เราคิดอะไร.

แว้งที่รัก
ตอน สามเฒ่า : กะลิงขายกาแฟ


เช้าตรู่วันนี้อากาศหนาวสดใส น้อยกับพี่แมะออกเดินเล่นตามหลังพ่อ จนถึงป่าสาคู ขากลับพ่อออกวิ่งช้าๆ เพื่อให้ได้แรง ลูกๆ วิ่งตาม สักครู่เดียว ก็รู้สึกหัวใจเต้นแรง หน้าแดงและเหงื่อซึม ตัวเบาสบายดีเหลือเกิน

แม่ชอบให้ลูกๆ ออกมาอาบน้ำค้างตอนเช้าและเดินเท้าเปล่าย่ำไปบนน้ำค้างยอดหญ้าอย่าง วันนี้ทุกวัน เพราะจะช่วยป้องกัน รักษา หวัดได้

น้อยหมุนตัวมองพื้นหญ้าบนถนน แมงมุม อะไรหนอมาชักใยตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้างเป็นผืนกลม เหมือนผ้าขาวใส ด้วยลูกปัดน้ำค้าง มันสวยเสียจน น้อยไม่อยากย่ำเท้า ไปถูกมันเข้า น้ำค้างยอดหญ้า มีอยู่ทั่วไป จนเท้าพี่แมะและน้อย เปียกชุ่มไปหมดแล้ว ไม่ต้องไป ทำลายผืนผ้า ที่แมลงทอ ประดับธรรมชาตินี้เลย พ่อบอกว่า เขาเรียกว่า ผีตากผ้าอ้อม* สายหน่อย มันก็จะระเหยไปหมด

"ผีมันคงเก็บไปห่มลูกของมัน ให้เย็นสบายนะพี่แมะ" น้อยว่า และพี่แมะก็ตอบอย่างทุกทีที่น้องคิดแปลกๆ ว่า "คิดอะไรก็ไม่รู้ ตัวเองน่ะ น้ำค้าง โดนแดดมันก๊อหายไปเท่านั้นเองแหละ"

น้อยมองเลยไปยังท้องนา ป่าสาคู ป่ายาง เธอเห็นหมอกสีขาวลอยต่ำเป็นทิวยาวเรี่ยยอดยางบัง เขาโต๊ะโมะ เขาสามสิบ และเขาข้าว
ที่โอบล้อม อยู่เกือบรอบ ทำให้อำเภอแว้ง ที่รักของเธอ งดงามเยือกเย็นอยู่ใน ไอหมอก เหมือนเมืองในฝัน มากกว่าที่จะมีอยู่จริงในโลก

แม่จัดหน้าร้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลงมายืนยิ้มรับพ่อและเด็กๆ อยู่หน้าบ้าน "ต้องมีอะไรดีแน่ๆ เลย" น้อยกระซิบกระซาบกับพี่แมะ

จริงๆ ด้วย แม่ยื่นเงินให้สองพี่น้อง บอกว่า "เมื่อคืนแม่นับเงินแล้ว เราขายยางที่ลูกๆช่วยกันสอยลงมา ได้กำไรมาก วันนี้จึงต้อง ฉลอง กันหน่อย เอ้า ลูกเดินต่อเข้าไปในอำเภอ ตอนนี้เลย ไปซื้ออะไรมากินกัน ก่อนไปโรงเรียน"

"อ้าว แม่ ทำไมคราวนี้พ่อไม่ทราบด้วยล่ะว่าเราได้กำไรเท่าไหร่ ได้เยอะเลยหรือ?" พ่อถาม

"ก็เมื่อคืนตอนฉันนั่งนับเงิน คุณพาเด็กๆ ไปฟังวิทยุไงคะ?" แม่ว่า

ใช่แล้ว เมื่อคืนนี้ผู้คนในอำเภอแว้งต่างเดินไปที่สนามฟุตบอล ด้านบ้านพักนายอำเภอกันเต็มไปหมด ทุกคนตั้งใจ ไปฟังของแปลก ที่จะส่งเสียง มาตามอากาศ เข้าสู่เส้นลวด แล้วก็เข้าเครื่อง ที่แขกบอกน้อยว่า ฝรั่งเรียก ราดิโอ

น้อยกับพ่อและพี่แมะนั่งคอยฟังวิทยุอยู่กลางสนามกับแขกที่สนิทสนมกัน เป็นเวลานาน จนเริ่มเบื่อ ก็พอดีมีเสียงดัง อิ๊ด_ อิ๊ด_ อ๊อด_ อ๊อด_ อู๊ด_ อู๊ดขึ้น ทุกคนลุกยืนด้วยความตื่นเต้น หวังจะได้ยินเสียงคนพูด ดังมาตามสายลวด แต่คอยตั้งนาน ก็ยัง อิ๊ด_อู๊ด อยู่อย่างนั้น นั่นเอง จนคนพากัน นั่งลงใหม่

สักครู่ใหญ่ต่อมา ก็เกิดมีเสียงคนดังอู้อี้ออกมา ฟังคล้ายกับว่า ที่นี่- สถานี-

คราวนี้คนยิ่งตื่นเต้นกว่าเดิมอีก เสียงแขกพูดกันลั่นว่า "บูญิงเดาะห์ๆๆ (ได้ยินแล้วๆๆ)"

แล้วทุกอย่างก็เงียบอีก ต่อด้วยเสียง อิ๊ด_อู๊ด ตามเดิม

จนผู้คนเริ่มทยอยกลับ ท่านนายอำเภอจึงออกมาบอกว่า ท่านจะให้ช่างมาปรับใหม่ วันพรุ่งนี้ คงจะได้ยินชัดเจนขึ้น

"แว้งของเราจะได้รับรู้เรื่องราวจากบางกอก เหมือนที่อื่นเขาเสียที" นายอำเภอว่า

นี่เป็นเรื่องวิเศษของอำเภอแว้งจริงๆ

แต่การที่แม่ให้พี่แมะถือเงินตั้งหลายบาทไปซื้อของกินในตลาดอย่างเช้าวันนี้ ก็เป็นเรื่องวิเศษเหมือนกัน เพราะนานๆ เด็กทั้งสอง จะได้ซื้อของ มารับประทานกัน ทางท่าฝั่งคลอง ไม่มีร้านขายของกินเลย แม้แต่ร้านเดียว เวลาจะรับประทาน ของแปลกๆ ต้องข้ามมา ฝั่งตลาด ซึ่งมีร้านค้า ร้านกาแฟ อยู่มากมาย ยิ่งตอนเช้าด้วยแล้ว ในตลาด จะมีแม่ค้า ขายขนม และ ของกินหลายเจ้า

"วันนี้ มีซาแร**ขายด้วยละ ของชอบน้อยนี่ จะซื้อไหม?" พี่แมะถาม น้อยเขย่งขึ้นมอง ซาแรในถาด ลังเลอยู่สักครู่ แล้วตอบว่า

"วันนี้น้อยจะกินของพิเศษ ไม่เอาซาแร พี่แมะล่ะ จะเอานาซิกราบู(ข้าวยำ)ไหม?" น้อยตอบและถามถึงของโปรด ของพี่สาวด้วย แต่ พี่แมะ กลับตอบ เหมือนกับน้อยว่า

"วันนี้พี่ก็อยากกินของพิเศษเหมือนกัน เราไปร้านแชอาลี (ตาอาลี) กันเหอะ"

ร้านกาแฟที่ขึ้นชื่อที่สุดในตัวอำเภอแว้ง มีอยู่สองร้าน คือ ร้านของโกฟุก ร้านหนึ่ง กับร้านของอาลีอีกร้านหนึ่ง

ร้านของโกฟุกอยู่ทางตลาดล่างใกล้สนามฟุตบอล โกฟุกเป็นคนจีน พ่อว่าร้านนี้ชงชาอร่อยกว่ากาแฟ มีขนมอะไรอย่างหนึ่ง คล้ายกับ ขนมฝรั่ง ขายด้วย เรียกว่าขนมเค้ก เขาวางไว้ในจานกลม มีฝาครอบเป็นแก้วใส เห็นเนื้อขนม ได้จากข้างนอก ดูฟูนุ่มน่ากิน ยังกับอะไรดี แต่น้อยกับพี่แมะ ได้เคยรับประทาน เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และนั่นก็นานมาแล้ว

พ่อจะมาที่ร้านโกฟุกตอนบ่าย เพื่อรับประทานน้ำชา และมาพบปะกับเพื่อนบ้าง เพราะร้านนี้ เป็นที่รวมของข้าราชการ อำเภอแว้ง เกือบทั้งหมด ตั้งแต่ นายอำเภอลงมา จนถึงเสมียน ร้านโกฟุกไม่มีลูกค้า ที่เป็นแขกเลย แขกที่แว้ง ไม่ค่อยกล้า พูดจาปราศรัย กับข้าราชการ พ่อว่าพวกเขากลัว เพราะเขาพูดภาษาไทยไม่ได้ อ่านหนังสือไทยไม่ออก แต่แม่ว่า พวกเขาอยู่ที่นั่น มาดั้งเดิม ข้าราชการ ต่างหาก ที่เพิ่งย้ายมา เพื่อปกครองเขา พูดภาษาของเขาก็ไม่ได้ ได้แต่ออกคำสั่ง ให้เขาทำตาม ถ้าไม่ทำตามก็ผิด ต้องรับโทษ การที่ต้อง พบกับ ข้าราชการ จึงเป็นสิ่งน่ากลัว ความผิดมากกว่า เพื่อทำอะไรให้ถูก

แขกจะไปนั่งดื่มน้ำชากาแฟกันที่อื่น โดยเฉพาะที่ร้านของอาลี

แชอาลีเป็นกะลิง คือไม่ใช่แขก อย่างที่เรียกกันที่แว้งว่า โอรังมลายู แล้วก็ไม่ใช่เทศ ที่รูปร่างสูงใหญ่ผิวขาว จมูกโด่งเป็นสัน ไว้หนวด เครารุงรัง กะลิง รูปร่างเล็ก แกร็น ผิวดำ พ่อว่าพวกเขา อาจจะอพยพมาจาก อินเดียตอนใต้ แต่มาอย่างไร เมื่อไร พ่อไม่ทราบ

แว้งที่รักของน้อยนี่เล็กนิดเดียว แต่เต็มไปด้วยผู้คน หลายเผ่าพันธุ์อยู่รวมกัน อย่างสงบสุข แบ่งกันด้วยภาษา เป็นสำคัญ ตามด้วยศาสนา ที่นับถือ การแต่งกาย แล้วก็อาชีพ คนไทยเป็นข้าราชการ พูดภาษาไทย นับถือศาสนาพุทธ คนจีนเป็นพ่อค้า พูดภาษาจีน นับถือ พุทธปนเจ้า กลุ่มใหญ่ที่สุดคือ แขก ที่รวมทั้งแขกมลายู แขกเทศ แขกกะลิง เป็นเกษตรกรสวนยาง ขายของ ในตลาด นับถือศาสนาอิสลาม

คิดดูเถิดว่า แว้งมีสีสัน และน่าอยู่แค่ไหน!!

ร้านกาแฟของอาลีอยู่ตรงมุมสี่แยกใหญ่ที่สุดในอำเภอ อีกสามมุม เป็นบ้านแขกมลาย ูติดกับมัสยิดมุมหนึ่ง เป็นห้องแถว บ้านพักตำรวจ ชั้นผู้น้อยมุมหนึ่ง อีกมุมหนึ่ง เป็นบ้านเพื่อนร่วมชั้นของน้อย ชื่อประพนธ์

เช้าๆ คนในอำเภอ จะได้กลิ่นกาแฟที่แชอาลีคั่วหอมอบอวล คั่วแล้วก็บดเองด้วย จึงเป็นกาแฟสดแท้ ต้นกาแฟปลูกกัน ในเขต อำเภอแว้ง นั่นแหละ ชาแว้งก็เคยมีชื่อเสียงนะ จะบอกให้ ปลูกกันเป็นสวน แถวหมู่บ้านหล่มลึก ที่แม่เคยไปหลงทาง เขาคั่วยอด ของมัน กันเอง เหมือนกัน

พ่อว่ากาแฟร้านอาลีรสดีมาก แต่ชานั้นสู้ชานอก ที่ร้านโกฟุกไม่ได้

หน้าร้านอาลียังมีของวิเศษยอดเยี่ยมขายทุกวัน ภรรยาของเขา ที่เป็นแขกมลายู เป็นคนทำขาย นั่นคือ นาซิดาแฆ คนมาคอยซื้อ กันกลุ้ม ใครมาช้าก็อด วันนี้พี่แมะกับน้อยมาแต่เช้ามืด ต้องได้รับประทานแน่

อีกด้านหนึ่งของหน้าร้าน แชอาลีให้ลูกน้องทอดโรตีขาย น้อยชอบดูเขาฟาดโรตีนัก แรกทีเดียว เขาหยิบแป้งหยุ่นๆมันๆ เป็นก้อนที่
แชอาลี หมักไว้ทั้งคืน มาวางเข้าตรงหน้า เอาส้นมือ กดให้แผ่กลมออกไป จากนั้นจึงหยิบแผ่นแป้ง ขึ้นมาฟาดเหวี่ยง ด้วยสองมือ ออกไป ครั้งแล้วครั้งเล่า จนแป้งแผ่กว้าง เป็นผืนกลมบางแจ๋วดีแล้ว จึงคีบขึ้นมาด้วยสองนิ้ว วนเป็นก้อน น้อยเห็นถุงอากาศ เหมือนลูกโป่งเล็ก อยู่ในแป้งนั้นด้วย ก่อนทอดลงบนกระทะแบน เขาจะกดแป้ง ที่ฟาดแล้วนั้น ให้เป็นวงกลม ได้ขนาดพอเหมาะ เสียก่อน ถ้าคนซื้อสั่งโรตีใส่ไข่ เขาจะเอาแป้งที่ฟาดเหวี่ยง จนบางนั้น มาวางอย่างบรรจง ลงบนกระทะทั้งแผ่น ต้องระวัง ไม่ให้ขาดได้ จากนั้นก็ตอก ไข่ไก่ลงไป เอามุมตะหลิว เขี่ยให้แตกกระจาย สักครู่ ก็พับแผ่นแป้ง จากด้านข้างทั้งสี่ด้าน เข้าตรงกลาง เป็นสี่เหลี่ยม จตุรัส กลับโรตี ทอดต่อจนสุกดี ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

โรตีแบบธรรมดาราคาถูกมาก แชอาลีม้วนโรตีเป็นวงกลม ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ฝรั่ง ซึ่งบางทีก็มีการ์ตูน มาให้ได้ดูรูปด้วย โรตีแบบนี้ แชอาลี จะให้น้ำตาลทราย ไปจิ้มรับประทาน ถ้ารับประทานที่ร้าน และ ต้องการจิ้มนมข้น ก็ได้เหมือนกัน

ส่วนโรตีใส่ไข่นั้น คนแว้งชอบรับประทานกับอาจา***มากกว่า และ อาจาของอาลี ก็อร่อยมากเสียด้วย

วันนี้น้อยจะซื้อโรตีใส่ไข่ในราคาโรตีธรรมดา เพราะเธอเอาไข่ไก่มาจากบ้าน และจะสั่งอาจา ไปจิ้มด้วย พี่แมะจะซื้อ นาซิดาแฆ ส่วนของแม่ เป็นปูโละปาฆี (ข้าวเหนียวหวาน ตอนเช้า) ที่เขานึ่ง ด้วยกานพลู จนหอม แล้วคลุก ด้วยมะพร้าวขูด เคล้าเกลือ

ระหว่างที่คอยแม่ค้าห่อนาซิดาแฆให้ลูกค้า และยังไม่ถึงตาของพี่แมะนั้น น้อยเลี่ยงไปยืน ข้างประตูไม้บานสูงที่ แชอาลีพับไปพับมา ไว้ตรงเสา เธอมองเข้าไปในร้าน

แชอาลีกำลังชงชาและกาแฟ มือเป็นระวิงอยู่ตอนในสุด แกมีหม้อต้มน้ำร้อนขนาดใหญ่ ทำด้วยโลหะ มีฝาปิดเปิด วางอยู่เยื้องๆ ตัว ข้างหน้ามีโต๊ะยาว แผ่ข้างบน ด้วยแผ่นสังกะสี น้อยเห็นแชอาลีใช้ผ้าเช็ดแผ่นโลหะนั้น หลังจากที่ชงชา หรือกาแฟแล้วทุกครั้ง จนเป็นมันปลาบ แกทำอย่างนั้นมา หลายสิบปี จนเป็นนิสัย

บนโต๊ะยาวนั้นเรียงรายด้วยกระป๋องใส่ผงกาแฟ ผงชา น้ำตาลทราย นมข้นหวาน แล้วก็เครื่องมือสำคัญ ในการชงชา กาแฟอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ กระป๋องทองเหลือง ทำพิเศษ มีจะงอย สำหรับให้ชากาแฟ ไหลออกมาได้สะดวก ในกระป๋อง มีถุงผ้า ที่ขอบบนเย็บติดโดยรอบ อย่างแน่นหนา กับวงลวด มีติ่งสำหรับ วางบนขอบกระป๋อง ตรงกันข้าม กับติ่งนั้น เป็นด้ามถุง สำหรับ แชอาลี ถือเวลาชง

ลูกค้าที่เข้ามาในร้าน เป็นคนในอำเภอที่รู้จักกันดีทั้งนั้น ส่วนใหญ่พอเข้ามา ก็ตะโกนสั่งของ ที่ต้องการเสียงลั่น บางคน ลงนั่งที่โต๊ะก่อน แล้วเรียกเด็กในร้านมาสั่ง น้อยไม่ทราบว่า แชอาลีกับเด็กของแก จำของที่แต่ละคน สั่งได้อย่างไร ช่างเก่งเสียจริง พอเขาสั่งกาแฟ หรือชาปุ๊บ แชอาลีก็เอาปลายช้อนเล็ก งัดฝากระป๋องปั๊บ ตักเอาผงข้างใน ออกมาใส่ลงในถุง สะกิดฝาหม้อต้มน้ำ พลิกไปข้างหนึ่ง แล้วใช้กระบวยทองเหลืองด้ามยาว จ้วงลงไปตักน้ำร้อน มาเทลงในถุง พร้อมกับสะกิดฝาหม้อน้ำ ให้ปิดเสียด้วย จากนั้น แกก็ยกถุง ขึ้นหมุนๆ จนผ้าพันเป็นเกลียว บีบเอาน้ำชากาแฟ ลงไปในกระป๋องทองเหลือง แชอาลี ยกกระป๋องนั้นขึ้น รินน้ำชา หรือกาแฟ ลงไปในแก้ว สักแป๊บหนึ่ง ก็เลื่อนไปรินลงแก้วถัดไปเรื่อยๆ แกรินได้ระดับเท่ากันหมด จากนั้น ก็เอาถุงใส่ลง กระป๋อง ทองเหลืองตามเดิม ก่อนที่จะงัดกระป๋องน้ำตาล ด้วยปลายช้อน ตักน้ำตาลทราย ใส่ลงในแต่ละแก้ว มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วจึงหยิบ กระป๋องนมข้นหวาน ตราแหม่มทูนหัว ขึ้นมาเอียงกระป๋องเข้า ใช้ช้อนคันเดิมปาดน้ำนมข้น ที่หยาดลงมา เป็นสายเหนียวหนืด ลงไปในแก้ว ตามความชอบ ของลูกค้า

ผู้ช่วยของแชอาลีหยิบแก้วเหล่านั้น ขึ้นใส่ลงในถาด นำไปวางให้ลูกค้า ได้ตรงตามที่เขาสั่งทุกคน แชอาลี ชงชากาแฟ ให้คนที่เขาสั่งก่อน หมดแล้ว ก็หันมาทางน้อย ยิ้มฟันขาว ถามว่า

"เหาะแทสมุห์ก๋อ (ของท่านสมุห์หรือ)?" น้อยพยักหน้าพร้อมกับบอกว่า

"แว โกปีซูซูสะโกปี แช (ค่ะ กาแฟใส่นมกระป๋องหนึ่งค่ะตา)"

"แชตาฮูเดาะห์ เตาะเซาะวอยะ (ตารู้แล้ว ไม่ต้องบอก)" แชอาลีหลิ่วตาล้อเลียนน้อย ก่อนที่จะก้มลงชงกาแฟให้พ่อ ด้วยวิธีเดียวกับ ของคนอื่น เพียงแต่ชงลงในกระป๋องนมเปล่า พอชงแก็กๆ ด้วยช้อนเสร็จ แกก็คว้าเชือกกล้วย ที่ผูกเป็นห่วงไว้แล้ว จากข้างเสา มาคล้องเข้ากับฝากระป๋อง เอาปลายห่วง สอดเข้าไปในรูตรงกลางฝา กดฝาลงอย่างชำนาญ ส่งให้น้อยหิ้ว น้อยอยากต่อว่า ว่าแชอาลี ใส่นมกับน้ำตาลให้พ่อ น้อยกว่าของคนอื่น แต่นึกขึ้นได้เสียก่อนว่า พ่อคงชอบอย่างนั้น และ แชอาลีรู้ดีกว่าเธอแน่ จึงเพียงแต่ส่งเงินให้ แล้วก็ออกมาสมทบกับพี่แมะ ซึ่งยังคงยืนคอย แม่ค้าข้าวเหนียวแกงไก่ อยู่อย่างอดทน

น้อยยืนดูแม่ค้าห่อข้าวต่ออย่างเพลิดเพลิน กะละมังใบใหญ่ ใส่ข้าวเหนียวมูน มีกานพลูปนด้วย เพื่อเพิ่มความหอม ติดกับกะละมัง เป็นหม้อเคลือบ ขนาดใหญ่อีกเช่นกัน บรรจุแกงไก่ หอมฉุยสีสันน่ากิน แม่ค้าภรรยาของอาลี หยิบแผ่นใบตอง ที่เจียนหัวท้าย และซ้อนสอง ไว้เรียบร้อยแล้ว ขึ้นมาวางไว้กลางฝ่ามือ ซ้ายมือขวา หยิบข้าวเหนียวมูน ปริมาณพอดีกับราคา แต่ละห่อ เกลี่ยแผ่ลงไป จากนั้น ก็ตักชิ้นไก่ วางข้างบน แล้วใช้จวักเล็กๆ ตักน้ำแกงราดหน้า ถ้าลูกค้าคนไหน ชอบเผ็ด แกก็ตักซามา (พริกตำ หรือ น้ำพริก)
แถมให้ข้างๆ ข้าวเหนียวนิดหนึ่ง เสร็จแล้วแกก็พับปลายใบตอง ด้วยมือทั้งสอง เข้าหากันอย่างชำนาญ กลัดด้วยไม้กลัด ก้านมะพร้าว เป็นอันเรียบร้อย

อีกหลายคนนัก กว่าจะถึงตาพี่แมะ น้อยจึงขอเงินไปซื้อโรตีของเธอ และข้าวเหนียว ตอนเช้าของแม่เสียก่อน เสร็จแล้ว ก็กลับมายืน ใกล้แชอาลี อีกครั้ง กวาดสายตา มองเข้าไปในร้าน มีโต๊ะกลมหินอ่อนสีขาว อยู่หลายตัว เก้าอี้ที่วางอยู่รอบโต๊ะ มีพนักกลึงเป็นซี่ ลูกค้าของแชอาลี เกือบทั้งหมด ที่เป็นแขกสูงอายุ และพ่อค้า นั่งรับประทาน อาหารไปพลาง คุยกันไปพลาง อย่างสบายใจ ราวกับ เวลาทั้งหมด เป็นของเขา ทั้งนี้เพราะพวกเขา ไม่ต้องไปตัดยางตอนเช้ามืด เหมือนชาวสวน หรือลูกจ้าง

น้อยพยายามคิดเปรียบเทียบร้านของอาลีกับร้านโกฟุก ว่ามีอะไรที่แตกต่างกัน นอกจากอาหาร และลูกค้า ที่เธอทราบดีอยู่แล้ว

และเช้านี้เอง น้อยเพิ่งสังเกตเห็น สิ่งแตกต่างที่สำคัญ!!

ร้านของโกฟุก ติดรูปถ่ายขนาดใหญ่ไว้สองรูป ส่วนร้านของแชอาลี มีเพียงรูปเดียว บุคคลในรูปถ่ายร้านโกฟุก เป็นบุคคลเดียว กับรูปถ่าย ในร้านอาลี ส่วนอีกคนหนึ่ง น้อยไม่รู้จัก

น้อยรู้จักบุคคลในรูปที่ว่าดีที่สุด เพราะที่บ้านน้อยก็มี พ่อติดไว้สูงกว่ารูปอื่นๆในบ้าน เธอถูกสอนให้รักเคารพเทิดทูน บุคคลในภาพนั้น ไว้อย่างสูงสุด และถ้าถูกใครถาม น้อยจะตอบได้ทันทีว่า นั่นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

ขณะที่นั่งรับประทานอาหารเช้าร่วมกันทั้งครอบครัว ก่อนไปโรงเรียนวันนั้น พ่อไขข้อข้องใจของน้อย เรื่องรูปถ่ายครึ่งตัว ในร้านโกฟุก ที่น้อยไม่รู้จักว่า

"นั่นเป็นรูปถ่ายของประธานาธิบดีของคนจีนเขา ชื่อประธานาธิบดีเจียง ไคเชค น้อยสังเกตธงของเขา ที่มีรูปดาว อยู่ด้วยหรือเปล่า?"

"แมะก็เคยเห็น" พี่แมะว่า "คนนี้เป็นพระเจ้าแผ่นดินของคนจีนใช่ไหมคะ?"

"ไม่ใช่ลูก ไม่ใช่ ประเทศจีนไม่มีพระเจ้าแผ่นดินเสียแล้ว มีแต่ประธานาธิบดี เมืองจีนลำบากมาก คนจีนอย่างโกฟุก และ เถ้าแก่เต็ก ถึงได้อพยพ มาอาศัยเมืองไทย เขาอยู่เมืองเรา อย่างสุขสบาย จึงมีความกตัญญู ต่อพระเจ้าอยู่หัว ของเรามาก แต่เขาก็ยังคิด ถึงบ้านเกิด เมืองนอนอยู่ จึงติดรูปถ่าย ของท่านเจียง ไคเชค ไว้ด้วย เรื่องของเมืองจีน ยุ่งยากมาก ไว้โตขึ้น แล้วลูกจะเข้าใจ" พ่ออธิบาย

น้อยนึกถึงรูปถ่ายรูปเดียว ในร้านของแชอาลี พ่ออธิบายว่า

"พ่อคิดว่าแชอาลีแกมาเมืองไทยนานแล้ว มาจากประเทศไหน พ่อก็ไม่เคยถาม แต่แกคงไม่มีใครอื่น เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยว มีแต่ พระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล องค์เดียว พระองค์จึงเป็นบุคคล ที่แกเคารพสูงสุด ในร้านของแก ถึงได้มีเพียงรูป ที่ลูกเห็น อยู่รูปเดียว"

น้อยเหลียวมองพระบรมฉายาลักษณ์ ที่พ่อติดไว้สูง ตรงกับโต๊ะทำงานของพ่อ เป็นภาพพระเจ้าอยู่หัว ประทับยืน ในพระหัต ถ์มีพระมาลา ปักขนนก พระองค์ยังทรงพระเยาว์นัก พระโฉม พระพักตร์งดงามอ่อนหวาน ไม่มีที่ติ ทั้งพ่อและแม่ ไม่เคยได้เห็น พระองค์จริง น้อยและ พี่แมะ ก็ไม่เคยเห็น แต่ถึงไม่เคยเห็น ทุกคนก็รัก และ เทิดทูนพระองค์อย่างยิ่ง

"ตอนนี้พระองค์ท่านเสด็จกลับมาประเทศไทยชั่วคราว เพื่อเยี่ยมพวกเรา" พ่อบอก

น้อยขยับตัวอย่างตื่นเต้น พูดว่า "งั้นพวกเราก็จะได้เห็นพระองค์แล้วซีคะพ่อ"

"พระองค์เสด็จมาชั่วคราวเท่านั้นแหละลูก รัฐบาลเขาทูลเชิญท่านมา ไม่นานก็ต้องเสด็จกลับไป ศึกษาต่อเมืองนอกอีก พ่อก็อยาก มีโอกาส ได้เห็นพระองค์ สักครั้งหนึ่งเหมือนกัน แต่เราอยู่ไกลจากกรุงเทพฯ สุดหล้าฟ้าเขียวอย่างนี้ คงไม่มีโอกาสหรอกลูก" พ่อพูด

"น่าเสียดายจังนะคะแม่" พี่แมะว่า

"ไม่เป็นไรลูก เมื่อพระองค์ทรงจบการศึกษาก็จะเสด็จกลับมาอยู่กับพวกเราตลอดไป" แม่ให้ความหวัง ขณะเงยหน้าขึ้นมอง พระบรม ฉายาลักษณ์ พ่อพูดต่อว่า

"บ้านเราน่ะโชคดีแล้ว เพราะเรามีหนังสือไทย สมัยสร้างชาติ ทั้งสองเล่มไว้เปิดชมพระบารมีได้ อย่างอาลีสิ แกก็มีแต่รูปใหญ่ ที่ติดไว้สูง ให้ทุกคนที่มาในร้าน ได้เห็นเพียงรูปเดียวเท่านั้น"

ในที่สุด วันที่น้อยได้เห็นพ่อและแม่ร้องไห้อย่างไม่ปิดบัง และ ไม่อายใครก็มาถึง!!!

วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙

โรงเรียนประชาบาลอำเภอแว้งหยุดเป็นปรกติ น้อยกับมามุ ออกเที่ยวค้นหาไข่ ที่เป็ดมาวางไว้ ตามพงหญ้าริมรั้ว ตั้งแต่เช้า สายหน่อย แดดเริ่มร้อน จึงชวนกันกลับ มาเล่นใต้ถุนบ้าน พี่แมะอยู่บนบ้าน ช่วยแม่จัดขนมปังรูปปลา ลงในปี๊บ พ่อตรวจ สมุดบัญชีเสร็จ ก็ออกไป ตลาด บอกแม่ว่า จ ะไปหากาแฟกิน ที่ร้านอาลี

พ่อไปได้ไม่นาน ก็กลับมาอย่างร้อนรน แม่ตกใจ เมื่อเห็นสีหน้าพ่อ ละล่ำละลักถามเสียงค่อนข้างดัง จนน้อยและมามุ ถลันวิ่งออกมา จากใต้ถุน

"พ่อไม่ได้กินกาแฟหรอกหรือ ทำไมกลับเร็วนัก เกิดอะไรขึ้น?"

น้อยเห็นพ่อยืนนิ่งเฉย เหมือนอยากจะพูด แต่พูดไม่ออก น้ำตาของพ่อก็ไหลลงมาเป็นทาง แม่ลุกเดินออกมา ที่ชานหน้าบ้าน จับแขน พ่อเขย่า เหมือนจะให้รู้สึกตัว "อะไรพ่อ บอกซิ อะไร ทำไมพ่อถึง_"

"แม่_" พ่อพูดได้แค่นั้นก็ชะงัก พูดต่อไม่ได้ หันไปทางพระบรมฉายาลักษณ์ แล้วสะอื้นออกมาดังๆ "แม่_ในหลวง_ท่านสิ้นเสียแล้ว_"
แม่ทรุดฮวบลงข้างพ่อ ร้องไห้เสียงดัง น้อย มามุ และพี่แมะ ขยับไปรวมกันอยู่เป็นกระจุก ไม่กล้าเข้าใกล้พ่อแม่ แต่เริ่มต้นร้องไห้ ตามผู้ใหญ่

นานมากกว่าพ่อจะหยุดสะอื้น และเล่าแม่ว่า "เรารู้ช้ากว่าเขาในตลาด ฉันผิดสังเกตแล้วเพราะ ตลาดเงียบไปหมด แต่ยังไม่ได้คิดอะไร พอไปถึงร้านอาลี_ ไม่มีใครสักคน เห็นแต่อาลีนั่งน้ำตาคลออยู่ เลยเข้าไปถามว่า เป็นอะไร คนไปไหนหมด อาลีไม่ขายกาแฟ หรือ แค่นั้นแหละแม่ อาลีชี้ไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ ที่แกนั่งจ้องอยู่ บอกว่า "อัลเลาะห์ ลา รายากีตออะบิห์เดาะห์ แท ปาฆีนึงลา ราดิโอฆอยะ (พระผู้เป็นเจ้าช่วยด้วยเถิด พระเจ้าอยู่หัวของเราสิ้นเสียแล้ว เมื่อเช้านี่เอง วิทยุประกาศ) " แม่_ฉันเผ่นไปบ้าน นายอำเภอทันที ใจยังไม่เชื่อ ที่อาลีบอก ใครจะเชื่อ พระองค์ท่าน ยังอ่อนเยาว์อยู่แท้ๆ แต่ทุกอย่าง ก็เป็นความจริง วิทยุบ้านนายอำเภอ ประกาศ อย่างนั้นจริง นายอำเภอ ยังนั่งงง อยู่จนเดี๋ยวนี้ ไม่น่าเลย แม่ ไม่น่าเลย เรายังพูด ถึงกันอยู่ เมื่อไม่กี่วันนี้เอง"

พ่อพูดเสร็จก็หันมาทางเด็กๆ บอกความจริงว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ที่น้อยอยากเห็นพระองค์จริงนั้น ท่านเสด็จ สวรรคตเสียแล้วลูก น้อยจะไม่ได้เห็นท่านอีก ไม่ว่าเมื่อไร น้อยต้องเข้าใจนะ สวรรคตคือ ไปสู่สวรรค์แล้ว น้อยเข้าใจไหม?"

"น้อยไม่เข้าใจค่ะ ทำไมพระเจ้าอยู่หัวต้องไปสวรรค์ด้วย พ่อบอกเองว่า ท่านมาเยี่ยมเรา แล้ว แม่ก็บอกด้วยว่า ไม่นาน ท่านจะมาอยู่กับเรา ตลอดไป" น้อยสะอื้นถาม

"ความตายไม่ละเว้นใครเลย ลูก อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้ โตขึ้นน้อยจะเข้าใจ" เมื่อพ่อพูดอย่างนั้น น้อยก็ต้องหยุด ตามที่พ่อบอก แต่ใจของเธอ ยังไม่ยอมอยู่นั่นเอง มามุสะกิดน้อย พูดเบาๆเป็นภาษามลายูว่า "มานี่เถอะ น้อย ฉันก็ไม่เชื่อ เราต้องไปดูเอง" น้อยผู้เชื่อฟังมามุ เสมอมา จึงลงจากบ้าน ตามมามุไป

"เธอจะไปดูที่ไหนน่ะมามุ ก็พ่อบอกแล้วไงว่าท่านไปสวรรค์แล้ว เธอยังไม่เชื่ออีกหรือ?" น้อยถาม

"น้อย เราต้องไปดูที่ร้านของแชอาลี ไปดูรูปรายา(ราชา)ที่นั่น ฉันยังไม่เชื่อที่เจ๊ะ(พ่อ)บอก เขาอาจจะฟังราดิโอ ผิดกันก็ได้ เราต้องไปดูรูป คนที่อัลเลาะห์ เรียกกลับไปแล้ว รูปถ่ายจะปูจ๊ะ (ซีด) รู้ไหม? ไปเร็วเข้าเถอะ" มามุพูด จุดประกายความหวัง ให้น้อยใหม่

เด็กทั้งสองอาจจะคิด และหวังเอาตามประสาอายุน้อยก็จริง แต่ภาพที่ทั้งคู่ถลันเข้าไป ทำให้อาลี_กะลิง ขายกาแฟสูงอายุ ที่นั่งซึม อย่างเดียวดาย อยู่บนเก้าอี้ ในร้านกาแฟ รู้สึกตัว ผงกศีรษะขึ้นมอง ราวกับมีเพื่อนเก่า มาเยี่ยมเยือน

"มาโซะมาฆีลา มาฆีจาฆีแชนิง กีตอตะเดาะรายาเดาะห์ (เข้ามาสิหนู เข้ามาหาตานี่ เราไม่มีพระเจ้าอยู่หัวแล้ว)"

พระบรมฉายาลักษณ์ในร้านของแชอาลีเป็นรูปสี อาจจะเก่าไปแล้ว ด้วยกาลเวลาที่ล่วงเลย

มามุกระซิบ บอกน้อยเบาๆ ว่า "น้อย รามา รายากีตอปูจ๊ะซูโงะห์ ยาแงตีเยาะลา ดียอฆีดูโดะดีงาอัลเลาะห์เดาะห์ (น้อย พระบรมฉายาลักษณ์ พระเจ้าอยู่หัวของเราซีดจริงๆ ด้วย แต่อย่าร้องไห้เลย พระองค์ไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว)"

น้อยเดินตามมามุกลับบ้านอย่างเลื่อนลอย เธอแทบไม่รู้สึกตัว และไม่ดีใจ เมื่อแชอาลี กะลิง ขายกาแฟ ผู้เฒ่าของอำเภอแว้ง นั่งลง เอานมชง หอมหวาน ของโปรดเกี่ยวนิ้ว ให้หิ้วไปคนละกระป๋อง

(อ่านต่อฉบับหน้า)


เขียนเสร็จทั้งน้ำตาที่บ้านซอยไสวสุวรรณ กทม. เวลา ๑๔.๒๕ น. วันที่ ๒๕ ต.ค. ๔๔ ขอยืนยันด้วยความสัตย์ว่า เด็กชายแดน อย่างเรา คิดและรู้สึกอย่างนั้นจริง -ชบาบาน

[ ผีตากผ้าอ้อม * เมื่อมาอยู่กรุงเทพฯ น้อยได้ทราบว่า ที่นั่นเขาเรียกท้องฟ้าสีแดงเรื่อ ก่อนตะวันตกดินว่า ผีตากผ้าอ้อม เธอจึงไม่ทราบ จนเดี๋ยวนี้ว่า อย่างไหนถูกแน่ ใครทราบเมตตาช่วยอธิบายด้วยเถิด

ซาแร ** ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าศัพท์เดิมเป็นภาษาอะไรแน่และใครยืมใครเพราะใกล้กันมากระหว่างสาหร่ายในภาษาไทย และซาแร หรือ ซารายในภาษามลายู

อาจา *** คำอาจาด ของไทยน่าจะยืมมาจาก อาจาของเขา เพราะไม่มีความหมายในภาษาไทย ]

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๓๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๔)