไม่ใช่ไกลหรอก แต่มันกลับตาลปัตร มันซับซ้อน แล้วมันก็ซ่อนเชิง ใช้เล่ห์ฉลาด ฉลาดเฉกัง ภาษาบาลีเรียกว่าเฉกัง ฉลาดซับซ้อน ไม่ตรงหรอก แต่ตัวเองเป็นตัวกลไกหลัก เป็นตัวเอก นั่นแหละ ที่จะต้องให้เกิดกรรม อันบาปหยาบช้าเหล่านั้น แม้แต่กฎหมายก็ลงโทษ ตัวการใหญ่ ไม่ใช่เป็นคนลงมือฆ่าน่ะ เป็นโทษหนัก คนลงมือฆ่าจริงๆ น่ะบางทีนี่ ปลายๆลิ่วล้อ โทษไม่หนักหรอก ถ้าเขาสาวไปถึง ต้นตอได้ ต้นตอนั่นแหละ จะต้องรับโทษหนักกว่าเขา แม้แต่ทางโลก เขาก็เข้าใจแล้ว ทางธรรม อย่างนี้แหละนัยอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ สร้างกรรม สร้างบาป สร้างเวรกัน ซับซ้อน ถ้าไม่ศึกษาธรรมะอย่างชัดเจน แล้ว ไปไม่รอด เพราะฉะนั้น แม้แต่บุญ แต่บาปก็ไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่เชื่อบุญเชื่อบาปกันด้วย ไม่เชื่อบุญ เชื่อบาป ขนาดเราเชื่อบุญเชื่อบาปแล้ว เรายังเข้าใจบุญและบาปยังไม่ค่อยชัด เห็นไหม เข้าใจบุญบาป ยังไม่ละเอียดลออ เพราะฉะนั้น เรายังไม่รู้ชัด เราก็ทำบุญ ทำบาปซ้อนๆ แฝงๆ ปนๆ อยู่ ยังไม่ได้สัดส่วนที่จริง เพราะฉะนั้น ต้องมาศึกษาให้ดีๆ บุญบาป ต้องศึกษาให้ชัดเจน บุญและ บาปเท่านั้น เป็นทรัพย์ของมนุษย์ ขอยืนยัน บุญและบาปเท่านั้น ที่เป็นทรัพย์ของมนุษย์ เพราะฉะนั้น ก่อนตายนี่แหละ เราสะสมบุญสะสมบาป คุณจะสะสม

บาปน่ะก็คงไม่ค่อยมีใครอยากจะสะสม แต่มันไม่รู้ มันอวิชชา มันโมหะ มันหลงผิด มันเห็นกงจักร เป็นดอกบัว เห็นบุญเป็นบาป มันเห็นบาปเป็นบุญ แล้วมันก็ไปหลง อย่างที่อาตมายกตัวอย่าง ไปโกงเขามา ได้เงินน่ะ เสร็จแล้วก็มาฉลองด้วย เห็นไหม มันหลงผิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ได้บาปซับซ้อน อย่างที่อธิบายไปแล้ว แทนที่จะได้บาป แล้วทำค่อยๆละอายต่อบาปบ้าง ก็ค่าของบาป ก็ลดน้อยลงใช่ไหม นี่ ทำ แหม ผยองเลยนะ ประเจิดประเจ้อ ฉลองโฆษณา ให้คนอื่น เอาอย่างด้วยอีก ผลของการทำบาป แล้วโฆษณาให้คนอื่นเขาทำบาปตาม โดยเจตนา หรือไม่เจตนา ก็ตาม เป็นบาปที่มีค่าบาปหนักเพิ่มขึ้น ราคาค่าของบาปสูงขึ้นด้วย

นี่อาตมาพยายามอธิบายอจินไตยโดยวิบากกรรมน่ะ วิบากกรรมนี่ เป็นอจินไตย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องตื้นๆ เขินๆ ราคาของบาป ราคาของบุญ ไม่ใช่เรื่องเล่นน่ะ เท็ปม้วนนี้ชื่อ ราคาบาป ราคาบุญ ็น่าจะดี เหมือนกันนะ พูดถึงตรงนี้ มาตรงนี้ เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้ค่าราคาของบาป ของบุญให้ชัดเจน แล้วเรา มาสะสม ในชีวิตนี่ คุณจะสะสมอะไรก็แล้วแต่ ร่ำเรียน มีวิชาความรู้ มีความเฉลียว ฉลาดไป เพื่อไปสร้างบาปหรือสร้างบุญ ถ้าใครโง่ก็ไปสร้างบาป ถ้าใครฉลาด ไม่อวิชชา ก็ได้สร้างบุญ เป็นทรัพย์ คุณเชื่ออย่างนี้ๆ ไปทำงานแล้วก็ได้ทรัพย์ศฤงคารมา ได้อะไรๆมา ขนาดนี้ นั่นเป็นศรัทธาของคุณ คุณก็ได้อันนั้นมาเท่าไหร่ล่ะ แล้วมันก็จะซับซ้อนไปเป็นบาป ไปเป็นบุญ เท่าไหร่ คุณก็ได้อันนั้นมา ตายไป คุณก็ได้ ความเชื่อขนาดนี้ ปัญญาหรือว่าความเข้าใจขนาดนี้ แล้วก็ความเชื่อมั่นขนาดนี้ เป็นๆนี่ ได้ตั้งแต่เป็นๆ ได้เรียนรู้ ได้เข้าใจได้ขนาดนี้ คุณตาย คุณก็ได้ ศรัทธาอันนี้ไป เป็นๆ คุณก็ทำตามศรัทธาอันนี้ อย่างนักการเมืองขณะนี้ เขาศรัทธาว่าจะต้อง แก้ปัญหาชาติอย่างนี้ เขาก็ได้ศรัทธาแค่นี้ติดตัวเขาไป เขาตายลงเดี๋ยวนี้ เขาก็ได้ ศรัทธาตัวนี้ เกิดมาใหม่ ถ้าเขามีโอกาสได้เป็นอย่างนี้อีก เขาก็จะเอาศรัทธา และ ปัญญาตัวเท่าที่เขามี นี่แหละ ที่จริง ไม่มีเท่านี้ด้วยซ้ำไป คนเราตายไปแล้ว มันเกิดมาอีกนี่ มันเสื่อมไปตั้งเยอะแน่ะ เสื่อมไปน่ะ กร่อนไปตั้งเยอะ เขาก็เอาอันนี้ มาใช้ อย่างนี้ เป็นๆเขาก็ทำอย่างนี้ พอตายไปแล้ว เกิดมาอีก เขาก็ได้อย่างนี้ ทิศทางนี้ นะ

เพราะฉะนั้น คุณสั่งสมโลกุตระ ตายไปคุณก็ได้โลกุตระ เป็นสมบัติ ต่อสมบัติอันนี้ โลกุตระ เท่าไหร่ล่ะ โสดาขนาดไหน โสดาระดับซี ๓ ซี ๕ โสดาก็มีระดับซีหลายซีนะ สกิทาก็มีระดับ ซีหลายซีนะ นี่ต้องฟังให้ดีๆ ไม่ใช่ว่า อะไรก็สั้นๆตื้นๆ ไม่ยืดยาวมากมาย เกิดชาติหนึ่ง เกิดชาติหนึ่งๆ นี่สั้นนัก สั้นนัก จะทำสิ่งที่เป็นกุศล จะทำสิ่งที่เป็นคุณค่า เป็นราคาเป็นบุญ ให้แก่ตนเอง ได้น้อยนัก พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัส ตายจากคนไปแล้ว จะกลับมาเกิดเป็นคน หรือ จะกลับมาเกิด เป็นเทวดาอีกนั่น มันน้อยกว่าน้อยนัก ส่วนมากแล้ว ลงนรกเป็นส่วนมาก ต้องไปใช้หนี้บาป หนี้กรรมเป็นส่วนมากเลย เพราะว่ามันชะลอบาปนี่นะ บาปเป็นตัวที่วิ่งตามคน ยิ่งกว่าบุญ ยิ่งกว่าบุญ คุณลองสังเกตซิ คนที่มีความโกรธแค้นจัดๆ มันเหมือนบาป หรือคนที่มีความรัก หวงแหนจัดๆ มันเหมือนบาป มันดูดดึงไหม มันวิ่งไล่ตามไหม นั่นน่ะ ไอ้ตัวที่เป็นบาป มันวิ่งไล่ตาม ไอ้ส่วนที่มันเป็นบุญนี่ มันวางจางคลายไปแล้ว มันไม่ค่อยวิ่งตามหรอก

เพราะฉะนั้น บุญจริงๆ แล้ว ยิ่งอุเบกขา มันไม่วิ่งตามเลย เพราะฉะนั้น บุญไม่ค่อยวิ่งตาม ส่วนมากบาปจะวิ่งตาม เพราะฉะนั้น คนจึงได้รับวิบาก บาปก่อนบุญเสมอ คนไหนจะมีบุญมากๆ จนกระทั่ง มีฤทธิ์แรงจนกระทั่งนำหน้าบาปได้ ท่านถึงเปรียบบาปเหมือนหมาไล่เนื้อ ท่านเปรียบไว้ เกจิอาจารย์เก่าๆ เปรียบไว้ บาปเหมือนหมาไล่เนื้อวิ่งควบทันเมื่อไหร่เอา ส่วนบุญ ไม่ควบเหมือน หมาไล่เนื้อหรอก ไม่วิ่งตาม นี่อาตมาเปรียบเทียบให้ฟังนะ กรรมวิบากนี่ อธิบายยาก อจินไตยนะ อาตมาพยายามมีช่องไหน มีปฏิภาณนิรุตติอะไรที่ขึ้นมา พอที่จะอธิบายได้ อาตมาก็แทรกไปเรื่อย เพราะฉะนั้น อาตมาอธิบายธรรมะนี่ มันไม่ค่อย เป็นโล้เป็นพาย นักวิชาการในอนาคต ค่อยมาจับ เรียบเรียงกันต่อไป ก็แล้วกัน ตอนนี้อาตมามันมีอะไรขึ้นมา ขอเละๆๆไว้ก่อนเถอะ สะๆๆๆๆๆ ขึ้นมาแล้ว ค่อยมาเลือก เหมือนกับพวก เป็นชาวเหมืองนี่ อาตมาก็คล้ายๆกับพวกตักเหมือง ตักใหญ่น่ะ ตักใหญ่เลย เอ้าพวกคุณ จะไปกรองเอาเพชรเอาพลอย เอาทีหลัง อาตมา นี่สะขึ้นมา จากเหมือง ให้มันมากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ให้มันหมดบ่อเหมืองนี่ให้ได้ เอามาให้หมด อาตมา มีหน้าที่สะขึ้นมา ให้มากที่สุด แล้วพวกคุณมาคอยกรองเอาทีหลัง มาเรียบเรียงกันเอา มันเป็นอย่างนั้น น่ะทุกวันนี้ อาตมาทำงานคล้ายๆอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น เรื่องการเกิดมาของคน จึงคำนึงสภาพที่เราจะมีชีวิตได้อะไรไปนี่สำคัญ ตายแล้ว ได้ตามที่เราปฏิบัติกรรม กรรมได้เป็นบุญเท่าใด เป็นบาปเท่าใด นั่นคือส่วนที่คุณจะได้ไป อาตมา ยกตัวอย่างแล้วว่า โกงเขา ปล้นเขา ได้เงิน อันนี้อาตมาพูดซ้ำมาก ตัวนี้เพราะว่า มันเป็นตัวอย่าง ที่ชัดมาก โกงเขา ปล้นเขา หรือเอาเปรียบเขา เป็นบาปทั้งนั้น คุณได้เงิน ได้เปรียบ ได้มาแล้วมีเงิน แต่ตายไปแล้ว คุณได้ไหมเล่าสิ่งนั้น คุณเอาไปด้วยได้ไหม ไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้แท้ๆนั้น คือบาป มันจะหยาบ มันจะกลาง มันจะละเอียด มันจะน้อยแค่ไหน มันจะมากแค่ไหน ก็ตามจริงนั่นแหละ คุณได้อันนั้นไป อันนี้มันไม่ได้หรอก ไม่ได้ อย่ามาหลงให้ยากเลยว่า เกิดมาป็นคนนี่เรา โอ้โฮ เรารวยโว้ย เรายิ่งโลภโมโทสัน ยิ่งโกง ยิ่งเอาเปรียบเอารัด ยิ่งอะไรต่ออะไรได้ ยิ่งมีอำนาจข่มเข่นข่มขู่ ขู่เข็น รีดไถ อะไรได้มา แล้วก็เอาไปเสพโลกียสุข ยิ่งทำให้กิเลสหยาบ กิเลสหนาขึ้นไปอีก หลงโลกียสุข เอาไประเริงละเลงอะไรต่างๆนานา ที่โลกเขาหลอกล่อ ไอ้นั่นก็น่าอร่อย ไอ้นี่ก็น่าได้ น่ามีน่าเป็น ไอ้นั่นก็น่าเอามาให้บำเรอตน ยิ่งหยาบ ยิ่งกิเลสหนาๆๆๆๆ เข้าไปใหญ่ คิดดูซิว่า คนนั้นได้อะไร บาปยกกำลังร้อยมั้ง อาตมาถ้าวิเคราะห์ออกมาหมดนี่ บาปยกกำลังร้อย มันซับซ้อน ไปหมดเลย แต่เขาไม่รู้ตัว

อาตมามองเห็นคนอยู่ในสังคมขณะนี้ โอ้โฮ บ้างก็ร่ำรวย บ้างก็มีอำนาจบาตรใหญ่ แล้วก็ แหม แอ๊คท่าระเริงสุข โอ้โฮ เป็นความสุข คนมากราบ มาไหว้ก็สุข คนมายกยอปอปั้นก็สุข แต่กรรมกิริยา ของเขา เท่าที่อาตมาดู หยาบๆ ก็เห็นง่ายๆชัดๆอยู่แล้ว โถ หลงระเริง ไม่ได้รู้ตัวเลย อาตมาก็ได้แต่ สุดสมเพช สงสาร จะทำยังไง บอกเขาก็ไม่ได้ ดีไม่ดีไปบอกเขา เขาก็จะเอาเรา ตายด้วย บอกเขาก็ว่า นี่โพธิรักษ์ อย่าแหลมเลย ปล่อยให้อยู่ได้นี่ก็บุญแล้ว จะเล่นงานเจ้าขนาดนี้ ก็ยังได้ ยิ่งกว่าไก่ ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด แล้วยังมาทำแอ๊คเหรอ ใช่ไหม

เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้อยู่ได้ด้วยอำนาจบาตรใหญ่กัน โดยที่ไม่รู้ว่า ตัวเองมีบาป แล้วเสาะแสวงหา เหลือเกิน แล้ววิธีการเป็นเจ้าพ่อนี่ มันไม่ใช่เป็นเจ้าพ่อแบบหยาบๆ เท่านั้นหรอก ทุกวันนี้ มันเป็นเจ้าพ่อ แบบซ้อนเชิง เอาอำนาจ ของลาภ ยศ สรรเสริญ มาเป็นองค์ประกอบของเจ้าพ่อ ซ้อนเนียน มีมารยา หรือมารยาทนั่นแหละ เอามารยาซ่อนเชิง มารยาเป็นตัวฉลาด ทำวิธีการ เลยกลายเป็นเจ้าพ่อ ชนิดที่มันไม่ต้องหยาบคายหรอก หยาบคายก็ได้แค่ระดับหยาบคายใช่ไหม เป็นเจ้าพ่อระดับหยาบคาย ก็ชั้นไม่สูงอะไร แต่เป็นเจ้าพ่อชนิด ซ้อนเชิง ประสมไปด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขทางโลกๆ แหม เจ้าพ่อชนิดนี้ เจ้าประคุณเอ๋ย ไม่ใช่ว่าจะรู้กันได้ง่ายๆ แล้วเป็นเจ้าพ่อ ที่แสบมหาแสบเลย อยู่ในสังคม ในโลกทุกวันนี้ อาตมาพูดอย่างนี้ ไม่ได้ไปว่าเขานะ แต่อาตมาชี้ ให้คุณฟัง คุณคนหนึ่งใช่ไหม ที่จะไปแสวงหาอย่างนี้ ระวังน่ะ ระวัง

มาพยายามมีชีวิตอันสงบ มักน้อย สันโดษแล้วก็เป็นสุข เป็นสุข แบบวูปสโมสุข สุขอย่าง ไม่ต้องไปเสพ สุขอย่างถูกหลอก อย่างว่าสมมุติเทพ เป็นอย่างนั้นน่ะ เทวดาหลอก เทวดาล่อ เทวดาลวง เทวดาไม่ชัดไม่เจน เป็นเทวดาแท้นี่ เป็นเทวดาละกิเลส อุบัติเทพ เทพที่ละกิเลสจริงๆ นี่เกิดจิตวิญญาณ เกิดจริง เพราะได้ละกิเลสจริง เรียกว่าเกิดจริง เกิดจริง ละได้มากเท่าใด ก็ได้เกิดโตขึ้นๆ อันไหนละได้หมด ประเด็นไหน เหตุปัจจัยไหนละได้หมด เรียกว่า วิสุทธิเทพ ที่ไปติด อยู่ในโลกเขานี่ เขาหลอกมา แล้เราก็ไปหลง จนกระทั่งเรามารู้ตัว แล้ว เราก็มา ลดกิเลสนั้นจนหมด หมดอันใดก็ตัวนั้นแหละ เป็นจิตวิญญาณที่วิสุทธิ์ที่บริสุทธิ์ เรียกว่า วิสุทธิเทพของเรา เทวดาก็อยู่ ในตัวเรา สัตว์นรกก็อยู่ในตัวเรา เทวดาเก๊ก็อยู่ในตัวเรา เทวดาจริงก็อยู่ในตัวเรา เทวดาอุบัติขึ้นไปนี่ มันจะใหญ่ๆขึ้น จนกระทั่งเป็นเทวดาวิสุทธิเทพ เทวดาสมบูรณ์ ก็อยู่ที่เรา

เราต้องมีปัญญา เห็นเทวดา รู้เทวดา รู้จิตวิญญาณของเราเลยว่า กิเลสอย่างนี้ๆ เราเป็นอย่างนี้ๆ เราได้ละ เลิกมาจริง เห็นอย่างที่ว่า คือ ญาณปัญญา ที่เห็น นั่นแหละ คือคนตาทิพย์ ไม่ต้องไปเที่ยว ได้ตาทิพย์ อยากไปนั่งเข้าฌาน หรือว่าไป นั่งทรง แล้วก็ไปเห็น วิญญาณโน่นนี่ โอ้ ตอนนี้ลอย กลับมาแล้ว วิญญาณโน่น ลอยมาจากฝรั่งเศส วิญญาณลอยมาจากเยอรมันนะนี่ จะมาเรียนธรรมะอะไร อย่าไปตลก ให้มันมากถึงขนาดนั้นเลย เรียนรู้วิญญาณของตัวเองเสียก่อน แล้วเราจนกระทั่ง รู้จิตวิญญาณจริงๆ รู้โอปปาติกะจริงๆ เลยว่า อ้อ วิญญาณของผี วิญญาณของ สัตว์นรก อย่างนั้นอย่างนี้ วิญญาณของเทวดา อย่างนั้น อย่างนี้ จริงๆ เมื่อคุณรู้จริงแล้ว คุณก็ไป คบคุ้นกับใคร หรือว่าคุณไปสัมผัส บางทีเห็น ไม่ต้องนานก็รู้หรอก จะเป็นชาติไทย ชาติฝรั่ง ชาติญี่ปุ่น ชาติเยอรมัน อะไรก็แล้วแต่ ประเดี๋ยวก็รู้ว่า อ้อ ไอ้นี่ ไม่ใช่เทวดาหรอก มันเป็นสัตว์นรก อ้อ นี่ เทวดานะนี่ เขาชาติเยอรมัน เขาชาติฝรั่ง เขาเทวดานะ เป็นสมมุติเทวดา โอ้โฮ มันหลงกาม ขนาดหนัก แล้วมันก็ร่ำรวย มันก็เลยได้เป็นเทวดา ถ้ามันไม่ร่ำรวย มันก็เป็นสัตว์นรก ร่ำร้อง อยาก หิวโหยตายเลย เราก็จะเห็น เราก็จะรู้ จะเป็นชาติไหน ก็แล้วแต่ เป็น เทวดาญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศส อังกฤษอะไรก็ตาม หรือว่าเป็นไทย เป็น เขมร ญวน ลาวอะไรก็ตามใจเถอะ

ให้มารู้ในคนนี่ให้ได้ รู้ได้แล้ว คุณจะจับอันนี้ มั่นคั้นตาย แล้วคุณก็ได้ประพฤติปฏิบัติ เพื่อทำ ความเจริญ ตามทิศทางของพระพุทธเจ้าท่านสอน แล้วเราจะได้เกิดเป็นเทวดาจริง หรือว่าฆ่าผี ฆ่าเปรต ฆ่ามาร จนกระทั่งเป็นวิสุทธิเทพ เป็นพระอริยเจ้า ไม่หลงติดยึดในแม้แต่วิญญาณ ที่เป็นเทวดา เราเป็นเทวดาใหญ่ ขนาดไหน เป็นวิสุทธิเทพใหญ่ขนาดไหน มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะต้อง ไปหลงใหล ได้ปลื้ม ติดยึดไปอีก จะต้องปลดปล่อยออกจริงๆ ด้วยอย่างนั้นก็ตาม ค่อยๆ มาเรียนรู้ จริงๆ มีสูรา สติมันโต อิธ พรหมจริยวาโส มีสูร คือองคาพยพเหล่านี้ กล้าแข็ง สูร มีสภาวะอันกล้า มีรูปนามขันธ์ ๕ มีทวารทั้ง ๖ มีอาการ ๓๒ ครบอยู่ ในตัวเรานี่แหละ มีสติมันโต มีสติเป็นใหญ่ มีสตินี่แหละ สามารถที่จะคุ้มครองศึกษา เป็นสติสัมโพชฌงค์ รู้บาป รู้บุญ มีปัญญาต่อจาก สติสัมปชัญญะ เรียนรู้อะไรต่ออะไรได้ ปฏิบัติอยู่ในโลกลูกนี้ละ โลกลูกที่มี องคาพยพ ครบมีสติ สมบูรณ์ มีสติอันวิเศษด้วย เป็นสติสัมโพชฌงค์ มีสติปัฏฐาน แล้วก็ศึกษา ตามระบบของ สติปัฏฐาน ๔ หรือ สติสัมโพชฌงค์ มีองค์โพชฌงค์ ทำอย่างสมบูรณ์ อันนี้แหละ เป็นการศึกษา ที่แท้จริง โลกลูกนี้แหละ กายยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมสัญญาและใจ นี่แหละ คือ โลกที่จะบรรลุธรรม อิธ พรหมจริยวาโส โลกลูกนี้ อิธ โลกนี้แหละ ที่จะปฏิบัติประพฤติพรหมจรรย์ เป็นที่อยู่ของพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ก็คือ เป็นผู้บรรลุในธรรมวินัยนี้ อยู่จบพรหมจรรย์ได้ ในร่างนี้ ขันธ์นี้ พระพุทธเจ้า ท่านยืนยันอย่างนี้ ไม่มีโลกไหนดีกว่าโลก กายยาววา หนาคืบ กว้างศอกนี้ ไม่มีโลกไหนดีเท่า โลกลูกนี้ล่ะ กายยาววา หนาคืบ กว้างศอก นี่แหละ มาเรียนรู้ ปฏิบัติอบรม ฝึกฝนให้แก่ตนเอง ถ้าได้ชัดๆเจนๆ ในโลกลูกนี้แล้ว จะตายไป ลูกไหนๆ ตายไปเมื่อไหร่ ที่ไหน มันก็ได้จากที่นี่ไป ถ้าคุณจะปรินิพพาน ก็ปรินิพพานหมดสิ้นจากรูปนามขันธ์ ๕ นี้

เพราะฉะนั้น พอคุณสั่งสม จนกระทั่งมาได้โลกลูกนี้มา พอได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ในร่างนี้แล้ว คุณจะตาย สูญ เลิก ก็ไม่มีโลกลูกไหนอีกแล้ว ที่คุณจะไป จบ ไม่ไปเกิดในภพไหน ชาติไหนอีก สูญเป็นพระอรหันต์ แต่ถ้าคุณได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ แล้วคุณอยากจะเกิดเป็นโพธิสัตว์ต่อ อยากจะอะไรต่อ คุณก็มีโลกที่คุณเอง ที่คุณรู้ คุณมีสิทธิ์ที่จะเกิด ในโลกที่เจริญกว่านั้นอีก ต่อไปอีกก็ได้ เพราะฉะนั้น แม้จะเป็นโสดา สกิทา จะเกิดอีก ๗ ชาติ อีก ๓ ชาติ ๖ ชาติ ๕ ชาติ หรือ จะเกิดอีกชาติเดียว เป็นสกิทา หรือ อนาคา เป็นโลกที่ไม่มีภพภูมิของกาม ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่คุณจะต้องไปเกิด โดยจิตวิญญาณของภพ ที่คุณยังไม่สูงสุดในภวภพ กับวิภวภพ เพราะว่าเป็น พระอนาคามี ยังไม่มีสังโยชน์สูงสุด ไม่พ้นสังโยชน์สูงนะ ไอ้อย่างนั้นซิ คุณเอง คุณจะต้อง ไปค้างคา อยู่ในโลกอนาคามี อีกกี่นานเท่าไหร่ๆก็ไม่รู้ เพราะว่า ไอ้โลกที่ไม่มีตัวตนนี่นะ มันไม่รู้วันเวลาหรอก มันนานช้าเท่าไหร่ยังไม่รู้เลย ถ้ามันทุกข์ มันก็ทรมานอยู่นั่นแหละ ดิ้นอะไร ก็ไม่ออก เพราะว่ามันไม่มีตาให้ดิ้น ไม่มีหูให้ดิ้น ไม่มีจมูกให้ดิ้น ไม่มีขันธ์ ๕ ให้ดิ้น เหมือนกับ คุณนอนหลับถูกอำ น่ะ ถ้าคุณไม่มีร่างกายออกมา อึ๊ดๆๆตายอยู่นั่น คุณดิ้นอยู่นั่น อีกกี่ชาติล่ะ คุณนึกออกไหม มันไม่มีขันธ์ ๕ มันไม่มีองคาพยพนี้ให้คุณดิ้น เหมือนคนถูกอำ ทุกข์อยู่อย่างนั้น กว่าคุณจะดิ้นออกตายเลย แต่อนาคามียังดี มันยังเหมือนสวรรค์ มันยังทุกข์น้อย มันมีสวรรค์มาก แต่คุณก็อยู่สวรรค์ คุณก็หลงไปเท่าไหร่ เมืองสวรรค์นี่ โอ้โฮ ช้านานกว่ากันกับเมืองโลก หรือเมืองนรก มากมายกว่ากัน ตั้งไม่รู้เป็นกองเป็นก่าย เมืองสวรรค์ ๑๐๐ ปี เท่ากับอยู่ในเมืองนรก ๑ วินาที หรืออยู่ในโลกมนุษย์ ๑ วินาที อะไรอย่างนี้ โอ้ ยาวนานมากเลย นี่ เมืองสวรรค์

เพราะฉะนั้น อนาคามีภูมิ เป็นภูมิที่มันต้องไปลากหางอยู่นานช้าเหลือเกิน อาตมาไม่เอาล่ะ พระพุทธเจ้า ถึงไม่ส่งเสริมการเนิ่นนาน ไม่ส่งเสริมธรรมะใดที่เป็นไปด้วยการเนิ่นช้า ท่านไม่ส่งเสริม เอาให้บรรลุอรหันต์ในร่างนี้เลย ถ้าคุณเข้าใจอย่างที่อาตมาว่า แม้คุณเป็นอรหันต์แล้ว คุณอยาก จะเกิดอีก คุณก็เกิดได้ อันนี้แหละ เถรวาทของเมืองไทยยังถกเถียงกับอาตมา ซึ่งเป็น นานาสังวาสกัน ไม่ใช่นิกายนะ แต่เขาก็พยายามหาว่า อาตมามาทำลายธรรมะ ไม่ได้ทำลาย อาตมาไม่ได้ทำลายธรรมวินัย ให้วิปริตอะไรหรอก อาตมาขอยืนยัน

ดีที่ว่ามาค้นสูตรพบ ในเถรวาท นี่บอกว่า ใครที่พูดว่า ตายแล้วไม่เกิดอีกนั่นน่ะ มีทิศทาง ๒ ทิศ ที่จะไปคือ นรกกับเดรัจฉาน ถ้าใครกล่าวว่า ตายแล้วจะต้องไม่เกิดอีกนั่นน่ะ ยมกสูตร ยมกสูตร ดีนะ อยู่ในพระไตรปิฎก เถรวาทเองนะว่าไว้ บอก พระขีณาสพตายแล้ว ไม่เกิดอีก ระวัง ไม่เป็นเดรัจฉานก็เป็นสัตว์นรก ๒ อย่างน่ะ ระวังดีๆเถอะ อยู่ในนั้น ดีแต่ว่า อันนี้มาอ้างอิง เอามายืนยันให้อาตมา เพราะว่าคนจะเป็น พระขีณาสพแล้วก็ตาม ท่านจะตายแล้ว จะเกิดหรือไม่เกิด อย่าไปพูด มันเป็นสิทธิของมนุษยชน ระดับพระอรหันต์ท่านเอง แล้วอย่าไปกล่าวอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น คนที่ไปกล่าว เป็นการกล่าว โดยไม่รู้จริง พระอริยเจ้าชั้นสูงท่านจะรู้เอง อาตมาเอามากล่าวนี่ดีนะว่า มีหลักฐาน ยืนยัน ถ้าไม่มีหลักฐานยืนยัน เขาก็ว่าบ้า ขนาดนั้นเขายังไม่เชื่อ เพราะว่าเชื่อกันมา นานแล้ว พระอรหันต์ตายแล้วสูญ จริง พระอรหันต์ตายแล้วมีสิทธิสูญ หรือในเป็นๆ นี่แหละ พระอรหันต์ เป็นๆ นี่แหละ คือกิเลสตายหมดแล้ว สูญแล้ว กิเลสเป็นสุญญตาแล้ว ก็ได้ จะนำพาร่างกาย จะมีอะไรต่ออีกหรือไม่ ท่านมีสิทธิ์สูญ แต่ท่านจะไม่สูญ คุณอย่าไปแอ๊ค อย่าไปวุ่นวาย กับท่านมาก

เอาละ อาตมาได้บอกถึงเรื่องเกิดเรื่องตายของคนนี่ อะไรที่เขาเข้าใจผิด อาตมาก็อธิบายบางเรื่อง ยังมีอีกมากเรื่อง เพราะฉะนั้น การเกิดการตายของคน คนเราเกิดมา ย่านึกว่าเราเกิดมาแล้ว แล้วก็เสียชาติเกิด ท่านเรียกว่า โมฆบุรุษ อาตมาแปลว่า ชิงหมาเกิด เพราะว่าเราเกิดมาแล้ว ไม่ได้ ประโยชน์ ไม่ได้บุญ ไม่ได้คุณค่าอะไรไป ตายเสียเปล่า แหม ให้หมาตัวใดตัวหนึ่ง มาเกิดร่างเราแทน มันอาจทำดี ได้บุญไปด้วยไปน่ะ มันน่าเสียดาย เพราะฉะนั้น มันชิงหมาเกิดแท้ๆเลย โมฆบุรุษนี่ ดีไม่ดี ไม่ใช่ว่าตายไปแล้วไม่ได้บุญน่ะ ชิงหมาเกิด จริงๆเอาบาปไปด้วยน่ะ ใช่ไหม ได้ร่าง ได้กาย มาดีๆแล้ว นี่เสียชาติเกิด แทนที่จะได้บุญ ได้กุศล ได้คุณค่าดีๆ ได้บาปติดตัวไปด้วย นี่มันซวย มหาซวยเลย

เพราะฉะนั้น อย่าให้เสียชาติเกิด อย่าโมฆะ เกิดมาจะต้องศึกษาจริงๆ บอกแล้ว คนเรานี่ ไม่ได้อะไร ไปหรอก จะได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญอะไร ไม่ใช่ อย่างนั้น ไม่ใช่ของตนหรอก อาจแย่งกัน พี่น้องแย่งกันอะไรไปก็ได้ แต่กรรมนี่ ใครแย่งไม่ได้ พ่อแม่ก็ไม่ใช่ให้เรา เราทำมาเองทั้งนั้น แบ่งพี่ แบ่งน้อง แบ่งเพื่อนแบ่งฝูง แบ่งพ่อแบ่งแม่ แบ่งไม่ได้ อันนี้เป็นของแน่นอน เป็นของจริง อันนี้สำคัญ ศึกษาอันนี้ ให้สำคัญ

เอาละ อาตมาได้เทศนามาใช้เวลาพอสมควร ได้เน้นสิ่งที่สำคัญกันมา อาจหนักหนื่อย ยาก หน่อย แต่เป็นเรื่องที่จำเป็น อย่างน้อยมางานหนึ่งมาพบกัน อาตมาก็จะต้องบอก สิ่งที่ดีที่สุด ให้เอาไปศึกษา อย่าไปจบแค่นี้ ไปศึกษากันต่อ แล้วก็พากเพียรทำเอา เป็นของจริง ที่เราพึงได้ พึงเป็น พึงมี อันอื่น มันไม่สำคัญเท่าสิ่งนี้หรอก กรรมนี่สำคัญมากในโลก

เอ้า เอาละ สำหรับวันนี้ ก็พอแค่นี้

(สาธุ)


ถอดโดย อารามิกดงเย็น จันทร์อินทร์ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๓๔
พิมพ์โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ๔ มิถุนายน ๒๕๓๔
FILE:1545.TAP


บาลีเล่ม ๓๗ ข้อ [๒๗๑] อตฺถิ เทเวสุ พฺรหฺมจริยวาโสติ ฯ อามนฺตา ฯ นนุ
วุตฺตํ ภควตา ตีหิ ภิกฺขเว ฐาเนหิ ชมฺพูทีปกา มนุสฺสา อุตฺตรกุรุเก
จ มนุสฺเส อธิคฺคณฺหนฺติ เทเว จ ตาวตึเส ฯ กตเมหิ ตีหิ ฯ
สูรา สติมนฺโต อิธ พฺรหฺมจริยวาโสติ ๑- อตฺเถว สุตฺตนฺโตติ ฯ
อามนฺตา ฯ เตน หิ นตฺถิ เทเวสุ พฺรหฺมจริยวาโสติ ฯ

๓. ยมกสูตร
ว่าด้วยพระขีณาสพตายแล้วสูญหรือไม่
[๑๙๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร อยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ-
*บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ก็โดยสมัยนั้นแล ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า
เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว
ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก. ภิกษุหลายรูป ได้ฟังแล้วว่า ได้ยินว่า ยมกภิกษุเกิด
ทิฏฐิอันชั่วช้าเป็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพ
เมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก. ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้น จึงพากัน
เข้าไปหาท่านยมกภิกษุถึงที่อยู่ ได้สนทนาปราศรัยกับท่านยมกภิกษุ ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัย
ชวนให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้ว จึงถามท่านยมกภิกษุว่า
ดูกรท่านยมกะ ทราบว่า ท่านเกิดทิฏฐิอันชั่วช้า เห็นปานนี้ว่า เรารู้ว่าทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มี-
*พระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก
จริงหรือ? ท่านยมกะกล่าวว่า อย่างนั้น อาวุโส.
ภิ. ดูกรอาวุโสยมกะ ท่านอย่าได้พูดอย่างนั้น อย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค เพราะ
การกล่าวตู่ พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ว่า พระขีณาสพเมื่อ
ตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก.

ท่านยมกะ เมื่อถูกภิกษุเหล่านั้นกล่าวแม้อย่างนี้ ยังขืนกล่าวถือทิฏฐิอันชั่วช้านั้น อย่าง
หนักแน่นอย่างนั้นว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อ
ตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก.
ภิกษุเหล่านั้น ย่อมไม่อาจเพื่อจะยังท่านยมกะ ให้ถอนทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้ จึงลุกจาก
อาสนะ เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว จึงกล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า ข้าแต่
ท่านสารีบุตร ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก ขอ
โอกาสนิมนต์ท่านพระสารีบุตรไปหายมกภิกษุถึงที่อยู่ เพื่ออนุเคราะห์เถิด. ท่านพระสารีบุตรรับ
นิมนต์โดยดุษณีภาพ.
พระไตรปิฎก เล่ม ๑๗ ข้อ ๑๙๘