ธรรมชาติอโศกในอินเดีย (ตอน ๒)
มนต์อินเดีย

อินเดียคืออู่อารยธรรมต้นกำเนิดก่อนประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ที่ได้รับการสืบต่อกันมา โดยไม่ขาดสาย ซึ่งได้อุบัติขึ้น สู่ยุควิวัฒนาการเก่า พร้อมๆ กันกับอัฟริกา กรีกและจีน

สายพันธุ์วัฒนธรรมเก่าแก่ที่สืบทอดมายาวนาน นับหลายๆ พันปีนี้ ได้กระจายออกไปสู่ส่วนต่างๆของโลก แม้แต่อินเดีย ที่ได้ชื่อว่า มีอารยธรรม เก่าแก่และ ยิ่งใหญ่สุดๆ แล้วในยุคนั้นก็ตาม ก็ยังรับเอาอิทธิพล วัฒนธรรม จากอัฟริกา และกรีก เข้ามาอย่างไม่อาจ ปฏิเสธได้

โดยเฉพาะการรับเอาสายเลือด สายพันธุ์อัฟริกานั้น ถึงกับทำให้คนเอเซียอินเดีย มีอันต้องเปลี่ยนแปลง โครงสร้าง ทางรูปกาย กันใหม่หมด แม้กระทั่งผิวสี จนแทบจะไม่หลงเหลือร่องรอยผิวพรรณเอเซียเอาไว้เลย จนกลายเป็น แขกดำ แต่ก็ไม่ถึงกับดำมืดเป็นนิโกร ถึงดั้งจมูก จะทรุดลงบ้าง แต่เรือนร่างกลับสูงใหญ่ ทูนหม้อทูนไห อยู่บนหัว เดินตัวตั้งตรง เหมือนๆ กันกับชนชาวพื้นเมืองอัฟริกานั่นเอง

อินเดียได้รับเอากระแสวัฒนธรรมความเชื่อ ในสิ่งลึกลับมืดดำรอบๆ กาย นั่นคือ ความเชื่อเรื่อง ภูติผีปีศาจ มาผนึก จนเป็นผลึกฝังหัว กระจัดกระจาย กลายเป็นรูปแบบ ของความเชื่อมั่น และศรัทธา ตลอดไป จนเครื่องนุ่งห่ม สิ่งเจาะร้อย ประดับกาย แม้การวาดสีบนเรือนกาย กระทั่งถึง ส่วนที่เป็นที่อยู่อาศัย จะโดยตรงหรือโดยอ้อม ก็ล้วนแลดูรู้สึก และ สัมผัสได้ ในความดิบของกลิ่นไอ อู่อารยธรรมอัฟริกาเดิมโดยแท้


จนกระทั่งชนชาติกรีก ได้นำเอาเชื้อสายวัฒนธรรมใหม่ อันอลังการในการเคารพนับถือ เทวรูปบูชา แพร่กระจายเข้ามา ทางตอนเหนือ ของอุตระประเทศ จนก่อเกิดเป็นพระอินทร์ พระพรหม ฯลฯ ในจินตนาการใหม่ แตกเผ่าเหล่ากอ สืบพงศาวดาร กระจัดกระจายกันออกมา จนกลายเป็น ลัทธิศาสนาเทวนิยม ให้เคารพบูชา ที่มีความเป็นอินเดีย ได้อย่างเหลือเชื่อ

การที่อินเดียต้องมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ และวัฒนธรรมใหม่ ในหนนี้ ได้ก่อให้เกิด พัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่อินเดียเคยมีมา นั่นคือ วงศ์สังคม ตระกูลใหม่ ที่เรียกว่าอาริยกะซึ่งตรงกันข้ามกับพวกชนพื้นเมืองเก่า มิลักขะ เช่นเดียวกับ ที่คนจีนอพยพ เข้ามาเมืองไทย สมัยครั้งกระโน้น แล้วเรียกคนพื้นเมืองไทยเดิม ว่าพวก ฮวงนั้ง ที่แปลว่า พวกคนป่าเถื่อน อะไรทำนองนั้น นั่นแหละครับ

ความศิวิไลซ์สมัยสุดจากสายพันธุ์กรีกในยุคนั้น ยังได้ทำให้รูปร่างหน้าตา และผิวพรรณ ของผู้คนบางส่วน ต้องมีอันถึงวาระ การเปลี่ยนแปลงใหม่ กันอีกครั้ง จนเกิดเป็น เหลืองเอเซีย + ดำอัฟริกา + ขาวเข้มกรีก ให้กลายมาเป็น ลูกครึ่ง ผิวสีทอง ผ่องพรรณ อันน่าพิศวง จมูกก็โด่งคมสัน ดวงตา ก็กลมโต เป็นประกาย จนมีลักษณะเด่น เป็นคนรุ่นใหม่ ที่ผิดแปลกไป จากคนอินเดีย เอเซียเดิมโดยสิ้นเชิง ทั้งยังมีความอดทน ในจิตใจ ที่ฝังรากลึก อย่างอัฟริกา

จมูกโด่ง หน้าผากกว้าง หัวโหนก ท้ายทอย สมส่วน จนดูเด่นเป็น เพลโต สายเลือดนักปราชญ์ ประชาธิปไตย ผู้ยิ่งใหญ่ชาวกรีก หรือจะเป็น เพราะเหตุนี้ ที่ทำให้อินเดีย ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรม ทางสมอ งตามกันมา ในหมู่คุรุ จนเป็นเหตุให้เกิด นักปราชญ์ราชครู ขึ้นมาอย่างมากมาย ในยุคนั้น

กระทั่งถึงยุค สุโต พระเจ้าสุทโธทนะ ผู้สืบเชื้อสายอริยกะวงศ์ พระราชบิดา ของเจ้าชายสิทธัตถะ ปราชญ์เอก และศาสดาเอก ผู้ให้กำเนิด ศาสนาพุทธอันยิ่งใหญ่ ของอินเดีย และของโลก ในกาลต่อมา

อารยธรรมดิบจากอัฟริกา ที่ทำให้เชื่อในความเร้นลับ และความมืดดำ แห่งภูติผีปีศาจ บนโลกมนุษย์นี้ ผสมผสาน กับความเชื่อแบบกรีก ในเทวรูป จากสวรรค์ อันไร้ขอบเขตนอกโลก ผนวกเข้ากับความเชื่อตาม ภูมิปัญญาชาวบ้าน อันล้ำลึกแบบเอเซีย ก็ได้ถูก หล่อหลอม ด้วยสัดส่วน ผุดก่อ ให้เกิดพุทธที่สอนให้เชื่อในกรรมได้ ในเวลาต่อมานั้น เป็นสิ่งล้ำยุคสมัย แปลกใหม่ ที่ผิดไปจากวัฒนธรรม ความเชื่อเดิม จนหมดสิ้น


ก็เพราะเหตุอย่างนี้อย่างนี้ จึงทำให้อินเดีย มีความแข็งแกร่ง และเหนียวแน่นที่สุด จนกลายเป็น มรดกสมบัติโลก ทางวัฒนธรรม อันล้ำค่า

แม้แต่ยุคสมัยพระเจ้าอัคบาร์มหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ของพวกมุสลิม ที่ได้กรีฑาทัพมายึดครอง ประเทศอินเดีย นับเป็นพันๆ ปี จนเปลี่ยนชื่อ อุตระประเทศเดิม มาเป็น ประเทศอินเดียเสียใหม่ และเปลี่ยนชื่อเมืองต่างๆ จนเกือบ หมดสิ้น สำเร็จได้นั้นก็ยังไม่อาจเปลี่ยน ความเป็นอินเดีย อันเป็นผลึกมรดก ทางวัฒนธรรมนี้ได้เลย เช่นเดียวกัน กับอังกฤษ ที่เข้ามายึดครอง อินเดียเกือบ ๓๐๐ ปี ในเวลาต่อมา แต่เมื่อถึงเวลา อังกฤษกลับออกไป อินเดียก็ยัง เป็นอินเดีย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงต่อติดวัฒนธรรมที่ขาดหายไป ในช่วงที่ถูกยึดครองนั้น ได้สนิทเนียน จนเหมือนเดิม

อู่อารยธรรมจีนผู้อยู่ร่วมทวีปเอเซียมาด้วยกัน ก็ยังมิอาจซึมแทรก ความอิ่มตัว ทางวัฒนธรรม ของอินเดียได้ ถึงแม้จะมีชาวจีน อาศัยอยู่ ในแผ่นดิน อินเดีย ในปัจจุบันบ้าง แต่ก็น้อยนิดเหลือเกิน และก็เหมือนกับ ถูกคุมกำเนิด ถูกล้อมกรอบ ให้แคระแกร็น ทางวัฒนธรรม จนไม่อาจ กระจายความเป็นจีน ออกสู่อินเดีย ชนชาวภารตะ ในลุ่มแม่น้ำคงคา อันศักดิ์สิทธิ์นี้ เหมือนกับที่จีน เคยทำสำเร็จมาแล้ว ในภูมิภาค ประเทศต่างๆในโลกนี้ได้เลย

ประเทศอินเดียนั้นกว้างใหญ่ไพศาลนัก ประกอบด้วย ๒๕ รัฐ ๗ สหภาพ ที่มีครบพร้อม ทั้งสามฤดูกาล มีทั้งเศรษฐี และขอทาน ที่อยู่กันได้ อย่างอบอุ่น มีเนื้อที่ถึง ๓ ล้านกว่าตารางกิโลเมตร ที่เต็มไปด้วย ทุ่งข้าวสาลี ถั่ว มัสตาด และพืชพันธุ์ ทางการเกษตร อีกมากมายก่ายกอง เขียวขจี สุดลูกหู ลูกตา จนแทบจะไม่มีที่ว่าง ในแทบทุกฤดูกาล ทิศตะวันออก จรดอ่าวเบงกอล ที่มีชายแดน ติดกับประเทศพม่า หรือ เมียนม่า ในปัจจุบัน ทิศตะวันตก จรดทะเล อารเบียน ทิศเหนือ จรดประเทศเนปาล ติดเทือกเขาหิมาลัยสูงที่สุด ที่ได้ชื่อว่า เป็นหลังคาโลก ทิศใต้ จรดประเทศ ศรีลังกา เกาะหนึ่ง ในมหาสมุทรอินเดีย

อินเดียมีประชากรพันกว่าล้าน เป็นอันดับสองรองจากจีน ทั้งยังมีทีท่าว่า จะพุ่งขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง ในเร็ววัน เพราะอินเดีย เป็นประเทศ เสรีประชาธิปไตย มาตั้งแต่เกิด คือ ไม่มีการคุมกำเนิด ประชากรนั่นเอง ทั้งยังมีการปกครอง ด้วยระบบศาสนา นำสังคม โดยมีวัฒนธรรม ประเพณี ตลอดถึงการแบ่งชั้นวรรณะ และกฎหมาย คอยควบคุม อยู่รอบนอกๆ เท่านั้น มีภาษาพูดถึง พันหกร้อยกว่าภาษา โดยใช้ภาษาฮินดี ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่น ของอินเดียบ้าง เป็นภาษาราชการ

ชาวอินเดียเป็นนักมังสวิรัติถึง ๙๐% กว่า ๘๐% เป็นฮินดู นอกนั้นเป็นอิสลาม และคริสต์บ้าง ส่วนพุทธ กลับถูกรวม เข้าไปไว้ ในกลุ่มฮินดู ทั้งยังถูก กล่าวขานกันว่า อินเดียเป็นประเทศ ผลิตลัทธิศาสนา และวัฒนธรรม ประเพณี เป็นสินค้าออก ที่สำคัญที่สุดของโลก

ครับ...มาถึงตอนนี้ ก็พอจะโล่งอกโล่งใจได้บ้าง ที่พอจะมองเห็นอินเดียได้ ในบางส่วน สำหรับผู้ที่ไม่เคยไป และสำหรับผู้ที่ไม่เคยคิด ถึงส่วนนี้มาก่อน ผมจึงใคร่ขอจบ ตอนที่ ๒ นี้ลงด้วย มนต์อินเดียซึ่งได้เขียน ขณะนั่งรถ รอนแรม ท่องไปในแดนดิน ถิ่นพระเจ้าเมืองภารตะ อันน่าระทึกใจ และมหัศจรรย์ ในช่วงแรกๆ ดังนี้ครับ

มนต์อินเดีย

มองสองฟากฝั่งทางข้างซ้ายขวา ล้วนฝักหญ้านิเวศวิเศษสถาน
มีม้าลาวัวควายไว้ทำงาน แปลงไถหว่านเพาะปลูกสุดลูกตา

บ้านเรือนไร้ระเบียบแต่เรียบง่าย อยู่กับดินกินกับทรายอย่างรู้ค่า
ใช้ขี้วัวขี้ควายสร้างไร่นา สร้างตำนานกาลเวลาชาติอินเดีย

สร้างสังคมอุดมการณ์ชาญฉลาด ธรรมชาติสมบูรณ์ไม่สูญเสีย
มีพออยู่พอเพียงเลี้ยงลูกเมีย คนอินเดียเป็นผู้รู้บาปกรรม

เมืองอินเดียกว้างใหญ่สุดไพศาล พันกว่าล้านประชาชนคลาคล่ำ
มีคนสัตว์วัฒนาวัฒนธรรม สืบวาศอกตอกย้ำจิตวิญญาณ

คนขยันกล้าจนทนเสียดสี มีลัทธิพิธีประจำบ้าน
มีสิทธิเสรีมีขอทาน มีสวรรค์วิมานให้ผู้คน

ใช้วัวควายไร่นารักษานิเวศ สร้างเกษตรธรรมชาติประหลาดล้น
สุดลูกหูลูกตาผักปะปน สะกดมนต์ผู้รู้ผู้มาเยือน.

(หนังสือ ดอกหญ้า อันดับที่ ๙๕ หน้า ๘๖-๙๒)


สังคมไทย

สังคมไทย ในชาติ ประหลาดนัก
มีการลัก ขโมยของ ทองทรัพย์สิน
ทั้งฆ่ากัน ฟันล้าง กลางแผ่นดิน
ไทยทั่วถิ่น ขื่นขม ตรมชีวัน

ถ้าคนไทย ยังเป็น เช่นที่กล่าว
จะปวดร้าว ทุกอย่าง ไม่สร้างสรรค์
เห็นแก่ตัว ชั่วช้า อย่าทำกัน
เราช่วยปัน ความสุข ทุกคนเอย

ด.ช.วงศกร ตั้งทรงจิตร

(จากหนังสือดอกหญ้า อันดับที่ ๙๕ หน้า ๙๗)