เม็ดทราย ๑๓

แด่ .. พุ ท ธ บ ริ ษั ท
กราบคารวะ
แด่นักรบแห่งจรณะ ๑๕
ผู้สู้ไม่ถอยต่อเหล่าอธรรม
ด้วยหัวใจสุดซาบซึ้ง..สุดบูชา

กราบคารวะ
แด่พุทธบุตรน้อย
ผู้หาญฝ่าเหล่าอธรรม
อย่างห้าวหาญ...อย่างเชื่อมั่น
ด้วยหัวใจสุดจะกล่าว...สุดจะบอก

กราบคารวะ
แด่ชีวิตน้อยๆ ทั้งหลาย
ที่หาญหักปลุกพลังเย็นขึ้นโอบโลก
ท่ามกลางความร้อนระอุ
ที่กราดเกรี้ยวอย่างโมหันต์
ด้วยหัวใจสุดปลื้ม..สุดปราโมทย์

ในความมืดอันน่าพรั่นพรึง
ต้นพุทธะเริ่มเจิดจรัส
หมุนทวนกระแสอย่างสุภาพ
แตกรากปักดิ่งสู่พื้น
แตกใบออกกิ่งขึ้นฟ้า
แผ่กระจายใหญ่โตขึ้นทีละน้อย
หมายเป็นร่มเงาแก่สรรพชีวิต
มิไย หนามฝนจะทิ่มแทง
มิไย สายฟ้าจะฟาดกระหน่ำ
ครวญครางขู่คำรามปานแผ่นดินถล่ม

ต้นพุทธะบางต้น
หยุดแทงราก
หยุดแตกกิ่ง
แต่แล้วก็เริ่มโตต่อไป...โตต่อไป
แผ่พลานุภาพอันไร้เทียมทาน
สกัดกั้นและฟาดฟันเหล่าผีร้าย
ซึมลึกเข้าจิตวิญญาณ
แห่งมนุษย์ผู้ร่านโลกีย์
ให้ผ่อนคลาย
ให้อ่อนโยน
ให้สงบเย็น...

กลางเสียงกราดเกรี้ยว
กลางเสียงขู่ตะคอก
แม้เหยียดเยาะ
แม้หยามเย้ย
ต้นพุทธะยังคงแตกตัวแผ่กว้าง
อย่างช้าๆ
อย่างสุขุม
อย่างอ่อนโยน
อย่างเบิกบานแจ่มใส
อย่างรู้จังหวะ...

เปลวไฟยังคงแลบเลีย
หมู่เมฆแห่งโมหะ
กลั่นตัวตกลงมาเป็นหยดน้ำ
ยากเหลือเกิน
ที่จะอาจเอาชนะ
ยากเหลือเกิน
ที่จะหวังผลสำเร็จ...

กราบคารวะ แด่ดวงประทีปน้อย
ผู้หาญขึ้นสกัด
อย่างพากเพียร...อย่างฉันทะ
แม้เจ็บแสบ...แม้เจ็บปวด

กราบคารวะ
แด่กองทัพธรรม
ผู้อิ่มแน่นด้วยพลังแห่งการมองตน
อาศัยสัญชาติแห่งคนตรงเป็นลมหายใจ
ประคองตัวฟาดฟันทัพเหล่ามารมิย่อท้อ
ด้วยหัวใจ...ด้วยวิญญาณ
สุดศรัทธา...สุดศรัทธา

คารโว
๒๑ มี.ค. ๒๕๒๓


 

สาธุ...พระอรหังสัมมาเจ้า วันนี้ไฟกิเลสเร่าเผาใจหม่น
เมืองสงฆ์ได้มีเรื่องเกี่ยวเมืองคน จะสวดมนต์อ้อนวอนก็อ่อนใจ
เคยมีองค์อรหันต์สองพันกว่า บัดนี้หาเหมือนอย่างมีบ้างไหม
อลัชชีสีดำล้ำข้างใน ประพฤติชั่วช้าไว้ให้ต่ำทราม
หนังสือพิมพ์ลงข่าวป่าวประกาศ คนเลวชาติห่มเหลืองทำเรื่องหยาม
นั่งซดเหล้าเคล้าสีกามั่วบ้ากาม ประชุมตามบ้านเรือนเหมือนวัดวา
สีเหลืองดูร้อนรุ่มด้วยกลุ่มน้อย แต้มด่างพร้อยให้อุจาดศาสนา
เบียดบังศีลช่างสิ้นคิด อนิจจา ออกเหรียญตราสายสร้อยมาห้อยคอ
ให้เลขท้ายให้หวยรวยสตางค์ ให้เครื่องรางของขลังไว้กันใจฝ่อ
เหมือนส่งให้คนใจกล้าทำบ้าบอ ช่วยกันก่อบาปกรรมผิดธรรมะ
โอม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแสงส่งส่องสว่างทางสมถะ
คนชั่วดีอยู่ที่ใจ...ใช่ที่พระ
ถ้าปล่อยละวางทุกข์ย่อมสุขใจ

ดอกไม้ ตะวันออก


 

โลกทั้งโลก หวั่นไหว เพราะใครสร้าง
มุ่งเข่นฆ่า ทำลายล้าง อย่างเปิดเผย
ต้องอ้างความ เป็นธรรม ค้ำคุ้นเคย
ต่างเฉยเมย ดูถูกธรรม ที่ดำรง
เดี๋ยวนี้ธรรม ศาสนา ราคาตก
สกปรก เลอะเลือน เปื้อนฝุ่นผง
หากเฝ้าซ้ำ กระหน่ำฉุด ให้ทรุดลง
ไม่ช้าคง สูญสลาย จากสายตา

มานิตย์ ประภาษานนท์



ถ้าที่ใดไม่มีการต่อสู้
ก็จะไม่มีความก้าวหน้า
ผู้ใดที่อ้างตัวว่ารักเสรีภาพ
แต่เกลียดชังการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง
คือผู้ที่หวังผลโดยไม่หว่านพืชลงสู่ผืนดิน
พวกเขาต้องการมหาสมุทร
แต่ปฏิเสธเสียงกึกก้องคำรามของคลื่นลม

เฟรเดอริค ดักลาส


 

พุ ท ธ า ' ๒๓
กลองรบลั่นกระหึ่ม
ทุ่งศาลี ได้กลายเป็นสมรภูมิหฤโหดอีกวาระ
นักรบแห่งจรณะ ๑๕
สลัดภาระแห่งโลกีย์
หลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ
ต่างเตรียมประหาร
สิ่งที่รัก สิ่งที่หวงเสมอยิ่งชีวิต
สายลมโบกพัดอย่างหวาดผวา
ดวงตะวันตื่นเร่ายิ่งกว่าครั้งใดๆ
จะไม่มีสงครามที่ยิ่งใหญ่และมีเกียรติ
ยิ่งกว่าสงครามครั้งนี้
นี่คือสงคราม
ที่ฟาดฟันมาแต่อดีตนับแต่โลกเกิด
และจะฟาดฟันต่อไปจนกว่าโลกจะดับ
มันเป็นสงครามล้างผลาญเผ่าพันธุ์ ๒ ตระกูล
ระหว่างอสุรมารกับธรรมะ
นักรบทุ่งศาลี
กำศาสตราแห่งจรณะอย่างยิ้มแย้ม
อสุรมารเริ่มหวาดผวา
ส่งเสียงหวีดหวิวไปทั่วกองทัพ
พวกมันจำได้
จำถึงรสชาติแห่งความเจ็บปวด
จำถึงความอัปยศที่เคยรับแต่เก่าก่อน
นับแต่ครั้งพุทธกาล ที่เหล่ามารเริ่มรู้จักความพ่ายแพ้
แต่หลังจากนั้น
มันก็ยืนผงาดฟ้าอย่างโอ่ลำพอง
ไม่มีกองทัพ ไม่มีอาวุธใด
ที่บังอาจเข้าต่อกร
ทุกหนแห่งที่พวกมันเหยียบย่ำ
มีแต่ย่อยยับและย่อยยับ
พวกมันรู้จักแต่คำว่า ชนะ
หัวเราะแล้วก็หัวเราะอย่างเย้ยหยัน
แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า
นับแต่นักรบสีกรักอุบัติขึ้น
เหล่ามารเริ่มตื่นตระหนก
จอมมารน้ำตาเริ่มไหลริน
ยุคทองแห่งสัทธรรม
ได้บังเกิดขึ้นแล้ว
ดุจอาทิตย์รุ่งอรุณ
ที่มีแต่จะสูงขึ้น สูงขึ้น และสูงขึ้น
คาวเลือด และเศษเนื้อของเหล่ามาร
ยังคงเหลือร่องรอยทิ้งไว้แต่ปีก่อน
กลิ่นหอมแห่งธรรมยังไม่ทันจางหาย
กลองรบก็ได้กัมปนาทขึ้นอีกวาระ

เสาร์ที่ ๕ เมษายน เริ่มสงคราม
นับแต่บัดนี้
จะไม่มีการหยุดพัก
นับแต่บัดนี้
จะไม่มีความสงสาร
หัวใจของนักรบ จะมีแต่คำว่า "ฆ่า"
ลมหายใจของนักรบ
จะมีแต่ "ฟาดฟัน"

เอาเลือดเหล่าผีร้าย
มาเซ่นสังเวยแด่องค์พระผู้มีพระภาค
เริ่มแล้ว !
เสียงอาวุธฟาดกันดังสุดขอบฟ้า
ผสานกับเสียงโหยไห้ของเหล่ามาร
นักรบสีกรัก ยืนดูอย่างสงบ สำรวม
เอื้อนเอ่ยจุดบกพร่องให้รู้กัน
ลมร้อนพุ่งผ่านอย่างรีบเร่ง
สายฝนหล่นลงมาอย่างเงียบสงบ
ไม่กล้าร้อง ไม่กล้าครวญแม้น้อย

นักรบทุ่งศาลีที่บาดเจ็บ
ถูกลำเลียงออกไปรักษา
พลางส่งกลับเข้าสู้ต่อ
แม้บาดแผลจะเหวอะหวะ
หัวใจจะบอบช้ำ
นักรบทุ่งศาลีก็ยังคือนักรบทุ่งศาลี

ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า
การสัประยุทธ์ ยังคงดุเดือด
จันทร์กระจ่างฟ้า
ส่องให้เห็นเงาตะคุ่มของนักรบ
หิ้วออกมา หิ้วออกมา...
หนุนเข้าไป หนุนเข้าไป
ประกายอาวุธเฉิดฉายวะแวบมิรู้หยุด

ผ่านไป...ผ่านไป วันคืนผ่านไป
เหล่ามารยังคงกรีดร้อง
เลือดสีนรกนองทั่วพื้น

จอมมารหนาวเยือกสะท้าน
ทั่วทุ่งศาลีสว่างนวลอย่างอ่อนโยน
นักรบเกาะเกี่ยวประสาน
ประคับประคองซึ่งกันและกัน
ต้นมะรื่นยืนดูอย่างสงบราวกับรู้ผล
กลองรบยังคงลั่นสนั่นอย่างคึกคะนอง
มีแต่เสียงเจ็บช้ำ และคลั่งแค้น
ไม่มีฤทธานุภาพใดสกัดกั้น
ไม่มีอาวุธชนิดใดเทียบทาน
แม้รูปร่างจะประหลาดชวนหัว
มีศีลเป็นหัวหอก
มีน้ำ มีจาน มีช้อน
มีเสื้อผ้า มีผัก มีผลไม้
มีของใช้จิปาถะ
ตกแต่งผูกร้อยเป็นโซ่ห่วง
แถมยังมีเตียงนอนเป็นด้าม

เหล่ามารครั้งแรกที่เห็นก็หัวเราะ
แต่สุดท้ายก็สำนึกว่า
อาวุธประหลาดนั้น
มีอานุภาพยิ่งใหญ่ไพศาล
ด้วยปรีชาญาณแห่งองค์ธรรมิกราช
สามารถเอาจุดธรรมดามาเป็นจุดเด่น
เอาจุดมองข้ามมาเป็นสาระ
ละอองเกสรดอกฟ้าลอยคละคลุ้ง
ส่งกลิ่นหอมอวลตลบ
นักรบผู้พิชิตกิเลสมาร
ต่างกระชับดอกฟ้าในมือไว้มั่น

๑๒ เมษายน...การรบสิ้นสุดลง
สมรภูมิเหลือแต่ความเงียบ
นักรบทุ่งศาลี
สลายตัวคืนถิ่น
กลับไปประกาศสงคราม ณ ถิ่นของตน...
ดังขึ้นแล้ว...กลองรบดังระงมขึ้นแล้ว
มารเอย อย่าร้องไห้
ทีใครก็ทีมัน !

ทุ่งศาลี
๑๖ เม.ย. ๒๕๒๓



"พุทธาภิเษก" คือการทำให้ "คน" เป็นพุทธ
หรือการทำให้ "คน" เป็นพระอริยบุคคล
ในแบบพุทธ ตามธรรมวินัยของ "พุทธ"
อย่างต่ำก็เป็นพระโสดาบัน
สูงขึ้นไปก็เป็นพระสกิทาคามี
สูงขึ้นไปอีกก็เป็นพระอนาคามี
สูงสุดก็เป็นพระอรหันต์
ดังเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้ทรง "พุทธาภิเษก" คน ให้เป็นพระอริยสาวก
และพระอริยสาวกทั้งหลาย ก็ได้ช่วย "พุทธาภิเษก" คนอื่นๆ
มาเป็นพระอริยสงฆ์ต่อๆ มาอีก เป็นต้น

อโศก


 

แม้ความเห็นแก่ตัว อาจก่อการเสียสละขึ้นได้
แต่บุคคลผู้เห็นแก่ตัวย่อมทำด้วยความไม่เต็มใจ
ประดุจกับเด็กดึงเอาผลไม้อันยังไม่สุก
โดยต้องเหนี่ยวรั้งให้กิ่งก้านหักราน
แต่เมื่อใดมนุษย์เกิดความรักขึ้น
การให้ของเขาก็เป็นไปด้วยความชื่นชม
ประดุจต้นไม้ปล่อยผลสุกให้ร่วงลงเอง

สรรพศฤงคารของเรานั้นมีน้ำหนัก
เพราะแรงดึงดูดของความเห็นแก่ตัว
เราปล่อยมันให้หลุดลอยไปได้โดยยาก ราวกับเป็นเลือดเนื้อ
แต่ก่อความเจ็บปวด ถ้าถูกพรากไป
แต่เมื่อเราเกิดความรักขึ้น
แรงนี้ก็กระทำในทิศตรงข้าม
สิ่งต่างๆ ที่เกาะเราไว้แน่นนั้น
จะหลุดออกและเบาขึ้น
แล้วเราก็พบว่า แท้จริงไม่ใช่ของเรา
การให้ไป แทนที่จะเป็นการสูญเสีย
ก็กลับพบว่า เป็นการทำให้ธรรมชาติแท้จริงของเรา
เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ขึ้น
รพินทรนาถ ฐากูร



บนเส้นทางสายนี้ ใช่จะมีดอกไม้หอม
ประดับเด่นไว้ดมดอม เพื่อจะมองให้เมามัว
ขวากหนามระโยงยาง ยังซ่อนพรางมากพันพัว
น้องพี่ระวังตัว สิ่งโฉดชั่วที่แฝงเรา
เรียนรู้จากชีวิต ใช่ต้องติดตามใครเขา
ใช่ดื้อด้านดุ่มเดินเดา ใช่จะเอาแต่ใจตน
เป้าหมายอาจห่างไกล หากตั้งใจดูสักหน
ตั้งมั่นฟันฝ่าจน ประจักษ์ผลแก่ชีวี
ที่นี่มีพี่น้อง หมายประคองเหล่าน้องพี่
ขอต้อนรับด้วยยินดี ด้วยไมตรีและจริงใจ

 



ดูโน่นแน่ะ
ขอบฟ้าสีเทา ณ เบื้องหน้า
ที่หยาดฝนโปรยปรายลงสู่ผืนพสุธากว้าง
แล้วไหลหลั่งมารวมเป็น ห้วย หนอง คลอง บึง
จากธารน้ำทั้งสี่ทิศ ค่อยค่อยรวมกันเข้า เป็นแม่น้ำใหญ่
แล้วที่สุด ไหลมาบรรจบกัน ในท้องสมุทรกว้าง ณ ที่นี้
ขอให้เราสำรวมจิตลงด้วยความถ่อมตน
เฉียบขาด แต่นอบน้อม ไม่ยโส
เพื่อสลายอัตตาแห่งความยึดมั่นถือดี
ให้ละลายลงเป็นสุทธิสัจจะอันบริสูทธิ์
แล้วไหลมารวมบรรจบในเอกภาพหนึ่งเดียว
แห่งความเป็นพุทธบุตร ณ ที่นี้

ดูโน่นแน่ะ !
ห้วงสมุทรไพศาลยิ่งนัก
เพราะมหาสมุทรกว้าง
อยู่ต่ำกว่าแม่น้ำทั้งสี่ทิศ
และท้องทะเล

๒๑ ส.


 

นิราศทุ่งศาลี

วันที่สี่เมษาจรมาถึง
จิตคำนึงถึงที่ศาลีสถาน
มาอบรมพุทธคุณบุญบันดาล
ท่านแจกจารธรรมะผละอบาย

ลัดมาถึงสถานที่ศาลีอโศก
ลมไกวโบกค่อยผ่อนความร้อนหาย
ต่างคนยึดตำแหน่งแหล่งพักกาย
ตามสบายใจตนของตนเอง

ตัวดิฉันยึดใต้ต้นมะรื่น
มันแช่มชื่นจิตใจไม่ข่มเหง
ต่างเอื้อเฟื้อแบ่งปันเป็นกันเอง
ต่างครื้นเครงผ่อนคลายหายกังวล

นอนหลับหลับตื่นตื่นค่อยฟื้นตัว
ยังเงียงัวธรรมะปลุกทุกแห่งหน
ต่างลุกนั่งทรงกายทำลายตน
ให้หลุดพ้นนาคามาเยี่ยมเยือน

เช้าวันนี้ไม่มีการทำวัตร
เพราะยังจัดรายการได้ไม่แม้นเหมือน
ญาติธรรมยังแน่วแน่ไม่แชเชือน
ต่างรีบเตือนตนของตนพ้นง่วงนอน

ช่วงก่อนฉันท่านสุทธิฯแจกธรรมะ
เอาชนะจิตใจใคร่สั่งสอน
อยู่ด้วยกันให้ได้ใช่ว่าวอน
เตือนไว้ก่อนคนหมู่มากจะยากใจ

กินอาหารเราก็กินกันอย่างพระ
เป็นธุระผันผ่อนสอนกันใหม่
จงรอคอยปัจเวกขณ์ก่อนอย่าร้อนใจ
ชนะใจเจ้าเปรตทุเรศดู

เป็นวันแรกความแปลกและความใหม่
อะไรอะไรก็งามความเหมาะหรู
ตั้งจิตใจฟังธรรมะท่านพระครู
ใจยังอยู่ไม่ดิ่งดับไปกับมาร

แต่ตอนสายบ่ายหน่อยค่อยค่อยร้อน
อยากพักผ่อนตาจะหลับกับเสียงหวาน
เสียงพระเทศน์ฟังดังเพลงก้องกังวาน
ฟังยิ่งหวานเห่ขับจับวิญญา

พอตกบ่ายพระพายพัดโชยโชยอ่อน
ยิ่งความร้อนมาประดังสิ้นกังขา
ไพศาลีที่พำนักตามเวลา
เลื่อนฐานาจากประถมมัธยมเต็ม

แว่วว่าทนที่นี่ได้ไม่อาบน้ำ
ครบเจ็ดวันถ้าอยู่ได้จะให้เข็ม
เก็บเอาไว้สอยเย็บผ้าคราปรีดิ์เปรม
ใจอิ่มเอมท่านส่งให้ได้อดทน

ตะวันลาคราเคลื่อนเลื่อนลงต่ำ
พระจันทร์นำส่องสว่างกลางเวหน
ยามราตรีฟ่องฟ้าทั่วสากล
ธรรมะดลให้เร่งรัดกำจัดมาร

ท่านถิรฯทำหน้าที่ถามสัมภาษณ์
ผู้ประกาศปรีชาปาฏิหาริย์
หมอวิจิตรปราดเปรียวผู้เชี่ยวชาญ
ท่านผู้การสุรศักดิ์เป็นคนดัง

คุณทุเรียนไร้มายาปัญญาเลิศ
ผู้ประเสริฐปรัชญาที่กล้าขลัง
คุณสุนัยช่วยเสริมเติมพลัง
ให้งานขลังเสริมศรัทธาปัญญาไว

พญานาคลากยุดฉุดลงต่ำ
เกือบเพลี่ยงพล้ำดำดิ่งสมุทรใหญ่
ทั้งทั้งรู้ว่ามันพร่าพาเราไป
สู่อบายเกียจคร้านเกือบคลานตาม

เอาชนะต่อสู้อยู่อย่างหนัก
พอคลื่นผลักลมไกวไม่ไต่ถาม
ต้องรบราฆ่าฟันกันลามปาม
ให้ดิ่งด่ำก้นสมุทรฉุดขึ้นมา

อาหารมันห้าอย่างที่สร้างเหตุ
มันเหมือนเปรตคอยฟาดฟัน นั่นแหละหนา
ทั้งโขลกสับขับไล่ไม่นำพา
ค่อยค่อยพาตัวรอดปลอดนาคี

ตั้งสติเตือนตนเป็นคนใหม่
อย่าเก็บไว้ความง่วงห่วงหมองศรี
ไล่มันไปหมั่นรบฆ่าหมั่นราวี
มันตัวนี้ดึงเอาไว้ไม่เห็นธรรม

ถามตัวเองดูซิว่าอาหารนี้
ว่าตนมีรังเกียจไหมงามขำ
ยิ่งมีตัวเกียจคร้านยิ่งระกำ
จะชอกช้ำถ้าซัดส่ายบิดกายเรา

หรือว่าเรายังมัวเมาในอาหาร
กินเมื่อวานถ้ายังอยู่ดูน่าเขลา
หรือเพราะจิตเราหดหู่ก็ดูเอา
อย่าใจเบาฆ่านาคาต้องฆ่าจริง

พอยินเสียงเรียกสั่งระฆังเคาะ
ให้มาเพาะพุทธคุณบุญอันยิ่ง
ได้เวลาก็รีบมาอย่าประวิง
มานั่งนิ่งฟังธรรมะละอบาย

ตั้งใจแน่วแล้วจะไม่นั่งเงกโงก
ให้หัวโขกเงยงะผงะหงาย
มานั่งจริงแล้วสิหนาน่าละอาย
ตัวอบายเกียจคร้านเข้ารานรอน

ต้องต่อสู้เช้าบ่ายจนกายเหนื่อย
เมื่อยก็เมื่อยต้องมานะฟังพระสอน
เวลานอนท่านก็ให้ไม่อยากนอน
จิตมันซ้อนเพราะไม่สั่งให้ตั้งตรง

มันตื่นก่อนนอนสายกว่ากำหนด
ใครจะอดทนได้มันใหลหลง
ที่ว่าเก่งทนได้อย่างใจจง
แล้วก็คงนั่งหลับคำนับธรรม

ได้เวลาสิบแปดนาฬิกาบอก
พวกเราออกกันมาฝนฟ้าฉ่ำ
ที่ขาดทุนบ่นปอดยอดระกำ
สุดเจ็บช้ำไยหลับใหลไม่เอางาน

ต่างตั้งมั่นไม่ให้เลือนเตือนสติ
อุตริคิดฝันก่อนกำหนดขาน
ต่างวอนเตือนเพื่อนนั่งใกล้ช่วยไขลาน
อย่าให้ท่านได้เห็นเป็นเวรจัง

ธรรมะดีวันนี้มีแถมพก
เปิดหัวอกทายกเก่าเล่าความหลัง
ท่านมนาโปดำเนินรายการดัง
กว่าจะฟังก็ย่างเข้าสิบเก้านอ

แล้วมานั่งจดจ่อรอธรรมะ
ท่านมนาโปสวดอีกซิหนอ
อยากโอ้เอ้ท่านว่าไปหน้าไม่งอ
ท่านหัวร่อเตือนเราเข้าใจกัน

ทายกเก่าสี่ท่านผลัดกันพูด
พระท่านหยุดยั้งให้คิดจิตใฝ่ฝัน
ให้ละเว้นอามิสผิดอนันต์
ตรวจจิตกันมันต่างวิ่งเหมือนลิงซน

อย่าทำตัวเป็นแมวกินแจวหนี
ทำไม่ดีมันน่าอายให้สับสน
จะไร้สุขย่อยยับถึงอับจน
มัววิ่งวนดิ้นไม่หลุดสุดลำเค็ญ

ตัวท่านเป็นอาจารย์สมภารเก่า
ได้บอกเล่ากล่าวเรื่องที่เคืองเข็ญ
เคยหลอกเทศน์แหล่เล่ามาเช้าเย็น
ตอนนี้เป็นพันธุ์อโศกช่างโชคดี

ได้ธรรมะชำระจิตคิดเลิกลด
ต่างเปลื้องปลดโมหะเขลาเฝ้าแต่หนี
หยุดอบายหน่ายมานะละโลกีย์
เผยของดีแจกไว้ให้เพื่อนธรรม

เช้าวันจันทร์ค่อยแฉล้มและแช่มชื่น
รีบลุกตื่นจากหลับใหลไม่ถลำ
"มารอเพื่อน" เตือนตนเข้าเฝ้าหนุนนำ
อย่าให้คำเตือนนั้นเป็นหมันไป

สิกขมาตจินดาพาทำวัตร
ท่านเริ่มอัดวิทยาปัญญาใส
อริยทรัพย์สืบกันมาพากันไป
อนุสัยสั่งสมมาพากันทราม

ท่านสมานัตตโตโต้ตอบต่อ
ในหัวข้อดั้งเดิมเติมคำถาม
เรื่องศรัทธาเสกเป่าเล่าตามตาม
นั่นเพราะความใจยึดมั่นเท่านั้นเอง

พึงยึดถือในศีลให้คงมั่น
หิรินั้นหมั่นละอายให้เหมาะเหม็ง
โอตตัปปะสะดุ้งไว้ให้กลัวเกรง
ความดีเคร่งความเก่งได้ในความดี

พหุสัจจะคือความงามในศีล
หวังถวิลแต่การให้แม้ศักดิ์ศรี
อีกปัญญาปลอดโปร่งไว้ไร้ราคี
ความโกรธมีทำให้ทุกข์ใจตน

อีกทั้งความแตกต่างทางชนชั้น
อริยะนั้นต้องเร่งเข้าเฝ้าฝึกฝน
จงหลีกเลี่ยงการเป็นปุถุชน
จงฝึกฝนเอาธรรมะชำระมาร

สามเณรเสงี่ยมเยี่ยมหน้ามาเทศน์ต่อ
คนหัวร่อท่านมาดดีมีเสียงขาน
เสียสละดีและจริงสิ่งแจกจาน
มาเถิดท่านจนให้เป็นเป็นที่จน

แม้นได้กินกินก็น้อยน้อยเพียงนิด
เราอิ่มจิตอิ่มที่ใจมิได้สน
อาหารกินอาหารกายไร้กังวล
เราอิ่มล้นธรรมะฟังสะทรวง

แผ่นดินไหวแบ่งแยกแตกเป็นสอง
ตามทำนองแยกที่ใจใช่ที่สรวง
จิตแยกจิตใจแยกใจได้ทั้งปวง
กรรมดีล่วงกรรมดำดับอยู่กับเรา

ญาติธรรมเป็นทั้งเนื้อเยื่อและเลือด
ไม่เฉือนเชือดทิ้งออกไปใช่จะเขลา
ญาติทางโลกคือเสื้อผ้าอย่าพาเบา
หลงรักเข้าก็จะมาพากันวาย

ตกตอนค่ำธรรมาคณามิตร
ธรรมฤทธิ์ใครก็ได้ให้มั่นหมาย
หากทำจริงใครก็ได้ทั้งใจกาย
เด็กสบายผู้ใหญ่ดีอยู่ที่จริง

ท่านติกขวีโรผู้โต้ถาม
ผู้ตอบตามความมีดีเข้าสิง
ฤทธิ์ธรรมะสู่วิญญาหาประวิง
ดีและจริงจริงและดีอยู่ที่ทำ

ธรรมของท่านอรณชีโวโต้ขยับ
ธรรมะจับเอาไว้ให้วาบหวาม
ทมะข่มความสนุกทุกข์ระกำ
ที่ยิ่งช้ำคือความอยากยากเหลือเกิน

มุ่งสัจจะทมะวิริยะมั่น
ชนะมันให้ได้ใคร่สรรเสริญ
การยึดติดพรากให้ได้อย่าไปเพลิน
ให้มองเมินอย่าไปเห็นเป็นของดี

คาถาธรรมวันนี้ที่เราได้
มาทรงไว้ "ความหมดอยาก" ไม่พรากหนี
จนให้ได้จนให้เห็นเป็นคนดี
สัจจะมีทำจริงจริงทิ้งความเลว

เมื่อก่อนฉันท่านจันทโภโล้เรือรี่
จูงคนดีฟังธรรมะผละจากเหว
จูงคนดีจูงได้ยากจากคนเลว
เหมือนฝ่าเปลวไฟไปคว้าหาไข่งู

ท่านเปรียบเทียบความยากอย่างแปลกแปลก
จูงอูฐแทรกหลบเข้ามาพาถาถู
เข็มเล็กเล็กต้องให้พรากมาจากรู
ลองคิดดูจูงกันยากลากเจียนตาย

ตะวันคล้อยค่อยสายบ่ายลงแล้ว
ธรรมะแจ้วจากมนาโปพุทโธหมาย
ให้ธรรมะแทรกเป็นยาพาพ้นตาย
ไม่วางวายต้องใส่หาอริยชน

ท่านช่วยแก้คนแก่นั้นสอนยาก
กิเลสมากจะพาศาสนาป่น
คนกินมากนอนมากหนาพากันกรน
กิเลสล้นทุกข์จะมากลำบากตัว

ท่านสมานัตตโตโสดาแจ้ง
ท่านชี้แจงสกิทาพายิ้มหัว
อนาคาเป็นเช่นไรไม่เมามัว
อรหันต์ละความชั่วทั่วโลกา

มาตั้งตนบำเพ็ญให้เป็นพระ
มาลดละทุกข์อบายหลายปรารถนา
มาละเว้นความเขลาเบาปัญญา
มาเลิกจากความมายาประสาคน

นิพพานนั้นอยู่ที่ล้างความหลงได้
อยู่ที่ใจไม่หลงเก่งเร่งฝึกฝน
ทำแต่ดีคิดแต่ดีมีมงคล
เมื่อหลุดพ้นที่ยึดหลบพบนิพพาน

หมั่นมองตนของตนสนให้มาก
เรื่องลำบากก็ดูเขาเราอย่าสาน
มองตัวเราเฝ้าลดละกะประมาณ
ตั้งใจมั่นทำของใหม่ให้ดีงาม

คนที่ดีมีศีลจะช่วยชาติ
ถ้าหากขาดความเย็นไปให้ไต่ถาม
เมื่อเกิดทุกข์ขึ้นทีไรใครติดตาม
ใครหาบหามใครทุกข์เล่าเราคนเดียว

ทำวัตรเช้าวันพุธสุดคักคึก
ท่านมาถึงกลางดึกไม่นึกเฉลียว
มาผนึกฝึกพวกเราเข้าเชือกเกลียว
ให้แน่นเหนียวยื่นไม้ดีตีผีมัน

ธรรมวันนี้ธรรมอันดีท่านสิริฯ
มาเพื่อติติเพื่อก่อข้อมหันต์
มาต่อตีผีร้ายร้ายพ่ายอนันต์
ปลายหอกนั้นเสียบอกผีตกใจ

ผวาเผ่นเล่นโลดโดดกันแผล็ว
ใช่แน่แล้วท่านมาพาผ่องใส
ผีก็ผีเถอะน่าอย่ากลัวไป
ท่านปราบได้ใจท่านเด็ดเผด็จมาร

ท่านสอนให้ละอบายใคร่ชี้บอก
มันย้อนยอกเอาชนะมานะผลาญ
ทำเหลาะแหละเล่นเล่นไม่เป็นการ
หมั่นบงการคอยรบราอย่าปรานี

อีกทั้งการคบมิตรสนิทแน่น
เป็นปึกแผ่นอย่าคบหาบรรดาผี
คบคนชั่วเสริมแนะชั่วตัวราคี
ไม่เสื่อมศรีเมื่อคบหากัลยาณชน

กัลยาณมิตรคือมิตรที่ชี้บอก
ให้ละออกจากความชั่วทั่วทุกหน
เอ้ออำนวยแจงธรรมช่วยค้ำตน
ขอทุกคนเลือกคบไปใช้ปัญญา

อีกให้เนกขัมมะกามแส่
กามแน่แท้ที่เราเฝ้าฝันหา
ไปติดยึดมันเข้าเศร้าอุรา
ตัวกามาพาตกต่ำด่ำหัวลง

ตกนรกโลกันตร์ชั้นต่ำสุด
ไม่ได้ผุดอยู่กับชั่วมัวแต่หลง
อย่าอวดหยิ่งเราทิ้งได้คล้ายทระนง
จะเจ็บองค์เจ็บที่ใจใครแก้แทน

ใช้โยนิโสมนสิการชำนาญกิจ
ทำที่จิตให้แยบยลผลเป็นแสน
ยังประมาทรอไว้ไปแกนแกน
ท่านเปรียบแม้นซึ่งหางช้างติดพวยกา

เมื่อเกิดแล้วเกิดเล่าเปล่าประโยชน์
มันเป็นโทษไม่ประเสริฐ "เกิดชิงหมา"
มันเจ็บช้ำเสียวแปลบแสบอุรา
อนิจจาหมายังมีดีกว่าเรา

ตอนก่อนฉันพ่อโปรดเปรตทุเรศลั่น
เรื่องเก่าอันจะพาปัญญาเขลา
เรื่องเนื้อสัตว์พูดกันมาหาได้เบา
คนกินเฝ้าเฉโกโต้ไม่วาง

อธิบายกันโต้งโต้งคอโป่งแล้ว
จิตยังแน่วจะกินไปไม่ขัดขวาง
ปัญญาเบาเมากิเลสไม่จืดจาง
ต่อเอาช้างมายุดฉุดไม่ไป

อธิบายกินได้ไว้สามอย่าง
มีข้ออ้างเอ่ยอ้าจะหาไหน
หนึ่งอุทิศซึ่งร่างร้ายทั้งกายใจ
สองนั้นไซร้สัตว์ที่หมายนั้นตายเอง

ต้องลุกรี่รีบสลัดตัดมันทิ้ง
ที่เข้าสิงนิ่งนอนจิตก่อนเก่า
ทั้งดึงลากขุดลึกศึกไม่เบา
กว่าจะเอามันออกยอกที่ใจ

เฝ้าฟังธรรมพระสิริจันโทแก้
ในคำแปลโยคาวจรไข
คือผู้ที่ฝึกแก้กิเลสใน
ที่เน้นไว้คือศีลอย่าหมิ่นแคลน

หมั่นแก้ไขศีลที่ยังมีพลาด
อย่าให้ขาดศีลนำมาค่าเหลือแสน
นิราศทุกข์อยู่เป็นสุขในดินแดน
จิตเหมือนแม้นเป็นฌานนั่นแหละคุณ

อย่ามัวเมาในกามรามราคะ
ควรลดละตัณหาลาเมถุน
สิ่งเสพติดทั้งห้ากามคุณ
จะนำหนุนตกต่ำซ้ำซวดเซ

จงมาหมั่นฝึกฝนอบรมจิต
ระวังมิตรผู้มาเยือนให้เชือนเฉ
อันสามมิตรงามสง่าพาเราเก
ให้ห่างเหจากสามเกลออย่าเจอมัน

ตัวที่หนึ่งตัวเปรตเลสมานะ
มันจะกละจับให้ได้อย่าให้หัน
มือมันใหญ่ท้องยุ้งพุงอนันต์
อย่าเชื่อมันหลงให้หลอกตอกลงไป

ตัวที่สองนาคาพญาเลื้อย
ตัวยาวเฟื้อยชวนเราเฝ้าหลับใหล
มันออเซาะหลอกล่อมาเมื่อใด
จับมันได้ให้เข่นฆ่าอย่าเรรวน

ตัวที่สามชอบซุกหัวตัวออเซาะ
มันลัดเลาะอยู่ข้างในเราให้หวน
มันร่ำร้องเสนอให้มิใคร่ครวญ
มารู้จวนคิดว่ามันนั้นตัวกู

เมื่อรู้แล้วว่าไม่ใช่ตัดใจทิ้ง
วอนประวิงทิ้งกันเถิดประเสริฐหรู
อย่าปล่อยใจให้ตกหล่มเจ้าโฉมตรู
เจ้าจงรู้ตัวให้แน่อย่าแพ้มัน

จบธรรมะของท่านชวนกันแก้
มาเผยแพร่ศาสนาค่ามหันต์
ให้ดูอย่างเยี่ยงต่างประเทศกัน
ต้องโศกศัลย์เพราะไร้ธรรมน้อมนำชน

ข้อที่สามตามมาน่าจะคิด
หยุดเพียงนิดคิดไปให้ถูกเผง
สัตว์รบราฆ่ากันตายไปตามเพลง
เหลือเนื้อเก้งเสือกินไม่สิ้นเดน

ก็เชิญเถิดเชิญกินเล่นเหลือเดนสัตว์
หมามันฟัดเสือขม้ำหม่ำให้เห็น
จะไล่ล่าเสือสิงห์ลิงเป็นเป็น
หรือจะเข่นฆ่ากินก็เชิญเลย

ขอให้หมดสงสัยในข้อติ
อุตริกินสัตว์จัดเฉลย
ก็กินเถิดอย่ากระเทียบหรือเปรียบเปรย
เราเฉยเมยแล้วเนื้อสัตว์ตัดมันไป

พอตอนบ่ายพ่อพาปัญหาเสียง
ชื่อผ่าเปรี้ยงตอบลับดับเงื่อนไข
ทั้งผ่าแตกผ่าแยกแหลกทันใจ
สว่างไสวโมทนาสาธุการ

ที่เคยง่วงเคยหงุบหลุบลงต่ำ
กลับดื่มด่ำขึ้นมาพาขนาน
นามพ่อ "ขวานจักตอก" ดอกไม้บาน
ก้มกราบกรานหาที่ไหนไม่ได้แล้ว

สามชั่วโมงส่งเสียงหัวร่อจนงอหาย
ดูผ่อนคลายหน้าตาพาใสแจ๋ว
ที่เคยเสี่ยงหลบหลับกลับต้องแจว
มานั่งแถวนำหน้าหาแต่ธรรม

รายการค่ำสัมภาษณ์งามดอกไม้
บานไสวทุ่งศาลีที่ชื่นฉ่ำ
เทียบสองวัยที่จะหามาหนุนนำ
สองวัยจำเป็นต้องมีที่เหนี่ยวดึง

ทุกคนมีธรรมะชนะอยู่
เพื่อเป็นคู่ชีวาพามาถึง
ได้ลดละสิ่งทุเรศกิเลสดึง
ธรรมะจึงเหมาะทุกชั้นวรรณะคน

ดอกไม้บานและโรยก็โชยกลิ่น
ให้ถวิลถึงใจมั่นไม่ผันผวน
มีธรรมะละอบายไม่เรรวน
ไม่เหหวนหลงเล่ห์อเวจี

ธรรมะปลุกลุกร่างอย่างแช่มชื่น
มาเริงรื่นกับพระธรรมนำสุขี
ทีเราเสพย์คีตะกะโลกีย์
จะเสื่อมศรีเพราะเสพย์กามทรามจริงเรา

ธรรมะดิ่งลงถึงใจใต้สมุทร
ระดมฉุดขึ้นมานาคาขยัน
ชอบเลื้อยรุกบุกขึ้นมาให้น้ำกัน
คาถาพันพระคุณไล่ไม่ให้เจอ

อภิปรายพิเศษเลศมานะ
ทุกคนกะฟังธรรมนำเสนอ
มาที่นี่มีทุกวันมันเหมือนเกลอ
ตัวเบ้อเร่อเจ้ามานะจะแฝงตัว

คุณจินตนามาเผยมานะให้
ตัวมันใหญ่ซุกซ่อนอยู่คอยชูหัว
คุณจงจินต์กลัวแพ้มาแก้ตัว
มานะชั่วแต่ละคนอยู่ปนเป

ครูอุดมสาธุชนคนขยัน
มานะมันสุมอุราพาห่างเห
ต่างคิดแก้แต่มานะจะรวนเร
ท่านไม่เสแสร้งหลอกบอกจริงจริง

คุณสมพงษ์จิตอ่อนซ่อนมานะ
ก็เผยดะทำให้เราเหล่าผู้หญิง
ดูมานะที่ตัวเราเฝ้าประวิง
ก็เป็นจริงทุกข้อเค้าเขาเล่ามา

สาแก่ใจเจ้ามานะที่จะซ่อน
ดังแต่ก่อนจะคอยเขี่ยเจ้าแหละหนา
คอยซุกซอนซ่อนอยู่ที่ไหนนา
ลากออกมาเขี่ยออกไปไกลชีวิน

เช้าวันนี้เป็นวันปลายวันท้ายสุด
ท่านยังฉุดปลุกมาพาถวิล
ลุกิเลสหายามาให้กิน
ดูมันดิ้นขลุกขลักในปลักใจ

คุณจำลอง มองธรรมะอย่างยอดเยี่ยม
เอา "ต้วมเตี้ยม" เป็นที่ตั้งช่างดีไฉน
มัวประมาทเสียชีวีดีเมื่อไร
จะให้ใครช่วยเล่าเมื่อเราโวย

อาหารกายก็ได้ลิ้มจนอิ่มแล้ว
ธรรมะแจ้วอยู่ในใจไยไห้โหย
ถ้าทางโลกวันจะลาน้ำตาโปรย
กิเลสโอยฉอเลาะออเซาะเอา

พวกอำลามาไกลปักใจมั่น
ธรรมะนั้นเป็นอมตะผละความเขลา
เมื่อโบยบินสู่โลกีย์ที่มัวเมา
จงเตรียมเอาพุทธคุณหนุนนำจร

เมื่อก่อนฉันพ่อท่านให้ธรรมะ
พึงลดละซึ่งความเสพย์ให้เกิดผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แก่ใจตน
เกิดเป็นคนต้องใฝ่ธรรมจึงจำเริญ

พ่อดำเนินรายการงานพิเศษ
เพื่อเผยเจตนารมณ์ชมสรรเสริญ
ชีวิตคู่อยู่กันได้ไม่ล่วงเกิน
แต่ไม่เมินมองโทษถึงโกรธกัน

แต่ละคู่ยังรักกันและกันอยู่
แต่ละคู่อยู่กันมาอย่างน่าขัน
แต่ละคู่อยู่เลี้ยงและแบ่งปัน
แต่ละคู่อยู่กันด้วยไมตรี

เพราะทุกคู่รู้ธรรมะกระจะแจ้ง
รู้โทษแห่งความรักอยู่อักขี
มีลูกมากยิ่งทุกข์มากทับทวี
อันลูกนี้ทำใจเราเฝ้าเวียนวน

ธรรมะปลุกลุกขึ้นเถิดท่านที่รัก
ผู้สมัครนอนต่อก็ไม่สน
ขออีกนิดเถอะน่าอย่าร้อนรน
ท่านเร่งจนพวกดิฉันเฝ้าฝันร้าย

พวกตื่นก่อนร่อนเร่มาเทน้ำ
อาบให้หนำพวกขี้ร้อนผ่อนให้หาย
ร้อนที่ใจไยมาแก้แต่ที่กาย
น้ำมากมายก็ไม่พอต่อต้องการ

ต่างรีบเร่งอย่างเอื่อยเอื่อยเพราะเมื่อยล้า
อีกนิดน่าขออีกวันจะฝันหวาน
จะกลับไปสนองกิเลสที่ลนลาน
บ้างคิดการเราจะอยู่สู้ต่อไป

ท่านสิริฯเริ่มวิสุงปรุงธรรมะ
เอาชนะสู้ให้ผ่านอย่างขานไข
จงเข้มแข็งสู้ สู้ สู้ ที่ใจ
อ่อนเมื่อไรเร่งตนเข้าเฝ้าพุทธองค์

ขอเลื่อนเลยเอ่ยธรรมมาพระยาบ้าง
นั่งสองข้างธรรมาสน์อาสนสงฆ์
มีปรีชาวาทะทั้งสององค์
ไม่ให้ลงทะเลลับกับนาคา

ท่านติกขวีโรตั้วโผถาม
ผู้ตอบตามมนาโปโต้คาถา
พระยามิลินท์ถิ่นที่ผู้ปรีชา
พระนาคานาคเสนตอบแทนทัน

จบคำกลอนเสียทีศาลีพราก
นั่งรถจากพุทธสถานผ่านอักษร
จงไปดีเถิดหนาอย่าอาวรณ์
เอื้ออาทรแพร่ธรรมะให้กระจาย

พุทธาภิเษกเสกคนจนเป็นพระ
เอาชนะกิเลสร้างจางห่างหาย
จะช่วยตนช่วยชนตามนโยบาย
สวัสดีพบกันใหม่สหายธรรม

กรองทอง
๑๕ เมษายน ๒๕๒๓



ร้อนความชั่วกลั้วกายอบายมุข
บังเกิดทุกข์ท่วมท้นเกินทนไหว
ดังมารเงื้อมเอื้อมอาจพิฆาตใจ
เหมือนเปลวไฟจ้องจวกคอยลวกรน

ผิดกันกับความดีที่พิสุทธิ์
ปานประดุจสายสาดของหยาดฝน
เย็นระรื่นชื่นฉ่ำเฉกน้ำมนต์
บันดาลดลความสุขห่วงทุกข์ภัย
พิกุลแก้ว



กินเรื่องใหญ่ ตายเรื่องกลาง ตะรางเรื่องยุ่ง
ทุกคนมุ่ง เพื่อปากท้อง จะหมองหม่น
กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อกิน ถวิลตน
ชีพร่วงหล่น แล้วจึงปลด หมดเรื่องกิน
เรื่องตัณหา มนุษย์หลง คงโกรธโลภ
รวยละโมบ จนละเมิด เกิดเสื่อมศีล
พุทธองค์ ทรงตรัส ขจัดจินต์
เงินทั้งสิ้น อสรพิษ ฤทธิ์ร้ายเรง

วิจิตร ชื่นตา




ภายในอาณาจักรแห่งความมืดมน ทางปัญญานี้
เป็นที่รวมของมหันตภัยอันร้ายแรง
และรุกรานชีวิตมนุษย์ มาตั้งแต่เกิด
มันเป็นต้นเหตุแห่งการแก่งแย่งพยาบาท
เป็นจุดก่อภัยสงคราม อันโหดร้ายทารุณ
เป็นความหลอกหลอน ให้ประหวั่นพรั่นพรึง
แต่ที่อันตรายลึกซึ้งและน่ากลัวที่สุด
กลับอยู่ในรูปของความฝันเฟื่องเพลิดเพลิน
ที่ลวงล่อผู้คนให้หลงใหล จนยอมตนวนเวียนอยู่ในมัน
โดยคิดว่าเป็นสุขอันถาวร
แต่เมื่อใดที่จิตใจเราพ้นออกมา จากอาณาเขตความมืดมิดนั้นแล้ว
เราก็จะสำนึกว่ามันเป็นความสุข จอมปลอมทั้งสิ้น

นกสีน้ำเงิน


 

จะไม่โทษว่าเราชั่วเพราะเหตุแห่งสังคม
หรือโทษสังคมเสื่อมทราม ว่ามาจากคนเลวทั้งหลาย
แต่...เราจะโทษคนดีของสังคม
ที่เอาแต่คุดคู้ ซุกซ่อนตัว
ไม่กล้าประกาศความดีอย่างอาจหาญ
ต่อไปนี้ ความดีจะต้องประกาศให้มากขึ้น
ยุคของคนดีเอาแต่หดหัวนั้น
พอกันที ! พอกันเถิด !
สังคมเราได้เสื่อม
เพราะเหตุนี้มานานแล้ว

อโศก

(สารอโศก ฉบับ พุทธาภิเษก '๒๓ ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๙ เมษายน ๒๕๒๓)

หน้า ๑๓

เม็ดทราย หน้า 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |