ฝุ่นฟ้าฝากฝัน ฟอด เทพสุรินทร์

แม่พิมพ์ ของลูก

 

 

หนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร ฉบับที่ 129

เดือน เมษายน 2544


 

"ปัง ปัง ปัง" เสียง ปืนดังแทรกขึ้นในยามรุ่งอรุณ "แปลกจริงนะ ถ้าหากชาวบ้านพราน ล่าสัตว์ยิงนกหนูกัน ก็จะยิงทีละนัด ยิงเป็นช่วงๆ เขายิงอะไรกันนะ หรือว่ายิงคน ประเสริฐ เปรยด้วยความสงสัย ถ้าเขายิงคน เดี๋ยวคงรู้กัน" เครือวัลย์พูดเสริมขึ้น แล้วยกเอาชามข้าวเหนียว ที่แช่น้ำเอาไว้ทั้งคืน เข้าไปในเรือนครัว และเตรียมนึ่ง

"น้าสมถูกลอบยิงตอนใกล้สว่าง..." เสียงจากกลุ่มชาวบ้านสามสี่คน ที่เดินถนนหน้าบ้านไปตลาดเช้า

ประเสริฐหอบไม้ฟืนสี่ห้าดุ้น ขึ้นไปส่งในเรือนครัวที่ยกพื้นไล่เลี่ยกับพื้นบ้าน "น้าสมถูกยิงตายใช่ไหมพี่" เครือวัลย์ซัก "ใช่ วันนี้ พี่ต้องงดไปสวนสักวัน จะไปช่วยทำหีบศพช่วยงานเขา" (ปกติของสังคมชาวบ้าน ต่างไปร่วมงานศพกันเลย ไม่ต้องมีบัตรเชิญกัน)

เจ้าจุกตื่นนอนเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว ก็เข้าครัวช่วยแม่เช่นทุกวัน พอรู้ข่าวว่า น้าสมถูกยิงตาย ก็ไม่วายสงสัย "ทำไมเขาจึงต้องมายิงน้าสมตายล่ะครับแม่" "แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าน้าสมไปทำเรื่องไม่ดีอะไรเอาไว้ คนเราจะถึงกับฆ่ากัน มันต้องมีเรื่อง ขัดแย้งกันรุนแรง หรือทำผิดหนักหนา สาหัสสากรรจ์จริงๆ" เครือวัลย์ แจกแจงให้ลูกฟัง "ที่ว่าทำผิดหนักหนาน่ะเป็นยังไงครับแม่" เจ้าจุกยังข้องใจ เครือวัลย์เอาไม้ฟืนสุมไฟ ใต้เหล็กวงกลมสามขา ที่ตั้งหม้อนึ่งข้าวหรือหม้อแกง ที่มีชื่อว่าเคียง อยู่กลางหน้าดินที่อัดไว้ในกรอบไม้ สี่เหลี่ยมหนาสามสี่นิ้ว กว้างยาวหนึ่งเมตร เป็นกระบะ ก่อไฟแบบชาวบ้าน ในเรือนครัวใต้ถุนสูง นึกถึงเรื่องราวในอดีตขึ้น จึงยกมาแจงเสริม เพื่อลูกจะได้เข้าใจดีขึ้น

"แม่จะเล่าให้เจ้าฟัง ครั้งแม่ยังเป็นวัยสาวรุ่น เมื่อยี่สิบปีก่อนโน้น ที่บ้านตายาย ในคืนวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แสงเดือนเต็มดวงแสงเจิดจ้า ราวทุ่มกว่าๆ แม่ออกจากห้องน้ำ ก็ได้เห็นกลุ่มผู้ชายห้าคน เดินผ่านหน้าบ้านไป จึงรีบหลบอยู่ใต้ต้นมะม่วงใหญ่ข้างบ้าน ด้วยความกลัว ชายแปลกหน้าเหล่านั้นมุ่งไปที่บ้านน้าเวียงที่ปลูก แบบง่ายๆ ยกพื้นสูง มุงหลังคาด้วยหญ้าแฝก ฝาแนบด้วยใบตอง ห่างจากบ้านของตายาย แค่ห้าสิบกว่าเมตร แม่จึงมองเห็นได้ชัดดี น้าเวียง กำลังนั่งกินข้าว อยู่กับลูกน้อยวัยขวบกว่า มีแสงตะเกียงวับๆแวมๆ ตามแรงลมพัด พอไปถึง ก็ขึ้นไปหาน้าเวียง บอกว่า ช่วยพาพวกเราไปหากำนันหน่อย สองคนตรงเข้าฉุดน้าเวียง ลงมาจากบ้านทันที น้าเวียงรีบโผเข้ากอดต้นมะพร้าวข้างบ้าน เอาไว้แน่นด้วยความกลัว ร้องสุดเสียงว่า "ไม่ไปๆ นายจะเอาไปฆ่า" ทันใดพานท้ายปืนยาว ก็กระแทกลงไปที่แขนของน้าเวียง อัดกับต้นมะพร้าว จนหักร่องแร่ง เสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ผสมไปกับเสียงร้องวอนขอชีวิต ไม่ขาดปาก แต่พวกนั้น ไม่ฟังเสียง กระชากน้าเวียงออกไปต่อหน้าลูกเมีย ที่ตกตะลึงตัวสั่นงันงก คุมตัวออกไปทุ่งนา ไม่นานเสียงปืนก็ดังขึ้นถี่ยิบ น้าเวียงถูกยิง จนร่างพรุนตายอยู่กลางทุ่งนั่นเอง

" แม่รับรู้เรื่องราวของน้าเวียงมามากเพราะอยู่หมู่บ้านเดียวกัน น้าเวียงทำนาเป็นหลัก แต่ชอบลักเล็กขโมยน้อย แถมยังเป็นสายให้พวกโจรต่างถิ่นเข้ามาปล้นพวกบ้านเดียวกันอยู่เสมอ น้าเวียงนั้นเรื่องขโมย ชำนาญมาก ในฤดูฝนก็มักจะไปขโมยปูปลาของชาวบ้าน ที่เขาวางลอบไซข่ายดักไว้ ตามห้วยหนองคลองบึง ในช่วงหน้าแล้ง ก็มักจะไปดักตีลูกแหง่ ที่วิ่งตามแม่ไป และเล็มหญ้าใกล้ชายทุ่ง แล้วแบกไปซ่อนไว้ในป่า พอมืดค่ำปลอดคน ก็เอามาชำแหละต้มยำทำกิน และตากแห้งไว้กินไปได้หลายวัน หากชาวบ้านถามว่าเนื้ออะไร ก็จะบอกว่าเนื้อหมูป่า หรือกระต่ายป่าที่ล่ามาได้ แต่ส่วนใหญ่น้าเวียง ก็มักจะไปลักขโมย วัวควายต่างหมู่บ้าน ที่อยู่ห่างออกไป เจ้าของจะได้ไม่มาตามทวงคืน น้าเวียงถูกฆ่าตายมา ยี่สิบปีแล้ว จนถึงป่านนี้แม่ยังไม่รู้เลยว่าใคร จะตำรวจ หรือพวกเจ้าของทรัพย์สินที่ โกรธแค้นก็ไม่อาจรู้ได้"

เจ้าจุกเอามือโกยขี้เถ้าถ่านเตาไฟที่ตกค้าง มาหลายวัน ใส่ไว้ในครุถังเก่าที่รั่วใส่น้ำไม่ได้อีกแล้ว เพื่อจะเอาไปทำปุ๋ย กลบโคนต้นไม้ผล รอบๆ บ้าน และตั้งใจฟัง เรื่องที่แม่เล่าให้ฟังอย่างตื่นเต้น ผสมผสานไปด้วยสาระ ที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน

"ในยุคก่อนนั้นผู้ที่ถูกฆ่าตายตกไปตามกัน จะเป็นพวกที่ได้ก่อกรรมทำเข็ญร้ายแรงจนโด่งดังจริงๆ แต่ในยุคสมัยนี้ ตีรันฟันแทง ฆ่ากันง่ายและอำมหิตหนักขึ้น บางรายเพียงแค่ขับรถปาดหน้ากัน ก็ชักปืนออกมายิงกันอย่างบ้าคลั่ง บ้างใส่สร้อยทองแค่เพียงสลึงเดียว เดินไปในที่เปลี่ยว ก็ถูกพวกขี้ยา ฆ่าชิงทรัพย์อย่างง่ายดาย ยุคสมัยนี้ภัยถึงตายมาเยือนง่าย ไม่รู้ตัวมีหลายสาเหตุ ลูกแม่ต้องเรียนรู้อีกมาก เช่น ความตายที่ปนเปื้อนมากับอาหารสดแห้ง รวมทั้งผลไม้และพืชผัก เพราะพ่อค้าคนกลางไม่คิดถึงพิษภัยกัน เขาคิดแค่เพียงว่าผลิตผลที่นำออกมาขายนั้น ทำเช่นไร ถึงจะยืดอายุให้มีความสดใหม่ยาวนาน ไม่เน่าเสีย หวังแต่ผลกำไรเป็นเรื่องใหญ่ ไม่คิดสนใจชีวิตของผู้บริโภคเลย"

สื่อความตายที่มาจากมลภาวะอากาศเป็นพิษปกคลุม แต่ครอบครัวของเรา อยู่บ้านนอก อากาศจึงยังคงสดใสอยู่มาก

"และสื่อของความตายในยุคสมัยนี้ ที่น่ากลัวยิ่งกว่า คือคนส่วนใหญ่ไร้ศีลธรรม เพราะรู้สึกนึกคิด ไปในแนวเดียวกับน้าเวียง ที่ถูกฆ่าตายไปนั้น คือไม่กลัว ไม่รู้เรื่องของผลบาปกรรม ดีใจสมใจที่แย่งชิง คดโกง ขโมยของผู้อื่นมาได้ ความเลวร้าย แค่ของน้าเวียงเพียงคนเดียว ก็ยังทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน กันไปตั้งหลายสิบหมู่บ้าน แล้วถ้ามีคนคิดแบบน้าเวียงมากๆ พลังความเลวร้าย ก็ยิ่งแผ่ขยาย ทำร้ายคนดีๆ ให้ล้มหายตายไป ยิ่งคนดีมีจำนวนน้อยลงเท่าไร สังคมก็ยิ่งเดือดร้อนขึ้นเท่านั้น เราอยู่ในสังคมเช่นนี้ ก็จะพลอยเดือดร้อน ไปด้วย ครอบครัวเรา จึงพยายามละเว้น จากความชั่ว ทำแต่ความดี เพื่อความสงบสุข ของครอบครัว และสังคมไงล่ะลูก"

 

 

 
อ่านฉบับ 128   อ่านฉบับ 130

(เราคิดอะไร ฉบับ ๑๒๙ เม.ย. ๔๔ หน้า ๗๔ - ๗๕ )