รับเชิญ -พริม -
ครอบครัวหรรษา



ณ หลังบ้าน ใกล้ต้นการเวกที่เลื้อยพันพาดผ่านไม้ระแนง ก่อให้เกิดความร่มรื่น โดยธรรมชาติ มีถังน้ำเก่าๆ ที่มีผ้าขี้ริ้วหลายผืนแช่อยู่ เพื่อรอปฏิบัติหน้าที่ของมัน อย่างไม่บิดพริ้ว

"แม่คะ ทำไมบ้านเราไม่จ้างคนใช้ล่ะ สบายกว่ากันเยอะเลย หนูก็คงสบายกว่านี้ ไม่ต้องมาทำงานบ้านน่าเบื่อนี้ด้วย" คำถามที่ปนด้วยความสงสัย และความขัดข้องใจ ของแป้ง เด็กผู้หญิงอายุประมาณ ๗ ขวบ ตัวเล็กๆ ผอมเก้งก้าง ความสูงก็คงไม่แตกต่าง จากความสูงของไม้ถูพื้นที่เธอกำอยู่ในมือซ้าย

"จริงๆ แล้ว" เสียงทุ้มแต่หนักแน่นของผู้เป็นแม่ที่พร้อมจะให้ความกระจ่างแก่เด็กน้อย " บ้านเราก็เคยมีคนทำงานบ้านนะ หนูก็รู้นี่ ตอนนั้นน้องปุยยังเล็กๆ อยู่เลย แม่ต้องจ้าง พี่เลี้ยงมาดูแล แต่ว่าพี่เขาลากลับบ้านที่ต่างจังหวัด แม่ก็เลยไม่ได้จ้างอีก"

พลันย้อนนึกไปถึงเมื่อหลายสิบปีก่อน ภาวะจิตใจที่ต้องทุกข์อยู่ตลอดเวลาว่า คนช่วยงาน จะกลับบ้าน และจะทำให้ไม่มีใครช่วยเหลืองานอย่างสะดวกสบาย ทำให้ตัดสินใจ เลิกจ้าง

การเลิกจ้างคนทำงานบ้าน ณ ตอนนั้น ทำให้วิถีชีวิตของคนภายในบ้านเ ปลี่ยนแปลงไป แม่ต้องทำงานทุกอย่าง รวมทั้งเลี้ยงลูกที่ยังเล็ก อีกสามคน คือ ปอน แป้ง ปุย นอกจากนี้ ยังต้องสอนหนังสือให้ลูกสาวคนที่สอง แป้งเข้าเรียนอนุบาลได้ ๑ ปี แต่ไม่สบาย เป็นไข้ เลือดออก ทำให้ต้องหยุดพักการเรียน เธอจึงคิดว่าน่าจะสามารถสอนลูกสาวเองที่บ้าน ก่อนจะเข้าเรียนประถมหนึ่ง

ภาระในบ้านทั้งหมด เธอต้องเป็นผู้แบกรับอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง การตัดสินใจนั้น ถูกต้องหรือไม่? ใจอีกด้านต่อต้านขึ้นมา เพราะความรู้สึกเหนื่อยล้า จากการทำงาน ทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว อีกใจหนึ่งก็ยังแน่วแน่ที่อยากจะให้ลูกๆ รู้จักการดำเนินชีวิต ที่ยากลำบาก แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ตาม ชีวิตคนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วย หนามกุหลาบต่างหาก สอนยังไง ก็ไม่เท่าให้รู้ด้วยตนเอง

สีหน้าของลูกสาวคนที่สองยังคงขุ่นมัว และไม่พอใจสภาพที่ตนเป็นอยู่

"แล้วอย่างงี้ก็ต้องทำกันเองไปตลอดชีวิตเลยเหรอ โอ๊ย! แล้วเมื่อไรจะได้พักนะ"

"อะไรคือพักล่ะ? แป้งว่าอะไรคือการพัก? " แม่ยิงคำถามให้ลูกสาวได้คิด

"ก็..." ลังเลไม่แน่ใจในคำถามและชั่งใจในสิ่งที่จะตอบ... "ก็ได้นอนดูทีวี เล่นกับเพื่อนๆ มีคน ทำอาหารให้กิน ล้างจานให้ แล้วก็...ถูบ้านให้ด้วยไงคะ" แป้งตอบตามประสาเด็ก "แม่ดูสิ บ้านแถวนี้ เขามีคนทำงานบ้านทั้งนั้นเลย" แป้งยังอุทธรณ์ต่อ

แม่ยิ้มและคิดว่า อธิบายตอนนี้คงไม่ได้อะไรดีขึ้น เด็กคือเด็ก เด็กมีความคิดของเด็ก การสร้างวิธีคิดใหม่ให้เด็ก ไม่ใช่บอกว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เด็กคิดได้เองจากการเรียนรู้

"อย่างนั้นก็ได้" แม่พูดและอมยิ้มเหมือน ยอมรับในความคิดของแป้งโดยดี "แต่แป้ง ช่วยแม่ทำหน่อยสิ แม่เหนื่อย ทำงานมาตั้งแต่เช้าแล้ว อยากพักบ้างจัง อยากลองดูว่า พักแล้วจะสบายอย่างที่แป้งว่าหรือเปล่า? "

"โธ่... ก็ต้องทำอยู่ดี น่ะสิ" เสียงเบื่อหน่ายของเด็กน้อยที่ในที่สุดก็หมุนตัวถือไม้ถูพื้นเดิน โงกเงกเข้าไปทำหน้าที่ของ เธออีกวันหนึ่งแม่แบ่งงานให้ลูกๆ ช่วยกันทำ เช่น ให้ปอน ลูกชายคนโตถูบ้าน ๒ ห้อง แป้งลูกสาวคนรองถู ๑ ห้อง น้องปุยยังเล็กเกินไป ที่จะทำงานได้ ที่เหลือ เธอจัดการเอง บางครั้งก็ให้ลูกๆ ช่วยรดน้ำต้นไม้และสนามหญ้า หน้าบ้าน แต่เธอไม่ได้หวังให้ต้นไม้ของเธอได้รับน้ำอย่างเต็มที่หรอก เพราะถ้าขืนให้ลูกๆ ของเธอรดโดยที่เธอไม่มารดอีกครั้ง ต้นไม้ของเธออาจจะไม่มีชีวิตรอดได้ถึงทุกวันนี้ แม้ว่า ลูกๆ จะสักแต่ทำ แต่เธอก็ถือว่าการได้ลงมือทำ แม้จะทำด้วยอารมณ์ไม่สดใสนัก ก็ประสบ ความสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว

จริงๆ แล้วเธอต้องการให้ลูกๆ รู้จักทำงาน รับผิดชอบงานที่นอกเหนือจากงาน ที่โรงเรียน ที่มีคะแนนเป็นตัวบังคับ

หลังอาหารค่ำ

"แม่ วันนี้พี่ปอนล้างจานหรือเวรแป้งคะ? " เด็กน้อยถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจดีว่า เป็นหน้าที่ ของเธอ แต่ด้วยหวังว่าคนในบ้านจะลืมเพื่อฉวยโอกาสไม่ต้อง ล้างจานในวันนี้

"เวรแป้งนั่นแหละ วันนี้จานเยอะด้วย" พี่ปอนที่โตกว่าเธอสี่ปีตอบกลับทันที ด้วยท่าทีที่ ไม่ได้รอง น้องสาวเลย " พรุ่งนี้ถึงจะเป็นเวรพี่ เพราะว่าเมื่อวานกินข้าวนอกบ้าน เลยไม่มีใคร ต้องล้าง แต่วานซืนพี่ล้างไปแล้ว วันนี้เลยต้องเป็นเวรแป้ง"

"เฮอ! ...เบื่อจังเลย" แป้งบ่นพึมพำ พลางขนจานไปยังอ่างล้างจานด้วยความไม่เต็มใจนัก

"งั้น ปอนไปถูบ้านชั้นบนหน่อยแล้วกัน วันนี้แม่ไม่มีเวลาทำ" แม่สั่งพลางหันไปมองปอน

"อุตส่าห์ไม่ต้องล้างจานแล้วเชียว" เสียง พึมพำอยู่ในลำคอด้วยความผิดหวังและ เบื่อหน่าย ปอนกับแป้งมีปัญหาในการแบ่งงานบ้านกันบ่อยๆ ทั้งคู่มักทะเลาะกัน ในเรื่อง เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยงกันทำงาน โชคดีที่ลูกคนสุดท้องยังเล็กเกินกว่าจะทำงานบ้านได้ ไม่อย่างงั้น อาจจะกลายเป็นศึกพี่น้องสามคน

ในความเป็นจริงแล้ว เธอรู้สึกสงสารลูกๆเหมือนกันเมื่อเห็นพวกเขาต้องทำงานบ้าน และ ไม่มีความสุขทุกครั้งที่ต้องทำ คำพูดของลูกสาวคนรอง ในวันหนึ่งทำให้เธอลังเล แป้งบอกว่า บ้านเราก็พอมีเงิน ทำไมไม่จ้างคนงานเหมือนบ้านอื่นเขา จะได้ไม่ต้องเหนื่อย ทุกคน สบายกันหมด

แต่...เหตุผลของเธอไม่ใช่เรื่องเงิน เธอยังคง มีความตั้งใจมั่นคง แม้บางครั้ง จะถูกสั่นคลอนด้วย ความรู้สึกสงสารลูก และความเหนื่อยล้าของเธอเอง

"เย้! ...ล้างจานเสร็จซะที" พลางเหลือบไป มองนาฬิกาที่แขวนอยู่ที่ผนังด้านข้าง "ดูละคร ได้แล้วสินะ มาพอดีเลย" แป้งวิ่งถลาไปยังห้องทีวี หยิบรีโมตขึ้นมาเปิดทีวี ดูละคร ที่เธอโปรดปราน

" เห็นไหมคะแม่ ดูสิ" แป้งเรียกแม่มาดูละคร " เขาไม่เห็นต้องทำงานบ้านเลย ทุกบ้าน มีคนงาน คอยทำความสะอาดให้"

"แป้ง" ถึงเวลาบ้างแล้วที่จะชี้แจงให้ลูกสาวฟัง "แป้งรู้ไหม ที่แม่ต้องให้แป้งทำงานบ้าน หลายๆ อย่าง เป็นเพราะแม่ต้องการฝึกให้ลูกๆ ของแม่ ทำงานเป็น สมมุติว่า เกิดสงคราม อย่างในละคร ที่แป้งกำลังดูอยู่ ต้องมีการพลัดพรากกัน แป้ง ทำงานบ้านเป็น เกือบทุกอย่าง ใช่ไหม? " แม่ถามย้ำ เพื่อดูปฏิกิริยาของลูกสาว

"ใช่...ก็จริงอยู่นะ" เด็กน้อยตอบด้วยความภาคภูมิใจนิดๆ "แต่..."

"แต่พวกเขาก็ทำได้อยู่แล้ว ถ้าถึงเวลานั้น ใช่ไหม? " แม่รีบพูดต่อทันที เมื่อรู้ว่าลูกสาว จะแย้งด้วยเหตุผลนี้

"ไม่จริงหรอก แป้งคิดว่าพวกเขาทำได้อยู่แล้ว ถ้าถึงเวลาต้องทำ เพราะแป้งทำได้ และเห็นว่า มันไม่ยากไงล่ะ แม้ว่าแป้งจะไม่อยากทำก็ตาม"

ลูกสาวยิ้มน้อยๆ เมื่อรู้ว่าตนเก่งกว่าคนอื่นๆ แม่ได้โอกาสจึงพูดต่อ "พวกเขาไม่เคยทำเลย ถ้าถึงเวลา ต้องไปทำจริงๆ เช่น ต้องไปอยู่บ้านคนอื่นแล้ว ช่วยทำงานบ้าน เขาจะรู้สึกว่า ลำบาก แม้พวกเขาจะทำได้ก็ไม่คล่องแคล่ว เท่าคนที่เคยทำมาแล้วอย่างแป้ง"

"แต่ในที่สุดก็ทำได้" เด็กน้อยแย้ง เพื่อต้องการให้แม่ของเธอยืนยันว่า เธอได้เปรียบ คนอีกหลายคน ที่ไม่ได้ฝึกทำงานบ้านอย่างเธอ

"ทุกคนทำได้ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ก็ทำได้ทุกคนแหละจ้ะ อย่างแป้งตอนแรกๆ ก็ทำไม่ค่อยได้ ต่อมาก็ทำได้ โดยไม่ลำบากกาย แม้จะลำบากใจบ้างใช่ไหม? " แม่พูดเหมือนรู้ทัน ความคิดลูกสาว "แป้งได้ฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ ก่อนพวกเขา นั่นก็คือ แป้งได้เตรียมพร้อม รับสถานการณ์ ไว้ล่วงหน้าก่อน พวกเขาต้องมาเริ่มฝึกเมื่อโตแล้ว"

"สถานการณ์? สงครามน่ะหรือคะแม่ มันจะเกิดขึ้นบ่อยขนาดนั้นเลยหรือ? " แป้งได้ที ถามกลับ

แม่อดขำไม่ได้ที่ลูกสาวพยายามที่จะหาข้ออ้างต่างๆ นานา แต่อีกใจหนึ่งก็ดีใจ ที่ได้เห็นลูกสาว มีทัศนคติที่อ่อนโยนลง

"เหตุการณ์อื่นก็ได้ ที่แป้งคิดว่า แป้งต้องลงมือจับไม้ถูพื้นหรือใช้ฟองน้ำล้างจาน" แม่ตอบ เพื่อให้ลูกสาวรู้สึกว่าเรื่องที่ถกกันไม่ได้รุนแรงหรือเคร่งเครียดอะไรมากมาย

"เมื่อแป้งโตขึ้น อาจจะต้องไปกินข้าวบ้านเพื่อน แป้งลองคิดดูสิลูก ว่าผู้ใหญ่บ้านนั้น เห็นหนูช่วยเก็บจาน ล้างจานอย่างคล่องแคล่ว เขาจะชื่นชมหนูมั้ย"

แป้งเริ่มเข้าใจเหตุผลของแม่มากขึ้น และ คิดว่าแม่พูดถูก ที่แม่พูดถูก จริงๆ แล้วนั้น ไม่ใช่เพราะเหตุผลที่แม่หามาเพื่อตอบคำถามแป้งเท่านั้น แต่แม่พูดถูก เพราะแป้งรู้ว่าจริง เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะแป้งได้รู้จากการทำงาน มาตลอดระยะเวลาหลายปี



เย็นวันหนึ่ง...

"เร็วเข้า อาบน้ำแต่งตัวกันรึยัง" แม่เรียกลูกทั้งสามคน "วันนี้พ่อจะพาไปกินข้าวข้างนอก แล้วก็ไปซื้อหนังสือ"

"จริงหรือคะ" เสียงใสแจ๋วของน้องปุย น้องสุดท้องร้องดังด้วยความดีใจ "หนูจะเอานิทาน หลายๆ เล่มเลย"

แม้ว่าลูกคนเล็กสุดจะยังอ่านหนังสือไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่นัก แต่เด็กน้อยชอบดู รูปภาพ ต่างๆ จากนิทาน จะว่าไปก็เป็นสิ่งที่ดีที่รักการอ่านตั้งแต่เด็กๆ

" อีกยี่สิบนาทีพ่อจะมารับนะ รีบๆ หน่อย จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอ" แม่ยังคงกระตุ้น ให้ลูกๆ ทั้งสามคน รีบเตรียมตัวให้พร้อม

"เออ...เดี๋ยวก่อน ปอนยังไม่ได้ถูบ้านเลย" เสียงลูกชายคนโตร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ ที่ลืมทำหน้าที่ของตน

คำพูดนั้น ทำให้เธอรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ฝึกอบรมลูกมาตั้งแต่เล็กนั้น เขาสามารถซึมซับได้ เขารู้ถึงหน้าที่ ที่เขาต้องรับผิดชอบ ประโยคนั้น แม้จะผ่านมากว่าสิบปีแล้ว ก็ยังอยู่ ในความทรงจำของเธอ ตลอดเวลา

"แม่ครับ" เสียงชายหนุ่มอายุยี่สิบสาม "วันนี้ปอนล้างจานเอง" น้ำเสียงและท่าทาง ที่ผิด ไปจากเมื่อสิบกว่าปีก่อน สร้างความแปลกประหลาดใจไม่น้อยให้กับน้องๆ และแม่


หลังจากจบมัธยมปีที่สอง ปอน ลูกชายคนโต มีโอกาสไปเรียนต่อต่างประเทศ ในช่วง หัวเลี้ยวหัวต่อของวัยรุ่น ทำให้แม่กังวลไม่น้อย กับสภาพแวดล้อมต่างประเทศ ที่อาจจะทำให้ ลูกของเธอเปลี่ยนแปลงไปได้ ถ้าเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีก็ดีไป แล้วถ้าไม่ดีเล่า? ความคิดนี้เกาะกุม จิตใจเธอมาตลอดระยะเวลา

"โอ้โห! " แป้งซึ่งตอนนี้เป็นสาวรุ่นแล้ว แม้จะยังเบื่อหน่ายงานบ้านอยู่ แต่ก็เริ่มเข้าใจ และยอมรับ สิ่งที่แม่บอกตลอด

"ช่วงนี้ วันไหนถูบ้าน ปอนถูเอง" ปอนยังคงพูดต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น "

"โอ้โห! " ปุยอุทานตามมาติดๆ

พี่ขอแก้ตัว ตอนเด็กๆ พี่ถูลวกๆ" ปอน พูดยิ้มๆ

เธอยังจำได้ไม่ลืม สมัยก่อน เด็กชายตัวน้อยแสนจะขี้เกียจถูบ้าน และจะถูลวกๆ เธอต้อง แอบมาถูใหม่ทุกครั้ง แต่ตอนนี้ เวลานี้ ภาพที่เห็น เด็กหนุ่มอายุยี่สิบสามปี สูงเก้งก้าง ประมาณ ๑๙๐ เซนติเมตร ที่ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดน ร่วมสิบปี กำลังคลานเข่าถูพื้น อย่างตั้งใจ และทำอย่างประณีต

เธอดีใจที่ได้เห็นผลงานของตัวเอง เมล็ดพันธุ์ที่เธอเคยหว่านไว้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ขณะนี้ กำลังงอกเงย ให้เธอได้ภาคภูมิใจ.

- ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๕ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๔๗ -