เราคิดอะไร.

ชีวิตนี้มีปัญหา ๒

[รายละเอียดของ"กัมมัสสกะ"หรือ"กัมมัสสโกมหิ" และ "กัมมทายาโท" ก็ได้อธิบายไว้ในฉบับที่ ๖๙-๗๙ ไปแล้ว และ เรื่องของ "กัมมโยนิ" ก็ได้อธิบายในฉบับที่ ๗๙-๙๐ จนจบไปแล้ว ในฉบับที่แล้วกำลังอธิบายถึง "กัมมพันธุ" ตอนนี้เรากำลังอธิบาย ถึงเรื่องของ "รูปพรหม-อรูปพรหม "หรือ "รูปฌาน-อรูปฌาน" แบบพุทธ และกำลังเจาะลึกถึง "อารมณ์ของฌาน" แล้วก็กระจายความ ไปถึง "โลกียรส" กับ "ธรรมรส" ว่ามีความแตกต่างกันในนัยละเอียด อย่างไร กระทั่งอธิบายมาถึง "การเข้าถึงไตรลักษณ์" และกำลังแจก ละเอียด หยั่งลึกลงไปถึง "อุปาทาน" ลงไปถึง "อัตตา" ซึ่งเป็นเรื่องลึกสำคัญยิ่ง สำหรับผู้ปรารถนา จะหลุดพ้น ไปถึงขั้นนิพพาน ก็จะต้องปฏิบัติกัน ให้ถึง "อนัตตา" ทีเดียว และผู้จะถึง "อนัตตา"ได้นั้น ก็จะต้องเป็นผู้สามารถแยก "เวทนาในเวทนา" ลงไปถึง "เคหสิตเวทนา" อันเป็น "โลกียะ" กับ "เนกขัมมสิตเวทนา" อันเป็น "โลกุตระ" ว่าแตกต่างกันอย่างไร แล้วจึงจะ "ดับโลกียะ" สนิทเป็น "อนัตตา" หรือ "พ้นจากโลกียะ" เข้าสู่ "โลกุตระ" ได้สำเร็จ โปรดอ่านต่อได้เลย]
(ต่อจากฉบับที่ ๑๓๖)


ไม่ใช่ "ภพ" ที่เป็น "รูปภพหรืออรูปภพ" ซึ่งผู้จะ "ได้อาศัย" ต้องสร้างขึ้นมาให้แก่ตนอีกที ไม่ใช่ "ชาติ" ที่ต้องมีความเกิด ซ้อนขึ้นมาเสพสม สุขสมบำเรอตน อยู่ในจิตเหมือน "โลกียรส-โลกียารมณ์" แต่เป็นการ "ดับรสโลกีย์-ดับชาติโลกียารมณ์-สิ้นภพโลกีย์" ในตนสนิท ชนิดเที่ยงแท้ ถาวรยั่งยืน ไม่ต้องไป "ทำเอา" จึงจะได้ อันไม่จบกิจสักที ไม่ต้องไปทำด้วยวิธี อย่างที่เคยทำ เพื่อให้เกิด "อารมณ์สูญ" ขึ้นมาอีกแล้ว เสร็จแล้วเสร็จเลย ว่างแล้วก็เป็นอันว่าง ถาวรยั่งยืน ไม่มีอาการเป็นอื่นอีก ไม่ต้องทำกันอีก ตลอดไป

"สุญญตวิหาร" หรือ "อารมณ์สูญ" ชนิดพิเศษนี้ มันได้แล้วได้เลย ได้แล้วมันสำเร็จแล้ว "จบกิจ"แล้ว เป็นสภาพ" ปกติ"แล้ว ไม่ต้องทำใดๆ เพื่อให้เกิด "อารมณ์สูญ" ขึ้นมาให้แก่ตนอีกแล้ว

ซึ่งในความละเอียดลึกซึ้งนี้ นักปฏิบัติที่ปฏิบัติ แบบนั่ง "สมาธิ" ก็ดี หรือ แบบสะกดจิตด้วยวิธีต่างๆก็ดี สมาธิแบบฤาษีดาบส เก่าก่อน ทั้งหลาย ก็ตามนั้น จะต้อง "สร้างภพ-สร้างอรูปภพ" ให้แก่ตนเสพ จนสำเร็จ แล้วหลงว่า "รูปหรืออรูป ที่สำเร็จด้วยใจ" (มโนมยอัตตา หรืออรูปอัตตา) นั้นคือ "อารมณ์วิมุติ-อารมณ์นิพพาน" แล้วก็เฝ้าทำ เฝ้าสร้าง อยู่อย่างนั้น ให้ช่ำชองชำนาญ เมื่อได้ "อารมณ์ว่าง" ซึ่งก็แล้วแต่ใครจะ "ยึด" เอาอารมณ์ว่างขนาดไหน ก็แต่ละของใคร บ้างก็ "ยึด" เอาตั้งแต่ "อารมณ์ฌาน ๔" ที่มี "อุเบกขา เป็นอารมณ์" ว่านี่คือ "นิพพาน" บ้างก็เอา "อรูปฌาน" ขั้นใดขั้นหนึ่ง ว่าคือ "นิพพาน"

เช่น หลงยึดเอา "อากาสานัญจายตนะ" เป็น "นิพพาน" ก็มี หรือหลงยึดเอา "วิญญาณัญจายตนะ" เป็น "นิพพาน" ก็มี หลงยึดเอา "อากิญญจัญญายตนะ" เป็น "นิพพาน" ก็มี หรือไม่ก็ยึดเอา "เนวสัญญานาสัญญายตนะ" เป็น "นิพพาน" ก็มีกันมา ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ จนกระทั่ง วินาทีแห่งวันนี้ แค่หลงยึดเอา "กามคุณ ๕" เป็น "นิพพาน" ก็ยังมีเลย

หรือแม้แต่ "สมมุตินิมิต" ใหม่ๆที่คิดว่า เป็น "ความละเอียดความว่าง" หรือ "ความวิเศษ" อย่างใดก็ตามแต่ ผู้นั้นจะนึกฝันเอา เมื่อ "สมมุติ" ได้แล้วก็เพียร "ปั้นสร้างใส่ในใจ" โดยการ "ทำสมาธิ" ตามแบบของตนนั่นแหละ จนกระทั่งสำเร็จในใจ ผู้ที่ "สร้างรูปภพ-สร้างอรูปภพ" ตามที่ว่านี้ มีอยู่มากเกลื่อนกล่น ในวงการนักปฏิบัติธรรม จึงหลงวิมานสวรรค์ หลง "เมืองนิพพาน" ลวง ตามนัยที่ว่านี้ กันมากมายดาษดื่น ในหมู่เหล่าที่ปฏิบัติ ด้วยการยึดว่า "ทำสมาธิ" เอา นี่แหละ จึงจะเป็นทางไปนิพพาน ไม่มีทางอื่น

หรืออีกอย่าง ที่หลงติดหลงยึดกันอยู่มาก ก็คือ...มีผู้สามารถรวม "พลังงานสมาธิในจิต" ได้ แล้วเอาไปใช้งานรักษาไข้บ้าง ทำนายบ้าง ทำโน่นทำนี่อะไรต่างๆ

ซึ่งพลังงานสมาธิอันเป็นพลังงานทางจิตรวมได้เป็นพิเศษ ย่อมเกิดความสามารถพิเศษ ที่ทำอะไรต่ออะไร ได้เกินกว่าสามัญ ก็เป็นได้ มีกันเกลื่อนเมือง เรียกชื่อ ว่า แสงอย่างนี้ พลังอย่างนั้น อะไรต่ออะไรไปนานา ซึ่งมี ผลจริงบ้างก็มี ไม่จริงบ้างก็มาก ก็หลอกกันบ้าง มีส่วน จริงบ้างบางส่วน เพราะคนเหล่านี้ ยังไม่หมดกิเลส ไม่ได้ปฏิบัติลดกิเลสอย่าง "สัมมาทิฏฐิ" ย่อมไม่สามารถ ลดกิเลสได้จริง จึงยังไม่มี หลักประกัน ที่แท้จริง ย่อมยังมี "มานะ" มี "อัตตาที่เป็นกิเลส" แน่นอน ดังนั้น ก็ย่อมไม่บริสุทธิ์ ซื่อสัตย์จริง เรื่องอย่างนี้ ที่พากันหลงติด หลงยึด กันไปกับ "ผล" พลอยได้พวกนี้ เห็นเป็นเรื่องวิเศษ ก็หลง กันอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง เป็นเรื่องหลงยึด หลงติดกันไป เสียเวลา เป็นชาติแล้วชาติเล่า กันมานานแสนนานแล้ว

[มีต่อฉบับหน้า]

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๓๗ ธันวาคม ๒๕๔๔)