หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

ชีวิตนี้มีปัญหา ๒ - สมณะโพธิรักษ์ -


(ต่อจากฉบับที่ ๑๔๔)

ผู้มีมรรคผลจะตามรู้ตามเห็นได้ด้วย"ญาณ" ของตน เป็นต้นว่า "อนุปัสสี ๔" หรือ เมื่อปฏิบัติตาม "สัมมา พราะทิฏฐิ" ก็จะเกิด "ปัญญา-ปัญญินทรีย์-ปัญญาพละ" หรือรู้ได้ด้วย "ปริญญา ๓" บ้าง ด้วย "มรรค ๘ ผล ๒" บ้าง ที่แน่ๆ ก็คือ เกิด "วิชชา ๙" จริง จึงสามารถตรวจได้ด้วย "เตวิชโช" หรือด้วย "เจโตปริยญาณ" และ ด้วยญาณอื่นๆ หรือด้วย "ญาณทัสสนะวิเศษ" อื่นๆ

"พันธุ์" ที่ว่านี้ มิใช่"พันธุ์" หรือเชื้อของความเป็น "พีชะ" แต่เป็น "พันธุ์" หรือเชื้อของความเป็น "สัตว์" ซึ่งแบ่งขีดแบ่งขั้นกำหนด "พันธุ์" กันตามลักษณะของจิต อันเป็นเรื่องของ "นามธรรม" โดยเฉพาะ ไม่ได้เกี่ยวกับ "รูปธรรม" เลย จึงตามพิสูจน์กันทาง "รูปธรรม" ไม่ได้

ดังนั้น นามธรรมที่เรียกว่า "จิตวิญญาณ" นั้น เมื่อ ได้ "เกิดแล้ว" (จุตและอุบัติ : ผู้มี "จุตูปปาตญาณ" จะรู้แจ้งเห็นจริง) ครั้นได้เป็นสัตว์ประเภทไหนแล้ว แม้จะอยู่ในร่างของคนเป็น หรือจะไม่อยู่ในร่าง เพราะกายแตกตายไปแล้ว (กายัสส เภทา ปรัมมรณา) ก็ตาม หาก "จิตวิญญาณ" นั้น "เกิดแล้ว-เป็นแล้ว" (จุตและอุบัติ) มี"การตายจากภพหนึ่ง-แล้วเกิดในอีกภพหนึ่ง" (จุติ) จริง ซึ่งเป็นเรื่องของ "จิตวิญญาณ" เท่านั้น ก็ย่อม "เป็น" (ภวติ) สัตว์ชนิดนั้นๆตาม "ความเป็น" (ภาวะ)ที่จริง ไม่ต้องรอให้ร่างกายแตกตายลงไป ก็ย่อม "เป็นแล้ว" (ภาวิต) ในผู้นั้น โดยเฉพาะเกิดจาก "การทำให้เป็น" (ภาวนา) จนสำเร็จด้วยตัวของเราเอง

และ "พันธุ์" หรือเชื้อของ "จิตวิญญาณ" นี้ ก็ไม่ถ่ายทอดกันทาง "สายโลหิต" ด้วย ถ่ายทอดกันโดยทาง "กรรม" เท่านั้น นี่คือ "กัมมพันธุ" ที่พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบด้วยพระสัพพัญญุตญาณ

เช่น คนที่ได้ทำ "กรรม" สั่งสมลักษณะอกุศลจิต สั่งสมกรรมทุจริต เลวทราม ต่ำหยาบ บาปชั่ว หรือทุกข์ร้อนร้ายโฉด ก่อโทษก่อภัย เป็นต้น เมื่อสั่งสมจนถึงขีดถึงขนาด ของความเป็น "สัตว์นรก" ก็จัดอยู่ในพวกที่มีชื่อว่า "สัตว์นรก" หากมีลักษณะ "สัตว์เดรัจฉาน" ถึงขีดถึงขนาด ก็ต้องเป็นสัตว์ ที่จัดอยู่ในพวก "สัตว์เดรัจฉาน" ไม่ว่าจะเป็น "สัตว์" ที่เรียกว่า เปรต-อสุรกาย-อมนุษย์-ปุถุชน (คนกิเลสหนา) หรืออื่นใด ก็เพราะตนสั่งสม "กรรม" ที่มีลักษณะนั้นๆลงไปใน "จิตวิญญาณ" จึงเป็นส่วนจิต ที่มีลักษณะเป็นกุศล สุจริต ดีงามเจริญ สูงสุข เบิกบาน หรือมีคุณมีค่า ก่อประโยชน์โภคผล ก็จัดอยู่ใน "สัตว์" พวกที่มีชื่อว่า "กัลยาณปุถุชน (คนดีมีประโยชน์) หรือเทวดา หรือพรหม" เป็นต้น

สำหรับจิตที่มีลักษณะเป็น "โลกุตระ" นั้น มีเงื่อนไขสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ผู้นั้นมีความรู้ และสามารถ ถึงขั้นละล้างกิเลสถูก "ตัวตน" (อัตตา) ได้อย่างเป็นสัมมาทิฏฐิ จิตที่เกิดมรรคผล ก็จัดอยู่ในสัตว์ พวกที่มีชื่อว่า อาริยชน โพธิสัตว์ เป็นต้น ผู้สามารถปฏิบัติจนถึงขั้น "โลกุตระ" จะรู้จัก ทั้งกุศล สุจริต ดีงามเจริญ สูงสุข เบิกบาน หรือมีคุณมีค่า ก่อประโยชน์โภคผล ทั้งที่มีลักษณะของ "โลกียะ" ด้วย และทั้งที่มีลักษณะของ "โลกุตระ" ด้วย จึงได้รับทั้ง "โลกียกุศล" และทั้ง "โลกุตรกุศล" ส่วนชาวโลกียะ ที่ไม่ได้ศึกษา "โลกุตระ" หรือศึกษา แต่ไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่สามารถ ได้รับกุศลที่เป็น "โลกุตระ" สำหรับกุศล ที่เป็น "โลกียะ" นั้นทุกศาสนา สอนกันทั้งนั้น

ก็ขอสรุปอีกที ว่า สัตวโลกทั้งหลาย ดังกล่าวมา เป็นต้นนั้น จะเกิดจะเป็นกันต่อเมื่อ ตายไปแล้ว ก็เป็นได้ หรือ จะเกิดจะเป็นอยู่ ในร่างของคนเป็นๆ ที่ยังมีชีวิต ก็เป็นได้ และเป็นอยู่จริง หากผู้ใดได้ศึกษา "อุตุ..พีชะ.. จิต..กรรม..ธรรมะ" ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ โดยเฉพาะ ได้ศึกษาเรื่อง "จิต..กรรม..ธรรมะ" อย่างรู้แจ้งชัดเจน เป็นสัมมาทิฏฐิ และปฏิบัติตามหลัก "มรรค มีองค์ ๘" กระทั่งมี "สัมมาญาณ-สัมมาวิมุติ" ก็จะสั่งสม "พันธุ์" เป็นอาริยะ จนถึงที่สุด ก็เป็นอรหันต์ มีนิพพาน

[มีต่อฉบับหน้า]

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๕ สิงหาคม ๒๕๔๕)