สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิต

เมื่อคิดถึงสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตที่คนคนหนึ่งจะต้องประสบ ข้าพเจ้าก็นึกถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย การดำเนินกิจการให้ประสบความสำเร็จ หรือการทำบางสิ่งบางอย่างให้ลุล่วง ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความยากลำบากที่เราสามารถผ่านพันไปได้อย่างง่ายดาย หากเรามีความตั้งใจและทุ่มเทให้มันอย่างแท้จริง

สำหรับข้าพเจ้าสิ่งที่ยากที่สุดที่เคยทำได้คือ การค้นพบข้อเสียของตนเองและพยายามปรับปรุง ให้ดีขึ้น ข้อเสียข้อหนึ่ง ที่จะยกตัวอย่างคือ การรู้สึกไม่ดีหรือหมั่นไส้คนง่ายนั่นเอง การหมั่นไส้นี้ไม่ใช่การอิจฉาว่าคนอื่นดีกว่า ไม่ใช่การดูถูกว่าคนอื่นด้อยกว่า แต่ไม่ชอบหน้า ไม่อยากอยู่ด้วย ผลเสียก็คือ เมื่อถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับคนคนนั้นจริงๆ ข้าพเจ้าซึ่งมีอคติกับเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็จะจับผิดคนคนนั้นได้บ่อยๆ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจซึ่งบางครั้งก็เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น (ถ้าเป็นคนอื่น ข้าพเจ้าจะไม่สนใจ ด้วยซ้ำไป) แม้แต่ท่าทางการพูดจา การเดิน ก็สามารถทำให้ไม่ชอบคนคนนั้นเพิ่มขึ้นได้

ข้อเสียของข้าพเจ้าข้อนี้ กว่าจะพบว่ามีอยู่ในตนเองก็เพิ่งไม่นานมานี้ เมื่อได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง เธอเป็นคนที่ชอบวิจารณ์คนอื่นตลอดเวลา แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนบางครั้งข้าพเจ้านึกตำหนิเพื่อนคนนี้ว่า ไม่มีความคิดเอาเสียเลยที่ตัดสินคนจากภายนอก ยิ่งเพื่อนคนนี้วิจารณ์คนอื่นเท่าไร ข้าพเจ้าก็รู้สึกไม่ชอบเพื่อนคนนี้มากขึ้นเท่านั้น จนถึงขั้นไม่อยากจะสมาคมด้วย แต่อยู่ดีๆ ข้าพเจ้าก็นึกขึ้นได้ว่า แล้วตนเองเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า

ข้าพเจ้าคิดอยู่นานกว่ายอมรับว่า ตนเองเป็นคนนิสัยไม่ดีแบบนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกแย่มากๆ แม้ว่าจะไม่เคยพูดสิ่งที่คิดให้ใครฟังก็ตาม เมื่อพบข้อเสียนี้ สิ่งที่ยากที่สุดซึ่งเป็นผลตามมาคือ การพยายามปรับปรุงตัวเอง เป็นที่รู้กันดีอยู่ว่า คนเรานั้นไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยกันได้ง่ายๆ ข้าพเจ้าต้องใช้ความพยายามอย่างที่สุดในการข่มใจ ข่มความคิดที่มันไม่เป็นประโยชน์ที่ผุดขึ้นมาในสมอง สำหรับคนที่เคยรู้สึกไม่ดีด้วย ข้าพเจ้าก็ต้องพยายามมองพวกเขาในแง่ใหม่ ลบข้อมูลความคิดต่างๆ ที่ไม่ดีต่อพวกเขาออก ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ช่วงแรกๆ ที่ต้องบำบัดนิสัยของตัวเองนี้ ข้าพเจ้ายังอดมีความคิดแบบเก่าๆ ไม่ได้ จนต้องใช้วิธีเอาใจเขามาใส่ใจเรา ค่อยๆ เปลี่ยนวิธีคิด ทุกวันนี้ข้าพเจ้ากำลังอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อคนบางคนอยู่ ต้องหาเหตุผลต่างๆ นานามาอธิบาย ลบล้างสิ่งที่ไม่ชอบในตัวคนอื่นๆ ได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่า สักวันหนึ่งนิสัยเสียข้อนี้คงหายไปได้ แม้ว่า การเปลี่ยนนิสัย วิธีคิดของตนเองจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าต้องทำก็ตาม
- ศิรินยา

สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตที่เคยทำสำหรับฉันก็คือ การเข้าใจคนอื่นโดยที่ยังคงมีความเป็นตัวของตัวเอง

โดยปกติแล้วฉันเป็นคนไม่ชอบเลียนแบบใคร บางคนมองว่าฉันเป็นคนแปลก ชอบคิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น และหากฉันคิดอะไรออกมาแล้ว บังเอิญไปซ้ำกับคนอื่น ฉันก็จะพยายามคิดใหม่ให้ต่างออกไป

การเป็นตัวของตัวเองก็เรื่องหนึ่ง ส่วนการเข้าใจคนอื่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฉันมักจะมีปัญหากับเพื่อนในเรื่องที่ฉันมองว่าไม่เป็นเรื่อง เช่น เรื่องของเพื่อนชื่อ "บิ๊บ" เราสนิทกันตั้งแต่เรียนมัธยมต้น บิ๊บชอบโทรศัพท์มาหาฉันเป็นประจำ แต่ทุกครั้งที่คุยกัน ฉันมักจะนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ ซึ่งบ่อยครั้งบิ๊บจะโมโห และบอกว่าฉันไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมบิ๊บต้องโมโห ทั้งๆ ที่ฉันก็ฟังเขาพูดตลอด อาจเป็นเพราะฉันไม่แสดงความคิดเห็นโต้ตอบ เลยดูเหมือนว่าฉันไม่ฟัง เอาแต่ ดูโทรทัศน์ แต่ฉันคิดว่าที่ฉันไม่พูดเพราะฉันไม่มีความคิดเห็น หรือบางครั้งที่บิ๊บโทรมาขณะที่ฉันงานยุ่งมาก ฉันก็รีบบอกว่า "ขอโทษนะ งานเยอะมาก ยังทำไม่เสร็จเลย ไว้คุยกันวันหลังนะ"

จนมีครั้งหนึ่งบิ๊บโมโห และบอกว่าฉันเสียมารยาทมากๆ บิ๊บทนมาหลายครั้งแล้ว และบอกว่าฉันควรจะถามว่าเขามีธุระอะไรที่โทรมา แต่ฉันไม่เคยถาม ตอนนั้นฉันขอโทษบิ๊บไปด้วยความงงว่า ฉันผิดด้วยเหรอที่อยากทำงาน และคิดว่าต้องโทรมาคุยเล่นแน่นอน แต่ก็ขอโทษเพราะไม่อยากเสียเพื่อน จนเมื่อไม่นานมานี้ ฉันเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของบิ๊บ เมื่อ "กล้วย" เพื่อนสนิทอีกคนรู้สึกง่วงนอน ไม่อยากคุยด้วยเพราะวันรุ่งขึ้นต้องไปเรียนแต่เช้า โดยไม่ถามฉันสักคำในขณะที่ฉันเสียงสั่น น้ำตาคลอ อยากจะปรึกษาปัญหากับเพื่อนรัก ครั้งนั้นฉันเสียใจมากๆ แต่ไม่เคยบอกกล้วยเลย

นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้เอง คือ ฉันบอกพั้นช์ ว่าหลังเลิกเรียนจะแวะไปหาที่บ้าน เพราะต้องการไปเอาหนังสือคืน แต่บังเอิญวันนั้นฉันกลับบ้านทางอื่น ไม่ได้ผ่านหน้าบ้านพั้นช์ จึงไม่ได้แวะไป ตกดึกพั้นช์โทรมาต่อว่าฉันอย่างมาก ว่าถ้ามาไม่ได้แล้วก็น่าจะโทรมาบอกกันบ้าง จะได้ไม่ต้องรอ เสียงของพั้นช์ฟังดูโกรธมาก แต่ฉันก็ไม่เข้าใจ ฉันรู้สึกผิดนิดหน่อย ฉันคิดว่าพั้นช์รออยู่บ้านก็ทำอย่างอื่นได้ ไม่ได้นั่งเฉยๆ เพื่อรอฉันอย่างเดียว เลยไม่คิดที่จะโทรไปบอกพั้นช์

ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้เพื่อนๆ ฟัง ทุกคนบอกว่าฉันทำไม่ถูกต้อง และว่าฉันไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของคนอื่นเลย สิ่งที่ฉันต้องทำคือ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา ลองคิดว่าถ้าเราเป็นเขาจะรู้สึกอย่างไร ฉันลองคิดดูแล้ว ถ้าเป็นฉัน คงไม่โกรธแบบนั้น ฉันมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สิ่งที่ฉันคิดมันต่างจากหลายๆ คน ซึ่งความจริงแล้วฉันก็พอใจที่ไม่เหมือนใคร ฉันว่ามันแปลกดี แต่ฉันก็ต้องยอมรับ ทำเป็นว่าฉันผิด เพราะยังต้องการจะมีเพื่อน มีสังคม

ทุกวันนี้ฉันพยายามที่จะเอาใจใส่ ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนอื่นมากขึ้น แต่ก็หลายครั้ง เช่นกัน ที่ฉันพลาด โดยไม่รู้ตัวจนเพื่อนต้องต่อว่าเป็นประจำ มีอยู่แค่เรื่องของกล้วยเพียงเรื่องเดียวที่ฉันเข้าใจ คงเป็นเพราะว่าเจอกับตัวเอง ถ้าไม่เจอกับตัวเอง ฉันก็คงไม่รู้สึก
- อาพันธ์ชนิตร วิรานุวัตร

ข้าพเจ้าเป็นคนที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ไม่เก่งเลย ตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนหน้าสมุดพก ตรงช่องวิชา คณิตศาสตร์ ตั้งแต่อนุบาล จนถึง ม.๒ มักเป็นเลขกลมๆ หรือเป็นแท่งๆ ที่เรียกว่า ๐ หรือ ๑ นั่นเอง ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ แม่จะบ่น อยู่เสมอว่า ข้าพเจ้าไม่มีพัฒนาการทางคณิตศาสตร์เลย อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าพยายามตั้งใจเรียน ทำการบ้านทุกครั้ง ที่เข้าเรียนวิชานี้ แต่เกรดก็ยังคงเดิม ข้าพเจ้ารู้สึกท้อใจมาก จนกระทั่งถึงมัธยมปีที่ ๓ ข้าพเจ้าได้เรียนกับครูท่านหนึ่ง ที่โรงเรียน ท่านเป็นคนที่ เจ้าระเบียบ เข้มงวดและดุมาก แต่ท่านเป็นคนที่สอนได้รู้เรื่องที่สุด ในบรรดาครูคณิตศาสตร์ ที่ข้าพเจ้าเรียนมา อาจเป็นวิธีการที่แปลกและโหด เช่น ให้นักเรียน ทุกคนในห้องยืนบนเก้าอี้ของตนเอง แล้วแข่งกัน ตอบโจทย์ คณิตศาสตร์ ใครตอบได้ก็จะได้นั่ง ถ้าใครตอบไม่ได้ เหลือ ๖-๗ คนสุดท้าย เขาก็ลงโทษด้วย วิธีการต่างๆ บางทีก็ให้ ออกไปยืนหน้าห้อง จนหมดคาบ ดังนั้น ด้วยวิธีการที่แปลกและโหดเหล่านี้ จึงทำให้ข้าพเจ้าจำเป็นต้องรู้เรื่อง ทุกครั้งที่เรียน และเตรียมตัวมาให้ดีที่สุดก่อนเข้าเรียนเพื่อให้รอดพ้นจาการลงโทษ และในที่สุดความพยายามที่ข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจ ก็ทำให้ข้าพเจ้าได้เกรดเฉลี่ยวิชาคณิตศาสตร์ ถึง ๓ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ข้าพเจ้าและคนรอบตัวไม่คาดฝัน

จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่า ได้ใช้ความพยายามมากที่สุดในการทำเกรดเฉลี่ยวิชาคณิตศาสตร์ถึง ๓ เพราะข้าพเจ้าไม่ชอบ ข้าพเจ้าต้องอดนอนเกือบทุกคืนเพื่อท่องจำและฝึกทำโจทย์ให้แม่นยำ และต้องหวาดผวาทุกครั้ง ก่อนเข้าเรียน แต่ข้าพเจ้าก็ทำสำเร็จ
- นววิธ เตียวสมบูรณ์กิจ

ช่วงเวลาแห่งความทรงจำของข้าพเจ้า คือ ทุกวินาทีตั้งแต่เริ่มจำความได้ เพราะทุกช่วงเวลาไม่ว่าจะดีหรือร้าย ล้วนเป็นประสบการณ์ให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ แต่ ถ้าจะถามว่าช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดคือตอนไหน คำตอบคือตอนที่พ่อข้าพเจ้าอยู่ด้วย ในตอนนั้นทุกเย็นวันศุกร์พ่อจะพาข้าพเจ้า แม่และพี่ไปทานข้าวเย็นนอกบ้าน และแทบทุกวันเสาร์-อาทิตย์ พ่อจะขับรถพาพวกเราไปวัดทางภาคกลางและภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่ นานๆ ครั้งจึงจะไปทางภาคอีสาน เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่ข้าพเจ้าคิดอยากจะไปเที่ยว ที่ๆ ชอบไปที่สุดคือวัดต่างจังหวัด เพราะรู้สึกว่าเป็นการได้ พักผ่อนจริงๆ การไปเที่ยวตามศูนย์การค้านั้น ข้าพเจ้าไม่รู้สึกว่าได้พักผ่อนเลย แต่เป็นการเพิ่มความเหนื่อยจากกิเลสมากกว่า

พ่อของข้าพเจ้าเป็นคนที่ใจดีมากๆ ท่านไม่เคยตีหรือดุเลย ข้าพเจ้ารักพ่อมาก ทุกคืนเวลาพ่อกลับจากทำงาน ข้าพเจ้าจะนำผ้าเย็นใส่โคโลญน์ไปเช็ดหน้าให้ท่าน และนอนหนุนตักท่าน จนท่านสวดมนต์และนั่งสมาธิ ข้าพเจ้าจึงไปนอน ตอนนั้นข้าพเจ้าพยายามนั่งสมาธิเหมือนกัน แต่นั่งเท่าไหร่ก็ไม่ได้ รู้สึกอึดอัดมาก จึงได้แต่สวดมนต์อย่างเดียว พ่อก็บอกว่ายังไม่ถึงเวลา ตอนนี้ข้าพเจ้านั่งสมาธิได้แล้ว และอยากบอกพ่อมาก แต่ยังไม่มีโอกาส เพราะพ่อบวชเป็นพระธุดงค์ตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุ ๑๓ ปี

การที่พ่อบวชนั้น ทำให้แบบแผนในการดำเนินชีวิต ตลอดจนความคิดต่างๆ ของข้าพเจ้าเปลี่ยนไปมาก จากเมื่อก่อนตอนที่มีพ่ออยู่ ข้าพเจ้าได้แต่เรียนไปวันๆ เพราะพ่อแม่ไม่ได้กดดันว่าต้องเรียนเก่ง อยากได้อะไรพ่อก็ซื้อให้ทุกอย่าง แต่เมื่อพ่อบวชแล้ว ข้าพเจ้าก็เกิดความตั้งใจอยากทำให้แม่มีความสุข แต่ตอนนั้นข้าพเจ้ายังเด็กจึงคิดได้แค่ว่าจะตั้งใจเรียน ทำให้ตอน ม.ต้นจากที่เคยได้เกรด ๒.๘-๒.๙ เมื่อขึ้น ม.ปลาย ข้าพเจ้าได้เกรด ๓.๙๖ และข้าพเจ้าก็ตั้งใจจะเอ็นทรานซ์ให้ติดคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เพราะเป็นคณะที่อยากอยู่มาตั้งแต่ ป.๖ ตอน ม.ปลายข้าพเจ้าจึงไปสมัครเรียนพิเศษตามโรงเรียนกวดวิชา โดยเก็บเงินค่าขนมและเงินที่ได้จากการนวดญาติๆ และช่วยทำงานบ้านให้ป้า ไปเรียน เพราะไม่อยากกวนแม่ จนในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้เป็นนิสิตอักษรศาสตร์จุฬาฯ ทำให้แม่โล่งใจไปเปราะหนึ่งว่าลูกมีอนาคตที่ดี

ข้าพเจ้ารู้สึกขอบคุณพ่อมากที่ทำให้ข้าพเจ้าสนใจธรรมะ แม้จะมีเพียงแค่หางอึ่งก็ตาม ธรรมะทำให้จิตใจข้าพเจ้าเปลี่ยนไปมาก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนเคยอนุโมทนาบุญกับคนอื่น แต่ไม่รู้สึกปีติ จนเมื่อ ๙ เดือนก่อนขณะยืนอยู่บนรถเมล์ ที่ติดไฟแดงหน้าเซ็นทรัลลาดพร้าว ข้าพเจ้าเหลือบไปเห็นคนขายพวงมาลัยที่ตั้งแผงลอยอยู่ริมถนน พลางคิดว่าอาชีพนี้ดีจังเลย นอกจากเป็นอาชีพที่สุจริตแล้ว ยังทำให้คนอื่นรู้สึกดี และได้บุญจากการนำพวงมาลัยไปถวายพระอีกด้วย ยิ่งเห็นคนขายเป็นคนพิการ ข้าพเจ้าก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมที่เขาพยายามหาเลี้ยงตัวเองมากกว่าไปขอทาน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีพระมาบิณฑบาต เขาก็ยังใส่บาตร ภาพนั้นเป็นภาพที่ประทับใจมาก ข้าพเจ้ายกมือไหว้และพูดว่า "อนุโมทนาด้วยค่ะ" พอกล่าวจบก็รู้สึกขนลุกและร้องไห้ออกมา จนคนบนรถเมล์ตกใจว่าข้าพเจ้าเป็นอะไร วันนั้น
ทั้งวันข้าพเจ้ารู้สึกดีมากๆ เหมือนได้ทำบุญมาเอง เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัย เพื่อนยังถามเลยว่าไปทำอะไรมา ทำไมหน้าอิ่มบุญจัง

ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าธรรมะดีที่สุด ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งรู้สึกดี ทำให้ไม่ยึดติดกับอะไรมากเกินไป เพราะรู้แล้วว่าไม่มีอะไรเป็นของของเรา มาคนเดียว ไปคนเดียว ใครปฏิบัติคนนั้นก็ได้ไป ข้าพเจ้าขออนุโมทนากับพ่อด้วยค่ะ
- นางสาวปาริชาต สุธรรมวงศ์

สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้าที่เคยทำ และยังไม่สามารถจะทำให้ประสบความสำเร็จได้ก็คือ การวาดรูป ข้าพเจ้าวาดไม่ได้เรื่องเลย ไม่เป็นรูปร่างพอจะให้ดูได้ พยายามอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถวาดออกมาได้ นับเป็นเรื่องยากมากถึงมากที่สุด การที่ข้าพเจ้าไม่เคยวาดรูปได้เลยนี้ ทำให้ข้าพเจ้ามีอคติต่อการวาดรูปตลอดมา เมื่อต้องวาดรูป ข้าพเจ้าจะกระวนกระวาย ไม่สบายใจ รู้สึกไม่ชอบวิชานี้ เมื่อมีวิชาที่ต้องเกี่ยวข้องกับการวาดรูปก็จะไม่สนใจหรือตั้งใจเรียน แต่ข้าพเจ้าก็ชอบดูภาพวาดและงานศิลปะมาก

เรื่องยากที่เคยทำอีกเรื่องหนึ่งก็คือการทำอาหาร ข้าพเจ้าไม่ชอบทำอาหารมากๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเป็นผู้ช่วยหรือผู้เรียนทำอาหาร จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก ไม่สามารถทำได้แน่ แล้วก็ไม่สามารถทำได้จริงๆ

สำหรับข้าพเจ้า การทำอาหารให้อร่อยเป็นเรื่องยุ่งยาก ซับซ้อนมาก ต้องเตรียมเครื่องปรุง ส่วนประกอบให้พอเหมาะพอดีกัน ไม่หนักไปในส่วนใดส่วนหนึ่ง มีความรู้สึกเหมือนการวาดรูป จะรู้สึกลำบากใจเวลาต้องทำอะไรยากๆ แล้วทำไม่ได้ จนปัจจุบันข้าพเจ้าก็ยังคิดว่าทั้งการวาดรูปและทำอาหารเป็นเรื่องยากมาก
- วีรวรรณ เหลืองอร่าม

สิ่งที่ฉันคิดว่ายากที่สุดสำหรับฉันก็คือการเฝ้าเดี่ยว การเฝ้าเดี่ยวคือการใช้เวลาเป็นการส่วนตัวกับพระเจ้าในทุกๆ วันด้วยการอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ หรืออาจมีการร้องเพลงด้วยก็ได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคริสเตียนที่จะต้องเฝ้าเดี่ยว การเฝ้าเดี่ยวเป็นการที่เราใช้เวลาพูดคุยกับพระเจ้า เพื่อให้เราใกล้ชิดกับพระองค์ ซึ่งจะใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ ๑๕ นาที หรือมากกว่านั้นก็ได้ ความจริงเวลาเพียงเท่านี้นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ ๒๔ ชั่วโมงที่เรามีใน ๑ วัน สาเหตุที่ทำให้ฉันคิดว่า เป็นสิ่งที่ยากที่สุด คือ การเฝ้าเดี่ยวเป็นการพูดคุยที่เราไม่สามารถได้ยินเสียงหรือ จับต้องได้เหมือนเวลาที่เราพูดกับมนุษย์ด้วยกันเอง ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่เราจะบังคับตัวเองให้เฝ้าเดี่ยวทุกๆ วัน และที่สำคัญฉันมักจะขี้เกียจและเหนื่อยเกินกว่าจะทำ แต่หลังจากที่ฉันได้ไปค่ายผู้นำเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ฉันก็ตั้งใจว่าจะเฝ้าเดี่ยวทุกวัน โดยจัดเวลาว่าจะทำตอนเที่ยงคืนครึ่ง ตอนนี้ฉันทำได้แค่ ๗๕% แต่ฉันก็มีความหวังใจว่าฉันต้องทำให้ได้ ๑๐๐% และทำให้การเฝ้าเดี่ยวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน
- อนิศา อภิชาต

สำหรับข้าพเจ้าแล้ว สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตก็คือ การได้เข้ามาอยู่ในคณะอักษรศาสตร์ การเตรียมตัวอ่านหนังสือ สอบเอ็นทรานซ์ และทำคะแนนให้ได้สูงนั้นเป็นสิ่งที่ลำบากสำหรับข้าพเจ้า ที่ต้องสอบทั้งหมด ๙ วิชา คือ ทั้งวิชาทางสายวิทย์และศิลป์ แต่การมุ่งมั่นอ่านหนังสือสอบนั้น ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกท้อแท้และอ่อนใจเท่ากับการที่ต้องขัดใจทุกๆ คนในบ้าน

ตั้งแต่เล็กมานั้น ข้าพเจ้าได้รับการปลูกฝังมาให้เป็นหมอฟัน (ซึ่งเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่รุ่นพ่อ) เนื่องจากปู่ของข้าพเจ้าเป็นหมอฟันที่ประสบความสำเร็จ มีชีวิตที่สะดวกสบาย มีเงินใช้ไม่ขาดมือ แต่หลังจากที่ปู่เสียชีวิตไปแล้วไม่มีใครได้เป็นหมอฟันอีกเลย ในบรรดาลูกหลานทั้งหมด บวกกับสภาพเศรษฐกิจ ของครอบครัวที่ย่ำแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่เมื่อประมาณ ๗-๘ ปีก่อน ความหวังของทุกคนในครอบครัว ที่จะให้ลูกหลานเป็นหมอฟันจึงตกอยู่ที่ข้าพเจ้าเพียงคนเดียว หลังจากที่พี่สาวของข้าพเจ้าสอบเอ็นทรานซ์เข้าคณะวิทยาศาสตร์ไปเรียบร้อยแล้ว

ข้าพเจ้าเข้าใจว่าทุกคนหวังดี อยากให้ข้าพเจ้ามีอาชีพที่มั่นคง ไม่อยากให้ลำบากเหมือนรุ่นพ่อ ในช่วงแรกๆ ข้าพเจ้าก็ตั้งใจที่จะเป็นหมอฟันจริงๆ จึงเลือกเรียนสายวิทย์ตอน ม.ปลาย ตั้งใจที่จะไปทางที่ทุกคนในครอบครัวชี้ไว้ให้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงจุดๆ หนึ่ง ข้าพเจ้าก็พบว่าตนเองสนใจทางด้านมนุษยศาสตร์ และไม่มีหัวทางด้านวิทย์อย่างแท้จริง อาจรู้เพียงผิวเผินพอเรียนไปได้ แต่ ไม่ได้เข้าใจวิชาเหล่านั้นอย่างถ่องแท้เลย

เมื่อรู้ตัวอย่างนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มเบนเข็มไปเอาใจใส่ทางภาษาและเมื่อมีโอกาส ก็พยายามพูดหยั่งเชิง กับคนในบ้าน เรื่องเรียนคณะอักษรศาสตร์ ปรากฏว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่มีใครเห็นด้วยกับความคิดของข้าพเจ้า แม้จะพยายามอธิบายถึงความชอบและความถนัดของตนเอง แต่ไม่มีใครเชื่อว่าข้าพเจ้าจะเรียนวิชาทางวิทย์ไม่ไหว เพราะทุกคนตัดสินจากเกรดวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ จากสมุดพก ซึ่งใครจะมารู้ดีกว่าข้าพเจ้าว่า จริงๆ แล้วมันเหมือนเรื่องโกหกตบตาคนเท่านั้นเอง

ตั้งแต่นั้นมาเมื่อไรที่คุยถึงเรื่องคณะ จะต้องจบลงด้วยน้ำตาของข้าพเจ้าที่ไม่ได้สั่นคลอนความคิดของผู้ปกครองเลยแม้แต่น้อย เป็นอย่างนี้เรื่อยมาจนถึงช่วงเอ็นทรานซ์ ซึ่งในตอนนั้นข้าพเจ้าถอดใจจากคณะนี้ไปแล้ว แต่ไม่ทราบว่าอะไรทำให้ยังเลือกสอบวิชาทางศิลป์ไปด้วย และเมื่อวันประกาศผลคะแนนมาถึง ข้าพเจ้าสอบคณิตศาสตร์ ๑ (สายวิทย์) ไม่ผ่านเกณฑ์ที่หมอฟันจะต้องได้คะแนน ๓๐ ขึ้นไป ข้าพเจ้าได้ ๒๙ คะแนน แต่คะแนนถึงคณะอักษรศาสตร์อย่างฉิวเฉียด ถึงกระนั้นตอนที่เลือก ๔ คณะ ข้าพเจ้าก็เลือกตามใจตัวเองเพียงคณะเดียวในอันดับ ๑ คือคณะอักษรศาสตร์จุฬาฯ (หลังจากการพยายามอ้อนวอนทุกวิถีทางและโน้มน้าวว่าข้าพเจ้าคงไม่ติดเพราะคะแนนเกินน้อยมาก แต่ขอเลือกเพื่อความสบายใจ หากไม่ได้เลือกคณะนี้คงข้องใจไปตลอดชีวิต ฯลฯ) นอกนั้นอีก ๓ อันดับ ข้าพเจ้าเลือกเภสัชและวิทยาศาสตร์ตามใจครอบครัว ในที่สุดความฝันที่ ข้าพเจ้าได้ลงทั้งแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่สร้างมันขึ้นมาก็เป็นความจริง จนกระทั่งถึงตอนนี้ เมื่อใดที่ข้าพเจ้านึกไปถึงความยากลำบากทั้งทางกาย (อดหลับอดนอนอ่านหนังสือ) และทางใจ (การไม่ยอมรับของคนที่บ้าน) ข้าพเจ้าจะรู้สึกตื้นตันขึ้นมาอย่างประหลาดที่ได้เ
ป็นส่วนหนึ่งของคณะนี้ เพราะสิ่งที่ได้มายากนั้นสูงค่าเสมอ

- หทัยกาญจน์ วิรุณานนท์

สิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่ายากที่สุดในชีวิตที่ต้องใช้ความพยายามอย่างสูงถึงจะทำได้ก็คือ "การเชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่" ถ้าจะบอกว่าข้าพเจ้าเป็นเด็กหัวดื้อ ไม่ค่อยเชื่อฟัง พ่อแม่ก็คงจะไม่ถูกเท่าไรนัก แต่ข้าพเจ้าจะเป็นคนที่เชื่อในสิ่งที่ตนเองคิดก่อนเป็นอันดับแรก และมักจะปักใจเชื่อเช่นนั้นจนกว่าจะเห็นด้วยตนเองว่าสิ่งที่คิดนั้นไม่ถูกต้อง จึงจะเปลี่ยนความคิดในภายหลัง

ด้วยเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นคนนิสัยเช่นนี้ จึงมีบ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกับคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นกับคุณแม่มากกว่า เนื่องจากเรา ใกล้ชิดและพูดคุยกันบ่อยกว่าคุณพ่อที่เป็นคนทำงานหาเลี้ยงครอบครัว สาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าทะเลาะกับคุณแม่บ่อยๆ ก็มักจะเป็นเรื่องไร้สาระที่เกิดจากช่องว่างระหว่างวัยของเราสองคน ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ใช่ว่าคุณแม่ของข้าพเจ้าจะเป็นผู้ใหญ่หัวโบราณ ไม่ยอมเข้าใจนิสัยวัยรุ่น แต่เป็นเพราะบางเรื่องนั้น คุณแม่ก็เห็นว่า ข้าพเจ้าทำตัวไม่ค่อยเหมาะสม เพราะสมัยคุณแม่ยังเด็กอยู่ ไม่มีสิทธิ์ทำได้เลย เพราะคุณยายคุณตาจะดุหรือลงโทษเอา แต่ด้วยเหตุที่คุณแม่เข้าใจข้าพเจ้า ไม่ยอมให้ข้าพเจ้าทำอะไรดังที่ต้องการ หรือเลือกวิธีการดำเนินชีวิตด้วยตนเอง จึงทำให้ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่า ทำไมกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางเรื่องคุณแม่ถึงไม่ยอมเข้าใจ และต้องว่ากล่าวข้าพเจ้าด้วย ตัวอย่างเช่น คุณแม่อนุญาตให้ข้าพเจ้าแต่งตัวตามแฟชั่นได้ อนุญาตให้เลือกเรียนในสิ่งที่ตนเองชอบได้ แต่บางครั้งที่คุณแม่พูดผิด แล้วข้าพเจ้าแก้ใหม่ให้ถูกต้อง ข้าพเจ้ากลับโดนคุณแม่ดุ ว่าคอยจับผิดแม่ ท่านมักจะว่าข้าพเจ้าประมาณว่าให้เรียนสูงๆ แล้วมาสั่งสอนพ่อแม่ บางครั้งท่านถึงกับโกรธ ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าได้ทำอะไรผิดใหญ่หลวงขนาดนั้น พอมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นทีไร ข้าพเจ้าก็มักจะคิดว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด และมักจะงอน เราสองคนก็เลยไม่คุยกัน แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็ต้องเป็นคนไปง้อคุณแม่ทุกครั้ง ข้าพเจ้าง้อคุณแม่ทั้งๆ ที่คิดว่าไม่ได้ทำผิดสักหน่อย แต่ที่ต้องง้อก็เพราะเวลาไม่ได้คุยกับแม่แล้ว รู้สึกว่าชีวิตมันขาดอะไรไปบางอย่างจนทนไม่ได้ ต้องเข้าไปอ้อนให้คุณแม่ยอมคุยด้วยทุกครั้ง

บางครั้งข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าคงจะทำผิดจริงๆ เรื่องแก้คำพูดของท่าน ข้าพเจ้าก็ต้องขอโทษท่านทุกครั้ง ไม่ใช่เพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจความคิดของคุณแม่ ยังมีเรื่องอื่นๆ อีก เช่น เรื่องเก็บของให้เข้าที่ ทานข้าว หรือเล่นกับน้อง ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมคุณแม่ต้องว่าข้าพเจ้าด้วย โดยเฉพาะเรื่องเก็บของ ข้าพเจ้า
ชอบทำอะไรๆ ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเก็บของเข้าที่ทีเดียว แต่คุณแม่ชอบให้ข้าพเจ้าเก็บของให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยไปทำอย่างอื่นต่อ ซึ่งแรกๆ ข้าพเจ้าก็จะดื้อ ไม่ทำตาม แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าก็จะทำอย่างที่ท่านบอก เพื่อจะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน

ในความคิดของบางคนอาจเห็นว่า เรื่องที่ทำได้ยากที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า ดูไร้สาระ จนไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก หากแต่สำหรับข้าพเจ้าเอง เรื่องนี้ดูจะเป็น เรื่องที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต และต้องใช้ความพยายามอย่างสูง เพราะบางครั้งที่ข้าพเจ้ายอมทำตามคุณแม่ ก็ใช่ว่าข้าพเจ้าจะเชื่อและเต็มใจทำจริงๆ ข้าพเจ้ายังคงอยากโต้แย้ง อยากขัดคำสั่ง แต่พอนึกถึงเวลาต้องไปง้อให้ท่านหายโกรธ ข้าพเจ้าก็ต้องยอมทำตาม อย่างน้อยนอกจากไม่ต้องมีปัญหากับคุณแม่แล้ว การเชื่อฟังของข้าพเจ้าก็ทำให้ท่านมีความสุขด้วย
- วรภา ลิขิตชื่นชู

-ดอกหญ้าอันดับที่ ๑๐๙ กันยา-ตุลา ๒๕๔๖-