เราคิดอะไร.

สายฝนแห่งเมตตา (มัจฉชาดก) ชาดกทันยุค


‘ ในที่ใดเดือดร้อนแล้งกันดาร
ย่อมต้องการเมตตามหาศาล
ราวสายฝนพราวฟ้าพรมประทาน
ให้พ้นพาลภัยทุกข์ที่เบียดเบียน

มัยหนึ่งในแคว้นโกศล ฝนขาดช่วงนาน ไม่ตกเลย บรรดาข้าวกล้าทั้งหลายเหี่ยวแห้งหมด แอ่งน้ำ และสระน้ำ ในที่นั้น แห้งขอด แม้แต่ สระโบกขรณีเชตวัน ซึ่งอยู่ใกล้ซุ้มประตู พระเชตวันมหาวิหาร ก็แห้งเป็นโคลนตม

เหล่าฝูงนกฝูงกา ได้โอกาส พากันรุม ใช้จะงอยปาก จิกทึ้งหาปลา และเต่า ที่กระเสือก กระสนอยู่ในเปือกตม เอามากินทั้งๆที่ ดิ้นรน ทุกข์ยาก ลำบากอยู่

เมื่อพระศาสดาได้ทอดพระเนตร เห็นความพินาศของฝูงสัตว์น้ำทั้งหลายนั้น ด้วยพระมหากรุณาของพระองค์ ทรงเตือนพระทัยให้ทรงอุตสาหะว่า

"วันนี้เราควรจะให้ฝนตก ช่วยเหลือสัตวโลกทั้งหลายไว้"

ครั้นราตรีสว่างแล้ว ทรงออกบิณฑบาตพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จเข้าสู่พระนครสาวัตถี ต่อเมื่อเสด็จกลับแล้ว ภายหลังภัตร เรียบร้อย ก็เสด็จไปประทับยืนอยู่ ที่บันไดของสระโบกขรณีเชตวัน แล้วตรัสเรียก พระอานนท์มา ทรงกล่าวว่า

"ดูก่อนอานนท์ เธอจงเอาผ้าอาบน้ำมา เราจะสรงน้ำในสระโบกขรณีเชตวัน"

พระอานนท์ฟังรับสั่งแล้วก็สงสัย ทูลถามกลับไปว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็น้ำในสระแห้งขอด เหลือแต่เพียงเลนตม เท่านั้น มิใช่หรือ พระเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคทรงตอบ พร้อมทั้งสำทับย้ำอีกว่า "ตามธรรมดาแล้ว กำลังของพระพุทธเจ้า ใหญ่หลวงนัก เธออย่า สงสัยเลย จงนำเอา ผ้าอาบน้ำมาเถิด"

ได้ยินดังนั้น พระอานนท์จึงไปนำผ้ามาถวาย ครั้นพระศาสดาทรงนุ่งผ้าอาบน้ำ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ประทับยืนอยู่ที่ บันไดสระน้ำ ทรงอธิษฐาน (ตั้งใจ) ด้วยพระมหากรุณาธิคุณว่า "เราจะสรงน้ำในสระโบกขรณีเชตวันนี้ ฝนจงตกลงมาเถิด"

ทันใดนั้นเอง...บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ (ที่ประทับ) ของท้าวสักกะจอมเทพ (หัวหน้าใหญ่ของผู้มีจิตใจสูง) ก็สำแดงอาการ ร้อนจัดขึ้น
จึงทรงตรวจหาสาเหตุ กระทั่งทรงทราบ ความตั้งพระทัย ของพระพุทธองค์แล้ว ก็รีบรับสั่งเรียก วลาหกเทวราช (ผู้มีจิตใจสูง อันเป็นเจ้าแห่งฝน) มาเฝ้า แล้วตรัสบอกว่า "พระบรมศาสดา ทรงตั้งพระทัย จะสรงน้ำ ในสระโบกขรณีเชตวัน ที่แห้งขอด ขณะนี้ ประทับยืน อยู่ที่บันไดสระแล้ว ท่านจงกระทำแคว้นโกศลทั้งหมด ให้มีพยับเมฆ พยับฝนไปทั่ว บันดาลให้ฝนตก โดยเร็วเถิด"
วลาหกเทวราช รับเทวบัญชาแล้ว ก็สำแดงอานุภาพ ทันใดนั้น ทันที ปรากฏหมู่เมฆ ขนาดลานนวดข้าว ซ้อนเป็นชั้นๆ หนาทึบ มีเสียง คำรณคำราม สายฟ้าแลบ แปลบปลาบ แล้วฝนก็ร่วงหล่น พร่างพราวฟ้า สาดเทลงมา ราวกับคว่ำหม้อน้ำใหญ่ เทลงมาฉะนั้น

ตลอดทั่วแคว้นโกศล จึงชุ่มฉ่ำ สายน้ำไหลบ่าไปทุกที่ ฝนตกอยู่ไม่ขาดสาย เพียงครู่เดียวเท่านั้น น้ำก็เต็มหนองบึง แม้สระโบกขรณีเชตวัน น้ำก็ล้นปรี่ ถึงบันไดชั้นบนสุด ที่พระผู้มีพระภาค ประทับยืนอยู่

เมื่อพระศาสดาสรงน้ำเสร็จแล้ว ทรงครองผ้าเป็นที่เรียบร้อย ก็เสด็จไปประทับอาสนะ (ที่นั่ง) ที่ปูลาดไว้ข้างพระคันธกุฎี (ที่พัก) ประทานโอวาท แก่ภิกษุสงฆ์ ทั้งหลาย หลังจากนั้นแล้ว จึงทรงพักผ่อน

ตกเย็นวันนั้นเอง หมู่ภิกษุประชุมสนทนากันในธรรมสภาว่า

"ท่านทั้งหลายจงดูเถิด ถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่คือ ขันติและความเมตตากรุณาของพระศาสดา ในยามที่ข้าวกล้าเหี่ยวเฉา บ่อน้ำเหือดแห้ง ฝูงปลาและเต่า ประสบทุกข์ใหญ่หลวง พระพุทธองค์ ทรงพระกรุณา ครองผ้าอาบน้ำด้วยมุ่งพระทัย จะให้สรรพสัตว์พ้นทุกข์ ทรงสามารถ บันดาลให้ฝนตกได้ ทรงปลดเปลื้อง ทุกข์กายทุกข์ใจ แก่มหาชนทั้งหลาย"

ขณะนั้นพระศาสดาพอดีเสด็จมาสู่ธรรมสภา ทรงทราบเรื่องที่เหล่าภิกษุ สนทนากันแล้ว จึงตรัสว่า "มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคต ทำให้ฝนตก ในยามที่สรรพสัตว์ พากันลำบาก แม้ในกาลก่อน เมื่อตถาคตกำเนิด เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ก็ได้เคยทำให้ฝนตก มาแล้ว เหมือนกัน"

แล้วทรงนำเรื่องเก่าก่อนนั้นมาตรัสเล่า

ในอดีตกาล มีลำห้วยแห่งหนึ่งล้อมรอบด้วยป่าเถาวัลย์รก เคยอยู่ตรงที่สระโบกขรณีเชตวันในปัจจุบันนี้เอง

ครั้งนั้นมีปลาฝูงหนึ่ง อาศัยอยู่ในลำห้วยนั้น โดยมีปลาจ่าฝูงคอยดูแล รักษาบริวารทั้งปวง แม้ในคราวนั้น ท้องที่แถบนั้นทั้งหมด ก็แล้งฝน ข้าวกล้า ของพวกมนุษย์ ก็เหี่ยวแห้ง บ่อบึงทั้งหลาย ก็แห้งเหือด แม้ลำห้วยนั้น ก็แห้งขอด ฝูงปลาและเต่า บรรดาสัตว์น้ำ นานาชนิด ต้องติดอยู่ ในเปือกตม รอความตาย จะมาถึง

หมู่นกการ่าเริง ยินดีนัก พากันบินมาหาเหยื่อ รุมจิกทึ้งฝูงปลา ด้วยจะงอยปาก สร้างความพินาศ ให้แก่ฝูงปลา เป็นอันมาก แม้จะพยายาม ซุกซ่อน อยู่ในโคลนตมก็ตาม หัวหน้าจ่าฝูงปลา จึงคิดขึ้นว่า

"ผู้อื่นใครเล่าจะมาปลดเปลื้องทุกข์ให้แก่ฝูงปลานี้ได้ นอกเสียจาก เป็นเราผู้เดียวเท่านั้น เราจะกระทำ สัจจกิริยา (การตั้งจิต ให้ด้วยการ กล่าวแสดง ความสัตย์จริง) ให้ฝนตก ให้หมู่ญาติของเรา รอดพ้นจากความตายไปได้"

ตั้งจิตอธิษฐานดังนั้นแล้ว หัวหน้าจ่าฝูงปลา จึงแหวกเปือกตมสีดำสนิท ขึ้นสู่ผิวของโคลนเลน ปรากฏกายสีเหมือน ต้นอัญชัน ดวงตา ทั้งสอง สุกใส ดังแก้วมณีเจียระไน แหงนหน้ามอง ท้องฟ้าเบื้องบน แล้วเปล่งเสียง สำเนียง ก้องกังวาน แจ่มใสว่า

"ข้าแต่เจ้าแห่งฝน ข้าพเจ้าและพวกญาติมิตรทั้งหลายเดือดร้อนมาก ขอให้ท่าน จงตกลงมาเถิด ในเมื่อข้าพเจ้า เป็นผู้ทรงศีล กำลัง ลำบากอยู่ ไยท่านไม่ช่วย ให้ฝนตกลงมาเล่า ข้าพเจ้า แม้จะเกิดในฐานะ ที่จะกัดกิน พวกเดียวกันได้ แต่ก็ยังไม่เคย เบียดเบียน ทำลาย ชีวิต ผู้อื่นเลย นับจากปลาเล็ก ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร ไปจนถึงสัตว์ใหญ่อื่นๆ ข้าพเจ้ามิได้เคย แกล้งฆ่าชีวิตใดเลย

ด้วยสัจวาจานี้ ข้าแต่ฝน...ขอท่านจงตกลงมา จงทำลายขุมทรัพย์ของกาเสีย จงทำกาให้เศร้าโศก ด้วยการจับกินปลาไม่ได้ ช่วยปลดเปลื้อง ข้าพเจ้า และหมู่ญาติ ให้พ้นทุกข์ทรมาน จากการรอ ความตายด้วยเถิด"

สิ้นกระแสเสียงของสัจวาจานั้น เมฆฝนก็ก่อตัวปกคลุมหนาทึบทั่ว แล้วฝนห่าใหญ่ ก็ตกเทลงมามากมาย ทำให้มหาชน พ้นภัยจาก ความอดอยาก ขาดแคลน และสัตว์น้ำทั้งหลาย ก็พ้นทุกข์ จากความตายไปได้
............................
จบชาดกนี้แล้ว พระศาสดาก็ตรัสว่า
"ฝูงปลาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัทในบัดนี้ ส่วนเจ้าแห่งฝน ได้มาเป็นพระอานนท์ ในบัดนี้ และ หัวหน้าปลาจ่าฝูง ได้มาเป็นเรา ตถาคต นี่เอง"

ณวมพุทธ
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๗๕, อรรถกถาแปลเล่ม ๕๖ หน้า ๒๐๔)

พร่างพรูน้ำใจให้แล้ว
พราวแพรวเมตตากล้าหาญ
น้ำใสใจฟ้าประทาน
ฟ้าปานที่ซึ่งพึ่งพา


(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๓๗ ธันวาคม ๒๕๔๕)