เราคิดอะไร.

บทความพิเศษ ...แรงรวม ชาวหินฟ้
การท่องเที่ยวเชิงศีลธรรม


เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้รับคำแนะนำจาก ดร.อรรถ นันทจักร ได้เข้าร่วมการประชุมสัมมนา กับหอการค้าจังหวัดนครพนม เกี่ยวกับ "การพัฒนาชายแดน และการท่องเที่ยวชายแดน" อะไรทำนองนั้น

การประชุมสัมมนาคราวนั้นได้รับเกียรติจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่า การกระทรวงกลาโหม และนาย วันมูหะมัดนอร์ มะทา รัฐมนตรีว่ากา รกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวปาฐกถานำ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ที่ดีต่อกัน และตบท้ายด้วย ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ คอลัมนิสต์คนดัง จากไทยรัฐ ที่ขึ้นมาพูด การเชื่อมเส้นทาง เพื่อการคมนาคม และการท่องเที่ยวครบวงจร ในแถบ เอเชียอาคเนย์ โดยยืนยันว่า ไทย เขมร ลาว เวียดนาม น่าจะมีถนน เชื่อมโยงถึงกันได้ และบางส่วน อาจทะลุไปจีน ถ้าทำได้พื้นที่เหล่านี้ จะเป็นแหล่งเศรษฐกิจ ที่สำคัญ อีกแห่งหนึ่งในโลก

ส่วนการพูดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อฟังให้ครบถ้วนกระบวนความ จะพบว่ามีสาระ และแนวคิด ที่มองการณ์ไกล รวมทั้งการ เปลี่ยนแปลงสังคม อย่างสันติ ให้อภัย อดทน รอคอยโอกาส แม้ปัญหาเรื่องการ ซวดเซทาง เศรษฐกิจ ก็เนื่องมาจาก ความคิด ในเศรษฐศาสตร์ เชิงวิชาการ ที่ไปตามแนวคิดตะวันตก เป็นประเด็นสำคัญ

ดังนั้นไม่ว่าใครขึ้นมาปกครองประเทศช่วงนั้น และใช้วิธีการแบบนั้น ก็จะเกิดสภาพ "ฟองสบู่แตก" ทุกคน ซึ่ง พล.อ.ชวลิต ได้เตือน ได้ห้ามไว้แล้ว แต่เสียงส่วนใหญ่ หาได้เข้าใจ และเชื่อฟังไม่ ผลก็คือ เกิดการวิกฤติ ด้านการเงิน และกระแสสังคม มุ่งเป้าโจมตี พล.อ.ชวลิต ในฐานะ ที่เป็นนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) ซึ่งท่านก็ต้องอดทน และเป็นสุภาพบุรุษ ทางการเมือง แอ่นอกรับผิดชอบ ตามวิสัยชายชาติทหาร โดยไม่ปริปาก โยนความรับผิดชอบ ไปให้คนอื่น ท่านไม่เป็นคน "เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น"

ที่กล่าวมาทั้งหมด เพื่อสรุปประเด็นสำคัญ ที่ควรทราบ แต่ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่ผู้เขียนสนใจ อยากกล่าวถึง นั่นก็คือ สาระสำคัญ ที่นายวันนอร์ ได้กล่าวในวันนั้น "การท่องเที่ยวที่ถือกันว่า ทำรายได้เข้าสู่ประเทศ"

ใครต่อใครก็เชื่อเช่นนั้น แต่จำแนกไม่เป็น ขอให้คนเข้ามาท่องเที่ยว ก็แล้วกัน จะเข้ามาเมืองไทย เพื่ออะไร ก็เอาทั้งนั้น ทั้งนี้หวังว่า เมื่อมีคนเข้ามาท่องเที่ยวมากๆ ก็จะมีเงินตราไหลเข้าประเทศมากๆ ดังนั้น จึงมีคนที่เข้ามาทำเลอะๆ เทอะๆ มากมาย ไม่ว่าค้ายาเสพติด จารกรรม ค้าของเถื่อน เล่นการพนัน และเที่ยวเตร่ ในเชิงอบายมุข ก่อการทำลายสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมอันดีงาม ตลอดจนการเสื่อมโทรม ของสังคมไทย

โดยไม่คำนึงว่า "เมื่อเงินตราจากการท่องเที่ยว เข้ามาทางประตู คุณธรรมความดี ศิลปวัฒนธรรม อันมีค่าของไทย ก็โบยบินออกไป ทางหน้าต่าง" (มีมากกว่าประตู)

จนมีผู้รู้บางท่านกล่าวว่า "การท่องเที่ยวที่ ใครๆ พากันชื่นชม และพยายาม ให้คนเข้ามาเที่ยว ในเมืองไทยมากๆ นั่นแหละ คือ การทำลาย ชาติทางอ้อม"

เมื่อก่อนได้ยินก็ยังเห็นแย้งอยู่ว่า "จะเป็นไปได้ ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?"

แต่ปัจจุบันหมดความสงสัย และเชื่อว่า เป็นไปได้อย่างมากทีเดียว กับความคิดเห็นเช่นนั้น

และไม่เคยได้ยินคนในรัฐบาลคนใดกล่าวถึง การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ความดีความงาม ในสังคม ส่วนใหญ่ มักจะกล่าวในทำนอง "การท่องเที่ยว เพื่อให้ได้เงิน เงิน และเงิน" มันเป็นความคิด อันแสนอ่อนด้อย ของผู้มีบุคลิกภาพ "ทุนนิยม" นั่นเอง

นับว่าเป็นครั้งแรกที่คำพูดแนวคิด "การท่องเที่ยวเชิงศีลธรรม" เช่นนี้ออกจากปากผู้บริหาร ประเทศระดับ ฯพณฯ รัฐมนตรีคมนาคม ให้ประชาชน พื้นล่างอย่างผู้เขียนได้ยิน

ฯพณฯ ขยายความทำนองว่า "การท่องเที่ยว ที่เอาอบายมุขเป็นตัวตั้ง เอาเรื่องมอมเมาไร้สาระเป็นตัวดึงดูดนั้น ไม่ใช่การท่องเที่ยว ถูกต้อง แต่การท่องเที่ยว ให้คนมาชื่นชม กับบรรยากาศ ที่สงบสุข ธรรมชาติที่รื่นรมย์ ศิลปวัฒนธรรมที่สะท้อน จริยธรรม คุณธรรมนั้น น่าจะเป็น การท่องเที่ยว ที่ถูกต้องมากกว่า"

หลังจากการประชุมสัมมนาในวันนั้นแล้ว สิ่งที่ยังค้างอ้อยอิ่งในความคิด ก็คือ "การท่องเที่ยวเชิงศีลธรรม" และเมื่อนั่งรถทัวร์ กลับจาก จังหวัดนครพนม มุ่งสู่กรุงเทพมหานคร จินตนาการ ของผู้เขียน ก็ย้อนรอย ถอยหลังไปยังอดีต ประมาณ ๒๐ กว่าปี

จำได้ว่า ในครั้งนั้นได้ไปเที่ยวที่เกาะสมุย เป็นครั้งแรก ที่ "หน้าทอน" บริเวณเรือจอดเทียบฝั่งนั้น มีเศษขยะ พลาสติก กระป๋อง อยู่บ้าง แต่ไม่มากเท่าใด บาร์เหล้า โรงแรม สถานเริงรมย์มีแล้ว ฝรั่งหนุ่มสาว เป็นคู่หรือเป็นกลุ่มเดิน เกรียวกราว ไปตามประสา บางคราวสะท้อน วัฒนธรรม ป่าเถื่อน ของชาติตะวันตก เป็นบางครั้ง คนไทยทั่วไป ชื่นชมกับรายได้ ที่มาจากการจับจ่าย ใช้สอย และเหล่าบันเทิง เริงรมย์ คนไทยทั่วไป หลงว่าการมีวัตถุมากขึ้น สิ่งก่อสร้างมากขึ้น เลียนแบบตะวันตก ไปทุกที เชื่อกันจริงๆ ว่า นั่นคือ "ความเจริญ"

คนส่วนใหญ่ลืมไปว่าตอนเป็นเด็กประถม เราท่อง และตอบ ข้อทดสอบได้ว่า

ความเจริญมี ๒ ชนิด คือ "ความเจริญทางด้านวัตถุ" และ "ความเจริญทางด้านจิตใจ" ปัจจุบันมีความเจริญ ทางวัตถุมากมาย แต่ความเจริญ ทางด้านจิตใจ กลับเหือดแห้ง หายไป

ความสมดุลของความเจริญทั้ง ๒ ชนิดนี้อยู่ตรงไหน ไม่มีรัฐมนตรีคนไหนเฉลยได้ง่ายๆ วกกลับไปยัง เกาะสมุยอีกครั้ง ผู้เขียนได้นั่งสนทนา กับชายวัยกลางคน ในศาลาริมทะเล คุยไปคุยมา จึงได้รู้ว่า ลุงคนนั้น เป็นผู้ใหญ่บ้าน แต่ไม่ใช่ที่เกาะสมุย แต่เป็นอีกเกาะหนึ่งถัดไป ถ้าจำไม่ผิด ชื่อ "เกาะแตน" มีเรื่องเล่าว่า ที่เกาะนี้ จะไม่มีสุนัข แม้ใครจะพามันไปปล่อย ก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีรถยนต์ มีแต่ขี่จักรยาน ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีบาร์ ไม่มีบ่อน-ซ่อง (ในอดีตนะ-ปัจจุบันไม่รู้)

ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นเล่าให้ฟังว่า แกพยายามทำให้เกาะที่แกดูแลอยู่ มีสภาพตรงข้าม กับเกาะสมุย เกาะสมุยมีอะไร แกจะทำให้ มีตรงข้าม และ แน่นอน มีนายทุนบางราย ติดต่อแก อ้างว่าจะพัฒนาเกาะ ให้ทันสมัย พร้อมทั้งตั้งเงินเดือน ให้แกเป็นผู้จัดการ ดูแล แต่แกปฏิเสธ

"แล้วจะมีคนไปเที่ยวหรือครับ" ผู้เขียนได้ถามโง่ๆ ไปตอนหนึ่ง ของการสนทนา

"มี...แต่คนที่ไปเที่ยว จะคนละแบบ กับที่มาเที่ยวเกาะสมุย จะเป็นพวกอาจารย์ นักศึกษาปัญญาชน ที่มาสัมมนา เรื่องความคิด สติปัญญา หรือ อาจมีนักธรรมชาติวิทยา มาเพื่อแสวงหา ความสงบสุข มีจิตรกรมาวาดภาพ และมีผู้ท่องเที่ยว ที่หลงใหล ในกลิ่นอาย ของธรรมชาติ
สดๆ มาเสพความสงบ ที่เหนือจากการบันเทิง ยั่วย้อมมอมเมา เคล้ากิเลส" ประโยคท้ายนี้ ผู้ใหญ่บ้านไม่ได้พูด ผู้เขียนแถมให้เอง

สรุป มันก็คือการเปรียบเทียบระหว่าง "เกาะสมุย" กับ "เกาะแตน" (ในสมัยนั้น) มันพิสูจน์ได้ว่า ถ้าเราสร้าง "เกาะสมุย" ให้เป็นแหล่ง "อบายมุข" มันก็มี "อบายชน" มาเที่ยว ถ้าเราสร้าง "เกาะแตน" ให้เป็นสวรรค์บนดิน เราก็จะมี "มนุษย์" (ผู้มีใจสูง) มาเที่ยว

เมืองไทยทุกวันนี้เต็มไปด้วยสถานบริการ สถานเริงรมย์ และที่มั่วสุมทางอบายมุข มากมาย เราพัฒนาบ้านเมือง ให้เป็นแหล่ง ท่องเที่ยว เชิงลบ (Negative) มานานแล้ว

เป็นไปได้ไหมที่เราจะเอาแนวคิด "การท่องเที่ยวเชิงศีลธรรม" ของ ฯพณฯ รัฐมนตรี วันนอร์ เป็นตัวตั้ง วางนโยบายใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ ให้เมืองไทย เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อความงามของธรรมชาติ และความดีของศิลป - วัฒนธรรมไทย รวมทั้งความอลังการ เคร่งครัด ของศีลธรรม ไม่ว่าจะเป็น ศาสนิกชนของพุทธ คริสต์ อิสลาม ก็ตามที

จินตนาการของผู้เขียนเพริดไปไกล ถ้าใครทำได้ รัฐบาลไหนกล้าทำ จะมีคนอยากมาเที่ยวเมืองไทย มากมาย เพราะเป็นแหล่ง ท่องเที่ยว ที่ผิดแผก แตกต่างไป จากประเทศอื่น

เล่นการพนัน ดื่มสุรา เคล้านารี มั่วสุมอบายมุข ไม่ว่าแหล่งท่องเที่ยว ของประเทศใดในโลก ก็มีทั้งนั้น อย่าตามก้นเขา จะได้ไหม อย่าเสียดายเลย

เรามาสร้างประเทศไทย ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เชิงศีลธรรมกันดีกว่า

เราจะได้ความบริสุทธิ์ จากการท่องเที่ยว และสังคม ก็จะเพียบพร้อมสมดุล ทั้งความเจริญทางวัตถุ และจิตใจ

ประเทศไทยอาจจะไม่ใช่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และการทหาร หรือ เทคโนโลยีอื่นใด

แต่ประเทศไทยมีสิทธิเป็นมหาอำนาจทางศิลปวัฒนธรรม ศาสนา และ เกษตรกรรม ธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้มีค่า มีคุณค่าเหนือกว่า
เงินตรา และความศิวิไลซ์ แบบตะวันตก

ขอชื่นชมความคิดบริสุทธิ์ของ ฯพณฯ รัฐมนตรี วันมูหะมัดนอร์ มะทา ท่านเป็นอิสลามิกชน ที่ดีคนหนึ่ง ซึ่งมีความคิดสร้างสรรค์ และ ฯพณฯ เป็นรัฐมนตรี ที่ดีคนหนึ่ง ที่กล้าหาญ เอ่ยคำว่า "การท่องเที่ยวเชิงศีลธรรม" ศาสนิกชน อย่างนี้... ผู้บริหารประเทศ เช่นนี้ ควรอยู่บริหาร นานๆ เพราะประเทศชาติ อยู่รอดก็เพราะ มีผู้บริหารที่มี "สำนึกบริสุทธิ์" เยี่ยงนี้

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๓๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๔)