หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

กำไรขาดทุนแท้ของอาริยชน
(ต่อจากฉบับที่ ๑๕๓)


นั่นคือ จิตผู้นั้น "เกิด"เป็นอาริยะ เพราะกิเลสในจิต "ตายสนิท" มิใช่แค่พัก แค่สงบได้เพราะสมาธิโลกีย์ "การตาย ของกิเลส"นั้น คือ "การตาย-การเกิด"ในจิต ที่เป็นภาวะทางจิต ซึ่งจะ"ตาย" หรือจะ "เกิด" กันก็เฉพาะ "ภาวะจิตในจิต" เท่านั้น เป็นนามธรรมล้วนๆ ไม่ใช่เกิดใช่ตาย ทางร่างกาย หรือ ไม่ใช่"ภาวะ การแตกตายของกาย" (กายัสสะ เภทา) เพราะ เป็นการตาย หรือการเกิดแบบ "โอปปาติกะ" (การเกิด การตาย ของจิตในจิต โดยผุดเกิดขึ้นมาได้เอง ตายได้เองใน จิต ส่วนที่ตายก็ไม่มีซาก)

เรากำลังพูดถึงคุณลักษณะของ "กิเลสตาย-จิตเกิด" เรียกว่า บรรลุธรรม ขั้นปรมัตถสัจจะ สู่โลกุตระ ตามลำดับ จึงชื่อว่า "เป็นผู้สำเร็จ" จริง หากผู้ใดได้อ่านแล้วรู้สึกว่า ออกจะเข้าใจยาก เพราะเป็นเรื่องธรรมะ ขั้นนามธรรม ขั้นลึก จนแทบสัมผัสไม่ติด อะไรอย่างนั้น ก็ต้องขออภัย เป็นอย่างมาก ที่ข้าพเจ้า สามารถ อธิบาย ให้เข้าใจได้แค่นี้ ก็คงต้องใช้ ความสามารถ เพิ่มขึ้น ที่จะอธิบาย ให้อ่านเข้าใจ รู้เรื่องได้ง่ายขึ้นกว่านี้ แต่นั่นแหละ เรื่องราวมันได้อธิบายกันมาถึงขั้น ลึกล้ำเกี่ยวกับ ภาวะนามธรรม ซึ่งเป็นขั้น ยากกันแล้วจริงๆ ข้าพเจ้าเลี่ยงไม่ได้เลย เอาเถอะ..ถึงอย่างไ รก็สัญญาว่าจะ พยายาม ให้มันง่ายที่สุด เท่าที่จะสามารถ

เมื่อมาถึงขั้นเกี่ยวกับ"การตาย-การเกิด"ของกิเลส ของจิตในจิต ซึ่งเป็นเรื่อง"อภิธรรม"โดยแท้ มันก็ต้อง พูดกันด้วย เนื้อหาของ"จิต..เจตสิก..รูป..นิพพาน"กันอย่างนี้ ข้าพเจ้าไม่มีทางเลี่ยงจริงๆ อย่างไรก็คงต้อง อธิบายอีก หลายครั้ง เพราะเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับชาวพุทธโดยตรง และ ยิ่งประเทศไทย เป็นเมืองพุทธ มีพุทธศาสนิก กว่า ๙๐ % ก็ยิ่งเป็น ความจำเป็นที่จะต้องพูดถึงกันให้กระจ่างชัดด้วยซ้ำ

อย่าลืมเป็นอันขาดนะว่า ประเทศไทยมีศาสนาพุทธกันมายาวนานกว่าสองพันปีแล้ว ไทยเรามีบุญ มากจริงๆ ที่ได้รับ ศาสนาพุทธ และถึงบัดนี้ ก็ยังมีประชาชนคนไทย ไม่ออกไปจากศาสนาพุทธ ยังคงถือสังกัดว่า "ตนคือพุทธ" อยู่ถึง กว่า ๙๐ % แต่นั่นแหละ ตามสัจจะนั้น ไทยเรายังมี "ความเป็นพุทธด้วยเชื้อเนื้อแท้" อยู่จริง เท่าไหร่กันแน่?

เนื่องจากความเข้าใจในพุทธศาสนา มันได้ผิดเพี้ยน กันไปมากกว่ามาก จนแทบไม่เหลือ "เชื้อเนื้อแท้ ของพุทธ" กันแล้ว ที่ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ ก็เป็นความเห็น ของข้าพเจ้า อาจจะมีผู้แย้งว่า พุทธทุกวันนี้ยังมี "เชื้อเนื้อแท้ของพุทธ" อยู่ดีครบครัน หรือมี "เชื้อเนื้อแท้ของพุทธ" มากกว่าที่ไม่ใช่ "เชื้อเนื้อแท้ของพุทธ" ก็แย้งไป เป็นสิทธิของแต่ละคน แต่ข้าพเจ้าเห็นเช่นที่ กล่าวนี้จริงๆ ก็ขอวิจารณ์ตำหนิทักท้วง ส่วนที่ข้าพเจ้า เชื่อว่าผิด และขอแนะนำ เชิดชูยกย่อง ในส่วนที่เห็นว่าดี ว่าถูกต้อง มาคอยดูกันก็ได้ ว่า ข้าพเจ้า จะมีพวกมาก หรือพวกน้อย จะมีผู้เห็นด้วยมาก หรือน้อยนั่นเอง ซึ่งถ้าข้าพเจ้า อธิบายไม่ดี ทำให้คน เข้าใจตาม และเห็นจริง ตามไม่ได้เพียงพอ ข้าพเจ้าก็มีพวกน้อยแน่ๆ ข้าพเจ้า ก็จะพยายาม ที่ข้าพเจ้า ทำงาน ทั้งหนักทั้งยากเย็น แสนเข็ญ อยู่กับเรื่องของ พระพุทธศาสนา มาจนป่านนี้ มีอุปสรรค นานาประการ ก็ไม่ได้เพื่อหา พวกอะไรหรอก แต่ทำด้วย"ใจ" ที่เต็มไปด้วยเลือด และวิญญาณ แห่งความเป็นพุทธ ที่ได้รับ "บรมประโยชน์" (ปรมัตถะ) จากศาสนาพุทธ อันเป็นพระคุณสุดเศียร สุดเกล้าหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าอยาก ให้คนอื่นๆ ได้ด้วย อยากให้คน อื่นๆ มี "สุขอันวิเศษ" (วูปสมสุข) กันจริงๆบ้าง เพราะมันวิเศษ ดังกล่าวนั้น เหลือเกิน นอกจากนั้นก็ด้วยความกตัญญูต่อ พระพุทธศาสนา ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างสูงสุด เทิดทูนยิ่งยอด เหนืออื่นใด

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพระไตรปิฎก เล่ม ๒๐ ข้อ ๕๕๔ ว่า บุคคล ๓ จำพวกที่หาได้ยากในโลก คือ
๑. พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. บุคคลผู้แสดงธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
๓. บุคคลผู้มีกตัญญูกตเวที

ข้าพเจ้าปรารถนาเป็นคนดังกล่าวนั้น แน่นอนอย่างข้อ ๑ ข้าพเจ้ายังเป็นไม่ได้ ข้าพเจ้าก็พยายาม ที่จะเป็นคน อย่างที่ ๒ และ ๓ ตราบจนกว่า จะเป็นบุคคลข้อที่ ๑ ให้ได้ นี้เป็นปณิธาน ของข้าพเจ้า

และพระพุทธเจ้าตรัสไว้อีก ในพระไตรปิฎก เล่ม ๒๐ ข้อ ๕๗๑ ว่า สิ่ง ๓ อย่างนี้ ปิดบังไว้จึงเจริญ จึงนำไปสู่การก้าวหน้า ถ‰าเปิดเผยไม่เจริญ ไม่นำไปสู่การก้าวหน้า คือ...

๑. มาตุคาม(สตรี) ปิดบังไว้จึงเจริญ

[มีต่อฉบับหน้า].

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๔ พฤษภาคม ๒๕๔๖)