"เมื่อใดคนจึงจะเป็นผู้มีประโยชน์ อย่างแท้จริง"

สมมุติคนเช่น หมาไม่มีเจ้าของ เที่ยวเร่ร่อน หากินไปมื้อๆ วันๆ มันจะขยัน และรู้ว่าชีวิตคืออะไร?

แต่ถ้า มันเกิดมีคนรับอุปการะเลี้ยงดู เป็นหมาในบ้าน มันก็จะกลายเป็นหมาหมดค่า ไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร? มันจะมีชีวิตอยู่ เพียงช่วยเจ้าของ ประจบเจ้าของ เพื่อเจ้าของจะได้รัก จะได้ขุนอาหารให้ดีๆ จะได้ความรักจากเจ้าของมากๆ จะได้ยศ เมื่อซื่อสัตย์ และ เห่าดี หรือดุ จะได้สรรเสริญ เมื่อทำตนให้แสนรู้ คนอื่นโลกอื่นเป็นศัตรูหมด ใครๆก็ไม่สำคัญเท่าเจ้าของ มันจึงหลงยึดเจ้าของ เป็นนายแห่งมัน

กลายเป็นผู้เต็มไปด้วยความหลง หมดบริสุทธิ์

คน ก็เช่นกัน ถ้าจิตหลงว่า ร่างกายนี้เป็นนาย ก็จะเปรียบได้กับ หมาหลงเจ้าของ

ถ้ายังเป็นหมาไม่มีเจ้าของ มันจะไม่หลง และจะไม่ยึดอะไร มีชีวิตเพียงวันๆไป หากินใส่ปากใส่ท้อง อิ่มแล้วก็พอ ไม่ต้องทำตัวเอง เพื่อประจบประแจงให้ใครรัก ไม่มีห่วง ชีวิตจะอยู่ก็เพียงอาหารเท่านั้น เป็นสำคัญ และสักแต่ว่าอาหารด้วย ไม่เลือกรูป เลือกกลิ่น เลือกรส ไม่เหมือนหมาที่คนเลี้ยง ซึ่งได้รับการขุนดีๆ เข้า ก็จะเลือกกินแม้อาหาร

หมาไม่มีเจ้าของ จะเต็มไปด้วยอิสระ ไม่มีภาระหน้าที่ใดๆ และจะไม่ทำอะไรเพื่อเห็นแก่อะไร มันจะไม่โลภ มันจะไม่ดุ (โกรธ) มันจะไม่หลงในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง ในสัมผัส

มันจะไม่อนาทร ในการมุ่งอาศัย หรือยึดอะไร ให้เป็นเครื่องช่วยตนมากนัก หนาวหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ยุงจะกัด หมัดจะกิน มันก็จะไม่ลำบาก หรือมากเรื่อง เหมือนหมาเลี้ยง และจะไม่ตายง่ายๆด้วย

"คนผู้หลงร่างกายของตน หรือ หลงว่าตนมีชีวิต" ก็เช่นกัน จะต้องหาทุกสิ่งมาให้ตน แต่จะไม่ทำตนให้ง่าย เพื่อทุกๆสิ่ง คนผู้ฉลาด รู้ชีวิตแท้ รู้โลก หรือ รู้อริยสัจ ก็คือ ผู้ทำตนให้ง่ายที่สุดกับทุกๆสิ่ง ให้เป็นภาระน้อยที่สุดกับทุกๆสิ่ง ให้เบียดเบียนน้อยที่สุด กับทุกๆสิ่ง เมื่อเขาผู้นี้ ไม่เห็นแก่ตน ไม่เบียดเบียนใครใด แรงกาย และแรงจิต (ปัญญา) ของเขาผู้นี้ ก็จะก่อประโยชน์ ให้แต่กับผู้อื่นและโลก ความเป็นผู้มีประโยชน์ของคนผู้นี้ ก็จะเป็นปฏิภาคกลับ เป็นทวีคูณขึ้นมาเอง ตามความเป็นจริง นั่นคือ คนผู้นี้ เมื่อไม่อินังขังขอบกับตัวเอง หรือไม่มัวหลงประคบประหงม ฟูมฟักตัวเอง ก็จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น หรือโลก แต่ถ่ายเดียว เท่านั้น.

๖ ตุลาคม ๒๕๑๓

ประกายธรรม ๖

******