หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

บ้านป่า นาดอย - จำลอง ศรีเมือง -


เกือบทุกปีเมื่อใกล้เดือนพฤษภา จะมีผู้หวังดีเดินทางไปหาผมถึงบ้านป่า ชักชวนให้เข้ากรุงไปร่วม พิธีรำลึกที่นั่น ที่นี่ ในช่วงวันที่ ๑๗ ถึง ๒๐ พฤษภาคม ซึ่งผมขอบคุณ ทั้งคนที่ไปชวน และคณะที่จัดงาน

พอเหตุการณ์เดือนพฤษภาคมปี ๓๕ จบลง ผมตั้งกฎเกณฑ์กับตัวเองว่า ผมจะไป "งานเดือนพฤษภา" เฉพาะ พิธีสงฆ์ และกิจกรรมที่ต่อเนื่อง กับพิธีสงฆ์เท่านั้น ผมจะไม่ไปร่วมอภิปราย หรือปรากฏตัว ในรายการอื่นๆ เลย เพราะผมเป็นคนหนึ่ง ที่มีบทบาท อาจมีคนชมต่อหน้าว่า ผมดีอย่างนั้น ผมเก่งอย่างนี้ แล้วผมก็หน้าบาน ไปตามคำ สรรเสริญเยินยอ จะทำให้เข้าใจผิด ว่าคนที่ไปร่วมต่อสู้ ด้วยความยาก ลำบากนั้น ทำไปเพื่อหวังผลตอบแทน อยากดัง อยากให้คนชม ต่อไปในภายภาคหน้า ผู้ที่ออกไปร่วมกันสู้ จะไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควร

ผมปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันมาทุกปี เมื่อต้นปีนี้ได้อ่านบทสัมภาษณ์ของคุณประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ รัฐมนตรี ช่วยว่าการ กระทรวงเกษตร เจ้าของฉายา "ไอ้ก้านยาว" ในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ซึ่งหลบ การไปร่วมพิธีทุกครั้ง ที่มีการจัดงาน วันรำลึก ผมโทรศัพท์คุยกับคุณประพัฒน์ว่า ผมทำคล้ายๆ กัน

เมื่อไม่เห็นพบในพิธีตามขั้นตอนต่างๆ ของงานรำลึกเดินพฤษภาคมปีแล้วปีเล่า สื่อมวลชนก็กระทุ้งว่า ผมไม่นึกถึง เหตุการณ์ สำคัญครั้งนั้นเลยหรือ

ทำไมจะไม่คิดถึง เป็นการชุมนุมที่แปลกกว่าครั้งไหนๆ ผู้คนนับหมื่นนับแสนชุมนุมกันต่อเนื่อง ๗ วัน ๗ คืน แล้วประชุมกัน หยุดพักการชุมนุมเอาเฉยๆ เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายหนึ่ง กำลังจะทำตามความถูกต้อง ที่เราเรียกร้อง หยุดพัก กลับไปอยู่บ้านสบายๆ ๗ วัน (๑๐-๑๗ พฤษภา) เมื่อมีการบิดพลิ้ว จึงไปร่วม ชุมนุมกันใหม่ แปลกยิ่งกว่า การชุมนุมที่เคยมีมา

การชักชวนให้หยุดพักการชุมนุมยากกว่าการชวนให้ไปชุมนุม ยากยิ่งกว่านั้นก็คือ การไปร่วมชุมนุมใหม่อีก เพราะ การชุมนุม ไม่ใช่เรื่องน่ารื่นรมย์อะไรเลย เป็นเรื่องทรมานทรกรรมอย่างยิ่ง ต้องไปนั่งตากแดดหัวแดง กินและนอน ข้างถนน การเข้าห้องส้วมห้องน้ำก็แสนจะยากลำบาก... แล้วเราก็ผ่านเรื่องยากๆ มาได้อย่างน่าทึ่ง

เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้คนที่รู้จักมักคุ้นชวนผมไปคุยในรายการโทรทัศน์ "กรองสถานการณ์" ช่อง ๑๑ ผมตอบคำถาม เรื่องการตัดสินใจ ไปร่วมชุมนุมครั้งนั้นว่า เพราะมีแต่ชาวบ้านธรรมดาๆ ไปชุมนุม ประท้วง ไม่มี นักการเมือง สักคน ทั้งๆ ที่เป็นการประท้วง เพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจเผด็จการ ซึ่งเป็นเรื่อง การเมืองชัดๆ ส.ว. ๒๗๐ คน ส.ส. ๓๖๐ คน (มีผมรวมอยู่ด้วยคนหนึ่ง) อยู่เฉยๆ ไม่รู้หนาว รู้ร้อน ผมทนไม่ได้ จึงไปร่วม วงไพบูลย์ด้วย เรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องง่ายมาก ถ้านักการเมือง ยืนอยู่ข้าง ประชาชนส่วนใหญ่ ทั้ง ส.ว. และ ส.ส. ร่วมกันคัดค้าน คณะ รสช. ในสภา จะไม่มีการชุมนุมประท้วง นอกสภา ให้เหนื่อยยาก

เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอีกต่อไป นักการเมืองต้องพัฒนาความคิดให้คล้อยตาม ประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งก็คือ หลักประชาธิปไตยพื้นๆ นั่นเอง ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ที่จะทำยากแต่อย่างใด

มีผู้พูดถึงผลดีที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์เดือนพฤษภา มากมายหลายอย่าง เช่น ทำให้เกิดรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน องค์อิสระ องค์กรต่างๆ และการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการเข้าชื่อ ๕ หมื่นคน เสนอกฎหมาย และกฎหมาย ท้องถิ่นได้ เสนอถอดถอนนักการเมืองได้... เป็นต้น

ผลดีอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ใคร่มีใครพูดกันก็คือ ช่วยหยุดยั้งรั้งหน่วงการปฏิวัติมาได้ ๑๐ ปี หากไม่มีเหตุการณ์ เดือนพฤษภา มาเป็นบทเรียน ป่านนี้คงเกิดการปฏิวัติ ไปแล้วหลายครั้ง แต่การหยุดยั้งคงจะไม่ยั่งยืน ถ้าปล่อย ให้บ้านเมืองเละตุ้มเป๊ะ จนหาทางออกอื่นไม่ได้

หลายคนที่ทุกข์ร้อนแทนผม มักจะต่อว่าผมเสมอๆ ว่าทำไมไม่ชี้แจงข้อกล่าวหาที่ว่า ผมพาคนไปตาย ผมเฉยๆ เพราะผู้ที่ไปร่วมชุมนุม มืดฟ้ามัวดินรู้อยู่เต็มอกว่า เป็นคำโกหก ที่หวังผลการเลือกตั้ง จากผู้อยู่ นอกเหตุการณ์ ที่หลงเชื่อ ผมฟังคำใส่ร้ายป้ายสีด้วยความเห็นใจ เห็นใจว่า อีกฝ่ายหนึ่ง จนตรอก จึงต้องใช้ วิธีนี้ เพื่อเอาชนะคะคาน ในการเลือกตั้ง

เดือนพฤษภาปีนี้มีอะไรที่น่าสนใจหลายอย่าง "เศรษฐกิจกำลังฟื้น" ที่รัฐบาลออกมายืนยันอยู่เป็นประจำ ล่าสุด ผู้จัดการ ธนาคารใหญ่แห่งหนึ่ง ออกมาพูดว่า ยังวางใจไม่ได้ พร้อมกับเตือนประชาชน จะล่มจม เป็นรอบที่สอง หากใช้เงินเกินตัว ไม่รู้จักประหยัด

เตือนได้ก็เตือนไป คนจำนวนมาก ฟังแล้วไม่กระดิกหู ยังคงไม่เจียมเนื้อเจียมตัว ทำตัวเหมือน เป็นประชากร ของประเทศเศรษฐีทั้งๆ ที่บ้านเมือง ยังอยู่ในภาวะย่ำแย่

ผมย้ำกับนักเรียนโรงเรียนผู้นำว่า ถ้าเราเอาจริงเอาจังเรามีโอกาสประหยัดได้เรื่อยๆ โดยเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้

จันทร์เป็นสาวชาวเมืองกาญจน์ ตอนที่คณะของผมไปบุกเบิกที่อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจน์ใหม่ๆ วันหนึ่งจันทร์ ไปพบเราพร้อมกับ สาวกะเหรี่ยงหลายคน เมื่อถามว่า ทำไมจันทร์ถึงไปแต่งงาน กับชาวกะเหรี่ยง จันทร์ตอบทันทีว่า ผู้ชายไทยไม่ได้เรื่อง เอาแต่ขี้เกียจ ชอบกินเหล้าเมายา เผลอๆ ยังซ้อมเมีย อีกด้วย

เก้าปีผ่านไป จันทร์พบผมเมื่อต้นเดือนพฤษภา มีลูกแล้ว ๔ คน มีความสุขกับชีวิตครอบครัว มีความทุกข์ อยู่นิดๆ จึงต้องพบ เพื่อขอความช่วยเหลือ จันทร์เอาจดหมายที่ลูกสาว ๓ คน เขียนถึงผม ขึ้นต้นด้วยคำว่า "เรียน คุณตา มหาจำลอง" สงสัยว่าแม่จะเป็นคนสอนให้เขียน

ในจดหมายบรรยายความทุกข์ของเด็กกะเหรี่ยงตัวเล็กๆ ว่า บ้านอยู่ห่างจากโรงเรียน ๕ กิโลเมตร ถูกครูตี เป็นประจำ เพราะเดินไม่ทัน ไปทำเวรที่โรงเรียน ทางการเขาให้รถจักรยานคันหนึ่ง ก็เสียเป็นประจำ ขี่ไม่ได้ ขอให้ผมช่วย

ช่วงนั้น ผมต้องเดินทางไปร่วมงาน "กสิกรรมไร้สารพิษ เพื่อฟ้าดิน" ที่ชุมชนราชธานีอโศก จังหวัดอุบลฯ ขาไป นั่งรถประจำทาง เสีย ๓๐๐ บาท ขากลับนั่งรถไฟเสีย ๕๐๐ บาท ถ้านั่งเครื่องบินไป-กลับเสีย ๔,๐๐๐ บาท ประหยัดได้ ๓,๒๐๐ ซื้อจักรยานให้ลูกของจันทร์ ๒ คันเป็นเงิน ๒,๒๐๐ บาท เงินยังเหลืออีก

เพราะผมไม่จำเป็นต้องซื้อเวลา ผมมีเวลาพอในการเดินทาง ผมจึงตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า ตั้งแต่เศรษฐกิจ ฟองสบู่แตก ผมจะไม่ขึ้นเครื่องบิน

ท่านผู้อ่าน "เราคิดอะไร" คิดอะไรเหมือนผมหรือเปล่าไม่ทราบ คนไทยเห่อฟุตบอลโลกมากเกินไป เตรียมรับ ฟุตบอลโลก อย่างมโหฬาร ทั้งๆ ที่ไปแข่งฟุตบอลกันที่เกาหลีโน่น ไม่ได้แข่งในเมืองไทย การตระเตรียม แต่ละอย่าง ลงทุนมหาศาล หนุนให้ประชาชน ใช้จ่ายไม่อั้น เสร็จสิ้นฟุตบอลโลก คนไทยที่จนอยู่แล้ว จะจนลงอีกเท่าไร ไม่มีใครคาดได้

เรื่องหนึ่งที่คาดไม่ผิดแน่ เพราะอาจารย์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง ได้ทำการศึกษาวิจัยไว้ พบว่า คนไทยที่เตรียมพนันฟุตบอลโลก มีจำนวนถึง ๒ ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นเยาวชน นักเรียน นักศึกษา ที่ยัง ไม่มีรายได้ เงินพนันฟุตบอลจะสะพัด ๒ หมื่นล้านบาท

ทั้งโรงแรม และศูนย์การค้าหลายแห่งในกรุงเทพฯกำลังเนรมิตสถานที่สำหรับนั่งชมฟุตบอลโลก หรูหรา ใหญ่โต โอ่โถง ตั้งโทรทัศน์จอยักษ์ ให้ดูกันจะจะ เหมือนนั่งอยู่ขอบสนามฟุตบอล กรุงโซลโน่นเทียว จะมี นักร้อง นักแสดง ที่มีชื่อให้ความบันเทิงตลอดเวลา บัตรเข้าชมต้องราคาแพงแน่ๆ ให้คุ้มกับที่ ต้องลงทุนไป และอาจจะเป็น บ่อนการพนันฟุตบอลโลก ที่มีระดับก็ได้ สนุกกันให้สุดเหวี่ยง ใช้จ่ายกัน ให้เต็มที่ เสียเท่าไร เสียไปเพราะไหนๆ ประเทศไทย ก็เป็นหนี้เขา บานเบิกอยู่แล้ว

สังคมไทยมีอาการน่าเป็นห่วงทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ การค้าปลีกของคนไทยที่กำลังจะล้มหาย ตายจากไปนั้น คณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติเงิน ๓๙๕ ล้านบาทจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ตั้งองค์กรมหาชนเป็นคนกลาง ช่วยเหลือ ผู้ค้าปลีก ทั่วประเทศ ที่ประสงค์จะสมัคร เข้าเป็นสมาชิก

เงินจำนวนแค่นั้นช่วยได้นิดเดียว ไม่สามารถจะเยียวยาอาการหนักให้เบาบางลงได้ โทษต่างชาติก็ไม่ได้ ที่เขาทุ่มทุน มาทำการค้าปลีก ในเมืองไทย ก็เพื่อหวังกำไรให้มากที่สุด ขนเงินกลับประเทศ ให้มากที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เขาวางแผน และ ลงมือปฏิบัติทุกขั้นตอน ได้กำไรมหาศาล ถูกต้องตามกฎหมาย เอาเรื่องเขาไม่ได้

ผู้ค้าปลีกคนไทยจะไปตั้งวางขายในหน้าห้างเขาก็ได้ แต่ต้องเสียเงินกินเปล่า พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตร เสียเป็น แสนบาท เขาซื้อสินค้า จากชุมชนต่างๆ เหมือนกัน แต่ไม่จ่ายเงินสด ส่งของก่อน แล้วไปรับเงินทีหลัง ซึ่งนานเป็นเดือนๆ เท่ากับห้างฝรั่ง ตั้งธนาคารขึ้นมา กู้เงินจากคนไทย โดยไม่เสียดอกเบี้ย เอาเงินที่ขายของ ได้แล้ว ยังไม่ต้องจ่ายนั้น ไปหากำไรต่ออีก มีอีกหลายกระบวนท่า ที่รีดเงินจากคนไทยไปเหนาะๆ เราได้แต่ ยืนดู ตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้

ผมเคยคุยเรื่องอันตรายจากการค้าปลีก ของต่างชาติกับท่านนายกฯทักษิณทีหนึ่ง กับท่านรัฐมนตรีอีกทีหนึ่ง แต่เป็นการคุยกันสั้นๆ เพราะผมรู้คำตอบแล้ว โดยไม่ต้องถามตรงๆ จากการพูดคุยผมนำมาปะติด ปะต่อเอง ได้ใจความสรุปว่า รัฐบาลแทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะรัฐบาลก่อน ได้ออกกฎหมาย เอื้ออำนวย ประโยชน์ ให้ต่างชาติ อย่างเต็มที่ ซึ่งที่หลายๆ คนประณามว่าเป็นกฎหมาย ขายชาติ รัฐบาลนี้ จะไปแก้ กฎหมาย ก็จะเข้าข่าย ทำลายการลงทุนของต่างชาติ

ตอนไปเยือนอังกฤษ รัฐบาลอังกฤษถือโอกาสฝากฝังนายกฯ ทักษิณให้ช่วยอุ้มชูห้าง "เทสโกโลตัส" ในเมืองไทย รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ ที่ร่วมเดินทางไปด้วย ต้องพูดออกตัวเป็นพัลวันว่า ที่แล้วมา ไทยไม่มีมาตรการ กีดกัน การค้าปลีกต่างชาติ เพียงแต่มีนโยบาย ที่จะพัฒนาการค้าปลีกรายย่อย ของไทย ให้สามารถแข่งขันได้ เท่านั้นเอง

ตรงกับที่ผมคาดไว้ รัฐบาลช่วยอะไรไม่ได้ ที่จะช่วยได้อย่างจริงจัง ก็จากประชาชน คนไทยด้วยกันเอง รวมตัวกัน บอกต่างชาติว่า เราไม่ได้เกลียดไม่ได้โกรธ ที่เขาเข้ามาค้าปลีก ในเมืองไทย เขามีความรู้ มีประสบการณ์ มีทุนมากกว่า น่าจะไปลงทุนทำอย่างอื่น ที่คนไทยยังทำไม่ได้ เราค้าปลีกมาหลายชั่วคน จะให้เปลี่ยน ไปทำอย่างอื่น ก็ไม่ถนัด เราจึงขอซื้อขายปลีก ระหว่างคนไทยกับคนไทยด้วยกัน เหมือนในอดีต

คนไทยต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่เข้าห้างฝรั่ง เข้าแต่ร้านค้าปลีกของคนไทย ทนต่ออากาศร้อนๆ ทนซื้อของ แพงกว่านิดหน่อย ทนเสียเวลาเข้าร้านนั้น ออกร้านนี้ เพื่อซื้อของให้ครบ ทนติดต่อกัน ให้ยาวนานพอ ห้างค้าปลีกของต่างชาติ ก็ต้องถอนทัพ กลับเมืองเขาไปเอง

ได้มีการประเมินสถานการณ์กันว่า เรากอบกู้เรื่องนี้ไม่สำเร็จแน่ เพราะคนไทย ไม่มีอุดมการณ์ชาตินิยม หลงเหลือ อยู่เลย เห็นแก่ตัว เอาแต่สะดวกสบายไปวันๆ

เรื่องใหม่ๆ ที่คนไทยกังวลใจ ที่จริงก็ไม่ใหม่นัก ก่อตัวมานาน จนแตกโพละให้เห็นกันชัดๆ พระแบ่งฝ่าย ทะเลาะกัน ทั้งสองฝ่าย ต่างก็ประกอบไปด้วยพระผู้ใหญ่ พระผู้น้อย และฆราวาสชายหญิง ชุมนุม เผชิญหน้ากัน กดดันรัฐบาล และ สาดโคลนเข้าหากัน อย่างโจ๋งครึ่ม ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน ในประวัติศาสตร์ชาติไทย บีบให้รัฐบาล สนับสนุน ร่างกฎหมายสงฆ์ ตามความต้องการของคณะตน

ความเห็นที่ไม่ตรงกันเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติคณะสงฆ์นั้น น่าจะเป็นแค่ความแปลกแยก คิดกัน คนละอย่าง เห็นกัน คนละอย่าง ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล สนับสนุน ไม่น่าจะก้าวไปสู่ ความแตกแยกเลย

ความแปลกแยกไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่กลับเป็นเรื่องดี อธิบายให้เด็กฟังเด็กก็เข้าใจ ถ้าคนทุกคนในโลก แต่งตัว เหมือนกันหมด บ้านช่องรูปทรงเดียวกันหมด อาหารการกินอย่างเดียวกันหมด โลกจะน่าอยู่ไหม

ใครที่เคยไปอยู่ในอเมริกาคงมีความรู้สึก เหมือนกันว่า เดินทางจากรัฐหนึ่งไปรัฐอื่นๆ (บางรัฐขนาดใหญ่ เท่าเมืองไทย) เห็นแต่สิ่งที่เหมือนๆ กัน ไม่น่าสนใจเลย กลับมาเมืองไทย ลงใต้ไปมาเลเซียอะไรๆ ก็น่าดู ไปแบบหนึ่ง ไปทางอีสาน ข้ามไปเขมร ก็แปลกไปอีกอย่างหนึ่ง โลกบริเวณย่านนี้ สวยกว่าโลกที่อเมริกา

ถึงเวลาที่คนไทยจะต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงกันว่า โลกทุกข์ร้อนเพราะความแตกแยก แต่ความแปลก ต่างสร้างโลก ให้สุขสดสวย

ถ้าแม้นขอได้ ผมว่าชาวพุทธส่วนใหญ่อยากจะขอเรื่องร่างพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เป็นเพียง ความแปลกแยก ไม่ใช่แตกแยก

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๓ มิถุนายน ๒๕๔๕)

เราคิดอะไร บ้านป่า นาดอย