>เราคิดอะไร

เวทีความคิด - เสฏฐชน -

ไฉนถึงทำกับตัวเองได้


ถ้าจะถามว่าคนรักอะไรที่สุดในโลก ส่วนใหญ่จะตอบว่า "รักตัวเอง" แม้ในทางธรรมท่านผู้รู้ ก็เฉลยคำตอบ คล้ายคลึงกัน แต่อาจจะเป็นแนวลึกกว่าว่า "คนรักกิเลส" (ตัวเอง) ที่สุดในโลก ไม่เชื่อลองพิสูจน์ก็ได้ ดูได้จากคู่หนุ่มสาว ที่ว่ารักๆ กันนัก ลองโยนไฟ อาวุธ สัตว์เลื้อยคลานดุๆ (เช่นงู) เข้าใส่โดยไม่ให้รู้ตัว ขณะที่เขาทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันสิ! จะได้เห็นทันทีว่า ใครจะปัดออก จากใครก่อน ไม่ต้องพิสูจน์ ก็ได้คำตอบ เหมือนกันแน่นอน และก็คงไม่มีใคร อยากให้ใครพิสูจน์ อย่างนี้ เช่นเดียวกับ ความนัยประโยคที่ว่า "มนต์เปิดเผยย่อมไม่ศักดิ์สิทธิ์" หากพิสูจน์ความรักทำนองนี้ ก็คงจะหมด ความประทับใจ เหมือนกัน

แต่นั่นแหละโลกใบนี้มีมายาหลากหลายครอบคลุมอยู่ แม้จะมีแสงอาทิตย์ส่องสว่าง กระจ่างแจ้งให้เห็น แต่คนก็ไม่อาจเห็น แสงอาทิตย์เอง มองด้วยตาเปล่าไม่ได้ แสงนั้นต้องส่องผ่านมวลเมฆมาก่อน นัยน์ตา จึงจะรับได้ ไม่ต่างจาก ความจริงแท้ๆ นั้นยากนัก ที่จะมองเห็น ยอมรับ เพราะคนเสพคุ้น กับความผสม ปรนปรุง ตกแต่ง จนทำให้เกิดอุปาทาน เหนียวแน่น โดยกำเนิดว่า การปรุงแต่งเหล่านั้น คือการพัฒนา การเปลี่ยน การปรุงคือความเจริญ หากไม่มีการปรุงผสม ให้แรง ให้เร็ว ให้ซับซ้อนขึ้น เขาก็จะกำหนดหมาย ตีตราว่าถอยหลัง ไม่ก้าวหน้า โลกนี้จึงต้องปรุงแต่ง เป็นปกติธรรมดา ผู้เคยเรียน ธรรมะ จึงคงไม่แปลกใจ อะไร ที่ธรรมะจะกล่าวถึง สัจจะนี้ไว้ว่า "โลกคือสังขาร สังขารคือโลก" นับแต่ สังขารร่างกาย คือ กาย-ใจ ก็ล้วนเป็น สังขารรูป กับสังขารนาม สังขารนี้แหละคือ "ต้นเหตุแห่งทุกข์"

คนจึงต้องประสบกับทุกข์มากมายก่ายกองจนแยกแยะ หาทางออกไม่ได้ หาต้นเหตุไม่พบ ในเมื่อตัวเอง ก็ตกเป็นทาสสังขาร มานับตั้งแต่ ตัวของตัวเอง ไล่ดะไปจนกระทั่งสังขารวัตถุนานาประการอีกมากมาย เป็นทั้งทาสกาย ทาสวัตถุ ที่เรียกว่าวัตถุนิยม

ความเป็นทาสเนื้อหนังมังสา เป็นที่มาของความเดือดร้อน ประทุษร้าย เข่นฆ่ากัน ดังกรณีเรื่องชู้สาว ก่อกรรมชำเรา ข่มขืน ทางเพศ เป็นตัวอย่างที่เด่นชัด ตรงประเด็นที่สุด หากจะหยิบยกเรื่องความเป็นทาส เนื้อหนังเหล่านั้น ความร้าวฉาน ในครอบครัว ความแตกแยกในชีวิตสมรส ความทุจริตคอรัปชั่นในการเมือง ฯลฯ ถ้าสาวหาเหตุไปให้ดีๆ ก็จะมีเรื่องนี้ เข้ามาปะปน หรืออาจ เป็นสาเหตุหลักก็ได้ ดังที่ผู้อ่าน ก็เคย ได้ผ่านตา ประวัติจอมพลคนดังในเมืองไทยมาแล้ว หลังสิ้นชีพ เรื่องฉาวโฉ่ ที่ละลาย ความเป็นฮีโร่ ด้านอื่นๆ ไปจนแทบหมดสิ้น ก็มาจากเรื่องความมักมากในการเสพเนื้อหนังมังสานี่แหละ จนกระทั่ง ถูกรัฐบาล ที่ครองอำนาจต่อมา สั่งยึดทรัพย์ ปัจจุบันเรื่องราวนี้ ก็คงจะหายไป จากความทรงจำ เพราะมี เรื่องใหม่ๆ แต่ก็คงซ้ำรอยเดิม ไม่ต่างจาก เหล้าเก่าในขวดใหม่ เช่นเรื่องวุฒิสมาชิก ซื้อบริการทางเพศ จากผู้เยาว์ เป็นต้น

เคยคุยกับท่านผู้พิพากษาหญิงที่ต้องออกชำระความเกี่ยวกับเรื่องก่อกรรมชำเราว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง และ ผลของคดี มีแนวโน้ม ให้ความปลอดภัย อบอุ่นใจแก่ผู้ถูกประทุษร้ายแค่ไหน เพราะเท่าที่ฟัง กระแสเสียง ข่าวสาร จากองค์กร ที่พยายาม ทำหน้าที่นี้ โดยตรง วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ เชิงร้องเรียน ประชาชน กลายๆ ว่า คดีก่อกรรมชำเรานี้ ฝ่ายหญิงไม่ค่อยได้รับ ความเป็นธรรมนัก แต่ตัวบทกฎหมาย ที่บัญญัติไว้ แต่เดิม ถ้าจะกล่าวว่าเพราะจำนวนผู้ออกกฎหมายส่วนใหญ่ เป็นผู้ชาย ก็กระไรอยู่ แต่ก็เป็น เช่นนั้นจริงๆ เพียงไม่อยาก จะพูดซ้ำซาก ในเรื่องที่ไม่เป็นผลดี ให้หม่นหมองใจ เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ จึงยังคง ดำเนินไป จนเป็นเรื่องปกติ

และก็จริงอย่างคาดหมาย คำตอบจากท่านผู้พิพากษาหญิงนั้นก็ตรงกับที่รู้ๆ อยู่แก่ใจ ท่านถ่ายทอด ให้ฟังว่า ไม่อยากออก ชำระความ คดีอย่างนี้เลย เพราะแทนที่จำเลยจะอาย โจทก์หรือผู้พิพากษาเอง กลับเป็น ฝ่ายอาย เพราะบรรยากาศ ในการซักไซ้ ไล่เลียง พยานหลักฐาน ต่างๆ ในเหตุการณ์เหล่านั้น ทำให้ รู้สึกว่า เรากำลังจะมา "ซ้ำเติมผู้ถูกกระทำ" หรือว่าเรากำลัง "ช่วยผู้ถูกกระทำ" กันแน่ !

สิ่งที่เราได้รับรู้ ได้ยินมารอบกาย รอบด้านก็ไม่ต่างจากในศาลนัก ประโยคที่กล่าวแก้ตัวว่า "ทีทับไม่ร้อง พอท้อง จะให้รับ" ดูเหมือน จะเป็นแวว เย้ยหยัน ให้ฝ่ายหญิง ต้องจำยอมรับภาวะนั้น โดยไม่มีทางต่อสู้

แม้บางกรณีฝ่ายหญิงเป็นผู้ถูกกระทำโดยไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่ด้วยเล่ห์เหลี่ยมเพทุบาย อาศัยกำลัง ความเป็นชาย เข้าข่มเหง และ อำนาจเพศ ที่สังคมยอมรับให้เหนือ เป็นต่อกว่า ทำให้ฝ่ายหญิง ต้องผจญ กับปัญหา ถึงกับต้อง ฆ่าตัวตาย หรือ ตกกระได พลอยโจน ไปจนตลอดชีวิต เข้าลักษณะ "มีสามีผิด จำต้องอยู่ กันไปจนตาย" เพราะโดนข่มขืน จึงต้องยอมเป็นภรรยา รอยแผลมลทินใจ ที่ไม่อาจ ลบเลือน ทำให้ชีวิตครองเรือน ของผู้หญิงคนนั้น ต้องเศร้าหมอง เป็นตราประทับ ที่ทำให้เธอรู้สึกว่า เป็นคนบาป ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ เป็นฝ่ายเสนอ เปิดทาง แต่ไม่แข็งแรงเพียงพอ ปฏิเสธแต่ต้น เพราะกลัวผล ที่จะติดตามมา เช่น มีลูกไม่มีพ่อ

โดยเธอลืมคิดอีกมุมหนึ่งว่า หากตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ร่วมหอลงโรง กับคนที่กระทำความชั่ว ก็จะไม่ต่อ ความยาว สาวความยืด ให้วิบากเรื้อรัง ยอมลำบาก ดูแลตัวเองดีกว่า แต่เพราะแรงกดดัน ทางประเพณี ค่านิยมสังคม ที่ส่วนใหญ่ ก็บุรุษเพศ อีกนั่นแหละ เป็นผู้กำหนด ทำให้ฝ่ายหญิ งต้องอยู่ในฐานะ รองรับ เรื่อยมา ปัญหาทำนองนี้ จึงไม่อาจแก้ไขได้ และไม่มีทาง เรียกร้อง หาความยุติธรรม ได้จากที่ไหน นอกจากการดูแลความปลอดภัย ให้แก่ตัว ให้ดีที่สุดเท่านั้น

แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นบาปเป็นเวรมาแต่ไหน ทั้งๆ ที่ผู้หญิงก็รู้ก็เห็นเรื่องทำนองนี้อยู่ แทนที่จะระมัดระวังตัว ไม่ทำอะไร ที่ก่อชนวน เป็นพาหะนำมา ซึ่งโทษภัยเหล่านี้ กลับประมาทท้าทาย ประกอบสิ่งที่เป็นหนทาง ให้ความชั่วร้าย คืบคลานเข้ามาถึงตัว ดังข่าว ที่ได้อ่าน จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ที่นวลนางหนึ่ง ถ่ายรูปโป๊ ทั้งๆ ที่ท้องโต โชว์สัดส่วนต่างๆ ให้แหวกแนว เลียนแบบ ต่างประเทศ ที่มีเสียง ร่ำลือกันนักว่า ราคาค่า ตอบแทน ในการเป็นแบบ อย่างนี้ แพงลิบลิ่ว ซึ่งก็คงจะจริง เพราะมิฉะนั้น ไฉนเลย ผู้หญิงคนนั้น จะยอม แลกกับศักดิ์ศรี เกียรติของผู้หญิง โดยเฉพาะ ความเป็นแม่ ที่ต้องเป็นแม่แบบ แม่พิมพ์ สำหรับลูก ที่แม้ผู้ชาย ซึ่งแสนเจ้าชู้ปานใด ก็ยังเคยให้สัมภาษณ์ เปิดใจว่า การจะตกลงแต่งงาน กับผู้หญิงคนใด ก็ต้อง พิถีพิถัน มากหน่อย เพราะเขา ต้องการเลือก ผู้ที่เหมาะสมเท่านั้น มาเป็นแม่ ของลูกตน

เราไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินว่า แม่คนไหนจะกล้าเปลือยสัดส่วนต่างๆ ให้ผู้เป็นลูกดู ทั้งๆ ที่เป็นเพศ เดียวกัน ใกล้ชิดกัน เพราะฐานะ ความเป็นแม่ คือขีดขั้น ที่กั้นขอบเขตไว้ ทำให้แม่ยังคงรักษามาตรฐาน ของความดี ระหว่าง ตนกับลูกไว้ได้ ระดับหนึ่ง แม้เรื่องอื่นๆ อาจจะไม่แตกต่างกันนัก ตามประสา คนปุถุชน ที่มีกิเลส มากพอๆ กัน อย่างน้อยความรับนับถือ ก็ยังคงอยู่ เพราะภาพลักษณ์ ของแม่ยังไม่มีอะไร ให้ดูไม่ดี แต่เมื่อมา เห็นภาพอย่างนี้ ในยุคนี้ ทำให้อดเป็นห่วง ผู้เป็นลูกไม่ได้ว่า เขาจะเหลือ ความภาคภูมิใจ ไว้เท่าใด?

เคยอ่านข่าวสังคมสัมภาษณ์คนดังคอลัมน์หนึ่ง ที่ลูกชายเปิดใจถึงแม่ผู้สูงอายุของเขา ที่แม้วัยจะล่วงเข้าสู่ ความชราแล้ว แต่คนรู้จักเธอ ในรูปของสาวพันปี โดยทั่วไปว่า แม่เขาเปรี้ยวมาแต่ไหนแต่ไร จนเขาเอง ก็ยังมึน ตั้งแต่อยู่มัธยมโน่นแล้ว ความเป็นแม่ ประกอบกับเหตุผลที่ว่า รับผิดชอบเลี้ยงดู ให้เจริญเติบโต ส่งเสีย ตลอดมา เป็นเข็มเย็บปาก ไม่อาจวิพากษ์ วิจารณ์ได้ แม้หัวใจ อาจจะไม่ค่อยเบิกบานนัก

คำโบราณเคยสอนเอาไว้ชัดเจนให้คนไทยเราถือ เพื่ออาศัยเป็นบรรทัดวัด เพื่ออาศัยเป็นขอบข่าย อาณาเขต ของศีลธรรม ไม่ให้ลูกแกะ ซุกซน ออกไปนอกคอก คือ คนเราต้องรู้จักสิ่งพึงสงวนหนึ่ง ในอีกหลายสิ่ง หนึ่งนั้นคือ "สตรีเปิดเผยไม่ดี" ก็คงจะหมายถึง ความโป๊เปลือย นี่แหละ เพราะมิฉะนั้น ธรรมเนียม ในการ แต่งกาย ของหญิงตะวันออก บางศาสนา คงไม่วางรูปแบบ มิดชิดอย่างนั้น ปิดทั้งหน้า แขน มือ เท้า ไหล่ โผล่แต่ดวงตา ที่ไม่ค่อยชัดด้วยซ้ำ เพราะเขามีคติถือว่า การเปิดเผย อวัยวะของหญิง เป็นบาป

หากนำเอาความแตกต่างระหว่างสองลักษณะนี้มาเทียบเคียงกันแล้ว ผู้ปกปิดร่างกาย ให้พ้นจากสายตา เพ่งมอง ชวนให้กำหนัด ใคร่อยาก มีโอกาสเข้าในแผ่นดินสวรรค์ มากเท่าใด ผู้ที่เปิดเผยกระทำ สิ่งที่ ตรงกันข้าม ที่ยั่วย้อมให้กำหนัด ยินดีหลงใหล ก็คงจะได้รับ บำเหน็จคนละทิศ

สำนวนกวีไทยท่านหนึ่งกล่าวไว้คมคายว่า "เด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาว" ฉันใด การเปิดแฟชั่น อย่างนี้ ก็คง จะกระเทือน ถึงดวงใจ ผู้หญิงด้วยกัน ฉันนั้น !

เคยได้ยินคนดีสั่งสอนว่า .....
ของดีต้องรักษาให้ดี
ของดีต้องเก็บงำให้ดี
ของดีต้องรู้จักใช้ให้ดี
ของดีต้องใช้ในสิ่งที่ดี
ของดีต้องเป็นตัวอย่างที่ดี
เราอยากให้เด็กของเราเป็นคนดี แล้วเรามีแม่พิมพ์ดีๆ ให้เขาพิมพ์แบบบ้างไหม?

"แม่" ที่สังคมไทยเคยตั้งค่าไว้ว่า "ควรเป็นแม่พิมพ์ที่ดีที่สุดก่อน" เพราะแม่คือแม่พิมพ์คนแรก ของลูก

หลักคำสอนในพุทธศาสนาก็ยกเรื่องแม่กล่าวไว้ในทิศ ๖ อันเป็นทิศที่พึงเคารพนบไหว้ เพราะเป็น ผู้ชี้ทาง แห่งความดี เป็นแบบอย่าง ที่ดีให้แก่ลูกตลอดไป

คุณค่าในความมีค่าที่ผู้หญิงชื่นชม ยอมแลกกับเลือดเนื้อชีวิต หยาดเหงื่อแรงกาย หยาดน้ำตาแรงน้ำรัก ตรงที่ความเป็นแม่ อาจสะดุดลง ณ ตรงนี้ แม้นยังมีลูกบางคนที่พยายามเสาะหาตามตัวแม่ เพียงเพื่อ อยากรู้จัก อยากเห็นหน้า เพราะไม่เคย ได้เห็นเลย จนวัยเวลาผ่านไปเนิ่นนานนัก จนต้องประกาศ ตามหา จนกว่าจะพบ แล้วถ้าลูกได้พบแม่ ที่เคยจินตนาการ ไว้อย่างดี กลับตีลังกา กลับในอีกรูปลักษณ์หนึ่ง อย่างนี้ หัวใจของลูกจะบอบช้ำปานใด

การแต่งกายที่ผู้หญิงนิยม มักมีแนวโน้มสร้างบุคลิกภาพให้ดูสง่าภาคภูมิ เป็นคุณค่า ที่ทำให้ผู้พบเห็น รู้สึกเกรงใจ มั่นใจ ย่อมเป็น หลักประกัน ความเชื่อถือ ให้เกิดขึ้นกับคนนั้น มากกว่า ที่จะออก ในรูปของ ความวาบหวิวใจ หมดสิ้นหวัง

ปัจจุบันปัญหาสังคมที่ทำความหนักใจให้แก่แม่ ผู้ปกครอง แม้บ้านเมือง คงไม่ปฏิเสธว่า เรื่องการค้า ประเวณี การล่อลวง ผู้เยาว์ไปขาย ไม่ว่าจะเกิดจากความเต็มใจหรือไม่ ยังเป็นเรื่องหนักหนา สากรรจ์ ในสังคม และเป็นสิ่งบั่นทอน จริยธรรม ของคน ยิ่งๆ ขึ้น จนมีมากคน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่จะรับรอง ไหว้ตัวเอง อย่างสนิทใจ

สื่อ,สิ่งที่แสดงออกเป็นตัวอย่างก่อให้บานปลายไม่ต่างจากเชื้อโรคแพร่กระจายไปในอากาศ เป็นมลพิษ ทางอารมณ์ ทางจิตวิญญาณฝ่ายต่ำ ที่เกิดขึ้นได้ง่ายที่สุด ในยุคของคนที่มีแนวโน้ม ค่อนไปทาง ความมักง่าย ด้านนิสัย การแสดงออก ปราศจาก การคัดเลือก ให้ตัวเอง ก่อนจะนำเสนอออกสู่ที่สาธารณะ ทั้งๆ ที่มีความรู้กะตัวอยู่แล้วว่า แต่งอย่างไร กิริยาอย่างไร เหมาะสำหรับ ที่รโหฐาน ที่ส่วนตัว หน่วยเซ็นเซอร์สื่อ ทั้งด้านการเขียน การถ่าย การพิมพ์ การโฆษณา จึงต้องรับหน้าที่นี้ เพื่อรักษา วัฒนธรรม อันดีงาม ของชาติ ไม่ให้ถูกทำลายสึกกร่อน เว้นเสียแต่เจ้าหน้าที่เซ็นเซอร์ จะละเลย เพราะอคติ เฉพาะตัว จึงทำให้เสีย หลักพิจารณา

คนที่จะดูแลคนอื่นได้ ต้องดูแลตัวเองได้ก่อน
คนจะให้คนอื่นดีได้ ต้องเป็นคนดีได้ก่อน
คนจะสั่งสอนคนอื่นได้ ต้องสั่งสอนตนเองได้ก่อน

ธรรมดาของผู้เป็นพ่อแม่ มักจะหวังความปรารถนาสูงสุดไว้กับลูก ยิ่งผู้หญิงด้วยแล้ว ลูกคือ ความมั่นใจ เสมอดั่ง ปัญญา ในทัศนะ ของนักปราชญ์ เสมอดั่งอาวุธในทัศนะของโจร เสมอดั่งอำนาจ ในทัศนะ ของกษัตริย์ ฯลฯ แต่ก่อนที่ผู้เป็นพ่อแม่ จะได้รับ สิ่งที่ต้องการเหล่านี้ พ่อแม่จะต้องเป็นผู้เพาะเชื้อ หล่อเลี้ยง กำหนดพันธุ์นั้นก่อน เป็นสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้ ที่เราจะได้อะไรมา โดยปราศจากเหตุ ที่สมน้ำ สมเนื้อพอๆ กัน ตราบใดที่สัตวโลก ยังเป็นไปตามกรรม กรรมย่อมเป็น กำเนิด เป็นเผ่าพันธุ์ เป็นที่พึ่ง อาศัย ของคนเหล่านั้น คำเตือนสติ ติเตียนของผู้เฒ่ายุคก่อน จึงเหน็บแนมไว้ กินใจนักว่า "ถ้าจะดูนาง ให้ดูที่แม่ แต่ถ้าจะให้แน่ๆ ต้องดูให้ถึงยาย"

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความเป็นห่วง วิตกแทนว่าไฉนผู้หญิงถึงทำกับตัวเองได้ หรือจะให้เห็นด้วย ที่เพศ ตรงข้าม กับมัก หมิ่นแคลนกันว่า ผู้หญิงจะมาเสียเวลา เรียกร้องความยุติธรรม ในกรณี ก่อกรรม ชำเราทำไม? ในเมื่อผู้หญิงเอง มักก่อกรรม ชำเราตัวเอง อยู่มากกว่า คนอื่นอยู่แล้ว หรือจะให้ถาม กระจก วิเศษไหมว่า "ใครเป็นผู้ก่อกรรมชำเราในปฐพี" ผู้อ่านลองช่วย กันตอบที คงดีกว่าจะไข !.

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๗ สิงหาคม ๒๕๔๖)