เราคิดอะไร.

ฝุ่นฟ้าฝากฝัน
รับน้องใหม่


สมาน สมาชิกสภา อบต. พึ่งเลิกจากการประชุมกลับมา ถึงบ้าน รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่ชุดเก่า เพื่อออกไปรดน้ำผัก ในสวน ท้ายหมู่บ้าน เห็นจดหมายของลูกชาย ที่ไปเรียน มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด วางอยู่บนโต๊ะ สมานดีใจที่จะได้ข่าวลูก

"กราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ที่เคารพรักของลูก
"แต่ก่อนผมคิดว่าจบ ม.๖ แล้วไปสอบเอ็นทรานซ์ เข้ามหาวิทยาลัยมีชื่อได้นั้น เป็นความสำเร็จอีกอย่างในชีวิต วาดอนาคต ไว้รางๆ ว่าจะมุ่งไปสู่จุดนั้นๆ แต่เมื่อผมได้เข้ามาสู่แวดวงของมหาวิทยาลัยแล้วจึงรู้ว่า มันไม่ง่าย อย่างที่ผมคิดไว้เลย การก้าวมุ่งไป สู่ความสำเร็จนั้น นักศึกษาใหม่ ต้องตั้งใจจริง ฉลาดรู้เท่าทัน สภาพสังคม ค่านิยมของเหล่านักศึกษา ในมหาวิทยาลัย มีทั้งดีและเลว ผมโชคดีที่พ่อแม่ปฏิบัติธรรม นำพาไปในทางดี ทำแต่สิ่งเจริญสร้างสรรค์ มาตลอด ผมยังจำได้ แม่เคยสอนให้ผมขยันอดทน ซื่อสัตย์ประหยัดและให้อภัย ผมจึงมีภูมิคุ้มกัน ให้พ้นค่านิยม สังคมเลวร้าย ที่จะดูดดึง ให้ไปหลงติด ได้พอสมควร

"เรื่องการรับน้องใหม่ เขาจะจัดรับกันทุกคณ ะและคงเหมือนกันทุกมหาวิทยาลัย ต่างกันก็ที่จะรับกัน หนักเบาแค่ไหนเท่านั้น ส่วนมหาวิทยาลัยของผม จะมีงานรับน้องใหม่แบบนี้ครับ

"วันแรก รุ่นพี่มารอพบพวกน้องๆ แล้วต่างทักทายจับจองตัวคนนั้นน้องกู คนนั้นน้องข้าจองน้องๆ เอาไว้ปฏิบัติการแกล้ง ตามค่านิยมที่สืบทอดกันมา จนเป็นประเพณี ที่ยากจะเลิกไปได้ วันต่อมารุ่นพี่สั่งให้รุ่นน้อง เข้าประชุมที่ห้องเก็บของ ใต้แสตนด์เชียร์ใหญ่ ในสนามกีฬา เป็นการประชุมลับ ที่คณะอาจารย์ ไม่รู้ไม่เห็นด้วย เมื่อรุ่นน้องเข้าไปนั่งอัดกันอยู่ กับพื้นจนหมดแล้ว รุ่นพี่ก็เดินเรียงแถว เขามายืนอยู่รอบๆ พร้อมออกคำสั่ง ให้รุ่นน้องทุกคน ก้มหน้าลง จนหน้าแตะพื้น ห้ามเงยหน้าขึ้นมาเด็ดขาด แล้วการฝึกความอดทน ก็เริ่มขึ้น "ไอ้พวกสัตว์" เป็นคำแรกที่ดังขึ้น และคำต่อๆ ไปที่พวกพี่ๆ สรรหามานั้น ล้วนแต่เป็นคำหยาบรุนแรง คิดว่าเป็นการฝึกอดทนก้มหน้า ให้เขาดุด่า เหตุที่ให้ก้มหน้านั้น ก็คงจะกลัวรุ่นน้อง เห็นหน้าพวกรุ่นพี่ ที่กำลังอ้าปากถ่มถ้อยคำ อันหยาบช้า ออกมากระมัง

"รุ่นน้องบางคนก็ถูกรุ่นพี่หาเรื่องแกล้ง ลงโทษให้คลานตามพื้น กลิ้งหรือนอนกลางแดด เพื่อนของผมเดินสวนทางกับรุ่นพี่ ในคณะเดียวกันแล้วไม่ทัก เพราะจำไม่ได้ หลังเลิกเรียน เพื่อนผมถูกตามตัวให้ไปพบ ที่หอพักของรุ่นพี่ แล้วบังคับ
ให้กินมะระจีน หลายลูกจนอ้วก ออกมาแทบหมดไส้หมดพุง พวกรุ่นพี่ให้เพื่อนผมนอนลงแล้วบอกว่าจะนับหนึ่งถึงสิบให้
วิ่งลงหนองน้ำ ซึ่งอยู่ห่างหอพัก ประมาณร้อยเมตร พวกพี่ๆต่างหัวเราะกันครื้นเครงแล้ว สำทับว่า วันนี้มึงกลับได้แต่
วันหลังมึงจำกูไม่ได้ มึงโดนดีกว่านี้แน่

"ผมมีความรู้สึกว่า กฎเกณฑ์ พวกรุ่นพี่ได้ตั้งเอาไว้นั้นมัน ยอดแย่จริงๆ ไร้สาระไม่เป็นธรรม และไร้ศีลธรรม คงจะมีที่ มหาวิทยาลัย ที่ผมเรียนอยู่แห่งเดียวเท่านั้นมั้ง กฎเกณฑŒ์ที่ตั้งเอาไว้ คือว่า ๑. รุ่นพี่ถูกเสมอ ๒. รุ่นพี่ไม่มีวันผิด และ ๓. ถ้ารุ่นพี่ผิด ให้ย้อนไปดูข้อ ๑ และข้อ ๒ รุ่นน้อง จึงมีแต่เรื่องผิดอยู่ฝ่ายเดียว

"แล้ววันต้อนรับน้องใหม่ ครั้งใหญ่ก็มาถึง พวกพี่ๆ ได้ นัดรุ่นน้องให้ไปรวมกันอยูในห้องประชุมมืด ใต้แสตนด์เชียร์ ใหญ่ของสนามกีฬาอีกครั้ง "เร็วๆ เข้าไปๆ" คำสั่งของรุ่นพี่ ให้รีบเร่งกลัวอาจารย์จะรู้ เพราะมหาวิทยาลัย สั่งห้ามและ จะลงโทษอย่างหนักกับ นักศึกษารุ่นพี่ ที่จัดการต้อนรับน้องใหม่ ด้วยพฤติกรรม ที่ไม่มีอาจารย์ รู้เห็นด้วย แต่พวกรุ่นพี่ ก็คึกคะนอง จัดกันจนได้ สั่งให้พวกผม ทั้งคณะประมาณ ๗๐ คน เข้าไปอยู่ในห้องมืด ตั้งแต่หนึ่ทุ่ม โดยไม่รู้ว่า รุ่นพี่เขากักขัง พวกเราไว้เพื่ออะไร

"สี่ทุ่มทุกอย่างยังคงเงียบ เพื่อนบางคนลงนอนกับพื้นด้วยความอ่อนเพลีย สำหรับ ผมรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเลย

"ตีสาม ประตูเปิดออก พวกรุ่นพี่ต่างมากันพร้อม "เร็วๆ ออกมาเร็วๆ" พวกเราถูกต้อนไปที่สระน้ำใหญ่ข้างสนามกีฬา แล้วก็สั่งให้ กระโดดลงไปให้แช่ตัว อยูในน้ำนานไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง พึ่งรู้ว่า น้ำในสระตอนตีสามนั้น มันเย็นจริงๆ พวกรุ่นพี่ หัวเราะสะใจ ที่ได้เห็นพวกเรา หนาวสั่น

"เกมต่อมาพี่เขาสั่งให้พวกเราเงยหน้าขึ้นได้ ตากับจมูกเท่านั้นที่พ้นจากน้ำ ส่วนอื่นๆ ให้อยู่ใต้น้ำ แล้วพวกเขา ก็เทลูกชมพู่ ที่เตรียมไว้ลงในน้ำ เพื่อให้พวกน้องใหม่ คาบเอาไว้ให้ได้ คนละหนึ่งลูก หากว่าน้องที่เป็นผู้ชายคนไหน คาบลูกชมพู่ไมได้ น้องคนนั้น ต้องขึ้นมาเป็นซูเปอร์แมน คือ ให้วิ่งเข้าไปในป่าใกล้สระน้ำ แล้วถอดกางเกงใน ออกมาสวมทับ กางเกงขายาว เดินออกมายืนอยู่ริมสระน้ำ แล้วพวกเขา จะสั่งให้เต้นสารพัดท่า และแสดงออกให้พวกเพื่อนที่อยู่ในน้ำดูกันจนพอใจ ถึงได้จบเกมรับน้องใหม่กัน

"เมื่อพ่อแม่ได้รับรู้เรื่องราวในช่วงแรกๆ ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในรั้วมหาวิทยาลัยก็อย่าพึ่งตกใจ เพราะถึงอย่างไร ผมก็ได้ ผ่านพ้น เหตุการณ์นั้นๆ มาแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง ผมยังสบายดีครับ

"ที่ผมเคยมุ่งแต่อยากไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อตาม ค่านิยมของสังคมนั้น พึ่งมานึกได้ว่าคิดผิด แท้จริงแล้ว ผมน่าจะไปเรียนต่อ ที่วิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัย ใกล้บ้านที่สุดนั่นแหละ คือแนวทางที่ถูกต้องที่สุดเลย เพราะค่าใช้จ่าย ต่างๆ จะน้อยกว่ากัน ยิ่งมีที่เรียนอยู่ใกล้ เช้าไปเย็นกลับได้ ยิ่งจะดีมาก เพราะสิ่งที่เรา ต้องการ คือ เรียนให้จบ เพื่อรับเอา ปริญญา มาสมัครงาน หาเงินกันแทบทั้งนั้น จะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยไหน วุฒิหรือคุณค่าของ ใบปริญญานั้น จะไม่ต่างกันเลย ใบปริญญา จะมีคุณค่าได้ ก็อยู่กับตัวเราเอง"

สมานอ่านจดหมายของลูกชายจบ แล้วถอนหายใจยาว รู้สึกขุ่นข้องใจ กับค่านิยมในแวดวงนักศึกษา มหาวิทยาลัย ในปัจจุบัน ที่ผิดศีลธรรม ผิดหลักคำสอน ของศาสนา ไม่สามารถเข้าไป ยืนหยัดปฏิบัติเป็นพลัง คุณงามความดีไดเลย เพราะนักศึกษาส่วนใหญ่ ไม่มีพื้นฐาน เรื่องศีลธรรมมาก่อน สังคมนักศึกษา จึงหันหลังให้ศาสนา ความนึกคิด จึงเปิดเสรี เกินขอบเขต นักศึกษาหลายคน หลงไปกินเสพ ของมึนเมา และชอบมั่ว กามราคะกันหนัก จนผิดไปจากแนวทาง ของผู้ที่จะก้าวไป สู่ที่เจริญ หรือปัญญาชน ที่มีคุณค่า ในอนาคตได้ สมานรู้ว่าลูกชาย มีพื้นฐานของศาสนา อยู่ในหัวใจ เขาคงจะรอดพ้น จากอิทธิพล ค่านิยมเสรี ไร้สาระ ในปัจจุบันได้

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๓๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๔)

}