- อุษา เกสรสุคนธ์ -

เด็กชายชาวนาขนานแท้

ปีนี้บอยย่างเข้าสิบห้าขวบ กำลังเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๓ ของโรงเรียนรัฐบาลในตัวจังหวัด ห่างบ้านประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ด้วยการแจ้งฐานะทางบ้านตามความจริง อาจารย์ประจำชั้น จึงขอทุนจากโรงเรียนให้เป็นค่าอาหารกลางวันตลอดปี เป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ได้มาก

บอยใช้เวลาว่างหลังการเรียนทำอะไรหลายอย่าง เกินกว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก นอกเหนือจากงานเล็กน้อย คือช่วยแม่ ดูแลน้องชายตัวเล็กอายุห้าขวบ เมื่อพ่อแม่ต้องไปทำงานนอกบ้าน กับงานกวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน ยามว่างเสาร์อาทิตย์ ปิดเทอม บอยมีงานที่ทำรายได้ให้ตัวเองอย่างภาคภูมิใจ คือไปเล่นดนตรีกับวงพิณพาทย์ที่เล่นตามงานศพ บอยเล่นฆ้องวง มีรายได้วันละ ๒๐๐ บาท เมื่อแบ่งให้แม่ ๑๐๐ บาท แม่มักจะบอกให้บอยเก็บไว้ในกระป๋องออมสิน หรือไว้ใช้จ่ายส่วนตัว ในเรื่องอุปกรณ์การเรียน ป้าที่ทำกาละแมกับข้าวเหนียวแดงจำหน่ายในเทศกาลงานบุญ ให้บอยไปช่วยกวนขนม ได้ค่าแรง ครั้งละหลายร้อยบาท แต่หมายความว่า ต้องกวนหลายสิบกระทะ อย่าเพิ่งตกใจ สมัยนี้ใช้เครื่องกวนแทนไม้พายสมัยโบราณ แต่ต้องมีคนคุมและการยกปีบหนักขึ้นลงหลายใบก็เหนื่อยเอาการอยู่

ยังไม่ถึงฤดูฝน พ่อแม่กำลังทำนาหว่านก่อนทำนาปี ช่วงปิดเทอมใหญ่ ลุงบอกว่าเจ้าของที่นาผืนที่ติดกับนาที่ครอบ-ครัวบอยกำลังทำอยู่ เขาไม่อยากให้พื้นที่ว่างเปล่าประโยชน์ อยากให้คนมาปลูกข้าว เป็นที่นาประมาณ ๔ ไร่ บอยหูผึ่ง ตาลุกโพลง "แม่ บอยจะทำเอง" "จะไหวรื้อ" แม่บอก บอยยืนกรานว่า "ทำได้ ก็บอยช่วยพ่อไถคราดเป็นประจำอยู่แล้ว ทำไมจะทำไม่ได้ ขอเพียงให้แม่ช่วยหาข้าวปลูก (พันธุ์ข้าว) มาให้เท่านั้น"

ไม่รอช้า บอยจัดการไถพื้นนาด้วยรถไถคันเล็กชนิดคนเดินตามที่เป็นสมบัติของครอบครัว ซึ่งเป็นเครื่องมือทำมาหากินสำคัญ ของชนชาวนา พอถึงตอนคราด บอยไปขอยืมสกรีบ้านลุงมาใช้เป็นเครื่อง ผ่อนแรง ก่อนที่แรงจะหมดเสียก่อน ระยะการ ไถคราด บอยกับพ่อต้องพากันไปนอนกลางทุ่งบริเวณปลูกข้าว เพื่อเฝ้ารถไถ หากหายไปคงหมดเครื่องมือทำมาหากิน

คืนหนึ่ง สองพ่อลูกหลับไหลด้วยความอ่อนล้า นอนบนพื้นหญ้าหัวคันนาได้กลิ่นไอดิน ลมพัดแผ่วผ่านผิว นกกลางคืน ถลาบินร้องเสียงแหลมผ่านไป ยิ่งดึกน้ำค้างพร่างพรม บอยกระชับผ้าห่มคลุมกายตัวเองและพ่อ พลันสะดุ้งตื่น เมื่อพ่อ ลุกพรวดพราดขึ้น "ไม่รู้ตัวอะไร กัดปาก สงสัยตะขาบ" ในความมืดมองไม่เห็นอสรพิษที่ฝากแผลแล้วเร้นกายหายเข้าพงหญ้า พ่อบ่นว่าปวดมาก จึงต้องขี่รถมอเตอร์ไซค์พากันเข้าบ้าน บอยตะโกนเรียกแม่ซึ่งกำลังนอนหลับอยู่บนเรือน
"แม่มาดูพ่อหน่อย ไม่รู้ตัวอะไรกัด" ในแสงสว่าง บัวลอยใจหายวาบ ปากสามีบวมเจ่อ ริมฝีปากห้อยจนแลดูน่ากลัว "สงสัย จะถูกงูกัดแล้วละ"

พากันมาที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้า เสียงพยาบาลบอก "ต้องใช้เซรุ่ม แล้วพยายามอย่าให้หลับ ต้องเจาะเลือดตรวจ เป็นระยะ ญาติอยู่เฝ้า คอยเรียกไว้"

บอยดูพ่อซึ่งปวดแผล ด้วยความทรมานใจ และโทษว่า เป็นเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้พ่อบาดเจ็บขนาดนี้ หากไม่คิด อยากได้เงินจากการทำนาผืนนั้น พ่อคงไม่ถูกงูกัด แม่ปลอบว่า "ไม่เป็นไรหรอก อยู่ใกล้หมอแล้ว กลับบ้านไปดูน้องเถอะ แม่เฝ้าพ่อเอง"

ด้วยใจกังวลห่วงพ่อ บอยโทรหาแม่เป็นระยะ จนแม่ต้องบอกว่า "ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ไม่ต้องโทรมาหรอก แล้วแม่ จะติดต่อกลับไปเอง" สองวันสองคืนที่ทั้งแม่ บอยและญาติที่น้องต่างเป็นห่วงพ่อ บอยหมดกำลังใจ ไม่อยากทำนาผืนนั้นต่อ

แม่พาพ่อกลับบ้าน บอยดีใจเหลือเกินที่พ่อไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แม่บอกให้บอยไปนา "ทำต่อเถอะลูก ไหนๆ ก็เริ่มแล้ว ลงทุน ไปแล้ว" สามเดือนผ่านไป ผลผลิตจากท้องนา ด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน ของสองพ่อลูก หลังจากการเก็บเกี่ยว หักต้นทุน ค่าใช้จ่าย มีกำไรเก้าพันกว่าบาท แม่เติมให้บอยครบหนึ่งหมื่นบาท บอยปลื้มใจในผลงานของตนยิ่งนัก

"แม่ บอยขอนอนกอดเงินหนึ่งหมื่น นี่สักคืนนะ ไม่เคยเห็นเงินมากขนาดนี้เลย" คำพูดแสนซื่อ ทำให้ถูกมองด้วยสายตา ฉายแวว ปรานีรักใคร่จากแม่ "บอยจะเอาเงินนี่ไปทำอะไร" แม่ถาม

"มอเตอร์ไซค์สักคันได้ไหมแม่ แล้วบอยจะไปเล่นพิณพาทย์กับหารายได้อย่างอื่นมาเพิ่ม พ่อกับแม่ออกให้บ้าง จะได้ไม่ต้อง เสียเงินรายเดือน ค่ารถประจำ"

บัวลอยอึ้ง แล้วค่อยๆ ลำดับความคิดออกมาเป็นคำสอน

"แม่ว่า บอยอย่าซื้อเลยนะรถเครื่อง มันอันตราย เวลาบอยขับขี่ออกไปจากบ้าน พ่อแม่จะต้องเป็นห่วง ว่าลูกจะไปชนคนอื่น หรืออาจถูกรถคันอื่นชน ถ้าบอยบาดเจ็บหรือพิการ หรือถึงตาย พ่อแม่จะเป็นอย่างไร เด็กวัยรุ่นได้รับอุบัติเหตุจาก รถมอเตอร์ไซค์ เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ แม่จะต้องชะเง้อมองว่า เมื่อไหร่ลูกจะกลับมาอย่างปลอดภัยหรือไม่" บอยนั่งนิ่ง แล้วพูดต่อ "งั้นบอยไปซื้อวัวมาเลี้ยงสัก ๒ ตัวนะ พอมีลูกก็ขายได้" แม่ขัดขึ้นว่า "ถ้าบอยเลี้ยงวัว บอยไปโรงเรียน ใครจะดูแล แม่ต้องไป บริการ นวดแผนไทยที่สถานีอนามัย พ่อก็ไปนา เกิดวัวหลุดหายไป หรือไปลุยที่นาคนอื่นก็จะเดือดร้อน" บอยชัก หงุดหงิด "แล้วจะทำอะไรถึงจะดีล่ะ" "ฝากธนาคารดีกว่าลูก บอยมีบัญชีส่วนตัวอยู่แล้ว เก็บเงินไว้เป็นของส่วนตัว หากพ่อแม่ เป็นอะไร กะทันหัน บอยยังมีเงินก้อนหนึ่งไว้ใช้จ่าย" เป็นอันถึงข้อยุติ บอยทำตามคำแนะนำของแม่

บัวลอยดีใจที่ลูกไม่ดื้อดึงขอซื้อรถจักรยานยนต์ หรือคิดอยากซื้อโทรศัพท์มือถือ ซึ่งออกจะเป็นของฟุ่มเฟือย สำหรับครอบครัว ชาวนาอย่างบัวลอย

"แม่ แม่ อย่าให้ไอ้พี่เปิดหนังไดโนเสาร์ให้น้องบาสดูนะ ถ้ามันออกจากโท-ทัด มากัดน้องบาสเวลาแม่ไม่อยู่ ไอ้พี่ก็ช่วยน้องบาส ไม่ทันหรอก" เสียงเล็กสำเนียงเหน่อภาษาพื้นบ้านดังขึ้น ทุกคนหันไปมองเด็กชายตัวเล็ก พลางหัวเราะกันครื้นเครง แต่เจ้า ตัวเล็ก ไม่เข้าใจว่าคนอื่น ขำอะไร

พุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว่ว่า "ความจนเป็นทุกข์ในโลก"

ชีวิตคนชั้นชาวนา ปลูกข้าวให้คน ทั้งประเทศได้กิน งานหนัก รายได้น้อย แต่เขามีความสุขกับอาชีพสุจริตของเขา พอใจ ในความเป็นอยู่ของตนเอง อบรม สั่งสอนให้ลูกเป็นคนดี มีความกตัญญู รู้จักคิด ภูมิใจในการดำรงชีวิตและงานของพ่อแม่ เขาน่าจะเป็นผู้ร่ำรวยแล้วทางจิตวิญญาณ

- ดอกหญ้าอันดับที่ ๑๒๑ กันยา-ตุลา ๒๕๔๘ -