ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน
เขียนโดย ลูเซีย บาเกดาโน่ แปลจากภาษาสเปน โดย รัศมี กฤษณมิษ
พิมพ์ครั้งที่ ๒ : ๒๕๔๒ (ต่อจากฉบับที่แล้ว)

สิ่งแรกที่ฉันเห็นเมื่อออกจากโบสถ์คือ บันไดและถังสีขาวสองถังใหญ่ๆ อยู่หน้าประตูโรงเรียน ฉันหิ้วมันเข้าไปในห้องเรียน และมองไปรอบๆ วันปีที่ล่วงเลยทิ้งร่องรอยเศร้าหมองอยู่ทั่วไป สภาพหลังคาบอกให้เรารู้ว่าที่เบอิเรเชอานี้ฝนตกบ่อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คงยากที่จะปิดรอยหยดน้ำข้างหน้าต่าง แต่ฉันบอก ตัวเองว่าจะไม่ท้อแท้ ฉันจะเริ่มทาสีโรงเรียน เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะฉันแน่ใจว่ามันจะไม่มีทางแย่ไปกว่าที่เป็นอยู่นี้อีกแล้ว

ฉันสวมเสื้อกางเกงที่เก่าที่สุดและลงมือทำงาน ก้าวแรกก็น่าจะทำให้ท้อเสียแล้ว ฉันจุ่มแปรงลงไปในถังสีจนแปรงชุ่มเต็มที่ แล้วก็ตวัด ไปที่เพดาน

ซ้าส ! ปรอยฝนสีขาวตกลงมาบนหน้าฉันอย่างไม่ปรานี ปราศรัย 'โตเนตติ' เจ้าตัวตลกที่ทำให้ฉันหัวเราะอย่างครื้นเครง ในวัยเยาว์ก็ยังหน้าไม่ขาวเท่านี้เลย

ฉันล้างหน้าและทดลองดูใหม่อีกครั้ง ผลก็ออกมาอย่างเดิมแต่ยังดีที่ว่าคราวนี้ฉันเตรียมโพกผ้าไว้ที่ ศีรษะก่อน

ฉันนั่งลงข้างกองเก้าอี้และโต๊ะนักเรียนอย่างหมดกำลังใจ พลางนึกถึงว่าโฆเซโช่ทำอย่างไรนะ จุ่มแล้วทา จุ่มแล้วทา.. .แน่นอน แต่เขาทาผนังไม่ใช่เพดาน ฉันกลับขึ้นบันไดอีกครั้ง มีแปรงอยู่ในมือพร้อมรบ !

คราวนี้ฉันไม่ได้จุ่มแปรงเต็มที่ และฉันก็จัดการมันได้ดีขึ้น ฉันทาได้สองครั้งโดยไม่ทำให้ตัวเปียกและถ้าเขย่าแปรงเบาๆ บนถังสี มันก็จะไม่ไหลย้อยเลอะเทอะ

เวลาผ่านไปสองสามชั่วโมง ฉันมองเพดานสีน้ำเงินซึ่งบัดนี้เป็นสีเทา แม้จะยังชื้นอยู่ เมื่อมันแห้งก็จะกลายเป็นสีขาว ฉันไม่สนใจว่าจะต้องทาสีอีกกี่ครั้งเพราะขณะนี้ฉันรู้วิธีทาสีแล้ว

ฝาผนังนั้นง่ายมาก รอยเปื้อนก็เป็นเพียงรอยขีดและรอยดินสอจึงไม่ยากที่จะจัดการเท่ากับรอยหยดน้ำบนเพดาน

ฉันพอใจกับผลงานและเมื่อรู้สึกเหนื่อยฉันจึงกลับบ้านทานข้าว

"อานา มาริ กับอาลิเซีย มาหาครูและบอกว่าจะกลับมาใหม่ตอนบ่าย" อิซาเบลบอกฉัน

แต่ตอนบ่ายพวกเขาก็ไม่พบฉันอีกเช่นกัน อากาศร้อนมาก ฉันเปิดหน้าต่างทางด้านหลังโรงเรียนทิ้งไว้ สีแห้งแล้ว ฉันจึงทาทับ ใหม่อีกครั้ง พอทาสีเสร็จฉันก็ถูมือไปมาอย่างพอใจ ห้องกำลัง จะเปลี่ยนไป เหลือแต่เพียงรอยหยดน้ำกระดำกระด่างที่ข้างหน้าต่างเท่านั้น

ฉันพยายามจะขจัดรอยคราบนั้นให้ได้ แม้จะทาสีขาวทับถึงหกครั้ง มันก็ยังเป็นสีเหลืองด่างอยู่ท่ามกลางความขาวราว หิมะ

ฉันประกาศสงครามกับรอยหยดน้ำ ฉันพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อชัยชนะ และรอย หยดน้ำก็พร้อมจะต่อสู้เพื่อมีชีวิตอยู่ ยิ่งกว่านั้น ฉันไม่พอใจ กับเพียงแค่ว่า ห้องเรียนดูดีขึ้นมาบ้างเท่านั้น ฉันไม่ต้องการให้โรงเรียนของฉันมีข้อตำหนิแม้แต่เพียงเล็กน้อย

ในเช้าวันหนึ่ง ไม่รู้ว่าสายตาของฉันไปชนเข้ากับแถวกระป๋องสีที่ป้ามาเรียน่าให้มาได้อย่างไร ฉันเกิดความคิดสว่างแว่บขึ้นมา ความคิดที่เข้าท่าที่สุด

ฉันมีพู่กันอันเล็กที่โฆเซโช่ให้ยืมมาด้วย ฉันเปิดขวดสีเหลืองอมส้ม กัดฟันอย่างคนที่ตัดสินใจแล้วว่า จะเผชิญหน้ากับเจ้า หยดน้ำนั้น

ฉันละเลงสีอย่างพึงพอใจ ครู่หนึ่งหลังจากนั้นฉันจึงลงบันไดมาเพื่อพินิจพิจารณาผลงานของฉัน

ฉันชนะแล้ว !

บนเพดานขาวมีรอยเปื้อนที่ฉันทำให้กลายเป็นพระอาทิตย์สีเหลือง อมส้มกำลังแย้มยิ้มเปล่งรัศมีเรืองรองไปทั่วเพดาน และ ไล่ลงมาถึงฝาผนังอีกเล็กน้อยด้วย

ฉันพอใจจนสามารถจะชมตัวเองได้อย่างไม่กระดากปาก รู้สึกตัวร้อนซู่ในความสำเร็จ ฉันตัดสินใจว่าจะให้ผนังทั้งสี่ เป็นตัว ที่จะทำให้ห้องสว่างไสว

ต้นไม้ ดอกไม้ ผีเสื้อ หอยทาก เป็ด...ทุกอย่างจะอยู่ใน โรงเรียนของฉัน สิ่งที่ฉันวาดไม่เป็น ฉันก็จะลอกจากหนังสือนิทาน อย่างไม่อาย ขยายให้ใหญ่ขึ้นตามมาตราส่วน แล้วระบายด้วยสีที่ป้ามาเรียน่าให้ฉันมาแทนที่จะทิ้งลงขยะไป

ฉันมีแปรงใหญ่อยู่เพียงอันเดียว จึงต้องล้างในน้ำมันสนทุกครั้งที่ต้องการจะเปลี่ยนสี ถ้าจะวาดเส้นเล็กฉันใช้พู่กัน ซึ่งอยู่ใน ขวดน้ำยา ที่ใช้ทาตาปลาของป้า และพู่กันในขวดน้ำยาขัดรองเท้า ฉันใช้มันวาดเกสรดอกไม้ หนวดผีเสื้อ พู่กันเหล่านี้ ช่วยทำให้ดวงตาของสัตว์ที่ฉันวาดนั้นดูดีทีเดียว

อย่างที่บอกแต่แรกแล้วว่า ห้องเรียนของฉันดูสวยงามมาก ฉันไม่เคยฝันว่าจะมีโรงเรียนที่งดงามขนาดนี้ แม้แต่ในช่วงแรกๆ ที่ฉันปลาบปลื้มกับการได้เป็นครู

ฉันตัดสินใจว่าน่าจะทาสีหน้าต่างด้วยเพราะเมื่อทาภายในเสียจนสวยเช่นนี้แล้ว หน้าต่างจึงดูหมองไป ผู้ใหญ่บ้านอิซาเอียส๎ ให้สีเขียวที่เขาเพิ่งทาเกวียนเสร็จแก่ฉัน ดีที่เขาไม่ถามว่าจะเอาไปทำอะไร เขาอาจจะห้ามฉันทาสี ซึ่งปู่ย่าตาทวด ได้ทาเป็นมรดก ทิ้งไว้ให้แก่โรงเรียน

ฉันมีเวลาเหลือน้อยเต็มที จึงเริ่มทำงานอย่างเร่งรีบในทันใด สีเขียว เป็นโทนสีที่สวย และเหนือหน้าต่างแต่ละบาน ฉันวาดรูปหัวใจ สีอมส้ม ดูอบอุ่นและเหมาะกับเด็ก ราวกับบ้านในเทพนิยายอย่างไรอย่างนั้น มันเกือบ จะออกมาดีอยู่แล้ว ถ้าน้ำมันสนไม่เผอิญ หมดเสียก่อน พู่กันจึงแข็งตัว และช่างโชคไม่ดีที่งานใกล้จะเสร็จอยู่แล้ว...!

รถแทรกเตอร์คันหนึ่งวิ่งมาตามถนน พระอาทิตย์ลับหายไปแล้ว แต่ฉันก็ยังอยากจะทาสีหน้าต่างให้เสร็จ แม้จะเหนื่อย แล้วก็ตาม รถแทรกเตอร์หยุดที่ข้างรั้ว ชายคนหนึ่งกระโดดข้ามรั้วมา ฉันจำเขาได้ทันที หัวใจฉันเต้นไม่เป็นส่ำ แต่มือยังคง ทาสีต่อไป

"นี่คุณ แสงแทบจะไม่มีแล้วนะ" เขาพูด
"ใช่ แต่ดิฉันก็อยากจะให้มันเสร็จวันนี้"
ฉันไม่ได้พบเขาเกือบสองเดือนแล้ว เขาคล้ำลง ฉันอยากให้เขาอยู่เป็นเพื่อน
"คุณไม่มีพู่กันที่ดีกว่านั้นหรือ"
"ไม่มีค่ะ มันใช้การได้ดีจนน้ำมันสนหมดนั่นแหละค่ะ พอล้างไม่สะอาดมันก็เลยแข็ง"

ฉันมองเขา โมงยามของพลบค่ำนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างช่างงดงามมีสีสัน ทว่า ไม่ใช่จากลำแสงสุดท้ายยามตะวันลับฟ้าเท่านั้น หากแต่เป็น แสงที่เปล่งประกายเรืองรองออกมาจากเราทั้งสองคน

ฉันออกแรงปิดฝา กระป๋องและเก็บข้าวของ ฆาเบียร๎มองเข้าไปข้างในโรงเรียน

"นี่หรือโรงเรียน โรงเรียนเก่าแก่แห่งเบอิเรเชอา คุณทำสิ่งที่สวยงามเช่นนี้ได้อย่างไรกันนะ"

ถ้าฉันคอยการมาเยือนของเด็กๆ เพื่อดูว่าจะเกิดผลอย่างไร ขณะนี้ความพึงพอใจของฉันได้เพิ่มเป็นสองเท่า ไม่เคยมีคำชมใด ทำให้ฉันมีความสุขได้ถึงเพียงนี้ หัวใจฉันแทบ ระเบิด ฉันอยากจะกระโดดแล้วร้องกรี๊ดด้วยความปีติยินดี เพราะเขาชอบ โรงเรียน ของฉัน

อนิจจา ! ชั่วประเดี๋ยวมนตราก็คลายอานุภาพลง ฆาเบียร๎มองฉันอย่างเอาจริงเอาจัง

"ทำไมคุณถึงต้องมาอยู่ที่นี่ ที่ที่ไม่มีใครรู้คุณค่า หรือขอบคุณ ในสิ่งที่คุณทำ"

"ดิฉันคิดว่าทุกๆ คนรักดิฉัน สำหรับเรื่อง อื่นๆ...ดิฉันยังไม่เคยทำอะไรที่ทำให้พวกเขาต้องมาขอบคุณ ดิฉันทำงาน และมี ความสุขกับงาน ดิฉันรู้ว่า 'เด็กของโรงเรียน' จะชอบ เท่านี้ก็พอแล้ว"

"ผมเชื่อคุณ แต่ รู้ไว้เถอะว่า คนอื่นเขาไม่เชื่อคุณหรอก บรรดา พ่อแม่ซึ่งควรจะทาสีโรงเรียนด้วยตนเองเมื่อหลายสิบปี มาแล้ว จะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดที่คุณเป็นคนทา และอาจจะมีบางคนด้วยซ้ำที่คิดว่า ถ้าคุณทาสี นั่นหมายความว่า คุณต้องการ จะเรียกเก็บเงินด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง"

"คุณคิดอย่างนั้นได้อย่างไรกันคะ" ฉันรู้สึกเศร้าใจ

"ก็เพราะผมรู้น่ะสิ ทุกข์แบบเดียวกันนี้มันเกิดขึ้น กับผมหลายปีมาแล้ว ดูนั่นสิ..." เขาพูดพลางชี้ไปยังทางเดินสู่โบสถ์ ฆัวฆินอิปาร๎รากิร๎เร่ ขึ้นเกวียนที่บรรทุกหญ้าแห้งอย่างช้าๆ ตามด้วยเตเรซ่าและเมร๎เซเดส

"นั่นไง คุณจะได้เห็นตัวอย่างของพ่อขี้อิจฉาคนหนึ่ง เขาจะเข้มงวด กับคุณในฐานะที่คุณเป็นครู แต่เขาจะไม่ส่งลูก ไปโรงเรียนหรอก เพราะเขาต้องการเด็กไว้ใช้งานที่บ้าน เขายอมให้เด็กสองคนนั่นทำงานเยี่ยงสัตว์มากกว่า"

"ก็เขามีเพียงลูกสาวนี่คะ แล้วเขาก็ยากจนด้วย" ฉันพูดอย่างเจ็บปวด

"ยากจนเหรอ" เขาย้ำด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

"เราจะเรียกคนที่เป็นเจ้าของผืนดินที่กว้างใหญ่ไพศาลแทบจะสุดสายตานี่ว่าคนยากจนหรือ ใช่ ! เขาไม่มีลูกชาย ซึ่งแต่ก่อน อาจจะเป็นความโชคร้ายของชาวไร่ชาวนา แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว"

"คุณอาจจะพูดได้เพราะคุณมีเครื่องเกี่ยวและเครื่องหว่าน" ฉันกล้าพูด เพราะทราบว่าเครื่องยนต์ อันทันสมัยของเขา เป็นที่อิจฉา ของคนทั้งหมู่บ้าน

"ใช่ และยังจ่ายไม่หมด ไม่เฉพาะแต่เรื่องนี้เท่านั้น มันเป็นความโลภชนิดหนึ่งที่ทุกคนมีอยู่ในตัว มีใครคิดก่อนที่จะหว่าน พืชพันธุ์บ้างไหมว่า ตลาดต้องการ หรือเปล่า ปีที่แล้วพริกขาด คนที่มีก็ขายราคาแพงมาก ปีนี้ทุกคนเลยปลูกพริก แล้วมันก็ล้น ตลาดและเสียหาย มีใครสักคน สนใจบ้างว่า ดินตรงนี้และตรงโน้นไม่เหมาะกับการปลูกพริก ท้องทุ่งที่จะให้ถั่ว ข้าวสาลี ข้าวโอต พันธุ์ดี กลับให้พริกที่เหี่ยวแห้งไม่มากนัก ก็แน่ละ ก็ปีที่แล้วมีคนรวยจากพริก ปีนี้ทุกคนก็อยากรวยด้วย"

"แล้วไม่มีทางใดเลยหรือคะที่พวกเขาจะตกลงกันวางแผนเกี่ยวกับการผลิต และพยายามไม่ให้เกิดความบาดหมาง ระหว่างกัน" ฉันถามเพราะฉันรู้ปัญหาเกี่ยวกับท้องทุ่งน้อยมาก แล้วมันก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับฉันด้วย

"วางแผนน่ะหรือ ใครล่ะจะกล้าพูดกับผู้ชายในหมู่บ้านของเรา ถ้านายคนนี้เดินเข้ามาบอกพวกเราว่าจะต้องปลูกอะไร นั่นแปลว่าเขาจะได้ผลประโยชน์บางอย่าง" เขาเลียนเสียงผู้เฒ่าผู้แก่แห่งเบอิเรเชอาในแง่การพูดให้ร้ายได้เหมือนทีเดียว

"คนบางคนเชื่อว่า ถ้าจะได้อะไรสักอย่างก็ต้องเสียอะไรสักอย่างด้วยเช่นกัน การได้ทั้งหมดโดยการร่วมมือกันนั้นเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าทำโดยไม่หวังผลตอบแทน ครั้งหนึ่งผมก็เคยมีความฝันที่จะเปลี่ยนแปลงหมู่บ้าน ด้วยเครื่องจักร อันทันสมัย ซึ่งพวกเราจะร่วมกันหว่านไถ เก็บเกี่ยวภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่ไม่มีใครสนับสนุนผมเลย พวกเรามีด้วยกัน ๔๙ ครัวเรือน เราต้องการจะมีเครื่องหว่าน เครื่องเก็บเกี่ยว เครื่องขัดข้าวอย่างละสี่สิบเก้าเครื่อง มันน่าหัวเราะสิ้นดี พวกเขา พูดกันว่า 'ที่ดินของอาริเบ้นั้นราบเรียบ เขาจะเอาเครื่องจักรใหม่ๆ เหล่านั้นมาใช้ เพราะมันจะให้ผลผลิต และประโยชน์ แก่เขามาก เขาจะหลอกเราทุกคน"

ฉันเข้าใจและคิดว่าเขามีเหตุผล ฉันรักชาวเบอิเรเชอา แต่พอจะทราบว่า พวกเขาเป็นเช่นที่ฆาเบียร๎กล่าวมานี้ เห็นแก่ตัว ไม่ไว้ใจกัน ฉันเศร้าใจจนลืมความสว่างสดใสของโรงเรียนไปชั่วขณะหนึ่ง
"ดิฉันเสียใจ" เป็นคำพูดเดียวที่ฉันพูดได้

เราต่างเงียบกันไปครู่ใหญ่ ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ฉันปิดประตูห้องเรียน ฆาเบียร๎เดินไปที่ถนน

ฉันวิ่งไปหาเขา แล้วพูดด้วยการตัดสินใจที่ฉันไม่แน่ใจนักว่าจะทำได้หรือเปล่า

"ดิฉันจะต่อสู้-ต่อสู้จากจุดที่ดิฉันอยู่ บรรดาเด็กๆ จะได้เล่าเรียน มีการศึกษา และจะไม่มีความคิดคับแคบเช่นเดียวกับพ่อแม่ พวกเขา จะรู้ว่า ศีรษะไม่ได้มีไว้สวมหมวกเบเร่ต์เท่านั้น"

เขาก้มลงมองดูฉันจากรถแทรกเตอร์
"ถ้านักเรียนบางคนของคุณจะเรียนหนังสือ ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะอยู่ที่นี่ต่อไป เขาจะไปจากหมู่บ้านและพ่อของเขา ก็จะสนับสนุน ด้วย เพราะพ่อเขาก็ทำงานเสียสละเพื่อจะให้เขาได้ไป ไม่ใช่ให้มาเสียเวลามาเปลืองสมองอย่างที่คุณทำอยู่หรอก คุณก็เถอะ ! คุณเองก็จะไปจากที่นี่เช่นเดียวกัน หญิงสาวอย่างคุณจะไม่มาฝังตัวอยู่ในดินแดนอย่างนี้หรอก อย่างมากที่พวกผู้หญิงทำได้ ก็คือแต่งงานกับหมอ ถ้ายังหนุ่มล่ะก็ และจากนั้นอีกสองสามปีหมอจะนึกถึงการไปเรียนทำศัลยกรรมพลาสติก ซึ่งเคยคิดไว้ ตั้งแต่ก่อนแต่งงาน แล้วทั้งคู่ก็จากไปมาดริดเพื่อเรียนต่อเฉพาะด้าน"

"แต่ดิฉันไม่ไปหรอกค่ะ" ฉันค้านและตะโกนอย่างไม่พอใจว่า

"แล้วหญิงสาวอย่างฉันก็จะแต่งงานกับใครก็ตามที่อยากจะแต่ง คุณได้ยินไหม กับใครก็ได้ที่ดิฉันอยากจะแต่งด้วยเท่านั้น"

ฉันหยุดอยู่หน้าประตูโรงเรียนที่สวยที่สุดในโลก พลางพึมพำเบาๆ อย่างเศร้าสร้อยว่า

"ฉันจะไม่ไปจากที่นี่หรอก ฉันไม่ได้คิดจะไปจากที่นี่เลย"

หลังจากวันนั้น ฉันคิดว่าคงจะไม่พบเขาอีก แต่ผิดถนัดเพราะเขากลับมาในวันรุ่งขึ้น

ฉันกำลังทาสีอยู่ขณะได้ยินเสียงแทรกเตอร์ แต่ฉันทำเป็น ไม่เห็นเขา เขาคงจะไม่โกรธเคืองอะไรฉัน เพราะเขาลงจากรถ กระโดดข้ามรั้วมา ฉันยังคงไม่ไหวติง ใจจดจ่อกับงานตรงหน้า และไม่แม้แต่จะหันหน้าไปเมื่อเขาเดินใกล้เข้ามา

เขาคงจะอยู่ใกล้ฉันมาก เพราะฉันได้กลิ่นยี่หร่าซึ่งไม่เหมือนใคร กลิ่นซึ่งฉันชื่นชอบและติดตัวเขาอยู่เสมอ หัวใจฉันเต้นระรัว อยากให้โลก หยุดหมุนและให้เวลานั้นเป็นนิรันดร์

"คุณไม่ต้องการจะลองใช้ไอ้นี่ดูหรือครับ" เขาพูดขึ้นพร้อมกับอวดพู่กันอย่างดีทั้งใหม่และนุ่ม

"โอ้โฮ ! ดีจังเลยค่ะ พู่กันนี่ใช้ตบแต่งลวดลายและทำอะไรได้ทุกอย่างเลย"

ฉันรู้สึกเสียดายขณะจุ่มมันลงไปในสีเขียวแอปเปิ้ล

ฉันประหลาดใจมากที่เห็นฆาเบียร๎ติดแถบกาวไปบนกระจก รอบๆ กรอบหน้าต่าง ทุกบาน
"อย่างนี้คุณจะทาสี ได้สบายขึ้น โดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้กระจกเลอะ พอสีแห้งคุณก็เอาแถบกาวนี้ออกได้"
"จริงอย่างที่คุณว่าล่ะค่ะ... คุณคงจะเห็นแล้วว่า ฉันไม่รู้เรื่องเอาเลย หน้าต่างบานอื่นๆ ทำให้ฉันต้องเสียเวลา ทำความสะอาด อยู่นาน ฆาเบียร๎คะ ที่บ้านคุณพอจะมีน้ำมันสนบ้างไหมคะ"
"มีสิ ผมเอามาให้คุณแล้วนี่ไง"

ฉันรู้สึกหวั่นไหวและวาบหวามใจ โดยเฉพาะเมื่อเขามายืนเคียงข้างฉันเพื่อทาสีหน้าต่างอีกบานโดยไม่พูดอะไรกับฉันสักคำ พลันโรงเรียนดูสว่างไสวเจิดจ้าขึ้นมาอีกครั้ง ฉันรู้สึกถึงความหฤหรรษ์แห่งการมีชีวิต การได้อยู่ในท้องทุ่งกว้าง สูดหายใจ แต่อากาศบริสุทธิ์ และการที่ยังเป็นหนุ่มสาวอยู่

"คุณเป็นคนอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ" เขาถามฉัน แล้วเราก็เงียบกันไปครู่ใหญ่
"อย่างนี้น่ะ ยังไงคะ"
"ก็ใจดี เป็นคนดี...คนเราเกิดมาอย่างนี้เลย หรือมันมีจังหวะชีวิตที่ทำให้คุณเปลี่ยนแปลงไป"

ฉันหัวเราะ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนบอกฉันว่าฉันเป็นคนดี และฉันก็ยิ่ง แปลกใจมากที่จำเพาะต้องเป็นเขาเสียด้วย ฉันแปลกใจและอดที่จะปลื้มใจมิได้

ฉันมีหม้อต้มกาแฟและเตาเล็กๆ ที่ใช้แอลกอฮอล์อยู่ที่โรงเรียน ในตอนสายๆ ฉันจึงเชิญเขาดื่มกาแฟ เขาตอบตกลง ทำให้ฉันปีติยินดียิ่งนัก เรานั่งดื่มกาแฟตรงบันไดโรงเรียนซึ่งหันหน้าไปยังท้องทุ่ง ฉันรู้สึกอิ่มเอมใจกับช่วงเวลา ที่เรา ได้ใกล้ชิดกัน คงจะมีคนเลี้ยงแกะเดินผ่านมาบริเวณนี้ เพราะเราได้ยินเสียงคนเป่าขลุ่ยบาสก์

"คุณเล่นดนตรีอะไรบ้างหรือเปล่าคะ" ฉันถาม หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่มีคนรักดนตรีมากที่สุดเท่าที่ฉันรู้จักมา ไม่มีครอบครัว ไหนเลย ที่จะไม่มีกีตาร์ หีบเพลงชัก หรือขลุ่ย แม้กระทั่งเปโย่และโตมัส ก็ยังเป่าขลุ่ยบาสก์ ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่วิเศษมาก

ฉันแปลกใจที่เขาใช้เวลานานมากเพื่อจะตอบคำถามง่ายๆ ธรรมดาๆ นี้
"เล่นครับ" ในที่สุดเขาก็ตอบ
"กีตาร์หรือคะ"
เขาดูเคร่งเครียดมาก เพราะอะไรกันนะ
"เปล่า ออร์แกนต่างหากครับ"

ฉันตะลึง ฟังดูเป็นเรื่องใหญ่โต แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ฉันสังเกตได้ว่าเขาไม่ต้องการพูดถึงมัน เพราะเขาดื่มกาแฟที่เหลือ อึกใหญ่ รวดเดียว แล้วตามด้วยการจุดบุหรี่สูบ พลางเอนหลังไปพิงประตูโดยไม่กล่าวอะไรเลย

ฉันคิดขึ้นในบัดดลนั้นว่า เขาคงล้อฉันเล่น... ออร์แกนเชียวหรือ !

ฉันก็ดื่มกาแฟที่เหลือเช่นกัน อยากจะรู้เรื่องของเขาบ้าง แต่คิดว่าไม่เหมาะสมที่จะถามว่าเขาเรียนอะไรก่อนที่จะกลับมาหมู่บ้านนี้ ยิ่งเรื่องคู่รักเก่าของเขาด้วยแล้วยิ่งไม่กล้าถามใหญ่

น่าจะเป็นเรื่องของกระแสจิต
"คุณมีคนรักหรือเปล่าครับ"
"ไม่มีค่ะ แล้วคุณล่ะคะ" ก็ในเมื่อเขาถามฉันได้ ฉันก็ถามกลับเช่นเดียวกัน
"ไม่มีครับ" แล้วเขาก็เพิ่มเติมอย่างอารมณ์ดีว่า
"ผมเคยมี แต่หล่อนทิ้งผมไปเพราะผมมันไม่ดี"

ฉันหัวเราะทันที แม้รู้ว่าไม่ค่อยจะเหมาะ แต่ฉันก็เป็นคนไม่เข้าท่าอย่างนี้แหละ ไม่เคยทำอะไรอย่างที่ควรทำ ฉันอยากจะ หัวเราะอีกเพราะรู้สึกดีใจ และดูเขาก็ไม่โกรธเพราะเขาเองก็หัวเราะเช่นกัน

(อ่านต่อฉบับหน้า)
- ดอกหญ้าอันดับที่ ๑๒๑ กันยา-ตุลา ๒๕๔๘ -