แม่กุ้งแห้งกับพ่อตุ้ยนุ้ย ตอนที่ ๒ (เริ่มลงในฉบับที่ ๑๐๓)

มาเตโอรู้สึกภูมิใจที่ทุกคนไว้วางใจให้เขาดูแลเด็กผู้หญิงคนนั้น แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร

อันที่จริง คนที่ต้องการความช่วยเหลือดูแลนั้นคือตัวเขาต่างหาก เพราะเจ้าสุนัขบ้าระห่ำตัวนั้น เขาทำตาม คำแนะนำ ของอันโตนิโอ รามิเรซ โดยหาไม้ยาวๆ ขนาดใช้เป็นหลาวมาได้อันหนึ่ง พร้อมกับจินตนาการไปว่า ตัวเอง เป็นอัศวินยุคกลาง และเช้าวันนั้น เขาก็ออกจากบ้าน ไปโรงเรียนด้วยมาดอัศวิน ที่ควบม้า อย่างฮึกเหิม

อันโตนิโอบอกว่า เมื่อหมาเห็นไม้ มันจะตกใจกลัวและวิ่งหนีหางจุกตูดเลยทีเดียว

"ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม จ้องหน้ามันเข้าไว้ อย่าให้มันรู้ว่านายกลัวมันล่ะ" เพื่อนที่แสนดีกำชับ

"แต่กันกลัวมันนี่" มาเตโออดสารภาพไม่ได้

"เออน่า... ก็อย่าให้มันรู้สิ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็เอาไม้ขู่มัน"

มาเตโอทำตามที่เพื่อนบอก เมื่อไปถึงหน้าบ้าน ที่น่ากลัวหลังนั้น เขาพยายามเลียนแบบ อัศวินยุคกลาง โดยแหย่ไม้หลาว ใส่เจ้าตัวร้าย แทนที่มันจะกลัว กลับเห่า หนักกว่าทุกครั้ง เจอเข้าแบบนี้ เขาจึงตัดสินใจ ขู่มันอีกทีด้วยไม้ อย่างเอาจริง

ทันใดนั้นเอง ด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบ เจ้าตัวร้าย กระโจนพรวดเดียว หัวใหญ่โตของมัน โผล่รั้วลวด ออกมางับไม้หลาว พร้อมกับเคี้ยวกร้วมๆ ราวกับเคี้ยวขนมหวาน อย่างนั้นแหละ

มาเตโอตกใจมาก จนเสียการทรงตัว หงายหลังล้มตึง เขาตะเกียกตะกาย ลุกขึ้นวิ่งหนี คราวนี้ เหมือนควบม้าจริงๆ แต่ก็ไม่วายหกล้มอีก จนได้แผลขนาด ไม่เบาที่เข่าขวา งานนี้สรุปว่า เด็กชายไปถึงโรงเรียน ในสภาพที่น่าสังเวช เป็นที่สุด

สิ่งแรกที่เขาทำคือ ตรงเข้าไปต่อว่าเพื่อนซี้ตัวดี

"ฮึ ! จัดการด้วยไม้ไงเพื่อน"

แล้วเขาก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็แปลกที่เพื่อนๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องของเขานัก เพราะฆาซินต้า เพื่อนบ้าน และเพื่อนร่วมชั้นของเขา พบความลับ อันน่าประหลาดใจยิ่งว่า ที่เด็กหญิงผู้มาใหม่ ไม่เคยถอดหมวกเลย ก็เพราะเธอไม่มีผมเลยสักเส้น

"หัวล้าน! ยี้!" เป็นคำแรก ที่มาเตโอพูด

"ทำไมต้องยี้ด้วย น่าสงสารออกจะตาย" ฆาซินต้าปกป้องเพื่อนใหม่ อันโตนิโอ รามิเรซ ซึ่งมีเหตุมีผลเสมอ อธิบายว่า

"คือว่า อานาเป็นโรคเกี่ยวกับเลือด คนที่เป็นโรคนี้ต้องไปฉายรังสี และกินยา ที่ทำให้ผมร่วงน่ะ"

"แล้วมันจะขึ้นอีกมั้ย" ฆาซินต้าถามอย่างสนใจ

"ขึ้นสิ ถ้าผู้ป่วยไม่ตายเสียก่อน"

ฟังแล้วมาเตโอกลัวจับใจ นอกจากปัญหาต่างๆ ที่ประดังเข้ามาแล้ว เขายังต้องนั่งเรียนข้างๆ เด็กหญิง ซึ่งอาจจะตาย เมื่อไรก็ได้

การนั่งโต๊ะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอควร ไหนจะความอ้วน ของมาเตโอ ไหนจะเสื้อหนาว ยัดไส้ขนนก ตัวโต ของอานาอีก เล่นเอาเกือบจะนั่งกัน ไม่ลงเลยทีเดียว เด็กชายพยายามนั่งกระเถิบ ไปให้ห่างที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพราะเกิดกลัวขึ้นมาว่า จะติดโรค จากอานา จนกระทั่ง ได้คุยกับอันโตนิโอ ซึ่งลงความเห็นว่า

"ไม่หรอกน่า เพราะถ้าเป็นโรคติดต่อล่ะก็ เขาไม่ให้มาโรงเรียนหรอก"

แต่ก็กันไว้ดีกว่าแก้ มาเตโอจึงนั่งหมิ่นๆ ขอบม้านั่งทั้งวัน เด็กหญิงดูจะเงียบขรึมมาก ศีรษะก้มงุด ตลอด ยกเว้น ตอนครูพูด จึงจะเงยหน้ามองครูเขม็ง อ้าปากค้าง ตั้งอกตั้งใจฟัง บรรดาครู ก็จะสนใจเธอ มากกว่า เด็กอื่นๆ และ มักจะถามเด็กหญิงว่า

"เข้าใจมั้ยจ้ะ อานาคนสวย"

ถ้าเธอส่ายหน้าปฏิเสธ ครูก็จะอธิบายใหม่ แต่ถ้าเข้าใจ เด็กหญิงจะพยักหน้ารับ ราวกับพูดไม่เป็น อย่างนั้นแหละ มาเตโอ ไม่รู้ว่า จะช่วยเด็กผู้หญิง ที่เอาแต่หุบปากเงียบ ได้อย่างไรกัน ยังดีที่เขาปวด หัวเข่ามาก จนลืมเรื่องเพื่อนใหม่ ที่นั่งข้างๆ เสียสนิท

เวลาผ่านไปเขาก็ยิ่งปวดมากขึ้น และนานๆ ที ก็มีเลือดซึมออกจากแผล มาเตโอตัดสินใจ เอาผ้าเช็ดหน้า มาปิดแผล และในตอนนี้เอง ที่เขาพบว่า อานา ไม่ได้เป็นใบ้

"นี่แน่ะ ถ้าเธอขืนเอาผ้าเช็ดหน้า สกปรกอย่างนี้ ไปปิดแผลล่ะก็ มีหวังได้ติดเชื้อแน่" เด็กหญิงพูดเบาๆ

มาเตโอ มองผ้าเช็ดหน้า ซึ่งเขาก็ดูว่าสะอาดพอใช้ พลางถามอานา อย่างสุภาพว่า

"เธอว่ามันสกปรกเหรอ"

"มากเลยล่ะ" อานาตอบเบาๆ

มาเตโอไม่รู้จะพูดอะไรต่อหน้าอานา ซึ่งเปรียบเหมือนแมลงตัวเล็กๆ ที่ไม่เคยส่งเสียง เธอไม่พูดอะไรอีก เปิดกระเป๋านักเรียนใบใหญ่ เกือบจะเท่าตัว ซึ่งข้างในมีสมุด หนังสือ วางเป็นระเบียบ หยิบผ้าเช็ดหน้า เนื้อดี รีดมาใหม่ๆ แถมยังหอมกรุ่น ส่งให้มาเตโอ

"แต่มันจะเปื้อนเลือดฉันน่ะสิ" เป็นสิ่งเดียวที่เด็กชายนึกออกว่า ควรจะพูด

เด็กหญิงเพียงแค่ยักไหล่ และนี่คือจุดเริ่มต้น แห่งสัมพันธภาพ อันแปลกประหลาด ระหว่าง แม่กุ้งแห้ง กับ พ่อตุ้ยนุ้ย

ไม่นาน มาเตโอก็เริ่มรู้ว่า เด็กหญิงท่าทางเหม่อลอยไม่สนใจอะไร กลับรอบรู้ ไปเสียทุกเรื่อง แม้กระทั่ง เรื่องของเขา กับเจ้าหมาประสาท เขาพูดเรื่องนี้ กับอันโตนิโอ และฆาซินต้าเท่านั้น และก็แม่ฆาซินต้า ตัวดีนี่แหละ ได้เสนอวิธีจัดการกับเจ้าตัวร้าย ที่เกือบจะทำให้เขาแย่ยิ่งกว่า อีตอนใช้ไม้เสียอีก

"ก็แน่ล่ะสิที่หมาตัวนั้น จะเอาเรื่องนาย ฉันว่าทางที่ดี นายควรจะรีบจ้ำ ผ่านหน้าบ้านมันให้เร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ ทำไมไม่ลองปั่นจักรยาน ให้เร็วจี๋เลยล่ะ" ฆาซินต้าแนะนำ

เนื่องจากมาเตโอเชื่อเพื่อนมาก จึงทำตาม

เช้าวันต่อมา เขาขี่จักรยานแข่ง เตรียมพร้อมเร่งความเร็วสูงสุด พอเจ้าหมาเห็นจักรยานเข้าเท่านั้น ก็กระโจนพรวด ขย่มรั้วอย่างเอาเป็นเอาตาย มาเตโอคิดอย่างเดียว ในขณะนั้นว่า ที่นี้ล่ะรั้ว ต้องพังแน่ๆ ผลที่ตามมาก็คือ เขาตาลีตาลาน หนีเอาตัวรอด สุดชีวิต จนตกจักรยาน หล่นแอ้ก ลงมากองกับพื้น หนนี้ได้แผล ที่เข่าซ้าย

มาเตโอร้องไห้อย่างโกรธแค้นและเจ็บปวด เขาเดินตรงรี่เข้าโรงเรียน โดยไม่พูดกับใคร อานามอง อย่างเห็นใจ เธอถามเพียงว่า

"เป็นอะไรไปน่ะ หรือ ว่าเธอต้องหกล้มทุกวันเลย"

แล้วก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าสะอาดเอี่ยมหอมกรุ่นผืนใหม่ มาให้เหมือนเมื่อวาน โดยไม่พูดอะไรอีก

มาเตโอยังโมโหมาก จึงไม่ได้กล่าว แม้คำขอบคุณ สักครู่หนึ่ง เธอก็หันมาถามว่า

"เจ้าหมาที่เห่านักเห่าหนา แล้วทำให้เธอกลัวน่ะ มันชื่ออะไร"

"ใครบอกเธอล่ะว่าฉันกลัว" มาเตโอตอบ อย่างไม่สุภาพนัก

อานายักไหล่ในแบบของเธอ โดยไม่ตอบว่าอะไร

"ถ้าฉันกลัว แล้วจะทำไม" มาเตโอ ย้อนอย่าง ยียวน

"ก็แล้วเธอไม่กลัวหมาบ้าหรือไง"

เด็กหญิงหยุดคิด และพึมพำว่า

"สิ่งเดียวที่ฉันกลัวที่สุด คือ การไปโรงพยาบาล"

หลังจากได้รับรู้เรื่องแสนเศร้านี้ มาเตโอเงียบไปด้วยความสะเทือนใจ และไม่รู้จะถามอะไรอีก นอกจาก

"แล้วทำไมเธอ ถึงกลัวโรงพยาบาลล่ะ"

"เขาฉีดยาฉัน"

"ฉันเองก็เคยถูกฉีดยาครั้งหนึ่ง แต่ไม่เห็นจะเจ็บเลยนี่" มาเตโอพูดปลอบใจอานา

"ฉีดที่ไหนล่ะ" เด็กหญิงถามอย่างสนใจ

"ที่นี่ไง" มาเตโอตอบพลางชี้ไปที่ก้น

"ที่นั่นน่ะ ไม่เจ็บหรอก" อานาว่า "ที่แขนก็ไม่เจ็บ เหมือนกัน ทั้งที่ก้นและที่แขนน่ะ ฉันโดนมาเยอะแล้ว ที่โหดที่สุด คือ เขาฉีดเข้าไปในกระดูก ตรงนี้สิ"

อานาพูดพลางชี้ไปที่กระดูกไขสันหลัง มาเตโอนึกสยดสยองว่า ถ้าจะต้องถูกฉีดยาที่ตรงนั้นบ้าง คงจะน่ากลัว เอามากๆ

"โห! แย่ชะมัดเลย" เขาพูดได้แค่นั้น และกล่าว เสริมให้กำลังใจอานาว่า "แต่ตอนนี้ เธอก็ไม่ต้องอยู่ โรงพยาบาลแล้วนี่"

"ก็ใช่" เด็กหญิงรับ "แต่ฉันต้องกลับไปฉีดยาทุกวันพุธ จนกว่าจะถึงฤดูร้อน"

มาเตโอพูดอะไรไม่ออก เกี่ยวกับเรื่องที่น่าเศร้านี้

แล้วอานาก็กลับมาถามอีกว่า

"รู้มั้ยว่าเจ้าหมานั่นชื่ออะไร หมาน่ะนะ ถ้าเธอรู้ชื่อมันล่ะก็ ไม่ยากเลยล่ะที่จะเป็นเพื่อนกับมัน"

แม้ว่ามาเตโอออกจะเข็ดกับคำแนะนำของเพื่อน เขาแสร้งทำทีเห็นด้วย กับความคิดของอานา และว่า จะลองสืบดูว่า เจ้าตัวร้ายนั้นชื่ออะไร ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เด็กหญิง สบายใจขึ้น และ ลืมเรื่องเศร้าๆ ของตัวเอง

(อ่านต่อฉบับหน้า)

(ดอกหญ้า ฉบับที่ ๑๐๔ พฤศจิกายน - ธันวาคม ๒๕๔๕ จำนวนพิมพ์ ๒๒,๐๐๐ เล่ม)

เขียนโดย โฆเซ่ หลุยส์ โอไทยโซล่า แปลจากภาษาสเปน โดย รัศมี กฤษณมิษ พิมพ์ครั้งที่ ๑ : ๒๕๔๔
ผลกำไร จะนำไปช่วยเหลือเด็กยากจนในชนบท ราคาเล่มละ ๕๐ บาท (ไม่รวมค่าส่ง)
สั่งซื้อได้ที่ ธรรมทัศน์สมาคม ๖๗/๕๐ ถนน นวมินทร์ คลองกุ่ม บึงกุ่ม กรุงเทพ๑๐๒๔๐ สั่งจ่าย ปท.คลองกุ่ม