เราคิดอะไร.

เรื่องสั้น...แม่น้ำ ลักขิตะ
ปีกแห่งความตาย

ล้อรถเก๋งบดไปบนถนนราดยางด้วยความเร็วสูง โครงสร้างเหล็กของรถห่อหุ้มกายฉัน และเพื่อนร่วมเดินทางอีกสามคน เบาะหน้าเพื่อนหญิงของฉัน นั่งอยู่กับคนขับ ซึ่งเป็นเพื่อนชาย ส่วนฉันนั่งอยู่เบาะหลัง อย่างระวังกิริยา เพราะว่า เพื่อนชายอีกคนหนึ่ง นั่งอยู่ข้างกายฉัน

รถวิ่งแหวกม่านราตรีพุ่งไปข้างหน้า มีรถคนเดินทางกลางดึกเช่นเรา สวนทางมาเป็นระยะๆ เราออกรถจากที่พัก เวลาประมาณตีสอง จุดหมายปลายทางนั้นยาวไกล เราเร่งเดินทาง เพื่อให้ถึงจุดหมายเมื่อฟ้าสาง

ชีวิตฉันแขวนอยู่กับพวงมาลัย และฝากไว้ในอุ้งมือคนขับ เขาเป็นเพื่อนชาย ร่างกายผ่ายผอม ดวงหน้าตอบ แห้งเหมือนขี้ยา แต่ทว่าเขาเป็นคนดี ที่ขาดแคลนยิ่งในสังคมปัจจุบัน ที่ฉันให้ความเคารพนับถือ เช่นเดียวกับ เพื่อนชายอีกคน ที่กำลังหลับเป็นตาย อยู่เบาะหลังข้างกาย เขานิทราอย่างไม่ยี่หระ ต่อสรรพสิ่งทั้งมวล พื้นที่ภายในรถ มีจำกัด ท่าหลับของเขา ทำให้เกะกะในความรู้สึก โดยเฉพาะแขนขา ซึ่งยาวเก้งก้างของเขา ทำให้ฉันต้องนั่ง อย่างกุลสตรี ที่สำรวมกิริยา เป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่ในความเป็นจริง ฉันมิได้เป็นเช่นนั้น และทำให้หลับไม่ลง

เพื่อนหญิงเอนเบาะหน้าลงนอนเมื่อรถวิ่งมาได้ช่วงเวลาหนึ่ง เธอเป็นผู้ชวนให้ฉันร่วมเดินทาง เป็นแม่ที่แสนดีของลูกๆ และเป็นสตรีที่มีน้ำใจ สุดพรรณนาออกมาได้สำหรับฉัน อายุอานามของพวกเราทั้งสี่ ผ่านพ้นวัยหนุ่มสาว ก้าวย่าง อยู่ระหว่าง วัยกลางคน และกำลังมุ่งหน้า เข้าหาวัยชรา ในอนาคตอันใกล้

การเดินทางล่วงเข้าตีห้าโดยประมาณ รัตติกาลยังปิดแผ่นฟ้ามืดสนิท เสียงเพลงภายในรถ รู้สึกไม่เป็นที่พอใจ โสตประสาท ฉันขอให้เปลี่ยนเพลงเสียใหม่ เพื่อนหญิงทำตามคำขอ อย่างพร้อมใจ ไปเสียทุกอย่าง ฉันพอใจ อย่างเด็กได้ลูกอมหลากสี

แต่ในเสี้ยววินาทีแห่งความสุขนั้น ปีกแห่งความตาย ก็ได้กระพือขึ้นต่อหน้าฉัน!

บนทางโค้งของถนน มีกรวดหินเกลื่อนกระจาย อำพรางอยู่ในความมืด โดยที่คนขับไม่รู้ จึงพารถเก๋งพุ่งปราดเข้าไป ด้วยความรวดเร็ว แรงส่งปัดท้ายรถให้เสียการทรงตัว เฉไปขอบถนน คนขับประคองรถ กลับเข้ามาได้อย่างน่าใจหาย แต่รถก็ยังแฉลบ ข้ามเส้นทึบแนวกลางถนน คุณพระช่วย! มีรถคันหนึ่ง สวนทางตรงมา ในเสี้ยวเวลานั้น เพื่อนชายฉัน ตัดสินใจ หักพวงมาลัยกลับ อย่างรวดเร็ว รถพุ่งข้างทาง ซึ่งเป็นร่องริมถนน สุดความสามารถ ที่จะควบคุมรถ ได้อีกต่อไป คนขับวางมือจากพวงมาลัย มากุมหัว เพื่อนหญิงหวีดร้องสุดเสียง ฉันตะลึงงัน อย่างไม่คาดคิดว่า มันจะเกิด และมิทัน ตัดสินใจใด วงแขนแห่งอุบัติเหตุก็อ้าออกต้อนรับเรา...

"หนึ่ง-สอง-สาม-สี่" ฉันนับจำนวนรอบม้วนตลบของรถ พร้อมกับฟังเสียงโครมคราม จากการกระแทก ของตัวรถกับพื้น

เพียงอึดใจความพินาศสงบลง รถเก๋งกลับมาจอดนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชั่วครู่ที่ทุกคน ตะลึงงัน และสำรวจ สภาพชีวิตของตน ว่ายังไม่เป็นศพ ความมืด และความเงียบเข้าชอนไชทั่วอณู เพื่อนชายคนขับรถ เผ่นผางออก ไปดูแบตเตอรี่หน้ารถ ก่อนที่มันจะจุดประกายไฟระเบิด พร้อมเผาเราทั้งเป็น เมื่อเห็นว่าปลอดภัย จากการระเบิดแน่ เขาจึงหันมาห่วงใยสุขภาพ เพื่อนร่วมเคราะห์ ฉันชื่นชมในความรอบคอบ ของเขาอยู่ในใจ

เพื่อนหญิงของฉัน เธอปลอดภัย และสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เพื่อนชายขี้เซา กำลังตะกายออกไปทางกระจก ซึ่งแตกละเอียด เพราะประตูเปิดไม่ได้ เขาเหยียบหัวฉัน ส่งตัวเองออกไป โดยไม่รู้ตัว และแผ่นยาง สำหรับวางเท้า ก็มาโป๊ะปิดตรงหัวฉัน ให้เขาเหยียบได้อย่างเหมาะเหม็ง เพื่อนฉันหลุดรอดความตายได้ทุกคน และความเสียหาย ทางกาย ดูจะไม่มากมายนัก ส่วนตัวฉันเอง กลับเขยื้อนกายไม่ได้ นอนแน่นิ่ง อยู่เบาะหลัง อย่างจำนนต่อความตาย

พวกเขาต้องการให้ฉันขานรับว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่ฉันไม่สามารถรีดเสียงผ่านลำคอออกมาได้ ลมหายใจรวยริน จุกแน่น หน้าอกซีกซ้าย เหมือนมีก้อนอะไร เข้าไปอัดอยู่ภายใน เพื่อนฉันต่างหวาดวิตก เกรงว่า ฉันกำลังจะจากพวกเขา ไปสู่อ้อมอก แห่งความตาย ฉันยกมือขึ้น สื่อแสดงว่า ได้ยินทุกคำพูด ที่พวกเขากรอกเข้าหู และยืนยันว่า วิญญาณฉัน ยังเกาะติดร่าง

ทุกคนคลายปมกังวล เพื่อนคนขับรถผละตัวจากไปโบกรถที่สัญจรไปมา ขอความช่วยเหลือ ส่วนเพื่อนหญิง พาร่างมานั่งอยู่เคียงข้างภายในรถ เธอพร่ำคร่ำครวญโศกาเป็นที่สุด กล่าวโทษว่า แย่นักที่ชักชวน ให้ฉันมาร่วม เดินทางในครั้งนี้ เธอจาบัลย์ อย่างที่ฉันไม่อาจปลอบใจได้

เพื่อนชายโบกรถอยู่เป็นนาน แต่ยังไม่มีคันไหนจอดให้ความช่วยเหลือ ช่วงเวลาอันยาวนาน กับการรอคอยอยู่นั้น พลันได้ยินเสียง เพื่อนชายขี้เซาตะโกนลั่น! จิตฉันคิดประหวั่น เกรงเขาจะด่วนชิงตายไปเสียก่อน ภายหลัง จึงทราบเหตุ ที่เขาร้อง เพราะต้องการให้ทางเดินลมหายใจสะดวกขึ้น

ฉันรู้สึกเลือดในกายไหลทะลักออกที่หน้าแข้งขวา และเจ็บไปทั่วสรรพางค์กาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าอกซีกซ้าย เหมือนกระดูกส่วนนั้น โดนกระแทกแตกละเอียด หากต้องอยู่อย่างพิการ ฉันขอตายดีกว่า ฉันคิดและพยายาม
สื่อความคิดนั้น ให้เพื่อนหญิงได้รับรู้ แต่เธอคงจะไม่เข้าใจ เพราะฉันเค้นคำออกมา อย่างยากเย็น ทั้งแผ่วเบา

รถตำรวจเดินทางมาถึงเมื่อฟ้าใกล้สาง นายตำรวจเห็นสภาพรถ ที่ไม่ต่างจากกระป๋องน้ำอัดลม ถูกบี้หัวท้ายยับเยินไม่มีดี รถทั้งคัน แทบเป็นเศษเหล็ก เขาหลุดคำอุทานออกจากปาก อย่างอัศจรรย์ใจ เมื่อเห็นคนขับเดินปร๋อ และผู้ร่วมอุบัติภัย ไม่มีใครเป็นศพ มีก็แต่ฉันที่อาการ สาหัสสากรรจ์มากหน่อย นายตำรวจถาม ถึงเครื่องรางของขลัง ภายในรถ เพื่อนฉันตอบว่าไม่มี พวกเรามิเชื่อถือ ในสิ่งเหล่านี้ อาจเป็นกรรมดี ที่เคยทำในอดีต ช่วยชีวิตเราไว้ ก็เป็นได้ ฉันคิด
ร่างฉันยังคงนอนนิ่งอยู่ในรถ แม้ตำรวจจะมาถึงแล้ว แต่ทว่า ไม่มีใคร กล้าเคลื่อนย้ายตัวฉันไปไหน เพราะเกรง โครงสร้างภายใน ถูกกระทบเสียสภาพสมดุล ระหว่างการโยกย้าย และต่างก็ไม่รู้ว่า ภายในยับเยินแค่ไหน ฉันอาจตาย หรือพิการไปตลอดชีวิต หากใครสักคน ตัดสินใจผิดพลาด แม้เพียงนิด

น้ำเสียงผู้คนรอบกายฉัน ต่างเต็มไปด้วยความเครียด ระคนทุกข์ โดยเฉพาะ เพื่อนหญิง ซึ่งนั่งอยู่ข้างกายฉัน ดูเธอจะเป็นทุกข์ใจมาก ยิ่งกว่าคนใกล้ตาย อย่างฉันเสียอีก

นายตำรวจโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล พวกเขาตัดสินใจรอเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาล ไม่เสี่ยงที่จะย้ายตัวฉัน ออกไปจากรถ โดยทันที

ภาพลักษณ์ของเช้าอันโหดร้ายปรากฏชัด เมื่อกาลเวลาล่วงผ่าน ฉันได้แต่นอนรอ พร้อมขยอกความเจ็บปวด เข้าไว้ทุกเสี้ยวเวลา การรอคอย ดูจะเป็นเรื่องเลวร้ายแสนสุด รถพยาบาล ยังไม่ยอมโผล่หน้ามาสักที เพื่อนฉัน เริ่มกระวนกระวาย และบ่นว่าการทำงาน อันล่าช้า พวกเขาเป็นห่วงฉันมาก ทำให้สถานการณ์ ตึงเครียด ตลอดเวลา แห่งการรอคอย

"ทุกครั้งก็มาช้าอย่างนี้แหละครับ" นายตำรวจพูด คงหมายให้เราเข้าใจ ในสัจจะของความจริง

ฉันเปิดเปลือกตาอยู่ตลอดเวลา เกรงว่าหากหลับแล้ว ฉันจะกลายเป็น ดุจเจ้าหญิงนิทราตลอดกาล ฉันหันเห ความสนใจ จากรอบกาย กลับมาจมดิ่งลงก้นบึ้งแห่งความคิดคำนึง ปีกแห่งความคิด กระพืออยู่ในใจฉัน...

ร่างฉันเคยผ่านมีดผ่าตัดมาแล้วหนหนึ่ง และจะไม่ให้มีอีกเป็นครั้งที่สอง ฉันพร้อมจะจากร่างที่เสื่อมทรุดนี้ไป เพื่อให้จิตวิญญาณ ได้อาศัยร่างใหม่ที่ดีกว่า ฉันพยายามทำจิต ให้คิดถึงแต่สิ่งอันดีงาม ตัดความห่วงหาอาลัย พร้อมจะจากโลกนี้ไป อย่างสุคติ คนที่ตายอย่างสงบ จะได้เกิดใหม่ในท้องคนดี ส่วนคนที่ตาย อย่างทุรนทุราย ดวงวิญญาณ อาจเข้าสิงสู่ ในท้องหมา ฉันฟังมาเช่นนั้น และเชื่อด้วย

รถพยาบาลประหนึ่งว่าหายสาบสูญ เพื่อนๆ ฉันเริ่มกังวล เกรงลมหายใจฉันขาดสะบั้นก่อนทันรักษา พวกเขาตรวจ ความเคลื่อนไหว ของลมหายใจ และชีพจรฉัน ตลอดเวลา เมื่อทนรอต่อไปไม่ไหว จึงหันหน้าเข้าปรึกษากันอีกครั้ง

พวกเขาตัดสินใจเคลื่อนย้ายร่างที่นอนนิ่งของฉันในที่สุด โดยไม่รอรถพยาบาล แต่ถึงกระนั้น ทุกคนก็ยังลังเล ชีพที่ดุจแขวนอยู่ บนเส้นด้ายของฉัน ทำให้พวกเขาไหวหวั่น ต่อการเสี่ยง

จะอย่างไร ฉันก็ได้แต่นอนรอและนับเวลาที่ล่วงผ่าน เหมือนสายน้ำ ที่ไหลหลั่งยังสุดสาย ชีวิตคนเรา ก็ไม่ต่างจาก สายน้ำนั้น พาชีวิตไหลไปกับคืนวัน จวบวาระสุดท้าย ฉันจำนนต่อสัจจะนี้ อย่างนักโทษประหาร ที่จำนนต่อคำพิพากษา ได้แต่เตรียมตัวตาย พร้อมที่จะจากโลกนี้ไป ด้วยดวงใจสุขสงบ และสยบยอมต่อโชคชะตา....

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๓๙ กุมภาพัตนธ์๒๕๔๕)
เพราะวางใจ เผลอใจ ภัยจึงตามมา อย่าประมาทในโทษภัยแม้เล็กน้อย