คืนป่าไม้ให้แผ่นดิน


ฉันมองลอดหน้าต่างเครื่องบิน
แลดูหมู่เมฆขาวโพลน
รู้สึกเสียดายที่มันบดบังแผ่นดินที่ราบสูงอีสานซึ่งฉันอยากเห็น

นานๆครั้ง ฉันจึงจะมีโอกาสบินผ่านมาเยี่ยมเยือนแดนดอกคูนถิ่นเสียงแคน
มันเป็นแผ่นดินที่ในอดีตเคยมีผืนป่ากว้างใหญ่ไพศาล
และมีป่าอยู่แห่งหนึ่งซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า ดงพญาไฟ เพราะเกิดไฟไหม้ป่าแห่งนั้นบ่อยมาก
ต่อมา......ชาวบ้านจึงได้เปลี่ยนชื่อเรียกใหม่เป็น ดงพญาเย็น

แต่แผ่นดินที่ราบสูงวันนี้ไม่มีผืนป่าที่ชื่อว่าดงพญาเย็นหรือดงพญาไฟเหลือให้เห็นอีกแล้ว
เมื่อเครื่องบินผ่านพ้นออกจากปุยเมฆ
ฉันมองเห็นเพียงผืนนาที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ประปรายเท่านั้น

ช่างเถอะ.....วัดป่าที่ฉันจะเดินทางไปถึงในไม่ช้านี้
คงจะมีต้นไม้เขียวครึ้มร่มเย็น ให้ได้นั่งพักสูดอากาศสดชื่นสมใจเป็นแน่แท้
และคงจะมีเสียงนกนานาพันธุ์ขับขานเพลงธรรมชาติให้ฉันฟัง
ก่อนที่จะขึ้นสู่เวทีสัมมนาในหัวข้อ คืนป่าไม้ให้แผ่นดิน......

นกเหล็กตัวมหึมาร่อนลงสู่ลานบิน แลเห็นป่ายูคาลิปตัสปลูกเป็นแนวยาว ขนานกับไหล่ทาง
ทีมงานผู้จัดสัมมนาท่านหนึ่ง มารอรับฉันไปขึ้นรถตู้สีเหลืองของทางวัด
ใช้เวลาเพียงไม่ถึง ๑๐ นาที ฉันก็เดินทางมาถึงวัดป่าโนนสมบูรณ์
ด้านข้างของซุ้มประตูมีป้ายเขียนติดไว้ว่า วัดพัฒนาตัวอย่าง ปี ๒๕๓๕

รถแล่นผ่านประตูวัดไปตามถนนคอนกรีตเพียงอึดใจเดียวก็ถึงหน้าหอประชุม
เป็นอาคารชั้นเดียวขนาด ๑๐x๓๐ เมตร หลังคาสีแดงเข้ม ไม่มีฝ้าเพดาน
ปลูกขนานกับด้านหลังของตึกแถว ๔ ชั้น จำนวน ๑๒ ห้อง
ทราบภายหลังว่าตึกแถวทั้งหมดสร้างบนที่ดินให้เช่าของทางวัดเอง

สังเกตบริเวณด้านหน้าหอประชุม มีต้นสนมังกรปลูกเรียงราย เวันระยะห่างอย่างเป็นระเบียบ
รถตู้สามารถแทรกเข้าไปจอดตรงช่องว่างระหว่างต้นสนได้ช่องละ ๒ คันสบายๆ

อากาศในหอประชุมร้อนอบอ้าว ทั้งๆที่เป็นฤดูหนาว
นอกหอประชุมไม่มีเสียงนกร้องให้ได้ยินแม้สักตัว

เพราะบรรยากาศอย่างนี้กระมัง....ผู้จัดสัมมนาจึงตัดสินใจเลือกเอาสถานที่แห่งนี้
เป็นเวทีอภิปรายในหัวข้อ.....คืนป่าไม้ให้แผ่นดิน

ปลายฤดูหนาว.....๒๕ มกราคม ๒๕๔๑
พธค.ศูนย์เพื่อนชีวิต

(ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๓ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๔๕)