สำคัญที่วันนี้

ผู้ตายไม่อาจฟังวาจา หากจะบำเพ็ญเมตตา ต้องขณะชีวิตยังมีอยู่ สุขภาพยังดีอยู่ สัมพันธภาพยังดีอยู่ หากรอ จนห่างเหินไป ป่วยเจ็บไป หรือตายไป แม้เต็มใจจะช่วย บรรยากาศแวดล้อม ไม่อำนวยแล้ว ผลไม่สูงแล้ว ฉะนั้น เมื่อเห็นควรเมตตา อย่าได้ปล่อยเวลา ล่วงเลยไป พึงใส่ใจ และทำจริง... ในปัจจุบัน

บ่อยครั้งชีวิตมีเรื่องเสียใจ เพราะเรื่องควรลงมือทำ กลับไม่ทำ ถ้อยคำควรเอ่ยออก กลับอ้ำอึ้ง กระทั่งวัน พลัดพราก จากกันนิรันดรมาถึง เราจะเสียใจอย่างนี้ อีกกี่ครั้ง? หากที่ผ่านมา เป็นผิดพลาด ครั้งสุดท้าย จะดีไหม?

เรารู้กันอยู่... ผลดีมีไม่มากนักหรอกที่เราไปแสดงอาลัยต่อผู้ล่วงลับ หรือซื้อของกินของใช้ไปให้คนป่วย แม้การคิดถึง และอยากทำดีด้วย กับคนที่ห่างเหินกันไป โดยที่ใครคนนั้น ขณะยังมีชีวิตอยู่ เรามิได้ขวนขวาย แสดงความรัก มอบความปรารถนาดี ใครคนนั้น สุขภาพยังดีอยู่ เรามิได้เอ็นดู เอื้อเฟื้อแบ่งปัน ใครคนนั้น ชิดใกล้กัน แต่เรามิได้ เมตตาอาทร...

ดังกล่าวคงไม่ปวดใจกระไรนักหากเป็นคนอื่นคนไกล แต่หากติดเป็นจริตนิสัยกระทั่งกระทำกับคนใกล้ตัว กระทำกับ ผู้มีพระคุณเช่นกล่าว... เรามิเป็นจอมอกตัญญู ผู้มากมายา ไปแล้วหรือ? เรายังจะให้อภัยตนเอง ได้ง่ายอยู่หรือ? และแน่นอน สำหรับผู้ยังเป็นมนุษย์อยู่ น้ำหนักความปวดใจ ต้องไม่ธรรมดา

จริง...การเมตตาอาทร การเอื้อเฟื้อแบ่งปัน หรือแสดงความรัก มอบความปรารถนาดีต่อกัน ต้องอาศัยใจอุทิศ ต้องยอมสละเวลา ไปลงมือทำ หรือเอ่ยคำ แต่เหล่านี้ ไม่ใช่ความสูญเสีย เหล่านี้คือการได้ ได้สะสมบารมี ได้ฝึกตน เป็นคนดี ได้กตัญญู-กตเวที ซึ่งเพียงได้ประมาณนี้ แม้ต้องเสียสิ่งใด เพื่อไปกระทำ นับว่าเปี่ยมค่า เกินคุ้มแล้ว...

อยากบอก... วัตถุสิ่งของเงินทองใดๆในโลก ล้วนไม่ติดตามเราไป ซ้ำจะมีมาใหม่ ให้เราหลงใหล แสวงหาอยู่เสมอ และเหล่านั้น มิใช่ที่พึ่งยืนยง แต่กุศลกรรมที่ทำไว้ ดีแล้ว ย่อมเป็นทรัพย์แท้ จริตนิสัย ที่อบรมไว้ดีแล้ว ย่อมติดตามตน ซึ่งทั้งสอง จะเป็นที่พึ่งอาศัย อันวิเศษ ในกาลสืบไป

เวลาเช่นกัน...ตราบใดยังยึดว่าเป็นของตน ความรู้สึกสูญเสียก็มีอยู่ ทั้งที่โดยจริงหากไร้ชีวิตตนซึ่งบิดามารดาให้มา เวลาของตนยังจะมีจากที่ไหน ใช่หรือไม่...เวลาของเราแท้แล้วคือเวลาของบิดามารดา ท่านสละเวลาของท่านออกมา จึงมีเวลาของเราในวันนี้ โดยจริง...หากเวลาที่มี มีไว้เพื่อแทนคุณ และทำประโยชน์กับทุกผู้คน ไม่หมายใจ ใช้เวลาบำเรอตน โดยกรณีใดๆ ความรู้สึกเสียเวลา ไม่เกิดแล้ว แม้ในความหนักเหนื่อยเช่นกัน... เรารู้กันอยู่

เหนื่อยเดี๋ยวก็หายเหนื่อย ล้าเดี๋ยวก็หายล้า
แต่โอกาสบำเพ็ญเมตตา หากล่วงเลยแล้วไม่หวนกลับ
ฉะนั้นทำได้พึงทำ ทนได้พึงทน
และจะได้รู้ชัด...จริงหรือไม่ ยิ่งให้ไปยิ่งได้มา
แต่ที่ได้มาแน่นอนแล้วคือหัวใจที่เมตตา กรรมกิริยาที่ดีงาม ความอดทนที่สูงขึ้น

มนุษย์เรานั้นโอกาสอยู่ร่วมกันมีไม่มากนัก ยิ่งกับผู้มีพระคุณ ซึ่งสูงวัยกว่าตน วาระจากไป เพื่อเกิดใหม่ ของท่าน ดูเหมือนจะอยู่ช่วงต้น หากท่านต้องจากไป วันนี้พรุ่งนี้ โดยที่เรายังไม่ได้ สะสางบัญชี หนี้น้ำใจ หนี้เมตตาอาทร ที่ท่านให้เรามา... เรามิรู้สึกติดค้างท่าน ไปทั้งชีวิตหรือ? ความรู้สึกของคนเป็นหนี้ เป็นเช่นไร เหล่ามนุษย์ รู้กันอยู่ แม้พระบรมศาสดายังกล่าว การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก และโดยจริง มิแน่นักว่า ท่านจะจาก เราไปก่อน อาจเป็นเรา ต้องจากท่านไป วันนี้พรุ่งนี้...เป็นได้

ฉะนั้นจะดีอะไร หากรอตลาดวาย ค่อยออกซื้อขายสินค้า จะดีอะไร หากรอคนตาย ค่อยขวนขวาย แสดงความรัก มอบความกตัญญูออกมา... รู้มิใช่หรือ... การเหลวไหล ไร้สำนึก กระทั่งจอมมายา ผู้เศร้าใสเด๋อไร้เดียงสา กลายเป็น ตำแหน่งแห่งตน... เป็นปรากฏการณ์ ประจานตัว ที่น่าเศร้า ฉะนั้นเพื่ออยู่ดีมีสุขแก่ตน เพื่อส่งผล เป็นความรู้สึกดีๆ แก่ผู้มีคุณ และทุกผู้ที่อยู่ร่วม พึงรู้เถอะ...สำคัญที่วันนี้

วันนี้เรามี เมตตากายกรรม กับเพื่อนมนุษย์และผู้มีพระคุณแล้วหรือยัง
วันนี้เรามี เมตตาวจีกรรม กับเพื่อนมนุษย์และผู้มีพระคุณแล้วหรือยัง
วันนี้เรามี เมตตามโนกรรม กับเพื่อนมนุษย์และผู้มีพระคุณแล้วหรือยัง

หากยัง ฟังสิ พระศาสดาท่านกล่าว ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี หากเราไม่มีเครื่องหมาย ของคนดี เราเป็นคน ประเภทใด? ควรเข้าใจด้วยว่า... ไมตรี เมตตา ไม่ใช่เรื่องของหน้าที่ ซึ่งฐานะไหน ต้องทำกับฐานะไหน แต่เป็นเรื่องของใจ ปรารถนาดี ใจมีสำนึก อยากให้ทุกผู้ที่อยู่ร่วม เกิดความรู้สึกดีๆ มีสุขตลอดปีตลอดไป

แน่นอน แล้วสุขเหล่านั้นจะย้อนมา ไม่เชื่อ...ลองดู

" วันคืนล่วงไปล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่ " ปุจฉาวาทะพระพุทธองค์ยังคงขลังเสมอสำหรับใจใฝ่ดี

ปรารถนาดีจาก ส.ร้อยดาว ๑/๑/๔๕

(ดอกหญ้า อันดับที่ ๙๙ มกราคม -กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕)