หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

เศรษฐชนกล้าจน หนทางสร้างศานติ
- วิมุตตินันทะ -

น้อยต่อน้อยคนนัก ที่จักสนใจวิถีคนจนผู้ยิ่งใหญ่ เกือบร้อยทั้งร้อย ล้วนกลัวยากจนทั้งนั้น เมื่อจนลำบาก กระทั่งขาดแคลน ที่อยู่ที่กิน แน่นอนคงไม่มีใครประสงค์

รัฐบาลทักษิณ ช่างรู้ใจคนจน ถึงกับประกาศห้าวหาญ อีก ๖ ปี คนไทยไม่มีจน ท่านก็พาฟุ้งฝัน ไปตามประสา คนชอบรวย จนรวยล้น ส่วนตัวได้สำเร็จ ส่วนจะพาชาวบ้าน ไปถึงฝั่งฝัน ได้แค่ไหน เดี๋ยวก็รู้

และต่อให้หายจนกันถ้วนหน้าทั่วไทย ทุกบ้านช่อง เพราะมีเงินได้ต่อหัวต่อคน วันละสี่ห้าสิบบาท (ตามมาตรฐานยูเอ็น ต่ำกว่าวันละหนึ่งดอลลาร์ถือว่าจน) แม้กระนั้น ก็อย่าเพิ่งลิงโลดว่า เมืองไทย จะกลายเป็น เมืองสวรรค์ ทุกหัวระแหง

หัวใจใสใส ใช่จะมีในคนไทยง่ายๆ ยิ่งไม่ยอมรู้จักเศรษฐกิจพอเพียง ยิ่งไร้เดียงสากับคำว่า พอกินพออยู่ ใจย่อมหิวโหย ถมเท่าไหร่ไม่รู้จักเต็ม กลายเป็นเปรตวิสัย พันธุ์แท้น้อยใหญ่ โดยไม่รู้ตัว อีกต่างหาก ยังงั้นรึเปล่า...

เมื่อไหร่ ชีวิตสมถะ มักน้อยสันโดษ จะกลับมาฟื้นคืนวิถีไทไทอีกครั้ง ทั้งๆ ที่องค์เจ้าแผ่นดิน ทรงประกาศ ลัทธิเศรษฐกิจพอเพียง ซ้ำซากจนเข้าหูคนไทยหมดแล้ว ตั้งหลายปีดีดัก ส่วนพวกหอคอยงาช้าง คงฟังเข้าหู ทะลุซ้ายขวา ผ่านตลอด เพียงได้ยิน แต่ไม่ฟังเสียงหรืออย่างไร ประมาณนั้น

สนฺตุฏฺฐี ปรมํ ธนํ สันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ภูมิปัญญาพุทธดังว่านี้ ถึงใครจะมองข้าม ตามอัธยาศัย ศรัทธาน้อย คงต้องปล่อยไปก่อน ตามกระแส พวกมากลากไป ในเมื่อใครๆ ย่อมอยากรวย แบบทุนนิยม กันทั้งนั้น ไม่ต้องว่ากันมาก

ก่อนจะรวยด้วยการหาเงินก้อนโตเข้ามาเยอะๆ ไม่น่าจะลืมเรื่องพาจนที่มันทำให้รวย ไม่ได้สักที เหมือนตักน้ำ ใส่ตุ่มรั่วซึม หากไม่ฉลาดน้อยคงต้องอุดรูรั่วน้อยใหญ่ทั้งหลายให้หมดเสียก่อน

เชื่อไหมว่า แค่เที่ยวงานสงกรานต์ เศรษฐกิจไทยวายวอดไปแยะเลย นับคนตายตั้ง ๕๗๐ เจ็บอีกสี่หมื่น ในพวกที่ไม่ตาย ย่อมมีพิการกันไปไม่ใช่เล่นๆ อยู่เท่าไหร่ไม่รู้ ตายเจ็บกันมากกว่า โรคซาร์สระบาด ทั่วโลก เสียอีก แล้วจะเอายังไงกันดี ขนาดอเมริกายกโขยง ไปถล่มซัดดัม ยึดอิรักมาได้ทั้งประเทศ เสียทหารไปแค่ ๑๒๐ คนเอง

สงกรานต์ไทยพาคนไปตายเปล่าๆ มากกว่าบุชพาทหารไปตายตั้ง ๕ เท่า แล้วเราได้อะไร จากสงคราม สาดน้ำบ้าง นับวันสงกรานต์ยิ่งโหดมากขึ้น ดีที่ทางการพยายามห้ามกั้นอะไร หลายๆ อย่าง มันก็ยังไม่พอ ฉุดรั้ง ความหายนะ ให้ลดน้อยถอยลง

สาดน้ำสงกรานต์ สะท้อนให้เห็นแนวโน้มที่รุนแรง พาเด็กไทยชินชากับทารุณกรรม จากการสาดน้ำ ทำให้คนอื่น เปียกปอน เดือดร้อน แล้วตัวเองกลับหัวร่องอหาย เล่นสนุก บนกองทุกข์เพื่อน มันจะดีหรือ... โดยเฉพาะ การสาดน้ำใส่คน ขี่รถจักรยานยนต์ น่าจะห้ามได้แล้วหรือยังเอ่ย?

ทางสาธารณสุข น่าจะเอาใจใส่ สาธารณทุกข์เช่น สงครามสาดน้ำ ทำนองเดียวกับที่เอาเรื่องจริงจัง กับโรคระบาด ซาร์ส ไม่ควรปล่อยให้เป็นธุระ ของมหาดไทยเท่านั้น นอกจากปัญหากินเหล้า เมาแล้วขับ แม้การสาดน้ำ มันเสียน้ำที่หายาก ในหน้าร้อนตับแตก เช่นนี้ แทนที่จะประหยัด กลับมาเพาะนิสัย อีลุ่ยฉุยแฉก ติดตัวตั้งแต่เด็กเล็ก โตขึ้นจะรวยได้อย่างไร เมื่อไม่หัดรักษา ของที่ไม่ควรทิ้งขว้าง

การรดน้ำ ทำด้วยคารวะและเมตตา คนละเรื่องกับการสาดน้ำ ซึ่งมันสาดเสียเทเสีย ไม่ใช่เฉพาะน้ำ มันบ่มเพาะจิตวิญญาณที่เบียดเบียนรังแกกันให้แรงร้าย โดยคิดว่าสะใจ มันส์ดีของตัวเอง สังเกตแม้แต่ รถขับผ่าน สาดคนไม่ได้สาดรถก็ยังดี ค่านิยมการเล่นเช่นนี้ กระทรวงวัฒนธรรมทำอะไรอยู่ จึงไม่คิดใหม่ ทำใหม่บ้างหรือ...กระทรวงศึกษา อีกทั้งวัดวา น่าจะรู้ร้อนรู้หนาวบ้าง

แม้จะเห็นใจคน บ้างโตแต่ตัวแต่หัวใจยังเป็นเด็กเล็ก ยุคนี้ออกจะขาดแคลนความสุข และหมดท่าที จะสนุกสนาน อย่างสร้างสรร เช่นการโกยทรายเข้าวัด การทำความสะอาด บ้านช่อง ท้องถนน กิจกรรม ทำนองนี้ น่าจะคิดอ่านกันดู

พูดถึงงานสงกรานต์ ซึ่งเพิ่งผ่านไป ก็อยากโยงใยถึงพาหะที่พาจน เช่นรถจักรยานยนต์ ข่าวว่าจะเก็บ เบี้ยประกันเพิ่มอีก คนเดี๋ยวนี้เดินถนนไม่เป็น ขี่จักรยานก็ไม่ทันกิน เลยนิยมขี่รถเครื่อง ซึ่งทำขึ้นมาสนอง ตัณหา พวกวัยรุ่น หนุ่มคะนอง มีกำลังวิ่งราวกับเหาะ ก็หาที่ตายได้ทันใจดี ถึงไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตอีก ทำไมส่งเสริม ให้ใช้รถเครื่องซีซีสูงกันมากนัก ธุรกิจทุนนิยม เอาใจตลาด โดยไม่คิดรับผิดชอ บสังคม รัฐบาล น่าจะเก็บภาษีรถ ที่พาไปนรกได้ไวให้มันเสียอัตราแพงๆ เข้าไว้ อันนี้น่าจะดีไหม?

ขณะที่โรคระบาดซาร์สกำลังซ่าส์อยู่ ผู้คนหัวหด ลดการเที่ยวต่างประเทศ เศรษฐกิจของเมือง ที่แขวนไว้ กับการท่องเที่ยว มีหวังแห้งเหี่ยวหัวโตไปเรื่อยๆ ถ้าซาร์สระบาดไม่หยุด

เศรษฐกิจทุนนิยม ชอบส่งเสริมการท่องเที่ยว ถือเป็นอุตสาหกรรมหลักสำคัญ เพราะเป็นตัวดูด เพื่อยักย้าย ถ่ายเทเงิน จากนักท่องเที่ยว ที่เข้ามากินสูบดื่มเสพ เศรษฐกิจจะได้หมุนเวียน ซื้อง่ายขายคล่องทำนองนั้น

ครั้นมองต่างมุม เราจะเห็นว่าการผลาญพร่าทรัพยากรมากขึ้นโดยไม่จำเป็น เฉพาะอย่างยิ่ง หากนักท่องเที่ยว ที่ไม่ค่อยมีคุณภาพ ไม่สร้างสรร เพียงมาเมามันส์ตามกิเลสตัณหา แล้วกลับไปโดย ปราศจาก การเรียนรู้ รับถ่ายทอดวัฒนธรรมที่ดีขึ้นติดตัว ซ้ำร้ายนิสัยต่ำทรามลงอีกต่างหาก แบบนี้ มันได้ไม่คุ้มเสีย แขกนักท่องเที่ยว ก็ผลาญเงินเปล่าๆ ฝ่ายเจ้าภาพหลงว่าเศรษฐกิจตัวเองดีขึ้น แท้จริง ข้าวของแพงขึ้น เพราะมีคนมาแย่งซื้อกินใช้ ทั้งของจำเป็นและฟุ่มเฟือย ต่างแพงขึ้นทั้งนั้น จะว่าเฟื่องฟูดี ก็ฟูดี แบบฟองสบู่นั่นแหละ ไม่มียั่งยืน

เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจที่ไม่พึ่งพิงรายได้นักท่องเที่ยว ของฟุ่มเฟือย ที่นักท่องเที่ยว ชอบซื้อไปรกบ้าน มันจะขาย ไม่ค่อยออก การผลิตสินค้าพวกนี้ จะจำกัดตัวอยู่ ในวงแคบๆ ด้านของจำเป็น เมื่อไม่ต้อง ถูกประมูล ไปบริการ นักท่องเที่ยว มันจะเหลือล้น อยู่ในบ้านเมือง ชาวบ้านจะซื้อ หากินใช้ได้ ในราคาถูกๆ

คงเป็นเพราะนักเศรษฐกิจทั้งหลาย ต่างมุ่งเอาเม็ดเงินเฉพาะหน้า ไม่มองเศรษฐกิจการผลิต การบริโภค ในองค์รวม ระยะยาว พวกเขาเลยส่งเสริม การท่องเที่ยว อย่างอึกทึก ขนานใหญ่ เมืองนอก ไม่ค่อยมา การท่องเที่ยว ก็หาเรื่องโฆษณาแหลก ชวนคนไทยเที่ยวทั่วไทย เป็นบ้าเป็นหลัง มันสร้างสรรเศรษฐกิจ บูรณาการจริงๆ หรือ...คนเราต้องเที่ยว เยี่ยมเยียน เรียนรู้ต่างที่ ตามกาลเทศะ อันเหมาะสมบ้าง แต่อย่างที่ พาให้เที่ยวเล่น เป็นอาชีพอุตลุด เศรษฐกิจส่วนตัว มันต้องแฟบเป็นธรรมดา ยิ่งมีการผลาญพร่า กินสูบดื่มเสพ มากกว่าการผลิตข้าวของจำเป็นเช่นปัจจัยสี่ บริโภคมากกว่า ผลิตมากเท่าไหร่ เศรษฐกิจ ถอยหลัง หรือเดินหน้ากันแน่?

อุตสาหกรรมท่องเที่ยว กับอุตสาหกรรมทำข้าวผ้ายาบ้าน อันไหนที่ไทยเรา ควรปักหลัก ยืนหยัด ยึดถือ เลี้ยงชีพ พึ่งตนเอง ทำมาหาเงินดอลลาร์กับทำมาหาข้าวกิน มันสร้างสันติภาพได้ไม่เหมือนกันเลย

เศรษฐกิจอเมริกา อยู่ในกำมือของพวกยิว และแขวนชีวิตไว้กับลัทธิบริโภคนิยม เมื่อคนมีรายได้ลดลง บริโภคหดตัว การผลิตชะลอเศรษฐกิจ ชะงักงันตกต่ำ บุชจึงแก้ลำ กระตุ้นเศรษฐกิจ โดยลงทุนทำสงคราม สงคราม นอกบ้าน อเมริกาถนัดอยู่แล้ว มหาอาวุธ สรรพลูกระเบิด พัฒนาขึ้นมาไว้ ขืนไม่หาเรื่องใช้ มันก็เศษเหล็ก ขายไม่ออก ปัจจัยค้าอาวุธสงคราม จึงเป็นเหตุผลสำคัญ ของลัทธิบุช ที่บุกทำสงคราม ถล่มซัดดัม ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกย่อมแหลกลาญ

เศรษฐีทุนนิยม ชอบทำสงคราม เมื่อมั่นใจว่าตัวเองได้เปรียบเต็มๆ ว่าต้องชนะ รายจ่ายที่ลงทุนไป ไม่เสียหลาย มันไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ฟูเฟื่อง พาหุ้นขึ้น อเมริกันชน ที่แขวนชีวิตไว้กับ การถือหุ้น เล่นหุ้น จึงยิ้มออก ทั่วหน้า ฝ่ายบุชรบชนะ มีหวังได้เป็นใหญ่ต่ออีกสมัย

ยิ่งหลังสงครามถล่มอิรัก ต้องฟื้นฟู อเมริกาจะสูบเอาน้ำมันอิรักไปขาย มาจ่ายเป็นค่าสร้าง บ้านเมือง ที่ตัวเอง ทำลายไป ธุรกิจอเมริกัน เข้าไปรับสัมปทาน หากินดูดเงิน เข้ากระเป๋าอีกต่อหนึ่ง

ชาติไหนอยากได้สงครามนำหน้าสันติภาพ ตามหลังแบบอิรัก บุชช่วยได้

สงครามของเศรษฐีกล้ารวย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างร้ายกาจล้ำลึก


เมืองไทย หวังว่าคงไม่ไปหลงใหลลัทธิบุช ไม่ต้องตามก้นยูเอส เพราะไม่ใช่พ่อเรา สู้ผูกน้ำใจ เอื้ออาทร แบ่งปัน สร้างมิตรแทนสร้างศัตรู เข้าใจบุญบาปแบบนี้บ้าง

โดยเฉพาะเมืองไทย ถ้ารู้จักกินน้อยใช้น้อย อยู่ดีมีสุข ด้วยข้าวผ้ายาบ้านเหลือล้น เพราะขยัน และไม่ต้อง ชวนต่างชาติ มาเที่ยวผลาญ หรือเราเอง ก็ไม่ต้องเที่ยวผลาญเปล่าด้วย จนให้เป็น หรือกล้าจน ประหยัดกินใช้ ไม่ต้องเล่นหวยตู้ ไม่ต้องบ้าตามสายเดี่ยว ดังนั้น ถ้าคนไทย กินใช้เป็น ทั้งเก่งทำ อะไรๆ ก็เหลือกิน เกินใช้ แบ่งปันอุ้มชูคนไทย และเพื่อนบ้าน ได้เสมอ แล้วจะไปรบทัพจับศึกกับใครที่ไหน

นั่นคือเศรษฐีเงินถัง แต่สตางค์ไม่มี เพราะกล้าสะพัดจึงจัดเป็นเศรษฐชนพันธุ์แท้ คนละขั้ว กับเศรษฐี กลายพันธุ์ ผู้กล้าสะสม เศรษฐีกล้าเอา มากกว่ากล้าให้ ในขณะที่เศรษฐชน กล้าให้ มากกว่ากล้าเอา ใครทำสงคราม ใครทำสันติภาพ ชอบข้างไหน เชิญท่านผู้เจริญ

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๔ พฤษภาคม ๒๕๔๖)