เรื่องสั้น ประกวด
ฉันเอง บันดา

ความรู้สึกถึงแม้ว่ามันจะไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น แต่ความร้ายกาจของมันสามารถฆ่าคนได้ มันทำให้คนรู้ได้ถึงความเจ็บปวด ทรมานเหมือนตกอยู่ในนรกทั้งเป็นได้ และตรงกันข้ามมันก็สามารถทำให้เรารู้ได้ถึงความสุขใจ สบายใจ อบอุ่นใจ เหมือนอยู่บนสวรรค์ และแน่นอนไม่ว่าใครก็ตาม ย่อมอยากจะอยู่กับความรู้สึกที่ดีที่จะทำให้ตัวเองมีแต่ความสุขความสบายใจ และก็แน่นอนอีกเหมือนกันคนยังไงก็ยังเป็นคน ย่อมที่จะต้องมีทั้งความรู้สึกที่ดีและไม่ดีเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

บันดา เธอก็เป็นมุนษย์คนหนึ่ง ที่อยากจะอยู่อย่างเป็นสุข ทั้งกายและใจ แต่เหมือนเกิดมามีกรรมมาก ชีวิตเธอหลังจากผ่านพ้นชีวิตในวัยเด็ก อันแสนจะมีความสุข เธอต้องมาพบกับความทุกข์ทรมานใจ ที่เกิดขึ้นกับเธอโดยที่เธอไม่ทันได้ทำใจตั้งรับ เธอแทบจะเป็นโรคประสาท กลางคืน เธอต้องนอนหลับๆ ตื่นๆ สะดุ้งผวาอยู่ตลอดเวลา เพราะในวันๆ หนึ่งตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา ชีวิตเธอต้องสาละวนอยู่กับงานๆๆ วิตกกังวลอยู่แต่กับเรื่องเงินๆๆ เพราะในแต่ละวันต้องหาเงินส่งหนี้ รายวัน ที่ยืมเงินดอกเบี้ยร้อยละ ๒๐ มาจับจ่ายใช้สอยเลี้ยงชีวิตคนถึง ๗ คน ที่ผ่านมาครอบครัวเธอ อยู่ในฐานะพอมีอันจะกิน แต่หลังจากที่บิดาเธอ ได้เสียชีวิตลง แม่เธอต้องเลี้ยงลูกตามลำพังถึง ๙ คน โดยมีลูกชาย คนที่ ๒ เป็นกำลังสำคัญ

เมื่อก่อนบันดาไม่เคยต้องมารับรู้อะไรเลยว่า ครอบครัวเธอจะทุกข์จะยากเช่นไร เธอเอาแต่เรียนกับเล่นกีฬา งานบ้านภาระหน้าที่รับผิดชอบอะไร เธอไม่เคย ต้องทำอะไรเลย เพราะเธอเป็นลูกคน ที่ ๗ ทุกอย่างมีพี่สาวและพี่สะใภ้ทำให้หมด ดังนั้นเธอจึงไม่ค่อยรู้ว่า ความทุกข์ความยากคืออะไรจวบจน กระทั่งเธอเรียนจบ ม.๖ เหตุการณ์อันไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น

บ้านที่เช่าเขาอยู่มากว่า ๒๐ ปี เจ้าของบ้านต้องการจะขายขึ้นมา ประกอบกับบันดาซึ่งเรียนจบ ม.๖ ก็สอบติดเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ดังนั้น เธอจึงต้องตัดสินใจเลือก ระหว่างอนาคตของตัวเองกับการโดดเข้ามารับผิดชอบ ภาระหน้าที่เลี้ยงดูแม่และพี่น้องอีก ๕ ชีวิต เพราะตอนนั้นพวกพี่ๆ ต่างก็แต่งงานแยกย้ายครอบครัวกันไปบ้าง ส่วนพี่ๆ ซึ่งยังอยู่ด้วยก็ยังไม่มีความรับผิดชอบมากพอ ที่จะดูแลแม่และคนอื่นๆ ได้ เธอคิดว่า หากเธอเลือก ที่จะไปเรียน ตัวเธอคนเดียวเท่านั้นที่จะมีความสุข โดยที่ครอบครัวเธอต้องอยู่กับความทุกข์ แม่ซึ่งอายุมากแล้วและอ่อนแอเกินกว่าที่จะรับอะไรๆ มากไปกว่านี้อีกแล้ว รวมทั้งอนาคตของพี่และน้องอีก ๕ คน หากไม่มีผู้นำทางเสียแล้วคงจะไปกันคนละทิศคนละทาง เมื่อเป็นเช่นนี้หากเธอเลือกที่จะเรียน เธอจะสบายใจได้อย่างไรเพราะถ้าเธออยู่เป็นผู้นำเสียคนหนึ่ง แม่ก็สบายใจ พี่น้องก็ได้อยู่ช่วยกันทำมาหากิน

บันดาจึงไม่ลังเลใจเลยในการสละสิทธิ์การเรียนเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพราะเธอคิดว่าหากเรียนจบออกไปแล้ว เธอก็ต้องออกไปช่วยคนเหมือนกัน แล้วตอนนี้มีคนรอให้เธอช่วยอยู่ เธอจะทิ้งไปได้อย่างไร

เมื่อเธอตัดสินใจเลือกครอบครัวแล้ว ครอบครัวเธอซึ่ง ไม่สามารถซื้อบ้านที่อยู่ตอนนั้นได้ จึงได้ย้ายบ้านมาอยู่ที่ จ.ขอนแก่น ณ ที่นี้ชีวิตเธอเปลี่ยนไป จากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอต้องย้ายครอบครัวมาอยู่บ้านเช่า เช้าต้องตื่นตั้งแต่ตี ๒ ตี ๓ เพื่อลุกขึ้นมาทำแกงขาย ทำเสร็จก็รีบออกไปขายที่ตลาด ระยะทางจากบ้านไปตลาดไกลพอสมควร ต้องจ้างสามล้อมาบรรทุกของไป ความรู้สึกในตอนนั้นกลัวมาก เพราะต้องนั่งรถไปตลาดกับสามล้อ กลัวเขาจะคิดไม่ดี เพราะตี ๕ ฟ้ายังไม่แจ้งเลย ชีวิตต้องอยู่กับความกลัว ความวิตกกังวลมาโดยตลอด เหมือนว่าทุกข์แค่นี้ยังไม่พอ น้องชาย ยังมาเลือกเดินทางผิด พี่ชายคนโตก็ประสาทไม่ปกติ ชีวิตของบันดาตอนนั้นเหมือนตกอยู่ในนรกทั้งเป็น จากคนที่เคยร่าเริงแจ่มใส ไม่เคยต้องรับ ผิดชอบอะไร ไม่เคยคิดมาก อยู่ๆ ต้องมาเจอกับสภาพปัญหาเช่นนี้ ตอนนั้นเธอแทบบ้า หนักเกินไปสำหรับเธอจริงๆ มันทุกข์เจ็บปวดทรมานใจเหลือเกิน เธอไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งไปปรึกษากับใคร ตอนนั้นเธอท้อแท้และหมดกำลังใจที่จะอยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว เธอรับไม่ไหวจริงๆ เธอเหนื่อยกาย สายตัวแทบขาด เธอไม่เคยคิดบ่น แต่เหนื่อยใจนี่มันทรมานเหลือเกิน ครั้นจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว ก็สงสารแม่ หากตายแล้ว ปัญหาหมดไป หรือทุกอย่างดีขึ้นก็คงดี แต่มันไม่ใช่ ความทุกข์ยิ่งทับทวีครอบครัว ทุกข์ แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ เมื่อคิดได้ดังนี้เธอจึงอดทนสู้ต่อไป

จนกระทั่งวันหนึ่ง เหมือน สวรรค์เมตตาให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง ได้ย้ายมาอยู่ที่ จ.อุบลราชธานี มาอยู่ที่นี้ค้าขายเสื้อผ้า บ้านก็ผ่อนกับธนาคาร การดำเนินชีวิตรวมถึงความเป็นอยู่เริ่มดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่ากรรมยังมีอยู่มากเหลือเกิน บันดาต้องต่อสู้กับน้องชาย ซึ่งคอยสร้างแต่ปัญหาให้ตลอด ชีวิตครอบครัวเธอตอนนั้นไม่มีความสุขเลย เงินทองหาได้มาเท่าไรก็ไม่พอให้น้องชาย ยามไม่พอใจก็ทำลายมันหมดซะทุกอย่าง แล้วยังต้องมาคอย ระวังกับพี่ชายคนโต ซึ่งแกรับกับสภาพที่บ้านไม่ค่อยได้ คอยแต่จะหาเรื่องอยู่เรื่อย อีกทั้งแม่ซึ่งอ่อนแอและไม่ค่อยแข็งแรง เมื่อมาเจอกับปัญหาแบบนี้ จึงทรุด ในตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหายังไง ได้แต่ไหว้พระ ขอให้ท่านได้โปรดเมตตาด้วยเถิด ชีวิตของลูก ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยสร้างบาป ไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำแต่บุญกุศล เป็นลูกที่ดีของพ่อ-แม่ มาโดยตลอด แต่ทำไมชีวิตเราถึงเหมือนคนตกอยู่ในนรก มันไม่มีความสบายใจเลย จะกินจะนอน มันไม่มีความสุขใจเลย แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ อดทน สู้ทน มาโดยตลอด เพราะหวังว่าสักวันชีวิตคงเปลี่ยน แปลง ขอเพียงเราทำวันนี้ ให้ดีที่สุดอนาคตจะเป็นเช่นไรช่างมัน

เธอจึงเริ่มต้น ยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่คิดโทษใครอีกต่อไป และพยายามทำทุกอย่างเพื่อชดใช้หนี้กรรม เธอยอมทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิต เพื่อน้องชายเธอ เธอยอมทนทุกข์ ยอมเหนื่อยยากทุกอย่าง พยายามเป็นกำลังใจให้เพื่อให้เขาเข้มแข็ง และสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

วันนี้เธอทำได้แล้ว ครอบครัว เธอมีบ้านเป็นของตัวเอง น้องชายก็มีครอบครัวแล้ว ชีวิตเขาดีขึ้นมาก จะมีบ้างก็เรื่องของการควบคุมอารมณ์ ซึ่งบันดาเองก็คอยช่วยเหลือชี้แนะให้คำปรึกษา จนกว่าเขาจะไม่ต้องการ ส่วนพี่น้องคนอื่นๆ ต่างก็มีครอบครัวกันบ้างแล้ว ที่ยังไม่มีครอบครัว ก็อยู่กับบันดาอยู่กับแม่ ส่วนพี่ชายคนโตก็จิตใจดีขึ้น คุณแม่ก็สุขภาพดีขึ้น ซึ่งเธอก็ได้แต่หวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดียิ่งๆ ขึ้น ตลอดไป เธอรู้สึกภูมิใจ เหลือเกิน ที่ชีวิตนี้เกิดมาคุ้มค่า เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ชีวิตเธอล้วนแต่ต้องทำทุกอย่างเพื่อผู้อื่นมาโดยตลอด เธอไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตเธอต้องการอะไร เธอรู้แต่ว่าผู้อื่นต้องการอะไร ทุกวันนี้เธอมีความสุขใจที่ได้ดูแลใกล้ชิดแม่ ไม่ว่ายามท่านสุขหรือทุกข์หรือป่วย เธอจะเป็นลูกคนแรก ที่ได้อยู่ดูแล ท่านตลอดเวลา เหุตการณ์ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเธอ ทำให้เธอเข้มแข็งขึ้น ปัญหาและความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเธอทำให้เธอเกิดปัญญา เธอได้รู้แล้วว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อชดใช้หนี้กรรม ไม่มีใครหนีพ้นไปได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราต้องยอมรับ และยินดีชดใช้ อย่าหนี ไม่ใช่ทางแก้ที่ถูกต้อง ขอเพียงเราน้อมรับกรรมเก่า เร่งสร้างกรรมใหม่ เพื่อชดใช้กรรมเก่าและเก็บกรรมใหม่ที่เหลือ ไว้ต่อไปในชาติหน้า เพราะกว่าที่เราจะได้เกิดมา เป็นคนนั้นแสนยาก เมื่อเราได้กายสังขารนี้มาแล้ว เราต้องใช้กายสังขารนี้ให้คุ้มค่า เร่งสร้างบุญสร้างกุศล ทำแต่คุณงามความดี สร้างแต่ความดี เพราะความไม่แน่นอนคือความแน่นอน ไม่รู้ว่าเราจะได้อยู่ถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่ เพราะฉะนั้นอย่ารอเวลาอีกเลย ชีวิตนี้สั้นนัก อะไรทำได้รีบทำ เพราะชีวิตคือการให้ คือการกระทำ คือการสร้างสรร แต่สิ่งที่ดีที่มีประโยชน์

บันดาเธอตั้งใจเอาไว้ว่า เธอจะใช้กายสังขารของเธอที่มีอยู่นี้ ให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นให้มากที่สุด และจะเร่งสร้างบุญสร้างกุศล ทำแต่คุณงามความดี แม้ว่ามันจะมีปัญหา และอุปสรรคอะไรมาขวางกั้น เธอก็จะอดทน เข้มแข็ง และจะไม่ยอมแพ้มันเป็นอันขาด จนกว่าเธอจะหมดลมหายใจ

(หนังสือ ดอกหญ้า อันดับที่ ๙๔ หน้า ๓๓-๓๗)