ปัจฉิมลิขิต - กอง บก. -

ก่อนเริ่มตอบจดหมาย ฝากท่านผู้อ่านทุกท่านกรุณาตอบ แบบสอบถามกลางเล่มด้วยนะคะ และกรุณาส่งกลับ โดยด่วนค่ะ เพราะวันเวลาผ่านไปอาจลืมได้ ขอขอบคุณทุกท่าน ที่ให้ ความร่วมมือ และอนุโมทนา กับทุกท่าน ที่อ่านหนังสือแล้วนำไป ปฏิบัติ ร้อย "รู้" ไม่สู้ หนึ่ง "ทำ" (แต่อย่าทำโดย ไม่รู้นะคะ จะทำให้หลงทาง เสียเวลาเปล่า แล้วบ่อยครั้ง ที่ทำให้เกิด ผลร้าย ปฏิบัติจึงมาหลังปริยัติ และมาก่อน ปฏิเวธ คือผลแห่งการปฏิบัติ)


- ขอทราบวิธีทำน้ำส้มหมักจากข้าวกล้อง และสูตรสมุนไพรไล่แมลง
ต้น นามวงษ์

*** คำถามนี้เรียกได้ว่า คำถามปราบบรรณาธิการ เพราะไม่รู้เลยจริง ๆ ต้องอาศัย นักเรียน สัมมาสิกขา สันติอโศก เอมจิต เอมศรี ไปเรียน ถามคุณกรักน้ำเย็น อโศกตระกูล ซึ่งทำการทำงาน ด้านกสิกรรมมานาน ได้คำตอบดังนี้ค่ะ

น้ำหมักข้าวกล้อง ใช้น้ำตาลทรายแดง ๑ กก. กับน้ำ ๑๐ กก. ละลายให้เข้ากัน แล้ว เทข้าวกล้อง ๓ กก. ลงไป (ใช้ข้าวสุก หรือดิบ หรือเศษผลไม้ เศษผักแทนก็ได้) โดยปล่อย ให้มีช่อง ว่าง ๑ ใน ๓ ส่วน ของภาชนะ ปิดฝาให้สนิท หมักไว้ ๓ เดือน ถ้ามีหัวเชื้อเก่า ใส่ไป ๑ ลิตร ก็จะ ได้ผลเร็วขึ้น ยิ่งหมักนาน คุณภาพยิ่งดี และถ้าต้องการความเข้มข้น ให้ลด น้ำเหลือ ๘ กก. น้ำ หมักจุลินทรีย์ (รวมทั้ง น้ำหมัก ข้าวกล้อง) สามารถนำมาใช้ ใน ชีวิต ประจำวัน เช่น ทำปุ๋ย รดน้ำ ต้นไม้ ชำระล้าง คราบ สกปรก ซักผ้า ล้างห้องน้ำ ดับกลิ่น เหม็นในห้องน้ำ โถส้วม ท่อ ระบายน้ำ ถ้าใช้รดต้นไม้ ต้องทำให้เจือจางก่อน (มิฉะนั้น จะทำให้ ต้นไม้ตาย) โดยใช้น้ำ หมักหนึ่งส่วน ต่อน้ำเปล่า ๑,๐๐๐ ส่วน หรือ น้ำหมัก ๑ ฝา ต่อน้ำ ๑ ขัน

ความรู้แถม
๑. ระหว่าง 4หมัก ต้องปิดฝาให้สนิท ถ้ามี แมลงวัน ตอม จะทำให้เกิด หนอน (แต่ถึงมีหนอน ก็นำมาใช้ได้) และ เก็บน้ำหมัก ไว้ ในที่ร่ม อย่าให้ถูกแสงแดด
๒. กากที่เหลือเอาไปผสมดินทำปุ๋ย อย่าใส่โคนต้นไม้โดยตรง ต้นไม้ จะตาย สำหรับสูตรไล่แมลง ก็ใช้วิธีเดียวกัน แต่ใช้ผักหรือผลไม้รสขม กลิ่นฉุน หรือ เปลือกผลไม้ทุกชนิด หั่นเป็นชิ้นยาวประมาณ ๒ เซนติเมตร หมักกับน้ำ และน้ำตาล ตามวิธีการเดิม นั่นเอง



- ๑. สมาชิกสันติอโศกสมัครอย่างไร
๒. ทางสำนักมีตำราการสกัดน้ำมันตะไคร้หอมไหมครับ
๓. ถ้ากระผมคิดจะสร้างงานเพื่อชุมชนโดยยึดหลักการเกษตรเพื่อชีวิต แต่ขาดวิชาการเรื่อง แปรรูปพืช กระผม ขอความรู้ ในการถ่ายทอดวิชาการจากสำนักสันติอโศกจะได้ไหม

ประจิม ภาสงค์

*** ๑. คุณสมบัติอย่างต่ำ ถือศีล ๕ ละอบายมุข งดอาหารเนื้อสัตว์ แล้วก็เข้า ร่วมงานประจำปี ได้แก่ พุทธาภิเษก ในช่วงมาฆบูชา ที่จังหวัดนครสวรรค์ และปลุกเสกฯ ใน ช่วงก่อนวันสงกรานต์ ที่จังหวัด ศรีสะเกษ เพื่อฝึกหัดปฏิบัติ ลดละกิเลสแบบเข้ม โดยไม่ต้องเขียนใบสมัคร แต่ถ้าจะสมัคร ก็สมัครเป็น สมาชิก สมาคมผู้ปฏิบัติธรรมได้ค่ะ สมัครได้ในงานพุทธาภิเษก และ ปลุกเสกฯนั่นแหละค่ะ

๒. ความรู้เรื่องนี้หนูเอมจิต เอมศรี ไปสัมภาษณ์คุณป้าสมพร กัลปนาท มา ให้ค่ะ ได้ความว่า ให้นำตะไคร้มาปั่นก่อน เพื่อจะ ได้สีเขียวสวยและกลิ่นหอมยิ่งขึ้น ถ้าไม่มี เครื่องปั่น จะหั่นหรือทุบก็ได้ แล้วเอาตะไคร้ ใส่ให้เต็มภาชนะ ที่มีฝาปิดได้ สนิท แล้ว เทแอลกอฮอล์ ๙๕ % ใส่ให้ท่วมตะไคร้ ปิดฝา ให้สนิท ทิ้งไว้อย่างน้อย ๑๕ วัน หรือหนึ่งเดือนยิ่ง ดี ้อสำคัญต้องปิดฝาให้แน่น อย่าเปิดฝาบ่อย เพราะกลิ่น จะกระจายหมดได้ ถ้าอยากให้เข้มข้น ก็นำน้ำที่หมักมาใช้ได้เลย แต่ถ้าต้องการเจือจาง ให้นำ น้ำที่หมักแล้ว ๓ ส่วน ผสมกับแอลกอฮอล์ ๗ ส่วน ๓. ยินดีอย่างยิ่ง ทุกวันนี้ ชุมชนชาวอโศก ทุกชุมชน ก็จัดการ อบรมเกษตรกร อยู่ทุกเดือน เดือนละ ๒-๓ รุ่น คุณจะสมัคร เข้าร่วมอบรมด้วย หรือจะไปดูงาน ก็ได้ค่ะ คุณอยู่สระบุรี น่าจะสะดวก ที่ชุมชน ปฐมอโศก จังหวัดนครปฐม ลองติดต่อไปที่หมายเลข โทรศัพท์ ๐-๓๔๒๕-๘๔๗๐ ถึง ๗๑ ก่อนนะคะ


- ข้อบกพร่องของตัวเองมีมากมาย ตามใจตัวเองมากเกินไป คิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิด และทำถูกต้อง เวลาทำอะไร สักอย่าง ก็อยาก จะทำให้เสร็จ หรือสำเร็จโดยไม่ค่อยได้คำนึงถึงผลของมันว่าจะดี หรือไม่ดี จู้จี้ขี้บ่น โดยไม่ค่อยจะรู้ตัวเอง สักเท่า ไหร่ ชอบว่าคนอื่นไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ แล้วสุดท้าย ก็มาจบ ที่ตัวเรา กลับเป็นอย่างที่ว่าเขาไว้เสียเอง เป็นคน พูดน้อย พูดไม่ค่อย จะเป็น เวลาที่ต้องพูด กับคนหมู่มาก หรือ พูดกับคนที่เราไม่สนิท หรือแม้แต่คนที่เรา สนิทด้วย ก็จะพูด ตะกุกตะกัก ไม่รู้เรื่อง หากพูด นานเข้า ก็จะพูด ไม่รู้เรื่อง คือ ได้แต่ฟัง เขาพูดฝ่ายเดียว เพราะพูดนานไป เราจะหาเรื่องพูดไม่ทัน ยิ่งเป็นเรื่อง ที่เราไม่รู้ และไม่สนใจ ก็ยิ่งจะไม่อยากพูด หรือแม้แต่ฟัง ก็ยังไม่อยากจะฟังเลย
สมาชิกหมายเลข ๒๖๐๒๔๔

*** ที่บรรยายมาทั้งหมดนี่ แสดงว่ารู้ตัวเองแล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จ ไปกว่าครึ่งค่ะ ดีกว่าคนที่ ไม่รู้ตัวเองเลย แถมพอมีคนบอก ยังหาว่าเขามองในแง่ร้ายอีก ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็เป็นอันปิดทาง แก้ไขตนเอง อาการของคุณ ก็เหมือน ผู้หญิงส่วนมาก นั่นเอง (ไม่ได้แปลว่าผู้ชายดีกว่า เพราะชายหญิง ต่างมีจุดดี จุดด้อย คนละแง่มุม) ส่วนที่ดีอยู่แล้ว คือพูดน้อย และได้แต่ฟังคนอื่น อาจจะทำให้รู้สึกว่าตัวเอง ไร้คุณค่า แต่ที่จริงแล้ว เป็นคุณสมบัติที่ดีมาก ทำให้หมดปัญหาไปเยอะเลยค่ะ


- ถึงผมจะรู้ว่ากำลังเดินผิดทาง แต่การจะกลับคืนสู่สภาพเดิมนั้นมันไกลกัน มาก เพราะก่อนจะมาเมืองนอก พ่อตาแม่ยาย ได้ขายที่ให้ นายทุนเพื่อส่งเสียลูก ๆ ของท่าน เรียนให้จบปริญญา ซึ่งแต่ก่อนผม รับหน้าที่นั้น มันหนักเกินไป ท่านจึง ยอมขายที่ และหนทางเดียวที่จะได้ที่ทำกินคืนมา ผมจึงตัดสินใจมาทำงานเมืองนอก ด้วยหวัง จะเก็บเงินซื้อที่ทำกิน และเมื่อผมมาอยู่ที่เมืองนอกได้ไม่นาน ท่าน ก็ขายอีก เพื่อให้ลูก ๆ ที่เรียน จบแล้ว เอาไปเป็นทุนในการทำงาน ขายสองครั้งก็ตกไป ๑๕ ไร่ แต่ท่านก็ซื้อที่นาคืนได้ ๖ ไร่... ผมให้ภรรยา อยู่ดูแลพ่อแม่ ปู่ย่า และอบรมเลี้ยงดูลูกๆ รวมทั้งทำ นาด้วย ภรรยาผมก็รับเอาภาระนี้ทั้งหมด และที่สำคัญ ภรรยาผม เขาได้อ่านดอกหญ้าแทนผม และเขาจะส่งมา ให้ผมอ่านด้วย... ผมยังมีความสุข อยู่กับการ แบกภาระ หน้าที่ ยังต้องการ อยากจะเห็นพ่อ แม่ ภรรยา และลูกๆ มีอยู่มีกิน อยากให้ลูก ๆ อบอุ่น ผมสังเกตเห็นว่า ลูกๆ มีความสุขมาก เมื่อผมกลับไปพัก และการเรียน ของลูกๆ ก็ ดีขึ้น
สัญญา ปรางค์ทอง

*** อยากให้ลูก ๆ ทุกคนรู้ซึ้งถึงความรักของพ่อแม่ ที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อลูก



- ตัวผมมีพลัง ๒ อย่าง คือ พลังแห่งรัก และพลังแห่งธรรม ก่อนจะลงมืออ่าน ในหัวสมองขัดแย้ง อย่างหนัก ถ้าจะอ่าน หนังสือธรรมะ ความรักก็จะจางหาย ถ้าจะเอาแต่ความรักก็ปวดใจ เหนื่อยที่ความรู้สึก ผมต้องใช้ ปัญญา แยกแยะ อยู่นานจึงอ่านหนังสือจบ ผมอยากถามว่า ถ้าจะเอาความรักด้วยธรรมะด้วย ได้ไหมครับ จะมีผลดี ผลเสียอย่างไร
ปรีชา โกทา

*** ได้แน่นอนเลยค่ะ แต่ต้อง เป็นความรักต่อเพื่อนมนุษย์นะคะ เป็นความ รักที่กว้างขวาง เมื่อไรที่ ความรักของคุณ เฉพาะเจาะจง แค่คนเดียว หรือแค่ในครอบครัว คุณ ก็จะกลายเป็น คนเห็นแก่ตัว ทันที ยกตัวอย่าง ง่ายๆ ดิฉันเคยเห็นชาย หญิง บนรถเมล์ เวลาที่มีที่นั่งว่าง เขาก็จะต้องเรียกคนที่เขารัก ให้นั่งก่อนคนอื่น ทั้งที่บางที ก็มีเด็ก สตรี คนชรา ที่เหมาะสม จะได้ที่นั่ง มากกว่า บางที มีที่นั่งว่าง ๒ ที่ เขาก็นั่ง ด้วยกัน โดย ให้ผู้ชายนั่งด้านใน ผู้หญิงนั่งด้านนอก เพื่อที่ผู้ชาย จะได้ไม่ต้องลุก สละที่นั่ง ให้คนอื่น พี่อิสรา นักกลอน ที่แฟนดอกหญ้าประทับใจ ก็เคยเจอค่ะ บนรถเมล์เหมือนกัน วันนั้นพี่อิสรา ได้ที่นั่งด้านใน คนที่นั่งติดกัน เป็นสตรี พอฝนตก พี่อิสราพยายามจะปิด กระจก แต่ปิดไม่ได้ คุณผู้ชาย ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็ยื่นมือ เข้ามาปิดให้ แทนที่จะชื่นชม ที่ผู้ชายของตัวเอง มีน้ำใจ สตรีคนนั้น กลับพูดออกมาได้ว่า "ทำไมต้องบริการคนอื่น" ดิฉันยืนยันได้ว่า พี่อิสราไม่ใช่ สาวน้อยที่แต่งตัวสวยงามน่ารัก น่าพิศวาส แต่เป็นสตรีวัย ๔๐ (ตอนนั้น) ที่แต่งตัวอย่าง ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ไม่จำเป็น จะต้องหึงหวงอะไร

นี่แค่เรื่อง เล็กน้อย นับประสาอะไรกับ ความเสียสละ ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ที่คนเรา ควรจะต้องสร้างสมไว้ เป็นบุญติดตัว แก่ตัวเอง แล้วก็เป็นประโยชน์ ต่อสังคมด้วย คุณจะรักคนคนเดียว หรือไม่กี่คน ในครอบครัว หรือ รักหมดทั้งโลก ก็พิจารณา ให้ดีนะคะ



- ผมชอบบทความเรื่อง "หยาดเหงื่อเพื่อลูก" มากเลยครับ ผมอ่านแล้วน้ำตาร่วงรินออกมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ความรักที่บริสุทธิ์ของแม่ และความอดทนของลูก ทำให้ผมบอกตัวเองเสมอว่า ผมต้องทำความดีให้ มาก ๆ ขึ้นไป ไม่เฉพาะเจาะจงกับแม่เราเท่านั้น แต่ต้องทำดีกับทุกคน
สิทธิชัย พลไกรสร

*** แล้วก็จะมีผลให้สังคมสงบสุข เราและแม่เราก็จะได้รับอานิสงส์ ได้มีชีวิต อยู่อย่างปลอดภัย และเป็นสุข



- ซาบซึ้งใจกับเรื่องหยาดเหงื่อเพื่อลูกเป็นอันมาก ถึงกับเรียก น้ำตาจากผมได้ จากเรื่องนี้ ได้สอนข้อคิด ให้ผมหลายประการ ได้เห็นถึงความพากเพียร อดทน เสียสละ ที่แม่มีให้แก่ลูก ได้เห็นถึงความกตัญญู กตเวที อดทนพากเพียร และความสำนึก ดีที่ลูกมีต่อแม่ สอนให้ผมได้เห็นว่า ความยากจน ไม่ใช่เป็น สิ่งที่น่าละอาย แต่ความยากจน เป็นสิ่งที่สามารถผลักดัน ให้เราไป สู่ความสำเร็จ ในชีวิตได้ ไม่ทำ ให้เราน้อยเนื้อ ต่ำใจ ในความยากจนที่มีอยู่ สอนให้เรารู้จักต่อสู้กับปัญหา อดทนต่อความยาก ลำบาก ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ซึ่งสร้างกำลังใจ ให้ผมเป็นอัน มาก
สุภัททะ รัตนดวงตา

*** ความสำเร็จของคนที่มีองค์ประกอบครบพร้อมจะประหลาดอะไร ความสำเร็จของผู้ที่ต้อง ฟันฝ่า ด้วยความยากลำบาก ต่างหาก ที่ประทับใจคนทั่ว โลกชั่วกาลนาน




- เนื่องมาจากบทความในดอกหญ้าเล่มที่ ๙๖ หน้า ๘๖ เรื่องธรรมชาติอโศกใน อินเดีย (ตอน ๓) เพราะเห็นว่า มันเป็น ความอึดอัดขัดข้อง ลังเลสงสัย อยู่ในใจของชาวพุทธ ทั้งในประเทศ และชาวโลก ทั่วไป ที่ว่าพระพุทธเจ้า เสด็จดับขัน ธปรินิพพาน นั้น เพราะท่านฉันเนื้อหมู บางพวกก็ว่า ฉันเห็ดพิษ ที่นายจุนทะทำเป็นอาหารมาถวาย ผมเข้าใจว่าเพราะ ความไม่รู้ ไม่แน่ชัดว่าอะไร คำว่า สุกรมัททวะ เมื่อชื่อว่าหมู ก็เชื่อว่าพระพุทธเจ้าท่านฉัน เนื้อหมูแน่ ๆ แต่ข้อแย้งว่า เนื้อหมูใครๆ เขากิน ไม่เห็นตายเลย ก็เลยหันเหไปว่า เห็ดพิษ แน่นอน แต่ทำไมไม่มีใครคิดบ้างว่า นายจุนทะ ก็เป็นพุทธศาสนิกชน เช่นเราๆ ท่าน ๆ เหมือนกัน จะมีจิตคิดร้ายต่อ พระพุทธองค์ถึงขนาดนั้นได้อย่างไร อย่าลืมว่า ในโลกนี้มีสิ่งเกิดขึ้น ตามธรรมชาติมากมาย จนเราไม่รู้ว่าอะไรต่อ มิอะไรมากมาย ผมกล้ายืนยันว่า สุกรมัททวะนั้น ที่บ้านผมมี จะจริงหรือไม่ ก็ช่วยกันคิดดู อ่านดู ผมจะเล่าให้รู้เลย

สุกรมัททวะเป็นเห็ดชนิดหนึ่ง ที่กินได้ ผมเองก็เคยกินมาแล้วหลายครั้ง เพราะธรรมดาของคน ทำไร่ทำสวน อยู่กับป่า คุ้นเคยกับป่า เดินป่า มีประสบการณ์มามาก ในบริเวณเขตป่าสงวนแห่งชาติ บาลา-ฮาลา ติดต่ออำเภอ บันนังสตา อ.ธารโต อ.เบตง อ.แว้ง มีเนื้อที่เป็นหมื่นแสนไร่ พอถึงฤดูฝนชุก จะมีคนพบ เห็ดนี้มาก มีลักษณะเหมือนจมูกหมู อย่างไรก็อย่างนั้น ชาวบ้านตั้งแต่ปู่ย่าตายาย เขาเรียกกันว่า เห็ดจมูกหมู สุกรมัททวะ หรือเห็ดจมูกหมูนี้ งอกจากไม้ ที่ล้มเปื่อย ผุพังเกือบๆ จะจมดิน มาเป็นเวลานาน หลายปี การที่ผู้เขียนเรื่องนี้ ได้ไปสัมผัสถึงที่บ้านนายจุนทะเดิม ในประเทศอินเดีย กล่าวว่า ยังคงเหลือแต่ เนินดินสูง ๆ เท่านั้น ผมเข้าใจว่า ในสมัยที่พระพุทธองค์เสด็จ ไปรับอาหาร จากนายจุนทะนั้น ที่ตรงนั้น จะต้องเป็นป่าไม้ มีธรรมชาติ อันร่มรื่น ความชื้นสูง จึงทำให้เห็ดสุกรมัททวะ งอกได้ และนายจุนทะ ก็ไปเอามา จากป่านั้นเอง

เห็ดสุกรมัททวะหรือเห็ด จมูกหมู มิใช่จะงอกโดยทั่วไป บางปี ก็ไม่มีใครเจอ ผู้คนเดินป่า ถ้าหิวน้ำ เมื่อเจอ เห็ดนี้ ก็จะเอามีดตัด ระหว่างไม้กับดอกเห็ด พอตัดขาด ก็จะมีน้ำไหล โกรกออกมาเลย ผู้กิน จะต้องเงยหน้าขึ้น ยกเห็ดขึ้นสูงๆ อ้าปาก ปล่อยให้น้ำไหล ลงปากเลย น้ำในเห็ดบริสุทธิ์ จืดสนิท ใสสะอาด ถ้าตัดสัก ๓-๔ ดอก ก็จะได้น้ำราว ๆ ๑ แก้ว เห็ดนี้เมื่อผ่าออก จะเหมือนฟองน้ำขาวใส รูปร่างภายนอก มีสีเทาๆ เกือบดำ เหมือนเนื้อหมูป่าจริง ๆ บนดอกเห็ดเกลี้ยง เรียบสีเหลืองหมองๆ เหมือน จมูกหมูจริงๆ ลักษณะดอกกลม เหมือนกระป๋องนมสดเล็กๆ เห็ดนี้ไม่ปรากฏว่า ใครจะเก็บ มาทำอาหาร เพราะเป็น ที่รู้กันว่า กินไม่อร่อย ไม่มีรสชาติอะไรเลย กินแต่น้ำอย่างเดียว เห็ดจมูกหมู จะงอกเป็นกลุ่ม อย่างน้อยก็ ๑๐-๒๐ ดอก พอถึงหน้าแล้ง ไม้ที่งอกจะดูดน้ำ จากดอกเห็ดคืน จะทำให้ดอกเห็ดเหี่ยวเล็กลง และผุเปื่อยไป

ท่านผู้อ่านจะเชื่อผมหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ เพราะเวลาล่วงเลยมาสองพันกว่า ปีแล้ว ใครล่ะ จะเป็นผู้ตัดสินได้ว่า สุกรมัททวะ คืออะไร นอกจากพูดไป ต่างคน ก็เดา ๆ กันตามอารมณ์เท่านั้น ผมยินดี ตอบจดหมายทุก ๆ ท่าน ที่อยากสอบถาม เพิ่มเติมได้ทุกเมื่อ
จ่าย พรหมวาส ๒๑๑ หมู่ ๗ บ้านคอกช้าง ต.แม่หวาด อ.ธารโต จ.ยะลา ๙๕๑๗๐

*** นี่ก็กำลังฤดูฝน ถ้าเห็ดนี้ ออกดอกอีก ช่วยถ่ายรูปชัด ๆ ส่งไปให้ดูหน่อยได้ไหมคะ อยากเห็นจริง ๆ ถ้าเมื่อไรมีโอกาสไปใต้ จะขอรบกวน ให้พาไปป่าสงวนแห่งชาติ บาลา-ฮาลา ด้วยค่ะ



- เรื่องลุงเหมือน อ่านมาถึงตอนท้ายเรื่อง ต้องสะอึกเลย ตรงที่ลุงบอกว่า ลูกชายเคยถามว่า มีเงินใช้ไหม ผมก็บอกว่ามี ทั้งที่ไม่มี คนอย่างผม ไม่ขอลูกกินหรอก มันจะถามทำไม ถ้าจะให้ก็ให้มาเลย วรรคนี้แหละ ที่ทำให้ผม ละอาย ตัวเอง จังเลย เพราะผมก็เคยถามพ่อแม่แบบนี้เช่นกัน ทั้งที่ผมก็รู้ว่าพ่อ ไม่ได้ทำงานอะไร เพราะแก่แล้ว ต่อไปนี้ ผมคงไม่กล้าถามอย่างนี้ อีกหรอก ถึงจะอย่างไร ก็จะอดทนเพื่อพ่อแม่ และผม จะพยายาม ทำทุกอย่าง ที่คิดว่าดี และถูกต้อง
สมาน นามวงศ์

*** เป็นเรื่องดีที่เราอ่านหนังสือ แล้วนำข้อคิดที่ได้ไปปฏิบัติจริง ทำอย่างไร นักเรียนที่เรียนหนังสือ อยู่ใน โรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ จะนำสิ่งที่ได้เรียนในห้องเรียน มาปฏิบัติจริง ในชีวิตประจำวันบ้าง



- หนังสือดอกหญ้าจัดทำทุกเดือนหรือเปล่าคะ หรือว่าจัดทำทุก ๓ เดือน ในเล่ม ที่ ๑๐๕ นี้ ดิฉันชอบ บทความ ของคุณสังโฆ มากค่ะ อ่านแล้วทำให้คิดถึง คนแก่อีกหลาย ๆ คน รวมทั้งเตือนใจ ให้คิดถึงพ่อแม่ ของเราเองด้วย ดิฉันอยู่คนละจังหวัด กับพ่อแม่ค่ะ ช่วงหน้าเทศกาล ถึงจะกลับไปเยี่ยมที อ่านเรื่องนี้แล้ว ทำให้นึกอยาก จะทำอะไร ให้ท่านบ้าง
อำไพ ลือสุขประเสริฐ

*** ดอกหญ้าเป็นหนังสือราย ๒ เดือนค่ะ คณะผู้จัดทำ ชื่นชมท่านผู้อ่านมาก ๆ ที่รู้แล้วทำ ถ้าอย่างนี้ สังคม ไทยไปรอดแน่ค่ะ



- ฉันมีโรคประจำตัว คือเป็นนิ่วในไต ต้องผ่าตัด ตอนที่ฉันฟื้นจากการผ่าตัด หมอที่ผ่าตัด ได้ปลุกให้ฉัน ตื่นจาก การวางยาสลบ ในความรู้สึก ของฉันตอนนั้น มันได้ต่อสู้กับอะไรบางอย่าง ไม่อยากมาฝืนเพื่อ รับรู้อะไรอีก แต่ในอีกความรู้สึกหนึ่ง มันบอกฉันว่า ฉันต้องกลับมา เพื่อลูกน้อย ที่อยู่ในวัย น่ารัก และแม่ ที่แก่แล้ว เราจะทิ้งท่านไว้ไม่ได้ เพราะฉันต้อง เป็นตัวหลักของบ้าน ถึงแม้ว่าที่ผ่านมา ฉันจะทำเพื่อเขา มาก็มาก แต่บุญคุณของแม่ ฉันไม่อาจ ชดใช้หมด บางครั้ง เหมือนอยู่คนเดียวในโลก พอฉันอ่าน ดอกหญ้าแล้ว มีกำลังใจขึ้น ใจเย็นลง มากกว่าแต่ก่อน
เรือนทอง เตียมโม่ง

*** เรายินดีเป็นเพื่อนคุณค่ะ



- หน้าแรก เราต้องเชื่อมั่นในตนเองว่า เราคนหนึ่งที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง ขึ้นในสังคมได้
ก่อนที่ จะเชื่อมั่น ในตนเอง ควรแสวงหาฐานข้อมูลองค์ความรู้ในเรื่องนั้น ๆ ก่อนที่จะแสดง ความคิดเห็น สังคม สับสน เดือดร้อน พอแล้ว สำหรับผู้ไม่รู้แล้วชี้

เกษม ชาวนาป่า

*** ขอบคุณค่ะที่ให้รายละเอียดเพิ่มเติม เห็นด้วยทุกประการค่ะ แล้วก็ขอแก้ไขเป็น
"ความเปลี่ยนแปลง ที่ดีขึ้น" ในสังคมได้นะคะ



- ตอนนี้ที่มหาสารคามกำลังมีงานบุญเบิกฟ้างานกาชาด ดิฉันมีโอกาสได้ ไปเดินเที่ยวงาน เห็นเด็ก วัยรุ่น ๑๒-๑๕ ปี เยอะมาก ทั้งเต้น ทั้งร้อง ขี่คาร์บั้ม ดูแล้ว เหมือนเป็นแหล่งมอมเมาเยาวชน ประเทศเราเนาะ
จุฬาลักษณ์ นามเต

*** ขี่คาร์บั้มนี่เป็นยังไงคะ ไม่เคยได้ยินเลยค่ะ คุณผู้ปกครองอย่าให้ตกรุ่น อย่างดิฉันนะคะ จะตามลูก ๆ ไม่ทัน เราจะหาวิธีไหนดีคะ ที่จะทำให้เด็ก ๆ รักบ้าน ไม่อยาก ออกนอกบ้าน โดยไม่ต้องบังคับ



- ผมเป็นโรคความดันกับโรคไซนัส ปวดมึนหัวเป็นประจำ วันนี้ถือเป็นโอกาสดี ที่ผมมีเวลา เขียนจดหมาย เพราะหมอรถไฟ ให้ผมหยุด งาน ๓ วัน และลาพักร้อนอีก ๗ วัน เลยขอถือโอกาส มาพักผ่อน ที่บ้านสิงห์บุรี การปฏิบัติธรรม ของผมยังลุ่มๆ ดอนๆ ไม่เสมอต้น เสมอปลาย และผมไม่ค่อยมีเวลา ส่วนมาก อยู่กับ งานประจำ มากกว่า ส่วนการทานเจของผม ก็ยังไม่เคร่ง เท่าไหร่ เพราะผมไม่มีโอกาส ทำอาหารเอง ต้องใช้วิธี เขี่ยเจ แต่ผมจะพยายาม ให้มากยิ่งขึ้น ถ้ามีเวลา ผมจะทำอาหารเอง
ชุมพล เชื้อผู้ดี

*** เขี่ยเจของคุณชุมพล คงหมายความว่า เขี่ยอาหารเนื้อสัตว์ออก หรือเขี่ยอาหารเจ มารับประทานนะคะ คุณชุมพล ทำงานรถไฟ เป็นไปได้ไหมคะ ที่จะเสนอให้มีอาหารเจบริการ บนรถไฟด้วย ไม่ได้ยากอะไร เพียงแต่มีเห็ด เต้าหู้ ผัก แล้วก็ซีอี๊ว เวลาเดินทางโดยรถไฟ จะได้สั่งอาหารรถไฟ ไม่ต้องเตรียมอาหาร หอบหิ้วไป รถทัวร์บางแห่ง มีบริการแล้วนะคะ



- เมื่อก่อนคิดว่า คนมีธัมมะธัมโม จะต้องเป็นคนที่อยู่วัด ปฏิบัติธรรม แต่พอ ได้ลองปฏิบัติเองแล้ว (อยู่บ้าน ไม่ได้อยู่วัด) มันก็ไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไร มันขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ว่าบุคคลนั้น จะมีความอดทน จิตใจแน่แน่ว เพียงใด ไม่จำเป็น ที่จะต้องไป ปฏิบัติธรรมที่วัด ต้องลองทำดู ปฏิบัติดู แล้วจะรู้ว่า ไม่ใช่เรื่องยาก ขอให้มีจิตใจ แน่แน่วก็พอ

นรินทร์ อีกจอม

*** เห็นด้วยอย่างยิ่ง ถ้ายังจำเป็นต้องอยู่บ้านเป็นคนครองเรือน ก็ปฏิบัติธรรม ที่บ้านได้ (รวมทั้ง ที่ทำงานด้วย) แต่ถ้าสามารถ เหตุปัจจัยเหมาะสม ก็อยากให้ออกจากบ้าน เป็นผู้ไม่มีเรือน (อนาคาริก) เพราะพระพุทธเจ้า ตรัสว่า ฆราวาส (ผู้ครองเรือน) เป็นทางมาแห่งธุลี คือความเศร้าหมอง

ปิดท้ายฉบับ ขอย้ำอีกครั้งค่ะ ช่วยตอบแบบสอบถามด้วยนะคะ เรารออยู่ค่ะ

(ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๗ พฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๔๖)