หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

เวทีความคิด โดย เศรษฐชน
ความจริงที่ไม่พูดกัน


คนมักจะคิดว่าคนนี่แหละคือสัตวโลกที่ประเสริฐ แล้วก็ยกเหตุผลขึ้นมาอ้างอิงความคิดเชิงนี้ว่า คนสามารถทำความดีได้มากกว่าสัตว์อื่นๆ และมีมันสมอง มีสติปัญญา มีความสามารถต่างๆ นานา มีการก่อสร้างประดิษฐ์สรรพวัตถุหลากหลาย

ทำให้อดนำเอาความคิดนี้มาคิดต่อเล่นๆ ไม่ได้ว่าจริงหรือ? ที่คนคิดเช่นนั้น หรือที่เราคิดตามเขา เราเชื่อตามที่เขาคิดนั้น จริงหรือ? จริงจริงๆ หรือจริงเพียงความคิดลวงๆ ที่เชื่อๆตามกันมา หรือเป็นความจริงที่เอียงเทเข้าข้างตัวเอง ยกตัวยกตน ตามสัญชาตญาณ อัตตามานะ อันเป็นกิเลสของคนโดยเฉพาะ

เริ่มตั้งแต่เรามักคิดว่า คนเกิดมาจากไหน?

คำตอบตรงๆ เห็นๆ คือ คนเกิดจากการผสมพันธุ์ของคนสองเพศ คือ เพศหญิงกับเพศชาย

แล้วถ้าจะถามว่าเพศเกิดจากไหน?

"เพศ" ก็เกิดมาจาก "คน" อีกนั่นแหละ คือ เพศชายก็มีอวัยวะเพศชายที่เรียกว่าลึงค์ เพศหญิง ก็มีอวัยวะเพศหญิง ที่เรียกว่าโยนี โดยวัตถุรูป ก็เห็นได้ชัดๆ อยู่แล้ว

แม้ในเพศหญิง เพศชายก็มีสองเพศอยู่ในตัวเอง ที่จีนเขาเรียกว่าธาตุหยิน ธาตุหยาง ศัพท์ทางศาสนาเรียกว่า อิตถีภาวะ กับ บุรุษภาวะ นั่นเอง

จึงไม่แปลกอะไรที่บางคน แม้จะรูปเป็นชาย แต่กิริยาเป็นหญิง หรือรูปเป็นหญิง แต่กิริยา เป็นชาย ทั้งนี้สุดแล้วแต่ธาตุใด มีปริมาณที่จะแสดงตัว มากกว่ากัน

คนอีกนั่นแหละ ที่บอกว่าคนเก่งกว่าสัตวโลกใดๆ ที่สุด

จริงหรือเปล่า?

หันมาตรวจดูความคิดนี่กันหน่อยเป็นไร? ว่าเป็นความหลงตัวหรือความจริง

สัตว์อื่นๆ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย หมู เวลาออกลูก ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากคน มันจะเกิดเอง และ รอดไหม?

เราเคยเห็นจากภาพยนตร์ ช้าง ม้า วัว ควาย หมู เวลาออกลูก ไม่ต้องมีคนไปช่วย มันก็ออก เองได้ และมิหนำซ้ำ ลูกมันออกมา ก็ช่วยตัวเองได้เลย แม้จะลุก หรือ เดินอย่างโผเผ ล้มๆ ลุกๆ แต่ก็ช่วยตัวเองได้ทันที ที่ออกจากท้องแม่ แต่คนล่ะ คลอดเองได้หรือเปล่า ได้เหมือนกัน แต่น้อยคน จึงต้องมีหมอตำแย ต้องมีสูตินารีแพทย์ แล้วลูกคน ที่คลอดออกมา จากท้องแม่ ใหม่ๆ ล่ะ ช่วยตัวเองได้หรือเปล่า? เปล่าเลย ! ต้องได้รับการช่วยเหลือ ตั้งแต่ออกจากท้อง โน่นทีเดียว ถ้าทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ได้รับการดูแล ก็ตายลูกเดียว

มิหนำซ้ำ "คนยังต้องอาศัยสัตว์เลี้ยง" เสียอีก คือ คนอาศัยเนื้อสัตว์เลี้ยงคนใช่ไหม?

ไม่ว่าจะเป็นสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ทะเล ทั้งมีปีกไม่มีปีก ทั้งเดินได้และเดินไม่ได้ คนก็นำมา เป็นอาหารหมด "สัตว์เลี้ยงคน" ใช่ไหม?

แต่คนก็ยังมีน้ำหน้าพูดกลับกัน จับฉวยเอาความดีของสัตว์มาอย่างหน้าตาเฉยว่า คนเลี้ยงสัตว์ คนช่วยเหลือสัตว์

สัตว์เลี้ยงคนตั้งบรรพบุรุษของมันโน่นทีเดียวแหละ ยิ่งถ้าคนตั้งเป็นฟาร์มใหญ่ๆ แล้วจะเห็น ได้ชัดว่า สัตว์เลี้ยงคน ไม่ยกเว้น แม้กระทั่งหมา เพราะสัตว์ให้ทั้งแรงงาน ให้ทั้งเนื้อหนังมังสา กระดูก เลือดเนื้อ เส้นเอ็น ทุกส่วนให้คนมาใช้บริโภค บางคนก็เลี้ยงสัตว์ ต่อพันธุ์สัตว์ขาย แม้กระทั่ง ซากศพของมัน เช่น เสือสต๊าฟเป็นพรมปูพื้น กวางสต๊าฟเป็นที่แขวนเสื้อ ฝาผนังบ้าน ฯลฯ

มิหนำซ้ำสัตว์ทั้งครอบครัว ทั้งบรรพบุรุษของมันนั่นแหละ ใช้ชีวิตทั้งโคตร เลี้ยงคนไว้ และ ไม่เคย ทวงบุญคุณ หรือ อ้างถึงบุญคุณกับคนเลย กลับไว้วางใจ ไม่คิดถึงความใจร้าย ของคนด้วย ให้อภัยคนที่เป็นสัตวโลกด้วยกัน ง่ายกว่าคนด้วยกันอีก สังเกตได้จาก แม้เรา จะรังแกมัน มันก็เพียงวิ่งหนี ไม่คิดจะฆ่าคน ไม่เคียดแค้น อาฆาตคน แต่คนกลับคิดว่า สัตว์ไม่มีมันสมองจดจำ เป็นความด้อยของสัตว์ไปเสียอีก

ทั้งๆ ที่คนและสัตว์อื่นๆ เป็นเจ้าของธรรมชาติเหมือนกัน เกิดมาภายใต้ ธรรมชาติเดียวกัน แต่สัตว์ ไม่ได้ถือเป็นเจ้าของ จนต้องมากำหนดว่า นี่น่านฟ้า นี่น่านน้ำ นี่แผ่นดิน ทรัพยากร ของข้า ไม่ได้คิดกำหนดหมายลิขสิทธิ์เหมือนคน

แต่คนเกิดมามือเปล่าๆ ตัวเปลือยๆ แท้ๆ กลับมากำหนดหมายโน่นนี่ในโลก ทั้งธรรมชาติต่างๆ สัตว์ต่างๆ ด้วยว่าเป็นของคน

ป่าของฉัน จึงเกิดศึกแย่งชิงป่า
สัตว์ของฉัน จึงเกิดศึกแย่งชิงสัตว์
แม่น้ำ ลำธารของฉัน จึงเกิดการแย่งชิงแม่น้ำ
ภูเขาของฉัน จึงเกิดการแย่งชิงภูเขา
แร่ธาตุ น้ำมันของฉัน จึงเกิดการแย่งชิงแร่ธาตุ น้ำมัน

รวมถึงการขุด ถลุง ทลาย ฟัน ถาก ไถ ทุกวิถีทาง ด้วยสองมือเครื่องมือ ที่ตนเองสร้างขึ้น

แล้วยังฟุ้งซ่านไปสร้างนำเอาสิ่งต่างๆ ที่ตนทะลวง ขโมยจากธรรมชาติมาสร้าง ก่ออะไรๆๆ อีกมากมาย แออัดยัดเยียด เต็มโลก

อากาศ ท้องฟ้าที่ว่ากว้าง ทะเลที่ว่าลึก ภูเขาที่ว่าสูง ...ฯลฯ ยังไม่พ้นความคิด เรี่ยวแรง ฝีมือคน ที่ไปคว้า ไปขโมยมาเล่น มาแปรธาตุ มาเปลี่ยนแปลง มาทำให้เสียรูปโฉมเดิมแท้จริง จนหมดสิ้น จนทำให้เกิดความทุกข์ร้อน แก่สรรพสิ่ง ไปถ้วนทั่ว

ทั้งสัตว์ ทั้งธรรมชาติ ทั้งคนด้วยกัน ต้องผจญกับภัยนานาประการ ตั้งแต่โรคภัย โลกภัย คนภัย สัตว์ภัย ฯลฯ ทำให้คนมีเหตุผลเพียงพอ ที่จะฟุ้งซ่าน คิดสร้างอาวุธต่อ เพื่อประหัตประหาร เข่นฆ่าเขา ฆ่ากันและกัน ด้วยประโยคแก้ตัวหรูๆว่า "ป้องกันตัว"

แต่ถ้าสัตว์ชนิดอื่นที่ไม่ใช่คนเกิดปฏิกิริยากลัว จนต้องปล่อยสิ่งที่เป็นเกราะ ป้องกันตัวเอง ที่ธรรมชาติ ให้มา ไม่ว่าจะเป็น น้ำพิษ เขี้ยว งา ขน ฯลฯ คนกลับกล่าวหาว่า สัตว์นั้นๆ ดุร้าย

ทั้งๆ ที่คนนั้นใช้ทุกส่วนของตัวเองเอาเปรียบสัตว์ รังแกสัตว์ ยิ่งกว่านัก อาวุธทันสมัย เครื่องมือ วิจิตรพิสดาร และใช้เวลาทำลาย เดี๋ยวเดียวเท่านั้น ไม่ได้คิดถึง การสร้างก่อ ของสิ่งต่างๆ ในโลกเลย ว่ามันกินเวลา นานเท่าไหร่? บาปที่คนทำ ส่งผลให้คนเซ่อ จนคิดไม่ออกว่า คำว่า "กัปกัลป์" นั้นหมาย ถึงระยะเวลานานเท่าไร?

เพราะ "ความอยาก" หรือ "แรงตัณหา" ปิดบังความจริงส่วนนี้ ไปจนสิ้นเชิง

มิหนำซ้ำยังมีคนอวดฉลาดที่จะใช้ความฟุ้งซ่านวิเคราะห์วิจัยสรรพสิ่ง ว่ามีความเป็นไป มีความเป็นมา อย่างโน้นอย่างนี้ จนหาข้อยุติไม่ได้ สุดแล้วแต่ใคร จะยกอ้างอะไร สิ่งใด อิงแอบ เป็นเหตุผล ให้คนเชื่อตาม

และที่ร้ายแรงที่สุดคือ เพียงเพื่อจะให้ความฟุ้งซ่านเหล่านั้นทำงาน ก็ยิ่งทำให้คน ต้องไปรังแก ธรรมชาติ ทำร้าย เบียดเบียนสัตว์อื่นๆ เพิ่มๆๆ มากๆๆ ขึ้นไปอีก เช่น การต้องไปทำลายพืช ฆ่าสัตว์มา เพื่อการวิจัยเป็นต้น

เพียงแค่พืช สัตว์ ธรรมชาติเลี้ยงคน เพื่อการมีชีวิตรอดอยู่ของคน ก็เป็นบุญคุณพอแรง จนทดแทนกัน ไม่ได้อยู่แล้ว คนยังมีส่วนเกิน คือความฟุ้งซ่าน แล้วหลงตัว บัญญัติอาการนั้นๆ ของตนว่า "ปัญญา" ไปเบียดเบียนธรรมชาติอีก เพียงเพื่อสนองตัณหา ความอยากรู้ ความรู้มาก ซึ่งก็คือความฟุ้งซ่านมาก เท่านั้นเอง จนทำให้ธรรมชาติขาดแคลน สรรพสัตว์ พืช ร่อยหรอ จนกระทั่งพืช สัตว์ ธรรมชาติบางชนิด หมดหาย สูญพันธุ์ไปแล้ว

แม้คนจะแก้ตัวว่าคนมีมันสมองคิดผสมพันธุ์เองได้

แต่ลองคิดดีๆ คิดให้ละเอียดๆ สิว่า คนเอาพันธุ์มาจากไหน?

คนก็ต้องเอาพันธุ์จากพืชนั้นๆ เอาพันธุ์จากสัตว์นั้นๆ นั่นแหละ ถ้าไม่มีพืชนั้นๆ ไม่มีสัตว์นั้นๆ พันธุ์ จะมาจากอะไร?

เช่น ถ้าคนไม่เอาน้ำเชื้อจากคนผู้ชาย ไข่จากคนผู้หญิง มาทดลองในหลอดแก้ว แล้วฉีดเข้าไว้ ในมดลูกของหญิง คนจะเกิดได้ไหม? หรือคนจะคิดพันธุ์ได้อย่างไร?

แม้การผสมพันธุ์ ทำพันธุ์จากสัตว์อื่นๆ ก็ทำนองเดียวกัน

ยังไงๆ คนจะผสมพันธุ์หมู ก็ต้องเอาเชื้อจากหมู จะผสมพันธุ์ควาย ก็ต้องเอาเชื้อจากควาย จะผสมพันธุ์นก ก็ต้องเอาเชื้อจากนก จะคิดเชื้อเอง โดยไม่มีตัวแท้เดิมของสัตว์ ชนิดนั้นๆ ได้หรือ? ความหลงของคน โมหะจิตของคน ทำให้คนลืมส่วนนี้เสียสนิท ทำให้คนผยอง ลำพองผิดๆ ว่าคนนี่แหละ เก่งที่สุดในโลก

ยิ่งนับวันคนก็ยิ่งหลงตัวมากขึ้น คิดว่าความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ ของตนนั่นแหละ คือ ปัญญา จนกระทั่ง สร้างวิทยาลัย มหาวิทยาลัย บัญญัติคุณค่าของความรู้ เพียงแผ่นกระดาษ ลมปาก ทั้งๆ ที่เป็นความเก่งจอมปลอม ความฉลาดเทียมๆ เพราะอะไรจึงกล่าวเช่นนี้

เพราะว่าคนยิ่งมีใบกระดาษมากขึ้นเท่าไหร่ คนก็ยิ่งหลงตัวมากเท่านั้น

คนยิ่งแย่งชิงหาโอกาสเอาใบกระดาษมากเท่าไหร่ คนยิ่งเดือดร้อนมากเท่านั้น

คนยิ่งสรรเสริญใบกระดาษมากเท่าไหร่ คนยิ่งเบียดเบียนกันมากเท่านั้น

คนยิ่งหลงใหลใบกระดาษมากเท่าไหร่ คนยิ่งอ่อนแอมากเท่านั้น

คนยิ่งให้ค่าใบกระดาษมากเท่าไหร่ คนยิ่งลดค่าคน และสัตวโลกอื่นๆ มากขึ้นเท่านั้น

คนยิ่งสมมติค่าใบกระดาษมากเท่าไหร่ คนยิ่งเลวมากขึ้นเท่านั้น

ใบกระดาษทั้งที่เป็นใบที่เรียกว่ารับรองคุณภาพ หรือที่เป็นใบแลกของกินของใช้ ล้วนแล้วแต่ เป็นใบกระดาษที่ทำลายค่าของความเป็นคนจริงๆ แท้ๆ มากขึ้นทั้งสิ้น

และเพราะคนด้อยกว่าสัตว์อื่นๆ จริงๆ คนจึงพยายามสร้าง สมมติความเก่งของคน ขึ้นมา ลบล้าง ความด้อย แล้วยังหลงใหลการสร้างซ้ำซ้อนลงขึ้นไปอีก แทนที่จะหายด้อย ตรงทาง ตรงประเด็น กลับด้อยยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นจนพระพุทธเจ้า ผู้ค้นพบความจริงนี้ เรียกว่า "อวิชชา"

พระพุทธองค์จึงตรัสว่าคนนี่เจ้าแห่งอวิชชา อวิชชาเป็นพ่อแม่ของคน

พระพุทธเจ้าได้ชื่อว่าเป็นบรมครูของโลก เพราะท่านหันกลับไปสู่ธรรมชาติเดิม คือ ไม่คิดค้น อะไร ที่ทำลายธรรมชาติ แต่ทรงแนะนำให้คนดำเนินชีวิต ให้ถูกตรงกับธรรมชาติ นั่นคือ การต้องหันมาเรียนรู้ธรรมชาติของความเป็นคน อันได้แก่กิเลส ตัณหา อุปาทาน ทิฐิ มานะ สังโยชน์ต่างๆ ที่ร้อยรัดจิตวิญญาณของคนอยู่ ไม่ใช่ไปเรียนรู้ผลิตผลอื่นๆ ใดๆ ที่เกิดมา แต่กิเลส ตัณหา อุปาทาน ทิฐิ มานะเป็นต้นเหตุให้คนก่อ คนสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมา แล้วก็หลง สิ่งที่ตนเองคิด ตนเองสร้างนั้นต่อๆๆๆ ไปอีก

แต่ช่างกระไร แม้คนที่ละ วาง ปล่อย ทิ้งสิ่งที่ตนเองไปหลงใหลแล้ว ก็ยังมาสร้าง สิ่งปกปิด สัจจะเหล่านี้ ขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเรียกว่าศาสนสถาน ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล ศาสนธรรม ก็ยังบัญญัติ ตามทิฐิ บัญญัติตามกิเลสของตน ไม่ได้บัญญัติตามความจริงเดิม ที่มีอยู่แล้ว คือ ที่อยู่โดยธรรมชาติ ที่คนจะหาได้ตามธรรมชาติ การกินที่คนจะหาได้ โดยธรรมชาติ การใช้ที่คน จะหาได้ โดยธรรมชาติ คนยิ่งเพิ่มความหลงใหล การสร้างสิ่งพอกเพิ่ม ความหลง ความไม่จริง มากขึ้นไป ดังบัญญัติเรียกว่า "อุตสาหกรรม" นั่นแหละ

ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้า อุตสาหกรรมแปรรูปธาตุ อัญมณีต่างๆ จนกระทั่ง อุตสาหกรรม สร้างสิ่งอันเป็นภัยต่อโลก คือ ปรมาณู ลูกระเบิด ดินปืน กระสุนปืน อาวุธ กัมมันตภาพรังสีทำลาย อันเป็นเครื่องมือในการทำลายทรัพยากรในโลก ยุทโธปกรณ์ ทลายโลก ภูเขาทั้งโลก มหาสมุทร
ทั้งโลก ท้องฟ้าทั้งโลก ดวงดาว ดวงจันทร์ แต่คนกลับหลงยกย่องคนกันเอง ว่าเก่ง มีความสามารถ ทั้งๆ ที่ความเก่ง ความสามารถเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นเพชฌฆาต ฆ่าตัวเอง ฆ่าคนด้วยกัน

สงครามโลก ก็คือ สงครามคนนั่นแหละ แต่เบี่ยงเบนไปเรียกว่าสงครามโลก คนด้วยกัน ฆ่าคน ด้วยกัน ยกทัพมาฆ่า เป็นหมู่เสียด้วย

คนใช่ไหม? ที่เป็นหัวหน้านำคนค้าคน เช่น เป็นนายหน้า เป็นนายทุน เป็นนายบังคับบัญชา เป็นนายสั่ง เป็นนายคุม คนที่ประกอบอาชีพ ค้าเลือดเนื้อตัวเอง ที่เรียกว่าอาชีพ โสเภณี

คนใช่ไหม? ที่เป็นผู้บังคับบัญชาให้คนฆ่าคน ที่เรียกว่าอาชีพนักรบ

คนใช่ไหม? ที่เป็นผู้สอน แนะนำ จัดให้คนมาต่อยทำร้ายร่างกายคนกันเอง ที่เรียกว่า อาชีพ นักมวย

คนใช่ไหม? ที่เป็นผู้รับจ้างคนฆ่าคนที่ไม่กล้าฆ่าด้วยมือตัวเอง ที่เรียกว่าอาชีพ มือปืนรับจ้าง

คนใช่ไหม? ที่เป็นผู้ผลิต จำหน่าย ขยายเครือข่าย เอเยนต์ในการค้าขาย สิ่งมอมเมาคน ที่เรียกว่า อาชีพ ค้ายาเสพติด

คนใช่ไหม? ที่เป็นผู้ใช้กำลังมาเป็นอาชีพหาเงิน หาประโยชน์ใส่ตัวเอง บนความทุกข์ยาก ของคนอื่นๆ ที่เรียกว่าอาชีพ เจ้าพ่อ ผู้คุ้มครอง

คนใช่ไหม? ที่เป็นผู้ใช้ปัญญา การพูดมาเป็นอาชีพสร้างความมั่งคั่ง สร้างฐานันดรศักดิ์ ให้ตนเอง ที่เรียกว่าอาชีพ นักพูด นักเทศน์

และคนใช่ไหม? ที่ใช้ทุกสิ่งๆ ในโลกมาสร้างความยิ่งใหญ่ ความมากมี ให้แก่ตัวเอง นานา สารพัดอย่าง แม้กระทั่ง ก่อเรื่องก่อราว ทำลายฆ่า บังคับกดขี่ เพียงเพื่อหาแผ่นดิน เพื่อฝัง ซากศพ อันไร้ประโยชน์ ของตัวเอง

แม้วาระสุดท้ายของชีวิตที่คนต้องละทิ้งทุกๆ อย่างไป ก็มิวาย ที่จะก่อความเดือดร้อน ให้สรรพสิ่ง ในโลก

และสิ่งที่คนคิดว่าคนเหนือกว่าสัตว์ วิเศษกว่าสัตว์อันคือ "มันสมอง ปัญญา" ซึ่งก็คือ ความเฉโก ความคดโกง ความหลอกลวง สิ่งนั้นแหละ ยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ คนต่ำกว่าสัตว์ เลวกว่าสัตว์ ด้วยซ้ำไป เพราะเอาส่วนนี้ๆ ของตนไปสร้าง ทำสิ่งที่ทำลาย สรรพสิ่งในโลก

ถ้าคนไม่มีสิ่งนี้ โลกก็อยู่สงบ อยู่ผาสุก อยู่อย่างเรียบง่ายกว่านี้

มิหนำซ้ำ เมื่อเราหยิบยกความจริงนี้ขึ้นมาแสดง คนก็กลับหาเหตุผลตามประสา ปัญญาโกง (โลก) ว่า ถ้าคิดแค่ตามที่มีโดยธรรมชาติ ตามที่ได้มาโดยธรรมชาติ แสดงว่าคนๆ นั้นไม่เจริญ ไม่ก้าวหน้า ไม่พัฒนาไป

ไม่ยอมเข็ด ไม่ยอมรับความจริงว่า เพราะไอ้คิดได้มาก คิดได้เยอะ คิดได้สาระพัด นั่นแหละ คือสาเหตุ ของความชั่วร้าย ทั้งหลายในโลก

พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นคนที่คิดได้ทะลุโลกจึงตรัสว่า ความคิดนั้นทำลายคน ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ เพราะ แม้ศัตรู ก็ไม่ร้ายเท่าความคิดร้าย ไม่ร้ายเท่าความคิดผิด สัมมาทิฐิ จึงเป็นรุ่งอรุณ ของชีวิต ของสัมมาชน รุ่งอรุณของสัมมาชีพ แล้วพระองค์ ก็ทรงทำนำด้วย ไม่เพียงแต่เปิดเผย ความคิดถูก อย่างเดียว ทรงนำให้แนะนำให้ถูก ทรงนำให้ทำให้ถูกด้วย

แต่คนด้วยกันไม่ค่อยจะเชื่อคนด้วยกัน กลับคิดฟุ้งซ่านไปเชื่อสิ่งที่ตนคิดขึ้นมาเอง หรือไปเชื่อ สิ่งที่ไม่เห็น จับต้องไม่ได้ในโลก เพราะไม่รู้ว่า "ไสยศาสตร์" นั่นก็คือมายาการ ชนิดหนึ่ง ที่คนสร้างขึ้น หลอกคนกันเอง

แม้แต่เหตุผล ก็ยังคือสิ่งที่คนสร้างขึ้น เพื่อเพิ่มน้ำหนัก ให้แก่ความเชื่อถือ ที่คนอื่นๆ จะให้แก่ ตัวเอง

โลกนี้จึงเต็มไปด้วยมายา เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่จริง แม้จะมีคนจริง พูดความจริง แสดงให้เห็น ของจริง คนก็ไม่ยอมรับ ความจริงนั้นๆ

แม้แต่เพศที่สร้างโลก เพศที่สร้างคน ก็ยังถูกบิดเบือนว่า เป็นเพศต่ำกว่าเพศที่ทำลายโลก ทำลายคน

เพศที่เข้มแข็ง ก็ยังถูกบิดเบือนว่า เป็นเพศอ่อนแอ

ความจริงที่ไม่จริง ที่เรียกว่าความจริงโดยสมมติ กลับยอมรับความจริงอันนั้น และ ถือความจริง อันนั้นร่วมกัน

แต่ความจริงที่เป็นจริงที่เรียกว่าความจริงโดยปรมัตถ์ กลับบอกว่า เป็นความจริง เฉพาะตัว ไม่ถือร่วมกัน

คน ๒ คนมีเรื่องกัน แทนที่จะให้เป็นเรื่องของคน ๒ คนจัดการกันเอง

กลับสร้างบุคคลที่ ๓ บุคคลที่ ๔ จนถึงที่ ๑๐๐ มามีส่วนร่วม เกี่ยวข้องวุ่นวาย กับชีวิตของคน ผู้เดียวนั้น

เพราะเป็นอย่างนี้แหละ โลกจึงวุ่นวาย เพราะวิธีที่ไม่ยุติ เพราะใช้วิธีการขยายผล ไม่ใช้วิธีการ สรุปผล

การตัดสินแม้ศาลยุติธรรม จึงหาความยุติธรรม ที่แท้จริงไม่ได้

เพราะ มัน "ไม่ยุติธรรม" แล้วตั้งแต่เริ่มต้น

คือ เรื่องเกิดขึ้นระหว่างคน ๒ คน คน ๒ คนก็ควรจะจัดการกันเอง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จะโดย วิธีไหน เพราะเขา ๒ คน ไม่ยุติเวร ไม่ยุติกรรม เขาจึงต้องมีเรื่องต่อๆ ไป แล้วทำไมเล่า? คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพยาน ทนาย อัยการ ผู้พิพากษาจึงเกิดตามๆ มาอีกเยอะแยะ มากมาย ไล่ดะไป จนถึงสื่อสาร ประชาชน ฯลฯ

เพราะเหตุเกิดที่ไหน ไม่ได้ดับที่ที่เกิดนั่นเทียว จึงบานปลาย จนหาเบื้องต้น บั้นปลายไม่ได้ ดังที่พระบรมศาสดา ทรงตรัสไว้

ฉะนั้นแม้แต่เรื่อง "ความจริงที่ไม่พูดกัน" ก็เข้าในลักษณะเดียวกัน คือ เพราะไม่พูด ความจริง แท้ๆ ไม่ยอมรับความจริง จริงๆ โลกจึงเต็มไปด้วย ความหลอก คนจึงแก้ปัญหา โดยวิธีหลอกๆ และ ไม่พ้นทุกข์ และคงจะต้องอยู่กับโลกหลอกๆ เกิดๆ ตายๆ กับความหลอกๆ เหล่านี้อีก นานแสนนาน

แม้คนที่เขียนเรื่องนี้ ก็ขอให้ผู้อ่านถือเสียว่าเป็นข้อเขียนของคนที่หลอกตัวเอง เพราะทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจเต็มๆ ว่าโลกนี้เป็นมายา แต่ก็ยังอุตส่าห์หากรรม เขียนเรื่องจริง ที่ต้องหลอกตัวเอง ต่อไปว่า เผื่อจะมีคนอ่านเข้าใจ เผื่อจะมีความเห็นตามได้ หรือจะมีคนเห็นด้วย เพราะเคยได้รับ คำติเตียนมาแล้ว ว่าคิดอะไรบ้าๆ มองอะไรบ้าๆ เห็นอะไรบ้าๆ

ก็ในเมื่อคนเขาลงความเห็นว่ารู้สึกอย่างนี้ เขียนอย่างนี้ เห็นอย่างนี้เป็นความบ้า แล้วคนไหน ใครเล่า จะไม่กลัวโดนคนอื่น ว่าตัวเองบ้า ถ้าคนนั้น จะมาอ่าน มาเห็นด้วย กับมุมมองอย่างนี้ แม้อาจจะมี ผู้มีความคิดเห็นเดียวกันนี้อยู่ แต่ก็ยังไม่พ้นความจริง ที่เขาไม่พูดกันอยู่นั่นเอง ผู้เขียน ผู้พูด ผู้เห็นอย่างนี้ๆ จึงไม่แคล้ว จะเป็นคนบ้าในโลก ในสังคมจริงๆ

และถ้าไม่รู้ให้ทะลุถึงปานฉะนี้ มีวิธีอื่นไหม? ที่คนจะปลดเปลื้อง เครื่องปิดบัง เครื่องพันธนาการ ออกจากตนเอง

มีวิธีอื่นไหม? ที่คนจะหลุดพ้นจากโลกอันเป็นมายานี้
มีวิธีอื่นไหม? ที่คนจะพ้นความเป็นคน
มีวิธีอื่นไหม? ที่คนจะพ้นจากอวิชชา

คนก็คงจะเก่งอยู่แค่การก้าวไปเป็น "คนเหนือคน" เพียงแค่ "คนเอาชนะคน" ด้วยกันได้ เพียงแค่ "คนข่มขี่คน" ด้วยกันได้เท่านั้นเอง

แล้วคนก็มาหลงภาคภูมิใจว่า "ข้านี่แหละ เหนือคน !"

ความจริงอย่างนี้ๆ แหละ ซึ่งมันเป็น "ความจริงเพียงหนึ่งในล้านๆๆๆอย่าง" ในบรรดาความจริง ที่คนเขาไม่พูดกัน เพราะเขาถือโศลกที่ว่า "ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย แต่คนพูดความจริง มักจะตาย" แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่า พูดจริงก็ต้องตาย พูดไม่จริง ก็ต้องตาย เพราะความตาย ไม่ได้ลำเอียง เฉพาะคนพูดจริง หรือพูดไม่จริง ความตายเป็นความจริง ของคนทุกๆ ประเภท ทั้งคนจริง ทั้งคนไม่จริง

แต่คนจริงจะไม่กลัวตาย แต่ก็ไม่โง่จนทำให้ คนกลัวความจริง มาทำให้ตัวเองตาย เพราะถ้า จะตายทั้งที ก็ขอให้ได้เข้าถึงความจริง ก็กำไรพอแล้ว

ชีวิตของคนจริง จึงนั่งมองความตายอยู่ทุกลมหายใจ นั่งมองความตายอยู่ทุกๆ ขณะ เพราะการ มองเห็นความจริง คือความตายอย่างนี้ๆ แหละ คือ "มรณานุสติ" ที่ทำให้คน ที่ยังไม่ตาย เข้าถึงความจริง ก่อนจะตาย ตายแล้วหมดโอกาสจริงๆ นะจะบอกให้ !

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๙ ธันวาคม ๒๕๔๕)