หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

เงินมิใช่ทรัพย์แท้ของคน กรรมต่างหากคือทรัพย์แท้

พุทธัง เอาสตางค์ ใส่ตู้
ธัมมัง เอาสตางค์ ใส่ตู้
สังฆัง เอาสตางค์ ใส่ตู้

เสียงประกาศจากมัคนายกเพื่อเชิญชวนให้ชาวพุทธ ได้ทำบุญสุนทาน โดยอ้างเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่ตั้ง แต่ไพล่ไปเอาสตางค์ใส่ตู้แทนสรณัง คัจฉามิ

เรื่องของสตางค์หรือเงินทองจึงกลายเป็นที่พึ่งที่อาศัย จนเพี้ยนเรียกกันติดปากว่า "ปัจจัย" ทั้งๆ ที่ปัจจัย เครื่องอาศัย ของชีวิตนั้น มีเพียง ๔ อย่างคือ ข้าว ผ้า ยา บ้าน แต่ทุกวันนี้ "เงิน" กลายเป็นปัจจัยพิเศษทั้งๆ ที่เป็นของ "บาดใจ" มากกว่าปัจจัย

พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้พระใช้เงินใช้ทอง และได้ตรัสถึงความเศร้าหมองของนักบวช หากต้องไปทำ เดรัจฉานวิชา ดื่มสุรา มั่วนารี และรับเงินรับทอง ย่อมก่อให้เกิดกิเลสและความเศร้าหมอง แก่นักบวชนั้นๆ มีครั้งหนึ่ง ที่พระพุทธองค์ ทรงชี้ให้พระอานนท์ดู กองเงินที่ตกอยู่ข้างทางว่า นั่นคืออสรพิษ!

ซึ่งในเวลาต่อมาไม่นาน มีชายคนหนึ่งมาเก็บเงินไป และเขาก็ถูกฆ่าตายด้วยเหตุแห่งเงินนั้น ถ้าดูข่าวในปัจจุบัน ก็จะเห็น ผู้คนมากมาย ล้มตายด้วยเหตุแห่งอสรพิษร้าย (เงิน) อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

อสรพิษร้ายคือเงินนี้ มีทั้งทำให้คนตายได้ทันที และมีทั้งทำให้ตายได้ทั้งเป็น เช่น กรณีค่าโง่ทางด่วน ซึ่งจริงๆ แล้ว น่าจะเป็น คนฉลาด ที่สามารถโกงกินได้ หลายร้อยหลายพันล้าน แต่ต้องถือว่าเป็นความฉลาดที่สามารถ ทำโง่ๆ ได้อย่างมากมาย เพราะทำให้ประเทศชาติ ต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวง พี่น้องประชาชน และ เพื่อนร่วมชาติ ต้องลำบาก เดือดร้อน ไปทั้งแผ่นดิน เพียงแค่คนกลุ่มหนึ่งได้โกงกินกันสมใจอยากเท่านั้นเอง

และถ้าถามว่าเขาจะได้อะไรติดตัวเขาไปไหม? แม้แต่ต่อให้ทางการบ้านเมืองจับไม่ได้ แต่กรรมโกง ย่อมติดตัวเขาไป อยู่ตลอดเวลา ดุจเงาตามตัวฉันนั้น

เรื่องเคยมีมาแล้ว มหาเศรษฐีผู้ไร้ทายาทของแคว้นสาวัตถีได้ตายลงพร้อมกับทิ้งสมบัติอันมากมายมหาศาล แต่เพราะ เขาเป็นผู้ไร้ ผู้สืบทอดสกุล พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงต้องยึดเอาสมบัติของเขาเข้าท้องพระคลังหลวง

พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลถามข้อสงสัยว่า ทำไมมหาเศรษฐีผู้นี้ แม้จะมีเงินทองมากมาย แต่เขากลับ ใช้ชีวิตอดๆ อยากๆ อาศัยกินปลายข้าวกับน้ำส้มผักดอง ใช้เศษผ้าเนื้อหยาบเอามาเย็บต่อๆ กัน ใช้รถคันเก่าๆ โทรมๆ แม้ร่มที่กั้นก็ทำด้วยใบไม้

พระพุทธเจ้าได้อธิบายกรรมที่ติดตัวเขามาว่า เป็นเพราะเขาเคยได้จัดอาหารบิณฑบาตให้แก่พระปัจเจก สัมพุทธะ จึงทำให้ เขาได้จิตวิญญาณ เป็นสวรรค์ถึง ๗ ครั้ง และยังให้เขาเกิดมาเป็น มหาเศรษฐีถึง ๗ ครั้ง แต่วิบาก ที่ใจเขา คิดเสียดาย ในอาหารที่ทำบุญไปแล้ว จึงทำให้จิตใจของเขาไม่ยินดี ที่จะบริโภคใช้สอยของดีๆ และวิบาก เคยฆ่าลูก ของพี่ชายตาย เพราะหวังในมรดก จิตของเขาต้องทุกข์ร้อน เหมือนอยู่ในนรก หลายพันหลายแสนปี และวิบาก อันเป็นส่วนเหลือ ของกรรมนั้น จึงทำให้เขาไม่มีทายาทรับมรดก ต้องถูกยึดทรัพย์ เข้าท้องพระคลัง เป็นครั้งที่ ๗

และบัดนี้บุญเก่าของมหาเศรษฐีได้หมดสิ้นแล้ว ส่วนบุญใหม่ก็ไม่ได้ทำเพิ่มเติม จึงทำให้เศรษฐี มีจิตใจเร่าร้อน เหมือนถูกไฟเผา อยู่ในมหานรกทีเดียว

พระพุทธเจ้าตรัสคาถาในตอนท้ายว่า
ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงินทอง หรือข้าวของที่หวงแหนอย่างใดอย่างหนึ่งมีอยู่ ทาส กรรมกร คนใช้ และผู้อาศัยของเขา พึงพาเอาไป ไม่ได้ทั้งหมด จะต้องถึงซึ่งการละทิ้งไว้

ก็บุคคลทำกรรมใดด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ กรรมนั่นแหละเป็นของๆ เขา และเขาย่อมพาเอากรรมนั้นไป อนึ่ง กรรมนั้น ย่อมติดตามเขาไป เหมือนเงาติดตามตนฉันนั้น

เพราะฉะนั้นบุคคลควรทำกรรมดีสั่งสมไว้สำหรับภพหน้า บุญทั้งหลาย ย่อมเป็นที่พึ่ง ของสัตว์ทั้งหลาย ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า

จริงจัง ตามพ่อ