เราคิดอะไร.

สงครามศาสนา
เวทีความคิด ‘เสฏฐชน

ตั้ง ตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ เป็นต้นมา ข่าวเด่นเป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ คงจะไม่มีเรื่องใดล้ำหน้าอยู่ในตำแหน่งแชมป์ เท่ากับเรื่อง "ผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ" หรือ "การก่อวินาศกรรม ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา" จนกระทั่ง ทำให้เกิดการวิพากษ์ วิจารณ์ไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะคำทำนาย ของนอสตราดามูส ชักจะนำให้เชื่อถือ เรื่องชนวนการเกิด ของสงครามโลก ครั้งที่ ๓

สงครามภายนอกเกิดขึ้นเพราะใคร? อะไร? หากจะนำหลักธรรม ทางพระพุทธศาสนา มาวิเคราะห์แล้ว ตอบได้ทันทีเลยว่า สงคราม
ภายนอก เกิดเพราะคน เพราะความพ่ายแพ้ จากสงครามภายใน เพราะคนไม่อาจเอาชนะ สงครามจิต ของตัวเองได้ ต้องพ่ายแพ้ ตกเป็นทาส ของคู่ต่อสู้ คือ กิเลส ไม่ว่าจะเป็นราคะ โทสะ โมหะก็ตาม
ความพ่ายแพ้สงครามด้านใน เป็นเหตุให้เกิด สงครามด้านนอก

ถ้าคณะผู้ก่อการร้ายปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนา ไม่ว่าจะเป็น จะใช่บิน ลาเดน หรือไม่ก็ตาม ที่เป็นชาวมุสลิม นับถือศาสนา
อิสลาม อย่างเคร่งครัด จะระลึกถึงคำสอน ในพระคัมภีร์อัลกุรอานที่เป็น "ข้อห้าม" ซึ่งมีอยู่หลายข้อ ขอยกตัวอย่าง ๓ ข้อ ที่มีน้ำหนัก และ สอดคล้อง กับการนำมาตัดสินพฤติกรรม ของผู้ที่จะลงความเห็นว่า "บิน ลาเดน" หรือคณะผู้ก่อการร้าย ประเทศอเมริกานี้ ผิดหรือถูก เช่น ห้ามทำลายทรัพย์สิน หรือปัจจัยยังชีพ ๑ ห้ามก่อเหตุวุ่นวายจลาจล ๑ ห้ามการฆาตกรรม และอัตวินิบาตกรรมอีก ๑ในส่วนของ "ข้อต้องทำ" ก็มีอยู่หลายข้อ ยกตัวอย่างเพียง ๓ ข้อ คือ การเชิญชวน กันทำความดี หรือ เรียกร้องตักเตือนกัน ให้ละเว้น ความชั่ว ๑ ความอดกลั้น และอดทนต่อความลำบาก ๑ การให้ความร่วมมือ ในการรักษา ความสงบเรียบร้อย ในบ้านเมืองอีก ๑

ที่ยกหลักคำสอนในพระคัมภีร์อัลกุรอานมาทั้งข้อห้าม (เว้น) และข้อต้องทำ (จริยธรรม) มาเพื่อให้เห็นกันชัดๆ เจนๆ ว่า ไม่เป็น ความถูกต้องเลย ถ้าหากมุสลิมคนใด จะสนับสนุนพฤติกรรม ของบิน ลาเดน แม้จะอ้างว่า เพื่อตอบแทน ความไม่ดี ของสหรัฐฯ เพราะการตอบแทนความไม่ดี ด้วยการทำไม่ดี หาใช่เป็น การยุติเรื่อง แต่ประการใด เรื่องกลับ จะบิดเบือน เพี้ยนออกไป จากความจริง มากขึ้นด้วยซ้ำ

แม้คนไทยเอง หรือคนชาติไหนก็ตาม ที่นับถือศาสนาพุทธ จะเข้าใจว่าสหรัฐฯ ได้รับผลตอบแทน สมกับกรรมของตน ที่เคยไป ประทุษร้าย คนอื่น ก็สมน้ำหน้าแล้ว การคิดเช่นนั้น ไม่เข้าในหลักธรรม ของพระพุทธศาสนา ที่ว่า "เวรย่อมระงับ ด้วยการไม่จองเวร" ไม่พึงบังควร ที่จะไปตอบแทน ด้วยวิธีร้ายกาจ พอๆ กัน หรือกระทำการ อันที่ตนไม่อยากให้ใคร มากระทำกับตน เพราะขึ้นชื่อว่า ความรักแล้ว ไม่มีสิ่งใดอะไร ที่จะเป็นที่รักเท่ากับตน ฉะนั้น ผู้รักตน ย่อมไม่ทำร้าย เบียดเบียนคนอื่น เพราะการทำร้ายคนอื่น เป็นการสร้าง ผลร้าย ให้สะท้อนกลับมา สู่ตนภายหลัง ไม่อาจหลบหลีกได้ ผู้รู้ความจริงในข้อนี้ จะไม่หลงไปแก้ปัญหา ในทำนอง "ขิงรา-ข่าแรง, ตาต่อตา, ฟันต่อฟัน" แน่นอน และ "ผู้ชนะ คือผู้กำลังก่อเวร ผู้แพ้ก็เป็นทุกข์"

แต่จะใช้หลัก "อภัย" ใช้หลักอดทนอดกลั้น แทน เพราะความอดทนอดกลั้น จะเป็นการสั่งสมเหตุที่ดี ทำให้เราพ้นทุกข์ หลุดจากปัญหา

แม้ประเทศยุโรป อเมริกา หรือประเทศอื่นๆ ที่นับถือศาสนาคริสต์ก็ดี ถ้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน ที่นับถือพระเจ้าจริง ก็จะต้องปฏิบัติ ตามน้ำพระทัย ของพระเจ้า คือ "จงรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง" และ "จงช่วยเหลือศัตรูเสมอด้วย การช่วยเหลือญาติมิตร" มิหนำซ้ำ ยังย้ำบอกถึง ความหนักแน่นในความอดทน ที่ค่อนข้างทำได้ยาก อีกข้อหนึ่งก็คือ "เมื่อเขาตบแก้มซ้ายของท่าน จงยื่นแก้มขวา ให้เขาตบด้วย"

โดยแท้แล้ว พระศาสดาของทั้ง ๓ ศาสนา คือ อิสลาม, คริสต์, และพุทธนั้น มีพระประสงค์ เดียวกัน คือ ให้โลกนี้ยุติสงคราม ด้วยการ เอาชนะ สงครามกิเลส ในตัวเองให้ได้ คือความอดทน ต่อโทสะจิต ไม่ให้โทสะจิตสั่งการ ให้ไปทำร้าย ทำลายคนอื่น แม้แต่ ทำลายตัวเอง

ฉะนั้น ถ้าหากชาวมุสลิมจะส่งเสริม "บิน ลาเดน" ในการไปรบกับสหรัฐฯ ที่จะต้องมีการฆ่า ทำลายชีวิตกันขึ้น หรือสหรัฐฯ จะตอบแทน บิน ลาเดน โดยการไปทำร้าย ฆ่าชีวิตชาวมุสลิม ที่สนับสนุน บิน ลาเดน ที่เป็นชาวมุสลิมด้วยกัน หรือบิน ลาเดน จะใช้เล่ห์เพทุบาย ปลุกระดม โดยอ้างเอา ความเป็นมุสลิม นับถือศาสนาอิสลาม มาเป็นสื่อเชื่อม ให้มีน้ำหนัก กับการกระทำ อันมิชอบของตัวเอง ก็ไม่น่าที่ชาวมุสลิม ที่อาศัยอยู่ ในทุกประเทศ จะอ่อนไหว เชื่อถือตาม โดยไม่ใคร่ครวญ ให้อยู่ในร่องในรอย ของหลักธรรม ทางศาสนาอิสลามด้วย

หรือชาวพุทธเองก็ตาม ถ้าจะสะใจที่สหรัฐฯ ได้รับวิบากอกุศลกรรมตอบแทน ที่เคยไปเบ่ง ข่มเหงชาติอื่นๆ ศาสนาอื่น แล้วเบี่ยงเบน
หลักธรรม ให้เข้ากับความสะใจ ของตัวเอง เป็น "กฎแห่งกรรม" เพี้ยนๆ จนมีความรู้สึก เห็นด้วยกับการที่สหรัฐฯ จะได้รับความฉิบหาย จากพฤติกรรม ก่อการร้าย ก็หาใช่ชาวพุทธแท้ๆไม่ เพราะในพระสูตรกล่าวไว้ว่า "แม้ใครจะมาด่าว่าตถาคต หากใจของเธอ คิดประทุษร้ายเขา เธอก็หาชื่อว่าสาวกของตถาคตไม่" ขนาดพระศาสดา ยังกล่าวถึงปานนี้ แล้วมนุษย์อีกมากมาย ก่ายกองล่ะ จะมิสำคัญกว่า พระองค์เอง องค์เดียวหรือ?

ฉะนั้น สงครามโลกครั้งที่ ๓ จะเกิดหรือไม่เกิด คำตอบอยู่ที่ศาสนิก ของแต่ละศาสนา ทั้ง ๓ พ่ายแพ้ หรือชนะสงครามศาสนาใน ตัวเอง หรือไม่? ที่ศาสนิกจะพยายามน้อมนำเอา หลักธรรมคำสอน ในศาสนา ที่ตนนับถือ มาสั่งสอน อบรม คลี่คลายโทสะจิต ของตัวเอง

สงครามศาสนาก็คือ ถ้าอิสลามิกชน ชนะกิเลสตัวเอง โดยยึดหลักคำสอนของศาสดา ดังที่ยกตัวอย่าง มาข้างต้น เหนียวแน่น ก็จะทำให้ ความคิดประทุษร้ายเขา หรือคิดตอบแทน เขาด้วยวิธีฆ่า วิธีรุนแรง ก็จะหายไป

ถ้าคริสต์ศาสนิกชน ชนะกิเลสตัวเอง โดยปฏิบัติตามหลักของพระเยซู ที่ให้สาวก รักศัตรู เหมือนรักเพื่อนบ้าน การทำร้ายเพื่อนบ้านกัน ก็จะไม่เกิดขึ้น

ถ้าพุทธศาสนิกชน มีสัมมาทิฐิเรื่อง "กฎแห่งกรรม" คือ ยังมั่นคง แม่นเป้า ในความหมาย ของคำว่า "กรรม" ที่ย่อมเป็นของ เฉพาะบุคคล เป็นตัวเหตุ และผลของบุคคล ผู้ก่อกรรมนั้นๆ เป็นผู้ให้ผลตอบแทนแก่ ผู้กระทำกรรมนั้นๆ แล้วโดยกฎแห่งกรรมจริงๆ มิต้องมีอคติ อย่างใดอย่างหนึ่ง (ในอคติ ๔) เข้าไปสอดแทรก ก็จะเข้าใจได้ดีว่า เรื่องที่เกิดขึ้น คือเรื่องกรรมของคน และคน ไม่ว่าฝ่ายไหน ไม่ว่าคน ของศาสนาใด จะต้องศึกษา และดูแลตัวเอง ไม่ใช่เรื่องภายนอก ที่เป็นเพียงสมมติ อาศัยชั่วครั้งชั่วยาม เท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ เท่านั้น แต่กฎแห่งกรรม จะเป็นผู้ตัดสิน ที่ยุติธรรม ถูกตรงที่สุด ชาวพุทธก็จะไม่สะใจ ร่วมกับเจ้าของโทสะจิตคนใด เพราะหากจะให้เรื่องนี้ ถูกต้องตรงตัวที่สุด ก็ควรหาตัวผู้บงการ และผู้ก่อวินาศกรรมจริงๆ ให้ได้ แล้วตัดสินตรงพฤติกรรม ของเขาว่า เขาทำร้ายชีวิตคน เขาทำลาย ทรัพย์สิน ของผู้อื่น โดยไม่ต้องนำ เอาเรื่องอื่น มาปะปน ให้ผิดเพี้ยน และสับสน

การทำความเข้าใจ ความกระจ่างในนัยะดังกล่าวนี้ต่างหาก ที่ทำให้ยุติสงครามได้ แต่ถ้าหากบุคคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศาสนิก ของศาสนาไหน หรือคนชาติไหน ที่อาจจะคำนึงเพียงส่วนผลประโยชน์ร่วม หรือความสัมพันธ์ร่วม ด้านการเมือง เศรษฐกิจ เชื้อชาติ ศาสนา โดยไม่นำเอาหลักธรรม หลักกรรมสากล และเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันทั้ง ๓ ศาสนา (พุทธ คริสต์ อิสลาม) มาเป็นแก่นแกน ในการวิเคราะห์ วิจัย รู้สึก ตัดสิน ก็จะโต้เถียง วิจัย วิจารณ์ วิเคราะห์ออกนอกรีต นอกรอยจากสัจธรรม ยิ่งๆ ขึ้นไปทุกที ลักษณะ เช่นนี้แหละ คือ "สงครามศาสนา" และคือ "สงครามโลก" ได้เกิดขึ้น

เพราะศาสนิกของทั้ง ๓ ศาสนา ต่างก็ไม่ได้เข้าใจถึงแก่นแท้ ของศาสนาของตนๆ จริงๆ นั่นคือ ศาสนิกแต่ละคน ของทั้ง ๓ ศาสนา ก็กำลังทำสงคราม กับหลักคำสอน ของศาสนา ที่ตนนับถือนั้นๆ แล้วจริงๆ ส่วนสงครามโลก อันคือ กายยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมด้วย สัญญาและใจ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ก็ย่อมได้รับความเดือดร้อน ติดตามมา เป็นการขยายผล ของการพ่ายแพ้สงคราม ด้านในของทุกๆ ฝ่ายนั่นเอง

เพราะฉะนั้น สงครามศาสนานี่แหละยิ่งใหญ่ และน่ากลัวกว่าสงครามอาวุธ สงครามคร่าชีวิตร่างกาย เพราะอาวุธสามารถใช้เวลา และเทคนิคต่างๆ ทำลายให้อาวุธนั้นหมดไปได้ง่าย ชีวิตร่างกายก็ซ่อม และเกิดใหม่ได้

แต่สิ่งที่ทำลายยากคือ มิจฉาทิฐิ สักกายทิฐิ จิตวิญญาณก็ซ่อมยาก เกิดใหม่ที่ดีกว่าได้ยาก มันน่ากลัวกว่าเป็นไหนๆ ดังพระดำรัส ของพระพุทธเจ้า ที่ว่า "จิตที่บุคคลตั้งไว้ผิด เป็นศัตรู และประทุษร้ายบุคคลนั้น ได้ร้ายแรงยิ่งกว่า ศัตรูต่อศัตรู ทำร้ายทำลายกัน"

ผู้เขียนจึงมีความเห็นว่า ถ้าศาสนิกของทุกศาสนา จะพยายามระมัดระวัง หรือไม่ก่อสงคราม กับศาสนาของตน ไม่พยายามขวนขวาย
สร้างเหตุผลเบี่ยงๆ เบนๆ ที่จะไม่ทำตามหลักธรรมคำสอนของ ศาสนาของตนๆ คือ "อย่าทำร้ายตนเอง และอย่าทำร้ายผู้อื่น" หรือ "อย่าฆ่าตัวเอง และอย่าฆ่าผู้อื่น" สงครามศาสนา ก็จะไม่เกิด นั่นคือสงครามโลก ก็จะไม่เกิดขึ้นด้วย แต่ถ้าหากศาสนิก ของทั้งสามศาสนา ไม่ประพฤติ ตามหลักสันติธรรม ในศาสนาของตนๆ ไม่ต้องรอให้สหรัฐฯ ยกกองทัพเรือ กองทัพบก กองทัพอากาศ หรือขีปนาวุธใดๆ ไปบอมบ์ที่ไหนๆ หรอก ก็ชื่อว่าสงครามโลกได้เกิดขึ้นแล้ว ในโลก

แล้วเราจะมาแต่คอยนั่งดู คาดคะเน แข่งขัน พนันกัน คิดเทียบปัญญา การประเมินสถานการณ์ ระหว่างชาติ ระหว่างประเทศ ระหว่างคน ฯลฯ เพียงเพื่อความปลื้มเปรม ในสติปัญญาของตน หรือของใครๆ หรือมามัวแต่ชื่นชม สงสัยในคำพยากรณ์ของใคร ทั้งที่เป็นอดีตกาล นานโพ้น หรือที่กำลังแข่งขันกัน แสดงเชาว์ปัญญา ในปัจจุบัน โดยไม่มองต้นเหตุ แก่นแท้ที่แท้จริงของคำตอบ จะได้ประโยชน์อะไร แล้วจะแน่ใจหรือว่า เป็นคำตอบสุดท้าย

ปัจจุบันสหรัฐฯ ได้ส่งกำลังนักรบ และอาวุธร้ายแรงไปกระหน่ำอัฟกานิสถานแล้ว และผู้นำประเทศไทย ก็กำลังประมวลความคิดเห็น อย่างรอบคอบที่สุด ที่จะตอบสนอง เหตุการณ์ครั้งนี้อย่างไร เมื่อผู้นำสหรัฐฯ กล่าวอย่างชัดเจนว่า ประเทศใด ที่ไม่สนับสนุนสหรัฐฯ ก็ถือว่าประเทศนั้น ยืนอยู่ข้างฝ่ายผู้ก่อการร้าย

ผลประโยชน์ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ เป็นปัจจัยสำคัญในการบีบคั้น ให้ศาสนิกในทุกศาสนา จำต้องละเว้น หลักธรรม ไว้ก่อน เพราะ "หลักกู" ของผู้นำ และประชาชน ของแต่ละชาติ ที่ยังมี "ตัวกูของกู" มีมากกว่า ร้อนแรงกว่า ทำให้ "จำนน" จน "จำต้องเป็น อาชญากร" ไปด้วยกัน

จึงได้แต่มองความจริงตามความเป็นจริง แล้วภาวนาแต่เพียงว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตาม....กัน" ตามประสาสัตว์โลก ผู้ยังมีกรรม และยังไม่พ้น จากบ่วงของกรรม" มิหนำซ้ำเป็น "ทุจริตกรรม" ด้วย จึงต้องเรียกมันว่า "สงคราม" ก็แม่นแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสนิกคนใด ที่ไม่ได้ปฏิบัติ ตามแก่นแท้ ในหลักคำสอนของศาสนา ผู้นั้นแหละ คือ ผู้กำลังถูกผู้ก่อการร้าย วางวินาศกรรมให้แก่ตัวเอง และผู้นั้น กำลังทำสงคราม กับศาสนาอยู่ เพราะปฏิบัติตน ขัดแย้งกับหลักคำสอน ในศาสนานั่นเอง

นับว่าเป็นข้อสรุปที่ "ยุติธรรม" สำหรับ "โลกียธรรม" เพราะเป็นผลมาจาก การตัดสินใจของ "โลกียชน" ที่เขาหาข้อยุติ ได้เพียงระดับนี้ ตามสติปัญญา เพียงแค่นี้ จึงยากที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ จะไป "ยุติ" การ "ชน" กันของ กิเลสคนในครั้งนี้

ผู้แจ่มแจ้งที่เข้าถึงธรรมะอันประเสริฐ ที่เรียกว่า "โลกุตรธรรม" จึงต้อง "อุเบกขา" นั่นแหละคือ "ความเมตตา" ที่สุดแล้ว และ "ยุติธรรม" สำหรับทุกๆ ฝ่ายด้วย

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๓๗ ธันวาคม ๒๕๔๔)