ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน
เขียนโดย ลูเซีย บาเกดาโน่ แปลจากภาษาสเปน โดย รัศมี กฤษณมิษ
เริ่มลงในฉบับที่ ๑๐๘ (ต่อจากฉบับที่แล้ว)


เราวางแผนว่าจะไปเที่ยวกันเป็นเวลานานมาแล้ว ทว่าอากาศไม่เป็นใจเสียเลย เราก็ต้องผัดไปเรื่อยๆ จนถึงเดือนพฤษภาคม เราตัดสินใจว่า จะไปเที่ยวกันในวันอาทิตย์ใดก็ได้ ที่ฝนไม่ตก

"พ่อบอกว่าในถ้ำมีภาพวาดของคนโบราณอยู่ด้วย" เมนชู นูอิน บอก

"ถ้างั้นก็ไปที่นั่นแหละ เราจะไปขอยืมเกวียนและม้าของผู้ใหญ่บ้านด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย" แล้วทั้งครูและ 'เด็กของโรงเรียน' ก็ไปยังบ้านผู้ใหญ่บ้าน

ผู้ใหญ่บ้านอิซาเอียส๎ต้อนรับเราอย่างมีไมตรีจิต ฉันว่าเขาคง ภูมิใจที่เราจำได้ว่ารถม้าของเขา สวยที่สุด ในหมู่บ้าน และเพราะไม่ได้เก็บมันไว้ในหีบเอกสารเขาจึงให้ยืมได้ทันที อีกทั้งเขาก็เริ่มชอบฉัน ขึ้นมาบ้างแล้ว ฉันคิดว่าคงจะจากคราวที่ฉันช่วยเขี่ยผงฟางเล็กๆ ในดวงตาเขาออก ด้วยปลายผ้าเช็ดหน้า ของฉัน

เรากำลังจะไปกันแล้ว ผู้ใหญ่บ้านเดินมาใกล้ฉันพลาง เกาท้ายทอย อย่างครุ่นคิด "เอ่อ...แล้วใครจะเป็น คนขับเกวียนล่ะครับ"

ฉันหัวเราะ ฉันลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย แต่ก็ไม่ได้ละความพยายาม ฉันรับปากว่า จะหาคนที่ไว้ใจได้ มาทำหน้าที่นี้ ฉันคิดอย่างรวดเร็วถึงเฟร๎มินผู้คุ้นเคยกับสัตว์ต่างๆ ดี และฉันแน่ใจว่า เขาจะไม่ลำบากใจ ที่จะไปเที่ยวกับพวกเรา

ฉันไปหาเขาที่บ้าน เขากำลังเล่นไพ่พื้นเมืองกับพ่อของเขาและมิเกล ซึ่งก็ต้องการจะไปกับพวกเราด้วย เมื่อรู้ข่าว พวกเขาถามว่า จะมีที่พอไหมสำหรับ อานา มาริ และ สัตวแพทย์หนุ่มซานติอาโก้ เจ้าบ่าว ในอนาคต ของเพื่อนฉัน

ทั้งคู่ไม่ยอมห่างกันเลย

ตะวันขึ้นพอดีกับที่เราเตรียมข้าวของพร้อมออกเดินทาง ด้วยยานพาหนะที่เรามี เราต้องรีบ หากต้องการ จะไปกิน อาหารมื้อเที่ยงที่ถ้ำ

เราเอาแซนด์วิชทั้งหมดใส่ตะกร้าใบใหญ่ แล้วขึ้นไปนั่งบนเกวียน มีเด็กๆ สิบสี่คนและผู้ใหญ่อีก หลายคน ชาวบ้าน โผล่หน้าต่างออกมาดูเกวียนของเรา เด็กๆ ซึ่งยังเล็กเกินไป ไม่ได้มากับเราด้วย กล่าวคำอำลา และบางคน ก็ร้องไห้ 'เด็กของโรงเรียน' รุ่นโตใช้ผ้าเช็ดหน้าโบกไปมา มิเกลเป็นคนแรก ที่เริ่มร้องเพลง ด้วยเสียงที่ไพเราะ แต่ไม่รู้เนื้อเพลงแม้แต่น้อย บทเพลง 'ฉันฉวยไม้และขึ้นขับเกวียน' ซึ่งเขาคิดว่า เหมาะสม กับสถานการณ์ที่สุด แต่เขาเปลี่ยนเนื้อร้องหลายแห่ง
'ฉันฉวยไม้และขึ้นขับเกวียน
วนเวียนไปตามไหล่เขา
ไม่มีร้านใดที่ฉันไม่เข้า
แม้ว่าเจ้าหล่อนผิวคล้ำก็ตาม'

ฉันว่าเนื้อร้องมันไม่ใช่อย่างนี้สักหน่อย แต่เขาก็พึงพอใจและเด็กๆ ก็หัวเราะกัน ท้องคัดท้องแข็ง ฉันจึงไม่อยาก ทำลายความสนุก ด้วยการแก้ไขให้ถูกต้อง

เมื่อเรามาถึงไหล่เขาซึ่งมีถ้ำอยู่ เราทิ้งเกวียนและม้าไว้ที่ป่าเล็กๆ แถวนั้น และเริ่มปีนขึ้นไป มิเกลกับ เฟร๎มิน ขึ้นไปก่อน คอยบอกทางและร้องเพลง พรุ่งนี้ฉันจะไปอาบาน่า [อาบาน่า (Habana) คือเมืองหลวง ของคิวบา แต่อาญ่า (Haya) คือเมืองหนึ่งของเนเธอร์แลนด์] แต่หมอมิเกลก็ร้องเป็น พรุ่งนี้ฉันจะไป อาญ่า ฉันไม่เคยเห็นใคร ขี้หลงขี้ลืม เช่นนี้มาก่อนเลย ยังดีที่เขาทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ ได้อย่างดีเยี่ยม ดีเกือบ จะพอๆ กับ เฟร๎มิน และเขาก็อารมณ์ดี จนน่าอิจฉา และน่าอยู่ใกล้

ในตอนเที่ยงเราก็มาถึงถ้ำอันลือชื่อ มันมีลักษณะคล้ายกับรอยแตกยาวๆ ชื้นๆ มองไม่เห็นภาพวาด แต่อย่างใด

"นี่ไง นี่ไง" มิเกลตะโกนขึ้น เสียงของเขาสะท้อนกลับมาอย่างน่ากลัว เรามารวมกันรอบๆ ตัวเขา และ พยายาม มองฝ่าความมืดเข้าไป ในที่สุดก็มีใครบางคนเปิดไฟฉาย

"เห็นแล้วใช่ไหม ตอนนี้" เฟร๎มินถาม

น่าผิดหวังเสียจริง ! มันเป็นลวดลายคล้ายกับเขียนด้วยถ่านเหมือนกับที่อิญากิขีดเขียนในห้องครัว แล้วทำให้ ย่าดุเขาแทบแย่

ฉันรู้สึกผิดหวังแม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ฉันคิดว่า 'เด็กของโรงเรียน' ของฉันคนใด ก็วาดได้ดีกว่านี้ ทั้งนั้น

เราทุกคนต่างก็อารมณ์ดีเสียจนไม่มีใครโกรธ อานา มาริ ซึ่งลืมที่เปิดกระป๋องไว้ที่บ้าน ซานติอาโก้ อยากจะช่วย จึงพยายามเปิดกระป๋อง ด้วยมีดพับ และก้อนหิน

อานา มาริ ไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์ตรงหน้า เธอยิ้มให้พนักงานเสิร์ฟจำเป็น ซึ่งร้องเพลง ที่เขาจำเนื้อ ได้ดี ประสานเสียงกับหมอมิเกล

ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เราสนุกกันมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และเมื่อกลับถึงหมู่บ้านก็ค่ำแล้ว ผมเผ้า ยุ่งเหยิง หน้าแดงเพราะโดนแดดโดนลม

พอก้าวเข้าห้องฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืมกล้องถ่ายรูป ฉันลืมมันไว้ที่ไหนกันนะ ในเป้ก็ไม่มี ในเกวียนก็ไม่มี เพราะฉันได้รีบไปดูที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านแล้ว เนื่องจากกล้องเป็นของไฆเม่ น้องชายของฉัน ซึ่งกว่า จะยืม มาได้ ก็แทบตาย และเขายังย้ำแล้วย้ำอีกว่า อย่าทำหายเชียวนะ

น้องชายของฉันยิ่งขี้โกรธอยู่ด้วย...ฉันคิดขณะที่กำลังสอนเรื่องการกระจายกริยากับเด็กๆ ที่โรงเรียน

ภายหลังฉันนึกขึ้นได้ว่าฉันถ่ายรูป อานา มาริ กับซานติอาโก้ ที่ศาลาแม่พระ ระหว่างทางที่เราขึ้นไปบนถ้ำ แล้วฉันก็ลืมกล้องไว้ที่ระเบียง บนม้าหินกับเสื้อหนาวตัวใหญ่ของฉัน ของทั้งสองอย่างต้องอยู่ที่นั่นแน่ๆ

พอโรงเรียนเลิก ฉันก็ออกเดินทาง

ไม่มีอะไรยาก ฉันทิ้งจักรยานไว้ที่เดียวกับที่เคยจอดเกวียน จากนั้นก็เดินไปตามทางโดยคิดว่า เดินไปคนเดียว เร็วๆ ก็คงถึงในไม่ช้า บ่ายนั้นก็เป็นบ่ายที่สดใส น่าเดินเล่นยิ่งนัก

ความสวยจนเกินเหตุเป็นเค้าของพายุ ฉันไม่รู้ว่าทำไมจึงคิดเช่นนั้น แล้วก็ตกใจ เมื่อมองท้องฟ้า เห็นเมฆ ส่อเค้าดำ มาแต่ไกล ฉันจึงรีบจ้ำ

ฝนเม็ดโตๆ เริ่มตกลงมา ฟ้าแลบแปลบปลาบและลมพัดแรง ฉันรู้สึกกลัวที่ต้องอยู่คนเดียว กลางป่าเขา ที่ฉันไม่รู้จัก หรือคุ้นเคยแม้แต่น้อย นึกเสียใจ ที่ไม่ได้ชวน 'เด็กของโรงเรียน' มาสักคน ฝนกระหน่ำ อย่างไม่ ลืมหูลืมตา เมื่อฉันตัดสินใจกลับหมู่บ้าน โดยไม่มีกล้องของ ไฆเม่ กลับไปด้วย

ฝนกลายเป็นลูกเห็บจนต้องเข้าไปหลบใต้ต้นไม้ ฉันพยายามสังเกตดูภูเขารอบๆ ตัว เพื่อให้รู้ว่า ตัวเอง อยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด ฉันหลงทางเสียแล้ว

ฉันเดินกลับทางเก่า และพบว่าตัวเองอยู่ที่หุบเขา ซึ่งเมื่อวันก่อน เราไม่ได้ผ่านมาทางนี้เลย

ขณะนั้นสองทุ่มครึ่งแล้ว อีกไม่นานท้องฟ้าก็จะมืดสนิทและฉันจำทางกลับบ้านไม่ได้ ฉันพิงต้นไม้ อย่างสิ้นหวัง

ฉันไม่รู้ว่าตัวเองหนาวสั่นอยู่ที่นั่นนานเท่าไหร่ จนกระทั่งได้ยินเสียง

"คุณทำอะไรน่ะ หลงทางหรือ"

"ใช่ค่ะ"

"คุณต้องปอดบวมแน่ ถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไป"

ฉันเงยหน้าขึ้น และมองไปที่เขา

"ก็ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรนี่คะ"

"อ้าว ! คุณเองหรอกหรือ" ฆาเบียร๎พูดขึ้น ไม่น่าเชื่อ ! ฉันรู้สึกว่าเขาดีใจ ฉันจำเขาได้ในทันที

"มาเถอะคุณ เราอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนักหรอก"

ฉันเดินตามเขาไปท่ามกลางสายฝน ลื่นบ้าง สะดุดล้มบ้าง แต่ก็สบายใจขึ้นกว่าเดิมมาก

"จะให้ผมช่วยไหมครับ" เขาถามเมื่อเห็นฉันลื่นตกลงไปในโคลน แล้วเขาก็ยื่นมือมาให้ ฉันยึดมันไว้ ราวกับ เป็นเครื่องช่วยชีวิต ฉันรู้สึกปลอดภัย เมื่อมีเขาอยู่เคียงข้าง และได้กลิ่นดิน กลิ่นหญ้าอ่อนๆ โชยมาจาก ตัวเขา ไม่ใช่ ! ไม่ใช่กลิ่นหญ้า ทว่าเป็นกลิ่นยี่หร่า

ฝนตกแรงขึ้นจนมองแทบไม่เห็นทาง

"เราควรหยุดรอที่นี่ดีกว่า" เขาบอกพลางชี้ไปยังที่ให้สัตว์หลบฝน เราเข้าไปหลบใต้ชายคานั้น

"ไม่ต้องกลัวหรอก พายุน่ะเดี๋ยวก็พัดผ่านไปแล้ว และคุณก็จะได้กลับบ้านในไม่ช้า"

ฉันยิ้ม เกิดความรู้สึกเชื่อและไว้วางใจ เมื่อสบตาดำสนิท ของเขา และยินดีที่จะคอยอยู่กับเขา เขาบอกว่า ไปที่นั่นเพื่อจะเตือนให้คนเลี้ยงแกะ ต้อนฝูงแกะกลับมา และถามว่า ฉันอยู่ที่นั่นคนเดียวหรือ

ฉันจึงเล่าเรื่องไปเที่ยวเมื่อวานให้ฟังว่า ฉันทำกล้องถ่ายรูปของน้องชายหาย เขาฟังฉันอย่างตั้งอกตั้งใจ และ หัวเราะ เมื่อฉันเล่าจบด้วยประโยคที่ว่า

"คุณต้องได้รู้จักน้องชายของดิฉัน จึงจะรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร เขาจะจดจำว่า ดิฉันทำกล้องถ่ายรูปเขาหาย จนวันตายเชียวล่ะ"

"ผมก็มีน้องสาวคนหนึ่ง" เขาพูดขึ้นหลังจากต่างเงียบกันครู่ใหญ่ ฉันมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ รู้สึกว่า มันง่ายเกินไปที่อยู่ๆ เขาจะพูดเรื่องส่วนตัว

"น้องสาวผมชื่อ มาร๎ต้า"

"แล้วทำไมเธอไม่ไปโรงเรียนล่ะคะ" ฉันถามด้วยความอยากรู้ พลางนึกไปถึงสาเหตุ ที่ทำให้ต้องไปบ้านเขา ในวันนั้น

"เธอเป็นแม่คนแล้วนะ"

"แต่ในบัญชีรายชื่อ เธออายุเจ็ดขวบเท่านั้นนี่คะ"

"มันคงผิดพลาด ไม่ใช่เจ็ดหรอกครับ ควรจะเป็นราวๆยี่สิบเจ็ดมากกว่า วันนั้น ผมจะบอกคุณแล้ว แต่คุณรีบกลับเสียก่อน"

ฉันหัวเราะออกมาเต็มที่ บัญชีรายชื่อของอิซาเอียส๎ ผู้ใหญ่บ้านแห่งเบอิเรเชอา ทำไมฉันไม่คิดจะเก็บรายชื่อ ของบาทหลวงแทน

เราไม่ได้พูดอะไรกันอีก ฝนซาลง ข้างหน้าเรามีสายน้ำ ที่พัดพาใบไม้ ซึ่งถูกแรงลม พัดตกลงมา

"ผมว่าเราไปกันได้แล้วละ" เขาบอก

แปลกจริง ทำไมฉันถึงรู้สึกเสียดายก็ไม่รู้สิ !

เราเดินช้าๆ ไปตามทางราวกับว่าไม่ได้เร่งรีบอะไร เขามองฉันเป็นครั้งคราว และบางครั้งก็ยิ้มให้

รถจักรยานของฉันทั้งเปียกและเลอะโคลน ปลุกให้ฉันตื่นจากภวังค์

"เรามาถึงแล้วเหรอคะ" ฉันถาม

"ใช่ ไม่ยากเลยใช่ไหม"

"แต่ลำพังดิฉันคนเดียวคงไม่มีทางมาถึงที่นี่ได้หรอกค่ะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยเหลือ"

ฆาเบียร๎ไม่ได้ตอบอะไร แต่เอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดอานรถจักรยานให้

"หวังว่าดิฉันคงไม่เจอฝูงวัวเข้าอีก" ฉันพูดเพราะคิดว่า น่าจะพูดอะไรสักอย่าง ไม่เคยรู้สึกว่า ตัวเองจะจืดชืด ถึงเพียงนี้

เรากล่าวคำอำลาแล้วฉันก็กลับบ้าน แทนที่จะรู้สึกว่าถีบจักรยาน ฉันกลับรู้สึกว่า กำลังลอย สิ่งที่สวยงาม ที่สุดในชีวิต ได้บังเกิดขึ้นแล้ว และรอบๆ ตัว ก็ไม่เคยสวยเท่านี้มาก่อนเลย

ฉันตื่นนอนอย่างมีความสุขในเช้าวันใหม่ โดยไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เมื่อระลึกถึงการผจญภัย เมื่อวานนี้ ก็คิดว่า ความสุขคงจะมาจากสิ่งเหล่านั้น และอดแปลกใจตัวเองไม่ได้ ที่นั่งใจลอย เมื่ออยู่ที่โรงเรียน จนต้องพยายามบังคับตัวเอง ให้มีสมาธิกับงาน และอยู่ที่โรงเรียนหลังหกโมงเย็น เพื่อตรวจการบ้าน ของเด็กโต เพราะแน่ใจว่า หากเอากลับบ้าน คงไม่ได้ตรวจเป็นแน่

ด้านหลังโรงเรียนเป็นทุ่งสวยงาม ล้อมด้วยรั้วไม้ เด็กๆ มักจะไปเล่นกันที่นั่นในช่วงหยุดพัก มีโต๊ะหิน และม้านั่ง ซึ่งฉันมักจะไปนั่งดูเด็กๆ เล่นกัน ทะเลาะกัน แล้วดีกันใหม่ตามประสาเด็ก

ฉันนั่งลงที่นั่น มีสมุดและดินสอพร้อมจะตรวจการบ้านมากมาย แสงแดดที่แสนอบอุ่น กลิ่นหอมของ ฤดูใบไม้ผลิ ที่มาจากดอกไลแล็ค ซึ่งห้อยระย้าอยู่ที่ประตูหน้าต่าง ช่วยฉันได้มาก จนรู้สึกสบาย และ ทำงานเสร็จ โดยไม่รู้ตัว

อย่างไม่คาดฝัน ฆาเบียร์ยืนเท้าแขนอยู่ที่รั้ว และจ้องมองฉัน อย่างเป็นธรรมชาติมาก จนฉันไม่รู้สึกตัวเลย เขาไม่เปลี่ยนอิริยาบถ แม้ฉันจะจับได้ว่า เขามองฉันอยู่

เขายกมือทักทาย ฉันจึงเดินไปหา

"สวัสดีค่ะ" ฉันทัก

"ผมคอยคุณอยู่" เขาตอบ และยื่นมือมายังฉันโดยไม่พูดอะไร ในมือเขามีกล้องถ่ายรูป และเสื้อสเว็ตเตอร์ ถักนิตติ้งสีแดง

ฉันแปลกใจมาก จนไม่ได้กล่าวแม้คำขอบคุณ

"คุณกลับขึ้นไปบนเขาใหม่เพื่อจะเอาของสองอย่างนี้มาให้ดิฉันหรือคะ" ฉันถามอย่างอายๆ

ฉันว่าเขาเป็นคนรูปหล่อ เมื่อเห็นเขาชัดๆ ท่ามกลางแสงแดดอย่างนี้ ทำไมฉันจึงไม่สังเกตเห็นนะ ว่าดวงตา ของเขา ดำสนิท นอกจากนั้น มันยังยิ้มได้ด้วย เมื่อเขาตอบฉันว่า

"คงไม่ดีแน่ถ้าน้องชายจะโทษว่า คุณทำกล้องเขาหาย จนแม้ขณะที่พวกคุณ เป็นปู่เป็นย่า กันแล้วก็ตาม"


ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน
เขียนโดย ลูเซีย บาเกดาโน่ แปลจากภาษาสเปน โดย รัศมี กฤษณมิษ
พิมพ์ครั้งที่ ๒ : ๒๕๔๒ ผลกำไรจะนำไปช่วยเด็กยากจนในชนบท

ราคาเล่มละ ๘๐ บาท (รวมค่าส่ง) สั่งซื้อได้ที่
นางรัศมี กฤษณมิษ ๒๐๒๙/๑๗๖ ถ.เจริญกรุง ๗๗ วัดพระยาไกร
บางคอแหลม ปท.วัดพระยาไกร กรุงเทพฯ ๑๐๑๒๐ โทร. ๒๑๖-๙๑๕๐ โทรสาร ๒๑๖-๙๑๕๑

- หนังสือ ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๘ มีนา - เมษา ๒๕๔๘ -