ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

มีคนไม่มากนักที่สถานีรถโดยสารเมืองปัมโปล๎น่า ฉันมองเห็นซิลเบีย และคนรักของเธอในทันที ทั้งสองยิ้มและโบกมือให้ฉัน ทั้งคู่หน้าตาดีกว่าใคร เกือบจะเหมือนดาราภาพยนตร์ก็ว่าได้

"มูริเอล" เธอตะโกนพลางสวมกอดฉัน "พี่ตัวดำอย่างกับถ่านแน่ะ แสดงว่าพี่ถูกกับอากาศในชนบท"

การ๎โลสช่วยยกกระเป๋าเดินทางและเปิดประตูให้ฉันนั่ง ทำให้นึกขึ้นได้ว่า ฉันกำลังอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเกือบจะลืมไปแล้ว

สองข้างถนนเต็มไปด้วยร้านรวง (ที่เบอิเรเชอามีเพียงร้านเดียวซึ่งขายทั้งช็อกโกแลต สบู่โกนหนวด ไม้กวาด ถังพลาสติก และอบเชย) ผู้คนมากมายและยวดยานพาหนะที่วิ่งกันขวักไขว่...

"เป็นไงบ้างล่ะพี่ที่หมู่บ้านนั่น" ซิลเบียถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พลางจุดบุหรี่อย่างคล่องแคล่วและส่งถึงริมฝีปากของการ๎โลส ถ้าย่ามาเห็นเข้าคงตกใจไม่น้อย

"พี่ก็มีความสุขดีนะ ทำไมพวกเธอไม่ลองแวะไปเยี่ยมพี่บ้าง ธรรมชาติที่นั่นสวยเชียวล่ะ ไม่มีรถยนต์ ไม่มีแสงสี พี่ว่าพวกเธอน่าจะชอบนะ แค่มองจากระเบียงที่บ้านพี่ ก็จะเห็นศิลปะชั้นเยี่ยมแล้วล่ะ"

ฉันหยุดพูดเมื่อเห็นสีหน้าแปลกๆ ของน้องสาวจึงคิดว่าไม่ควรจะพูดต่อ ฉันแน่ใจว่าน้องคงไม่เข้าใจ ฉันเองก็เถอะ หากเป็นเมื่อสองสามเดือนก่อนจะเข้าใจละหรือ

ฉันอยู่บ้านด้วยความรู้สึกแปลกๆ เช่นเดียวกับวันแรกๆ ที่ฉันอยู่เบอิเรเชอา ถ้าไม่ใช่เพราะมีพ่อแม่พี่น้องอยู่ด้วย ฉันคงรู้สึกโดดเดี่ยว ฉันคิดถึงโรงเรียนและเด็กๆ ยิ่งกว่านั้น ยังคิดถึงคุณย่ามิกาเอล่ามากด้วย

ช่างโชคร้ายที่ฝนตกทุกวัน ฉันและเพื่อนๆ จึงต้องนัดพบกันที่ร้านกาแฟ ซึ่งมักจะมีคนแน่น เต็มไปด้วยควันบุหรี่และเสียงอึกทึก ฉันแทบกลายเป็นโรคกลัวสถานที่ปิดทึบไปเลย ไม่ดีกว่าหรอกหรือที่จะกินกาแฟร้อนๆ ที่โต๊ะอันแสนอบอุ่นที่บ้าน ทำไมเราต้องรอที่ว่างที่เคาน์เตอร์ หรือโต๊ะสักตัวนานมาก เพียงเพื่อกินอาหารว่าง แล้วเราจะดื่มชาหรือช็อกโกแลตสบายๆ อย่างที่ฉันชอบได้อย่างไรกัน ในเมื่อเรารู้ว่ามีคนอีกสิบห้าหรือยี่สิบคนคอยจ้องมองให้เรารีบๆ กินให้เสร็จ เพื่อจะได้ลุกให้พวกเขานั่งต่อ

ฉันแปลกใจที่ก่อนหน้านี้ไม่นาน ฉันยังเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา ที่สุด แต่ขณะนี้กลับเบื่อหน่าย ฉันแทบจะต้องตะโกนพูดกับเพื่อนข้ามหัว ข้ามบทสนทนาของคนอื่นๆ ฉันรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีแก่นสาร คนที่อาการหนักกว่าเพื่อนเห็นจะเป็นเอเลน่าน้องสาวของฉัน ที่พูดแต่เรื่องเครื่องแต่งกาย ซึ่งทำให้ฉันแปลกใจมาก ฉันนึกขึ้นมาได้ทันทีว่าที่เบอิเรเชอานั้น เราต้องการอะไรเพียงไม่กี่อย่าง การนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่ถือว่าแสนจะจำเป็นสำหรับที่นี่ ทำให้ฉันรู้ว่าเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างแท้จริง

ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากหลังจากที่ฉันไปจากที่นี่...หรือว่าฉันต่างหากคือคนที่เปลี่ยนไป เพราะผู้คนมองดูฉันด้วยท่าทางแปลกๆ

บางทีฉันอาจจะทำตัวน่าเบื่อมากกับการตามทวงหนังสือ ฉันเริ่มขอหนังสือเหลือจากทุกบ้านที่ฉันเคยไปหาบ่อยๆ ถึงขนาดโทรศัพท์หาเพื่อนบางคนสาม-สี่ครั้ง เพียงเพราะเขาให้ความหวังว่าจะบริจาคหนังสือ

และฉันก็พบว่าบางคนหวงของเอาการ ต่างกับที่เบอิเรเชอา ชาวบ้าน กลับให้เกียรติและให้ค่าฉันมากกว่า ฉันแปลกใจที่ครอบครัวของเพื่อนๆ บางคนไม่ยอมบริจาคของที่เขาไม่ได้ใช้แล้วทั้งที่มีอยู่มากมาย แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังได้หนังสือมาหลายเล่ม

น้องชายของมาริสาซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่ม โอปุส เดย์ ให้หนังสือ 'กามิโน' มาห้าเล่ม และจากที่โน่นที่นี่ ฉันก็สามารถรวบรวมหนังสือชื่อเด็กของตระกูลกริทลี่ ของ โยฮานนา สปีรี นิทานเกี่ยวกับพระเยซู ของเซลมา ลาเกอร์เลิฟ แปดสิบวันรอบโลก และหนังสือของ เซนาอิด เฟลอริโยต์ อีกสาม-สี่เล่ม ซึ่งดูท่าทางจะสนุก อ้อ! โฆเซ่ อันโตนิโอ ลูกพี่ลูกน้อง ของฉันก็ให้เรื่อง ตาตารินแห่งตารัสกอนบนเทือกเขาแอลฟ์ หนังสือยังใหม่เอี่ยม ทั้งๆ ที่เขาชอบอ่านหนังสือมาก แต่ก็อ่านไปเพียงสองบทเท่านั้น ทำให้ฉันรู้สึกว่าหนังสือนี้คงไม่ค่อยสนุกนัก

ฉันเกือบตกรถเพราะเอาสัมภาระมามากเกินไป และมัวแต่โอ้เอ้อยู่ที่บ้าน โชคดี ที่ 'เปริโก้' พนักงานเก็บค่าโดยสารรู้จักฉัน เมื่อเขาเห็นฉันวิ่งมาบนชานชาลา จึงสั่งให้รถหยุดรับฉัน

รถแน่นเหมือนเช่นเคย แต่ทุกคนก็ทักทายฉันในขณะเดินผ่านช่องแคบๆ ระหว่างที่นั่งและพยายามทรงตัวอยู่ระหว่างหีบห่อสัมภาระมากมายโดยเฉพาะหนังสือซึ่งหนักมาก ฉันกำลังจะวางมันไว้บนพื้น เมื่อรู้สึกว่ามีผู้ชายคนหนึ่งทางด้านหน้ามองฉันอยู่อย่างเปิดเผย

ฉันเพิ่งจะใส่กระโปรงสีฟ้าน้ำทะเลตัวนี้ครั้งแรก และเมื่อฉันพยายามจะก้มลงกระโปรงก็ร่นขึ้นมา ทำให้ฉันรู้สึกอายและขัดเขิน ฉันจึงตัดสินใจที่จะไม่ยอมขยับเขยื้อน ยอมอดทนอย่างหน้าชื่นอกตรมต่อการแบกความรู้ของ มวลมนุษย์ไว้ในอ้อมแขน ดีกว่ายอมขายหน้า ด้วยว่าเรื่องขายหน้านี้มักจะเกิดกับฉันบ่อยครั้ง

ฉันกำลังคิดว่าฉันโง่มากที่ไม่ใส่กระโปรงธรรมดาๆ ซึ่งอาจจะไม่สวยเท่าตัวนี้แต่จะสะดวกสบายกว่ามาก ในขณะที่เห็นผู้ชายซึ่งอยู่ข้างหน้า เดินมาหยุดข้างๆ เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ นอกจากช่วยฉันปลดสัมภาระและให้นั่งที่ของเขา จากนั้นจึงเอาของมาวางไว้ใกล้ฉัน การกระทำดังกล่าวบนรถสายเบอิเรเชอานี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก จนฉันต้องเงยหน้าขึ้นและประจันหน้ากับเขา ฆาเบียร๎ อาริเบ้ ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงเรียกเขาว่า 'ตาเฒ่าผู้ไม่นับถือพระเจ้า' ฉันแปลกใจที่เห็นตาเฒ่าเป็นชายหนุ่ม ทำไมก่อนหน้านี้ฉันถึงไม่ตระหนักว่าเขายังหนุ่ม ผมเกือบจะเป็นสีทอง มีสายตาที่เปิดเผย และสวมเสื้อสเว็ตเตอร์สีฟ้าน้ำทะเลอันแสนสดใส

ฉันยิ้มให้เขาอย่างขอบคุณ แต่ไม่รู้จะพูดอะไร ฉันจึงพยายามทำตัวให้ เหมาะสมกับสถานการณ์ หลังจากพยายามนั่งไขว่ห้างอย่างลำบากยากเย็นเพราะกระโปรงสั้นตัวใหม่นี้เป็นเหตุ จากนั้นจึงได้เริ่มคุยกับคนที่นั่งข้างๆ เกี่ยวกับโรคของสัตว์ พืชที่เป็นอาหารของสัตว์ เมล็ดธัญพืช และหญ้าอัลฟัลฟ่า หัวข้อซึ่งพวกเขากำลังสนใจกันอยู่ และในตอนนั้นเองฉันก็ตัดสินใจว่าจะเขียนจดหมายถึงเอเลน่า เพื่อขอแลกกระโปรงใหม่เอี่ยมที่ใส่อยู่นี้กับหนังสือเล่มที่ฉันอยากได้ และมั่นใจว่า เอเลน่าต้องรับข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน

ทุกครั้งที่ฉันสนทนากับเพื่อนร่วมทางเรื่องพืชพันธุ์ต่างๆ นั้น ฉันจะชำเลืองดูอาริเบ้ และพบว่าเขากำลังจ้องมองฉันอยู่เช่นกัน ฉันไม่รู้ว่าตัวเองชอบการกระทำของเขาหรือไม่ ที่แน่ๆ คือมันทำให้ฉันไม่อาจทำอะไรตามที่ต้องการได้

รถเกิดเบรคขึ้นมากะทันหัน กระเป๋าเดินทางของฉันไถลไปข้างหน้า แย่จริง ! นาฬิกาปลุก...ใช่นาฬิกาปลุกในกระเป๋าของฉันส่งเสียงรบกวนออกมา ด้วยเสียงอันน่าเกลียดน่าชังเช่นเดียวกับนาฬิกาปลุกทุกๆเรือน ทุกคนหัวเราะ ขบขันเป็นอย่างยิ่ง ทุกคน ยกเว้นฉัน...

ทำไมทุกครั้งที่ฉันพบกับชายคนนี้ จะต้องมีเรื่องน่าอับอายเกิดขึ้นเสมอ

เจ้าเครื่องกลที่ไม่สุภาพนี้หยุดส่งเสียงเมื่อมันต้องการ และฉันก็รู้สึกโล่งอกขึ้นเล็กน้อย เรามาถึงเบอิเรเชอา ไม่มีใครมารอรับฉัน ฉันจึงทิ้งสัมภาระต่างๆ ไว้ที่ร้านกาแฟ เอาแต่กระเป๋าสะพายติดตัวกลับบ้านเพียงอย่างเดียว ถนนว่างโล่ง มีแต่อาริเบ้และฉันที่มุ่งไปยังหมู่บ้าน เขาเดินนำหน้าฉันอยู่ไม่กี่ก้าวแต่เพราะเขาเดินเร็วมาก ไม่ช้าก็ลับสายตาไป

พระอาทิตย์กำลังตก แสงสีทองอาบไล้ขุนเขาที่ยิ่งใหญ่ทางซ้ายมือของฉัน หอระฆังโบสถ์ดูราวกับภาพในความฝัน ระฆังคู่ที่อยู่ในนั้นก็ก้มลงมองดูเราอย่างเหนื่อยหน่าย และทำหน้าที่เฝ้าหมู่บ้านซึ่งดูเหมือนหลับใหลอยู่ชั่วนาตาปี

แนวสนทอดยาวอย่างสงบนิ่งและลึกลับ ทุ่งข้าวสาลีที่หว่านไว้ตั้งแต่เดือนตุลาคมเขียวขจี ต้นวอลนัท ต้นโอ๊ก ต้นไปหย่างดำอันสูงตระหง่าน ทอดเงาลงสู่พื้นน้ำ

ใช่เลย...สิ่งที่เห็นลิบๆ โน่นเป็นของฉัน เพราะฉันรักท้องฟ้าที่ปกคลุม และขุนเขาที่โอบล้อมฉัน อีกทั้งผืนแผ่นดินที่รองรับฉัน...

ฉันคิดว่า โลกนี้เป็นพระแท่นที่ประทับอันแสนวิเศษของพระผู้เป็นเจ้า

ฉันคิดขึ้นว่าบางทีพระเจ้าอาจจะคิดถึงฉันตอนพระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้น พระองค์อาจจะพูดว่า "ตรงนี้ข้าจะปลูกต้นหลิวเหลือง ตรงนั้นต้นเฟิร์น แถวนี้กุหลาบป่า และตรงโน้นก็ต้นโอ๊ก เพราะวันหนึ่ง มูริเอลอาจจะเดินผ่านมาตามเส้นทางสายนี้ และเธอจะต้องชอบมันมาก"

แน่นอน มันคงจะจริง เพราะพระองค์ทรงหยุดที่นี่นานกว่าที่อื่นๆ และยิ่งกว่านั้นฉันก็โชคดีที่พบว่า ยังไม่มีมนุษย์คนไหนไปแตะต้องงานเหล่านั้นของพระองค์เลย

ใครบางคนมองฉันอยู่ แต่ฉันก็ไม่สนใจ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ฆาเบียร๎นั่นเอง นั่งอยู่บนรั้วไม้ล้อมรอบทุ่งหญ้า เขาสูบบุหรี่อย่างอ้อยอิ่งราวกับว่าไม่ได้รีบร้อนอะไรเลย

"สวัสดีค่ะ" ฉันทัก

"สวัสดีครับ" เขาตอบ

ดูเหมือนเขาพยายามจะพูดอะไรอีก แต่ก็ไม่ได้พูด ฉันเกือบจะต้องทำให้เขาหัวเราะอีกครั้ง เพราะ'เนรอน'สุนัขที่บ้านเห็นฉันเข้าและกระโจนใส่จนฉันแทบล้มลงกับพื้น มันเอาเท้าหน้าทั้งสองมาพาดบ่าฉันอย่างปราศจากความยำเกรงใดๆ แถมยังใช้ลิ้นใหญ่โตของมันเลียหน้าฉันแผล็บๆ จนชื้นไปหมด

ตามหลังเจ้าเนรอนมาก็คือเด็กๆ ที่บ้าน และอิซาเบลพร้อมลูกอุปถัมภ์ของฉันในอ้อมแขน คนที่รั้งท้ายกว่าใครเพื่อนค่อยๆ เดินมาอย่างช้าๆ คือคุณย่า ผมของท่านขาวราวปุยเมฆ คุณย่าโบกไม้โบกมือทักทาย บอกถึงความยินดีที่จะได้รับฉันกลับบ้าน

ค่ำแล้ว ในขณะที่ฉันออกมาที่ระเบียง ลมอ่อนๆ โชยมา ดวงดาว เปล่งประกายเจิดจรัสอยู่เต็มท้องฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างช่างเหมาะเจาะงดงาม รวมไปถึงเสียงระฆังซึ่งขับกล่อมบทสรรเสริญ [บทสรรเสริญ การเสด็จมาเยือนของเทวทูตเพื่อแจ้งข่าวแก่พระแม่มารีว่า พระผู้ไถ่จะเสด็จมาบังเกิด]

ไกลออกไปลิบๆ แสงไฟปรากฏขึ้นและฉันจำได้ว่าเป็นแสงเดียวกับที่ทักทายฉันในวันแรกของการมาเยือนเบอิเรเชอา ถึงแม้ว่าครั้งกระโน้น มูริเอลที่น่าสงสารและปราศจากประสบการณ์...จะไม่เข้าใจการทักทายนั้น ซ้ำยังโง่คิดไปเองว่าแสงไฟนั้นล้อเลียนฉัน

แต่ตอนนี้ความรู้สึกของฉันต่างออกไป ฉันว่าความสว่างนั้นเหมือนแสงไฟที่เปิดไว้ในห้องของเด็กๆ เพื่อไม่ให้เด็กหวาดกลัวเมื่อตื่นขึ้นในยามค่ำคืน แสงสลัวของมันให้ความรู้สึกมั่นคงและกล้าหาญแก่เด็กๆ

เสียงระฆังหยุดลงแล้ว หมู่บ้านตกอยู่ในความเงียบสงบ มีใครบางคนโบกมือทักทายฉันจากข้างล่าง

"มูริเอล เธอกลับมาแล้วหรือ"

บาทหลวงโฆเซ่ มาริ อานา มาริ และเฟร๎มิน ซึ่งออกมาจากโบสถ์ พร้อมกัน คอยฉันอยู่

เปโย่และโตมัสก็เช่นกัน พวกเขาดีใจมากที่ได้พบฉัน แม้จะไม่ได้กล่าวอะไรเลยเพราะกำลังกินซุปร้อนๆ อยู่
"ครูกลับมาแล้ว" เปโย่พูดขึ้นเมื่อกินซุปเสร็จ
"ค่ะ ก็ใกล้จะเปิดเทอมแล้วนี่คะ"
"ครูคนก่อนหน้านี้กลับบ้านช่วงเทศกาลมหาพรต [เทศกาลมหาพรต คือการถือศีลอด ๔๐ วันเพื่อเตรียมตัวก่อนถึงวันที่พระเยซูถูกพิพากษาตรึงกางเขน (ก่อนเทศกาลอีสเตอร์) ] แล้วไม่กลับมาอีกเลย ท่าทางแกเป็นคุณนายจะตายไป แกไปได้งานที่โรงเรียนชั้นนำในเมืองบิตอเรีย ก็เลย ไปจากที่นี่"

"แต่ดิฉันไม่ไปหรอกค่ะ"

และแล้วเขาจึงหว่านคำหวานซึ่งไม่เคยออกจากปากเขาเลยว่า

"เด็กๆ สวดมนต์ทุกคืน วิงวอนให้ครูกลับมา...เพราะคุณครู...ไม่เหมือนครูคนอื่นๆ"

(อ่านต่อฉบับหน้า)

ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๖ พฤศจิกายน- ธันวาคม ๒๕๔๗