วิธีสร้างความคิดเพื่อเป็นมิตรกับตนเอง (๑)

Brother letchu เป็นวิศวกรชาวมาเลเซีย ผ่านการฝึกจิตมา ๑๘ ปี ปัจจุบัน เป็นผู้ควบคุม ดูแลศูนย์ฝึกจิต ๕๓ แห่ง ในประเทศ มาเลเซีย เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี กระทรวงทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม มาเลเซีย

ปลายเดือน พฤศจิกายน ๒๕๔๔ ท่านมาประชุม UN ที่กรุงเทพฯ และมีโอกาส ได้มาบรรยาย ที่ชุมชนสันติอโศก คลองกุ่ม กรุงเทพฯ ในหัวข้อ "วิธีสร้างความคิด เพื่อเป็นมิตรกับตนเอง" ดังนี้:-

โอมชานติ ขอทักทายด้วยความสงบ ก่อนที่บราเดอร์จะพูดถึงเรื่องของดวงจิต จะขอพูดเรื่องทั่วๆ ไปสักเล็กน้อย ให้พวกเราฟัง และใคร่ขอขอบคุณองค์กรนี้ ที่ได้กรุณาจัดรายการนี้ขึ้นมา ทำให้มีโอกาสได้พูด เกี่ยวกับเรื่อง ของจิตใจ

ขอแสดงความยินดี และรู้สึกภูมิใจ ที่เห็นพวกเรา มีความศรัทธา ที่ได้เข้ามาอยู่ ในเส้นทาง ของศีลธรรมร่วมกัน บราเดอร์ฝึก นั่งสมาธิ และสอนเรื่อง สมาธิมา ๑๘ ปี ทำให้มีโอกาส พบปะผู้คน จำนวนมากมาย ที่เดินเข้ามา ในเส้นทางสายนี้

อีกประการหนึ่งที่บราเดอร์สนทนากับผู้ที่เข้ามาฝึกปฏิบัติ ณ จุดนี้ถึงความสำคัญ เกี่ยวกับเรื่อง ของอาหารว่า มีผลกระทบ มากมายต่อจิตใจ ของเราได้อย่างไร ถึงแม้ว่า จะมีบางคน ยอมรับว่า อาหารมีผลกระทบ ต่อตัวเรา แต่พวกเขา ยังขาดความมุ่งมั่น ที่จะนำเอาไปปฏิบัติ อย่างจริงจัง บราเดอร์มีความเข้าใจ และเชื่อว่า คนไทยโดยทั่วไป รู้ดีว่าอาหาร มีผลกระทบ ต่อจิตใจ และเชื่อว่า การรับประทาน อาหารมังสะวิรัติ เป็นสิ่งที่ดีมาก แต่มีใครสักกี่คน ที่ได้กลายเป็นคน ที่รับประทาน อาหารมังสะวิรัติ อย่างต่อเนื่อง และจริงจัง มีจำนวนน้อยมาก บางคนถือศีล และทานมังสะวิรัติ เพียงแค่อาทิตย์ละครั้ง หรือสองครั้งเท่านั้น เมื่อเชื่อว่า การรับประทานมังสะวิรัติ เป็นสิ่งที่ดี แล้วทำไม เราจึงไม่ทานกันทุกวัน เพราะถ้าวันหนึ่ง ทานมังสะวิรัติ วันที่สองไม่ทาน วันที่สามทาน สลับกันไปอย่างนั้น ก็จะไม่มีประโยชน์อันใดเลย

คำถามคือว่า ทำไมเมื่อเราเชื่อว่า อาหารมังสะวิรัติดีกับตัวเรา แล้วทำไม จึงไม่ยึดถือปฏิบัติ นั่นเป็นเพราะ ขาดพลังจิต และขาดพลัง ความมุ่งมั่น นั่นเอง

ถ้าเราขาดพลังจิตหรือขาดพลังความมุ่งมั่น เราจะไม่สามารถเผชิญกับอะไรได้เลย เพราะชีวิตของเรานั้น เต็มไปด้วย อุปสรรคมากมาย ให้เราต้องทดสอบ จะมีใครสักกี่คน ที่สามารถเอาชนะ อุปสรรคเหล่านั้นได้ จะมีก็เฉพาะ คนที่มี พลังจิต หรือพลังมุ่งมั่น ที่เข้มแข็งเท่านั้น ถึงจะเอาชนะได้ และคนที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ถือว่าไม่ธรรมดาเลย

มีความรู้สึกต่างกันอยู่ ๒ ประการ คือ ถ้าเราคิดว่า เราเป็นคนธรรมดา เราก็จะรู้สึกธรรมดาๆ จะไม่มีความกระตือรือร้น และ ไม่มีความสุขนัก แต่ถ้าเรารู้สึกว่า เราเป็นคนสำคัญ เป็นคนที่พิเศษมาก ความรู้สึก ที่อยู่ข้างในของเรา จะเป็นอย่างไร ความรู้สึกนั้นก็คือ เราเป็นคนพิเศษจริงๆ แล้วเราก็จะได้สัมผัส ความรู้สึก ที่เกิดจากความคิดอย่างนั้น ว่าเราเป็นคนพิเศษ เพราะฉะนั้น ความสำคัญก็คือว่า ในเมื่อเราอยู่ในโลกใบนี้แล้ว เราจะต้องคิดว่า เราเป็นคนพิเศษ เพราะเรามีบทบาทพิเศษ เราไม่ใช่คนธรรมดา

บราเดอร์เป็นชาวมาเลเซีย ชื่อ Luxman คือพระลักษมณ์ ในเรื่องรามเกียรติ์ คำว่า Man แปลว่าจิตใจ หมายถึง พลังความมุ่งมั่น ในเรื่องรามเกียรติ์ จะเห็นว่าพระลักษมณ์ เป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นมาก ที่จะไปตามหาพระราม

แต่บราเดอร์เห็นจริงถึงคุณค่าของชื่อในตอนนี้ เพราะรู้สึกว่า ในชีวิตนี้ยังมีอะไรอีกมาก ที่จิตใจจะต้องทำ จิตใจสำคัญอย่างไร จิตเป็นตัวกำหนด จิตใจของเราเป็นอย่างไร สภาวะของเราก็จะเป็นอย่างนั้น เราจะเป็น ในสิ่งที่เราคิด ถ้าเราเลือกความคิดอะไร เราก็จะเป็นสิ่งนั้น ตลอดเวลา ถ้าเราคิดหรือทำอะไร เราก็จะเป็น ดังความคิดนั้นเสมอ คลังสมบัติ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของมนุษย์ก็คือ พลังจิต เพราะด้วยพลังจิตนี่แหละ ที่จะทำให้เรา ประสบผลสำเร็จอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็คือว่า เราแทบจะไม่เคย ใช้พลังจิต หรือจิตใจของเราเลย

ขอยกตัวอย่าง เมื่อหลายปีที่ผ่านมา มนุษย์ก็คิดว่า เขาจะต้องไปถึงดวงจันทร์ ประธานาธิบดีเคเนดี้ คิดว่า ชาวอเมริกัน จะต้องเป็นคนแรก ที่จะขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ ซึ่งเราคิดว่า อเมริกันในตอนนั้น ไม่มีความสามารถ ที่จะไปเหยียบ ดวงจันทร์ได้เลย แต่เนื่องจาก เป็นความคิดที่ทรงพลัง ผู้นำเป็นคนอยากจะให้ อเมริกาเป็นหนึ่ง เขาเริ่มต้นคิดและวางแผน สร้างจรวด และอะไร อีกมากมาย ในที่สุดชาวอเมริกันก็ทำได้จริงๆ ถือว่าเป็นการ ก้าวกระโดด ที่ยิ่งใหญ่ ของมนุษยชาติเลย กับการที่เขาขึ้นไป เหยียบดวงจันทร์ได้ นี่เป็นการแสดง ให้เห็นถึง ความจริงที่ว่า พลังความคิดที่ทรงพลัง สามารถทำให้ เราประสบผลสำเร็จ อะไรก็ได้ เพราะฉะนั้น เราก็เช่นกัน เราสามารถ จะประสบผลสำเร็จ ถ้าเราสามารถใช้พลังจิตของเรา ในวิถีทางที่ถูกต้อง

ปัญหาอีกประการหนึ่งคือ แม้ว่าพวกเราอาจจะรู้สึกว่า เรามาอยู่ ณ ที่นี้ และรักกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คงไม่มี ปัญหาอะไร แต่ความจริงแล้ว ถ้าคิดให้ลึกลงไปกว่านั้น เราอาจรู้สึกว่า เรายังมีปัญหา อะไรบางอย่าง ที่คิดว่ากำลัง กัดกินเราอยู่ และ เราไม่สามารถ เอาชนะได้ สิ่งที่เราทำได้ คือ ไปนั่งสมาธิเป็นเวลานานๆ และรู้สึกว่าดี แต่เมื่อไร ก็ตาม ที่เราไม่ได้อยู่ในความสันโดษ อย่างลึกล้ำ ปัญหานี้ ก็จะกลับเข้ามา กัดกร่อนเราอีก

สิ่งที่เราเห็นก็คือ โลกตอนนี้เลวร้ายมาก ความชั่วร้ายมีมากมาย ถ้าถามทุกคนว่า ชอบไหม คงไม่มีใครชอบ สภาพของโลก ปัจจุบันนี้เลย และจะรู้สึก ไม่ชอบความเลวร้าย หรือกิเสลต่างๆ เหล่านี้ด้วย เพราะสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ กำลังขึ้นไป ถึงขีดสุด ของมันแล้ว และกำลังล้อมรอบ ตัวเราอยู่

ถ้าเราเอาชอล์กสีขาวไปจุ่มลงในขวดหมึก เราจะเห็นว่า ชอล์กจะดูดซึมหมึกขึ้นมา เช่นเดียวกัน เราคือชอล์ก สิ่งเลวร้ายทั้งหมด ที่อยู่รอบตัวเรา คือน้ำหมึก ที่พยายามจะผ่าน และซึมซับเข้ามาในตัวเรา แม้ว่าเราจะไม่อยู่ ปะปนกับเขา แต่เมื่อไรก็ตาม ที่เราไปพูดกับคนข้างนอก ความเลวร้ายเหล่านี้ ก็จะซึมเข้ามาสู่ตัวเรา ถึงแม้ว่า เราอาจจะไม่ออกไปพูด กับคนข้างนอก แต่กระแสความคิด หรือกระแสจิตของเขา ซึ่งอยู่รอบตัวเรา กำลังซึมซับ เข้ามาสู่ตัวเรา เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราจะต้องทำ ให้แน่ใจ ก็คือ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เราจะต้องแน่ใจว่า กระแสจิตที่เลวร้ายเหล่านี้ จะต้องไม่เข้ามาสู่ตัวเรา เราจะต้องพยายาม ปกป้องตนเอง ไม่ให้กระแส ความเลวร้าย เหล่านี้ เข้ามาสู่ตัวเรา มิฉะนั้น เราจะขาดความสุข ขาดความสงบ ยกตัวอย่างเช่น บางทีเราอยู่ด้วยกัน เราอาจจะมี ปัญหากัน เราอาจจะไม่ถูกกับ คนนั้นคนนี้ และเมื่อไรก็ตาม ถ้าเราเห็นคนนี้เข้ามา เราอาจจะใช้วิธี ไม่พูดคุยกับเขา นี่แสดงว่า เรากำลังถูกกระทบ จากกระแสของคนนั้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ซึ่งเราอาจจะตระหนักรู้ หรือ ไม่ตระหนักรู้ เพราะจิตใจของเรา มักจะถูกกระทบ จากสิ่งที่เราได้ยิน สิ่งที่เราเห็น และสิ่งที่เราคิด ไม่ว่าเรา จะรู้ตัวหรือไม่ จิตใจของเรา ก็จะได้รับผลกระทบอันนั้น และเมื่อไรก็ตาม ที่จิตใจถูกกระทบ เราจะมีพฤติกรรม ไปตามนั้น เพราะฉะนั้น ความท้าทายอันยิ่งใหญ่ ที่เราจะต้องเผชิญ คือ เราจะต้องมีความสามารถ ที่จะเข้าไป ควบคุม ความคิดของเรา ให้จงได้

สิ่งที่เราคิดนั้นมีความสำคัญมาก เพราะทันทีที่เราคิดไม่ดี เราจะสัมผัสกับความไม่ดีนั้น ในทำนองเดียวกัน ถ้าเมื่อไร เราคิดอะไรที่ดีๆ เราก็จะได้สัมผัสกับความดี หรือความรู้สึกที่ดีด้วย ดังนั้น อะไรก็ตามที่เราสัมผัสในชีวิต จึงขึ้นอยู่กับ ตัวของเรา และความคิดของเราด้วย เช่น ถ้าเราไม่ชอบคนนี้ เราก็จะเริ่มคิดว่า คนนี้ไม่ดี ฉันไม่ชอบ ต้องไปให้ไกลๆ หรืออาจจะวาน ให้ใครไปช่วยดุเขา และจิตใจของเรา จะเริ่มเร่ร่อนเฝ้าแต่คิดถึง คนคนนี้ตลอดเวลา หรืออาจ จะเป็นจริง ในแง่ที่ว่า คนคนนั้น อาจจะไม่ใช่คนดี เพราะเรามองเขาไม่ดี เขาก็เลยไม่ดีจริง คำถามคือ ในโลกนี้ มีคนดีสักกี่คน และถูกต้องหรือไม่ ที่คาดหวังว่า ทุกคนจะต้องเป็นคนดี โดยเฉพาะต้องดีกับเรา ดังนั้น สิ่งที่จะต้อง บอกกับตัวเอง คือ ต้องระมัดระวัง ไม่ให้กระแสเหล่านี้ มีผลกระทบกับเรา เพราะทันทีที่เราได้รับผลกระทบ เราจะคิดถึง เขาคนนั้น อยู่ตลอดเวลา และทันทีที่เรา คิดถึงเขาคนนั้น เราก็จะรู้สึกไม่ดี ตามไปด้วย

บราเดอร์เชื่อว่าหลายคนที่นี่อาจไม่รู้สึกโกรธ หรือจะไม่แสดงความโกรธออกมา แต่อย่างน้อยที่สุด เราต้องมีความรู้สึก หงุดหงิดอยู่ในใจ ถึงจะไม่พูดออกมา แต่ข้างในของเราขุ่นเคือง ผลที่เกิดขึ้นคือ ถ้ามีสิ่งนี้มากขึ้น วันหนึ่งจะหลุด เป็นคำพูดออกไป และนั่นเป็นการชี้ชัดว่า เราได้สะสมความรู้สึก ไม่ดีเอาไว้ แล้ววันหนึ่ง เมื่อหลุดออกมาเป็นคำพูด ย่อมเป็นการสะท้อนความโกรธ โยนกลับไปให้คนนั้น บางครั้งการที่เราดุ ลูกหลานหรือเพื่อน แล้วคิดว่าคนที่ถูกดุ หรือคนที่ถูกว่านั้น จะรู้สึกบาดเจ็บ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ คนที่ว่าเขาต่างหากที่ทำร้ายตนเอง เพราะไม่สามารถจะกัก หรือเก็บความรู้สึกโกรธนั้น ไว้ข้างใน เมื่อสะสมมากขึ้น จึงระเบิดออกไป ประหนึ่งว่า เราได้โยนระเบิด ไปให้คนอื่น และนี่คือ สิ่งที่เกิดขึ้น ในจิตของเรา เพราะฉะนั้น เราจะต้องหันกลับไปมองให้ออก และบอกตัวเองให้ได้ว่า ความคิดอะไรก็ตาม ที่เราสร้างขึ้นในจิต เราจะต้องรับผิดชอบ จะโยนไปให้คนอื่น รับผิดชอบแทนเราไม่ได้ ถ้าเรามีนิสัย ที่ชอบบอกว่า อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น กับตัวเรานั้น เป็นเพราะ คนนั้นคนนี้ ทำกับฉัน ถ้าคิดเช่นนั้น หมายความว่า เราไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย แล้วก็ต้องรู้สึกเจ็บปวดตลอดเวลา ถ้าเช่นนั้น กลายเป็นว่า เราเองที่ตกเป็นทาสของเขา เพียงแต่เขาคนนั้น พูดอะไรบางอย่าง เราก็โกรธแล้ว และนี่คือความเป็นทาส ที่เราทุกคน กำลังเผชิญหน้าอยู่ ถ้าคิดดีๆ จะเห็นว่า เราทุกคนเคยผ่าน ขบวนการนี้มาทั้งนั้น

หลักการก็คือ เราจะต้องคิดในทางที่ดีเสมอ แม้ว่าจะอยู่ในเหตุการณ์ที่ดูว่ามันเลวร้าย ก็ยังจะต้องเฝ้าแต่คิดให้ดี ปัญหาที่ตามมาคือ จะคิดอย่างไร หรืออะไรคือ ความคิดที่ดี

ตัวอย่าง ให้มองผู้ที่เป็นแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกๆ ที่ซนมากๆ แม่ยังสามารถรักษาความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อลูก ได้ตลอดเวลา ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะแม่มีความรู้สึก ตลอดเวลาว่า เป็นความรับผิดชอบของตน ที่จะต้องพัฒนาลูก ดังนั้น เมื่อเป็นหน้าที่ของแม่ แม่จึงต้องคิดให้ดี เพื่อที่จะพัฒนาลูก ให้มีความคิดดีด้วย เมื่อแม่เป็นผู้สร้างลูก แม่จึงต้อง รับผิดชอบ ในสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้น และต้องทำให้ดี โดยจะเห็นว่า ที่แม่ทำได้อย่างนั้น ตลอดเวลา เพราะแม่มี ความเมตตา มีความรู้สึก ให้อภัยอยู่เสมอ เมื่อแม่มีความรู้สึก ที่เต็มเปี่ยมไปด้วย ความเมตตา และให้อภัย ไม่ว่าลูก จะทำอะไร ไม่ถูกต้อง แม่ยังจะสามารถ ดึงความรู้สึก เมตตาสงสาร และความรัก ที่มีต่อลูก ด้วยการให้อภัย ได้เสมอ โดยจะไม่ใช้วิธีการทำโทษลูก เพื่อให้ลูก ได้พัฒนาความรู้สึก ที่ดีเหล่านี้ เกิดเป็นความคิดดี ในตัวลูกเองด้วย

ในโลกทุกวันนี้ จะเห็นว่าไม่มีใครชอบฟังคำสั่ง แม้กระทั่งเด็กเล็กๆ ก็ไม่ชอบให้ใครมาสั่ง ให้เขาทำอะไร เขาต้องการ ความเคารพในตนเอง ทุกคนต้องการให้ผู้อื่น มาปฏิบัติต่อเขา อย่างทัดเทียมกัน เมื่อเรารู้ความต้องการ ของผู้คน ในทุกวันนี้ จึงเป็นหน้าที่ของเรา ที่จะต้องพัฒนาตัวเองขึ้นมา ให้มีความเมตตาสงสาร เพื่อที่จะได้ช่วยเขาได้ เราจึงจำเป็น ต้องเรียนศิลปะ การมีความคิดที่ดี

มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง ที่จะชี้ให้เราเห็น ถึงผลที่มีต่อจิตใจ คือ มีพระไปบิณทบาต ในหมู่บ้านเวลาเช้า เมื่อฉันอาหาร และผ่านกิจวัตรทั้งวัน พอตกกลางคืน พระก็ละเมอ พูดจาหยาบคายออกมา พระที่นอนข้างๆ รู้สึกแปลกใจมาก ที่ได้ยินพระละเมอเช่นนั้น เช้าวันรุ่งขึ้น จึงบอกให้ทราบ พระปฏิเสธ ไม่เชื่อว่าตนเอง จะพูดอย่างนั้น แต่เพื่อน ก็ยืนยันว่า พูดจริงๆ เขานึกขึ้นมาได้ว่า ตอนที่ไปรับบิณฑบาต บ้านที่กำลังปรุงอาหารอยู่นั้น ได้ทะเลาะกัน และ พระคิดว่า กระแสจิต ของการทะเลาะกัน คงจะลงไปในอาหาร

ขณะที่เรากำลังปรุงอาหารเพื่อจะให้ใครรับประทาน เราควรจะทำในขณะที่ มีสภาวะจิตใส บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น การรับประทาน อาหารมังสะวิรัติ เป็นสิ่งดี และที่ดียิ่งกว่านั้น เราจะต้องแน่ใจว่า ขณะที่เราปรุง อาหารมังสะวิรัตินั้น จิตใจของเรา จะต้องไม่มีสิ่งเลวร้าย จิตใจจะต้องใสบริสุทธิ์ ถ้าเรามีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่ปรุงอาหาร กระแสจิตนั้น จะเข้าไปอยู่ ในอาหารนั้นด้วย คนที่เอาไปรับประทาน ก็จะได้รับกระแสจิตอันนั้น เข้าไปในตัวของเขา เช่นเดียวกัน นี่เรียกว่า กระแสจิต มีผลต่อจิตใจ และที่มากไปกว่านั้น ขณะรับประทานอาหาร เราจะต้องอยู่ในสภาวะ ที่จิตนิ่งเงียบ ถ้าสภาวะจิตของเรา ใสบริสุทธิ์ และนิ่งเงียบได้ กระแสจิตอันนั้น ก็จะลงไปในอาหาร ที่เรารับประทาน ด้วยเช่นกัน และอาหารนั้น จะทำให้เรา มีพละกำลัง

ลองคิดดูว่าขณะที่รับประทานอาหาร เราคุยกันมากหรือเปล่า คุยเรื่องอะไร พูดเรื่องธรรมดาๆ หรือทะเลาะกัน แม้จะไม่ทะเลาะกัน แต่ในขณะที่ เรารับประทานอาหาร ความคิดของเรา ไปในทิศทาง ที่สูงส่งหรือไม่ ถ้าเรามี ความคิด ที่สูงส่ง จะสังเกตเห็นว่า แม้เราจะรับประทานไม่มาก แต่กลับมีพลังมากมาย

ในเมื่อเรารับประทานมังสะวิรัติกันอยู่แล้ว ก็ขอฝากให้ลองทดลองทำสิ่งนี้เพิ่ม คือ ให้ตระหนักรู้ว่า เราคือใคร ได้พูดไปแล้วว่า เราทุกคนนั้น เป็นคนพิเศษ เราจึงควรมองตัวเอง ในเชิงความรู้ทางจิตวิญญาณ แล้วเราจะพบว่า การเป็นมนุษย์นั้น ถือว่าเป็นสภาวะที่สูงสุด เราจึงจำเป็นต้อง เคารพชีวิตของเรา ซึ่งเป็นชีวิตที่สูงส่งที่สุด เพราะเรา เกิดเป็นคน เราไม่ได้เกิดเป็นสัตว์

ประการต่อมา จะต้องหยั่งรู้ให้ได้ว่า เราไม่ได้เป็นวัตถุธาตุที่เป็นร่างกายนี้ จะเห็นว่า ศาสนาพุทธ หรือศาสนาฮินดู เชื่อในการกลับชาติมาเกิด เพราะฉะนั้น หลักการของ การกลับชาติมาเกิด มีอยู่ว่า ถ้าเราตายลง เราจะกลับ ไปเกิดอีกครั้ง ถ้าฉันตายวันนี้ ร่างกายจะถูกฝังหรือเผา แล้วฉันก็จะไปเกิดใหม่ แล้วใครคือฉันคนนั้น ที่บอกว่า จะไปเกิดใหม่ ถามดูว่า เราเป็นใคร เราเป็นร่างกายนี้หรือเปล่า

ขอพูดซ้ำอีกครั้งเพื่อให้คิดตาม ถ้าวันนี้เราตายลง เราจะไปเกิดอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อตาย ร่างกายของเราจะถูกเผา เมื่อฉันพูดว่า เราจะไปเกิดอีกครั้ง ฉันคือใคร มันสะท้อนว่า ฉันเป็นร่างกายหรือเปล่า หรือว่ามันสะท้อนว่า ฉันคือ ดวงวิญญาณ หรือดวงจิต

สำหรับบราเดอร์ มันคือ ดวงจิตหรือดวงวิญญาณต่างหาก เพราะฉะนั้น ทำไมเราไม่ฝึกฝนที่จะบอกตัวเองว่า ฉันไม่ใช่ร่างกายนี้ ฉันคือ ดวงจิตวิญญาณ ถ้าเราทำได้อย่างนั้น เราจะรู้สึกเลยว่า มันจะนำมา ซึ่งพลังอันมหาศาล แล้วจะนำคุณสมบัติที่ดี มาสู่ตัวเรา เพราะอะไร เพราะในดวงจิต หรือจิตวิญญาณ ภายในตัวเรานี่เอง คือ พลัง คือ คุณธรรมทั้งหมด

สมมุติว่า ถ้าเราคิดว่าเราเป็นร่างกายนี้ ก็จะมองไปที่ทุกคน เป็นร่างกาย เป็นเนื้อหนัง แล้วก็ต้องมีคำพูดต่อไปว่า คุณเป็นคนไทย ฉันเป็นคนมาเลเซีย เพราะมองกันที่ร่างกาย และเมื่อไรก็ตาม ที่เรามองไปที่ร่างคน เราจะไม่มีวัน ที่จะมีหัวใจ ที่ยิ่งใหญ่ หรือกว้างใหญ่ได้เลย เราอาจจะให้อะไรบางอย่าง ที่เรามีแก่คนอื่น หรือมีหัวใจที่กว้างใหญ่ ที่จะยอมรับความผิด ของผู้อื่นได้ แต่เราก็ไม่สามารถ มีจิตใจกว้างใหญ่ไพศาล พอที่จะให้อะไรได้มาก ถึงขนาดนั้น ตราบใดที่เรามองคนอื่น ที่ร่างกายของเขา สิ่งที่จะให้ได้ คืออะไร นอกจากจะให้อะไร แก่ครอบครัวฉัน พี่ชายฉัน พ่อแม่ฉัน อะไรที่ของฉันๆ จะคับแคบอยู่เพียงแค่นั้น

แต่ถ้าเรามองหลุดออกไปจากร่างกาย แล้วมองเข้าไปว่า เราคือดวงจิต หรือดวงวิญญาณ แล้วเราจะยอมรับได้เลยว่า ทุกคนคือดวงจิต ดวงวิญญาณเหมือนกัน แล้วทั้งหมดนี่แหละ เป็นครอบครัวหนึ่งเดียวกัน

จะเห็นว่าดวงวิญญาณหรือดวงจิตของเรา มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีอยู่ในตัวเรา ในเวลานี้ เราอาจจะไม่สามารถ เข้าไปดึง เอาคุณสมบัติที่ดี ของดวงวิญญาณออกมาได้ มาถึงคำถามว่า อะไรคือคุณสมบัติที่ดีของดวงวิญญาณ

ถ้าเรานั่งอยู่ในสมาธิเป็นเวลานานๆ เราจะรู้สึกว่าตนเองสงบ เข้มแข็ง บริสุทธิ์ เบาสบาย แจ่มกระจ่าง สิ่งเหล่านี้ มาจากที่ไหน ทำไมเราจึงรู้สึกอย่างนั้น เรานั่งอยู่ในสมาธิ ทำให้เราได้เข้าไปด ูภายในตัวเรา และถ้าเราเข้าไปข้างใน อย่างลึกล้ำ เราจะสัมผัสรู้ว่า เรามีทุกอย่าง ที่ต้องการในชีวิต คือ ดวงวิญญาณ

เราเคยถามตนเองไหมว่า เราต้องการจัดการอะไรกับชีวิตของเราบ้าง บางคนอาจจะพบกับ การล้มละลาย อาจจะมี ญาติใกล้ชิด เสียชีวิต มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น หรือมีภัยพิบัติ ตามธรรมชาติ ที่ไหนสักแห่ง แล้วเรามีความรู้สึกอย่างไร กับเหตุการณ์เหล่านี้ มีผลกระทบต่อเราไหม สิ่งจำเป็นที่ต้องการ ในขณะนั้น คือ พลังที่จะทำให้ จิตใจเราเข้มแข็ง หรือต้องการ คุณธรรมอะไรสักอย่าง เข้ามาช่วยเรา ในเวลานั้น เมื่อถึงตอนที่ต้องพบกับ ปัญหาทั้งหลาย เราไม่ต้องการ เงินมากมายเลย เงินเกือบจะไม่มีความจำเป็น เสียด้วยซ้ำ เพราะเรามีเงินไว้ แค่พอใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ซื้อเสื้อผ้า อาหารการกินก็พอแล้ว

สิ่งที่สำคัญและจำเป็นสำหรับเราในขณะนั้น คือ จิตใจที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะต้องมาจากคุณธรรม และพลังข้างใน ของเราเอง พลังหรือคุณธรรมนี้ มาจากที่ไหน มันมาจากตัวเรานั่นแหละ ขอให้ทุกท่าน คิดอย่างลึกล้ำว่า สิ่งที่พูดไปนี้ มีความจริง อยู่ในนั้นไหม บราเดอร์พูดว่า ข้างในตัวเรานั้น คือ ดวงวิญญาณ ที่ใสสะอาด คือดวงวิญญาณ ที่ทรงพลัง เราเป็นผู้ที่มีพลัง มีชีวิต เต็มไปด้วยความเมตตา

ลองมาดูที่ร่างกายของเรา ร่างกายนี้ถูกสร้างขึ้นมาชนิดที่ว่า ถ้าเกิดมีโรคภัยไข้เจ็บ ร่างกายนี้สามารถจะต่อสู้ได้ แต่ถ้าเมื่อไร ร่างกายเกิดอ่อนแอ เราอาจจะไปหาหมอหรือกินยา หมออาจจะฉีดยาให้ หรืออาจจะมีใครมาดูแลเรา ก็เท่านั้นเอง

แต่ถ้าเมื่อไร จิตใจของเราไม่สบาย หรือเกิดอ่อนแอ จิตใจเราจะเริ่มเร่ร่อน ฟุ้งซ่าน เราจะรู้สึกไม่มีความสุข รู้สึกว่า ถูกรบกวน รู้สึกโกรธ สิ่งเหล่านี้คือ โรคภัยไข้เจ็บของจิตใจ เพราะฉะนั้น เพื่อที่จะต่อสู้โรคภัยไข้เจ็บ ของจิตใจนี้ให้ได้ ต้องเป็นพลังของจิตใจเอง ที่จะต่อสู้ได้ นี่เป็นกฎธรรมชาติ ใครก็ไม่สามารถ หยิบยื่นพลังให้ต่อสู้ โรคภัยไข้เจ็บ ของจิตใจของเราได้ พลังนี้จึงต้อง มาจากตัวเรา แต่ละคนเอง

ไม่มีใครจะสามารถเข้าไปสู่จิตใจของเราแล้วเปลี่ยนมันได้ ไม่มียาอะไร ที่จะมาเปลี่ยนจิตใจเรา เพราะยานั้น เป็นไปเพื่อรักษา ร่างกายเท่านั้น มันจึงอยู่ในมือเราเท่านั้น ที่จะเปลี่ยนจิตใจ ของเราเอง เพื่อที่จะ กลับเข้าไป ดึงพลังข้างใน ออกมาให้ได้ เพราะฉะนั้น เราจะต้องคิดให้ได้ว่า เราเป็นดวงวิญญาณดวงหนึ่ง เรามีพลังสมบูรณ์ พร้อมอยู่ภายใน ที่จะมาจัดการ กับชีวิตของเรา เราไม่ได้ขาดอะไรเลย ผู้คนนั้นถูกสร้างมาต่างกัน เราอาจจะรู้สึกว่า มีอคติในกระบวนการสร้าง จริงๆ แล้ว กฎธรรมชาติ จะบอกว่า ทุกคนถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้ผ่านสภาวะ อะไรบางอย่าง ตามกฎแห่งกรรม ดังนั้น พลังที่จะเผชิญหน้า กับกรรมของเรา ก็อยู่ในตัวเราเอง และสิ่งนี้แสดงว่า เราทุกคนมีความทัดเทียมกัน ในการที่จะเข้าไปดึง เอาพลังนี้จากข้างใน เพื่อมาจัดการ กับความรู้สึกนี้ อย่างทัดเทียมกันด้วย

(อ่านต่อฉบับหน้า)

(ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๐ มีนาคม - เมษายน ๒๕๔๕)